วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 02:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=22



กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2013, 19:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มิ.ย. 2004, 01:20
โพสต์: 1785


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

พระประวัติและปฏิปทา
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)
พุทธศักราช ๒๓๒๕-๒๓๓๗


วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร
แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร


:b44: หัวข้อ

• พระประวัติในเบื้องต้น
• ทรงถูกถอดจากตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช
• ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชครั้งที่ ๒
• พระกรณียกิจสำคัญ : การสังคายนาพระไตรปิฎก
• พระอวสานกาล
• ประวัติและความสำคัญของวัดระฆังโฆสิตาราม
o ศาสนสถานและศาสนวัตถุสำคัญภายในวัด
o พระอุโบสถ
o หอระฆัง
o หอพระไตรปิฎก (ตำหนักจันทร์)
o พระปรางค์ใหญ่
o เจดีย์เจ้าสามกรม
o พระวิหารเดิม
o ศาลาการเปรียญ
o ตำหนักทอง
o ตำหนักแดง
o ตำหนักเก๋ง
o พระวิหารสมเด็จพระสังฆราช (ศรี)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2013, 19:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มิ.ย. 2004, 01:20
โพสต์: 1785


 ข้อมูลส่วนตัว www


พระประวัติในเบื้องต้น

สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
มีพระนามเดิมว่า “ศรี” (บางตำราเขียนว่า “สี”)
พระประวัติในเบื้องต้นมีความเป็นมาอย่างไรไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด
ทราบแต่เพียงว่า เดิมเป็นเพียง พระอาจารย์ศรี ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ
อยู่ที่วัดพนัญเชิง อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในแผ่นดินพระเจ้าเอกทัศน์
พระสงฆ์ถูกฆ่า วัดวาอาราม พระไตรปิฎก ถูกเผาทำลายวอดวายจนสิ้นเชิง
พระภิกษุสามเณรต่างก็พากันหลบภัยไปอยู่ตามวัดต่างๆ ในต่างจังหวัด
พระอาจารย์ศรีก็ได้หลบภัยสงครามไปจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง
ในเมืองนครศรีธรรมราช ที่ซึ่งพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาโดยตลอด

ครั้นต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๑๒ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงยกทัพ
ไปปราบก๊กเจ้านครซึ่งตั้งตัวเป็นใหญ่ ที่เมืองนครศรีธรรมราช
จึงได้อาราธนาพระอาจารย์ศรี ขึ้นมาจำพรรษาอยู่ ณ วัดบางหว้าใหญ่
(ปัจจุบันคือ วัดระฆังโฆสิตาราม) เนื่องด้วยทรงคุ้นเคยและรู้จักเกียรติคุณ
ของพระอาจารย์ศรี มาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา
ในขณะนั้น พระอาจารย์ดี ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชอยู่ก่อน
แต่ต่อมาภายหลัง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงทราบว่า
พระอาจารย์ดีเคยบอกที่ซ่อนทรัพย์ของผู้อื่นให้แก่พม่าเมื่อเวลาถูกขังอยู่
จึงโปรดให้ถอดออกจากตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช
แล้วได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา พระอาจารย์ศรี
ขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช แทน ในพ.ศ. ๒๓๑๒ นั้นเอง
นับเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๒ แห่งกรุงธนบุรี


ทรงถูกถอดจากตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช

ครั้นถึง พ.ศ. ๒๓๒๔ อันเป็นปีสุดท้ายแห่งรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ได้ถูกถอดจากตำแหน่งเนื่องจากได้ถวายวิสัชนาร่วมกับ
พระพุฒาจารย์ วัดบางหว้าน้อย (วัดอมรินทราราม)
และพระพิมลธรรม วัดโพธาราม (วัดพระเชตุพนหรือวัดโพธิ์)
เรื่องพระสงฆ์ปุถุชนไม่ควรไหว้คฤหัสถ์ที่เป็นอริยบุคคล
เนื่องจากคฤหัสถ์เป็นหินเพศต่ำ พระสงฆ์เป็นอุดมเพศที่สูง
เพราะทรงผ้ากาสาวพัสตร์และพระจาตุปาริสุทธิศีลอันประเสริฐ ดังความว่า

“ถึงมาตรว่าคฤหัสถ์เป็นพระโสดาก็ดี แต่เป็นหินเพศต่ำ
อันพระสงฆ์ ถึงเป็นปุถุชน ก็ตั้งอยู่ในอุดมเพศอันสูง
เหตุทรงผ้ากาสาวพัสตร์ และพระจตุปาริสุทธิศีลอันประเสริฐ
ซึ่งจะไหว้นบคฤหัสถ์ อันเป็นพระโสดานั้นก็บ่มิควร”


ข้อวิสัชนาดังกล่าวนี้ไม่ต้องพระทัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
พระองค์จึงให้ถอดเสียจากตำแหน่งพระสังฆราช ลงมาเป็นพระอนุจร (พระธรรมดา)
แล้วทรงตั้งพระโพธิวงศ์ เป็นสมเด็จพระสังฆราช
และตั้งพระพุทธโฆษาจารย์ เป็นพระวันรัต
เหตุการณ์ครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)
และพระราชาคณะทั้งสองรูปดังกล่าว เป็นพระเถระที่เคร่งครัดมั่นคงในพระธรรมวินัย
แม้จะต้องเผชิญกับราชภัยอันใหญ่หลวงก็มิได้หวั่นไหว
นับเป็นพระเกียรติคุณที่สำคัญประการหนึ่งของสมเด็จพระสังฆราชพระองค์นั้น

รูปภาพ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
รัชกาลที่ ๑ แห่งบรมราชจักรีวงศ์



ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชครั้งที่ ๒

ครั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ทรงปราบดาภิเษกและสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คืนสมณฐานันดรศักดิ์และตำแหน่งดังเดิม
ให้แก่ สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)
ดังมีรายละเอียดบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดาร ดังนี้

“ทรงพระราชดำริว่า ฝ่ายข้างอาณาจักรได้แต่งตั้งข้าราชการตามตำแหน่งเสร็จแล้ว
ควรจะจัดการข้างฝ่ายพุทธจักร ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
ซึ่งเสื่อมทรุดเศร้าหมองนั้นให้วัฒนารุ่งเรืองสืบไป
จึงดำรัสให้สึกพระวันรัต (ทองอยู่) กับพระรัตนมุนี (แก้ว) ออกเป็นฆราวาส
ดำรัสว่าเป็นคนอาสัตย์สอพลอทำให้เสียแผ่นดิน.....ดำรัสให้
สมเด็จพระสังฆราช พระพุฒาจารย์ และพระพิมลธรรม
ซึ่งเจ้ากรุงธนบุรีให้ลงโทษถอดเสียจากพระราชาคณะ เพราะไม่ยอมถวายบังคมนั้น
โปรดให้คงที่สมณฐานันดรศักดิ์ดังเก่า ให้คืนไปอยู่ครองพระอารามตามเดิม

และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และกรมพระราชวังบวรสถานมงคล
ดำรัสสรรเสริญว่า พระผู้เป็นเจ้าทั้งสามพระองค์นี้ มีสันดานสัตย์ซื่อมั่นคง
ดำรงรักษาพระพุทธศาสนาโดยแท้ มิได้อาลัยแก่ร่างกายและชีวิต
ควรเป็นที่นับถือไหว้นบเคารพสักการบูชา แม้มีข้อสงสัยสิ่งใดในพระบาลีไปภายหน้า
จะให้ประชุมพระราชาคณะไต่ถาม ถ้าพระผู้เป็นเจ้าทั้งสามว่าอย่างไรแล้ว
พระราชาคณะอื่นๆ จะว่าอย่างอื่นไป ก็คงจะเชื่อถ้อยคำพระผู้เป็นเจ้าทั้งสาม
ซึ่งจะเชื่อถือฟังความตามพระราชาคณะอื่นๆ
ที่เป็นพวกมากนั้นหามิได้ ด้วยเห็นใจเสียครั้งนี้แล้ว”


ความในพระราชดำรัสดังปรากฏในพระราชพงศาวดารข้างต้นนี้
ย่อมเป็นที่ประจักษ์ว่า สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) เป็นที่ทรงเคารพนับถือ
ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
และสมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคลเป็นอันมาก

ทั้งเป็นที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยในการที่จะฟื้นฟูทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
ให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป เป็นปัจจัยประการหนึ่งที่ทำให้ทรงพระราชดำริ
ในอันที่จะทำสังคายนาพระธรรมวินัยให้บริสุทธิ์บริบูรณ์
เพื่อเป็นหลักของพระพุทธศาสนาในพระราชอาณาจักร ยั่งยืนสืบไปชั่วกาลนาน
และโดยที่เป็นที่ทรงเคารพนับถือและเป็นที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยดังกล่าวแล้ว

จึงกล่าวได้ว่า สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) คงจักทรงเป็นกำลังสำคัญ
ในการชำระและฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในครั้งรัชกาลที่ ๑ เป็นอย่างมาก
ทั้งในด้านความประพฤติปฏิบัติของพระภิกษุสามเณร
การบูรณปฏิสังขรณ์พุทธสถาน การชำระตรวจสอบพระไตรปิฎกให้ถูกถ้วนบริบูรณ์

ตลอดถึงในด้านความประพฤติปฏิบัติในทางที่ถูกที่ควรของพุทธศาสนิกชนทั่วไป
ดังจะเห็นได้ว่าในระหว่างที่ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)
ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชนั้น
ได้ทรงมีพระราชปุจฉาเกี่ยวกับการพระศาสนาด้านต่างๆ
ไปยังสมเด็จพระสังฆราชมากกว่า ๕๐ เรื่อง
สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) พร้อมด้วยพระสงฆ์ราชาคณะ
ก็ได้ถวายพระพรแก้พระราชปุจฉา เป็นที่ต้องตามพระราชประสงค์ทุกประการ

สิ่งแสดงถึงพระราชศรัทธาเคารพนับถือใน
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชที่ทรงมีต่อ
สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) อีกประการหนึ่งก็คือ
เมื่อทรงตั้งเป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้วได้โปรดเกล้าฯ
ให้รื้อตำหนักทองของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีไปปลูกเป็นกุฎีถวาย ณ วัดบางว้าใหญ่
แต่น่าเสียดายที่ตำหนักทองนี้ถูกไฟไหม้เสียเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๓

(มีต่อ ๑)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2013, 19:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มิ.ย. 2004, 01:20
โพสต์: 1785


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
ตู้พระไตรปิฎกลายรดน้ำ


พระกรณียกิจสำคัญ : การสังคายนาพระไตรปิฎก

เป็นที่ประจักษ์ว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ทรงปราบดาภิเษกเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ
เป็นปฐมรัชกาลแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์แล้ว
พระราชกรณียกิจประการแรกที่ทรงกระทำก็คือ
การจัดสังฆมณฑลและฟื้นฟูพระพุทธศาสนา
ที่เสื่อมทรุดมาแต่การจลาจลวุ่นวายของบ้านเมือง
แต่ครั้งเสียกรุงศรีอยุธยา จนถึงครั้งกรุงธนบุรี

ในด้านสังฆมณฑลนั้นก็ทรงกำจัดอลัชชีภิกษุ และทรงตรากฎพระสงฆ์ขึ้น
เพื่อป้องกันมิให้พระภิกษุสามเณรประพฤตินอกพระธรรมวินัย
และมีความประพฤติกวดขันในพระธรรมวินัยยิ่งขึ้น

ในด้านทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญมั่นคง ก็โปรดเกล้าฯ
ให้รวบรวมพระไตรปิฎกบรรดาฉบับที่มีทั้งที่เป็นอักษรลาว อักษรรามัญ
ตรวจชำระแล้วแปลงเป็นอักษรขอม จารึกลงลานสร้างไว้ให้ครบถ้วน
ประดิษฐานไว้ ณ หอพระมนเทียรธรรม
พร้อมทั้งโปรดให้สร้างคัมภีร์พระไตรปิฎก
ถวายพระสงฆ์สำหรับเล่าเรียนไว้ทุกๆ พระอารามหลวง
สิ้นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ไปเป็นอันมาก

ต่อมาทรงพระราชดำริเห็นว่า พระไตรปิฎกที่โปรดเกล้าฯ
ให้สร้างขึ้นเมื่อต้นรัชกาลนั้น ยังบกพร่องตกหล่นอยู่เป็นอันมาก
ทั้งพยัญชนะและเนื้อความ อันเนื่องมาจากความวิปลาสตกหล่นของต้นฉบับเดิม
จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้คณะสงฆ์ประชุมสังคายนาตรวจชำระพระไตรปิฎกขึ้น

เหตุการณ์สำคัญครั้งนี้เกิดขึ้นในปีที่ ๖
แห่งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
นับเป็น การสังคายนาครั้งที่ ๒ ในราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. ๒๓๓๑)
(ครั้งแรกทำที่นครเชียงใหม่สมัยพระเจ้าติโลกราชมหาราชแห่งอาณาจักรล้านนา)
และ นับเป็นครั้งแรกในยุคกรุงรัตนโกสินทร์
(ครั้งที่ ๒ ทำในสมัยรัชกาลที่ ๙ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๐)

ทั้งนี้ได้มีการอาราธนาสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะให้ดำเนินการ
สมเด็จพระสังฆราชได้เลือกพระราชาคณะฐานานุกรม เปรียญอันดับ
ที่เล่าเรียนพระไตรปิฎกได้พระสงฆ์ ๒๑๘ รูป กับราชบัณฑิตยาจารย์ ๓๒ คน
ทำการสังคายนาที่ วัดนิพพานาราม (วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์)
แบ่งพระสงฆ์ออกเป็น ๔ กอง ดังนี้

สมเด็จพระสังฆราช เป็นแม่กองชำระพระสุตตันปิฎก
พระวันรัต เป็นแม่กองชำระพระวินัยปิฎก
พระพิมลธรรม เป็นแม่กองชำระพระสัททาวิเศส
พระธรรมไตรโลก เป็นแม่กองชำระพระปรมัตถปิฎก


รูปภาพ

การชำระพระไตรปิฎกครั้งนี้ใช้เวลา ๕ เดือน ได้จารึกพระไตรปิฎกลงลานใหญ่
แล้วปิดทองทึบ ทั้งปกหน้าปกหลัง และกรอบ เรียกว่า ฉบับทอง
ทำการสมโภช แล้วอัญเชิญเข้าประดิษฐานในตู้ประดับมุก
ตั้งไว้ในหอพระมณเทียรธรรม กลางสระในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

อนึ่ง การทำสังคายนาพระไตรปิฎกเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๑ นั้น
ได้มีบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ อย่างละเอียด
ควรแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง จึงขอนำมากล่าวในที่นี้
ตามความที่ปรากฏในพระราชพงศาวดาร ดังนี้

“ในปีวอก สัมฤทธิศก นั้น พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัว
ทรงพระราชรำพึงถึงพระไตรปิฎกธรรม อันเป็นมูลรากแห่งพระปริยัติศาสนา
ทรงพระราชศรัทธาพระราชทานพระราชทรัพย์เป็นอันมาก
ให้เป็นค่าจ้างลานจารึกพระไตรปิฎกลงลาน แต่บรรดามีฉบับในที่ใดๆ
ที่เป็นอักษรลาว อักษรรามัญก็ให้ชำระแปลงออกเป็นอักษรขอม สร้างขึ้นไว้ในตู้
ณ หอพระมนเฑียรธรรม และสร้างพระไตรปิฎกถวายพระสงฆ์ให้เล่าเรียน
ทุกๆ พระอารามหลวงตามความปรารถนา

จึงจมื่นไวยวรนารถกราบทูลว่า พระไตรปิฎกซึ่งทรงพระราชศรัทธาสร้างขึ้นไว้ทุกวันนี้
อักขระบทพยัญชนะตกวิปลาสอยู่แต่ฉบับเดิมมา
หาผู้จะทำนุบำรุงตกแต้มดัดแปลงให้ถูกต้องบริบูรณ์ขึ้นมิได้

ครั้นได้ทรงสดับจึงทรงพระปรารภว่าพระบาลีและอรรถกถาฎีกาพระไตรปิฎกทุกวันนี้
เมื่อและผิดเพี้ยนวิปลาสอยู่เป็นอันมากฉะนี้ จะเป็นเค้ามูลพระศาสนากระไรได้
อนึ่งท่านผู้รักษาพระไตรปิฎกมีอยู่ทุกวันนี้ก็น้อยนัก
ถ้าสิ้นท่านเหล่านี้แล้วเห็นว่าพระปริยัติศาสนา
และปฏิบัติศาสนาและปฏิเสธศาสนาจะเสื่อมสูญเป็นอันเร็วนัก
สัตว์โลกทั้งปวงจะหาที่พึ่งบ่มิได้ในอนาคตภายหน้า
ควรจะทำนุบำรุงพระบวรพุทธศาสนาไว้ให้ถาวรวัฒนาการ
เป็นประโยชน์แก่เทพดามนุษย์ทั้งปวงจึงจะเป็นทางพระบรมโพธิญาณบารมี

ทรงพระราชดำริฉะนี้แล้ว จึงดำรัสให้ประชุมพระราชวงศานุวงศ์
มีสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคลเป็นประธาน
ในพระที่นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาท
ให้อาราธนาสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะฐานานุกรม เปรียญ ๑๐๐ รูป
มารับพระราชทานฉัน ครั้นเสร็จสังฆภัตกิจแล้ว
พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัว

จึงทรงถวายนมัสการดำรัสเผดียงถามพระราชาคณะทั้งปวงว่า
พระไตรปิฎกธรรมทุกวันนี้ ยังถูกต้องบริบูรณ์อยู่หรือพิรุธผิดเพี้ยนประการใด

จึงสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะทั้งปวงพร้อมกันถวายพระพรว่า
พระบาลีและอรรถกถาฎีกาพระไตรปิฎกทุกวันนี้พิรุธมาช้านานแล้ว
หากษัตริย์พระองค์ใดจะทำนุบำรุงให้เป็นศาสนูปถัมภกมิได้
แต่กำลังอาตมภาพทั้งปวงก็คิดจะใคร่ทำนุบำรุงอยู่ แต่เห็นจะไม่สำเร็จ
และกาลเมื่อสมเด็จพระสรรเพชญพระพุทธองค์ผู้ทรงทศอรหาทิคุณอันประเสริฐ
เมื่อพระองค์บรรทมเหนือพระปรินิพพานมัญจพุทธอาสน์ เป็นอนุฏฐานะไสยาสน์
ณ ระหว่างนางรังทั้งคู่ ในสาลวโนทยานของพระเจ้ามลราช ใกล้กรุงกุสินารานคร
มีพระพุทธฎีกาตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

ดูกรสงฆ์ทั้งปวง พระธรรมวินัยอันใดทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
อันพระตถาคตเทศนาสั่งสอนท่าน เมื่อพระตถาคตนิพพานแล้ว
พระธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้นจะเป็นครูสั่งสอนท่าน
และสรรพสัตว์ทั้งปวงต่างองค์พระตถาคตสืบไป
พระองค์ตรัสมอบพระพุทธศาสนาไว้อาศัยพระปริยัติธรรมฉะนี้แล้ว
ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน

จำเดิมแต่สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้านิพพานถวายพระเพลิงแล้วได้ ๗ วัน
พระมหากัสสปเถรเจ้าระลึกถึงคำพระสุภัททภิกษุ
ว่ากล่าวติเตียนพระบรมศาสดาเป็นมูลเหตุ
จึงดำริการจะทำสังคายนา เลือกสรรพระภิกษุทั้งหลาย
ล้วนพระอรหันต์ทรงพระจตุปฏิสัมภิทาญาณ
กับพระอานนท์เป็นเสกขบุคคลพระองค์หนึ่ง
ซึ่งได้พระอรหัตในราตรีรุ่งขึ้นวันจะสังคายนา พอครบ ๕๐๐ พระองค์
มีพระเจ้าอชาตศัตรูราชเป็นศาสนูปถัมภก
ทำสังคายนาพระไตรปิฎกในพระมณฑปแถบถ้ำสัตตบรรณคูหา
ณ เขาเวภารบรรพต ใกล้กรุงราชคฤห์มหานคร ๗ เดือน
จึงสำเร็จการปฐมสังคายนา

ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาแล้วได้ ๑๐๐ ปี พระภิกษุชาววัชชีคามเป็นอลัชชี
สำแดงวัตถุ ๑๐ ประการ กระทำผิดพระวินัยบัญญัติ
และพระมหาเถรขีณาสพ ๘ พระองค์ มีพระยศเถรเป็นต้น
พระเรวัตตเถรเป็นปริโยสาน ชำระทศวัตถุอธิกรณ์๑๐ ประการ
ให้ระงับยังพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์
แล้วเลือกสรรพระอรหันต์อันทรงพระปฏิสัมภิทาญาณ ๗๐๐ พระองค์
มีพระสัพพกามีเถรเจ้าเป็นประธาน
ทำสังคายนาพระไตรปิฎกในวาลุการามมหาวิหารใกล้กรุงเวสาลี
พระเจ้ากาลาโศกราชเป็นศาสนูปถัมภก ๘ เดือนจึงสำเร็จการทุติยสังคายนา

ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาถึง ๒๑๘ ปี ครั้งนั้นเหล่าเดียรถีย์เข้าปลอมบวชในพระศาสนา
จึงพระโมคคลีบุตรดิศเถรยังพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชให้เรียนรู้ในพุทธสมัย
แล้วชำระสึกเดียรถีย์เสีย ๖๐,๐๐๐ ยังพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์
แล้วพระโมคคลีบุตรดิศเถรจึงเลือกพระอรหันต์อันทรงพระปฏิสัมภิทาญาณ ๑,๐๐๐
พระองค์ทำสังคายนาพระไตรปิฎกในอโสการามวิหาร ใกล้กรุงปาตลีบุตรมหานคร
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชเป็นศาสนูปถัมภก ๙ เดือน จึงสำเร็จตติยสังคายนา

ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาถึง ๒๓๘ ปีจึงพระมหินเถรเจ้าออกไปลังกาทวีป
บวชกุลบุตรให้เล่าเรียนพระปริยัติธรรม คือหยั่งรากพระพุทธศาสนาลงในลังกาแล้ว
พระขีณาสพทั้ง ๓๘ พระองค์มีพระมหินทรเถรและพระอริฏฐเถรเป็นประธาน
กับพระสงฆ์ซึ่งทรงพระปริยัติธรรม ๑,๑๐๐ รูปทำสังคายนาพระไตรปิฎก
ในมณฑปถูปารามวิหารใกล้กรุงอนุราธบุรี
พระเจ้าเทวานัมปิยดิศเป็นศาสนูปถัมภก ๑๐ เดือน จึงสำเร็จการจตุตถสังคายนา

ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาถึง ๔๓๓ ปี
ครั้งนั้นพระอรหันต์ทั้งปวงในลังกาทวีปพิจารณาเห็นว่าพระพุทธศาสนาจะเสื่อมลง
เพราะพระสงฆ์ซึ่งทรงพระไตรปิฎกให้ขึ้นปากเจนใจนั้นเบาบางลงกว่าแต่ก่อน
จึงเลือกพระอรหันต์อันทรงปฏิสัมภิทาญาณ
และพระสงฆ์บุถุชนผู้ทรงพระปริยัติธรรมมากกว่า ๑,๐๐๐ ประชุมกัน
ในมหาวิหารใกล้เมืองอนุราธบุรี
พระเจ้าวัฏฏคามินีอภัยเป็นศาสนูปถัมภก ทำมณฑปถวายให้ทำการสังคายนา
คือจารึกพระไตรปิฎกลงในใบลาน ทั้งพระบาลีและอรรถกถาเป็นสิงหฬภาษา
ปี ๑ จึงสำเร็จการปัญจมสังคายนา

ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาถึง ๙๕๖ ปี
จึงพระพุทธโฆษาจารย์เจ้าออกไปแต่ชมพูทวีป
แปลพระไตรปิฎกอันเป็นสิงหฬภาษาออกเป็นมคธภาษา
แล้วจารึกลงในใบลานใหม่ในโลหปราสาทเมืองอนุราธบุรี
พระเจ้ามหานามเป็นศาสนูปถัมภก
ปี ๑ จึงสำเร็จ นับเนื่องเข้าในฉัฐมสังคายนา

ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาถึง ๑,๕๘๗ ปี
ครั้งนั้นพระเจ้าปรากรมพาหุราชได้เสวยราชสมบัติในลังกาทวีป
ย้ายพระนครจากอนุราธบุรีมาตั้งอยู่เมืองปุรัตถิมหานคร
จึงพระกัสสปเถรเจ้า กับพระสงฆ์บุถุชนผู้ทรงธรรมวินัย
ประชุมกันชำระพระไตรปิฎกชึ่งเป็นสิงหฬภาษาบ้าง มคธบ้าง ปะปนกันอยู่
ให้แปลงแปลออกเป็นมคธภาษาทั้งสิ้น แล้วจารึกลงลานใหม่
พระเจ้าปรากรมพาหุราชเป็นศาสนูปถัมภก
ปี ๑ จึงสำเร็จบริบูรณ์ นับเนื่องเข้าในสัตตมสังคายนา

เบื้องหน้าแต่นั้นมา จึงพระเจ้าธรรมานุรุธผู้เสวยราชสมบัติ ณ เมืองอริมัตถบุรี
คือเมืองภุกาม ออกไปจำลองพระไตรปิฎกในลังกาทวีปเชิญลงสำเภามายังชมพูทวีปนี้
แต่นั้นมาพระปริยัติธรรมจึงแผ่ไพศาลไปในนานาประเทศทั้งปวง
บรรดาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ นับถือพระรัตนตรัยนั้น ได้จำลองต่อๆ กันไป
เปลี่ยนแปลงอักษรตามประเทศภาษาของตนๆ ก็ผิดเพี้ยนวิปลาสไปบ้าง
ทุกๆ พระคัมภีร์ที่มากบ้าง ที่น้อยบ้าง

ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาได้ ๒,๐๒๐ ปี
จึงพระธรรมทินเถรเจ้าผู้เป็นมหาเถรอยู่ ณ เมืองนพีสีนคร คือเมืองเชียงใหม่
พิจารณาเห็นว่าพระไตรปิฎกพิรุธมากทั้งบาลีและอรรถกถาฎีกา
จึงถวายพระพรแก่พระเจ้าศิริธรรมจักรวรรดิ์ดิลกราช
ซึ่งเสวยราชสมบัติ ณ เมืองเชียงใหม่ว่า

จะชำระพระปริยัติธรรมให้บริบูรณ์
พระเจ้าสิริธรรมจักรวรรดิ์ดิลกราชจึงให้กระทำ
พระมณฑปในมหาโพธารามวิหารในพระนคร
พระธรรมทินเถรจึงเลือกพระสงฆ์ซึ่งทรงพระไตรปิฎกมากกว่า ๑๐๐
ประชุมพร้อมกับในพระมณฑปนั้น
กระทำสังคายนาพระไตรปิฎกตกแต้มให้ถูกถ้วนบริบูรณ์
พระเจ้าศิริธรรมจักรวรรดิ์ดิลกราชเป็นศาสนูปถัมภก
ปี ๑ จึงสำเร็จนับเนื่องเข้าในอัฏฐมสังคายนาอีกครั้งหนึ่ง

เบื้องหน้าแต่นั้นมา พระเถรานุเถรในชมพูทวีปได้เล่าเรียนพระไตรปิฎก
และสร้างสืบต่อกันมา และท้าวพระยาเศรษฐีคฤหบดีมีศรัทธาสร้างไว้ในประเทศต่างๆ
คือเมืองไทย เมืองลาว เมืองเขมร เมืองพม่า เมืองมอญ
เป็นอักษรส่ำสมผิดเพี้ยนกันอยู่เป็นอันมาก
หาท้าวพระยาและสมณะผู้ใดที่จะศรัทธา
สามารถอาจชำระพระไตรปิฎกขึ้นไว้ให้บริบูรณ์ดุจท่านแต่ก่อนนั้นมิได้

ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาได้ ๒,๓๐๐ ปีเศษแล้ว
บรรดาเมืองที่นับถือพระพุทธศาสนาทั้งปวง
ก็เกิดการยุทธสงครามแก่กันถึงพินาศฉิบหายด้วยภัยแห่งปัจจามิตร
มีผู้ร้ายเผาวัดวาอารามพระไตรปิฎกก็สาบสูญสิ้นไป
จนถึงกรุงศรีอยุธยาเก่าก็ถึงแก่กาลพินาศแตกทำลายด้วยภัยพม่าข้าศึก
พระไตรปิฎกและพระเจดียสถานทั้งปวงก็เป็นอันตรายสาบสูญไป
สมณะผู้รักษาร่ำเรียนพระไตรปิฎกนั้นก็พลัดพรากล้มตายเป็นอันมาก
หาผู้ใดที่จะเป็นที่พำนักป้องกันข้าศึกศัตรูมิได้
เหตุฉะนี้พระไตรปิฎกจึงมิได้บริบูรณ์ เสื่อมสูญร่วงโรยมาจนเท่ากาลทุกวันนี้

พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรฯ
เมื่อได้ทรงสดับพระสงฆ์ราชาคณะถวายพระพรโดยพิสดาร

ดังนั้น จึงดำรัสว่า ครั้งนี้ขออาราธนาพระผู้เป็นเจ้าทั้งปวง
จงมีอุตสาหะในฝ่ายพระพุทธจักรให้พระไตรปิฎกบริบูรณ์ขึ้นให้จงได้
ฝ่ายข้างอาณาจักรที่จะเป็นศาสนูปถัมภกนั้น
เป็นพนักงานโยมๆ จะสู้เสียสละชีวิตบูชาพระรัตนตรัย
สุดแต่จะให้พระปริยัติบริบูรณ์เป็นมูลที่จะตั้งพระพุทธศาสนาจงได้

พระราชาคณะทั้งปวงรับสาธุ แล้วถวายพระพรว่า
อาตมภาพทั้งปวงมีสติปัญญาน้อยนัก ไม่เหมือนท่านแต่ก่อน
แต่จะอุตส่าห์ชำระพระปริยัติธรรม สนองพระเดชพระคุณตามสติปัญญา
และสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาครั้งนี้
ก็นับได้ชื่อว่า นวมสังคายนา คำรบ ๙ ครั้ง
จะยังพระปริยัติศาสนาให้ถาวรวัฒนายืนยาวไปในอนาคตสมัย สิ้นกาลช้านาน

แล้วถวายพระพรลาออกมาประชุมพร้อมกัน ณ วัดบางว้าใหญ่
จึงสมเด็จพระสังฆราชให้เลือกสรร พระราชาคณะ ฐานานุกรม เปรียญอันดับ
ที่เล่าเรียนพระไตรปิฎกในเวลานั้น จัดได้พระสงฆ์ ๒๑๘ รูป
กับราชบัณฑิตยาจารย์ ๓๒ คน ที่จะทำการชำระพระไตรปิฎก

จึงมีพระราชดำรัสให้จัดการที่จะทำสังคายนา ณ วัดนิพพานาราม
เหตุประดิษฐานอยู่หว่างพระราชวังทั้ง ๒
และครั้งนั้นจึงพระราชทานนามใหม่ให้ชื่อวัดพระศรีสรรเพ็ชญดาราม

แล้วทรงบริจาคพระราชทรัพย์ แจกจ่ายเกณฑ์พระราชวงศานุวงศ์
และข้าราชการฝ่ายหน้าฝ่ายในทั้งพระราชวังหลวง พระราชวังบวรฯ พระราชวังหลัง
ให้ทำสำรับคาวหวานถวายพระสงฆ์ซึ่งชำระพระไตรปิฎกทั้งเช้าทั้งเพล
เวลาละ ๔๓๖ สำหรับทั้งคาวหวาน
พระราชทานเป็นเงินตรา ค่าขาทนียโภชนียาหารสำรับคู่ละบาท

ครั้น ณ วันกัตติกปุรณมี เพ็ญเดือน ๑๒ ในป็วอก สัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๑๕๐
พระพุทธศักราช ๒๓๓๑ พรรษา เป็นพุธวาร ศุกรปักษ์ดฤถี เวลาบ่าย ๓ โมง
มีพระราชกำหนดให้นิมนต์พระสงฆ์ประชุมพร้อมกัน
ในพระอุโบสถวัดพระศรีสรรเพ็ชญดารามแล้ว

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และกรมพระราชวังบวรฯ
ก็เสด็จพระราชดำเนินด้วยมหันตราชอิสริยยศ บริวารยศ พร้อมด้วยเครื่องสูง
และปี่กลองชนะแห่ออกจากพระราชวังไปยังพระอาราม
เสด็จ ณ พระอุโบสถทรงถวายนมัสการพระรัตนตรัยด้วยเบญจางคประดิษฐ์
แล้วอาราธนาพระพิมลธรรมให้อ่านคำประกาศเทวดาในท่ามกลางสงฆสมาคม
ขออานุภาพเทพยดาเจ้าทั้งปวงให้อุปถัมภนาการให้สำเร็จกิจมหาสังคายนา
แล้วให้แบ่งพระสงฆ์เป็น ๔ กอง

สมเด็จพระสังฆราชเป็นแม่กองชำระพระสุตตันตปิฎก กอง ๑
พระวันรัตเป็นแม่กองชำระพระวินัยปิฎก กอง ๑
พระพิมลธรรมเป็นแม่กองชำระพระสัททาวิเศส กอง ๑

และครั้งนั้นพระธรรมไตรโลกเป็นโทษอยู่ มิได้เข้าในสังคายนา
พระธรรมไตรโลกจึงมาอ้อนวอนสมเด็จพระสังฆราช
ขอเข้าช่วยชำระพระไตรปิฎกด้วย ก็ได้เป็นแม่กองชำระพระปรมัตถปิฎก กอง ๑

และพระสงฆ์ทั้ง ๔ กองนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้นิมนต์แยกกันชำระพระปริยัติอยู่ ณ พระอุโบสถกอง ๑ อยู่ ณ พระวิหารกอง ๑
อยู่ ณ พระมณฑปกอง ๑ อยู่ ณ การเปรียญกอง ๑
ทรงถวายปากไก่หมึกหรดาลครบทุกองค์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระอนุชาธิราช
เสด็จพระราชดำเนินออกไป ณ พระอารามทุกๆ วัน วันละ ๒ เวลา
เวลาเช้าทรงประเคนสำรับประณีตขาทนียโภชนียาหารแก่พระสงฆ์
ให้ฉัน ณ พระระเบียงโดยรอบ

เวลาเย็นทรงถวายอัฏฐบานธูปเทียนเป็นนิตย์ทุกวัน
และพระสงฆ์ทั้งราชบัณฑิตประชุมกันพิจารณาดูพระปริยัติ
สอบสวนพระบาลีกับอรรถกถาที่ผิดเพี้ยนวิปลาส
ก็ตกแต้มเปลี่ยนแปลงอักขระให้ถูกถ้วนบริบูรณ์ทุกๆ พระคัมภีร์ใหญ่น้อยทั่วทั้งสิ้น
และที่ใดสงสัยเคลือบแคลงก็ปรึกษาไต่ถามพระราชาคณะผู้ใหญ่
ซึ่งเป็นมหาเถรให้วิสัชนาตัดสินที่ผิดและชอบ

การชำระพระไตรปิฎกตั้งแต่ ณ วันเพ็ญเดือน ๑๒ ปีวอก สัมฤทธิศก
มาจนถึงวันเพ็ญเดือน ๕ ปีระกา เอกศก จุลศักราช ๑๑๕๑
พอครบ ๕ เดือนก็สำเร็จการสังคายนา

จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จำหน่ายพระราชทรัพย์
เป็นมูลค่าจ้างให้ช่างจานคฤหัสถ์และพระสงฆ์สามเณร จารึกพระไตรปิฎก
ซึ่งชำระบริสุทธิ์แล้วนั้นลงลานใหญ่สำเร็จแล้วให้ปิดทองทึบ
ทั้งใบปกหน้าหลังและกรอบทั้งสิ้นเรียกว่าฉบับทอง
ห่อด้วยผ้ายก เชือกรัดถักด้วยไหมเบญจพรรณ
มีสลากงาแกะเป็นลวดลายเขียนอักษรด้วยน้ำหมึก
และฉลากทอเป็นตัวอักษรบอกชื่อพระคัมภีร์ทุกๆ พระคัมภีร์

อนึ่งเมื่อสำเร็จการสังคายนานั้น
ทรงถวายไตรจีวรบริขารภัณฑ์แก่พระสงฆ์ทั้ง ๒๑๘ รูป
มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน
ล้วนประณีตทุกสิ่งเป็นมหามหกรรมฉลองพระไตรปิฎก
และพระราชทานรางวัลเสื้อผ้าแก่พระยาธรรมปโรหิต
พระยาพจนาพิมล และราชบัณฑิตทั้ง ๓๒ คนนั้นด้วย

แล้วทรงสุวรรณภิงคารหล่อหลั่งทักษิโณทกธารา
อุทิศแผ่ผลพระราชกุศลศาสนูปถัมภกกิจ
ไปถึงเทพยดามนุษย์สรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วอนันตโลกธาตุ
เป็นปัตตานุปทานบุญกริยาวัตถุอันยิ่งเพื่อประโยชน์แก่พระบรมโพธิสัพพัญญุตญาณ

ครั้นเมื่อเสร็จการสร้างพระไตรปิฎกฉบับทองแล้ว
ซึ่งให้เชิญพระคัมภีร์ทั้งปวงขึ้นพระยานุมาศ
พระราชยานต่างๆ ตั้งกระบวนแห่สมโภชพระไตรปิฎก
มีเครื่องเล่นเป็นอเนกนานานุประการ เป็นมหรสพแก่ตาประชาราษฎรทั้งปวง
แล้วเชิญพระคัมภีร์ปริยัติธรรมเข้าประดิษฐานไว้ในตู้ประดับมุก
ตั้งไว้ในหอพระมนเทียรธรรม กลางสระในวัดพระศรีรัตนศาสดารามภายในพระราชวัง
แล้วให้มีงานมหรสพสมโภชพระไตรปิฎก
ณ หอพระมนเทียรธรรม ครั้งนั้นมีละครผู้หญิงด้วย”


(มีต่อ ๒)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2013, 19:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มิ.ย. 2004, 01:20
โพสต์: 1785


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์



จากเรื่องราวของการสังคายนาครั้งนี้กล่าวได้ว่า
สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ทรงเป็นกำลังสำคัญในการดำเนินการ
นับแต่ทรงเป็นประธานสงฆ์ ถวายคำแนะนำแด่
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชให้ทรงตระหนักถึงความสำคัญ
ของการธำรงรักษาพระธรรมวินัย ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์

เป็นเหตุให้ทรงพระราชวิริยะอุตสาหะ จัดการสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้น
และในการทำสังคายนา สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ก็ทรงแสดงพระปรีชาสามารถ
โดยทรงเป็นแม่กองชำระพระสุตตันตปิฎก
ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า การทำสังคายนาครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
สมพระราชประสงค์ทุกประการ
โดยการอำนวยการของสมเด็จพระสังฆราช (ศรี) โดยแท้
นับเป็นพระเกียรติประวัติอีกประการหนึ่งของสมเด็จพระสังฆราชพระองค์นั้น

พระไตรปิฎกฉบับสังคายนาเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๑ นี้เอง
ที่ได้เป็นแม่ฉบับสำหรับตรวจสอบในการจัดพิมพ์เป็นอักษรไทยครั้งแรก
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๑
เป็นเล่มหนังสือจำนวน ๓๙ เล่ม ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์

ต่อมาในรัชกาลที่ ๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่งและเพิ่มเติมจนครบบริบูรณ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘
เป็นเล่มหนังสือจำนวน ๔๕ เล่ม เรียกว่า พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ
ดังที่ใช้เป็นแบบอยู่ในประเทศไทยปัจจุบัน


พระกรณียกิจพิเศษ

สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์
ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒
เมื่อทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ขณะทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็น
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๑
และสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ อีก ๒ พระองค์

คือ สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนรินทร์รณเรศ
และสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์
ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง
ครั้นทรงผนวชแล้ว สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร
เสด็จไปประทับอยู่วัดสมอราย (คือวัดราชาธิวาส ในปัจจุบัน)
เพื่อทรงศึกษาสมณกิจในสำนัก พระปัญญาวิสาลเถร (นาค)
ตลอด ๑ พรรษา แล้วจึงทรงลาผนวช


พระอวสานกาล

สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)
ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช
เมื่อครั้งรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นเวลา ๑๒ ปี
และทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๓๒๕
ก็สิ้นพระชนม์เมื่อเดือน ๕ ปีขาล จุลศักราช ๑๑๕๖ พุทธศักราช ๒๓๓๗
ในรัชกาลที่ ๑ รวมเวลาอยู่ในตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ๑๒ ปี เช่นกัน
ทรงมีพระชนมายุเท่าใดไม่ปรากฏชัด
ในกฎพระสงฆ์กล่าวถึงพระองค์ว่า “สมเด็จพระสังฆราชผู้เฒ่า”
จึงน่าจะมีพระชนมายุสูงไม่น้อยกว่า ๘๐ พรรษา


(มีต่อ ๓)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2013, 19:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มิ.ย. 2004, 01:20
โพสต์: 1785


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
วัดระฆังโฆสิตาราม ทัศนียภาพเมื่อมองจากกลางลำน้ำเจ้าพระยา


ประวัติและความสำคัญของวัดระฆังโฆสิตาราม

วัดระฆังโฆสิตาราม หรือ วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร
เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรมหาวิหาร ตั้งอยู่เลขที่ ๒๕๐
ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร

เดิมเป็นวัดโบราณสร้างในสมัยอยุธยา เดิมชื่อ วัดบางว้าใหญ่ (หรือบางหว้าใหญ่)
ในสมัยธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ทรงสร้างพระราชวังใกล้วัดบางว้าใหญ่

จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์ และขึ้นยกเป็นพระอารามหลวง
และเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชในสมัยรัตนโกสินทร์
และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่ประชุมสังคายนาพระไตรปิฎก
ซึ่งอัญเชิญมาจากนครศรีธรรมราชขึ้นที่วัดนี้

ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑
วัดบางว้าใหญ่อยู่ในพระอุปถัมภ์ของเจ้านายวังหลัง
คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี (สา)
พระเชษฐภคินีของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
และเป็นพระชนนีของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ทรงมีตำหนักที่ประทับอยู่ติดกับวัด

ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดร่วมกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
และได้ขุดพบระฆังลูกหนึ่ง ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำไปไว้
ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยทรงสร้างระฆังชดเชยให้วัดบางว้าใหญ่ ๕ ลูก

รูปภาพ

จากนั้นได้พระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดระฆังโฆสิตาราม”
นอกจากจะเป็นเพราะขุดพบระฆังที่วัดนี้
และเพื่อเป็นการฟื้นฟูแบบแผนครั้งกรุงศรีอยุธยาที่มีวัดชื่อวัดระฆังเช่นกัน

ครั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อ “วัดระฆังโฆสิตาราม”
เป็น “วัดราชคัณฑิยาราม” (คัณฑิ แปลว่าระฆัง)
แต่ไม่มีคนนิยมเรียกชื่อนี้ จึงยังคงเรียกว่าวัดระฆังต่อมาจนถึงทุกวันนี้

รูปภาพ
พระอุโบสถ วัดระฆังโฆสิตาราม


ศาสนสถานและศาสนวัตถุสำคัญภายในวัด

พระอุโบสถ

สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑ หลังคาลดมุข ๓ ชั้น ประดับช่อฟ้า
ใบระกา หางหงส์ และคันทวยที่สลักเสลาอย่างประณีตงดงาม

สำหรับพระประธานที่ประดิษฐานในพระอุโบสถวัดระฆังฯ นี้
เป็นพระพุทธรูปหล่อประทับนั่งปางสมาธิกั้นด้วยเศวตฉัตร ๙ ชั้น
เดิมเป็นฉัตรกั้นเมรุของรัชกาลที่ ๑
ซึ่งพระองค์ขอให้นำไปถวายประธานวัดระฆังฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๒

ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนเศวตฉัตรจากผ้าตามขาว
มาเป็นผ้าขาวลายฉลุปิดทองโดยใช้โครงของเก่า
และมีการเปลี่ยนผ้าอีกครั้งในปี พ.ศ. ๒๕๐๔ โดยรัชกาลปัจจุบัน

สำหรับพระประธานในพระอุโบสถวัดระฆังฯ นี้มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เคยตรัสว่า

“ไปวัดไหนไม่เหมือนมาวัดระฆัง พอเข้าประตูโบสถ์ พระประธานยิ้มรับฟ้าทุกที...”

กล่าวกันว่าอาจจะเป็นเพราะพระพักตร์ของพระพุทธรูป
ที่อ่อนโยนและเมตตา

รูปภาพ
“พระประธานยิ้มรับฟ้า”
พระประธานในพระอุโบสถ วัดระฆังฯ


รูปภาพ
“พอเข้าประตูโบสถ์ พระประธานยิ้มรับฟ้าทุกที...”
รัชกาลที่ ๕ ตรัสถึงพระประธานในพระอุโบสถ



ในพระอุโบสถยังมีภาพจิตรกรรมผนังด้านหน้าพระประธาน
เป็นภาพพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากดาวดึงส์
และภาพเดียรถีย์ที่กำลังท้าทายอยู่กับพระพุทธองค์

ส่วนด้านหลังเป็นภาพพระมาลัย
ขณะขึ้นไปนมัสการพระมหาจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

ส่วนผนังด้านข้างเบื้องบนเขียนเป็นรูปเทพชุมนุม
ตอนล่างเขียนภาพทศชาติชาดก
ฝีมือของ พระวรรณวาดวิจิตร (ทอง) จารุวิจิตรบ
ซึ่งเป็นจิตรกรเอกในสมัยรัชกาลที่ ๖ ที่เขียนขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๕

รูปภาพ
หอระฆังที่รัชกาลที่ ๑ ทรงสร้าง
แล้วพระราชทานให้พร้อมกับระฆังอีก ๕ ลูก



หอระฆัง

ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของวัด สร้างแบบจัตุรมุข
เป็นศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายและรัตนโกสินทร์ตอนต้น

ในสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑
ได้มีการขุดพบระฆังลูกหนึ่งซึ่งมีเสียงไพเราะมาก ซึ่งต่อมารัชกาลที่ ๑
ก็ได้นำระฆังลูกนั้นไปไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) และโปรดให้
สร้างหอระฆังพร้อมทั้งระฆังอีกจำนวน ๕ ลูกไว้ให้แทน จึงเป็นที่มาของชื่อวัดระฆัง

(มีต่อ ๔)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2013, 19:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มิ.ย. 2004, 01:20
โพสต์: 1785


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
หอพระไตรปิฎก (ตำหนักจันทร์)


หอพระไตรปิฎก (ตำหนักจันทร์)

เดิมอยู่กลางสระที่ขุดขึ้นด้านหลังพระอุโบสถ
สร้างเป็นเรือนแฝด ๓ หลัง ด้วยไม้ที่รื้อพระตำหนักและหอนั่งเดิมของรัชกาลที่ ๑
เมื่อครั้งยังทรงรับราชการอยู่กรุงธนบุรี

ฝาผนังด้านนอกทาสีดินแดง มีระเบียงด้านหน้า หลังคามุงกระเบื้อง
ชายคามีกระจกรูปเทพนมเดิมเป็นพระตำหนักและหอประทับ
ของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑
ขณะทรงรับราชการในสมัยธนบุรี และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อมาถวายวัด

เมื่อเสด็จขึ้นครองราชสมบัติแล้ว มีพระราชประสงค์จะบูรณปฏิสังขรณ์ให้สวยงาม
เพื่อเป็นหอพระไตรปิฎก กล่าวกันว่าถือเป็น
“ปูชนียสถานชั้นเอกของสถาปัตยกรรมไทย”

ด้านในเขียนภาพฝีมือ อาจารย์นาค เป็นภาพแสดงวิถีชีวิตประจำวันของคนสมัยนั้น
บานประตูตกแต่งด้วยการเขียนลายรดน้ำและแกะสลักอย่างงดงาม

รูปภาพ
ตู้พระไตรปิฎกลายรดน้ำขนาดใหญ่สมัยกรุงศรีอยุธยา


นอกจากนั้นยังมี ตู้พระไตรปิฎกลายรดน้ำ ขนาดใหญ่สมัยกรุงศรีอยุธยา
อยู่ในห้องด้านเหนือและห้องด้านใต้

หอพระไตรปิฏกนี้ได้มีการซ่อมแซมครั้งใหญ่เมื่อคราวฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี
และยังเคยเป็นโบราณสถานที่ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่น ประจำปี ๒๕๓๐
จากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์อีกด้วย

รูปภาพ
พระปรางค์ใหญ่


พระปรางค์ใหญ่

สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑ ได้รับการยกย่องว่า “ทำถูกแบบแผนที่สุด”
จนถือเป็นแบบฉบับของพระปรางค์ที่สร้างในยุคต่อมา

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑
ทรงมีพระราชศรัทธาสร้างพระปรางค์ พระราชทานร่วมพระกุศล
กับสมเด็จพระพี่นางพระองค์ใหญ่ สมเด็จกรมพระยาเทพสุดาวดี

เจดีย์เจ้าสามกรม

คือ พระเจดีย์นราเทเวศร์
พระเจดีย์นเรศร์โยธี และพระเจดีย์เสนีย์บริรักษ์

เป็นพระเจดีย์ย่อเหลี่ยมไม้ยี่สิบ ๓ องค์
สร้างเรียงกันอยุ่ภายในบริเวณกำแพงแก้วด้านทิศเหนือ
สร้างโดย กรมหมื่นนราเทเวศร์
กรมหมื่นนเรศร์โยธี และกรมหมื่นเสนีย์บริรักษ์

พระโอรสในกรมพระราชวังหลัง เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์

พระวิหารเดิม

เป็นพระอุโบสถเก่าของวัดบางหว้าใหญ่

รูปภาพ
ศาลาการเปรียญ


ศาลาการเปรียญ

เดิมเป็นศาลาการเปรียญสำหรับแสดงธรรม
ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่ฝึกกรรมบานของแม่ชีและอุบาสิกา
ภายในมีพระพุทธรูปประทับนั่งปางสมาธิ

ตำหนักทอง

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑
ทรงรื้อตำหนักทองอันเป็นที่ประทับของ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
ซึ่งตั้งอยู่ในพระราชวังเดิมมาปลูกที่วัดระฆังทางด้านใต้ของพระอุโบสถ
ทรงอุทิศเป็นสังฆบูชา ถวายให้เป็นที่ประทับของ
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์

รูปภาพ
ตำหนักแดง


ตำหนักแดง

กรมพระราชวังบวรสถานภิมุข เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษเทเวศร์
พระนามเดิมว่า “ทองอิน” เป็นพระราชโอรสใน
สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรมพระยาเทพสุดาวดี
ทรงถวาย ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของพระอุโบสถหลังใหม่

ฝารูปสกลกว้างประมาณ ๔ วาเศษ ระเบียงกว้างประมาณ ๑ วา ๒ ศอก
ยาวประมาณ ๘ วาเศษ ฝาประจันห้อง เขียนรูปภาพอสุภะต่างๆ ชนิด
มีภาพพระภิกษุเจริญอสุภกรรมฐาน
เดิมเป็นที่ประทับทรงกรรมฐานของพระเจ้ากรุงธนบุรี

ตำหนักเก๋ง

พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๓ อยู่ทางทิศใต้ของวัด
ปัจจุบันเหลือแต่รากฐานใต้ดิน ตำหนักนี้พระองค์ใช้ประทับขณะผนวช

รูปภาพ
พระวิหารสมเด็จพระสังฆราช (ศรี)


พระวิหารสมเด็จพระสังฆราช (ศรี)

ตั้งอยู่ด้านหน้าพระอุโบสถ
หลังคามุงกระเบื้องเคลือบติดคันทวยตามเสาอย่างสวยงาม
หน้าบันทั้งสองด้านจำหลักรูปฉัตร ๓ ชั้น
อันเป็นเครื่องหมายพระยศสมเด็จพระสังฆราช
วิหารหลังนี้เดิมหลังคาเป็นทรงปั้นหยา เรียกว่า ศาลาเปลื้องเครื่อง

ต่อมา พระราชธรรมภาณี (ละมูล) อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ ๑๐
ได้เปลี่ยนเป็นหลังคาทรงไทย มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔
เพื่อประดิษฐานพระอัฐิ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)
ซึ่งเดิมบรรจุอยู่ในรูปพระศรีอาริยเมตไตรย
ประดิษฐานในซุ้มพระปรางค์ของวัดระฆังโฆสิตาราม
ต่อมาได้ย้ายมาไว้ที่พระวิหารที่ปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่เพื่อยกย่องพระเกียรติของพระองค์
พระรูปองค์นี้เดิมประดิษฐานอยู่บนมุขพระปรางค์ทิศตะวันออก

รูปภาพ
พระวิหารสมเด็จ


พระวิหารสมเด็จ

ภายในประดิษฐานรูปหล่อสมเด็จพระราชาคณะของวัดนี้ไว้ ๓ องค์คือ
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี),
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (ม.จ.ทัด เสนีย์วงศ์)
และสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกูร)

ซึ่งทั้งสามองค์นี้เป็นพระภิกษุที่มีสาธุชนเคารพนับถืออย่างมาก


:b8: :b8: :b8: รวบรวมและเรียบเรียงเนื้อหามาจาก ::
(๑) หนังสือชุดพระเกียรติคุณ สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ :
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)
วัดระฆังโฆสิตาราม, สุเชาวน์ พลอยชุม เรียบเรียง, มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑.
(๒) หนังสือ ๑๙ สมเด็จพระสังฆราชกรุงรัตนโกสินทร์,
โกวิท ตั้งตรงจิตร เรียบเรียง, สวีริยาศาสน์ จัดพิมพ์, ๒๕๔๙.
(๓) ประวัติวัดระฆังโฆสิตาราม จากเว็บไซต์ http://www.watrakang.com/


:b42: กระทู้ในบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13188

:b44: ••• ประวัติตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชไทย
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=19521

:b44: ระยะเวลาการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช (พระองค์ใหม่)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=49539

:b44: ประวัติ “คณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=47044

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร