วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 18:11  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2013, 17:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


ปุถุชนผู้มีกิเลสหนาแน่น ยังไม่สิ้นกิเลสสิ้นกรรมอย่างพระอรหันต์นั้น
ย่อมมีคติที่ไปเบื้องหน้าหลังจากตายแล้วไม่แน่นอน
ขึ้นอยู่กับบุญหรือบาปที่ทำไว้ว่าอย่างไหนจะได้โอกาสที่ทำให้เกิดในภพใหม่

หากบุญได้ให้โอกาสให้ผลก็จะทำให้ไปเกิดในสุคติ มีมนุษย์และเทวดาเป็นต้น
หากบาปได้ให้โอกาสได้ให้ผลก็จะทำให้ไปเกิดในทุคติ มีอบายภูมิเป็นต้น
ผู้ที่รักตนใคร่ประโยชน์แก่ตน พึงเปิดโอกาสแก่บุญ โดยการทำบุญไว้ให้มากๆเถิด
แม้พระศาสดาก็ยังกล่าวอย่างนี้ว่า

ดูก่อน! ภิกษุทั้งหลาย อายุของมนุษย์มีเพียงเล็กน้อย
และภพหน้าก็ยังต้องไปอีกจึงควรทำกุศล ควรประพฤติพรหมจรรย์
คนที่เกิดมาแล้วไม่ตายไม่มี ผู้ใดมีชีวิตอยู่ได้ยืนนาน ผู้นั้นก็มีชีวิตอยู่ได้ ๑๐๐ ปี
หรือเกินกว่าบ้าง ก็เพียงเล็กน้อย

หากไม่บำเพ็ญบุญเอาไว้ให้มาก บาปได้โอกาสทำให้เกิดในทุคติมีนรกเป็นต้นไซร้
ในคติเช่นนั้นอย่าว่าแต่จะขวนขวายเพื่อประโยชน์ในภาคหน้า และประโยชน์อย่างยิ่งๆขึ้นไป
แม้เพียงประโยชน์ในอัตภาพนี้เท่านั้นก็ทำได้ยาก เพราะอัตภาพของสัตว์ในทุคติขัดขวาง
สร้างความไม่สะดวกแก่การบำเพ็ญประโยชน์ทั้งหลายเป็นอย่างยิ่งแล

ชาวพุทธไม่ควรละเลยควรขวนขวายบำเพ็ญบุญเพื่อความที่ตน
จะได้ตั้งอยู่ในสุคติภูมิอยู่ประจำเถิด

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2013, 19:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ :b8:

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2013, 20:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2011, 10:18
โพสต์: 590

โฮมเพจ: www.bhuddhakhun.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ใครบ้างเคยนำพาต่อชีวิต
เปรียบเสมือนฟ้าหลังฝนผ่านพ้น
รัก โลภ โกรธ หลง คือกิเลส
ชวนสังเวชทุกข์ใจไม่ห่างหาย
อนิจจัง อนิจจัง

.....................................................
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2013, 05:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณกับผู้ที่โพสท์หรือผู้ติดตามอ่าน
การสร้างกรรมดี มีการให้ทานเป็นต้น ท่านเรียกว่าบุญ
เพราะเป็นเครื่องชำระจิตใจให้สะอาด เรียกอีกอย่างว่ากุศล
บุญและกุศลเป็นสิ่งเดียวกัน โดยตรงกันข้ามท่านเรียกว่าบาปหรืออกุศล

การบำเพ็ญบุญนั้นถ้าหากจะตั้งใจกันจริงๆ แล้วไซร้ ก็สามารถทำได้ทุกเวลา
ได้ทุกโอกาส แม้ว่าเวลานั้นจะปราศจากเงินทองข้าวของที่จะสละบริจาค ก็สามารถทำได้
เพราะทางตำราทางพุทธศาสาท่านกล่าวไว้ว่า บุญนั้นมีตั้ง ๑๐ อย่าง ที่เราเรียกกันว่า
บุญกริยาวัตถุ ๑๐ มิใช่มีแต่เรื่องสละบริจาคอย่างเดียวเท่านั้น อย่างที่เข้าใจกันอย่างทั่วไป

ท่านทราบเนื้อหาบุญ ๑๐ อย่างเหล่านี้แล้ว ท่านก็จะสามารถทำบุญทำบุญได้ทุกเวลา
ทุกโอกาสเลยที่เดียว เพียงแต่ว่าเราจะทำหรือไม่ทำเท่านั้น ผู้ที่รู้จักบุญดีแล้ว
แม้ว่าจะเป็นคนยากคจนขัดสนทรัพย์ ก็อาจทำบุญได้ดีกว่า ได้มากกว่าและบริสุทธิ์บริบูรณ์
กว่าเศรษฐีมีทรัพย์ผู้บริจาคได้ครั้งละมาก นับเป็นด้วยแสนหรือล้านก็ได้

เพราะบุญหลายอย่างใน ๑๐ อย่างนั้น สำเร็จได้โดยไม่เกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทอง
ข้าวของที่จะบริจาคใครๆเลย และแม้บุญที่ทำสำเร็จโดยการสละบริจาคด้วยเงินทอง
ข้าวของแก่ผู้อื่นนั้น จะชื่อว่าเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่มีอานุภาพมากมีอานิสงส์มาก
หรือบุญเล็กน้อย มีอานุภาพน้อยมีอานิสงส์อยนั้นก็หาได้เกี่ยวข้องกับจำวนเงินทอง
ทรัพย์ที่บริจาคมากหรือน้อยไม่ แต่ขึ้นอยู่กับจิตของผู้สละบริจาคนั้นเป็นสำคัญ

ก็บุญ ๑๐ อย่างที่ว่านั้น ถ้ามีโอกาสจะมากล่าวในโอกาสต่อไป>>

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2013, 09:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
ปุถุชนผู้มีกิเลสหนาแน่น ยังไม่สิ้นกิเลสสิ้นกรรมอย่างพระอรหันต์นั้น
ย่อมมีคติที่ไปเบื้องหน้าหลังจากตายแล้วไม่แน่นอน
ขึ้นอยู่กับบุญหรือบาปที่ทำไว้ว่าอย่างไหนจะได้โอกาสที่ทำให้เกิดในภพใหม่

หากบุญได้ให้โอกาสให้ผลก็จะทำให้ไปเกิดในสุคติ มีมนุษย์และเทวดาเป็นต้น
หากบาปได้ให้โอกาสได้ให้ผลก็จะทำให้ไปเกิดในทุคติ มีอบายภูมิเป็นต้น
ผู้ที่รักตนใคร่ประโยชน์แก่ตน พึงเปิดโอกาสแก่บุญ โดยการทำบุญไว้ให้มากๆเถิด
แม้พระศาสดาก็ยังกล่าวอย่างนี้ว่า

ดูก่อน! ภิกษุทั้งหลาย อายุของมนุษย์มีเพียงเล็กน้อย
และภพหน้าก็ยังต้องไปอีกจึงควรทำกุศล ควรประพฤติพรหมจรรย์
คนที่เกิดมาแล้วไม่ตายไม่มี ผู้ใดมีชีวิตอยู่ได้ยืนนาน ผู้นั้นก็มีชีวิตอยู่ได้ ๑๐๐ ปี
หรือเกินกว่าบ้าง ก็เพียงเล็กน้อย

หากไม่บำเพ็ญบุญเอาไว้ให้มาก บาปได้โอกาสทำให้เกิดในทุคติมีนรกเป็นต้นไซร้
ในคติเช่นนั้นอย่าว่าแต่จะขวนขวายเพื่อประโยชน์ในภาคหน้า และประโยชน์อย่างยิ่งๆขึ้นไป
แม้เพียงประโยชน์ในอัตภาพนี้เท่านั้นก็ทำได้ยาก เพราะอัตภาพของสัตว์ในทุคติขัดขวาง
สร้างความไม่สะดวกแก่การบำเพ็ญประโยชน์ทั้งหลายเป็นอย่างยิ่งแล

ชาวพุทธไม่ควรละเลยควรขวนขวายบำเพ็ญบุญเพื่อความที่ตน
จะได้ตั้งอยู่ในสุคติภูมิอยู่ประจำเถิด


:b8: :b8:
พิจารณาให้ดีจะเห็นว่าชีวิตที่มีความสุขสบายเป็นผลที่เกิดจากเหตุที่เป็นบุญเป็นกุศลทั้งสิ้น...
ตราบใดที่ยังไม่พ้นไปจากวัฏฏะทุกข์ ยังต้องทำกุศลให้ถึงพร้อมด้วย ทาน ศีล ภาวนา... :b41:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2013, 18:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็บุญ ๑๐ อย่างที่ว่านั้น มีดังต่อไปนี้

๑. ทาน ได้แก่ การให้ คือการสละบริจาค หรือแบ่งปันทรัพย์สินเงินทองข้าวของ เสื้อผ้า ยารักษาโรค และอาหารของๆ ตนให้แก่ผู้อื่น สำหรับคนยากคนจนขัดสน หรือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือในเรื่องนั้นๆ เพื่อสงเคราะห์ช่วยเหลือให้เขาได้ผ่อนคลายความทุกข์ความเดือดร้อนนั้นประการหนึ่ง สำหรับผู้ที่เป็นบิดามารดา ญาติผู้ใหญ่ ครูอาจารย์ เป็นต้น แม้ว่าท่านจะมิได้เป็นคนยากคนจนขัดสน ก็สละบริจาคให้แก่ท่านตามวาระอันสมควร เพื่อบูชาพระคุณประการหนึ่ง
การสละทานกระทำได้ด้วยกันทั้ง ๓ ทาง โดย ทางกาย ทางวาจา และ ทางใจ
ทางกาย นั้นก็คือการหยิบยื่นสิ่งของ ๆ ตนเพื่อให้คนอื่น ที่เรียกว่าวัตถุทาน หรือการปล่อยสัตว์ เป็นต้น
ทางวาจา เช่น สอนธรรมะ หรือบอกทางแก่ผู้จะเดินทาง หรือผู้ที่หลงทาง เป็นต้น
ทางใจ เช่น การยกโทษให้แก่คนที่มีโทษ มีความผิดในตน ไม่ถือโทษ ไม่ถือโกรธ ไม่ถือสาในความผิดนั้น การให้ชีวิตสัตว์ คือไม่ฆ่า แม้กระทั้งโอกาสที่จะฆ่าและสามารถฆ่าได้ ก็ดี ก็จัดว่าเป็นทาน ท่านเรียกว่าอภัยทาน

๒. ศีล ได้แก่ ความสำรวม กาย วาจา ไม่ปะพฤติละเมิดทางกายและวาจา อันจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตองและผู้อื่น โดยการฆ่าบ้าง ลักทรัพย์บ้าง เป็นต้น โดยการสมาทานสิกขาบท ๕ มีการงดเว้นการฆ่าสัตว์เป็นต้น หรือแม้แต่สิกขาบท ๘ เป็นต้น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2013, 04:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


๓. ภาวนา คือ การเจริญสมาธิ ทำจิตให้ตั้งมั่นในอารมณ์เดียว ที่เรียกว่าสมถภาวนา
เพื่อประโยชน์แก่การ ระงับนิวรณ์ อันเป็นกิเลสที่กลุ้มรุมจิต และการเจริญปัญญา
รู้สังขารทั้งหลายตามความเป็จริง ที่เรียกว่า วิปัสสนาภาวนา
เพื่อประโยชน์แก่การละอนุสัยกิเลส อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ ในสังสาวัฏฏ์

ก็แลสมถภาวนา ที่บุคคลปรารภแล้วบำเพ็ญติดต่อกัน
ถ้าหากไม่อาจบรรลุถึงฌาณ(อัปปนาฌาน) ก็ย่อม
เป็นไปเพื่อประโยชน์ในโลกหน้า คือเข้าถึงสุคติขั้นต่ำคือมนุษย์หรือเทวดา
แต่ถ้าหากบรรลุฌานได้ และฌานนั้นไม่เสื่อม ก็ย่อมเป็นไปในประโยชน์ภาคหน้า
คือการเข้าถึงสุคติขั้นสูง คือรูปพรหม อรูปพรหมตามสมควรแก่ฌานที่ได้

ส่วนวิปัสสนาภาวนาที่บุคคลปรารภแล้ว บำเพ็ญดีแล้วติดต่อกันแม้จะนับว่าเพื่อประโยชน์อย่างยิ่ง
คือทำให้บรรลนิพพานตามประการต่าง ตามประการต่างๆแล้ว ในเรื่องประโยชน์ ๓ อย่างข้างต้น
แต่ถ้าหากไม่อาจทำให้ก้าวหน้าไปจนบรรลุถึงมรรคได้ในอัตภาพนี้นั้น ก็ย่อมเป็นเหตุให้เข้าถึงสุคติ
โลกสวรรค์ในอัตภาพที่ถัดไปได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็นับว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์ในโลกหน้านั่นแหละก่อน
จริงอยู่ การกระทำที่เป็นประโยชน์สูงกว่า ย่อมครอบงำการกระทำไปเพื่อประโยชน์ที่ต่ำกว่า

๔. อปจายนะ ความประพฤตินอบน้อม ทางกาย และทางวาจา ต่อผู้อื่น ซึ่งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่
หรือผู้ที่ควรบูชายกย่องเป็นต้น โดยการกราบไหว้เป็นต้น ความว่าเป็นผู้มีสัมมาคารวะตามสมควร
แก่การกระทำได้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2013, 04:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


๕. ไวยาวัจจะ คือการขวนขวายในกิจที่ควรทำทั้งหลาย ไม่เพิกเฉย
ด้วยกาบวาจาของตน ในอันอนุเคราะห์ช่วยเหลือห้ผู้อื่นได้รับความไม่สะดวก เป็นต้น
ในคราวนั้นๆ มีการบอกเส้นทางแก่ผู้ไม่รู้จักทาง ช่วยแรงยกของหนัก
เก็บสิ่งของที่ขวางทางเดินออก ช่วยเหลือกิจการของวัด เป็นต้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กิจที่ควรทำให้แก่ผู้มีพระคุณ
มีการเตรียมหาอาหารไว้ให้บิดามารดา ปัดกวาดที่พักที่อาศัย
ช่วยทำธุระต่างๆแทนท่าน การแบ่งเบาภาระของครูบาอาจารย์
การตั้งน้ำฉันน้ำใช้สำหรับของพระอุปัชฌาอาจารย์ เป็นต้น

. ปัตติทาน ได้แก่ การให้บุญที่ตนถึงแล้ว คือทำแล้วแก่ผู้อื่น
คืออย่างที่ชอบพูดกันว่าอุทิศส่วนกุศลนั่นเอง ความว่าเป็นการตั้งความปรารถนา
ขอให้ผู้อื่นมีส่วนแห่งบุญที่ตนได้ทำแล้ว ดุจผู้นั้ได้ทำเองเลยที่เดียว

๗. ปัตตานุโมทนา ได้แก่ การอนุโมทนา คือยินดีด้วย
ในบุญที่ผู้อื่นได้กระทำแล้ว ความว่า เมื่อได้เห็น หรือได้ยินได้ทราบข่าว เขาทำบุญ
ทำกรรมดีนั้นๆ ก็พลอยยินดีในการกระทำของเขา ดุจตนเป็นผู้ทำบุญเองเลยที่เดียว

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2013, 20:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: อนุโมทนา

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2013, 06:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
:b8: อนุโมทนา

อนุโมทนานี้ อยู่ในข้อที่ ๗ คือ ปัตตาโมทนา
เพียงเราอนุโมทนากับผู้ที่ ทำดี พูดดี คิดดี น้อมระลึกไปกับผู้ที่กระทำความดี
เท่านั้นก็เป็นบุญกับเราแล้วไม่ต้องลงทุนลงแรงมากนัก บุญที่ได้จากการอนุโมทนานั้น
จัดว่ายังเป็นบุญชั้นสูง การอนุโมทนานั้นดูเหมือนว่าจะกระทำกันได้ง่ายๆ
แค่พูดว่าอนุโมทนาเท่านั้น ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ หากว่าเราเพียงแต่พูดอย่างเดียว
บุญจากการอนุโมทนานั้นก็จะหาสำเร็จไม่ การอนุโมทนานั้นต้องน้อมจิตให้เป็นกุศลด้วย
คือเห็นเป็นความดีของผู้กระทำด้วย
อาจในบางครั้งมีผู้มาบอกว่าวันนี้เขาได้กระทำบุญมาแล้ว จะมาแบ่งบุญให้ อนุโทนากันด้วยนะ
ถ้าจิตเราไม่น้อมไปในกุศลของผู้ที่มาบอก จิตก็เฉยๆเสีย แต่ปากพูดว่าอนุโมทนาด้วย
หรือยิ่งแย่ไปกว่านั้นจิตยังคิดไปว่าทำบุญแค่นี้ก็เอามาอวด เป็นต้น บุญนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2013, 14:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


๘. ธรรมะสวนะ ได้แก่ การฟังธรรม โดยมุ่งหมายจะนำความรู้ที่เกิดจากการฟัง
ไปใช้ในการดำเนินชีวิตให้ปกติสุขปราศจากโทษทั้งหลาย หรือใช้ปฏิบัติเพื่อขัดเกลากิเลส
แม้วิทยาการต่างๆทางโลก ที่ปราศจากโทษ ก็สงเคราะห์เข้าในบุญอันนี้ได้
๙. ธรรมเทศนา ได้แก่ การแสดงธรรม กล่าวคือ เมื่อตนเองได้สดับ ได้เรียนจนเกิดความรู้
ความเข้าใจแล้วก็เผยแพร่ธรรมนั้นให้ผู้อื่นรู้ได้สดับรับฟังต่อไป โดยมีจิตมุ่งหมายประโยชน์สุข
ของคนเหล่านั้นเป็นสำคัญ ปราศจากการเพ่งถึงผลตอบแทนที่ตนเองจะพึงได้รับ
แม้การแสดงการสอนวิทยาการทางโลก อันหาโทษมิได้ก็สงเคราะห์เข้าในบุญข้อนี้ด้วย
๑๐. ทิฎฐุชุกรรม คือการทำความเห็นให้ตรง พูดง่ายๆว่า ทำความเห็นให้เป็นสัมมาทิฏฐิ
ความเห็นชอบโดยนัยว่า ทานที่บุคคลให้แล้ว ย่อมมีผล เป็นต้น หมายความว่า มีความเห็นถูกต้อง
ในเรื่องกรรม ทำนองว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน ทำกรรมชั่ว ก็ย่อมได้รับผลแห่งกรรมชั่ว
ทำกรรมดี ก็ย่อมได้รับกรรมดี เป็นต้นฉะนี้แล
:b8: :b8: :b8:

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2013, 15:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: อนุโมทนาค่ะคุณลุงหมาน

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2013, 18:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


ปลีกวิเวก เขียน:
:b8: อนุโมทนาค่ะคุณลุงหมาน

ขอบคุณครับ คุณปลีกวิเวก
บุญนั้นจะติดตามเหมือนเงาของบุคคลนั้น
เหมือนมารดาที่จะคอยอุปถัมภ์บุตรของตนฉะนั้นแล

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2018, 13:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็บุญ ๑๐ อย่างนี้ท่านเรียกว่าบุญกิริยาวัตถุ ๑๐
เพราะบุญเป็นเครื่องชำระจิตให้สะอาด เป็นกิริยาเป็นสิ่งที่ควรทำด้วย
ขึ้นชื่อว่าบุญกิริยาหรือการกระทำความดีเหล่านี้ จะพ้นไปจากบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ไม่ได้เลย
ผู้หวังความปลอดโปร่ง ซึ่งเป็นผู้กลัวบาป กลัวผลของบาป
ไม่ต้องการให้จิตของตนเกลือกกลั้วในบาป ต้องการให้อยู่ในบุญเท่านั้น
อันจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ทั้งปวง ไม่ใช่ประโยชน์เฉพาะอย่างเท่านั้น
พระพุทธองค์จึงทรงแสดงบุญกิริยาวัตถุทั้งหลายไว้
โดยอนุโลมตามอัธยาศัยแห่งเวไนยสัตว์ ผู้สามารถจะปฏิบัติเพื่อประโยชน์นั้นๆได้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2021, 21:10 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 17 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร