วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 20:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 116 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2013, 09:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


ตกลง...อัตตามันไม่มีเน๊าะ...มันเป็นเพียงอุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่นที่ผิดของเราเอง..เท่านั้น
หรือ..โฮว่ามันมีจริง...จะยกตัวอย่างมาให้ดูด้วยก็จะดี

:b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2013, 09:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes
...ข้าพเจ้าขอสนับสนุนความเห็นของท่านกบเพราะข้าพเจ้าก็เข้าใจอัตตาและอนัตตาตรงกัน...
...และสนับสนุนด้วยว่าอัตตาและอนัตตาไม่มีในนิพพานเพราะเป็นธรรมเหนือโลก(โลกุตรธรรม)...
:b16: :b12:
:b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2013, 10:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ตกลง...อัตตามันไม่มีเน๊าะ...มันเป็นเพียงอุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่นที่ผิดของเราเอง..เท่านั้น
หรือ..โฮว่ามันมีจริง...จะยกตัวอย่างมาให้ดูด้วยก็จะดี
:b1: :b1:

อัตตามันมีอยู่จริง อุปาทานก็จริง ความยึดมั่นก็จริงเพราะทุกอย่างเป็นสัจจธรรม
ที่กะลาบอกว่า"ความยึดมั่นที่มั่นที่ผิด" แบบนี้มันคลาดเคลื่อน ในความเป็นจริงมันมีรู้กับไม่รู้
หรือจะกล่าวว่า ทำเพราะไม่รู้และรู้แล้วยังทำอีก แบบนี้แหล่ะความยึดมั่น

ยกตัวอย่าง สมมุติความอ้วนเป็นทุกข์ เมื่อเรารู้แล้วว่าความอ้วนเป็นทุกข์
ต่อมาเรารู้ เพราะเรากินของหวานมากเกินไปเลยทำให้อ้วน แบบนี้เรียกว่า
รู้ทุกข์และรู้เหตุแห่งทุกข์ แล้วอัตตามันอยู่ตรงไหน นั้นก็คือ.....
การที่รู้แล้วว่าความอ้วนคือทุกข์ กินของหวานมากๆทำให้อ้วน

แต่รู้ทุกข์แล้ว รู้เหตุแห่งทุกข์แล้ว เราก็ยังกินของหวานอีก
มันเพราะเพราะไร ถ้าไม่ใช่ความอยากที่จะกินของหวานนั้น
ความอยากที่จะกินของหวานนั้น........เขาเรียก อัตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2013, 10:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แนะนำกะลา ที่กะลาชอบมองโน้นผิด นี่ผิด ก็เป็นเพราะ
กะลาปฏิบัติธรรมโดยใช้ศีลข้อห้ามเป็นหลัก เลยมองธรรมแค่ ความผิด ความถูก
ในความเป็นจริง ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่มีความผิดความถูก มันมีแต่ รู้กับไม่รู้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2013, 10:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นเพียงอุบายเพื่อเข้าถึงธรรมทั้งหลายทั้งปวง เมื่อเข้าถึงแล้วการตีความใดๆก็ไม่จำเป็น
ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2013, 11:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ตกลง...อัตตามันไม่มีเน๊าะ...มันเป็นเพียงอุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่นที่ผิดของเราเอง..เท่านั้น
หรือ..โฮว่ามันมีจริง...จะยกตัวอย่างมาให้ดูด้วยก็จะดี
:b1: :b1:

อัตตามันมีอยู่จริง อุปาทานก็จริง ความยึดมั่นก็จริงเพราะทุกอย่างเป็นสัจจธรรม
ที่กะลาบอกว่า"ความยึดมั่นที่มั่นที่ผิด" แบบนี้มันคลาดเคลื่อน ในความเป็นจริงมันมีรู้กับไม่รู้
หรือจะกล่าวว่า ทำเพราะไม่รู้และรู้แล้วยังทำอีก แบบนี้แหล่ะความยึดมั่น

ยกตัวอย่าง สมมุติความอ้วนเป็นทุกข์ เมื่อเรารู้แล้วว่าความอ้วนเป็นทุกข์
ต่อมาเรารู้ เพราะเรากินของหวานมากเกินไปเลยทำให้อ้วน แบบนี้เรียกว่า
รู้ทุกข์และรู้เหตุแห่งทุกข์ แล้วอัตตามันอยู่ตรงไหน นั้นก็คือ.....
การที่รู้แล้วว่าความอ้วนคือทุกข์ กินของหวานมากๆทำให้อ้วน

แต่รู้ทุกข์แล้ว รู้เหตุแห่งทุกข์แล้ว เราก็ยังกินของหวานอีก
มันเพราะเพราะไร ถ้าไม่ใช่ความอยากที่จะกินของหวานนั้น
ความอยากที่จะกินของหวานนั้น........เขาเรียก อัตตา

คุนน้องเห็นด้วยกับความเห็นพี่โฮฮับ เพราะอุปทานนั่นแหละคืออัตตา ทั้งที่รู้ว่ามันทุกข์แต่ก็ยังอยากยังยึด นั่นแหละอัตตาจะปฏิเสธว่าอัตตาไม่มีจริงไม่ได้นะ ถ้าเรายังมีอุปทานขันธ์อยู่ เท่ากับเราหลอกตัวเอง เหมือนคนอ้วนรู้ว่ากินของหวานกินของทอดมันอ้วนแต่ก็อยากกินนั่นแหละ :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2013, 11:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีใครเห็นด้วยบ้าง ที่เสนอให้ลบกระทู้นี้ หรือไม่ก็ย้ายไปห้องดับจิตรอวันปรินิพพาน :b14: :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2013, 11:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


รอพี่กบนอกกะลามาอธิบายถึง"อัตตา"ที่พี่กบนอกกะลาหมายความถึง...แล้วคงเข้าใจกันได้ทุกคน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2013, 11:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
มีใครเห็นด้วยบ้าง ที่เสนอให้ลบกระทู้นี้ หรือไม่ก็ย้ายไปห้องดับจิตรอวันปรินิพพาน :b14: :b32:

พี่กรัชกาย ไม่แสดงความเห็นอัตตากับอนัตตาหน่อยหรอเจ้าค่ะ :b12: พี่กรัชกายก็เปรียบสเมือนผู้ใหญ่ที่คุนน้องเคารพคุนน้องอยากฟังความเห็น :b20:
คือตอนนี้คุนน้องเริ่มเกิดอัตตาค่ะ คันไม้คันมือบอกไม่ถูก :b6: ถ้าได้กระสอบทรายมากระแทกอัตตา คุนน้องอาจจะโล่งและเห็นว่ามันเป็นอนัตตา :b32: เพราะมันเกิดขึ้นและก็ดับไปเนาะ :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2013, 12:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes
...ธรรมะ เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา...ตรงข้ามธรรมะไม่ใช่ นิจจัง สุขัง อัตตา...
...อนิจจังคือจิตเกิดดับ ไม่ใช่ตัวตนที่เห็นว่าชีวิตมั่นคงเห็นว่าชีวิตเที่ยงแท้แน่นอน...
...มีลมหายใจอยู่ก็เข้าใจว่ายังไม่ตาย แต่จริงๆตายทุกขณะจิต เกิดใหม่ทุกวินาที...
...ทุกขังคือจิตหลงว่ามีตัวตนเป็นอัตตา ที่คอยรับความสุข ความทุกข์ ยึดตัวตน...
...ตัวกู ของกู ที่มารับคำสรรเสริญ คำด่า แล้วก็รู้สึกโกรธแค้นว่ามันมาด่ากู นี่คือหลงอัตตา...
...อนัตตาคือไม่มีตัวตนมารองรับ สุข ทุกข์ ที่เกิดขึ้น มีแต่จิตรู้สภาพธรรมชาติที่เกิดขึ้น...
...โดยวางความเป็นตัวตน ถ้าวางตัวตนไม่ได้ ตัวกูของกูนี่แหละที่เป็นมารขัดขวางการรู้แจ้ง...
...มีแต่กฎของอิทัปปัจยตา ตามกฎของมันเอง ไม่มีดี ไม่มีชั่ว มันเป็นเช่นนั้นเอง...
...แต่คนมาหลงสมมุติเอง หลงยึดติดตามความพอใจของตนของตน ไม่รู้ว่าเป็นของหนัก...
...ให้รู้จักความไม่มีตัวตนตามกฎธรรมชาติมันก็หมดปัญหา จิตเห็นหมดไป จิตได้ยินหมดไป...
...จิตได้กลิ่นหมดไป...จิตได้รสหมดไป...จิตรับสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งตึงไหวก็หมดไป...
...จิตคิดนึกก็หมดไปตามเวลาที่ผ่านไป เหลือแต่ความตายที่คืบคลานเข้ามาหาเท่านั้นเอง...
:b12: :b13:
:b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2013, 12:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถามความเห็นเกี่ยวกับนิพพาน
ตอนนี้ กระทู้ขยายมา เกี่ยวกับ อัตตา อนัตตา

ธรรม จำแนกเป็นสองประการ
สังขตะธรรม
อสังขตะธรรม

เมื่อกำลังสนทนากันถึง อัตตา อนัตตา

อนัตตา เป็นสังขตะ หรือ อสังขตะ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2013, 13:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ถามความเห็นเกี่ยวกับนิพพาน
ตอนนี้ กระทู้ขยายมา เกี่ยวกับ อัตตา อนัตตา

ธรรม จำแนกเป็นสองประการ
สังขตะธรรม
อสังขตะธรรม

เมื่อกำลังสนทนากันถึง อัตตา อนัตตา

อนัตตา เป็นสังขตะ หรือ อสังขตะ

อนัตตาในไตรลักษณ์เป็น สังขตะธรรม
อนัตตา ที่เป็นอสังขตธรรมก็คือนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2013, 13:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ถามความเห็นเกี่ยวกับนิพพาน
ตอนนี้ กระทู้ขยายมา เกี่ยวกับ อัตตา อนัตตา

ธรรม จำแนกเป็นสองประการ
สังขตะธรรม
อสังขตะธรรม

เมื่อกำลังสนทนากันถึง อัตตา อนัตตา

อนัตตา เป็นสังขตะ หรือ อสังขตะ

อนัตตาในไตรลักษณ์เป็น สังขตะธรรม
อนัตตา ที่เป็นอสังขตธรรมก็คือนิพพาน

ไตรลักษณ์ ของ สังขตะ
ไตรลักษณ์ ของ อสังขตะ
ไม่ปรากฏคำว่า อนัตตา

ไตรลักษณ์ของ สังขตะ คือ
ความเกิดขึ้นปรากฏ
ความเสื่อมปรากฏ
เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ

ไตรลักษณ์ของ อสังขตะ คือ
ไม่ปรากฏความเกิด
ไม่ปรากฏความเสื่อม
เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน

ธรรมอย่างหนึ่ง ไม่อาจควบเป็นสองประการได้
อนัตตา เป็นสังขตะธรรม หรืออสังขตะธรรม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2013, 15:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
รอพี่กบนอกกะลามาอธิบายถึง"อัตตา"ที่พี่กบนอกกะลาหมายความถึง...แล้วคงเข้าใจกันได้ทุกคน


อิอิ.....เราชินแต่ว่า...เรามีอัตต
พระพุทธองค์ก็ตรัสใว้แล้วว่า...สัพเพ ธรรมา อนัตตา....มันไม่มีตัวตน...มันเปลี่ยนไปเรื่อย .เกิดแล้วก็ดับไป...แต่ที่เราเห็นว่ามันยังมีอยู่...คือ...มันยังมีปัจจัยให้เกิดขึ้นมาอีก...มันเกิดดับ..เกิดดับ...ต่อเนิ่อง...สานตติปิดบังอนิจจลักษณ์

เป็นได้ทั้ง...ส่วนที่เป็นนามธรรม...เช่น.อารมณ์ความรู้สึก...อย่างความอยากที่โฮว่านั้นนะ...ถ้า อยากครั้งเดียว...มันก็จบ...จบไปแล้วจะมีอะไรให้เห็นเป็นอัตตาได้...แต่ที่ไม่จบ...ก็เพราะมัน..อยาก...อยาก....อยาก...อยากแล้วอยากอีก....จนยึดในความอยากนั้น...ว่าเป็นเราอยากสิ่งนั้นจริง ๆ...นี้คือลักษณะของอุปาทาน...เพราะอุปาทานนี้เองจึงทำให้ดูเสมือนว่ามันมีตัวตนขึ้นมาจริง ๆ....แท้แล้วมันไมได้เป็นอย่างนั้นจริง...มันอนัตตา..อย่างนี้เป็นต้น

ในส่วนของวัตถุธาตุ...วิทยาศาสตร์ก็ช่วยยืนยันพระสัจธรรมของพระพุทธองค์แล้วว่า....ไม่มีวัสดุหรือวัตถุธาตุตัวไหนที่ไม่มีความเสื่อม....ในวัตถุที่ตั้งใว้นิ่ง ๆนั้นนะ...มันไม่ได้นิ่งอย่างที่เห็น...หากเรามองไปที่ระดับอะตอมของมัน...มันมีอิเลกตรอนเคลื่อนไหวรอบ ๆนิวตรอนตลอดเวลา...ทุก ๆอะตอมก็เป็นอย่างนี้..เมื่อมาประกอบกันเป็นโมเลกุลเป็นวัสดุ...อิเลกตรอนก็ยังสั่นไหว่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดนั้นแหละ...ขณะเดียวกัน..หากสูญเสียพลังงานออกไปคุณสมบัติของอะตอมก็เปลี่ยนไปด้วย.....นี้พูดแค่ง่าย ๆนะ...

สัพเพธรรมา อนัตตา....

เพราะมีเหตุปัจจัยปรุ่งแต่งอยู่...ก็เกิดดับไปเรื่อยอย่างนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2013, 16:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
มีใครเห็นด้วยบ้าง ที่เสนอให้ลบกระทู้นี้ หรือไม่ก็ย้ายไปห้องดับจิตรอวันปรินิพพาน :b14: :b32:

พี่กรัชกาย ไม่แสดงความเห็นอัตตากับอนัตตาหน่อยหรอเจ้าค่ะ :b12: พี่กรัชกายก็เปรียบสเมือนผู้ใหญ่ที่คุนน้องเคารพคุนน้องอยากฟังความเห็น :b20:
คือตอนนี้คุนน้องเริ่มเกิดอัตตาค่ะ คันไม้คันมือบอกไม่ถูก :b6: ถ้าได้กระสอบทรายมากระแทกอัตตา คุนน้องอาจจะโล่งและเห็นว่ามันเป็นอนัตตา :b32: เพราะมันเกิดขึ้นและก็ดับไปเนาะ :b12:



นิพพานอย่างเดียวก็จะบ้าตายแล้ว จะเอาอัตตาอนัตตาอีกเอ้า :b32:

นิพพานคือการกำจัดกิเลสการดับอวิชชา ตัณหา อุปาทาน เมื่อดับกิเลสซึ่งท่านเปรียบเหมือนไฟแล้ว จิตใจก็เย็นสบาย ไม่เร่าร้อน ร้อนรุ่ม ท่านจึงว่า "นิพพานัง ปรมัง สุขัง" นิพพานเป็นบรมสุข หรือนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

แต่ถ้าคิดกันอย่างพวกเรานี่ เหมือนมองนิพพานไปไหนต่อไหน เลยกลายเป็นว่า "นิพพาน ฟุ้งซ่าน อย่างยิ่ง" นิพพานัง ปรมัง อุทธัจจัง คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 116 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 39 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร