วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 07:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2012, 07:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ปันสิ่งของ

"ทาน" คือการให้ การสละ การเผื่อแผยแบ่งปัน วัตถุที่ควรให้ ได้แก่ วัตถุ ๑๐ อย่าง คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พักอาศัย และประทีปโคมไฟ ให้ด้วยการบูชาคุณ ความดี คือ ถวายแก่สงฆ์ หรือให้ด้วยเมตตา โดยอนุเคราะห์แก่ผู้ยากไร้ ขาดแคลน ด้วยเจตนาที่ดีทั้ง ๓ กาล คือ ก่อนจะให้ กำลังให้ และให้ไปแล้ว ก็ยังมีความชื่นชมยินดีในการให้นั้น โดยไม่หวัง ผลตอบแทนใดๆ การให้เช่นนี้เป็นทานที่มีผลมากมีอานิสงส์มาก


ท่านแสดงอานิสงส์ของการให้ "วัตถุทาน" เหล่านี้ว่า

๑. การให้ ข้าว น้ำ ชื่อว่า ให้กำลังวังชาแก่ผู้รับ
๒. การให้ เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ชื่อว่า ให้ผิวพรรณวรรณะ
๓. การให้ ยานพาหนะ ชื่อว่า ให้ความสุข
๔. การให้ ประทีปโคมไฟ ชื่อว่า ให้ดวงตา
๕. การให้ ที่อยู่อาศัย ชื่อว่า ให้ทุกอย่าง คือ
ให้ทั้งกำลังวังชา ผิวพรรณวรรณะ ความสุข และดวงตา


นอกจากการให้วัตถุสิ่งของเหล่านี้แล้ว การให้ความรู้ ศิลปวิทยาต่างๆ การให้คำแนะนำสั่งสอน ให้แนวทางการดำเนินชีวิตที่ถูกที่ควร หรือแนะนำให้มีส่วนร่วมในการบำเพ็ญกิจที่ดีงาม ก็นับว่าเป็นทานที่เรียกว่า "ธรรมทาน" ตลอดจนการให้อภัยก็ชื่อ "อภัยทาน"

อานิสงส์ของทานมีมากมาย เพราะเพียงสาดภาชนะลงไปในบ่อน้ำคร่ำ ด้วยหวังว่าจะให้สัตว์ที่อาศัยในบ่อน้ำครำได้รับเศษอาหารก็ยังได้รับอานิสงส์ถึงร้อยชาติ คือเป้นผู้มีวรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณถึงร้อยชาติ เป็นต้น

ทานนั้นนอกจากจะให้ความมั่นคงแก่ผู้ให้แล้ว ยังจัดเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส คือ ความตระหนี่ให้ออกไปจากจิตใจด้วย หากมีจิตเลื่อมใสในที่ใด คือมีผู้รับในที่ใดแล้ว แม้สิ่งของที่จะให้นั้นเล็กน้อย ก็ยังมีผลมาก


มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ ทักขิณาวิภังคสูตรข้อ ๗๐๖-๗๑๙ และอรรถกถา

:b55:

กระทู้จากบอร์ดเก่าโพสโดยคุณแมวขาวมณี
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6619

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2012, 07:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

๒. ศีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล

"ศีล" คือ ความประพฤติที่ดีงาม ความมีระเบียบวินัย และความมีมารยาทงดงาม

การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย การควบคุมตนให้ตั้งอยู่ในความไม่เบียดเบียน เว้นจากความชั่วคือ

เว้นจากการฆ่า เว้นจากการใช้ผู้อื่นฆ่า
เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ เว้นจากการขโมย การละเมิดกรรมสิทธ์ และทำลายทรัพย์สิน
เว้นจากการประพฤติผิดในกาม เว้นจากการล่วงละเมิดในบุคคลที่ผู้อื่นรักใคร่ หวงแหน
เว้นจากการพูดเท็จ พูดไม่ตรงต่อความที่เป็นจริง
เว้นจากการดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งของความประมาท เว้นจากสิ่งเสพติดทั้งปวง

การงดเว้นจากความชั่วเหล่านี้ ท่านเรียกว่า ศีล ๕ บ้าง สิกขาบท ๕ บ้าง เบญจศีลบ้าง หรือนิจศีลบ้าง เป็นศีลที่คฤหัสถ์ควรรักษาเป็นประจำ คำว่า ศีล มิใช่หมายเพียงความประพฤติที่ดีงาม ทางกาย และทางวาจาเท่านั้น แต่หมายถึง ว่าจะต้องมีอาชีพสุจริตด้วย

ศีลของบรรพชิต และศีลของคฤหัสถ์

ศีลของบรรพชิต ได้แก่ ศีล ๒๒๗ หรือจตุปาริสุทธิศีล สำหรับภิกษุ
ศีล ๑๐ สำหรับสามเณร
ศีลของคฤหัสถ์ ได้แก่ ศีล ๘ หรืออุโบสถศีล สำหรับอุบาสก อุบาสิกา
ศีล ๕ หรือเบญจศีล สำหรับบุคคลทั่วไป

"จตุปาริสุทธิศีล" เป็นศีลที่บริสุทธิ์ มี ๔ อย่าง คือ

๑. ปาฏิโมกขสังวรศีล การสำรวมในพระปาฏิโมกข์
๒. อินทริยสังวรศีล การสำรวมในอินทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
๓. อาชีวปาริสุทธิศีล การเลี้ยงชีพโดยทางที่ชอบ
๔. ปัจจยสันนิสิตศีล การพิจารณาก่อนจึงบริโภคปัจจัย ๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช

"ศีลอุโบสถ" คือ ศีล ๘ ที่อุบาสก อุบาสิกา รักษาในวันอุโบสถ
คือ ขึ้นและแรม ๘, ๑๕ ค่ำ ศีล ๘ ไม่กำหนดวันรักษา คือ รักษาได้ทุกวัน

การรักษาศีล จะต้องมีเจตนาที่จะงดเว้น จากการทำความชั่วทั้งปวง จึงจะเป็นศีล

ถ้าไม่มีเจตนาที่จะงดเว้น แม้ผู้นั้นมิได้ทำความชั่ว ก็ไม่ชื่อว่ามีศีล
เหมือนเด็กอ่อนที่นอนแบเบาะ แม้จะมิได้ทำความชั่วก็ไม่มีศีล เพราะเด็กไม่มีเจตนาที่จะงดเว้น

(ข้อความเพิ่มเติมใน อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต อุโบสถสูตร ข้อ ๕๑๐)

:b55:

กระทู้บอร์ดเก่าโพสโดยคุณแมวขาวมณี
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6625

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2012, 07:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการภาวนา

"ภาวนา" แปลว่า การทำให้มีขึ้น ทำให้เกิดขึ้น
ได้แก่ การฝึกอบรมจิตใจให้เกิดความสงบ ขั้นสมาธิและปัญญา
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงข้อปฏิบัติไว้ ๒ ประการ คือ สมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา

สมถภาวนา คือ การฝึกอบรมจิตใจให้เกิด ความสงบ จนตั้งมั่น เป็นสมาธิ
อารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งการเจริญสมถภาวนา ชื่อว่า กรรมฐาน มี ๔๐ ประเภท คือ
กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ พรหมวิหาร ๔ อรูป ๔
อาหาเรปฏิกูลสัญญา และจตุธาตุววัฏฐาน (รายละเอียดในวิสุทิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒)

วิปัสสนาภาวนา คือ การฝึกอบรม เจริญปัญญาให้เกิดความรู้แจ้งในสภาพธรรมที่เป็นจริง
ตามสภาพของไตรลักษณ์ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
กรรมฐานอันเป็นที่ตั้งของการเจริญวิปัสสนาภาวนา
ได้แก่ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจจ ๔ และปฏิจจสมุปบาท ๑๒

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงไว้ว่า หนทางปฏิบัติ
เพื่อการเข้าไปรู้แจ้งลักษณ์ของสภาพธรรมทั้ง ๖ ประการ นี้
มีเพียงทางเดียวที่จะนำไปสู่พระนิพพานได้ ทางสายเอกนั้นได้แก่ สติปัฏฐาน ๔

- กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเห็นกายในกาย มี ๑๔ ข้อ

- เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเห็นเวทนาในเสทนา มี ๙ ข้อ

- จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเห็นจิตในจิต มี ๑๖ ข้อ

- ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเห็นธรรมในธรรม มี ๕ ข้อ

สำหรับการเจริญภาวนา ในขั้นบุญกิริยาวัตถุนี้
โดยทั่วไปท่านหมายเอาเพียงมหากุศลธรรมดา
แต่หากว่าผู้ใดได้ศึกษาข้อปฏิยัติให้มีความเข้าใจก่อนลงมือปฏิบัติ
แล้วพากเพียรปฏิบัติให้ถูกต้องตามแนวทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้
ก็สามารถเป็นบันได ให้ก้าวไปถึงฌาน หรือมรรคผลได้

(รายละเอียดในมัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ สติปัฏฐานสูตร
ข้อ ๑๓๑-๑๕๒ และทีฆนิกาย มหาวรรค สติปัฏฐานสูตร ข้อ ๒๗๓-๓๐๐)


:b55:

กระทู้บอร์ดเก่าโพสโดยคุณแมวขาวมณี
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6629

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2012, 08:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

๔. อปจายนมัย บุญสำเร็จด้วยการประพฤติอ่อนน้อม

อปจายนะ คือ ความอ่อนน้อม ไม่แข็งกระด้าง
ผู้มีความประพฤติอ่อนน้อม ผู้ที่ขัดเกลาความมานะ และนิสัยกระด้างออกแล้ว
รู้จักบุคคลที่ควรจะอ่อนน้อมด้วย ในฐานะใด ในสภาพใด

สำหรับบุคคลที่ควรจะอ่อนน้อมด้วย มี ๓ ประเภท คือ
๑. วัยวุฒิ ผู้ที่สูงกว่า ด้วยวัย
๒. ชาติวุฒิ ผู้ที่สูงกว่า ด้วยชาติตระกูล
๓. คุณวุฒิ ผู้ที่สูงกว่า ด้วยคุณธรรม

บุคคลผู้มีปกติอ่อนน้อมกราบไหว้ผู้ใหญ่ ย่อมได้รับอานิสงส์ ๔ ประการ
คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ
ในมงคลสูตร กล่าวว่า ผู้อ่อนน้อม ถ่อมตน กำจัดมานะ กำจัดความกระด้างได้
ทำตนให้เป็นเสมือนผ้าเช็ดเท้า เสมอด้วยโคอุสุภะเขาชาด
หรือเสมอด้วยงูที่ถอนเขี้ยวแล้ว ท่านตรัสว่า เป็นมงคล

(เอกสารแจก : วัดพระมหาธาตุ เมืองนครศรีธรรมราช)

:b55:

กระทู้บอร์ดเก่าโพสโดยคุณแมวขาวมณี
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6631

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2012, 08:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

๕. เวยยาวัจจมัย บุญสำเร็จด้วยการขวนขวายรับใช้

เวยยาวัจจมัย คือ การขวนขวาย ช่วยเหลือ ในธุระ กิจการงานของผู้อื่น ที่อยู่ในขอบข่ายของศีลและธรรม เช่น ช่วยเป็นธุระ จัดการในงานบุญ งานกุศล ของส่วนรวม ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ แก่สังคม หรือ ขวนขวาย ทำกุศลต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เช่นการพยาบาลผู้เจ็บไข้ การช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติภัยต่างๆ เป็นต้นว่า ไฟไหม้ ถูกรถชน ตกน้ำ หรือแม้แต่การชี้บอกทาง การช่วยพาคนข้ามถนน ให้ได้รับความปลอดภัย เป็นต้นเหล่านี้ ก็ชื่อว่าเป็นบุญที่ขวนขวายช่วยเหลือผู้อื่น

การสนับสนุนช่วยเหลือในกิจการของส่วนรวม เช่นการสร้างสะพาน สร้างศาลา สร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล ขุดสระน้ำ ปลูกต้นไม้ ปลูกสวนป่า อันเป็นประโยชน์ ต่อส่วนรวมก็จัดเป็น เวยยาวัจจะ เช่นกัน ในคาถาธรรมบท มลวรรค แสดงตัวอย่างเรื่องบุญประเภทนี้ว่า

พราหมณ์ผู้หนึ่ง ยืนดูภิกษุผู้ห่มจีวร ณ สถานที่อันเป็น ที่ห่มจีวร ของพระภิกษุ ก่อนที่จะไปบิณฑบาต พราหมณ์ ได้เห็นชายจีวรของภิกษุเหล่านั้น เกลือกกลั้ว หญ้าที่เปียกน้ำค้าง เขาได้ไปถางหญ้าให้พื้นเรียบ วันรุ่งขึ้น เขาเห็นชายจีวรของพวกภิกษุ ตกลงบนพื้นดินเกลือกกลั้วฝุ่น เขาก็ไปขนทรายมาเกลี่ยลงในที่เป็นฝุ่นนั้น ในเวลาที่พวกภิกษุกลับจากบิณฑบาต ก่อนจะฉันภัตตาหาร ณ ที่นั้น มีแสงแดดกล้า พราหมณ์ เห็นเหงื่อของภิกษุผู้ห่มจีวรแย่ เขาจึงสร้างมณฑป คือเรือนยอดที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม เพื่อให้ร่มเงาแก่ภิกษุเหล่านั้น รุ่งขึ้นอีก มีฝนตกพรำ พราหมณ์นั้นได้สร้างศาลาให้ท่านหลบฝน เขาเป็นผู้ฉลาดขวนขวายหากุศล นี้ชื่อว่าเป็นบุญในข้อ เวยยาวัจจะ

(เอกสารแจก : วัดมหาธาตุ เมืองนครศรีธรรมราช)

:b55:

กระทู้บอร์ดเก่าโพสโดยคุณแมวขาวมณี
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6633

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2012, 08:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

๖. ปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการแบ่งส่วนแห่งความดีให้ผู้อื่น

ปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการแบ่งส่วนแห่งความดีให้แก่ผู้อื่น

การทำบุญแล้ว แบ่งส่วนแห่งการทำความดีนั้นให้แก่ผู้อื่น ให้ผู้อื่นได้มีส่วนแห่งบุญนั้นด้วย ชื่อว่า "ปัตติทาน" การแบ่งส่วนบุญนั้น ทำได้หลายประการ เช่น

- แบ่งส่วนบุญนั้นให้แก่ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่
- อุทิศส่วนบุญนั้น ให้แก่ผู้ที่ล่วงลัไปแล้ว
- อุทิศส่วนบุญนั้น ให้แก่เทวดา ชื่อว่า "เทวตาพลี"

การแบ่งส่วนบุญ ให้แก่ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่

นายอันนภาระ เป็นคนขนหญ้าของสุมนเศรษฐีในกรุงสาวัตถี ได้ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า พระนามว่า อุปริฏฐะ ตั้งความปรารถนาว่า ด้วยอานิสงส์ของทานนี้ ขอความเป็นผู้ขัดสนอย่าได้มีแก่เรา คำว่า "ไม่มี" ขออย่าได้มีในภพน้อยภพใหญ่ที่บังเกิด พระปัจเจกพุทธเจ้ากระทำอนุโมทนาว่า "ขอความปรารถนาของท่านจงสำเร็จเถิด"

เทวดาที่สิงอยู่ในฉัตรของบ้านสุมนเศรษฐี กล่าวว่า "น่าชื่นใจจริง ทานของท่านอันนภาระตั้งไว้ดีแล้วในพระปัจเจกพุทธเจ้า" ได้ให้สาธุการ ๓ ครั้ง สุมนเศรษฐี ได้ยินดังนั้น จึงถามเทวดาว่า "เราถวายทานมาเป็นเวลานานเท่านี้ เหตุไรท่านยังมิเคยให้สาธุการแก่เราเลย" เทวดาตอบว่า "เพราะความเลื่อมใสในบิณฑบาตที่อันนภาระถวายแล้ว"

สุมนเศรษฐี เมื่อรู้เหตุนั้น จึงขอซื้อบุญนั้นกับอันนภาระ ด้วยทรัพย์ถึงพันกหาปนะ อันนภาระไม่ยอมขาย แต่ได้แบ่งบุญนั้นให้สุมนเศรษฐี อนุโมทนาด้วยศรัทธา เพราะฟังอุปมาของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นว่า "ข้าวยาคูกระบวยหนึ่ง หรือทัพพีหนึ่งก็ตาม เมื่อบุคคลนั้น แบ่งส่วนในทานของตนให้แก่ ผู้อื่น ให้แก่คนมากเท่าใด บุญนั้นย่อมเจริญ เหมือนเมื่อแบ่งบุญนี้ให้เศรษฐีก็เท่ากับว่าเพิ่มบุญ เป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นของท่าน อีกส่วนหนึ่งเป็นของเศรษฐี เปรียบเหมือน ประทีปที่จุดไว้ในเรือนหลังเดียว เมื่อมีผู้นำประทีปอื่นมาขอต่อไฟ อีกร้อยดวง พันดวงก็ตาม ประทีปดวงแรก ในเรือนนั้นก็ยังมีแสงสว่างอยู่ และประทีปอีกร้อยดวง พันดวง ที่ต่อออกไปก็ยิ่งเพิ่มแสงสว่างให้สว่างอีกเป็นทวีคูณ ดุจบุญที่แม้แบ่งใครๆ แล้ว บุญนั้น ก็ยังมีอยู่มิได้หมดสิ้นไป ฉะนั้น" (ขุททกนิการ คาถาธรรมบท ภิกขุวรรค เรื่องสุมนสามเณร)

การอุทิศส่วนบุญให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว

ในอังคุตตรนิกาย ทสกนิกาต ชาณุสโสณีสูตร ข้อ ๑๖๖ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบข้อสงสัยของชาณุสโสณี พราหมณ์ ว่า ในบรรดา สัตว์ ทั้งหลาย มีสัตวนรก สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา และเปรตทั้งหลาย มีเปรตจำพวกเดียวที่ได้รับส่วนบุญที่มีผู้อุทิศไปให้ เพราะวิสัยของเปรต ย่อมยังชีพอยู่ด้วยทานที่หมู่ญาติ หรือหมู่มิตรสหายให้ไปจากมนุษย์โลกนี้เท่านั้น
ส่วนสัตว์เหล่าอื่นที่ไม่ได้รับเพราะเหตุว่า

"สัตว์นรก" มีกรรมเป็นอาหาร มีกรรมเป็นเป็นผู้หล่อเลี้ยงอุปถัมภ์ ให้สัตว์นรกนั้นๆ มีชีวิตอยู่

"สัตว์เดรัจฉาน" มีชีวิตอยู่ด้วย ข้าว น้ำ หญ้า และเนื้อสัตว์ เป็นต้น

"มนุษย์" มีชีวิตอยู่ด้วยอาหารมี ข้าวสุก และขนม เป็นต้น

"เทวดา" มีอาหารทิพย์ มิได้บริโภคอาหารเช่นเดียวกับมนุษย์

ส่วน "เปรต" นั้น ไม่มีการทำไร่ ไถนา ไม่มีการเลี้ยงโค ไม่มีการค้าขาย เปรต มีชีวิตอยู่ด้วยการให้ของผู้อื่นแต่อย่างเดียว เพราะฉะนั้น เปรตจึงอยู่ในฐานะที่จะรับส่วนบุญที่มีผู้อุทิศไปให้


เหมือน พระเจ้าพิมพิสารอุทิศส่วนบุญที่ได้ถวายทานแล้ว ให้แก่เปรตผู้เป็นญาติสายโลหิต ทั้งหลาย ที่รอคอย มาเป็นเวลานาน ดังในขุททกนิกายขุททกปาฐะ ติโรกุฑฑสูตร อรรถกถา กล่าวว่า

- ในขณะที่พระเจ้าพิมพิสาร ถวายข้าวยาคู ของเคี้ยว ของกิน แล้วทรงอุทิศว่า ขอทานนี้จงถึงแก่พวกญาติทั้งหลาย ทันใดนั้น ข้าวยาคู ของเคี้ยว ของกินอันเป็นทิพย์ ก็บังเกิดแก่เปรตเหล่านั้น ให้อิ่มหนำ สำราญ มีอินทรีย์อิ่มเอิบ

- ในขณะที่พระราชานั้น ถวายผ้า และเสนาสนะเป็นต้น แล้วทรงอุทิศว่า ขอทานนี้จงถึงแก่พวกญาติทั้งหลาย ทันใดนั้นเอง ผ้าทิพย์ ยานทิพย์ ปราสาททิพย์ เครื่องปูลาด และที่นอน อันเป็นทิพย์ บังเกิดขึ้นแล้ว แก่เปรตเหล่านั้น ได้สวมใส่ใช้สอย

- ในขณะที่พระราชา หลั่งน้ำทักษิโณทก (กรวดน้ำ) ทรงอุทิศว่า ขอทานเหล่านี้จงถึงแก่พวกญาติทั้งหลาย ขอญาติทั้งหลายจงมีความสุข ทันใดนั้นเอง สระโบกขรณีดาษด้วยปทุม ก็บังเกิดแก่พวกเปรตเหล่านั้น ให้ได้อาบ ดื่มกิน ระงับความกระหายกระวนกระวายได้แล้ว มีผิวพรรณดุจทอง

การอุทิศส่วนบุญให้แก่เทวดา เรียกว่า เทวตาพลี

ในปรมัตถทีปนี อรรถกถา ปาฏลิคามิยสูตร แสดงไว้ว่า บุคคลเมื่อถวายปัจจัย ๔ แก่สงฆ์แล้ว พึงอุทิศส่วนบุญนั้นให้แก่เทวดาด้วย เพราะว่าคนที่อุทิศส่วนบุญให้แก่เทวดาแล้ว เทวดาย่อมคุ้มครองรักษาผู้นั้น เพราะเทวดาพากันคิดว่า คนเหล่านี้แม้จะมิได้เป็นญาติกับเราก็ยังให้ส่วนบุญแก่เราได้ ฉะนั้น เราควรอนุเคราะห์พวกเขาตามสมควร

อนึ่ง พึงเข้าใจว่า เทวดาเมื่อท่านทราบแล้ว ท่านอนุโมทนากุศลนั้นด้วย ท่านก็เพียงแต่เกิดกุศลจิตพลอยยินดีด้วยเท่านั้น ท่านมิได้รับผลของทานที่มีผู้อุทิศไปโดยตรงเหมือนอย่างเปรตที่ได้รับ

(เอกสารแจก : วัดมหาธาตุ เมืองนครศรีธรรมราช)

:b55:

กระทู้บอร์ดเก่าโพสโดยคุณแมวขาวมณี
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6637

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2012, 08:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว



รูปภาพ

๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการยินดีในบุญของผู้อื่น

การอนุโมทนาในส่วนบุญ ที่ผู้อื่นแบ่งให้
หรือพลอยยินดีด้วยในส่วนบุญที่ผู้อื่นกระทำ ชื่อว่า "ปัตตานุโมทนา"

การอนุโมทนาบุญที่มีผู้แบ่งให้

คาถาธรรมบท พราหมณวรรค เรื่องพระโชติกะเถระ แสดงไว้ว่า กฎุมพีสองพี่น้อง ในกรุงพาราณาสี ทำไร่อ้อยไว้เป็นอันมาก วันหนึ่งกฎุมพีผู้น้องไปไร่อ้อย ถือเอาอ้อยมาสองลำคิดจะให้พี่ชายด้วย ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็มีจิตเลื่อมใสได้ถวายอ้อยในส่วนของตนลงในบาตร ตั้งความปรารถนาว่า "ด้วยผลแห่งรส (อ้อย) อันเลิศนี้ ข้าพเจ้าพึงได้เสวยสมบัติในเทวโลก และมนุษยโลก ในที่สุดพึงบรรลุธรรมที่ท่านบรรลุแล้วนั่นแล"

เมื่อท่านฉันแล้ว เขาจึงได้ถวายอ้อย ส่วนที่สอง อันเป็นส่วนของพี่ชายลงในบาตรอีก ด้วยคิดว่า เราจักให้มูลค่าหรือส่วนบุญแก่พี่ชาย พระปัจเจกพุทธเจ้าอนุโมทนาแล้ว เหาะไปสู่ภูเขาคันธมาทน์ ถวายน้ำอ้อยนั้นแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าอีก ๕๐๐ องค์ที่ภูเขานั้น กฎุมพีผู้น้องเห็นเหตุการณ์นั้นเกิดปีติ กลับไปเล่าให้พี่ชายฟัง ถึงเหตุนั้น ถามพี่ชายว่า "พี่จักรับเอามูลค่าอ้อยนั้น หรือจักรับเอาส่วนบุญ" พี่ชายมีจิตเลื่อมใส ไม่รับเอามูลค่า ขออนุโมทนาส่วนบุญจากกกฎุมพีผู้น้องด้วยใจโสมนัส ตั้งความปรารถนาว่า "ขอเราพึงได้บรรลุธรรมที่พระปัจเจกพุทธเจ้าเห็นนั้นเถิด"

นี่คือตัวอย่างของการที่มีผู้แบ่งบุญให้ที่ชื่อว่า
"ปัตตานุโมทนา" การพลอยยินดีด้วยในบุญที่ผู้อื่นกระทำ


ในขุททกนิกาย วิมานวัตถุ ความย่อมีว่า พระอนุรุทธะถามนางเทพธิดาว่า "ท่านมีวรรณะงามยิ่งนัก มีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ เหมือนดาวประกายพรึก เมื่อท่านฟ้อนอยู่ เสียงอันเป็นทิพย์น่าฟังรื่นรมย์ใจ ย่อมเปล่งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ทุกส่วน ทั้งกลิ่นทิพย์อันหอมหวลก็ฟุ้งออกจากกายทุกส่วน เสียงของเครื่องประดับ ช้องผมที่ถูดรำเพยพัดก็กังวานไพเราะดุจเสียงดนตรี แม้พวงมาลัยบนเศียรเกล้าของท่าน ก็มีกลิ่นหอมชวนเบิกบานใจ หอมฟุ้งไปทั่วทุกทิศ ดูกร นางเทพธิดา อาตมาขอถามว่า นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร"

นางเทพธิดาตอบว่า "ข้าแต่พระคุณเจ้า นางวิสาขามหาอุบาสิกา ผู้สหายของดิฉัน ที่อยู่ในเมืองสาวัตถี ได้สร้างวิหารถวายสงฆ์ ดิฉันได้เห็นวิหารนั้น มีจิตเลื่อมใสอนุโมทนาพลอยยินดีด้วยในบุญนั้นของนาง ก็วิมานและสมบัติทุกอย่างที่ดิฉันได้แล้วนี้ เพราะการพลอยยินดีโมทนาบุญของสหายนั้น ด้วยจิตอันบริสุทธิ์อย่างเดียวเท่านั้น"

จากพระสูตรนี้จะเห็นได้ว่า เพียงจิตเลื่อมใสอนุโมทนาในบุญที่ผู้อื่นที่ได้กระทำแล้ว ยังให้ผลเห็นปานนี้ แม้ว่าจะยังไม่มีใครบอกบุญให้ก็อนุโมทนาเช่น เห็นคนกำลังใส่บาตร มีจิตยินดีอนุโมทนาด้วยในบุญนั้น ก็นับเป็นบุญที่ชื่อว่า "ปัตตานุโมทนา"

(เอกสารแจก : วัดพระมหาธาตุ เมืองนครศรีธรรมราช)

:b55:

กระทู้บอร์ดเก่าโพสโดยคุณแมวขาวมณี
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6671

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2012, 08:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

๘. ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม

การฟังธรรม เป็นการศึกษาหาความรู้ เพื่อให้เกิดปัญญา เข้าใจในหลักพระธรรมคำสอน ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งสามารถจะนำให้ผู้ประพฤติปฏิบัติตาม ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน พ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏนี้ได้

การฟังธรรมมีอานิสงส์มากถึง ๕ ประการ คือ
๑. ได้ฟังในสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง
๒. เรื่องใดที่เคยได้ฟังแล้ว ได้ฟังซ้ำอีกย่อมมีความชัดเจนขึ้น
๓. บรรเทาความสงสัยเสียได้
๔. ทำความเห็นให้ถูกต้องได้
๕. จิตของผู้ฟังธรรมย่อมผ่องใส


การได้ฟังพระธรรมพึงทราบว่าเป็นมงคล เพราะเป็นเหตุให้ประสบผลวิเศษนานาประการ
มีการละจากความชั่ว ประพฤติความดี และบรรลุธรรมอันเป็นที่สิ้นอาสวะได้ในที่สุด เป็นต้น

ในสังยุตตนิกาย สคาถวรรค ปิยังกรสูตร กล่าวไว้ว่า ในเวลา ใกล้รุ่งแห่งราตรีหนึ่ง ที่พระวิหารเชตวัน ท่านพระอนุรุทธะกำลังกล่าวธรรมอยู่ ครั้งนั้น นางยักษิณีผู้เป็นมารดาของปิยังกระ ได้กล่าวห้ามบุตรว่า “อย่าอึงไป ภิกษุกำลังกล่าวบธรรมอยู่ ให้ตั้งฟัง เมื่อเรารู้แจ้งบทธรรมนั้นแล้วปฏิบัติ ข้อนั้นจักมีประโยชน์เกื้อกูลแก่เรา หากเราศึกษา ทำตนให้เป็นผู้มีศีลดีนั่นแหละ จักพ้นจากกำเนิดปีศาจได้”

ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า การฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญา คือเมื่อฟังแล้วย่อมเกิดความเข้าใจในธรรม ที่มีผู้ยกมาแสดง เมื่อเข้าใจในธรรมนั้นแล้ว น้อมนำคำสอนนั้นมาประพฤติปฏิบัติตามย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้

ในขณะที่ฟังธรรม แม้จะไม่รู้เรื่องราว ไม่เข้าใจในธรรมนั้น แต่ฟังด้วยความรู้สึกว่า "นั่นคือเสียงแห่งพระธรรม" เลื่อมใสในเสียงที่ได้ยินย่อมก่อให้เกิดบุญกุศลได้เช่นกัน ดังท่านเล่าไว้ว่า ค้างคาว กบ ได้ยินเสียงพระสวด ด้วยความตั้งใจฟัง และมีจิตเลื่อมใสในเสียงที่กล่าวธรรมนั้น ตายลงในขณะนั้น ทำให้ได้ไปเกิดในสวรรค์ พ้นจากความเป็นสัตว์เดรัจฉานได้

(เอกสารแจก : วัดพระมหาธาตุ เมืองนครศรีธรรมราช)

:b55:

กระทู้บอร์ดเก่าโพสโดยคุณแมวขาวมณี
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6696

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2012, 08:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

๙. ธัมมเทสนามัย บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม

การแสดงธรรม ด้วยใจที่หวังจะให้ผู้ฟังได้รับประโยชน์ โดยที่ตนมิได้มุ่งหวังในลาภสักการะใดๆ จัดเป็นบุญที่เรียกว่า “ธรรมทาน” เป็นบุญที่ให้ผลมากว่าทานทั้งปวง ดังที่พระพุทธองค์ตรัสวา “การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง”

การแสดงธรรมด้วยการแจกจ่ายธรรม

คือแจกแจงพระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว เพื่ออนุเคราะห์ให้ผู้ได้รับฟังเกิดจิตเลื่อมใสในพระสัทธรรมของพระพุทธองค์ที่ทรงพร่ำสอนอย่านี้ว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ เป็นต้น

การแสดงธรรมให้เลิกละ จากอกุศลธรรม ให้ตั้งอยู่ในกุศลธรรมทั้งหลายเช่น
การไม่ทำบาปทั้งปวง ๑
การทำกุศลให้ถึงพร้อม ๑
การทำจิตของตนให้ผ่องใส ๑
การไม่กล่าวร้าย ๑
การไม่ทำร้าย ๑
การสำรวมในพระปาฏิโมกข์ ๑
การรู้ประมาณในการบริโภค ๑
การนอนการนั่งในที่อันสงบสงัด ๑
ความเพียรประกอบในการทำจิตให้ยิ่ง ๑

ธรรมเหล่านี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย (ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปทานสูตร โอวาทปาฏิโมกข์)


ในอังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต อุทายีสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า
ภิกษุเมื่อจะแสดงธรรมแก่ผู้อื่น พึงตั้งธรรม ๕ ประการนี้ในใจก่อน แล้วจึงแสดงธรรม คือ

เราจักแสดงธรรมไปโดยลำดับ ๑
เราจักแสดงธรรมโดยอ้างเหตุผล ๑
เราจักแสดงธรรมโดยอาศัยความเอ็นดู ๑
เราจักไม่เป็นผู้เพ่งอามิสในการแสดงธรรม ๑
เราจักไม่แสดงธรรมให้กระทบตนและผู้อื่น ๑


ผู้ใดตั้งธรรม ๕ ประการนี้ ไว้ภายในใจแล้วแสดงธรรม
อย่างนี้ชื่อว่าเป็น “ธรรมทาน” โดยแท้

อนึ่ง แม้บุคคลผู้แสดงธรรมเองก็ย่อมได้รับประโยชน์ คือ ได้เข้าใจในความหมาย
และความลึกซึ้งในธรรมที่ยกมาแสดงนั้น เพิ่มขึ้น ๑
เป็นที่พึงพอใจของพระบรมศาสดา ๑
อาจแทงตลอดเนื้อความอันลึกซึ้งของธรรมนั้น ได้ ๑
เป็นที่สรรเสริญของกัลยาณชน ๑


สำหรับการแสดงธรรมนี้มิได้หมายว่า ภิกษุเท่านั้นที่จะเป็นผู้แสดงธรรมได้ แม้ อุบาสกอุบาสิกา หรือฆราวาสผู้มีความรู้ ผู้ศึกษาธรรม ผู้ปฏิบัติ แม้แต่การอบรมเยาวชน หรือลูกหลานด้วยธรรมะ ก็ชื่อว่า “ธัมมเทสนา” เช่นกัน

(เอกสารแจก : วัดพระมหาธาตุ เมืองนครศรีธรรมราช)

:b55:

กระทู้บอร์ดเก่าโพสโดยคุณแมวขาวมณี
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6698

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2012, 08:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

๑๐. ทิฏฐุชุกัมม บุญสำเร็จด้วยการทำความเห็นให้ตรง

“ทิฏฐิ” แปลว่าความเห็น เช่น “สัมมาทิฏฐิ” ความเห็นชอบ หรือ “มิจฉาทิฏฐิ” ความเห็นผิด ส่วนคนที่มีความอวดดื้อถือดี หรือยึดมั่นในอุดมการณ์ต่างๆ อย่างงมงาย โดยไม่ยอมรับฟังความเห็นของผู้อื่น คือมีความเชื่อมั่นในความเห็นของตนเองว่าอย่างนี้ถูก ถือเอาความเห็นของตนเป็นใหญ่แต่ประการเดียว โดยที่ยังมิได้พิจารณาด้วยเหตุและผลว่าสิ่งนั้นผิดหรือถูก บุคคลนั้นชื่อว่าผู้มีทิฏฐิ

ความเห็นที่ถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ มี ๑๐ ประการ
๑. เห็นว่า ทานที่ให้แล้วมีผล
๒. เห็นว่า การบูชาพระรัตนตรัยมีผล
๓. เห็นว่า การบวงสรวงเทวดามีผล
๔. เห็นว่า ผลของกรรมดี กรรมชั่ว มีอยู่
๕. เห็นว่า สัตว์ที่เกิดมาในโลกนี้มีอยู่ (โลกนี้มี)
๖. เห็นว่า สัตว์ในโลกนี้ตายแล้วเกิดในโลกอื่นมีอยู่ (โลกหน้ามี)
๗. เห็นว่า คุณของมารดา มีอยู่
๘. เห็นว่า คุณของบิดา มีอยู่
๙. เห็นว่า โอปปาติกะ คือสัตว์ที่เกิดขึ้น แล้วโตทันที มีอยู่
๑๐. เห็นว่า สมณพราหมณ์ ผู้รู้แจ้งโลกนี้ และโลกหน้าด้วยตนเองแล้วประกาศให้ผู้อื่นได้รู้ด้วย (พระพุทธเจ้า) มีอยู่ และสมณพราหมณ์ที่ถึงพร้อมด้วยความสามัคคี ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ (พระสงฆ์) มีอยู่


ในบุญกิริยาวัตถุทั้ง ๑๐ ประการ นี้ เป็นการทำบุญที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ในพระพุทธศาสนา โดยไม่ต้องใช้จ่ายเงินทองมากมาย มีบุญกิริยาประการเดียวคือ การให้วัตถุทานเท่านั้นที่ต้องใช้เงินทอง บุญกิริยาที่เหลืออีก ๙ ประการ มิต้องใช้เงินทองเลย เพราะฉะนั้นทุกคนสามารถที่จะสั่งสมบุญได้มากขึ้นในชีวิตประจำวัน ถ้ามีความเข้าใจในขั้นตอนของการทำบุญเช่นนี้แล้ว

ในคาถาธรรมบท ท่านกล่าวว่า ไม่ควรประมาทในบุญเล็กๆ น้อยๆ ว่ายังไม่ควรทำ เพราะแม้บุญเล็กน้อยนั้น ถ้าได้สั่งสมบ่อยๆ ก็ยังมีผลให้เกิดความสุข เหมือนหม้อน้ำที่เปิดปากไส้ แม้น้ำหยดลงที่ละหยด ก็สามารถเต็มหม้อน้ำนั้นได้ ฉันใด บุญเล็กบุญน้อย ที่บุคคลทำบ่อยๆ ก็ย่อมจะพอกพูนให้เต็มเปี่ยมได้ เหมือนหยดน้ำที่หยดลงมาจนเต็มหม้อน้ำ ฉันนั้นแล


:b40: ............ จบบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ............ :b40:


(เอกสารแจก : วัดพระมหาธาตุ เมืองนครศรีธรรมราช)

:b55:

กระทู้บอร์ดเก่าโพสโดยคุณแมวขาวมณี
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6700

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2012, 08:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


:b41: มนุษย์เรามีเวลาสั่งสมบุญหรือบาป เพียง 1,800 สัปดาห์เท่านั้น :b41:

อายุโดยเฉลี่ยของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 จนถึงวันนี้ พ.ศ. 2548
คือ 75 ปี ตั้งแต่เกิดจนตาย
ถ้านับเวลาเป็นวันคือ 27,375 วัน
ถ้านับสัปดาห์คือ 3,900 สัปดาห์
ถ้านับเป็นเดือนคือ 900 เดือน
ถ้านับเป็นชั่วโมงคือ 657,000 ชั่วโมง
ถ้านับเป็นนาทีคือ 39,420,000 นาที
ถ้านับเป็นวินาทีคือ 2,365,200,000 วินาที
เท่ากับว่าถ้าเรานับ 1 ถึง 2,365,200,000
เราก็จะแก่ตายพอดี สมการคือ
(60 วินาที x 60 นาที x 24 ชั่วโมง x 365 วัน x 75 ปี = 2,365,200,000)
หรืออาจจะใช้อีกสมการหนึ่งคือ
(60 วินาที x 60 นาที x 24 ชั่วโมง x 30 วัน x 12 เดือน x 75 ปี = 2,332,800,000)
ตัวเลขไม่เท่ากันกับด้านบนเนื่องจาก
บางเดือน มี 28 วัน บางเดือนมี 29 วัน
บางเดือนมี 30 วัน บางเดือนมี 31 วัน
ไม่แน่นอนแต่ก็ใกล้เคียงกันระหว่าง 2 สมการ

วันหนึ่งๆ มี 24 ชั่วโมง
มนุษย์เราจะเสียเวลานอนเฉลี่ย 8-12 ชั่วโมง / วัน
(ยังไม่รวมแอบหลับตอนกลางวัน)
เพราะฉะนั้นเราจะมีเวลาใช้ชีวิตกันจริงๆ
เพียงครึ่งหนึ่งของเวลาจริงเท่านั้น


เมื่อไม่นับเวลาที่เรานอน
ตั้งแต่เกิดถึงตายเราจะมีเวลาเพียงแค่ 13,687 วัน
หรือ 1,800 สัปดาห์ หรือ 450 เดือน
หรือ 328,500 ชั่วโมง หรือ 19,710,000 นาที
หรือ 1,182,600,000 วินาทีเท่านั้นเอง
(เพียงเรานับ 1 ถึง 1,182,600,000 เราก็แก่ตายแล้ว)
ยิ่งเวลาที่เราเจ็บไข้ได้ป่วยต้องล้มหมอนนอนเสื่อ
ก็จะทำให้เราเสียเวลาไปอีกมากต่อมาก

มนุษย์ในโลกนี้ไม่จำเป็นต้องแก่ตาย
ไม่จำเป็นต้องอยู่ครบอายุ จะตายก่อนเมื่อใดก็ได้ทั้งสิ้น
ขึ้นอยู่กับกรรมในอดีตชาติ
บางคนตายตั้งแต่อยู่ในท้องมารดา
บางคนตายเมื่ออายุ 7 ชั่วโมง
บางคนตายเมื่ออายุ 7 วัน
บางคนตายเมื่ออายุ 7 สัปดาห์
บางคนตายเมื่ออายุ 7 เดือน
บางคนตายเมื่ออายุ 7 ปี
แล้วคุณผู้อ่านทั้งหลายใช้เวลามาเท่าไรแล้ว
จะเหลืออีกกี่วัน ถ้าคิดว่าตนเองจะอยู่ครบอายุ 75 ปี
นั่นถือว่าประมาทอย่างยิ่ง (เป็นความคิดที่โง่เขลาเหลือเกิน)
ชีวิตมนุษย์มีน้อยนัก อย่ามัวประมาทอยู่เลย
รีบทำบุญทำกุศลเพื่อเป็นเสบียงไปภพหน้ากันเถอะ


แต่ก็มีมนุษย์บางจำพวกชอบพูดว่า
"เดี๋ยวรอให้แก่ก่อนแล้วค่อยทำบุญ"
โถ...คิดไปได้ กรรมอะไรมันบังตาทำให้คุณคิดเช่นนั้น
แล้วคุณรู้ได้อย่างไร ว่าจะอยู่ถึงแก่น่ะ
อดีตชาติของคุณอาจจะเคยก่อกรรมทำเข็ญบางอย่างมา
จนกรรมนั้นตามมาทันในชาตินี้ หรือ เดี๋ยวนี้
ซึ่งคุณอาจจะเสียชีวิต อาจจะหัวใจวายตาย
อาจจะเส้นเลือดตีบ หรือตายด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง
ภายหลังจากอ่านบทความนี้จบก็เป็นได้
กรรมมันจัดสรรมาแล้ว
ตั้งแต่คุณ "จุติ" จากชาติที่แล้ว
จนคุณมา "ปฏิสนธิ" ในชาตินี้
ว่าคุณจะต้องตายเมื่อไร วันไหน เวลาไหน
ซึ่งมนุษย์ทุกคนตายได้ทุกเวลา ทุกสถานที่
ดังคำกล่าวที่ว่า "ยามถึงคราว วาวายชีวาวัณ
ไม้จิ้มฟันจิ้มเหงือกดันเสือกตาย"

โอกาสที่จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกนั้นยากเต็มที
อุปมาเหมือนมีเต่าตาบอดตัวหนึ่งอยู่ในมหาสมุทร
ในมหาสมุทรมีห่วงยางอยู่ 1 ห่วง
ในเวลา 100 ปี เต่าตาบอดตัวนี้ จะขึ้นมาหายใจ 1 ครั้ง
แล้วให้คอเต่าตัวนี้ ลอดห่วงพอดี
ซึ่งยากมากหรือแทบเป็นไปไม่ได้
(โอกาสเป็นไปได้ไม่ถึง 0.00000001 %)

การเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากกว่าการอุปมานี้เสียอีก
เพราะต้องอาศัยผลบุญในอดีตชาติ
เช่น การให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
ที่สั่งสมมาจำนวนมากๆ
เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ได้แล้ว
ก็จะพบกับความยากอีก 4 อย่างตามมาอีก

ซึ่งความยากที่สุด 4 อย่าง
ตามที่พระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้คือ


1) การได้เกิดเป็นมนุษย์ ในชมพูทวีป (ที่มีอาการครบ 32)

2) การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าในกัปป์นั้นๆ
(ยุคปัจจุบันเรียกว่า "ภัทรกัปป์" หมายถึง กัปป์ที่จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 5 พระองค์
ได้แก่ พระกกุสัณธะ, พระโกนาคมนะ, พระกัสสะปะ, พระโคโตมะ, และพระศรีอริยะ)

3) การเกิดในประเทศที่มีพระพุทธศาสนาประดิษฐานอยู่

4) การได้ศึกษาพระพุทธศาสนา
(แก่นคือการเจริญภาวนา สติปัฏฐาน 4 โดยพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม
เป็นอารมณ์ทุกขณะจิตในชีวิตประจำวัน)


พวกเราในปัจจุบันนั้นได้มาครบทั้ง 4 อย่างแล้ว
เป็นความยาก 4 อย่างที่มาบรรจบกัน
ซึ่งเกิดขึ้นได้ยากที่สุด
เราจะปล่อยให้โอกาสดีๆ แบบนี้ผ่านไปเฉยๆ เหรอ
(ยังมีมนุษย์ตามืดบอดอีกจำนวนมาก ที่มองเป็นเรื่องปกติธรรมดา
เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งน่าเสียดายเหลือเกิน)


ส่วนมนุษย์ที่มีปัญญาอย่างเราๆ
ควรรีบทำบุญทำกุศลให้มากที่สุด
และการได้มาซึ่งบุญตามพระไตรปิฏกมี 10 ประการดังนี้
(เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ 10)

1) ทานมัย
บุญที่สำเร็จด้วยการบริจากทาน
2) สีลมัย
บุญที่สำเร็จด้วยการรักษาศีล
3) ภาวนามัย
บุญที่สำเร็จด้วยการเจริญภาวนา (สติปัฏฐาน 4)
4) อปจายนมัย
บุญที่สำเร็จด้วยการแสดงตนเป็นคนอ่อนน้อม
5) ไวยยาวัจจมัย
บุญที่สำเร็จด้วยการขวานขวายช่วยในกิจการที่ชอบ
6) ปัตติทานมัย
บุญที่สำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ
7) ปัตตานุโมทนามัย
บุญที่สำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ
8) ธัมมสวนมัย
บุญที่สำเร็จด้วยการฟังพระสัทธรรม
9) ธัมมเทสนามัย
บุญที่สำเร็จด้วยการแสดงพระธรรมเทศนา
10) ทิฏฐุชุกรรม
การกระทำความรู้ความเห็นแห่งตนให้ตรง
(เชื่อว่า บาป-บุญมี, นรก-สวรรค์มี, ชาตินี้-ชาติหน้ามี)


อย่าปล่อยให้เวลาแต่ละวันสูญเปล่า
ไปกับเรื่องไร้สาระแบบคนตามืดบอดเลย

ถ้าตายแบบคนตามืดบอดไม่เคยสั่งสมบุญ
ต้องไปเกิดในอบายภูมิ
(นรก-อสุรกาย-เปรต-เดรัจฉาน)
ถ้าตายแบบคนมีปัญญา จักไปเกิดในสุคติภูมิ
(มนุษย์-เทวโลก-พรหมโลก)
ผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงรู้ไว้
ว่ายังมีบุญอีกตั้ง 10 ประเภทให้ผู้มีปัญญาเลือกทำกัน
ตามจริตและอัธยาศัย

โลกมนุษย์ใบนี้
ไม่ใช่ที่ที่มนุษย์จะมาตั้งรกรากอยู่กันแบบถาวร
แต่เป็นเพียงสนามสอบเท่านั้น
เรามาอยู่กันชั่วครั้งชั่วคราว
สอบเสร็จก็ต้องจากไป
โดยใช้ผลบุญ-ผลบาป เป็นตัววัดว่าสอบได้หรือสอบตก


ถ้าคุณต้องการแสวงหาความสุขที่แท้จริง
และค่อนข้างยั่งยืน
คุณต้องทำข้อสอบให้ได้คะแนนมากๆ
(คะแนนคือบุญกุศล)
แล้วคุณจะได้ไปเกิดยัง "เทวโลก"
ซึ่งเป็นโลกแห่งความสุขแท้
และมีอายุขัยยาวนานเกินคณานับ

แต่ถ้าคุณต้องการความสงบทางจิตแบบเหนือชั้น
คุณต้องทำข้อสอบให้ได้คะแนนมากกว่านั้นขึ้นไปอีก
(คะแนน คือ "ฌาณสมาบัติ"
หรือ สมาธิขั้นสูงระดับ "ปฐมฌาณ" ขึ้นไป)
แล้วคุณจะได้ไปเกิดยัง "พรหมโลก"
อย่ามายึดติดในโลกมนุษย์ซึ่งมีแต่ความทุกข์
และอายุน้อยนิดใบนี้เลย

ทรัพย์สมบัติในโลกใบนี้
ที่เราหลงผิดไปแสวงหามาแทบตาย
แต่อนิจจัง อายุมนุษย์ช่างน้อยเหลือเกิน
ไม่ทันได้ใช้ทรัพย์เหล่านั้นก็ต้องมาตายเสียก่อน
และทรัพย์เหล่านั้นไม่สามารถติดตัวเราไปได้อีกต่างหาก
แต่เราเอาไปได้อย่างเดียวคือ บุญ-บาป เท่านั้น


ท่านผู้มีปัญญาเห็นธรรมทั้งหลาย
โปรดพิจารณาว่า ที่เราขวนขวายแสวงหา
ทรัพย์สมบัติต่างๆ นาๆ
ทั้งๆที่รู้ว่าไม่สามารถนำติดต่อไปได้นั้น
เราเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์หรือไม่
คนรวยก็ตาย คนจนก็ตาย
ทำไมเราไม่เอาเวลาไปทำบุญทำกุศลให้มากที่สุด
ซึ่งถือว่าเป็นอริยทรัพย์
สามารถนำติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติ

โปรดใช้เวลาในโลกใบนี้ในแต่ละนาทีอย่างคุ้มค่าเถอะ
เพราะเราเหลือเวลากันอีกน้อยแล้ว

ให้สมกับความยากที่ได้เกิดบนโลกใบนี้
ถ้าเราไม่รีบทำบุญทำกุศลให้มากที่สุด
ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไร กี่อสงค์ขัย กี่มหากัปป์
เราจะได้กลับมาเกิดบนโลกใบนี้อีก
หรืออาจจะไม่ได้มาอีกเลยก็เป็นได้
ถ้าคุณประมาทปล่อยให้เวลาแต่ละวันผ่านไปเฉยๆ
ผ่านไปกับเรื่องไร้สาระ ผ่านไปกับเรื่องไม่มีแก่นสาร
ครั้งนี้คุณอาจจะได้เป็นมนุษย์เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว !!!

ก่อนจะสายเกินไป
คุณมีเวลาทำบุญทำกุศลจริงๆทั้งชีวิต
โดยไม่นับเวลานอนเพียงแค่ 1,800 สัปดาห์
หรือ 450 เดือน เท่านั้นเอง
(หรือเพียงเรานับ 1 ถึง 1,182,600,000 เราก็แก่ตายแล้ว)
โปรดใช้เวลาเท่าที่มีนี้ อย่างคุ้มค่าที่สุดนะ !!!


*** ขอทิ้งท้ายไว้ให้คิด เมื่อวิญญาณออกจากร่าง
ก็จะมาเสียดายว่า ตอนมีชีวิตอยู่ไม่เคยทำบุญไว้เลย
มาคิดตอนนั้นก็สายไปแล้ว
ต้องก้มหน้าก้มตารับกรรมในนรกจากบาปกรรม
ที่ตัวเองทำระหว่างตอนเป็นมนุษย์
ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไร กี่อสงค์ขัย กี่มหากัปป์
เราจะได้กลับมาแก้ตัวบนโลกใบนี้อีก ? ***

*** พวกมนุษย์ที่ชอบพูดว่า
"สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ" น่ะ
คือคนที่กลัวว่าตนเองจะต้องไปรับกรรม
ในนรกจากบาปกรรมของตัวเอง
จึงพยายามสรรหาคำพูดมาปลอบใจตัวเองต่างๆ นาๆ
กฎแห่งกรรมมันเป็นกฏธรรมชาติ
มันให้ผลไปตามธรรมชาติ
ถึงคุณจะสรรหาคำอะไรมาปลอบใจตังเอง
ก็หนีกฎแห่งกรรมไม่พ้นหรอก...
หว่านเมล็ดพันธุ์เช่นไร ก็ต้องได้ผลเช่นนั้น
ปลูกมะม่วงก็ต้องได้ผลมะม่วง
คุณจะมาพูดว่า "มะม่วงอยู่ในใจอย่างนั้นหรือ"
เลิกโง่เขลากันซะทีเถอะ ***


----------------

คัดลอกจาก...คุณsittirat
http://larndham.net/index.php?showtopic=19325

----------------

กระทู้บอร์ดเก่าโพสโดยคุณลูกโป่ง
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=8159

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2012, 09:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 12:26
โพสต์: 53

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทางแห่งความดี อ.วศิน อินทสระ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
ขออนุโมทนา สาธุ
tongue smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2012, 16:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


Kiss :b8: :b8: :b8:

ชาวพุทธเราเป็นคนใจบุญมาก แต่ส่วนใหญ่เมื่อเราคิดจะทำบุญต้องคิดถึงเรื่องทำบุญด้วยเงินก่อนเสมอ ทั้งๆ ที่การทำบุญทำได้ถึง ๑๐ อย่างด้วยกัน “ทาน” เป็นการทำบุญอย่างเดียวที่ต้องใช้เงิน แต่การทำบุญอีก ๙ อย่าง ไม่ต้องใช้เงินเลย (แถมยังได้บุญมากกว่าการให้ทานเสียอีก) อยากให้ชาวพุทธทุกท่านสนใจในจุดนี้ค่ะ...ทำบุญทำได้ ๑๐ วิธี...ให้ทาน รักษาศีล อย่าลืมภาวนานะคะ

• บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ : พระสาสนโสภณ (พิจิตร ฐิตวณฺโณ)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=50223

• บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ (วัดพระมหาธาตุ เมืองนครศรีธรรมราช)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=43424

• วิธีสร้างบุญ ๑๐ ประการ (บุญกิริยาวัตถุ ๑๐)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=43221

• บุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=41678

• บุญและความหมายแห่งบุญ ๓ ระดับ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=29834

• บุญที่ถูกต้อง คือ อย่าหลงบุญ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=35733

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2012, 17:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: สาธุ อนุโมทนา ค่ะ คุณสาวิกาน้อย



.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 23 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร