วันเวลาปัจจุบัน 23 เม.ย. 2024, 16:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 110 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2013, 09:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:

แม้มีห้องว่าง ก็จงทำลายห้องนั้นให้พังดับลงซะเลย รื้อหลังคาออก เสานั้นตัดให้ขาดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ทุบผนังห้องอย่าให้เหลือเป็นรูปร่าง เหมือนกับที่พระพุทธเจ้ากล่าวตอนตรัสรู้ครับ ต้องเป็นอย่างนั้น

:b8:

จากที่โลกไม่ค่อยมีอะไร.....พันปีมานี้อะไรเพิ่มขึ้นบ้าง?...200 ปีมานี้อะไรเพิ่มขึ้นมาบ้าง?

เรือยนต์...รถยนต์...รถไฟ...เครื่องบิน....คอมพิวเตอร์...โทรศัพท์...อินเทอเน็ต...ตลาดหลักทรัพย์...ตลาดซื้อขายล่วงหน้า...ธนาคาร....ประกันภัย....กฎหมาย...จากไม่กี่มาตราทุกวันนี้ต้องอัพเดตทุกปี

ศาล....จากศาลเดียวก็มามีศาลแพ่ง...มีศาลเยาวชน...ศาลปกครอง...ศาลรัฐธรรมนูญ

โลกมุ่งหน้าสู่ความสลับซับซ้อนมากขึ้นทุกที....จุดที่จะหยุด..ยังมองไม่เห็น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2013, 10:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สะท้อนมาที่โลกใน..

จิตอวิชชา..สร้างอะไร?

เพราะหลงผิดในรูป...คิดว่ารูปเป็นสิ่งดีมีความสุข..จึง
คิด...ก็คิดผิด...ผิด
ทำ...ก็ทำผิด....ผิด
จำ...ก็จำผิด..ผิด
เกิด...นิสัยที่ผิด..ผิด
เกิด...เป็นสันดานที่ผิด..ผิด
เกิด...สัณชาตญาณที่ผิด..ผิด
เกิด...ประเพณีที่ผิด..ผิด
เกิด..วัฒนธรรมที่ผิด..ผิด
เกิด..จิตสำนึกที่ผิด..ผิด
เป็น...จิตใต้สำนึกที่ผิด..ผิด

ยิ่งนานวันเข้า....สิ่งผิด..ผิด..มากขึ้นทุกวัน....แล้วก็ยึดในสิ่งที่ผิด..ผิด..แน่นไปทุกที

จักรวาลแห่งความยุ่งเหยิง...ทั้งจักรวาลนอก..ทั้งจักรวาลใน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2013, 11:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


คุนน้องเห็นอะไรรู้มั้ยค่ะ คุนน้องเห็นความเสื่อมที่มาจากภายใน โลกภายในเป็นเหตุปัจจัยสร้างโลกภายนอกขึ้นมา เราสร้างทุกอย่างมาสนองเจตนารมณ์ของตัวเรา เราลืมว่าไฟฟ้าเกิดขึ้นได้อย่างไร พลังงานนิวเคลียร์ที่นำมาผลิดกระแสไฟฟ้า เกิดขึ้นมาจากปัญญาของผู้ใด เคยคิดมั้ยว่า คนอัจฉริยะที่เกิดขึ้นมาบนโลกนี้ เกิดมาเพื่อสร้างโลก เจตนาของคนเหล่านั้น ต้องการให้มนุษย์อยู่กันอย่างสบายไม่ลำบาก แต่กลับเอาสิ่งที่เป็นคุณอนันต์มาทำร้ายกันให้เป็นโทษอย่างมหันต์ จากนิวเคลียการเป็นอาวุธรบรากัน ใครที่เป็นตนเหตุให้เกิดความไม่สงบ ความแบ่งฝักแบ่งฝ่าย การแก่งแย่ง ชิงชัง รบราฆ่าฟัน เพื่ออะไรกันค่ะ ในเมื่อเราเกิดมาไม่ถึง100ปีเราก็ต้องตายกัน แล้วเหตุใดพวกเราถึงหลงไปกับ อำนาจ ยศถาบรรดาศักดิ์ ชื่อเสียง ที่หาใช่ตัวตนที่แท้จริง เราให้ค่ากับสิ่งใดมากที่สุด สิ่งที่สำคัญมากในชีวิตของเรา โลกถึงได้เปลี่ยนแปลงไป ไม่รักใคร่ ไม่เมตตาปราณีต่อกัน ต่อให้เราย้อนกลับไปสมัยตอนที่ไม่มี รถยนต์ ไม่มีทีวี ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกทั้งหลายเหล่านี้ เราก็แย่งแก่งแย่ง ชิงดี ลุ่มหลงในอำนาจ แบ่งแยกดินแดน รบราฆ่าฟันทำสงคราม คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ เพื่ออะไร ในเมื่อสิ่งที่ได้มา มันก็ไม่เที่ยง เรารักษาไว้ได้จริงหรือ ในเมื่อสังขารของเรามันก็ร่วงโรยไปตามกาลรอวันที่จะต้องลาจากโลกนี้ มนุษย์ทุกคนรู้ว่าจะต้องตาย แต่เราอยู่เพื่ออะไรกันค่ะ เคยคิดกันมั้ยค่ะว่าเราอยู่เพื่ออะไรเกิดมาทำอะไรในโลก จิตคุณน้องเห็นแบบนี้ และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่โลกเราจะสงบซะที


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2013, 10:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:

:b32: :b32: :b32:

อิอิ อธิบายอย่างนี้ เอกอนรู้นะว่าท่านเห็นอะไร...

:b32: :b32: :b32:

:b4: :b4: :b4:

:b8: :b8: :b8:

:b1: :b1: :b1:

ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นอย่างนี้เรยเน๊อะ....

:b12: :b12: :b12:

อนุโมทนาครับ

ยังหัดฝึกอยู่เลยนะคุณเอกอน ผมยังไม่ไปไหนเลย :b34:
(การเปรียบเทียบแสงกับกระดาษแก้วเคยอ่านจากบทความพระท่านในอินเตอร์เน็ต :b4: )

เวลาเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตอาจจะ คลายน้อยบ้างหรือมากบ้าง
อยู่ที่เหตุปัจจัยที่สะสม ต้องฝึกเห็นแล้วเห็นอีก สะสมจนกว่าอินทรีย์พละห้าสมบูรณ์
เป็นการเดินมรรคอยู่ จนกว่าจะเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วจิตมันคลายปล่อยวางตัดขาดได้
ถ้าตัดขาดไป25%เทียบจากภาวะปัจจุบัน ก็เป็นท่านที่เข้ากระแสธรรม ความเจือปนก็ขาดหายไป25% สติสัมปชัญญะก็สมบูรณ์ขึ้น

ถ้าเห็นแต่ไม่ขาดก็เป็นการทำมรรคสะสมอินทรีย์พละห้า ช่วงนั้นที่จิตคลายถ้านำไปกำหนดสภาวะ ก็จะเห็นสภาวะที่ชัดขึ้น เป็นกลางขึ้น แต่พอสักพักจิตก็ปรับเข้าสู่สภาพเดิม ที่อธิบาย :b31: อธิบายประมาณช่วงจิตคลายนะครับ ช่วงนั้นจิตจะคลายตัวมากน้อยขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยนะครับ :b48:

:b8: :b12:
:b6: คุณเอกอนเห็นอะไรนะ s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2013, 15:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
สะท้อนมาที่โลกใน..

จิตอวิชชา..สร้างอะไร?

เพราะหลงผิดในรูป...คิดว่ารูปเป็นสิ่งดีมีความสุข..จึง
คิด...ก็คิดผิด...ผิด
ทำ...ก็ทำผิด....ผิด
จำ...ก็จำผิด..ผิด
เกิด...นิสัยที่ผิด..ผิด
เกิด...เป็นสันดานที่ผิด..ผิด
เกิด...สัณชาตญาณที่ผิด..ผิด
เกิด...ประเพณีที่ผิด..ผิด
เกิด..วัฒนธรรมที่ผิด..ผิด
เกิด..จิตสำนึกที่ผิด..ผิด
เป็น...จิตใต้สำนึกที่ผิด..ผิด

ยิ่งนานวันเข้า....สิ่งผิด..ผิด..มากขึ้นทุกวัน....แล้วก็ยึดในสิ่งที่ผิด..ผิด..แน่นไปทุกที

จักรวาลแห่งความยุ่งเหยิง...ทั้งจักรวาลนอก..ทั้งจักรวาลใน
อวิชาคือความมืด ใครตกอยู่ในความมืดก็ทำผิดได้ทั้งนันครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2013, 17:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


Rotala เขียน:
อนุโมทนาครับ

ยังหัดฝึกอยู่เลยนะคุณเอกอน ผมยังไม่ไปไหนเลย :b34:
(การเปรียบเทียบแสงกับกระดาษแก้วเคยอ่านจากบทความพระท่านในอินเตอร์เน็ต :b4: )


:b14: อ้าว...เหร๋อ....อุ้ย.... :b9: :b9: :b9:

อ้างคำพูด:
เวลาเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตอาจจะ คลายน้อยบ้างหรือมากบ้าง
อยู่ที่เหตุปัจจัยที่สะสม ต้องฝึกเห็นแล้วเห็นอีก สะสมจนกว่าอินทรีย์พละห้าสมบูรณ์
เป็นการเดินมรรคอยู่ จนกว่าจะเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วจิตมันคลายปล่อยวางตัดขาดได้
ถ้าตัดขาดไป25%เทียบจากภาวะปัจจุบัน ก็เป็นท่านที่เข้ากระแสธรรม ความเจือปนก็ขาดหายไป25% สติสัมปชัญญะก็สมบูรณ์ขึ้น

ถ้าเห็นแต่ไม่ขาดก็เป็นการทำมรรคสะสมอินทรีย์พละห้า ช่วงนั้นที่จิตคลายถ้านำไปกำหนดสภาวะ ก็จะเห็นสภาวะที่ชัดขึ้น เป็นกลางขึ้น แต่พอสักพักจิตก็ปรับเข้าสู่สภาพเดิม ที่อธิบาย :b31: อธิบายประมาณช่วงจิตคลายนะครับ ช่วงนั้นจิตจะคลายตัวมากน้อยขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยนะครับ :b48:

:b8: :b12:
:b6: คุณเอกอนเห็นอะไรนะ s006


:b32: ...อิอิ...เจอมุขนี้แล้วเอกอนไหนจะกล้าตอบหล่ะ... :b32: :b32: :b32:

:b1: :b1: :b1:

มันเป็นเรื่องของ อายตนะ ... น่ะ
เรื่องแสง เรื่อง 25% มันเป็นการบรรยายถึง การรับรู้ของอายตนะ ... ที่เปลี่ยนไป น่ะ
เปลี่ยนไปตามอารมณ์จิต ...

มันจะทำให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง
จิตที่ขุ่นมัว กับ ผัสสะ/อายตนะ/การรู้
กับ
จิตที่ผ่องใส กับ ผัสสะ/อายตนะ/การรู้
...
ถ้าจะเห็น...ก็มันเห็น...ปัจจัยที่เปลี่ยนไปอะไร ๆ ก็เปลี่ยนไป...น่ะ


:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2013, 22:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
อวิชาคือความมืด ใครตกอยู่ในความมืดก็ทำผิดได้ทั้งนันครับ


ช่าย..เลย :b16:

แต่ผมเห็นข้อดีของอวิชชาอยู่อย่างหนึ่ง...คือ...มันชอบสุข

และด้วยข้อดีนี้แหละ..ที่....เราจะใช้มัน :b13: :b13:

หากมันรู้ว่าทิศทางที่จะไปนี้...ทุกข์...มันจะหันเหไปทางอื่นที่คาดว่าจะสุข...เอง

เมื่อ..ไอ้นั้นก็ทุกข์...ไอ้นี้ก็ทุกข์...ทุกข์...ทุกข์...ทุกข์...มันก็เลี้ยว..เลี้ยว...เลี้ยว...จนเข้าทางสู่นิพพานในที่สุดจนได้ :b32:

นี้งั้ย...."ทุกข์พึงกำหนดรู้" :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2013, 00:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:



มันเป็นเรื่องของ อายตนะ ... น่ะ
เรื่องแสง เรื่อง 25% มันเป็นการบรรยายถึง การรับรู้ของอายตนะ ... ที่เปลี่ยนไป น่ะ
เปลี่ยนไปตามอารมณ์จิต ...

มันจะทำให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง
จิตที่ขุ่นมัว กับ ผัสสะ/อายตนะ/การรู้
กับ
จิตที่ผ่องใส กับ ผัสสะ/อายตนะ/การรู้
...
ถ้าจะเห็น...ก็มันเห็น...ปัจจัยที่เปลี่ยนไปอะไร ๆ ก็เปลี่ยนไป...น่ะ


:b1:


อนุโมทนาครับ :b44: :b8: :b8: :b8: :b44:

นำลิ้งมาเสริมให้นะครับ
:b48: http://www.med-kku.com/index.php?topic=8655071.0;wap2 :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2013, 13:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
สะท้อนมาที่โลกใน..

จิตอวิชชา..สร้างอะไร?

เพราะหลงผิดในรูป...คิดว่ารูปเป็นสิ่งดีมีความสุข..จึง
คิด...ก็คิดผิด...ผิด
ทำ...ก็ทำผิด....ผิด
จำ...ก็จำผิด..ผิด
เกิด...นิสัยที่ผิด..ผิด
เกิด...เป็นสันดานที่ผิด..ผิด
เกิด...สัณชาตญาณที่ผิด..ผิด
เกิด...ประเพณีที่ผิด..ผิด
เกิด..วัฒนธรรมที่ผิด..ผิด
เกิด..จิตสำนึกที่ผิด..ผิด
เป็น...จิตใต้สำนึกที่ผิด..ผิด

ยิ่งนานวันเข้า....สิ่งผิด..ผิด..มากขึ้นทุกวัน....แล้วก็ยึดในสิ่งที่ผิด..ผิด..แน่นไปทุกที

จักรวาลแห่งความยุ่งเหยิง...ทั้งจักรวาลนอก..ทั้งจักรวาลใน


เป็นอาสวะ4 กาม ภพ ทิฏฐิ อวิชชา

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2013, 14:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
amazing เขียน:
อวิชาคือความมืด ใครตกอยู่ในความมืดก็ทำผิดได้ทั้งนันครับ


ช่าย..เลย :b16:

แต่ผมเห็นข้อดีของอวิชชาอยู่อย่างหนึ่ง...คือ...มันชอบสุข

และด้วยข้อดีนี้แหละ..ที่....เราจะใช้มัน :b13: :b13:

หากมันรู้ว่าทิศทางที่จะไปนี้...ทุกข์...มันจะหันเหไปทางอื่นที่คาดว่าจะสุข...เอง

เมื่อ..ไอ้นั้นก็ทุกข์...ไอ้นี้ก็ทุกข์...ทุกข์...ทุกข์...ทุกข์...มันก็เลี้ยว..เลี้ยว...เลี้ยว...จนเข้าทางสู่นิพพานในที่สุดจนได้ :b32:

นี้งั้ย...."ทุกข์พึงกำหนดรู้" :b12:
ท่านเห็นขอดีของอวิชาได้ไงเนี่ย พระองค์กล่าวเราไม่เห็นประโยชน์ของสังสารวัฎฎเลยแม้แต่น้อยนิด ความสุขที่ท่านชอบนั้นมันนำมาซึ่งความทุกข์มหันต์ ท่านกบระวังจะโดนผัดเผ็ดนะครับ เดี่๋ยวจะหาว่าเมสซิ่งไม่เตือน อิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2013, 19:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


Rotala เขียน:
eragon_joe เขียน:



มันเป็นเรื่องของ อายตนะ ... น่ะ
เรื่องแสง เรื่อง 25% มันเป็นการบรรยายถึง การรับรู้ของอายตนะ ... ที่เปลี่ยนไป น่ะ
เปลี่ยนไปตามอารมณ์จิต ...

มันจะทำให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง
จิตที่ขุ่นมัว กับ ผัสสะ/อายตนะ/การรู้
กับ
จิตที่ผ่องใส กับ ผัสสะ/อายตนะ/การรู้
...
ถ้าจะเห็น...ก็มันเห็น...ปัจจัยที่เปลี่ยนไปอะไร ๆ ก็เปลี่ยนไป...น่ะ


:b1:


อนุโมทนาครับ :b44: :b8: :b8: :b8: :b44:

นำลิ้งมาเสริมให้นะครับ
:b48: http://www.med-kku.com/index.php?topic=8655071.0;wap2 :b48:


:b48: :b8: :b8: :b8: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2013, 22:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
ท่านเห็นขอดีของอวิชาได้ไงเนี่ย


นึกเล่น ๆ มันเห็นเอง.. :b32:

อ้างคำพูด:
พระองค์กล่าวเราไม่เห็นประโยชน์ของสังสารวัฎฎเลยแม้แต่น้อยนิด

ช่าย..วัฏฏสงสารไม่มีตรงไหนสุขอย่างที่อวิชชาคิดใว้เลย...และ..อวิชชาก็ไม่ใช่ตัววัฏฏสงสาร

อ้างคำพูด:
ความสุขที่ท่านชอบนั้นมันนำมาซึ่งความทุกข์มหันต์

ที่มาศึกษาปฏิบัติธรรมนี้..ก็เพราะเชื่อว่า..ธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสรู้นั้น...จะนำเราพ้นจากทุกข์ได้

ความไม่ทุกข์..นี้จะเรียกว่า..สุข...ได้มั้ย..อิอิ :b12:

อ้างคำพูด:
ท่านกบระวังจะโดนผัดเผ็ดนะครับ เดี่๋ยวจะหาว่าเมสซิ่งไม่เตือน อิอิ


โดนประจำ.... :b34: :b34: :b34:

ตอนนี้ยังโดนเรย... :b32: :b32: กะลังมีปัญหากะ..กิเลสกาม..ปฏิฆะ..อยู่นี้...มาช่วยรุมตื้บมันหน่อยดิ....เรากำลังแย่.. cry cry


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2013, 23:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


รู้เขา...รู้เรา...รบร้อยครั้ง...ก็ชนะร้อยครั้ง

เพราะเรารู้ว่าอวิชชามันชอบสุข(และก็เกลียดทุกข์ในขณะเดียวกันด้วย)....คำว่า..."ทุกข์พึงกำหนดรู้" จึงเป็นหน้าที่ที่เราต้องทำ

ห้อยเชอรี่ไม่ชอบสะเดา...ชาวนามีหน้าที่เอาน้ำสะเดาไปใส่นา...ห้อยเชอรีฉลาดกว่าอวิชชา...ตรงที่ไม่ต้องมีใครมาบอกว่านี้น้ำสะเดานะ...มันรู้ว่านี้เป็นสิ่งที่มันไม่ชอบได้เอง

แต่...อวิชชา...มันไม่รู้...ไม่รู้ว่าที่มันกำลังเป็นอยู่นี้..มันทุกข์...ไม่รู้ว่าสิ่งที่มันกำลังทำอยู่..ทำให้เกิดทุกข์

เราจึงต้องไปบอกมันว่า..เฮ่ย..นี้มันทุกข์นะโว้ย...ทุกข์นะเอ๋ง..ทุกข์นะ...บอกครั้งเดียวก็ยังไม่เก็ต...ต้องบอกมันเรื่อย ๆ จนมันเก็ต....นี้แหละเป็นเหตุผลว่าทำไม..."ทุกข์ถึงต้องกำหนดรู้"

ตอนมันเก็ตนะ...อวิชชามันจะถามเราเองว่า....ไหนสุขไปทางไหน?..ทีนี้ก็ได้โอกาสของเราที่จะล่อมันไปที่มรรค 8... :b32: :b32:

พอมันรู้ว่า มรรค 8...จะนำสุขมาให้มันนะ...แรก ๆ แม้มันไม่รู้...แต่ก็ทำตาโตแล้ว

พอมันกระโจนอยู่ในทาง มรรค 8...เมื่อทำไปซักพัก..มันเจออะไรเดียวมันก็จะถามเราเอง...

พอมันเจอสุขเวทนา...มันก็จะถามนี้ใช่สุขแล้วรึยัง...เราก็ค่อย ๆ บอกมันไปว่า..ยัง..นี้มันสุขเวทนา...เป็นสุขสร้าง..มันสุขไม่จริง....
พอมันเจอสุขในสมาธิ...เราก็ค่อยบอกมันไปว่า...ยัง...นี้มันสุขในฌาณ..ยังเป็นสุขสร้าง..ไม่ใช่สุขจริง

เป็นต้น

ปริยัติ...ก็จะมามีประโยชน์ตรงนี้...คือเป็นข้อมูลชี้แจงมันได้...หน้าที่เราคือกรอกข้อมูลอย่างเดียว

บอกมันให้ตัดไปเรื่อย ๆ ....จนสุดท้ายเหลือตัวมัน

นี้แหละ...อวิชชา...จึงเป็นสังโยชน์ข้อสุดท้ายใว้ให้เราจัดการ...ด้วยการทำความเห็นให้ตรง...บุญกิริยาวัตถุข้อสุดท้ายเช่นกัน

รู้เขา....รู้เรา...รบเมื่อไร...มีชัยเมื่อนั้น

แต่..จุ...จุ....อย่าอ่านเสียงดัง...เดียวมันจะรู้ตัวก่อน :b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2013, 06:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
รู้เขา...รู้เรา...รบร้อยครั้ง...ก็ชนะร้อยครั้ง

เพราะเรารู้ว่าอวิชชามันชอบสุข(และก็เกลียดทุกข์ในขณะเดียวกันด้วย)....คำว่า..."ทุกข์พึงกำหนดรู้" จึงเป็นหน้าที่ที่เราต้องทำ

ห้อยเชอรี่ไม่ชอบสะเดา...ชาวนามีหน้าที่เอาน้ำสะเดาไปใส่นา...ห้อยเชอรีฉลาดกว่าอวิชชา...ตรงที่ไม่ต้องมีใครมาบอกว่านี้น้ำสะเดานะ...มันรู้ว่านี้เป็นสิ่งที่มันไม่ชอบได้เอง

แต่...อวิชชา...มันไม่รู้...ไม่รู้ว่าที่มันกำลังเป็นอยู่นี้..มันทุกข์...ไม่รู้ว่าสิ่งที่มันกำลังทำอยู่..ทำให้เกิดทุกข์

เราจึงต้องไปบอกมันว่า..เฮ่ย..นี้มันทุกข์นะโว้ย...ทุกข์นะเอ๋ง..ทุกข์นะ...บอกครั้งเดียวก็ยังไม่เก็ต...ต้องบอกมันเรื่อย ๆ จนมันเก็ต....นี้แหละเป็นเหตุผลว่าทำไม..."ทุกข์ถึงต้องกำหนดรู้"

ตอนมันเก็ตนะ...อวิชชามันจะถามเราเองว่า....ไหนสุขไปทางไหน?..ทีนี้ก็ได้โอกาสของเราที่จะล่อมันไปที่มรรค 8... :b32: :b32:

พอมันรู้ว่า มรรค 8...จะนำสุขมาให้มันนะ...แรก ๆ แม้มันไม่รู้...แต่ก็ทำตาโตแล้ว

พอมันกระโจนอยู่ในทาง มรรค 8...เมื่อทำไปซักพัก..มันเจออะไรเดียวมันก็จะถามเราเอง...

พอมันเจอสุขเวทนา...มันก็จะถามนี้ใช่สุขแล้วรึยัง...เราก็ค่อย ๆ บอกมันไปว่า..ยัง..นี้มันสุขเวทนา...เป็นสุขสร้าง..มันสุขไม่จริง....
พอมันเจอสุขในสมาธิ...เราก็ค่อยบอกมันไปว่า...ยัง...นี้มันสุขในฌาณ..ยังเป็นสุขสร้าง..ไม่ใช่สุขจริง

เป็นต้น

ปริยัติ...ก็จะมามีประโยชน์ตรงนี้...คือเป็นข้อมูลชี้แจงมันได้...หน้าที่เราคือกรอกข้อมูลอย่างเดียว

บอกมันให้ตัดไปเรื่อย ๆ ....จนสุดท้ายเหลือตัวมัน

นี้แหละ...อวิชชา...จึงเป็นสังโยชน์ข้อสุดท้ายใว้ให้เราจัดการ...ด้วยการทำความเห็นให้ตรง...บุญกิริยาวัตถุข้อสุดท้ายเช่นกัน

รู้เขา....รู้เรา...รบเมื่อไร...มีชัยเมื่อนั้น

แต่..จุ...จุ....อย่าอ่านเสียงดัง...เดียวมันจะรู้ตัวก่อน :b32: :b32: :b32:
พี่กบ เรารู้เพียงสามอย่างนี้ อัสสาทะ(รสอร่อยของมัน) อาทีนวะ(เห็นโทษของมัน) นิสสารณะ(อุบายเครื่องออกพ้นจากสิ่งเหล่านี้) ท่านจะเปรียบเหมือนเนื้อที่นอนจ่มบ่วงแต่ไม่ติดบ่วง พร้อมที่จะกระโดดออกจากบ่วง)รอดตัวครับ ธรรมเพียงบทเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้เรามีความสุขตลอดไปแล้วครับ ท่านอ๊อบๆๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2013, 20:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
สุขที่แท้จริง....เป็นอย่างไร??

"สุข" ที่ไม่ใช่ เกิดแล้วดับไป
"สุข" ที่ไม่จัดเป็น "เวทนา"
"สุข" ที่เหนือไตรลักษณ์

"นิพพานัง ปรมัง สุขัง"
นั่นแหละ "สุข" ที่แท้จริง ...


:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 110 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 73 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร