วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 15:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 08:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มิ.ย. 2004, 01:20
โพสต์: 1785


 ข้อมูลส่วนตัว www


เชิญประชาสัมพันธ์สถานที่ปฏิบัติ โดยการลงชื่อ-ที่อยู่ กำหนดการ-ระเบียบการ และเว็บไซต์ (ถ้ามี)
ของสถานที่ปฏิบัติธรรม จังหวัดนนทบุรี ได้เลยครับ


เว็บไซต์จังหวัดนนทบุรี
http://nonthaburi.ect.go.th

.......

สอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ที่กระดานสนทนา
http://www.dhammajak.net/forums/viewforum.php?f=1


:b8:

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 15:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มิ.ย. 2004, 01:20
โพสต์: 1785


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ อดีตเจ้าอาวาส
............................................................................



วัดสังฆทาน
เลขที่ 100/1 หมู่ 3 บ้านบางไผ่น้อย
ต.บางไผ่ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์ 02-447-0799, 02-447-0800


หลวงพ่อไพรินทร์ สิริวัฑฒโน เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน

หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ อดีตเจ้าอาวาส


หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ ท่านเป็นลูกศิษย์ หลวงพ่อสังวาลย์ เขมโก
แห่งวัดทุ่งสามัคคีธรรม
ต.หนองผักนาก อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี

:b8: 3/9/2555 เวลา 13.00 น. ในที่ประชุมสงฆ์วัดสังฆทาน โดยมีหลวงพ่อบุญลือ ธัมมกาโม เป็นประธาน ท่ามกลางพระมหาเถระ พระเถระ และพระภิกษุ 5 พรรษาขึ้นไป ประมาณกว่า 100 รูป พร้อมกันลงมติเป็นเอกฉันท์เลือก หลวงพ่อไพรินทร์ สิริวัฑฒโน (พรรษา 34) เป็นเจ้าอาวาสองค์ต่อไป หลวงพ่อไพรินทร์เคยเป็นเจ้าอาวาสวัดใน ต.ขนอม อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช อยู่หลายปี และเข้ามาช่วยงานส่วนกลางของวัดสังฆทานเสมอมา หลวงพ่อสนองได้ให้ท่านไปเป็นเจ้าอาวาสวัดถ้ำกฤษณาธรรมาราม ต.หมูสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา จนกระทั่งปัจจุบัน ในพรรษานี้ ปี 2555 หลวงพ่อสนองได้ให้หลวงพ่อไพรินทร์พร้อมทั้งพระภิกษุอีก 4 รูป ไปจำพรรษา ณ วัดสังฆทาน ไทย-เยอรมัน (Wat Sanghathan Thai-German) กรุงเบอลิน ประเทศเยอรมนี ครั้นเมื่อหลวงพ่อสนองได้ละสังขาร หลวงพ่อไพรินทร์จึงได้เดินทางกลับมาช่วยจัดงานศพ

รูปภาพ
หลวงปู่สังวาลย์ เขมโก กับ หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ

รูปภาพ
หลวงพ่อไพรินทร์ สิริวัฑฒโน เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน

รูปภาพ
หลวงพ่อสามารถ สมาธิโก รองเจ้าอาวาส
............................................................................



การปฏิบัติธรรม ณ วัดสังฆทาน

๑. การอุปสมบทหมู่พระภิกษุสงฆ์
จัดอุปสมบทหมู่ปีละ ๔-๕ ครั้ง ปีละประมาณ ๑๕๐ รูป


หลักการและเหตุผล

การอุปสมบทหมู่พระภิกษุสงฆ์เป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย และเป็นการสร้างให้สังคมมองเห็นว่าการบวชตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ไม่จำเป็นต้องฟุ่มเฟือย ไม่จำเป็นต้องมีการละเล่น ไม่ดื่มสุรา ผู้อุปสมบทจะได้มีโอกาสปฏิบัติเพื่อความสงบ และเพื่อความดับทุกข์ มิใช่บวชแล้วพ่อแม่ต้องเป็นทุกข์กับการกู้หนี้ยืมสิน การบวชในพระพุทธศาสนาต้องใช้เวลาในการอบรม ต้องคัดเลือกกลั่นกรองตัวบุคคลผู้ศรัทธา เช่น ไม่สูบบุหรี่ ไม่เป็นคนที่พูดมาก มีเรื่องราวมาก เป็นคนสงบ ขยัน ไม่เอาเปรียบหมู่คณะ เคารพในการประพฤติปฏิบัติธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า เมื่อดูจริตนิสัยแล้วเห็นว่าเป็นพระได้ก็ให้บวช

วันเวลาการอุปสมบทในปีหนึ่งมีการอุปสมบทดังนี้
๑. วันมาฆบูชา
๒. วันวิสาขบูชา
๓. วันอาสาฬหบูชา (ก่อนวันเข้าพรรษา)
๔. วันพ่อแห่งชาติ (วันที่ ๕ ธันวาคม)

ค่าใช้จ่ายในการอุปสมบทหมู่ ได้จากญาติโยมผู้มีศรัทธาบริจาค ถ้าไม่เพียงพอทางมูลนิธิฯ จะจัดกองทุนให้ การสมัครบวช และรับทราบระเบียบการบวช ที่โต๊ะพระเจ้าหน้าที่ ใต้โบสถ์แก้วทุกวัน จำนวนพระภิกษุที่ผ่านการอุปสมบทปฏิบัติตามแนวธุดงคกรรมฐานจากวัดสังฆทานมีประมาณกว่า ๒,๕๐๐ รูป

๒. การบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน
จัดบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน ปีละ ๓๐๐ องค์


หลักการและเหตุผล

ในยุคปัจจุบันช่วงปิดเทอม นักเรียน นิสิต นักศึกษา อยู่บ้านมีเวลาว่างมาก มักจะไปเล่น เที่ยว อาจถูกชักจูงจากเพื่อนให้ทดลองสิ่งเสพย์ติด หรือหมกมุ่นอยู่กับการเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ ทำให้พ่อแม่ลำบากใจในการดูแล จึงควรมาบวชเพื่อจะได้ศึกษาธรรมะ และได้เห็นแบบอย่างที่ดีของพระภิกษุสงฆ์ หัดทำวัตร สวดมนต์ ไหว้พระ อดทน ขยัน เป็นการช่วยตัวเองตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อรู้หลักธรรมวินัยก็นำไปปรับตัวเองให้เป็นเด็กว่าง่ายสอนง่าย กตัญญูรู้คุณพ่อแม่ รู้จักบาปบุญคุณโทษ สำนึกบาปที่ตนเองทำมาแล้ว ได้ มีปัญญาแยกแยะดีชั่ว ได้ประโยชน์ทั้งทางครอบครัวและการศึกษาเล่าเรียน

มูลนิธิฯ ต้องการแก้ไขปัญหาสังคมที่ซับซ้อนและก่อความเดือดร้อนอย่างทุกวันนี้ ด้วยการนำเยาวชนให้เข้าถึงธรรม เข้าถึงพระพุทธเจ้า ด้วยการปฏิบัติจริง ผู้มีความประสงค์จะบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน ต้องมีอายุระหว่าง ๑๐-๑๕ ปี เมื่อมาสมัครแล้วจะต้องอยู่เป็นผ้าขาวน้อย เพื่อรอการพิจารณาบรรพชาในวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนมีนาคม และลาสิกขาในวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนเมษายน

ค่าใช้จ่ายในการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน วันละ ๑๐,๐๐๐ บาท ได้จากญาติโยมผู้มีศรัทธาบริจาค ถ้าไม่เพียงพอทางมูลนิธิฯ จะจัดกองทุนให้

การสมัครบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน ในสัปดาห์ที่ ๓ เดือนมีนาคมของทุกปี ที่ ซุ้มประชาสัมพันธ์ทรงไทย ใกล้ศาลาพระนวกะ จำนวนสามเณรที่ผ่านการบรรพชาปฏิบัติตามแนวธุดงกรรมฐาน จากวัดสังฆทานมีประมาณกว่า ๗๕๐๐ องค์

๓. การบวชเนกขัมมปฏิบัติ
จัดบวชเนกขัมมปฏิบัติทุกวัน


หลักการและเหตุผล

การบวชเนกขัมมปฏิบัติ (บวชไม่โกนผม) ถือว่าเป็นการชักจูงศรัทธา มีทั้งบวชคนเดียวและบวชหมู่ เป็นการฝึกให้ทุกคนได้มาปฏิบัติธรรม มีการพิจารณาอาหารมื้อเดียว ใช้ภาชนะใบเดียว มีการสวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม ถือเนสัชชิก รักษาศีลแปด ทำให้เกิดศรัทธาและปีติ มองเห็นวัดเป็นที่สงบ มองเห็นว่าพระพุทธศาสนาเป็นทางแก้ทุกข์ มีประโยชน์กับสังคมที่จะช่วยแก้จิตใจคนเราให้ดีขึ้น เมื่อมาบวชแล้วได้รับความสุขสงบ ทำให้เข้าใจธรรมะ จิตใจก็ดีขึ้น บ้านเรือนก็ดีขึ้น ก็นำเอาไปใช้ประโยชน์ได้มาก

ระยะเวลาการบวช ๓-๗ วัน

การรับสมัคร รับสมัครและขอทราบรายละเอียดได้ทุกวันที่สำนักงานวัดสังฆทาน (ท่านหญิง)
ส่วนท่านชายสมัครที่โต๊ะพระเจ้าหน้าที่ ใต้อุโบสถ

ค่าใช้จ่ายในการบวชเนกขัมมปฏิบัติ ตามกำลังศรัทธาบริจาค จำนวนเนกขัมมปฏิบัติที่มาสมัครบวชปฏิบัติตามแนวธุดงคกรรมฐานจากวัดสังฆทาน มีประมาณกว่า ๒๐,๐๐๐ คน

รูปภาพ

โครงการปฏิบัติธรรม ณ วัดสังฆทาน
ระเบียบของวัดสังฆทานว่าด้วยผู้บวชเนกขัมมปฏิบัติ (หญิง)


เตรียมตัวก่อนรับศีล

๑. ผู้ที่บวชเนกขัมมาปฏิบัติ (ไม่ปลงผม) ให้อยู่ปฏิบัติได้ไม่เกินครั้งละ ๗ ราตรี
นอกจากเป็นผู้ทำงานช่วยวัด หรือเป็นผู้ที่พระ, เจ้าหน้าที่ หรือหัวหน้าแม่ชีรับรองให้อยู่ต่อได้

๒. ต้องนำหลักฐานต่อไปนี้ คือ รูปถ่าย ๒ นิ้ว ๑ รูป สำเนาทะเบียนบ้าน บัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรข้าราชการ (พร้อมสำเนา) มายื่นต่อเจ้าหน้าที่ในวันสมัครบวช

๓. ผู้ที่เคยมาสมัครบวชแล้วและได้กรอกประวัติโดยละเอียดลงในใบสมัครบวชครั้งแรก เมื่อจะบวชในครั้งต่อไป ไม่ต้องกรอกรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติลงในใบสมัครซ้ำอีก เพียงแต่เซ็นชื่อและนำบัตรประชาชนหรือบัตรข้าราชการ มาสมัครบวชได้ที่ทำการรับสมัครบวช

๔. ให้เตรียมเครื่องนุ่งห่มที่ถูกต้องตามแบบที่ทางวัดกำหนดไว้แล้วเท่านั้น ห้ามใช้ผ้าสไบลูกไม้ สไบที่ถัก

๕. ห้ามรับจ้างบวชแก้บนแทนผู้อื่น ห้ามหญิงมีครรภ์ หญิงแม่ลูกอ่อน หญิงที่มีสามีหรือผู้ปกครองไม่อนุญาตและผู้ป่วยทางกายและจิต ทั้งไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ไม่พิจารณาให้บวชในสำนักนี้ ต้องเป็นผู้ไม่กระทำความผิดอันกฎหมายระบุไว้ว่าเป็นความผิด

๖. ต้องเป็นผู้ไม่กระทำความผิดอันกฏหมายระบุไว้ว่าเป็นความผิด

๗. ห้ามนำของมีค่าติดตัวมา และห้ามแต่ตัวด้วยเครื่องประดับต่างๆ
หากฝ่าฝืนเกิดการสูญหายทางวัดจะไม่รับผิดชอบ

๘. ต้องอาราธนาศีล ๕ และศีล ๘ ได้ด้วยตนเอง

การปฏิบัติตัวขณะปฏิบัติธรรมอยู่ในวัด

๑. ไม่ควรมีกิจธุระภายนอกในขณะถือบวช ควรทำกิจภายนอกให้เรียบร้อยก่อน
ห้ามนำโทรศัพท์มือถือหรือสัญญาณติดตามตัวเข้ามาใช้ในช่วงบวช

๒. ไม่เป็นผู้เสพของเสพติด ของมึนเมาทุกชนิด เช่น หมาก พลู บุหรี่ นัดยานัตถุ์ และสิ่งเสพย์ติดอื่นๆ

๓. ต้องทำวัตรสวดมนต์เจริญพระกัมมัฏฐานทุกวัน เช้า กลางวัน เย็น และเดินจงกรมในเวลาที่ทางวัดกำหนด เมื่อทำกิจวัตรสวดมนต์ เดินจงกรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต้องรีบกลับที่พักของตน (หากทางวัดมีกิจกรรม อาจได้รับการยกเว้น) และเมื่อมีเหตุจำเป็นที่จะทำวัตรสวดมนต์ไม่ได้ ต้องแจ้งให้หัวหน้าแม่ชีทราบ

๔. ต้องช่วยเหลือกิจกรรมภายในวัด เช่น ทำความสะอาด ปัดกวาดทั้งที่ส่วนรวมและที่อยู่ของตน ต้องช่วยกันทำและรักษาความสะอาดห้องน้ำส่วนรวมทุกวัน ในเวลาหลังจากที่เลิกทำวัตรเช้าแล้ว ห้ามทิ้งขยะเรี่ยราด ผ้าอนามัยควรใส่ถุงพลาสติกห่อกระดาษให้มิดชิด แล้วนำไปทิ้งในถังขยะ ห้ามนำไปทิ้งในโถส้วม

๕. ห้ามจับกลุ่มคุยกันเสียงดัง และห้ามรับแขกในที่พัก ให้รับแขกที่โรงตักอาหาร ห้ามพูดคุยกับโยมผู้ชายตามลำพัง ยกเว้นเพื่อนผู้หญิงอยู่ด้วย ต้องเป็นคนว่านอนสอนง่าย อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่อวดดื้อถือตัว ไม่ประพฤติตัวให้เป็นภาระกับผู้อื่น เป็นผู้สำรวม เป็นผู้มีมารยาทอันเรียบร้อยสงบ เป็นผู้ใคร่ต่อความเพียรในการเจริญสติปัฏฐานสี่ทั้งกลางวันและกลางคืน

๖. ห้ามดูหมอ เล่นไสยศาสตร์ บวงสรวงถือเจ้าเข้าทรง

๗. เมื่อมีกิจธุระที่ศาลา หรือประสงค์ที่จะพบพระรูปใดรูปหนึ่ง ต้องมีเพื่อนไปด้วยทุกครั้ง
ขณะสนทนากับพระหรือสวนทางกับพระ จะต้องนั่งลงประนมมือทุกครั้ง

๘. เมื่อมีเหตุจำเป็นต้องออกนอกวัด ต้องบอกกับแม่ชีเจ้าหน้าที่
และจะต้องมีเพื่อนไปด้วยทุกครั้ง วันพระไม่ควรออกนอกวัด

๙. ต้องรับประทานอาหารมื้อเดียว ภาชนะเดียว ต้องสำรวม มีสติในการพิจารณาตักอาหาร ต้องไม่แซงแถว ไม่ตัดแถว ไม่พูดคุยกันเสียงดังในขณะตักอาหารที่โรงตัก ไม่รับประทานอาหารในที่พัก ต้องออกมารับประทานในที่ส่วนรวม เมื่อรับประทานอาหารหรือดื่มเครื่องดื่ม ต้องนั่ง ห้ามยืน ห้ามนั่งเท้าแขนรับประทานอาหาร ห้ามดื่มนมโอวัลติน น้ำเต้าหู้ และของเคี้ยวทุกชนิดหลังเที่ยงวันไปแล้วจนตลอดรุ่งราตรี ยกเว้นสมอ และมะขามป้อม ห้ามเก็บอาหารไว้ในที่พัก ห้ามหุงต้มอาหารในที่อยู่โดยเด็ดขาด ถ้ามีความจำเป็นควรเก็บหรือประกอบอาหารในโรงครัว

๑๐. เมื่อรับศีล และลาศีลทุกครั้ง จะต้องมีแม่ชีพี่เลี้ยงไปด้วย

๑๑. เมื่อลาศีลแล้ว ห้ามรับประทานอาหารที่ร้านค้า หรือนอกเวลาในชุดนักบวช ต้องเปลี่ยนเป็นชุดอื่นก่อน
(เวลา ๑๗.๐๐ น. ผู้สมัครบวชเนกขัมมปฏิบัติในวันนี้ทุกท่าน ให้มาพร้อมกันที่รับสมัครบวชหญิงชั้นล่างพระอุโบสก)

รูปภาพ

กำหนดกิจวัตร

03.30 น. ระฆังทำวัตรเช้า
04.00 น. ทำวัตรเช้า
05.30 น. ทำความสะอาดสถานที่ และพระภิกษุ-สามเณรเตรียมตัวออกรับบิณฑบาต
07.00 น. รับน้ำปานะ
07.30 น. แม่ชี-เนกขัมมะ เดินจงกรม
09.15 น. ระฆังฉันภัตตาหาร (วันพระ, วันหยุด, 09.30 น.)
12.00 น. ระฆังทำวัดกลางวัด (วันพระ, วันหยุด, 12.30 น.)
12.30 น. ทำวัดกลางวัน (วันพระ,วันหยุด, 13.00 น.)
15.30 น. ระฆังปัดกวาดทำความสะอาด
16.30 น. แม่ชี-เนกขัมมะ เดินจงกรม
17.00 น. พระภิกษุ-สามเณร รับน้ำปานะ
17.30 น. แม่ชี-เนกขัมมะ รับน้ำปานะ
18.00 น. ระฆังทำวัตรเย็น (วันพระ, วันเสาร์, 19.00 น.)
19.00 น. ทำวัตรเย็น (วันพระ, วันเสาร์, 20.00 น.)

หมายเหตุ (๑) วันพระ, วันเสาร์ และโอกาสพิเศษ รับศีลอุโบสถฟังธรรม-ปฏิบัติธรรมตลอดรุ่ง (เนสัชชิก) และช่วงเช้าสวดมนต์พิเศษ ๐๘.๔๕ น. , (๒) วันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ (เดือนเพ็ญ) มีการเวียนเทียน ๔ ครั้ง (เวลา ๒๐.๐๐ น., ๒๔.๐๐ น.และ ๐๔.๐๐ น.) วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเพิ่มรอบ ๑๖.๐๐ น.

๔. การเข้าค่ายปฏิบัติธรรมสำหรับเยาวชน
จัดเข้าค่ายปฏิบัติธรรมสำหรับเยาวชนตลอดปี
โดยนักเรียน นักศึกษา ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล


หลักการและเหตุผล

นักเรียน นิสิต นักศึกษา ส่วนใหญ่ในปัจจุบันห่างไกลศาสนา มองเรื่องศาสนาไม่สำคัญ ไม่มีความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ มีผลสะท้อนไปถึงการไม่เคารพครูบาอาจารย์ บิดามารดา กลายเป็นเด็กหัวดื้อ ก้าวร้าว หลงผิดเป็นชอบ ถูกเพื่อนชักจูงในทางที่ผิด อาจเข้าหาสิ่งเสพย์ติดได้ง่าย จึงได้จัดค่ายอบรมเนกขัมมปฏิบัติขึ้น เพื่อให้รู้จักศีลธรรม-จริยธรรม ซึ่งจะทำให้เป็นคนเรียบร้อย เป็นคนงดงามได้ ทำให้ซาบซึ้งและศรัทธาในพระศาสนา กลายเป็นคนมีสติปัญญา มีเหตุผล ไม่มุทะลุดุดัน รู้จักความสงบ มีความอดทนอดกลั้นต่อสิ่งยั่วยุของกระแสที่เสื่อมของสังคมได้ เป็นการช่วยเหลือสังคม ผลที่ได้รับก็เกิดขึ้นกับครูอาจารย์และบิดามารดา ตลอดจนเลยไปถึงประเทศชาติและพระศาสนาในที่สุด นักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่มาเข้าค่ายปฏิบัติธรรม ต้องนุ่งขาวห่มขาวเหมือนนักบวชเนกขัมมปฏิบัติ (บวชไม่โกนผม)

ระยะเวลาการเข้าค่ายปฏิบัติธรรม ๒-๓ วัน (ศุกร์-อาทิตย์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์)

การรับสมัคร แจ้งความจำนงเข้าค่ายปฏิบัติธรรมเป็นหมู่คณะได้ตลอดปี ค่าใช้จ่ายในการเข้าค่ายปฏิบัติธรรม ตามกำลังศรัทธาบริจาค

การเข้าค่ายปฏิบัติธรรมของนักเรียน เริ่มเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ คือ โรงเรียนศรีบุณยานนท์ จำนวนนักเรียนทั้งหมด ๙๖ คน ปัจจุบันมีโรงเรียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล วิทยาลัย มหาวิทยาลัย

รูปภาพ

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

แผนที่วัดสังฆทาน จ.นนทบุรี
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1840

ประวัติวัดสังฆทาน จ.นนทบุรี
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=3310

ประวัติและปฏิปทา “หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=20372

รวมคำสอน “หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ” วัดสังฆทาน
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=44299

รายการวิทยุธรรมะ (หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ)
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=5869

ธรรมยาตราครั้งที่ ๔ มุมไบ-อชันตา : หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=43715

ขอเชิญร่วมฉลองพระบรมสารีริกธาตุ ณ วัดสังฆทาน จ.นนทบุรี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=42021

หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ วัดสังฆทาน จ.นนทบุรี ละสังขารแล้ว
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=43080

เว็บไซต์วัดสังฆทาน
http://www.sanghathannews.net/
http://www.sanghathan.net/

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 15:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มิ.ย. 2004, 01:20
โพสต์: 1785


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
อุโบสถ วัดชลประทานรังสฤษฎ์
............................................................................



วัดชลประทานรังสฤษฎ์
เลขที่ 78/8 หมู่ 1 ก.ม. 14 ถ.ติวานนท์
ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 11120
โทรศัพท์ 02-583-8845,
02-583-4243, 02-584-3074


เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน

พระพรหมมังคลาจารย์ (หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ)
และพระธรรมวิมลโมลี (รุ่น ธีรปญฺโญ ป.ธ.9, ศน.บ.) อดีตเจ้าอาวาส


วัดชลประทานรังสฤษฎ์ เป็นวัดที่เข้าร่วมโครงการปฏิบัติธรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการ
ปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามแนวนโยบายของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ


วัดชลประทานรังสฤษฎ์ ตั้งอยู่หลักกิโลเมตร 14 เลขที่ 78/8 หมู่ที่ 1 ถ.ติวานนท์ ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 11120 (ตำบลคณะสงฆ์ ต.ปากเกร็ด) เป็นเขตปกครองคณะสงฆ์มหานิกาย เนื้อที่ของวัดที่กรมชลประทานถวายตอนแรก มีลักษณะคล้ายหัวหมู 2 หัวชนกัน มีที่ดินของชาวบ้านเว้าเข้ามา ทางวัดจึงขอซื้อที่ดินติดวัดทางทิศเหนือจากชาวบ้าน ปัจจุบัน วัดชลประทานรังสฤษฎ์ มีเนื้อที่ 48 ไร่ มีที่ธรณีสงฆ์ทางเหนืออีก 9 ไร่ (ปัจจุบันให้บริษัทวนารมย์เช่า)

หากพูดถึงวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งจังหวัดนนทบุรี “วัดชลประทานรังสฤษฎ์” คงเป็นวัดที่ทุกคนรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี ในฐานะวัดที่ปราศจากอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เครื่องรางของขลัง การบอกใบ้หวย การเข้าทรงองค์เจ้า แต่วัดแห่งนี้มุ่งเน้นในเรื่องของหลักธรรมคำสอนและการปฏิบัติตามแก่นธรรมแห่งพระพุทธศาสนา เพื่อขัดเกลาจิตใจของผู้คนให้หลุดพ้นจากกิเลสที่พอกพูน โดยมี “หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ” หรือ “พระพรหมมังคลาจารย์” อดีตเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฎ์ ทำหน้าที่เป็นนักรบแห่งกองทัพธรรม ขับเคลื่อนหลักธรรมคำสอนเผยแพร่สู่สาธารณชนมาเป็นเวลาช้านานแล้ว

“หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ” ผู้ลาลับ ท่านถือเป็นหนึ่งในผู้มอบกายถวายชีวิตให้กับพระพุทธศาสนาอย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย โดยมีความมุ่งหมายในเกณฑ์ 2 ประการคือ ประการแรกเพื่อประกาศความจริงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศไว้ และประการที่สองเพื่อทำลายความเห็นผิด และการกระทำที่ผิดๆ ในหมู่พี่น้องชาวพุทธทั้งหลายให้หมดไป

รูปภาพ
ทุกวันอาทิตย์พุทธศาสนิกชนจะมาทำบุญฟังเทศน์ฟังธรรมกันเป็นจำนวนมาก


ด้วย 2 หลักเกณฑ์ที่หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุพึงยึดถือและปฏิบัติมาโดยตลอด รวมถึงการประยุกต์ธรรมต่างๆ ให้ง่ายต่อการเข้าใจและเข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบัน ทำให้ผู้ที่ได้ฟังธรรมของท่านได้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาจนกลายเป็นมหาศรัทธาของมหาชน

หนึ่งในนั้นก็คือ ม.ล.ชูชาติ กำภู อธิบดีกรมชลประทาน ในช่วงเมื่อปี พ.ศ.2492-2509 หรือบิดาแห่งชลกร หลังได้ฟังการแสดงธรรมของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ เมื่อครั้งจำพรรษาอยู่ที่วัดอุโมงค์ (สวนพุทธธรรม) ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ก็ได้เกิดความเลื่อมใสวิธีการสอนธรรมะแนวใหม่ของท่าน จากเดิมที่นั่งเทศนาบนธรรมาสน์ถือใบลาน มาเป็นการยืนพูดปาฐกถาธรรม แบบพูดปากเปล่าต่อสาธารณชน พร้อมทั้งยกตัวอย่างเหตุผลร่วมสมัย ทันต่อเหตุการณ์เป็นการดึงดูดประชาชนให้หันเข้าหาธรรมะได้เป็นอย่างมาก

รูปภาพ
ผู้มาทำบุญใส่บาตรมีกันทุกเพศทุกวัย
ทั้งมากันเป็นครอบครัวหรือจะมาคู่มาเดี่ยวก็ได้



และด้วยความเลื่อมใสศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาและวิธีการถ่ายทอดธรรมมะของหลวงพ่อปัญญานันทะ ม.ล.ชูชาติ และกรมชลประทานจึงได้มอบที่ดิน และสร้างวัดชลประทานรังสฤษฎ์แห่งนี้ขึ้นเมื่อ พ.ศ.2502 ที่ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี พร้อมได้อาราธนาหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ มาเป็นเจ้าอาวาส ตั้งแต่ พ.ศ.2503 เป็นต้นมา

หากใครได้มีโอกาสเข้าไปเยือนยังวัดชลประทานฯ แห่งนี้ จะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันร่มรื่นร่มเย็นทั่วทั้งบริเวณวัด ด้วยต้นไม้น้อยใหญ่มากมาย หรือจะเรียกว่าวัดป่าก็คงจะได้ ด้วยพื้นที่ที่กว้างใหญ่ถึง 48 ไร่ แต่ภายในกลับมีสิ่งปลูกสร้างเพียงน้อยนิดเพียงพอต่อการใช้งานเท่านั้น โดยสิ่งปลูกสร้างใหญ่ๆ ที่หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุได้สร้างไว้มีเพียง 3 สิ่งเท่านั้นคือ โรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ (สำหรับเด็กเยาวชน), โรงเรียนพุทธธรรม (สำหรับอุบาสกอุบาสิกา) และ กุฏิสี่เหลี่ยม เท่านั้น นอกนั้นเป็นบุคคลภายนอกสร้างให้ตามสมควรทั้งสิ้น

รูปภาพ
อุโบสถเล็กๆ ใช้สำหรับทำสังฆกรรมของสงฆ์


หากใครได้สังเกตก็จะเห็นอีกว่าวัดแห่งนี้มีพระพุทธรูปเพียงไม่กี่องค์ เนื่องจากหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุไม่เน้นในเรื่องของวัตถุ หากแต่เน้นให้คนเข้าถึงคำสั่งสอนและปฏิบัติตามขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากกว่า ดังป้ายธรรมมะเตือนใจป้ายหนึ่งในหลายๆ ป้ายที่ติดไว้ตามต้นไม้ทั่วบริเวณวัดว่า

“คนไหว้พระเท่าใดไม่ถูกพระ
ไหว้เปะปะพระประดิษฐ์อิฐปูนปั้น
ใจกระจ่างแจ้งธรรมที่สำคัญ
พระจะพลันพบได้ในใจเรา”

จากการยึดหลักความพอเพียงมาโดยตลอดการสร้างวัด อุโบสถของวัดแห่งนี้จึงเป็นเพียงอุโบสถเล็กๆ สีขาวตั้งอยู่หน้าวัด ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางสมาธิเป็นพระประธาน อุโบสถแห่งนี้จะเปิดเพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีสังฆกรรมของสงฆ์ในวันธรรมดา และจะเปิดให้บุคคลทั่วไปได้เข้าไปกราบนมัสการพระประธานเฉพาะวันพระและวันสำคัญทางศาสนาเท่านั้น ส่วนหน้าอุโบสถนอกเขตพัทธสีมาด้านซ้ายและขวามีต้นสาละลังกาและต้นเหลืองปรีดิยาธร ที่หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุได้ปลูกไว้ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2547

รูปภาพ
ต้นไม้ให้ข้อคิดมีอยู่ให้เห็นมากมายภายในวัด


เมื่อเดินเข้าไปด้านในจะพบกับลานธรรมหรือลานหินโค้งใหญ่ ร่มรื่นด้วยแมกไม้ หากใครที่เคยไปวัดสวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี คงจะต้องคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี เพราะลานหินโค้งแห่งนี้ได้สร้างขึ้นเลียนแบบขึ้นมา เนื่องจากเมื่อปี พ.ศ.2480 หลวงพ่อปัญญาเคยไปจำพรรษาที่สวนโมกขพลาราม และได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมกับ ท่านพุทธทาสภิกขุ และท่าน บ.ช.เขมาภิรัต (พระราชญาณกวี อดีตเจ้าคณะจังหวัดชุมพร และอดีตเจ้าอาวาสวัดขันเงิน) เป็นสามสหายธรรมร่วมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา และหลักธรรมที่แท้จริงตามหลักคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ลานแห่งนี้จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นที่ให้การแสดงธรรมภายในวัด เป็นแบบเรียบง่ายท่ามกลางธรรมชาติ เช่นเดียวกับสมัยพุทธกาล เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการสร้างศาลาอาคารต่างๆ ภายในวัดจึงมีอาคารเท่าที่จำเป็นแก่ศาสนกิจเท่านั้น

ลานหินโค้งแห่งนี้ เดิมชื่อว่า ลานไผ่ หรือสวนไผ่ เนื่องจากตอนนั้นบริเวณนี้มีต้นไผ่เยอะ กระทั่งปีพ.ศ.2536 หลวงพ่อได้ไปจำพรรษาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้รักษาการเจ้าอาวาทแทนหลวงพ่อได้เอาต้นไผ่ออกแล้วแทนด้วยต้นไทร เนื่องจากต้นไผ่มีใบร่วงเยอะต้องเก็บกวาดบ่อย และต้นไทรก็ให้ร่มเงาที่ร่มเย็นกว่าด้วย

รูปภาพ
กุฏิสงฆ์ที่ยังคงความเป็นธรรมชาติสมถะ


เมื่อหลวงพ่อกลับมาเห็นความเปลี่ยนแปลง ก็ได้ถามหาต้นไผ่ ผู้รักษาการเจ้าอาวาสในขณะนั้นจึงตอบไปว่า หลวงพ่อไม่อยู่ ต้นไผ่เลยหนีไปเที่ยว แล้วต้นไทรก็อยากมาอยู่กับหลวงพ่อแทน หลวงพ่อได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วบอกว่าดี จะได้ร่มเย็น จากนั้นจึงเปลี่ยนชื่อเรียกใหม่ว่า “ลานหินโค้ง” ตามลักษณะของลานนั่นเอง

ที่ “ลานหินโค้ง” แห่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในทุกๆ วันอาทิตย์ เวลาประมาณ 07.00 น. ลานหินโค้งกว้างแห่งนี้จะเต็มไปด้วยพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมกันกิจกรรมทำบุญใส่บาตร ฟังเทศน์ฟังธรรม รายล้อมด้วยพระสงฆ์ที่นั่งรับบาตรอยู่บนอาสนะจำนวนหลายสิบรูป หากใครมาไม่ทันช่วงเช้าก็ไม่ต้องกังวล เพราะตั้งแต่เวลา 09.30 น. พระภิกษุสงฆ์ก็จะออกมาที่ลานหินโค้งอีกครั้งเพื่อรับบาตรฉันเพล บรรยายปาฐกถาธรรม ให้ศีลให้พร ถวายสังฆทานร่วมกัน จากนั้นพระท่านจะสวดมนต์พร้อมๆ กับพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมธรรมอย่างพร้อมเพรียง หากใครที่สวดมนต์ไม่เป็นก็มีหนังสือบทสวดให้ได้ยืมกัน ส่วนวันจันทร์-เสาร์นั้นพระสงฆ์จะออกรับบาตร ณ ลานหินโค้ง ในเวลาประมาณ 07.00 น. เพียงรอบเดียวเท่านั้น

รูปภาพ
บรรยากาศร่มเย็นเป็นธรรมภายในวัดชลประทานฯ


ส่วนในบริเวณสวนป่าที่ร่มรื่นสงบใกล้ลานหินโค้ง ยังมีโต๊ะม้านั่งมากมายเพื่อเป็นสถานที่ให้ผู้ที่ต้องการศึกษาและปฏิบัติธรรม พร้อมทั้งต้นไม้ให้ข้อคิด ซึ่งก็คือต้นไม้ที่ถูกปิดป้ายด้วยข้อคิดข้อธรรมต่างๆ อีกทั้งยังมีรูปปั้น ม.ล.ชูชาติ กำภู ผู้สร้างวัด และไม่ไกลกันก็มีรูปปั้นหลวงพ่อปัญญา ให้ประชาชนได้เคารพกันด้วย

นอกจากนี้ ยังมีโรงเรียนพุทธธรรม มีอุบาสกอุบาสิกา มาถือศีลอุโบสถปฏิบัติธรรมกันทุกวัน โดยมีพระภิกษุผลัดเปลี่ยนกันมาเทศนาแนะนำสั่งสอนเป็นประจำ อีกทั้งทางวัดได้จัดพระภิกษุคณะหนึ่งให้การศึกษาแก่เยาวชนในโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ที่ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณวัดด้วย ซึ่งมีเยาวชนให้ความสนใจมากมาย อีกทั้ง ยังมีศูนย์จำหน่ายหนังสือธรรมะ รวมถึงเทปและซีดีธรรมะต่างๆ ให้ชาวพุทธได้เลือกสรรนำไปศึกษาปฏิบัติต่อไป

รูปภาพ
แม้จะหมดช่วงเวลาตักบาตรฟังธรรมแล้ว
ก็ยังสามารถปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิกันได้ทุกเมื่อ



ณ เวลานี้ แม้หลวงพ่อปัญญาจะลาลับไปจากวัดชลประทาน แต่ว่าหลักธรรมคำสอน เจตนารมณ์ ความมุ่งหมาย รวมสิ่งที่นักรบแห่งกองทัพธรรมท่านนี้ปฏิบัติ ยังคงอยู่ในจิตใจของชาววัดชลประทานทุกคน รวมถึงยังคงอยู่ในจิตใจของชาวพุทธส่วนใหญ่ไปตลอดกาล

“การสร้างพระคัมภีร์ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด วิเศษที่สุด ก็คือคัมภีร์ธรรมที่อยู่ในใจของเรา เอาร่างกายเป็นตู้ใส่คัมภีร์ เอาใจเป็นที่จารึกพระคัมภีร์ จารึกไว้ในใจตลอดเวลา”

รูปภาพ
ประชาชนยังคงเดินทางมาเคารพสรีระสังขารหลวงพ่อปัญญาอย่างต่อเนื่อง


หมายเหตุ : เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2554 เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ พระเทพปริยัติเมธี (รุ่น ธีรปญฺโญ) เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ในราชทินนามที่ พระธรรมวิมลโมลี

เว็บไซต์วัดชลประทานรังสฤษฎ์
http://www.watchol.or.th/
http://www.watcholpratan.net/
http://www.watpanya.com/
http://www.watpanya.org/
http://www.panya.iirt.net/
http://www.panya.iirt.net/watpanya/

รูปภาพ
พระพรหมมังคลาจารย์ (หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ)

รูปภาพ
พระธรรมวิมลโมลี (รุ่น ธีรปญฺโญ)


* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

แผนที่วัดชลประทานรังสฤษฎ์ จ.นนทบุรี
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1551

ประวัติและปฏิปทา “หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=19991

รวมคำสอน “หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=44349

รำลึกหลวงพ่อปัญญา ที่ “วัดชลประทานรังสฤษฎ์”
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14074

โปรดเกล้าฯ เลื่อนสมณศักดิ์พระเถรานุเถระ ๘๖ รูป ปี ๒๕๕๒
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=27437

พระธรรมวิมลโมลี (รุ่น ธีรปญฺโญ) ละสังขารแล้ว
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=45141

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 15:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มิ.ย. 2004, 01:20
โพสต์: 1785


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต
............................................................................



ที่พักสงฆ์สวนทิพย์
สวนทิพย์ 17/9 ถ.สุขาประชาสรรค์ 2
ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 11120
โทรศัพท์ 02-583-4540-2


หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต ประธานสงฆ์

ที่พักสงฆ์สวนทิพย์ เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดนนทบุรี ตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก ปฏิบัติตามแนวหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต “ภาวนาบทพุทโธ” สถานที่สัปปายะ สงบเงียบ สงบเย็น ร่มรื่น เหมาะแก่การปฏิบัติภาวนาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ โดยมีหลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต เป็นประธานสงฆ์ หลวงปู่บุญฤทธิ์ท่านเป็นศิษย์ท่านพ่อลี ธัมมธโร, หลวงปู่ชอบ ฐาสโม สายธรรมหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จึงขอเชิญสาธุชนทุกท่านไปกราบและเข้าฟังธรรมจากหลวงปู่

รูปภาพ

ข้อควรปฏิบัติอันควรสำหรับอุบาสก อุบาสิกา
ต่อครูบาอาจารย์พระกรรมฐานที่มาร่วมงาน ณ ที่พักสงฆ์สวนทิพย์


ข้อที่ ๑ เพื่อถวายความเคารพแด่พระภิกษุสงฆ์ ขอความกรุณาแต่งกายสุภาพเรียบร้อย
ให้เหมาะสมแก่กาลเทศะ และสถานที่ (โดยเฉพาะสุภาพสตรี ควรเว้นเสื้อสายเดี่ยว
เสื้อเอวลอย กระโปรงสั้น กางเกงเอวต่ำมากๆ และรวบผมให้เรียบร้อย)

ข้อที่ ๒ ควรถอดรองเท้า และไม่ยืนเหยียบบนรองเท้าเมื่อเวลาใส่บาตร เพื่อแสดงความเคารพต่อพระภิกษุสงฆ์

ข้อที่ ๓ เวลาตักข้าวใส่บาตร กรุณาไม่เคาะช้อนกระทบบาตรพระ และกรุณาช่วยเก็บข้าวที่หล่นลงพื้นด้วย

ข้อที่ ๔ กรุณาตักบาตรเฉพาะข้าวสวย โดยข้าวเหนียวนั้นจะมีเจ้าหน้าที่มาช่วยรับเพื่อนำไปถวายบนศาลาฉัน
เพื่อข้าวสวยและข้าวเหนียวจะได้ไม่ติดกันเป็นก้อน

ข้อที่ ๕ กรุณางดใส่อาหารคาวหวาน ผลไม้ และสิ่งของอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยลงในบาตรพระ

ข้อที่ ๖ การถวายปัจจัยนั้นทำได้ดังนี้
๖.๑) ร่วมทำบุญโดยใส่กล่องปัจจัยรวม ณ จุดรับปัจจัย
๖.๒) ถ้าต้องการแยกถวายพ่อแม่ครูอาจารย์ ให้ถวายโดยใช้ใบปวารณาเท่านั้น
โดยนำปัจจัยมอบกับลูกศิษย์ของท่านโดยตรง (ไม่นำมารวบกับจุดที่รับปัจจัย)

ข้อที่ ๗ เมื่อถวายสักการะโดยการสรงน้ำหลวงปู่ ขอความกรุณากระทำด้วยความเคารพอย่างสูง
โดยเฉพาะท่านสุภาพสตรี โปรดสำรวมและระมัดระวัง ไม่ให้ถูกมือหลวงปู่ท่าน

ข้อที่ ๘ อาหารที่จัดไว้เพื่อญาติโยมถือเป็นอาหารก้นบาตร ขอให้ตักด้วยความสวยงาม
สมเป็นลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์ โดยเมตตานึกถึงผู้ที่มาตักทีหลังด้วย

ข้อที่ ๙ ของที่ระลึกที่หลวงปู่เมตตาแจกให้เป็นสิริมงคลแก่ญาติโยม เช่น เหรียญพระ
รูปหลวงปู่ และหนังสือธรรมะ กรุณาเข้าแถวไปน้อมรับโดยเรียงแถวให้เรียบร้อย
และเมื่อรับไปแล้วควรวางในที่ที่สมควร ไม่ทิ้งเรี่ยราดไว้ตามพื้น อันแสดงถึงความไม่เคารพ

ข้อที่ ๑๐ ขอความกรุณางดการบันทึกภาพทุกชนิดระหว่างเวลาภัตตาหาร
เพื่อพระท่านจะได้พิจารณาการฉันภัตตาหารด้วยความสงบ

ในการถ่ายรูป ตลอดจนการบันทึกภาพขอความกรุณางดใช้แฟลช และขอให้แสดงเคารพ
ด้วยการขอโอกาสคือขออนุญาตพระท่านก่อน และมีความสำรวมในกิริยามารยาทอันนอบน้อม

จึงได้เรียนมาเพื่อท่านผู้ที่ยังไม่ทราบ จะได้ปฏิบัติตนให้อยู่ในความสำรวม ระมัดระวัง
เพื่อมองดูจะเป็นภาพที่รื่นตา เย็นใจแก่ผู้ที่พบเห็น และเป็นบุญกุศลที่จะช่วยกันระวัง
รักษามารยาทอันงดงามของชาวพุทธ อันมีมาแต่โบราณ ให้คงอยู่คู่ชาวไทยเราตลอดไป
ขอความกรุณาได้โปรดเข้าใจในความตั้งใจดี ความหวังดีเป็นอย่างสูง

รูปภาพ

สถานที่จอดรถสำหรับผู้จะมา “ที่พักสงฆ์สวนทิพย์” สามารถจอดได้ที่

- ที่จอดรถสวนทิพย์ และริมถนนภายในบริเวณสวนทิพย์ รวมส่วนที่แยกไปร้านสองฝั่งคลอง
- ร้านอาหารวชิรปราการ ติดกับสวนทิพย์
- หมู่บ้านสิทธารมย์ (ประมาณ 30 คันอยู่ตรงข้ามทางเข้าสวนทิพย์)
- วัดบางพูดนอก ถึงก่อนสวนทิพย์ ประมาณ 100 เมตร กรณีเข้ามาจากทางตลาดปากเกร็ด
- วัดกู้ ถึงก่อนสวนทิพย์ ประมาณ 150 เมตร กรณีเข้ามาทางซอยข้างโรงเรียนอัมพรไพศาล
- ขณะนี้ทางเข้าทางตลาดปากเกร็ดสะดวกขึ้น อาจเลือกจอดรถที่ ที่จอดรถใต้สะพานพระราม 4
ซึ่งอยู่หน้าตลาดปากเกร็ด แล้วนั่งรถตุ๊กเข้าสวนทิพย์ ประมาณ 2 กม.

ประมวลภาพที่พักสงฆ์สวนทิพย์
และภาพหลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต ในงานงานมุฑิตาสักการะครบรอบอายุ 94 ปี
http://www.watpa.com/board_detail.asp?board_id=1492
http://www.watpa.com/board_detail.asp?board_id=1504
http://www.watpa.com/board_detail.asp?board_id=1976

รูปภาพ

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

แผนที่ “ที่พักสงฆ์สวนทิพย์” จ.นนทบุรี
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=3346

ประวัติและปฏิปทา “หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=21313

ประมวลภาพ “หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=36578

เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
http://www.suanthip.com/

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 15:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มิ.ย. 2004, 01:20
โพสต์: 1785


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

วัดสวนแก้ว
หมู่ 1 ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี 11140
โทรศัพท์ 02-595-1444, 02-595-1945-7
โทรสาร 02-595-1222


พระราชธรรมนิเทศ (พระพยอม กัลยาโณ) เจ้าอาวาส

วัดสวนแก้ว เป็นวัดที่เข้าร่วมโครงการปฏิบัติธรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการ
ปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามแนวนโยบายของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ


วัดสวนแก้ว แต่เดิมวัดนี้ชื่อ “วัดแก้ว” เป็นวัดร้างมานานร่วม 80 ปี จนกระทั่ง หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ และพระภิกษุอีก 3-4 รูป ได้เข้ามาพำนักจำพรรษา แต่พื้นที่ของวัดเต็มไปด้วยสวนต่างๆ หลวงพ่อเทียนไม่สามารถจะบูรณะได้ เพราะขาดบุคลากรที่จะช่วยพัฒนา เมื่อปี พ.ศ. 2521 พระพยอม กัลยาโณ และเพื่อนพระภิกษุอีก 2 รูปได้เดินทางมาจากสวนโมกขพลาราม ต.เลม็ด อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อขอทำโครงการบวชเณรภาคฤดูร้อนที่วัดแห่งนี้ เมื่อแล้วเสร็จก็จะลากลับไปยังสวนโมกขพลารามตามเดิม นอกจากหลวงพ่อเทียนจะได้อนุญาตให้อยู่พำนักแล้ว ท่านยังได้ช่วยสนับสนุนโครงการบวชเณรภาคฤดูร้อนอีกด้วย โดยช่วยเป็นพระพี่เลี้ยงให้

รูปภาพ

หลังจากนั้น เมื่อปี พ.ศ. 2522 หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ได้มอบหมายให้พระพยอม กัลยาโณ และเพื่อนพระภิกษุ เป็นผู้ดูแลรักษาวัดสืบแทน เนื่องด้วยหลวงพ่อเทียนนั้นดำริจะเดินทางกลับจังหวัดเลย ดังนั้น ณ วัดแก้วแห่งนี้ พระพยอมจึงได้พัฒนาพื้นที่ของวัด และเตรียมจำลองสวนโมกขพลารามให้เกิดขึ้นในเมือง ตามคำที่ท่านพุทธทาสภิกขุเคยปรารภเมื่อคราวที่ท่านยังศึกษาธรรมอยู่ที่สวนโมกขพลาราม

ท่านได้ทุ่มเทชีวิตใจเพื่อการบูรณะวัดอย่างเต็มที่ และได้นำทุนทรัพย์ส่วนตัวมาพัฒนาวัดแก้ว ภายหลังจึงได้เปลี่ยนชื่อวัดเป็น “วัดสวนแก้ว” เมื่อพัฒนาวัดจนเหมาะสมกับสภาพสิ่งแวดล้อมของวัดแล้ว จึงมุ่งเผยแผ่พระพุทธศาสนาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อปี พ.ศ. 2529 เป็นปีที่พระพยอมรับกิจนิมนต์เป็นจำนวนมาก ทำให้ทราบถึงปัญหาต่างๆ ของคนระดับกลางลงมา ซึ่งต้องยอมรับว่าบุคคลเหล่านี้มีพฤติกรรมที่หลงใหลใฝ่ต่ำเรื่องเพศ เรื่องเหล้า เมายา ไม่มีสมองที่จะคิดพัฒนาใดๆ เท่าที่ควร ทำให้พระพยอมตัดสินใจที่จะช่วยเหลือบุคคลเหล่านี้ให้มีศีลธรรม-ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พระพะยอมจึงได้รวบรวมทุนทรัพย์ส่วนตัวซึ่งมีไม่มากนัก นำมาใช้พัฒนาบริเวณวัด และหาทุนซื้อที่ดินบริเวณใกล้เคียงต่อออกไปอีก เพื่อจัดตั้ง “มูลนิธิสวนแก้ว” ขึ้น

รูปภาพ

ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกในการบริหารงานช่วยสังคม ปัญหาของสังคมทุกวันนี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างฐานะ อาชีพ ความรู้ และโอกาส ซึ่งพระสงฆ์ควรจะมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหานี้ด้วย ด้วยปณิธานที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และเผยแผ่ศีลธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อให้ประชาชนได้รู้จักการใช้หลักธรรมในการดำเนินชีวิตและแก้ปัญหาด้วยตนเอง ท่านจึงได้จัดตั้งมูลนิธิสวนแก้วขึ้นในปี พ.ศ. 2529 โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 6 ประการ คือ

- เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา
- เพื่อส่งเสริมศีลธรรม จรรยาอันดี
- เพื่ออนุรักษ์ และส่งเสริมวัฒนธรรมและประเพณีไทย
- เพื่อร่วมมือกับองค์การการกุศลอื่นๆ เพื่อสาธารณประโยชน์
- ไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่อย่างใด
- จัดการศึกษา และส่งเสริมการศึกษา

หรืออาจกล่าวได้ว่า มีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ คือ เพื่อเผยแผ่ศีลธรรมในศาสนา เพื่อสนับสนุนให้กำลังใจแก่ผู้กระทำความดี และเพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้คนดีมีสัมมาชีพ

รูปภาพ
โบสถ์ธรรมชาติอันโดดเด่นแห่งวัดสวนแก้ว
............................................................................



วัดสวนแก้ว มีลักษณะของวัดป่าที่พระพยอม กัลยาโณ ได้จำลองสวนโมกขพลาราม ต.เลม็ด อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี มาไว้ที่นี่ โดยตลอดทางเดินเข้าสู่ตัววัดจะร่มรื่นไปด้วยแมกไม้เขียวครึ้ม ติดป้ายคำขวัญเป็นข้อความเตือนสติ พร้อมทั้งยังมีภาพปริศนาธรรมที่สวยงามอยู่ภายในวัด มีพื้นที่การทำสวนผลไม้ พืช ผัก สมุนไพรปลอดสารพิษแบบผสมผสาน ตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้านหน้าวัดมีร้านขายของที่ระลึก และร้านค้าเล็กๆ มากมาย เมื่อเดินเข้าไปด้านในวัดจะพบ ลานโค้งและโบสถ์ธรรมชาติ ซึ่งในแต่ละวันจะมีพุทธศาสนิกชนมาฟังเทศน์ฟังธรรมกันเป็นจำนวนมาก

ส่วนที่ถือเป็นหนึ่งไฮไลท์ของวัดนี้ก็คือ โบสถ์ธรรมชาติ ที่เป็นลานโล่ง ไม่มีผนังและหลังคา แต่มีต้นไม้ใหญ่หลายต้นทำโน้มกิ่งโค้งเข้าหากัน ทำหน้าที่เป็นผนังและหลังคาแทน ซึ่งวันไหนอากาศร้อนทางวัดก็จะพ่นไอน้ำออกมาสร้างความเย็นสบายให้แก่ผู้ที่นั่งฟังเทศน์ฟังธรรม หรือประกอบพิธีกรรมอยู่ในโบสถ์ธรรมชาติแห่งนี้ นอกจากนี้วัดสวนแก้วยังมีสินค้าขายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ รวมถึง ผลิตผลต่างๆ จากในวัด และที่มีชื่อเสียงมากก็คือ สินค้ารีไซเคิลคุณภาพดี ราคาถูก ที่ในแต่ละวันจะมีคนเดินทางไปเลือกซื้อสิ่งของจากที่นี่เป็นจำนวนมาก นับได้ว่าวัดสวนแก้วเป็นหนึ่งในวัดปฏิบัติที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

รูปภาพ
พระราชธรรมนิเทศ (พระพยอม กัลยาโณ)


* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

แผนที่วัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=3071

เว็บไซต์พระพยอม กัลยาโณ
http://www.kanlayano.org/

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 15:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มิ.ย. 2004, 01:20
โพสต์: 1785


 ข้อมูลส่วนตัว www


วัดสนามใน
เลขที่ 27 หมู่ 4 ต.วัดชลอ
อ.บางกรวย จ.นนทบุรี 11130
โทรศัพท์ 02-883-7251, 02-429-2119
โทรสาร 02-883-7275


หลวงพ่อทอง อาภากโร เจ้าอาวาส

วัดสนามใน มีแนวการปฏิบัติแบบการเจริญสติแนวหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ กล่าวคือ “การเจริญสติรู้การเคลื่อนไหวของกาย ตามหลักสติปัฏฐาน 4” โดยเน้นสติสัมปชัญญะในอิริยาบถต่างๆ มีรูปแบบของการเดินจงกรม การทำจังหวะมือ และการทำวัตรสวดมนต์ เป็นต้น

รูปภาพ
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ


๏ หลวงพ่อเทียนกับวัดสนามใน ๏

“วัดสนามในนี้ เริ่มแรกอาตมามาจำพรรษาที่วัดชลประทาน ก็เกี่ยวข้องกับเรื่องกรรมฐานที่วัดชลประทาน เจ้าคุณปัญญาพร้อมด้วยเจ้าคณะจังหวัดเลย และคณะสงฆ์อื่นๆ ลงมติให้อาตมามาจำพรรษาที่วัดชลประทาน เมื่อมาจำพรรษาที่วัดชลประทาน ก็ปรากฏว่ามีโยมคนหนึ่ง คือคุณวิโรจน์ ศิริอัฐิ และมหาสุขสันต์ เล่าเป็นประวัติเรื่องวัดสนามในนี้ เป็นวัดร้างมา ไม่มีพระ ไม่มีเณร รกรุงรัง ใครมาก็กลัวว่ามีผี มีอะไรต่างๆ ไม่มีคนเข้ามา เมื่อได้พูดตกลงกันแล้ว อาตมาก็ให้ลูกศิษย์หลายท่านเข้ามาอยู่ที่ตรงนี้

ทีแรกอาตมาก็ยังมาไม่ได้ เพราะยังมีการเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดชลประทาน ก็ต้องจำพรรษาที่วัดชลประทานอีก ๑ ปี พร้อมกันทั้ง ๒ ปี ปีแรก กับปีที่ ๒ ก็เลยมาจำพรรษาที่ตรงนี้ เมื่อมาจำพรรษาที่ตรงนี้ ก็อยากให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม เพราะว่าวัดต่างๆ นั้นมีการก่อสร้างวัตถุกันมาก เช่น โบสถ์ เจดีย์ อะไรต่างๆ นั้นสร้างกันมากแล้ว ที่วัดสนามใน ไม่ต้องสร้างอะไรให้มาก เพราะว่าเราจะดูธรรมชาติ ต้นไม้ หรือใบไม้ พื้นดินมันทำประโยชน์อะไรให้คนได้ เมื่อเรามาศึกษาที่ตรงนี้ ก็พร้อมๆ กันกับลูกศิษย์หลายท่าน ได้ตกลงกันเอาไว้ว่า ไม่ต้องสร้างอะไรมาก เพียงมีกุฏิเล็กๆ นอน แล้วก็พอกันแดดกันฝนเล็กๆ น้อยๆ เมื่อตกลงกันเช่นนั้น ก็ได้ปฏิบัติมาตั้งแต่บัดนั้นมา จนถึงบัดนี้ เมื่อถึงตอนนี้ก็ยังคงที่ พื้นที่ก็ยังเหมือนเดิม เป็นอย่างนั้น

ดังนั้น วัดนี้จึงเป็นสถานที่ปฏิบัติ ทุกคนมาปฏิบัติได้ วิธีปฏิบัติธรรมะก็ไม่เหมือนกันกับที่อาจารย์อื่นๆ ที่สอนกันมาวิธีที่อาจารย์อื่นๆ ที่สอนกันมานั้น ตัวของอาตมาเองหรือตัวของผมเองก็เคยปฏิบัติมาไม่น้อย ระยะเมื่อเป็นโยมอยู่ เคยรักษาศีลเคยให้ทาน เคยทำกรรมฐานมา แต่ไม่รู้ว่าให้ทานคืออะไรรักษาศีลคืออะไร ทำกรรมฐานคืออะไรไม่รู้ เพียงทำตามครูอาจารย์มาเท่านั้นไม่เกิดสติ ไม่เกิดปัญญา ไม่เห็นแจ้ง ไม่รู้จริง

ที่วัดสนามใน ความเป็นอยู่ของพระเณร ตอนเช้า ตีสี่ ต้องตีระฆัง ทำวัตรเช้า พอดีทำวัตรเสร็จ ก็อบรมกันน่ะ ให้โอวาทแนะนำแนวปฏิบัติกันภายใน ๓๐ นาที หรือ ๒๐ นาที แล้วแต่โอกาสที่จะเหมาะสม เมื่อให้โอวาทพอเหมาะพอควรแล้ว ก็ออกไปบิณฑบาต เมื่อไปบิณฑบาตมาแล้ว อาหารตกใส่บาตรมาทุกคน แม้ปัจจัยก็ตาม โดยมากคนกรุงเทพชอบมีปัจจัยใส่ในบาตร ไม่เหมือนกับอย่างที่บ้านนอก อย่างที่ชนบทบ้านนอกไม่ค่อยมี คนกรุงเทพต้องมีสตางค์ มีซอง มีซองปัจจัยมาใส่ในบาตร เมื่อมาถึงก็เก็บออกให้หมด เก็บปัจจัยออกในบาตรอาหารเก็บออกในบาตร มีกะละมังคอยรับไว้ แล้วคนหนึ่งก็คอยเก็บเอาอาหารจากกะละมังมาไว้ให้เป็นล้อ ยู้ไป (ผลักไป) แน่ะ...แบ่งเป็น ๒ ส่วน ส่วนหนึ่งก็เอาไว้กิน-ฉันกลางวัน ส่วนนึงก็เอาไว้ฉันตอนเช้า เสร็จแล้วต้องตีระฆังสัญญาณ พระเณรก็เดินมาฉัน เมื่อฉันแล้วพระเณรก็ไปล้างถ้วยล้างจานเอาเอง ล้างบาตรตัวเอง มันเป็นอย่างนั้น แล้วก็มาทำธุระหน้าที่ของตัวเองปฏิบัติตัวเอง รู้ตัวเอง เข้าใจตัวเอง ต้องมีหน้าที่อย่างนั้น

ตอนกลางวันก็เหมือนกัน ตอนเช้าก็เหมือนกัน...ตอนเย็นบัดนี้ เวลาตีสี่ เอ้อ...เวลาสี่โมงหรือห้าโมง ก็ต้องตีระฆัง ทำวัตรเย็นกัน เมื่อทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว ก็จะมีการอบรมกัน ให้ข้อคิดเตือนจิตสะกิดใจกัน เพื่อให้รู้ ให้ปฏิบัติ แต่ไม่ใช่จะมาเล่นๆ แต่โดยมากวัดสนามในไม่เดือดร้อน เพราะว่าไม่มีอติเรกลาภมาก ไม่มีคนอยากเข้ามาอยู่ มาอยู่ก็เฉพาะบุคคลที่ต้องการปฏิบัติจริงๆ ปฏิบัติเพื่อรู้ คนที่ไม่อยากรู้ ก็มาอยู่ลำบากลำบน รำคาญ เอ้า...ไม่อยากอยู่ ดังนั้น ที่มาอยู่น้อยๆ อย่างที่ร่มไม้ ต้นไม้ มันเป็นธรรมชาติของมันแล้วเราก็มาศึกษากับธรรมชาติได้ หลักพุทธศาสนารวมลัดๆ สั้นๆ จับใจความได้ทันที” (คัดจากแถบบันทึกเสียง รหัสท.๑๙)

รูปภาพ
หลวงพ่อทอง อาภากโร


* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

แผนที่วัดสนามใน จ.นนทบุรี
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=394

ประวัติและปฏิปทา “หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=44206

รวมคำสอน “หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=38672

ฟังเสียงแสดงธรรม หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
http://www.dhammajak.net/audio/dhamma/files/thien.php

เว็บไซต์วัดสนามใน
http://www.watsanamnai.org/

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 15:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มิ.ย. 2004, 01:20
โพสต์: 1785


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

วัดป่ามณีกาญจน์
เลขที่ 67/3 หมู่ 3 ถ.บางม่วง-บางคูลัด (สาย 1)
ต.ศาลากลาง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี 11130
โทรศัพท์ 02-449-2234 โทรสาร 02-449-2096


พระครูภาวนาสุทธาจาร (พระอาจารย์สาคร ธัมมาวุโธ) ประธานสงฆ์

พระอาจารย์อำนวย จิตตสังวโร เจ้าอาวาสวัดป่ามณีกาญจน์


พระอาจารย์สาคร ธัมมาวุโธ โทร. 081-375-7222
พระอาจารย์อำนวย จิตตสังวโร โทร. 086-069-8893


วัดป่ามณีกาญจน์ เป็นวัดปฏิบัติสายหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล, หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และหลวงปู่ฝั้น อาจาโร โดยเป็นวัดป่าปฏิบัติที่ตั้งอยู่ชานเมืองไม่ห่างไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก สถานที่มีความร่มรื่น สงบเงียบ สงบเย็น เหมาะแก่การปฏิบัติภาวนาเป็นอย่างยิ่ง วัดป่ามณีกาญจน์ มีการจัดปฏิบัติธรรม เจริญจิตภาวนา และจัดโครงการเกี่ยวเนื่องมากมาย อาทิเช่น โครงการอุปสมบท บรรพชา บวชเป็นผ้าขาว บวชชีพราหมณ์ และบวชเนกขัมมะ ในวันสำคัญทางศาสนาและวันสำคัญของชาติ เป็นประจำอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ตลอดจน โครงการหนึ่งบวกหนึ่งได้สาม โดยนำบุตรหลาน เด็ก เยาวชน และผู้สนใจเข้าร่วมโครงการ ทั้งชายและหญิง ไม่จำกัดอายุและการศึกษา มาร่วมปฏิบัติธรรมกรรมฐานภาคฤดูร้อน

รูปภาพ

ประวัติการสร้างวัดป่ามณีกาญจน์

สืบเนื่องจากเมื่อช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ.2545 คราวเตรียมงานฉลองเจดีย์พิพิธภัณฑ์หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ณ วัดดอนธาตุ บ้านทรายมูล ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี พระอาจารย์สาคร ธัมมาวุโธ เจ้าอาวาสวัดเวฬุวัน ได้รับมอบหมายจากคณะทำงานคราวนั้น ให้รับหน้าที่ติดต่อประสานงานทั้งระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และองค์พระเถรานุเถระที่เมตตารับนิมนต์มาร่วมพิธีในคราวนั้น

ในการนี้พระอาจารย์สาคร ธัมมาวุโธ ต้องเดินทางระหว่างจังหวัดกาญจนบุรีกับจังหวัดอุบลราชธานีบ่อยครั้ง อีกทั้งยังต้องติดต่อประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่มีที่ทำการอยู่ในกรุงเทพฯ ท่านจึงต้องพำนักพักแรมในกรุงเทพฯ ด้วยเหตุความจำเป็นในการที่จะต้องพักแรมในกรุงเทพฯ นี้เอง ท่านพิจารณาเห็นว่าสถานที่พักที่เหมาะสำหรับพระภิกษุสามเณร สังกัดธรรมยุต ในกรุงเทพฯ นั้นมีไม่เพียงพอกับจำนวนพระภิกษุสามเณรที่มีความจำเป็นต้องมาพักแรม ทั้งกรณีอาพาธต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล หรือมีกิจนิมนต์ ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล หรือจังหวัดใกล้เคียง อีกทั้งสถานที่พักส่วนใหญ่ไม่สะดวกในการรักษาข้อวัตรปฏิบัติให้สมบูรณ์ ท่านจึงได้ปรารภเรื่องนี้ในหมู่ลูกศิษย์ของท่าน

เวลานั้นลูกศิษย์ท่านหนึ่ง ทราบความประสงค์อันกอปรด้วยกุศลเจตนาของพระอาจารย์สาคร จึงนำความไปปรึกษากับกลุ่มญาติ ซึ่งมีที่ดินอยู่ ณ ต.ศาลากลาง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี จำนวน 9 ไร่ 2 งาน ที่ซื้อมาเมื่อ 30 ปีที่แล้ว กลุ่มญาติทั้งหมดอันประกอบด้วย ม.ร.ว.วรรณี มณีกาญจน์, นายสันติ มณีกาญจน์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดเลยและจังหวัดหนองคาย, นางสาวชูพักตร์ มณีกาญจน์, นางบุญล้อม มณีกาญจน์ และลูกๆ ของนายประสิทธิ์ มณีกาญจน์ มีความเห็นพ้องต้องกันว่า สมควรถวายที่ดินผืนดังกล่าวเพื่อก่อสร้างวัดในสังกัดธรรมยุต เพื่อเป็นสถานที่พักปฏิบัติธรรมและประกอบศาสนกิจในบวรพระพุทธศาสนาต่อไป ซึ่งพระอาจารย์สาครได้ให้ชื่อวัดแห่งนี้ เพื่อเป็นที่ระลึกแก่กุศลธรรมของญาติโยมที่มีจิตศรัทธาถวายที่ดินว่า “วัดป่ามณีกาญจน์” การดำเนินการก่อสร้างจึงได้เริ่มขึ้น เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ.2546 โดยรวบรวมจตุปัจจัยจากผู้มีจิตศรัทธา ภายในวัดมีเสนาสนะ อาทิเช่น ศาลาเอนกประสงค์ ขนาดกว้าง 14 เมตร ยาว 16 เมตร และกุฏิที่พักสงฆ์ ขนาดกว้าง 2.5 เมตร ยาว 3 เมตร เป็นต้น

รูปภาพ

ครั้นต่อมา พระอาจารย์สาครได้กราบปรึกษา หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ เรื่องการขยายเนื้อที่ของวัดป่ามณีกาญจน์ เพื่อให้เพียงพอแก่การสร้างที่พัก ทั้งของพระภิกษุสงฆ์และฆารวาส ตลอดจนคนขับรถ พร้อมทั้งที่จอดรถที่สามารถจุรถได้มากเพียงพอแก่การใช้งานจริง โดยเฉพาะพ่อแม่ครูบาอาจารย์จากทุกจังหวัด จะได้รับความสะดวกใช้เป็นสถานที่พำนักอาศัยและปฏิบัติธรรม ทั้งในกรณีที่ท่านเดินทางเข้ามาเพื่อประกอบศาสนกิจหรือรักษาอาการอาพาธ อีกทั้ง ยังเป็นการช่วยลดอุบัติเหตุอันอาจจะเกิดขึ้นแก่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ในกรณีที่คนขับรถไม่มีที่หลับที่นอน ทำให้เกิดเหตุคนขับรถหลับในได้ ตลอดจนเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ศรัทธาญาติโยมที่สนใจการปฏิบัติธรรม ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งในการนี้หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ รับเป็นประธานสงฆ์

ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2547 คณะศิษยานุศิษย์และคณะศรัทธาญาติโยมได้ร่วมกันจัดซื้อที่ดินเพิ่มเติมเพื่อขยายเนื้อที่ของวัด อีกจำนวน 15 ไร่ ดังนั้น ปัจจุบันเนื้อที่ของวัดป่ามณีกาญจน์ จึงมีรวมทั้งหมดจำนวน 24 ไร่ 2 งาน

การเดินทาง :

ไปทางถนนตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี เลยทางแยกเข้าถนนราชพฤกษ์ และห้างสรรพสินค้าโลตัส ไปประมาณ 300 เมตร มีทางแยกซ้ายมือ เป็นทางแยกเข้าโรงเรียนเปรมประชากร ขับเข้าไปในซอยประมาณ 100 เมตร จะเจอ 3 แยก แล้วเลี้ยวซ้าย จากนั้นตรงไปตามถนนประมาณ 4 กิโลเมตร วัดป่ามณีกาญจน์อยู่ซ้ายมือ ทางเข้าสะดวก

รูปภาพ
พระอาจารย์สาคร ธัมมาวุโธ ประธานสงฆ์แห่งวัดป่ามณีกาญจน์

รูปภาพ
พระอาจารย์อำนวย จิตฺตสํวโร เจ้าอาวาสวัดป่ามณีกาญจน์องค์ปัจจุบัน


* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

แผนที่วัดป่ามณีกาญจน์ จ.นนทบุรี
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=358

เชิญนำบุตรหลานบวชปฏิบัติธรรมภาคฤดูร้อน ณ วัดป่ามณีกาญจน์
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=11166

ประวัติและปฏิปทาพระอาจารย์สาคร ธัมมาวุโธ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=20794

เว็บไซต์วัดป่ามณีกาญจน์
http://www.watpamaneekarn.com/

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 15:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มิ.ย. 2004, 01:20
โพสต์: 1785


 ข้อมูลส่วนตัว www


วัดศรีประวัติ (วัดช่องลม)
หมู่ 1 ถ.พระประแดง-สุพรรณบุรี
ริมคลองมหาสวัสดิ์หรือคลองชุด
ต.ปลายบาง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี 11130
โทรศัพท์ 081-616-2205, 02-903-8968


พระอาจารย์ทอง ฐิติธัมโม เจ้าอาวาส

วัดศรีประวัติ มีแนวปฏิบัติแบบการเจริญสติปัฏฐาน รูป-นาม
ภายในวัดมีสำนักศาสนศึกษาวัดศรีประวัติ เพื่อสอนพระปริยัติธรรม แผนกบาลี


การเดินทาง : ถ้าเดินทางมาเส้นถนนปิ่นเกล้า-บรมราชชนนี ให้วิ่งตรงไปเรื่อยๆ เมื่อผ่านสถานีขนส่งสายใต้ (ใหม่) วิ่งตรงไปสักพัก ก็จะเจอวงแหวนที่ให้วิ่งเข้าช่องกลางถนน ที่มีป้ายเขียนว่าไปบางใหญ่ เมื่อวกกลับเรียบร้อยแล้ว ให้ขับรถไปสักพักตามถนนใหญ่ และจะมีการขับรถข้ามสะพาน ให้สังเกตว่า ข้างซ้ายมือจะเห็นร้านขายรถจักรยานยนต์ และจะเห็นป้ายโฆษณาขายบ้านโครงการพฤกษาวิลล์ (ซอยวัดศรีประวัติ) ให้เข้าซอยนี้ไปได้ระยะประมาณ 100-200 เมตร ก็จะเห็นวัดศรีประวัติ

- ถ้ามาทางพุทธมณฑล ตรงสี่แยกทศกัฎฐ์ เข้าถนนตลิ่งชั่น-บางบัวทอง จากจุดนั้นประมาณ 2 กม. ก็ถึงวัด

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

เว็บไซต์วัดศรีประวัติ
http://www.sriprawat.net/

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 15:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มิ.ย. 2004, 01:20
โพสต์: 1785


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
หลวงพ่อสุทัศน์ โกสโล
............................................................................



วัดกระโจมทอง
ต.วัดชลอ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี 11130
โทรศัพท์ 02-447-5168, 02-883-9885


หลวงพ่อสุทัศน์ โกสโล เจ้าอาวาส

วัดกระโจมทอง มีแนวการปฏิบัติแบบ “การเจริญสติรู้การเคลื่อนไหวของกาย ตามหลักสติปัฏฐาน 4” แนวทางของ “หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ” โดยเน้นสติสัมปชัญญะในอิริยาบถต่างๆ มีรูปแบบของการเดินจงกรม การทำจังหวะมือ และการทำวัตรสวดมนต์ เป็นต้น

วัตรปฏิบัติของวัดกระโจมทอง
6.00 น. ใส่บาตรพระ
7.00 น. ฉันเช้า
8.30 น. ทำวัตรเช้า
11.00 น. ฉันเพล
13.00 น. ภาคปฏิบัติ : เดินจงกรม, ยืนสมาธิ, นั่งสมาธิ
เฉพาะวันพระ : ฟังเทศน์หลวงพ่อสุทัศน์ โกสโล
16.00 น. ทำวัตรเย็น
19.00 น. ภาคปฏิบัติ : เดินจงกรม, ยืนสมาธิ, นั่งสมาธิ

หมายเหตุ...
หลวงพ่อสุทัศน์ โกสโล ฉันภัตตาหารเพลเพียง 1 มื้อ (อาหารมังสวิรัติ)

วัดกระโจมทอง ตั้งอยู่ริมคลองบางกรวย ต.วัดชลอ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๑๙๑๐ ในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น วัดแห่งนี้เป็นวัดร่วมสมัยกับวัดปรางค์หลวง ต.บางม่วง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี มีตำนานกล่าวว่า เดิมเคยเป็นที่ตั้งกระโจมที่ประทับของพระเจ้าอู่ทอง แม้วัดแห่งนี้จะตั้งอยู่ใจกลางเมือง พลุกพล่านไปด้วยรถที่สัญจรไปมา แต่ภายในวัดมีต้นไม้ขนาดใหญ่ขึ้นอยู่ทั่วบริเวณ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า

“เป็นวัดป่าใจกลางเมือง เหมาะสำหรับการฝึกอบรมปฏิบัติธรรม”


ภายในวัดมีถาวรวัตถุที่สำคัญ คือ วิหารหลวงพ่ออู่ทอง ลักษณะคล้ายอุโบสถขนาดเล็ก บรรจุพระสงฆ์ได้ประมาณ ๒๑ รูป ฝาผนังหนาประมาณ ๘๐ ซม. สภาพชำรุดเหลือผนังด้านข้างกับด้านหลัง ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปสมัยอู่ทองยุคต้น จำนวน ๓ องค์ พระพุทธรูปองค์กลางมีขนาดใหญ่เรียกว่า หลวงพ่ออู่ทอง

วัดแห่งนี้มี หลวงพ่อสุทัศน์ โกสโล พระป่ากรรมฐานสายหลวงปู่มั่น เป็นเจ้าอาวาส ท่านไม่มีฐานะสมณศักดิ์ใดๆ ท่านเป็นพระธรรมดารูปหนึ่งเท่านั้น แม้จะมีผู้รู้จักมักคุ้นกับพระเถระผู้ใหญ่หลายรูป แต่ท่านไม่เคยร้องขอสมณศักดิ์ใดๆ กับใครเลยทั้งสิ้น ด้วยใจยึดมั่นในหลักธรรมวินัย และการเผยแผ่ธรรมให้ศาสนิกชนได้พ้นจากห้วงแห่งความทุกข์อย่างเดียว

มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านไปรับกิจนิมนต์ให้ไปเทศนาภายในบริเวณวัดพระแก้ว โดยได้เทศนาเรื่องอานิสงส์แห่งการถวายทานและภาวนา โยมคนหนึ่งได้ฟังธรรมและเกิดความปีติ จึงตามท่านมาที่วัด และจะถวายรถเบนซ์เพื่อให้ท่านได้ใช้ในกิจของสงฆ์

แต่หลวงพ่อได้แสดงธรรมเพื่อให้เป็นคติสอนใจว่า “ควรถวายของที่เหมาะแก่สมณสารรูปแห่งเพศบรรพชิต” โดยท่านได้ปฏิเสธที่จะรับรถเบนซ์คันดังกล่าว

หลวงพ่อสุทัศน์ฉันอาหารมังสวิรัติ ในบางคราวที่ท่านรับนิมนต์ หากอยากโยมทราบก็จะจัดเตรียมอาหารไว้ หากญาติโยมไม่ทราบ หรือต้องเดินทางไกลๆ ท่านจะมีเครื่องกระป๋องเตรียมเอาไว้ ซึ่งเป็นผักทั้งสิ้น

ทั้งนี้ ท่านได้ให้เหตุผลถึงเรื่องการฉันมังสวิรัติว่า “พระจะเคร่งพระธรรมวินัย ไม่ใช่อยู่ที่ฉันเจ หรือไม่เจ”
ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งคือ การเป็นเจ้าอาวาส เมื่อคนมาวัดก็ต้องมาหาเจ้าอาวาส เอากับข้าวอร่อยๆ มาถวายเราแต่ผู้เดียว แม้จะฉันรวมกันก็ตาม แต่อาหารนั้นไม่ทั่วถึงหมู่สงฆ์ เมื่อฉันมังสวิรัติแล้ว อาหารที่ญาติโยมมาถวายก็สามารถเผื่อแผ่ไปยังสงฆ์รูปอื่นๆ

จากคติความเชื่ออย่างหนึ่งที่ว่า “การทำบุญถวายทานกับพระอริยบุคคลนั้น จะได้อานิสงส์ได้บุญมากกว่าการทำบุญกับพระทั่วๆ ไป”

ทั้งนี้ หลวงพ่อสุทัศน์ได้ให้คติธรรมว่า “เรามิอาจรู้ได้ว่าพระรูปไหนเป็นพระอริยะหรือไม่ เพราะพระอริยะเจ้าไม่บอก ไม่แสดงตนว่าเป็นพระอริยะแล้ว ยกเว้นแต่อริยะปลอมเท่านั้น ธรรมที่ปรากฏนั้น ย่อมปรากฏที่ใจ มิใช่ที่อื่น...การภาวนาเป็นการละลดอุปทาน”

ส่วนคติความเชื่อที่พุทธสาสนิกชนตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันที่ว่า “พระป่าเคร่งกว่าพระบ้าน พระบวชอยู่ในเมือง” นั้น หลวงพ่อสุทัศน์ได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้อย่างน่าคิดว่า

“จากประสบการณ์ที่ผ่านมานั้น พระป่าซึ่งหมายถึงพระที่อยู่ในป่า ใช่ว่าจะเป็นพระที่เคร่งในศีลยึดมั่นธรรมเสมอไปไม่ พระป่าจำนวนไม่น้อยทุศีลก็มากมี ผิดพระธรรมวินัยก็มีอยู่ไม่น้อย เมื่อเป็นเช่นนี้กรรมก็จะสนองเอง ระหว่าธุดงค์เคยเห็นศพพระป่าดิบในทั่วไป เพราะขาดศีลผิดวินัยนั่นเอง”

ในฐานะที่เป็นพระป่ากรรมฐานสายหลวงปู่มั่น หลวงพ่อสุทัศน์ได้พูดถึงประโยชน์ของการฝึกสมาธิภาวนา หรือกรรมฐานว่า สามารถลดหรือล้างความเครียดได้ เมื่อมีการฝึกอบรมกรรมฐานอย่างต่อเนื่องจนสามารถปฏิบัติได้ในอิริยาบถเดิมๆ โดยไม่ได้ขยับเลย เป็นเวลาอย่างน้อย ๓ ชั่วโมง ก็สามารถจะดับความเครียดได้ เพราะเมื่อมีการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง จิตรวมตัวกันเป็นสมาธิ ตัดเรื่องภายนอกออกได้หมดแล้ว การทำงานของระบบประสาทก็จะดีขึ้น มีสติสัมปชัญญะที่ชัดขึ้น ความเครียดก็จะลดน้อยลงโดยปริยาย ด้วยเหตุนี้สมาธิภาวนาจึงสามารถลดความกดดันและความทุกข์ได้

ในกรณีของการปฏิบัติสมาธิภาวนาแล้ว เห็นนรกสวรรค์นั้น หลวงพ่อสุทัศน์บอกว่า การเห็นนรกสวรรค์ในสมาธินั้นเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็นไม่จริง การที่มองเห็นนรกสวรรค์ในสมาธินั้น เป็นเพียงอุปทานขันธ์ หาใช่นรกสวรรค์อย่างที่บางคนมีความเข้าใจ

ส่วนในครั้งพุทธกาล หรือสมัยที่พระพุทธเจ้ามีพระชนม์ชีพอยู่นั้น พระมาลัยพระอรหันต์ท่านไปนรกสวรรค์ ท่านไปจริงๆ ไปทั้งตัว ไม่ใช่แต่จิต เวลานั่งสมาธิอย่างที่เข้าใจกัน

หลวงพ่อสุทัศน์ยังบอกด้วยว่า ระหว่างออกธุดงค์ คำถามหนึ่งที่ญาติโยมมักถามบ่อยๆ คือ “ท่านมาธุดงค์อย่างนี้น่าจะมีของดีมาแจกไว้สำหรับป้องกันด้วยหรือไม่”

หลวงพ่อสุทัศน์ตอบไปว่า “ถ้าไปแจกวัตถุเครื่องรางของขลัง อาตมาพกพามาได้อย่างมากน่าจะไม่เกิน ๓,๐๐๐ องค์ อาตมาไม่มีกำลังมากพอที่จะพกพามากกว่านี้ และถ้าพกพามาได้ก็ไม่สามารถที่จะแจกได้ทั่วครบทุกคน อาตมาจึงบอกว่า อาตมาพกพาธรรมะของพระพุทธองค์มาเต็มย่าม ตั้งใจว่าจะแจกให้ครบทุกคน เพราะธรรมะจะแจกเท่าไรก็ไม่หมด และก็ไม่เป็นภาระที่จะแบกไปแจกให้ครบทุกคน ธรรมะมีแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษ แต่วัตถุมงคลมีทั้งคุณมีทั้งโทษ ใช้ในทางที่ถูกก็เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ใช้ในทางไม่ถูกก็จะกลายเป็นความหลงใหลในวัตถุ”

ชาติภูมิและแนวปฏิบัติของหลวงพ่อสุทัศน์ โกสโล

เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ ๖ มกราคม ๒๔๗๘ ปีกุน ที่ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช เป็นบุตรของนายพรหม และนางพันธ์ อุปสมบทเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๒ โดยมี พระครูประภาสภูมิสถิตย์ (หนุ่ม) เจ้าอาวาสวัดคงคาสวัสดิ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ และเป็นพระอาจารย์สอนคาถาอาคม-กรรมฐานเป็นปฐม

มีพระอาจารย์บัญญัติ มุนินโท เป็นผู้ร่วมธรรมวิมุต ออกธุดงค์เดินป่าภาวนาธรรมอยู่ด้วยกันไปถึงพม่า อยู่กลางป่าเขาเป็นเวลากว่า ๒ ปี

พระอาจารย์องค์สำคัญที่ให้ความรู้ทางวิปัสสนา คือ พระอาจารย์แป้น ธัมมธโร อดีตเจ้าอาวาสวัดไทรงาม จ.สุพรรณบุรี โดยพระอาจารย์แป้นเดินทางมาอบรมกรรมฐานให้พระเณรที่ในป่าช้าที่วัดท้าวโคตร ซึ่งปัจจุบันคือวัดชายนานั่นเอง

สำหรับแนวการฝึกปฏิบัติธรรมของหลวงพ่อสุทัศน์ ท่านจะยึดหลักการฝึกในแนวของมหาสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสติ การตั้งสติกำหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นตามความเป็นจริง คือ ตามที่สิ่งนั้นๆ มันเป็นของมันเอง ประกอบด้วย

๑. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณากายให้รู้เห็นตามเป็นจริง

๒. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนา ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงเวทนา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา

๓. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงจิต ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา

๔. ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรม ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา

เรื่อง-ภาพ...โดย ไตรเทพ ไกรงู


* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ประวัติและปฏิปทา “หลวงพ่อสุทัศน์ โกสโล”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=44114

เว็บไซต์วัดกระโจมทอง
http://www.luangphor.in.th/

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 15:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มิ.ย. 2004, 01:20
โพสต์: 1785


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
ศาลาปฏิบัติธรรม วัดละหาร จ.นนทบุรี
............................................................................



วัดละหาร
เลขที่ 17 หมู่ 2 บ้านบางบัวทอง
ต.โสนลอย อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี 11110
โทรศัพท์ 02-571-7415, 02-920-3709,
02-920-1315, 081-403-1798


เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน

พระราชนันทมุนี (หลวงพ่อสำรวย อาภากโร)
อดีตรองเจ้าคณะจังหวัดนนทบุรี และอดีตเจ้าอาวาสวัดละหาร
ท่านเจ้าคุณฯ ได้มรณภาพแล้วเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2555
สิริอายุรวมได้ 74 ปี พรรษา 54
มีงานพิธีพระราชทานเพลิงศพเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2555


วัดละหาร เป็นวัดที่เข้าร่วมโครงการปฏิบัติธรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการ
ปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามแนวนโยบายของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ


วัดละหาร เป็นวัดราษฎร์ สังกัดมหานิกาย มีความสำคัญดังนี้

1. สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดนนทบุรี แห่งที่ 1
กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม

2. วัดพัฒนาตัวอย่างดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2535

3. หน่วยอบรมประชาชน ประจำตำบลโสนลอย

4. โรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ วัดละหาร

5. ศูนย์สงเคราะห์พุทธมามกะ

รูปภาพ
พระราชนันทมุนี (หลวงพ่อสำรวย อาภากโร) อดีตเจ้าอาวาส

รูปภาพ

รูปภาพ
ในงานพิธีพระราชทานเพลิงศพพระราชนันทมุนี (หลวงพ่อสำรวย อาภากโร)
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน 2555 ณ วัดละหาร จ.นนทบุรี

............................................................................



ทางวัดละหารมีการจัดโครงการเข้าค่ายปฏิบัติธรรม อบรมจริยธรรม ศีลธรรม ให้แก่ข้าราชการ-พนักงานเอกชนตามหน่วยงานต่างๆ รวมทั้ง จัดอบรมวิปัสสนากรรมฐานสำหรับบุคคลทั่วไปและสำหรับเยาวชน นักเรียน นักศึกษา ใน โครงการอบรมพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาและสันติสุข ของ คุณแม่ ดร.สิริ กรินชัย มีระยะเวลาการฝึกในแต่ละคอร์ส 7 คืน 8 วัน (จัดช่วงระหว่างวันที่ 13-20 ของเดือนมกราคม และวันที่ 11-18 ของเดือนมิถุนายน ของทุกปี) ตลอดจน จัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา ฯลฯ อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องตลอดทั้งปี

นอกจากนี้แล้ว ทุกวันพระและวันพฤหัสบดี เจ้าอาวาสจะนำพาสาธุชนปฏิบัติธรรม สวดมนต์ ไหว้พระ ช่วงเย็นหลังเลิกงานระหว่างเวลา 18.00-20.00 นาฬิกา ณ ศาลาปฏิบัติธรรม และอุโบสถ วัดละหาร

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร