วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 21:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2012, 13:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

เหตุใดจึงชื่อ “พระไพรีพินาศ” ?
:b44: :b47: :b44:

พระไพรีพินาศ (องค์จริง) ประดิษฐานอยู่ภายในพระมหาเจดีย์สีทอง วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นพระพุทธรูปศิลาปิดทอง ศิลปะศรีวิชัย ปางประทานพร (คล้ายปางมารวิชัย เพียงแต่หงายพระหัตถ์ขวา)

ประวัติการสร้างไม่ปรากฏแน่ชัด ทราบแต่เพียงว่ามีผู้นำมาทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ตั้งแต่ครั้งยังทรงพระผนวช และประทับอยู่ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร พระองค์ทรงเชื่อว่า พระพุทธรูปองค์นี้มีอานุภาพกำจัดภัย ให้ผู้ที่คิดร้ายพ่ายแพ้พระบารมี


เรื่องมีอยู่ว่า...เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เสด็จออกผนวชเมื่อเจริญพระชนมายุครบตามเกณฑ์ ทรงผนวชได้เพียง ๑๕ วัน ก็เกิดเหตุการณ์ผลัดแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สมเด็จพระบรมชนกนาถ รัชกาลที่ ๒ เสด็จสวรรคตอย่างปัจจุบัน

ตามกฎมณเฑียรบาลแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ (หรือ “เจ้าฟ้ามงกุฎ” ในขณะนั้น) ควรจะได้รับราชสมบัติต่อจากรัชกาลที่ ๒ เพราะทรงเป็นพระราชโอรสที่มีพระราชสมภพจากพระอัครมเหสีของรัชกาลที่ ๒ คือ สมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ มีฐานันดรศักดิ์เป็น “สมเด็จหน่อพระพุทธเจ้า” จัดว่าเป็นอันดับสูงสุดในพระบรมวงศานุวงศ์ มีฐานะเป็นรัชทายาท และเวลานั้นตำแหน่งวังหน้าซึ่งถือเป็นตำแหน่งรัชทายาทก็ยังว่างอยู่ ภายหลังจากที่กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์สิ้นพระชนม์ รัชกาลที่่ ๒ ก็มิได้ทรงตั้งวังหน้าขึ้นใหม่ตลอดรัชกาล แต่ราชสมบัติกลับมิได้ตกแก่เจ้าฟ้ามงกุฎตามที่กฎมณเฑียรบาลกำหนดไว้

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ผู้กำกับดูแลราชการต่างพระเนตรพระกรรณมีอยู่ ๓ พระองค์ คือ วังหน้า กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ กำกับดูแลราชการแผ่นดินทั่วไป, เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี กำกับกรมวังและมหาดไทย และกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (ต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓) กำกับกรมพระคลังมหาสมบัติ

ครั้นเมื่อวังหน้าสิ้นพระชนม์ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีก็เข้ามากำกับดูแลแทน แต่อยู่ได้เพียง ๕ ปีก็สิ้นพระชนม์อีก จึงเหลือเพียงกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์พระองค์เดียว ที่กำกับดูแลราชการทั้งหลายทั้งปวง

เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ใกล้เสด็จสวรรคตนั้น ทรงพระประชวรจนตรัสไม่ได้ จึงมิได้ระบุว่าจะมอบราชสมบัติให้แก่ผู้ใด พระบรมวงศานุวงศ์และเสนาบดีทั้งหลายจึงเห็นพ้องกัันให้ทูลเชิญกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พระราชโอรสองค์โตอันเกิดจากพระสนมของรัชกาลที่ ๒ คือ เจ้าจอมมารดาเรียม ขึ้นครองราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา เป็นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓

เจ้าฟ้ามงกุฎ แม้จะมีสิทธิโดยชอบธรรมด้วยเป็นพระราชโอรสองค์โตอันเกิดจากพระอัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แต่ยังอ่อนวัยวุฒิ คุณวุฒิ รวมถึงพระอำนาจบารมีส่วนพระองค์ อีกทั้งถูกคุกคามจากพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายที่สนับสนุนกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ โดยเฉพาะจากกรมหลวงรักษ์รณเรศ (พระองค์เจ้าไกรสร) ลวงให้เสด็จเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง และถูกควบคุมตัวไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) เป็นเวลาหลายวัน จนกระทั่งเมื่อกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้ว พระองค์จึงได้รับการปล่อยตัวให้เสด็จกลับไปประทับที่วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส ในปัจจุบัน) ดังเดิม

ความปรากฏในโคลงลิลิตมหามกุฏราชคุณานุสรณ์ คัดมาโดยย่อว่า

เขาเชิญไปวัดแก้ว มรกต อกอา
พัก ณ พระอุโบสถ ต่างเฝ้า
อ้างองค์พระทรงพรต พลุกพล่าน สมฤา
อละหม่านแต่งทหารเข้า แวดล้อมวงรวัง

ประทับขังอุโบสถสิ้น สัปตวาร พ่ออา
ห่างมิตศิษย์บริพาร ผ่อนเฝ้า
คึกคักแต่พนักงาน สนมนิเว สะรักษ์ฤา
คอยพิทักษ์สมศักดิ์เจ้า พระฟ้าประดาผงม


กรมหลวงรักษ์รณเรศ (พระองค์เจ้าไกรสร) นี้ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ อันเกิดกับเจ้าจอมมารดาน้อยแก้ว ต่อมาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ได้รับการสถาปนาเป็นกรมหมื่นรักษ์รณเรศ และได้เลื่อนขึ้นเป็นกรมหลวงรักษ์รณเรศ ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ด้วยเป็นเจ้านายพระองค์สำคัญที่มีความดีความชอบในการพรากราชสมบัติให้พลัดจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มาตกแก่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

เมื่อเหตุการณ์ลงเอยเช่นนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ “วชิรญาณภิกขุ” ในขณะนั้น ทรงรับรู้ถึงความไม่ปลอดภัยของพระองค์เอง จำต้องปลีกตัวหนีห่างจากกิจการที่เกี่ยวกับอาณาจักร จึงตัดสินพระทัยที่จะผนวชอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ต่อไปไม่มีกำหนดเพื่อหลบราชภัย อย่างไรก็ตาม แม้พระองค์จะมิได้เสวยราชย์และดำรงอยู่ในเพศบรรพชิต ก็ยังถูกกรมหลวงรักษ์รณเรศ (พระองค์เจ้าไกรสร) คุกคามกลั่นแกล้งอยู่ตลอดเวลา

คราวหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ประชุมคณะพระมหาเถระผู้สอบในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จออกทรงแปลทุกวัน ทรงพระปรีชาสามารถมาก แปลพักเดียวได้ตลอดประโยคไม่มีพลาดพลั้งให้พระมหาเถระต้องทักท้วงเลย วันแรกแปลคัมภีร์ธรรมบทประโยค ๑-๒-๓ วันที่สองเสด็จเข้าแปลคัมภีร์มงคลทีปนีสำหรับประโยค ๔ วันที่สามเสด็จเข้าแปลคัมภีร์บาลีมุตสำหรับประโยค ๕ ปรากฏว่ากรมหมื่นรักษ์รณเรศ (พระองค์เจ้าไกรสร) ซึ่งกำกับกรมธรรมการได้ถามพระพุทธโฆษาจารย์ (ฉิม ป.ธ.๙) วัดโมฬีโลก ซึ่งเป็นผู้สอบอยู่ด้วยว่า “นี่จะปล่อยกันไปถึงไหน” พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบ ก็น้อยพระหฤทัย ด้วยเจตนาจะสนองพระเดชพระคุณเฉลิมพระราชศรัทธา หาได้ปรารถนายศศักดิ์ลาภสักการะอย่างใดไม่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบความขุ่นหมองที่เกิดขึ้น ก็ทรงอนุญาตไม่ต้องแปลต่อไปอีก และพระราชทานพัดยศสำหรับเปรียญเอก ๙ ประโยคให้ ทรงถือเป็นสมณศักดิ์ต่อมา

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงผนวชอยู่วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส ในปัจจุบัน) นั้น ผู้คนนิยมนับถือพระองค์มาก จนเป็นเหตุให้เกิดคำพูดแสดงความสงสัยว่า ที่คนพอใจไปวัดสมอรายกันมากนั้น เพราะประสงค์จะยกย่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในทางการเมือง เพื่อระงับความสงสัยและข่าวลือต่างๆ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ จึงโปรดให้ทูลเชิญ “วชิรญาณภิกขุ” เสด็จมาอยู่เสียใกล้ๆ พระองค์ ซึ่งประจวบเหมาะกับขณะนั้น วชิรญาณภิกขุเองก็ทรงมีฐานะเป็นพระราชาคณะแล้ว แต่ยังไม่ได้ทรงเป็นเจ้าอาวาสครองวัด เพียงแต่ประทับอยู่วัดสมอรายดำเนินกิจการทางสงฆ์ฝ่ายธรรมยุต จึงได้ทรงนิมนต์ให้เสด็จมาเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อปีวอก วันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๓๗๙

ครั้นเสด็จมาประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ก็ทรงได้รับความเดือดร้อนรำคาญจากกรมหลวงรักษ์รณเรศ (พระองค์เจ้าไกรสร) มากขึ้น จนถึงหาเหตุให้สึกพระสุเมธมุนี (ซาย พุทฺธวํโส) พระอุปัชฌาย์ของพระองค์ แกล้งใส่บาตรพระธรรมยุตด้วยข้าวต้มให้ร้อนมือที่อุ้มบาตร และเบียดเบียนด้วยประการต่างๆ นาๆ

ในปลายแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ กรมหลวงรักษ์รณเรศ (พระองค์เจ้าไกรสร) ต้องราชภัย เพราะความกำเริบเสิบสานและสำเร็จความใคร่บ่าวจนน้ำกามเคลื่อน จึงถูกถอดเป็นไพร่ เรียกว่า “หม่อมไกรสร” แล้วประหารชีวิตโดยทุบด้วยท่อนจันทน์ ผู้ทำหน้าที่ประหารเคยเป็นข้าในกรมของผู้ถูกประหาร จึงมือไม้สั่น ปรกติทุบทีเดียวก็ตายสนิท แต่นี่เจ้านายตัวจึงทุบพลาด เจ้านายก็เด็ดขาด ตะโกนสั่งจากถุงที่คลุมว่า ทุบใหม่ ไอ้นี่สอนไม่จำ...ปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค) ความว่า...

“...เพราะด้วยอ้ายพวกละคร ชักพาให้เสียคน จึงให้ตระลาการค้นหาความอื่นต่อไปให้ได้ความว่า กรมหลวงรักษ์รณเรศ ชำระความของราษฎรมิได้เป็นยุติธรรม ด้วยพวกละครรับสินบนทั้งฝ่ายโจทก์ฝ่ายจำเลย แล้วก็คงหักเอาชนะจงได้ แล้วเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง ชั้นแต่ลอยกระทง ก็ไปลอยกรุงเก่าบ้าง เมืองนครเขื่อนขัณฑ์บ้าง เอาธรรมเนียมที่ในหลวงทรงลอย พวกละครห่มแพรสีทับทิมใส่แหวนเพ็ชรแทนหม่อมห้าม แลเกลี้ยกล่อมขุนนางและกองรามัญไว้เป็นพวกพ้องก็มาก ที่ผู้ใดไม่ฝากตัวก็พยาบาทไว้ ตั้งแต่เล่นละครเข้าแล้ว ก็ไม่ได้บรรทมอยู่ข้างในด้วยหม่อมห้ามเลย บรรทมอยู่แต่ที่เก๋งข้างท้องพระโรงด้วยพวกละคร จึงรับสั่งให้เอาพวกละครแยกย้ายกันไต่ถาม ได้ความสมกันว่า เป็นสวาทไม่ถึงชำเรา แต่เอามือเจ้าละครและมือท่านกำคุยหฐานด้วยกันทั้งสองฝ่าย ให้สำเร็จภาวะธาตุเคลื่อนพร้อมกัน เป็นแต่เท่านั้น แล้วโปรดให้ตระลาการถามกรมหลวงว่า เป็นเจ้าใหญ่นายโตเล่นการนี้สมควรอยู่แล้วหรือ กรมหลวงรักษ์รณเรศให้การว่า การที่ไม่อยู่กับลูกเมียนั้น ไม่เกี่ยวข้องแก่การแผ่นดิน ถามอีกข้อหนึ่งว่า เกลี้ยกล่อมเจ้านายขุนนางไว้เป็นพรรคพวกมาก จะคิดกบฏหรือ กรมหลวงให้การว่า ไม่ได้คิดกบฏ คิดอยู่ว่า ถ้าสิ้นแผ่นดินไป ก็ไม่ยอมเป็นข้าใคร...”

ข้อความในพระราชพงศาวดารกล่าวถึงกรมหลวงรักษ์รณเรศ (พระองค์เจ้าไกรสร) ว่า

“...แล้วยังมาคิดมักใหญ่ใฝ่สูงจะเป็นวังหน้าบ้าง เป็นเจ้าแผ่นดินบ้าง อย่าว่าแต่มนุษย์เขาจะยอมให้เป็นเลย แต่สัตว์เดียรฉานมันก็ไม่ยอมให้ตัวเป็นเจ้าแผ่นดิน...” จึงโปรดให้ถอดเสียจากกรมหลวง ให้เรียก “หม่อมไกรสร” ลงพระราชอาญาแล้ว ให้ไปสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ที่วัดปทุมคงคา เมื่อวันพุธ เดือนอ้าย แรมสามค่ำ (ตรงกับวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๙๑) อายุได้ ๕๘ ปี


เบื้องหลังอันเป็นที่มาของพระนามของพระพุทธรูปที่เรียกว่า “พระไพรีพินาศ” เพราะในระยะใกล้ๆ กับเวลาที่ “หม่อมไกรสร” จะถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์นี้เอง พระไพรีพินาศก็ได้เสด็จมาสู่พระบารมีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และท้ายที่สุด “ไพรี” ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ได้พินาศลงด้วยประการฉะนี้ และอีกสามปีเศษถัดมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๓๙๔ ทรงอยู่ในราชสมบัติ ๑๗ ปี

ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงเฉลิมพระนามพระพุทธรูปนี้ว่า “พระไพรีพินาศ” โปรดให้สร้างเก๋งประดิษฐานพระพุทธรูปไว้ที่พระมหาเจดีย์สีทอง วัดบวรนิเวศวิหาร

นอกจาก “พระไพรีพินาศ” แล้ว ภายในพระมหาเจดีย์สีทอง ยังมีพระเจดีย์ศิลาองค์ย่อมประดิษฐานอยู่ มีนามพระราชทานคล้ายคลึงกันว่า “พระไพรีพินาศเจดีย์” พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ คงจักได้ทรงโปรดให้สถาปนาขึ้นไว้แต่ครั้งยังทรงพระผนวช และประทับอยู่ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร หรือไม่เช่นนั้นก็คงจักทรงโปรดให้สถาปนาขึ้นเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ แล้วได้ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นการใหญ่คราวหนึ่ง เรียกว่า “งานผ่องพ้นไพรี”


รูปภาพ

:b42: หมายเหตุ : พระพุทธรูปสำคัญในประเทศไทยที่เชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมากนั้น มักจะถูก “ลูกกรง” ขังเอาไว้ หนึ่งในนั้นก็รวมถึง “พระไพรีพินาศ” พระพุทธรูปสำคัญซึ่งเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์จนเป็นที่เคารพนับถือของพุทธศาสนิกชนที่แวะเวียนมาวัดบวรนิเวศวิหารแห่งนี้

คำว่า “ลูกกรง” นั้น ตรงกับภาษาบาลีว่า “บัญชร” ส่วนคำว่า “ชิน” หมายถึง พระพุทธเจ้า ดังนั้น “ชินบัญชร” ในนัยยะนี้จึงหมายถึง “การนำพระพุทธคุณของพระพุทธเจ้ามาเป็นลูกกรงป้องกันภยันตราย” แต่กลับกลายเป็น ลูกกรงที่มาขังพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์เอาไว้เพื่อป้องกันความสูญหายไปในที่สุด

ฉะนั้น จึงนับเป็นโอกาสอันน่าเสียดาย ที่ในหลายๆ ครั้งพระพุทธรูปสำคัญมักอยู่ในลูกกรง อยู่ในห้องนิรภัย ตลอดจนศาสนวัตถุ ทรัพย์สินต่างๆ อันควรค่าแก่แผ่นดิน ไม่สามารถนำมาจัดแสดงให้รับชมกันได้โดยสะดวก ส่วนหนึ่งก็ด้วยมาจากความโลภ อยากได้ในทรัพย์สมบัตินั้นมาเป็นของตัว หรืออยากได้มูลค่าอันเกิดมาแต่ทรัพย์สินนั้น จนเป็นเหตุให้แม้พระพุทธรูปก็ยังมิอาจรักษาองค์ท่านไว้ได้ จึงต้องพึ่ง “บัญชร” มาป้องกันไว้ให้อีกชั้นหนึ่ง ดังพุทธภาษิตที่ว่า “โลโภ ธมฺมานํ ปริปนฺโถ” ความโลภเป็นอันตรายแห่งธรรมทั้งหลาย

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2012, 13:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

คำบูชาพระไพรีพินาศ
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน)
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ทรงนิพนธ์


:b39:

อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ สุจิรัง ปะรินิพพุโต
คุเณหิ ธะระมาโนทานิ ปาระมีหิ จะ ทิสสะติ
ยาวะชีวัง อะหัง พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระณัง คะโต
ปูเชมิ ระตะนัตตะยัง ธัมมัง จะรามิ โสตถินา ฯ



คำแปล
พระมหานายก (ฉลอง ชลิตกิจฺโจ)
แปลความหมายเป็นภาษาไทย


:b39:

สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถึงเสด็จดับขันธปรินิพพานมาช้านานแล้ว

แต่ก็ยังทรงปรากฏดำรงอยู่ในบัดนี้
โดยพระคุณและพระบารมีทั้งหลาย

ข้าพระพุทธเจ้า ถึงพระพุทธเจ้า
พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งตลอดชีวิต

บูชาอยู่ซึ่งพระรัตนตรัย
ขอประพฤติธรรม โดยสวัสดี เทอญฯ


รูปภาพ

:b8: ขอขอบพระคุณที่มาของข้อมูล ::
(๑) หนังสือตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร โดยชลอ ธรรมศิริ และคณะ
(๒) หนังสือพระเกียรติประวัติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โดยณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม และขจร สุขพานิช, มหามกุฏราชวิทยาลัย ๒๔๙๒
(๓) http://thaprajan.blogspot.com/2012/05/blog-post.html


:b44: สักการะ ๙ สิ่งมงคล ในงานสมโภช ๑๗๕ ปี วัดบวรฯ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=40735

:b44: วัดประจำรัชกาลที่ ๖ : วัดบวรนิเวศวิหาร
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=19342

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2019, 20:49 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2020, 09:56 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร