วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 01:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 62 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 21:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
bigtoo เขียน:
nongkong เขียน:
bigtoo เขียน:
nongkong เขียน:
สมัยนี้คงไม่เหมือนสมัยพุทธกาลแล้ว ต่อให้เราไปบวชก็อาจจะหนีไม่พ้นความวุ่นวายในสังคม สงสัยอนาคตคงจะกลับไปอยู่บ้านนอกใช้ชีวิตแบบพอเพียง ปฏิบัติธรรมอยู่บ้าน อยู่กับธรรมชาติ สงบกายสงบใจดีกว่า :b43:
ก็ได้เหมือนกัน ถ้าเรามีธรรมมะแล้ว แต่เราอาจจะทำตามใจตัวเราซะส่วนใหญ่พราะจิตมนษย์มักไหลลงต่ำเสมอ ถ้าอยู่ในกรอบจะทำให้เรา มีกฎตายตัว มีข้อปฎิบัติทำให้มีระเบียบวินัย จะทำให้เราพัฒนาธรรมมะได้ดี ค่อยๆคิด ค่อยๆทำ ผมขอแนะนำอีกอย่างหนึ่งครับ ผมมีสำนักปฎิบัติที่ดีทีเดียว ผมเลิกทุกอย่างได้ภายในสิบวัน จากตัวแสบที่สุดยังหาตัวจับไม่ได้เลย ที่นี่นะครับ เลือกเอาว่าจะไปที่ไหน ใช้เวลาไม่มากเท่าไหร่ ประมาณ12วันเท่านั้นเอง เป็นสากลไม่มีความเชื่อเข้ามาอยู่กับธรรมชาติล้วน และคุณน้องจะรับรู้ถึงสภาวะหนึ่งที่คุณน้องไม่เคยรู้ รับประกันครับhhttp://www.thaidhamma.net/

ขอบคุนที่ท่านบิกทู่แนะนำสถานที่ปฏิบัติธรรมเจ้าค่ะ แต่คุนน้องเห็นมาเยอะแล้ว ต่อให้ปฏิบัติธรรมที่ไหนถ้าใจไม่สงบก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าคนที่จิตใจสงบแล้วกิเลศน้อยแล้ว..แค่เขาปลีกวิเวกไปอยู่ที่สังคมไม่วุ่นวายก็ปฏิบัติธรรมได้แล้วก็บรรลุธรรมได้เช่นกัน คุนน้องเชื่ออย่างนี้ และคุนน้องก็มีบ้านอยู่ ตจว.ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนไปไหนไกลๆ คุนน้องเป็นเด็กบ้านนอก เป็นคนอุบลราชธานี ถ้าอยากปฏิบัติธรรมที่วัด วัดที่อุบลก็มีเช่นกันเจ้าค่ะ
ที่นี่จะแตกต่างจากที่อื่นมากกล้ารับประกันครับ ที่นี่ไม่เกี่ยวกับพระเลย ที่เป็นศูนย์วิจัยทางพุทธศาสนา ได้ออกแบบ ขบวนการเพื่อสร้างความเข้าใจทั้งความรู้ด้านปริยัติและการปฎิบัติ อย่างมีระบบ ได้รับการยอมรับจากสังคมระดับโลก ที่ขอนแก่นก็มีครับ ธรรมะที่ไหนๆก็มีแต่หลักสูตรเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หลักสูครจะถูกพัฒนาขึ้นมาจากคนรุ่นแล้วรุ่นเล่า จนลงตัวว่าได้องค์ความรู้ครบทุกด้าน ทั้งสภาวะและปริยัติครับ ลองศึกษาดูก่อนครับไม่เสียหายจริงๆ

หลักปฏิบัติธรรมของคุนน้องกับท่านคงจะไม่เหมือนกัน คุนน้องไม่จำเป็นต้องเรียนปริยัติ เพราะคุนน้องไม่ได้เป็นผู้เผยแพร่ศาสนา คุนน้องปฏิบัติลงที่กายใจตนแค่นั้นเพราะคุนน้องเข้าถึงธรรมอริยสัจสี่แล้ว คุนน้องแค่ปลีกวิเวกและ เจริญกรรมฐาน ก็เพียงพอแล้วต่อการหลุดพ้นจากทุกข์ในชาตินี้ แต่ตอนนี้เหตุปัจจัยยังไม่เอื้ออำนวยแค่นั้น อายุน้อยอยู่ไม่รีบเจ้าค่ะ ทำความดีสร้างบุญสร้างกุศลก่อน :b9:
อย่ากล่าวเช่นนั้นเลย เรื่องอายุ มีเด็กคนไหนยากตายบ้าง?ใครจะรู้ว่าชาติหน้าจะมาก่อนวันพรุ่งนี้ :b41: การบรรลุธรรมตรงไหนก็บรรลุได้ถูกต้อง แต่ไม่มีทางที่จะบรรลุได้ถ้าขาดธรรมมะที่แท้จริง และตรง แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าที่ไหนตรงและจริง เราต้องแสวงหา เมื่อเราได้แสวงหาเรียนรู้ในหลายๆสถานที่แล้ว เราจะเป็นผู้ตัดสินใจเดินบนเส้นทางนี้ด้วยตัวเรา แล้ววันนั้นมันจะเกิดอะไรกับเรา เราคงไม่เสียใจเพราะเราได้เลือกเส้นทางเดินด้วยตัวเราเองแล้ว แต่ถ้าสิ่งที่เราคิดว่ามันดีมันไม่ใช่ล่ะ เราอาจจะสูญเสียโอกาสไปก็ได้ :b41: เพราะทางที่ชอบอาจจะไปได้ไกล :b43: แต่ทางที่ใช่จะไปได้ไกล กว่า :b41: 10กว่าปีแล้วผมยังไม่เคยหยุดฟังธรรมเลย :b48:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 21:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


แสงแห่งพระธรรม เขียน:
bigtoo เขียน:
nongkong เขียน:
bigtoo เขียน:
nongkong เขียน:
สมัยนี้คงไม่เหมือนสมัยพุทธกาลแล้ว ต่อให้เราไปบวชก็อาจจะหนีไม่พ้นความวุ่นวายในสังคม สงสัยอนาคตคงจะกลับไปอยู่บ้านนอกใช้ชีวิตแบบพอเพียง ปฏิบัติธรรมอยู่บ้าน อยู่กับธรรมชาติ สงบกายสงบใจดีกว่า :b43:
ก็ได้เหมือนกัน ถ้าเรามีธรรมมะแล้ว แต่เราอาจจะทำตามใจตัวเราซะส่วนใหญ่พราะจิตมนษย์มักไหลลงต่ำเสมอ ถ้าอยู่ในกรอบจะทำให้เรา มีกฎตายตัว มีข้อปฎิบัติทำให้มีระเบียบวินัย จะทำให้เราพัฒนาธรรมมะได้ดี ค่อยๆคิด ค่อยๆทำ ผมขอแนะนำอีกอย่างหนึ่งครับ ผมมีสำนักปฎิบัติที่ดีทีเดียว ผมเลิกทุกอย่างได้ภายในสิบวัน จากตัวแสบที่สุดยังหาตัวจับไม่ได้เลย ที่นี่นะครับ เลือกเอาว่าจะไปที่ไหน ใช้เวลาไม่มากเท่าไหร่ ประมาณ12วันเท่านั้นเอง เป็นสากลไม่มีความเชื่อเข้ามาอยู่กับธรรมชาติล้วน และคุณน้องจะรับรู้ถึงสภาวะหนึ่งที่คุณน้องไม่เคยรู้ รับประกันครับhhttp://www.thaidhamma.net/

ขอบคุนที่ท่านบิกทู่แนะนำสถานที่ปฏิบัติธรรมเจ้าค่ะ แต่คุนน้องเห็นมาเยอะแล้ว ต่อให้ปฏิบัติธรรมที่ไหนถ้าใจไม่สงบก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าคนที่จิตใจสงบแล้วกิเลศน้อยแล้ว..แค่เขาปลีกวิเวกไปอยู่ที่สังคมไม่วุ่นวายก็ปฏิบัติธรรมได้แล้วก็บรรลุธรรมได้เช่นกัน คุนน้องเชื่ออย่างนี้ และคุนน้องก็มีบ้านอยู่ ตจว.ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนไปไหนไกลๆ คุนน้องเป็นเด็กบ้านนอก เป็นคนอุบลราชธานี ถ้าอยากปฏิบัติธรรมที่วัด วัดที่อุบลก็มีเช่นกันเจ้าค่ะ
ที่นี่จะแตกต่างจากที่อื่นมากกล้ารับประกันครับ ที่นี่ไม่เกี่ยวกับพระเลย ที่เป็นศูนย์วิจัยทางพุทธศาสนา ได้ออกแบบ ขบวนการเพื่อสร้างความเข้าใจทั้งความรู้ด้านปริยัติและการปฎิบัติ อย่างมีระบบ ได้รับการยอมรับจากสังคมระดับโลก ที่ขอนแก่นก็มีครับ ธรรมะที่ไหนๆก็มีแต่หลักสูตรเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หลักสูครจะถูกพัฒนาขึ้นมาจากคนรุ่นแล้วรุ่นเล่า จนลงตัวว่าได้องค์ความรู้ครบทุกด้าน ทั้งสภาวะและปริยัติครับ ลองศึกษาดูก่อนครับไม่เสียหายจริงๆ

ใช่ๆๆๆๆๆๆเดียวนี้ต้องนั่งสมาธิในห้องแอร์.

พระพุทธองค์ท่านก็ไม่ได้ให้ยึดติดความสบาย พระพุทธองค์ท่านนั่งสมาธิในป่าใต้ต้นโพธิ์ คุนน้องขอนั่งสมาธิที่บ้านใต้ต้นมะขามดีกว่าเจ้าค่ะ แถวบ้านคุนน้องมีต้นมะขามเยอะ ต้นมะม่วงก็เยอะเจ้าค่ะ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
nongkong เขียน:
bigtoo เขียน:
nongkong เขียน:
bigtoo เขียน:
nongkong เขียน:
สมัยนี้คงไม่เหมือนสมัยพุทธกาลแล้ว ต่อให้เราไปบวชก็อาจจะหนีไม่พ้นความวุ่นวายในสังคม สงสัยอนาคตคงจะกลับไปอยู่บ้านนอกใช้ชีวิตแบบพอเพียง ปฏิบัติธรรมอยู่บ้าน อยู่กับธรรมชาติ สงบกายสงบใจดีกว่า :b43:
ก็ได้เหมือนกัน ถ้าเรามีธรรมมะแล้ว แต่เราอาจจะทำตามใจตัวเราซะส่วนใหญ่พราะจิตมนษย์มักไหลลงต่ำเสมอ ถ้าอยู่ในกรอบจะทำให้เรา มีกฎตายตัว มีข้อปฎิบัติทำให้มีระเบียบวินัย จะทำให้เราพัฒนาธรรมมะได้ดี ค่อยๆคิด ค่อยๆทำ ผมขอแนะนำอีกอย่างหนึ่งครับ ผมมีสำนักปฎิบัติที่ดีทีเดียว ผมเลิกทุกอย่างได้ภายในสิบวัน จากตัวแสบที่สุดยังหาตัวจับไม่ได้เลย ที่นี่นะครับ เลือกเอาว่าจะไปที่ไหน ใช้เวลาไม่มากเท่าไหร่ ประมาณ12วันเท่านั้นเอง เป็นสากลไม่มีความเชื่อเข้ามาอยู่กับธรรมชาติล้วน และคุณน้องจะรับรู้ถึงสภาวะหนึ่งที่คุณน้องไม่เคยรู้ รับประกันครับhhttp://www.thaidhamma.net/

ขอบคุนที่ท่านบิกทู่แนะนำสถานที่ปฏิบัติธรรมเจ้าค่ะ แต่คุนน้องเห็นมาเยอะแล้ว ต่อให้ปฏิบัติธรรมที่ไหนถ้าใจไม่สงบก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าคนที่จิตใจสงบแล้วกิเลศน้อยแล้ว..แค่เขาปลีกวิเวกไปอยู่ที่สังคมไม่วุ่นวายก็ปฏิบัติธรรมได้แล้วก็บรรลุธรรมได้เช่นกัน คุนน้องเชื่ออย่างนี้ และคุนน้องก็มีบ้านอยู่ ตจว.ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนไปไหนไกลๆ คุนน้องเป็นเด็กบ้านนอก เป็นคนอุบลราชธานี ถ้าอยากปฏิบัติธรรมที่วัด วัดที่อุบลก็มีเช่นกันเจ้าค่ะ
ที่นี่จะแตกต่างจากที่อื่นมากกล้ารับประกันครับ ที่นี่ไม่เกี่ยวกับพระเลย ที่เป็นศูนย์วิจัยทางพุทธศาสนา ได้ออกแบบ ขบวนการเพื่อสร้างความเข้าใจทั้งความรู้ด้านปริยัติและการปฎิบัติ อย่างมีระบบ ได้รับการยอมรับจากสังคมระดับโลก ที่ขอนแก่นก็มีครับ ธรรมะที่ไหนๆก็มีแต่หลักสูตรเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หลักสูครจะถูกพัฒนาขึ้นมาจากคนรุ่นแล้วรุ่นเล่า จนลงตัวว่าได้องค์ความรู้ครบทุกด้าน ทั้งสภาวะและปริยัติครับ ลองศึกษาดูก่อนครับไม่เสียหายจริงๆ

หลักปฏิบัติธรรมของคุนน้องกับท่านคงจะไม่เหมือนกัน คุนน้องไม่จำเป็นต้องเรียนปริยัติ เพราะคุนน้องไม่ได้เป็นผู้เผยแพร่ศาสนา คุนน้องปฏิบัติลงที่กายใจตนแค่นั้นเพราะคุนน้องเข้าถึงธรรมอริยสัจสี่แล้ว คุนน้องแค่ปลีกวิเวกและ เจริญกรรมฐาน ก็เพียงพอแล้วต่อการหลุดพ้นจากทุกข์ในชาตินี้ แต่ตอนนี้เหตุปัจจัยยังไม่เอื้ออำนวยแค่นั้น อายุน้อยอยู่ไม่รีบเจ้าค่ะ ทำความดีสร้างบุญสร้างกุศลก่อน :b9:
อย่ากล่าวเช่นนั้นเลย เรื่องอายุ มีเด็กคนไหนยากตายบ้าง?ใครจะรู้ว่าชาติหน้าจะมาก่อนวันพรุ่งนี้ :b41: การบรรลุธรรมตรงไหนก็บรรลุได้ถูกต้อง แต่ไม่มีทางที่จะบรรลุได้ถ้าขาดธรรมมะที่แท้จริง และตรง แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าที่ไหนตรงและจริง เราต้องแสวงหา เมื่อเราได้แสวงหาเรียนรู้ในหลายๆสถานที่แล้ว เราจะเป็นผู้ตัดสินใจเดินบนเส้นทางนี้ด้วยตัวเรา แล้ววันนั้นมันจะเกิดอะไรกับเรา เราคงไม่เสียใจเพราะเราได้เลือกเส้นทางเดินด้วยตัวเราเองแล้ว แต่ถ้าสิ่งที่เราคิดว่ามันดีมันไม่ใช่ล่ะ เราอาจจะสูญเสียโอกาสไปก็ได้ :b41: เพราะทางที่ชอบอาจจะไปได้ไกล :b43: แต่ทางที่ใช่จะไปได้ไกล กว่า :b41: 10กว่าปีแล้วผมยังไม่เคยหยุดฟังธรรมเลย :b48:

คุนน้องเชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำ และก็จะทำจนกว่าจะรู้ว่ามันไม่ใช่ คุนน้องชอบลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง และคุนน้องก็เป็นประเภทเชื่อมั่นในตัวเองว่าสิ่งที่ปฏิบัติอยู่ถูกทางแล้วก็แค่นั้น แล้วการทำความดีก็จัดอยู่ใน อิทธิบาท4 บารมี10ทัศ คุนน้องหยุดดูกายใจของตนดีกว่า ดีกว่าจะวิ่งไปปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่ แล้วยังมีลูกน้อยที่ต้องดูแล มีแม่ที่ต้องคอยเป็นห่วง แสดงว่าคุนน้องกำลังทำตัวไม่มีศีลอยู่ เอาเป็นว่าคุนน้องทำหน้าที่ตอบแทนพระคุณแม่ ดูแลลูกของตน เสียก่อน เรื่องบรรลุธรรมไว้ทีหลัง เพราะถ้าถึงวันนั้นเมื่อไหร่โชคชะตาจะนำพาเราไปเอง โดยที่เราไม่ต้องไปวิ่งเต้นเลยซักนิดเจ้าค่ะ อย่างที่ได้มาปฏิบัติธรรม ก็เพราะโชคชะตานำพาคุนน้องมาทางนี้เอง ท่านไม่ต้องเป็นห่วงคุนน้องหรอก คุนน้องตั้งจิตอธิษฐานบารมีไว้แล้ว เด่วโชคชะตาก็จะนำพาคุนน้องไปเอง ตราบใดที่คุนน้องยังเจริญอิทธิบาท4และบารมี10ทัศอยู่ ยังไงคุนน้องก็ยังเดินอยู่บนเส้นทางธรรมของพระพุทธองค์เจ้าค่ะ :b44: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 21:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 309


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
แสงแห่งพระธรรม เขียน:

ใช่ๆๆๆๆๆๆเดียวนี้ต้องนั่งสมาธิในห้องแอร์.


อิจฉาละซี้.... :b32:

ต้องเข้าใจว่า....บุญกรรมทำมาไม่เหมือนกัน...นะคราบบ... อิ....อิ..... :b12:

เคยได้ยินเรื่อง...อรหันต์ทานข้าวไม่อิ่มในสมัยพุทธกาล..มั้ยครับ?

เป็นอรหันต์...นะนั้นนะ...ใช่เล็กน้อย...แค่กรรมที่เคยสั่งคนใช้ขุดเอาเม็ดข้าวที่มดขนลงรูคืน...มาสนองเข้าเท่านั้นเอง....แต่ก็เป็นอรหันต์นะ...กลับกินข้าวไม่เคยอิ่ม....อ่ออิ่มวันเดียว...คือวันนิพพาน...

คนที่เขานั่งกรรมฐานในห้องแอร์...ก็บุญกรรมที่เขาทำมาทั้งนั้น...แหละครับ....ไม่มีอะไรไม่เกิดแต่เหตุ

แต่ก็สงสารคนที่ยึดแต่รูปลักษณ์ภายนอก....ว่าต้องกันดารบ้าง...ลำบากบ้าง...มืด ๆ อยู่ในป่าบ้าง...วัดเก่า ๆ โทรม ๆ ก็คิดว่าแบบนี้จึงเรียกว่าอยู่อย่างสมถะบ้าง.....เรียกว่ามีอุปาทานในรูป....แต่กลับไม่รู้ตัว...

เอิ๊ก...เอิ๊ก....เอิ๊ก...

แต่ก้ยังดีกว่าคนที่สอนไม่ให้ยึดติดอะไรแต่ตัวเองจะออกทีวีทีต้องปัดแต่งหน้าอย่างกะดารา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 21:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
bigtoo เขียน:
nongkong เขียน:
bigtoo เขียน:
nongkong เขียน:
bigtoo เขียน:
nongkong เขียน:
สมัยนี้คงไม่เหมือนสมัยพุทธกาลแล้ว ต่อให้เราไปบวชก็อาจจะหนีไม่พ้นความวุ่นวายในสังคม สงสัยอนาคตคงจะกลับไปอยู่บ้านนอกใช้ชีวิตแบบพอเพียง ปฏิบัติธรรมอยู่บ้าน อยู่กับธรรมชาติ สงบกายสงบใจดีกว่า :b43:
ก็ได้เหมือนกัน ถ้าเรามีธรรมมะแล้ว แต่เราอาจจะทำตามใจตัวเราซะส่วนใหญ่พราะจิตมนษย์มักไหลลงต่ำเสมอ ถ้าอยู่ในกรอบจะทำให้เรา มีกฎตายตัว มีข้อปฎิบัติทำให้มีระเบียบวินัย จะทำให้เราพัฒนาธรรมมะได้ดี ค่อยๆคิด ค่อยๆทำ ผมขอแนะนำอีกอย่างหนึ่งครับ ผมมีสำนักปฎิบัติที่ดีทีเดียว ผมเลิกทุกอย่างได้ภายในสิบวัน จากตัวแสบที่สุดยังหาตัวจับไม่ได้เลย ที่นี่นะครับ เลือกเอาว่าจะไปที่ไหน ใช้เวลาไม่มากเท่าไหร่ ประมาณ12วันเท่านั้นเอง เป็นสากลไม่มีความเชื่อเข้ามาอยู่กับธรรมชาติล้วน และคุณน้องจะรับรู้ถึงสภาวะหนึ่งที่คุณน้องไม่เคยรู้ รับประกันครับhhttp://www.thaidhamma.net/

ขอบคุนที่ท่านบิกทู่แนะนำสถานที่ปฏิบัติธรรมเจ้าค่ะ แต่คุนน้องเห็นมาเยอะแล้ว ต่อให้ปฏิบัติธรรมที่ไหนถ้าใจไม่สงบก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าคนที่จิตใจสงบแล้วกิเลศน้อยแล้ว..แค่เขาปลีกวิเวกไปอยู่ที่สังคมไม่วุ่นวายก็ปฏิบัติธรรมได้แล้วก็บรรลุธรรมได้เช่นกัน คุนน้องเชื่ออย่างนี้ และคุนน้องก็มีบ้านอยู่ ตจว.ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนไปไหนไกลๆ คุนน้องเป็นเด็กบ้านนอก เป็นคนอุบลราชธานี ถ้าอยากปฏิบัติธรรมที่วัด วัดที่อุบลก็มีเช่นกันเจ้าค่ะ
ที่นี่จะแตกต่างจากที่อื่นมากกล้ารับประกันครับ ที่นี่ไม่เกี่ยวกับพระเลย ที่เป็นศูนย์วิจัยทางพุทธศาสนา ได้ออกแบบ ขบวนการเพื่อสร้างความเข้าใจทั้งความรู้ด้านปริยัติและการปฎิบัติ อย่างมีระบบ ได้รับการยอมรับจากสังคมระดับโลก ที่ขอนแก่นก็มีครับ ธรรมะที่ไหนๆก็มีแต่หลักสูตรเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หลักสูครจะถูกพัฒนาขึ้นมาจากคนรุ่นแล้วรุ่นเล่า จนลงตัวว่าได้องค์ความรู้ครบทุกด้าน ทั้งสภาวะและปริยัติครับ ลองศึกษาดูก่อนครับไม่เสียหายจริงๆ

หลักปฏิบัติธรรมของคุนน้องกับท่านคงจะไม่เหมือนกัน คุนน้องไม่จำเป็นต้องเรียนปริยัติ เพราะคุนน้องไม่ได้เป็นผู้เผยแพร่ศาสนา คุนน้องปฏิบัติลงที่กายใจตนแค่นั้นเพราะคุนน้องเข้าถึงธรรมอริยสัจสี่แล้ว คุนน้องแค่ปลีกวิเวกและ เจริญกรรมฐาน ก็เพียงพอแล้วต่อการหลุดพ้นจากทุกข์ในชาตินี้ แต่ตอนนี้เหตุปัจจัยยังไม่เอื้ออำนวยแค่นั้น อายุน้อยอยู่ไม่รีบเจ้าค่ะ ทำความดีสร้างบุญสร้างกุศลก่อน :b9:
อย่ากล่าวเช่นนั้นเลย เรื่องอายุ มีเด็กคนไหนยากตายบ้าง?ใครจะรู้ว่าชาติหน้าจะมาก่อนวันพรุ่งนี้ :b41: การบรรลุธรรมตรงไหนก็บรรลุได้ถูกต้อง แต่ไม่มีทางที่จะบรรลุได้ถ้าขาดธรรมมะที่แท้จริง และตรง แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าที่ไหนตรงและจริง เราต้องแสวงหา เมื่อเราได้แสวงหาเรียนรู้ในหลายๆสถานที่แล้ว เราจะเป็นผู้ตัดสินใจเดินบนเส้นทางนี้ด้วยตัวเรา แล้ววันนั้นมันจะเกิดอะไรกับเรา เราคงไม่เสียใจเพราะเราได้เลือกเส้นทางเดินด้วยตัวเราเองแล้ว แต่ถ้าสิ่งที่เราคิดว่ามันดีมันไม่ใช่ล่ะ เราอาจจะสูญเสียโอกาสไปก็ได้ :b41: เพราะทางที่ชอบอาจจะไปได้ไกล :b43: แต่ทางที่ใช่จะไปได้ไกล กว่า :b41: 10กว่าปีแล้วผมยังไม่เคยหยุดฟังธรรมเลย :b48:

คุนน้องเชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำ และก็จะทำจนกว่าจะรู้ว่ามันไม่ใช่ คุนน้องชอบลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง และคุนน้องก็เป็นประเภทเชื่อมั่นในตัวเองว่าสิ่งที่ปฏิบัติอยู่ถูกทางแล้วก็แค่นั้น แล้วการทำความดีก็จัดอยู่ใน อิทธิบาท4 บารมี10ทัศ คุนน้องหยุดดูกายใจของตนดีกว่า ดีกว่าจะวิ่งไปปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่ แล้วยังมีลูกน้อยที่ต้องดูแล มีแม่ที่ต้องคอยเป็นห่วง แสดงว่าคุนน้องกำลังทำตัวไม่มีศีลอยู่ เอาเป็นว่าคุนน้องทำหน้าที่ตอบแทนพระคุณแม่ ดูแลลูกของตน เสียก่อน เรื่องบรรลุธรรมไว้ทีหลัง เพราะถ้าถึงวันนั้นเมื่อไหร่โชคชะตาจะนำพาเราไปเอง โดยที่เราไม่ต้องไปวิ่งเต้นเลยซักนิดเจ้าค่ะ อย่างที่ได้มาปฏิบัติธรรม ก็เพราะโชคชะตานำพาคุนน้องมาทางนี้เอง ท่านไม่ต้องเป็นห่วงคุนน้องหรอก คุนน้องตั้งจิตอธิษฐานบารมีไว้แล้ว เด่วโชคชะตาก็จะนำพาคุนน้องไปเอง ตราบใดที่คุนน้องยังเจริญอิทธิบาท4และบารมี10ทัศอยู่ ยังไงคุนน้องก็ยังเดินอยู่บนเส้นทางธรรมของพระพุทธองค์เจ้าค่ะ :b44: :b1:

:b8:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 21:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


แสงแห่งพระธรรม เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
แสงแห่งพระธรรม เขียน:

ใช่ๆๆๆๆๆๆเดียวนี้ต้องนั่งสมาธิในห้องแอร์.


อิจฉาละซี้.... :b32:

ต้องเข้าใจว่า....บุญกรรมทำมาไม่เหมือนกัน...นะคราบบ... อิ....อิ..... :b12:

เคยได้ยินเรื่อง...อรหันต์ทานข้าวไม่อิ่มในสมัยพุทธกาล..มั้ยครับ?

เป็นอรหันต์...นะนั้นนะ...ใช่เล็กน้อย...แค่กรรมที่เคยสั่งคนใช้ขุดเอาเม็ดข้าวที่มดขนลงรูคืน...มาสนองเข้าเท่านั้นเอง....แต่ก็เป็นอรหันต์นะ...กลับกินข้าวไม่เคยอิ่ม....อ่ออิ่มวันเดียว...คือวันนิพพาน...

คนที่เขานั่งกรรมฐานในห้องแอร์...ก็บุญกรรมที่เขาทำมาทั้งนั้น...แหละครับ....ไม่มีอะไรไม่เกิดแต่เหตุ

แต่ก็สงสารคนที่ยึดแต่รูปลักษณ์ภายนอก....ว่าต้องกันดารบ้าง...ลำบากบ้าง...มืด ๆ อยู่ในป่าบ้าง...วัดเก่า ๆ โทรม ๆ ก็คิดว่าแบบนี้จึงเรียกว่าอยู่อย่างสมถะบ้าง.....เรียกว่ามีอุปาทานในรูป....แต่กลับไม่รู้ตัว...

เอิ๊ก...เอิ๊ก....เอิ๊ก...

แต่ก้ยังดีกว่าคนที่สอนไม่ให้ยึดติดอะไรแต่ตัวเองจะออกทีวีทีต้องปัดแต่งหน้าอย่างกะดารา

:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 22:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
คุนน้องเชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำ และก็จะทำจนกว่าจะรู้ว่ามันไม่ใช่ คุนน้องชอบลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง และคุนน้องก็เป็นประเภทเชื่อมั่นในตัวเองว่าสิ่งที่ปฏิบัติอยู่ถูกทางแล้วก็แค่นั้น แล้วการทำความดีก็จัดอยู่ใน อิทธิบาท4 บารมี10ทัศ คุนน้องหยุดดูกายใจของตนดีกว่า ดีกว่าจะวิ่งไปปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่ แล้วยังมีลูกน้อยที่ต้องดูแล มีแม่ที่ต้องคอยเป็นห่วง แสดงว่าคุนน้องกำลังทำตัวไม่มีศีลอยู่ เอาเป็นว่าคุนน้องทำหน้าที่ตอบแทนพระคุณแม่ ดูแลลูกของตน เสียก่อน เรื่องบรรลุธรรมไว้ทีหลัง เพราะถ้าถึงวันนั้นเมื่อไหร่โชคชะตาจะนำพาเราไปเอง โดยที่เราไม่ต้องไปวิ่งเต้นเลยซักนิดเจ้าค่ะ อย่างที่ได้มาปฏิบัติธรรม ก็เพราะโชคชะตานำพาคุนน้องมาทางนี้เอง ท่านไม่ต้องเป็นห่วงคุนน้องหรอก คุนน้องตั้งจิตอธิษฐานบารมีไว้แล้ว เด่วโชคชะตาก็จะนำพาคุนน้องไปเอง ตราบใดที่คุนน้องยังเจริญอิทธิบาท4และบารมี10ทัศอยู่ ยังไงคุนน้องก็ยังเดินอยู่บนเส้นทางธรรมของพระพุทธองค์เจ้าค่ะ :b44: :b1:

:b17: :b17: :b17:
ทำสิ่งที่ควรทำ...ในเวลาที่ควร

ธรรมะจัดสรรให้เสมอ... :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 22:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แสงแห่งพระธรรม เขียน:

แต่ก้ยังดีกว่าคนที่สอนไม่ให้ยึดติดอะไรแต่ตัวเองจะออกทีวีทีต้องปัดแต่งหน้าอย่างกะดารา

:b17: :b17:
ผ้า..ต้องเนื้อดีเป็นประกาย...
สั่งอาหารเหลามาทาน....

ด้วยหรือเปล่า... :b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2012, 15:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




kvWQ6D.jpg
kvWQ6D.jpg [ 71.71 KiB | เปิดดู 3239 ครั้ง ]
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ชี้ บวชสามเณรี ที่ จ.เชียงใหม่ เป็นพิธีแบบศรีลังกา ซึ่งไม่ผิดกฎคณะสงฆ์ไทย แต่จะเร่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง

วันนี้ (31 กรกฎาคม) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในสังคมออนไลน์อย่างเฟซบุ๊ก กำลังมีการวิพากษ์วิจารณ์ ถึงกรณีเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า นิโรธาราม อารามแห่งความดับทุกข์ และ เว็บไซต์ของสำนักปฏิบัติธรรมนิโรธาราม ได้เผยแพร่ภาพผู้หญิงจำนวนมากบวชเป็นสามเณรี โดยในเฟซบุ๊กดังกล่าวได้เผยกำหนดการบรรพชาสามเณรี ซึ่งจัดขึ้นที่ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยแจ้งว่าเป็นพิธีบรรพชาตามแบบศรีลังกา

นอกจากนี้ ภิกษุณีสุมิตรา ปวัตตินี (ศรีลังกา) และภิกษุณีสันธนันทา (ศรีลังกา) ตัวแทนของสำนักปฏิบัติธรรมนิโรธาราม ยังได้ชี้แจงในเฟซบุ๊กว่า การบรรพชาสามเณรีเกิดจากเจตนารมณ์ และศรัทธาของกลุ่มอุบาสกอุบาสิกาที่มีต่อพระรัตนตรัยอย่างยิ่ง ไม่ได้เกิดจากเจตนารมย์ใด ๆ ของสังฆะภิกษุณี หรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่งที่นิโรธาราม

และเนื่องจากมีญาติโยมจำนวนมากได้เข้ามาปรารภกับท่านแม่ชีนันทญาณี (รุ้งเดือน สุวรรณ) ถึงสภาพปัญหาสังคมว่า ในปัจจุบันมีคนที่มีความทุกข์ทางใจในการดำเนินชีวิตมากขึ้น จึงได้ขอร้องให้แม่ชีนันทญาณีพร้อมด้วยคณะแม่ชี 5 รูป ผู้ที่ได้ศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นเวลาสิบกว่าปี ให้ช่วยนำพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มาช่วยแนะนำหลักธรรมในการดำเนินชีวิต ให้เกิดประโยชน์แก่ทุกคน

นอกจากนี้ ยังแจ้งอีกว่า ได้มีญาติโยม และผู้มีจิตศรัทธาบางส่วนได้ร่วมกันซื้อที่ดินถวายให้กับท่านแม่ชีนันทญาณี พร้อมคณะแม่ชี เพื่อเปิดเป็นสำนักปฏิบัติธรรมสำหรับผู้หญิง เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2538 รวมทั้งสิ้น 19 ไร่ และได้รับความเมตตาจากพระภาวนาวิสุทธาจารย์ (หลวงพ่อทองใบ วัดอภิญญาเทสิตธรรม) ตั้งชื่อให้ว่า "สำนักปฏิบัติธรรมนิโรธาราม" ซึ่งมีความหมายว่า "อารามแห่งความดับทุกข์"

ด้านนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า ในระเบียบของคณะสงฆ์ไทยอนุญาตเฉพาะการบวชสามเณร ซึ่งจะเป็นผู้สืบทอดไปยังพระสงฆ์ ส่วนผู้หญิงมีเฉพาะการบวชชี และการบวชศีลจาริณี (บวชชีพราหมณ์) ดังนั้น ตามหลักของสงฆ์ไทยจึงไม่มีการบวชสามเณรีอย่างแน่นอน

ส่วนกรณีของสำนักปฏิบัติธรรมนิโรธารามดังกล่าวนั้น เบื้องต้นทราบว่าเป็นการบวชสามเณรีตามแบบศรีลังกา ซึ่งถือว่าไม่ได้ทำผิดกฎคณะสงฆ์ไทย เหมือนอย่างหลาย ๆ กรณีที่มีผู้หญิงไปบวชเป็นภิกษุณีที่ประเทศอื่นที่มีการอนุญาตให้บวช แล้วกลับมาอยู่ในประเทศ อย่างไรก็ตาม จะให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2012, 16:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ชี้ บวชสามเณรี ที่ จ.เชียงใหม่ เป็นพิธีแบบศรีลังกา ซึ่งไม่ผิดกฎคณะสงฆ์ไทย แต่จะเร่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง

วันนี้ (31 กรกฎาคม) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในสังคมออนไลน์อย่างเฟซบุ๊ก กำลังมีการวิพากษ์วิจารณ์ ถึงกรณีเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า นิโรธาราม อารามแห่งความดับทุกข์ และ เว็บไซต์ของสำนักปฏิบัติธรรมนิโรธาราม ได้เผยแพร่ภาพผู้หญิงจำนวนมากบวชเป็นสามเณรี โดยในเฟซบุ๊กดังกล่าวได้เผยกำหนดการบรรพชาสามเณรี ซึ่งจัดขึ้นที่ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยแจ้งว่าเป็นพิธีบรรพชาตามแบบศรีลังกา

นอกจากนี้ ภิกษุณีสุมิตรา ปวัตตินี (ศรีลังกา) และภิกษุณีสันธนันทา (ศรีลังกา) ตัวแทนของสำนักปฏิบัติธรรมนิโรธาราม ยังได้ชี้แจงในเฟซบุ๊กว่า การบรรพชาสามเณรีเกิดจากเจตนารมณ์ และศรัทธาของกลุ่มอุบาสกอุบาสิกาที่มีต่อพระรัตนตรัยอย่างยิ่ง ไม่ได้เกิดจากเจตนารมย์ใด ๆ ของสังฆะภิกษุณี หรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่งที่นิโรธาราม

และเนื่องจากมีญาติโยมจำนวนมากได้เข้ามาปรารภกับท่านแม่ชีนันทญาณี (รุ้งเดือน สุวรรณ) ถึงสภาพปัญหาสังคมว่า ในปัจจุบันมีคนที่มีความทุกข์ทางใจในการดำเนินชีวิตมากขึ้น จึงได้ขอร้องให้แม่ชีนันทญาณีพร้อมด้วยคณะแม่ชี 5 รูป ผู้ที่ได้ศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นเวลาสิบกว่าปี ให้ช่วยนำพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มาช่วยแนะนำหลักธรรมในการดำเนินชีวิต ให้เกิดประโยชน์แก่ทุกคน

นอกจากนี้ ยังแจ้งอีกว่า ได้มีญาติโยม และผู้มีจิตศรัทธาบางส่วนได้ร่วมกันซื้อที่ดินถวายให้กับท่านแม่ชีนันทญาณี พร้อมคณะแม่ชี เพื่อเปิดเป็นสำนักปฏิบัติธรรมสำหรับผู้หญิง เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2538 รวมทั้งสิ้น 19 ไร่ และได้รับความเมตตาจากพระภาวนาวิสุทธาจารย์ (หลวงพ่อทองใบ วัดอภิญญาเทสิตธรรม) ตั้งชื่อให้ว่า "สำนักปฏิบัติธรรมนิโรธาราม" ซึ่งมีความหมายว่า "อารามแห่งความดับทุกข์"

ด้านนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า ในระเบียบของคณะสงฆ์ไทยอนุญาตเฉพาะการบวชสามเณร ซึ่งจะเป็นผู้สืบทอดไปยังพระสงฆ์ ส่วนผู้หญิงมีเฉพาะการบวชชี และการบวชศีลจาริณี (บวชชีพราหมณ์) ดังนั้น ตามหลักของสงฆ์ไทยจึงไม่มีการบวชสามเณรีอย่างแน่นอน

ส่วนกรณีของสำนักปฏิบัติธรรมนิโรธารามดังกล่าวนั้น เบื้องต้นทราบว่าเป็นการบวชสามเณรีตามแบบศรีลังกา ซึ่งถือว่าไม่ได้ทำผิดกฎคณะสงฆ์ไทย เหมือนอย่างหลาย ๆ กรณีที่มีผู้หญิงไปบวชเป็นภิกษุณีที่ประเทศอื่นที่มีการอนุญาตให้บวช แล้วกลับมาอยู่ในประเทศ อย่างไรก็ตาม จะให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง
น่าอนุโมทนาอย่างยิ่ง :b38:ถ้าอยู่ภายใต้ภิกษุณีนันทญาณี

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2012, 17:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้หญิงมีที่พึ่ง อย่างแท้จริง ไม่หลงทาง เพราะภิกษุณีนันทญาณี มีกฎระเบียบหาคนทำได้ยากไม่ได้ไปแต่เช้าเอนเพลนนอน แน่นอนครับ มีคนมีความรู้ทั้งนั้น ไม่ใช่คนไม่มีทางไป สมเกียรติหญิงไทยครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2012, 03:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2012, 21:02
โพสต์: 127


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
แสงแห่งพระธรรม เขียน:

ใช่ๆๆๆๆๆๆเดียวนี้ต้องนั่งสมาธิในห้องแอร์.


อิจฉาละซี้.... :b32:

ต้องเข้าใจว่า....บุญกรรมทำมาไม่เหมือนกัน...นะคราบบ... อิ....อิ..... :b12:

เคยได้ยินเรื่อง...อรหันต์ทานข้าวไม่อิ่มในสมัยพุทธกาล..มั้ยครับ?

เป็นอรหันต์...นะนั้นนะ...ใช่เล็กน้อย...แค่กรรมที่เคยสั่งคนใช้ขุดเอาเม็ดข้าวที่มดขนลงรูคืน...มาสนองเข้าเท่านั้นเอง....แต่ก็เป็นอรหันต์นะ...กลับกินข้าวไม่เคยอิ่ม....อ่ออิ่มวันเดียว...คือวันนิพพาน...

คนที่เขานั่งกรรมฐานในห้องแอร์...ก็บุญกรรมที่เขาทำมาทั้งนั้น...แหละครับ....ไม่มีอะไรไม่เกิดแต่เหตุ

แต่ก็สงสารคนที่ยึดแต่รูปลักษณ์ภายนอก....ว่าต้องกันดารบ้าง...ลำบากบ้าง...มืด ๆ อยู่ในป่าบ้าง...วัดเก่า ๆ โทรม ๆ ก็คิดว่าแบบนี้จึงเรียกว่าอยู่อย่างสมถะบ้าง.....เรียกว่ามีอุปาทานในรูป....แต่กลับไม่รู้ตัว...

เอิ๊ก...เอิ๊ก....เอิ๊ก...



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ผมว่า ความกันดาร ความลำบาก จะเป็นตัวช่วยให้

ฝึกทรมานจิตให้มันไม่ดื้อมากได้ง่ายขึ้นต่างหาก
ไม่ได้เป็นการติดรูปลักษณ์ภายนอกนะ
และไม่ได้เป็นอุปาทานในรูปอะไรทั้งสิ้น

แต่เป็นตัวช่วยให้สามารถควบคุมจิตไม่ให้ดิ้นรนแส่ส่าย
ช่วยให้จิตเข้าถึงความสงบเย็นได้เร็วขึ้นต่างหาก
ไม่งั้น...พระพุทธองค์ท่านจะทรงบัญญัติธุดงค์ข้ออยู่ป่า
เป็นวัตร อยู่ป่าช้าเป็นวัตร ไว้ใน ธุดงควัตร 13 หรอกเหรอ

ธุดงควัตร ก็คือ ข้อปฏิบัติเพื่อปราบทำลายกิเลสอย่างเยี่ยม
หรือถ้าพูดให้เข้าใจง่าย จะเรียกว่าเป็น...อาวุธหนัก...
ระดับนิวเคลียร์
ก็ได้ ไม่ใช่อาวุธเบาแบบ ปืนแก๊ป
ถ้าเอาไปใช้ถล่มกิเลสเมื่อไร กิเลสต้องกระเจิงเมื่อนั้น

แต่กลับไม่ค่อยมีคนจะกล้าเอาไปใช้เท่าไร
เพราะ....ใจไม่ถึง....ใจไม่เด็ด...
ก็เลย ไม่กล้าเอาไปใช้ฆ่ากิเลส
ชอบเอาแต่อาวุธเบาๆ อย่าง...มีดปอกผลไม้...(ศีลห้า)

จะเอาไปฆ่ากิเลสซึ่งเปรียบเหมือนกับยักษ์ใหญ่ แล้ว

เมื่อไหร่จะฆ่ามันได้สักทีหนอ??????


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2012, 03:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


<ตะวัน> เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
แสงแห่งพระธรรม เขียน:

ใช่ๆๆๆๆๆๆเดียวนี้ต้องนั่งสมาธิในห้องแอร์.


อิจฉาละซี้.... :b32:

ต้องเข้าใจว่า....บุญกรรมทำมาไม่เหมือนกัน...นะคราบบ... อิ....อิ..... :b12:

เคยได้ยินเรื่อง...อรหันต์ทานข้าวไม่อิ่มในสมัยพุทธกาล..มั้ยครับ?

เป็นอรหันต์...นะนั้นนะ...ใช่เล็กน้อย...แค่กรรมที่เคยสั่งคนใช้ขุดเอาเม็ดข้าวที่มดขนลงรูคืน...มาสนองเข้าเท่านั้นเอง....แต่ก็เป็นอรหันต์นะ...กลับกินข้าวไม่เคยอิ่ม....อ่ออิ่มวันเดียว...คือวันนิพพาน...

คนที่เขานั่งกรรมฐานในห้องแอร์...ก็บุญกรรมที่เขาทำมาทั้งนั้น...แหละครับ....ไม่มีอะไรไม่เกิดแต่เหตุ

แต่ก็สงสารคนที่ยึดแต่รูปลักษณ์ภายนอก....ว่าต้องกันดารบ้าง...ลำบากบ้าง...มืด ๆ อยู่ในป่าบ้าง...วัดเก่า ๆ โทรม ๆ ก็คิดว่าแบบนี้จึงเรียกว่าอยู่อย่างสมถะบ้าง.....เรียกว่ามีอุปาทานในรูป....แต่กลับไม่รู้ตัว...

เอิ๊ก...เอิ๊ก....เอิ๊ก...



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ผมว่า ความกันดาร ความลำบาก จะเป็นตัวช่วยให้

ฝึกทรมานจิตให้มันไม่ดื้อมากได้ง่ายขึ้นต่างหาก
ไม่ได้เป็นการติดรูปลักษณ์ภายนอกนะ
และไม่ได้เป็นอุปาทานในรูปอะไรทั้งสิ้น

แต่เป็นตัวช่วยให้สามารถควบคุมจิตไม่ให้ดิ้นรนแส่ส่าย
ช่วยให้จิตเข้าถึงความสงบเย็นได้เร็วขึ้นต่างหาก
ไม่งั้น...พระพุทธองค์ท่านจะทรงบัญญัติธุดงค์ข้ออยู่ป่า
เป็นวัตร อยู่ป่าช้าเป็นวัตร ไว้ใน ธุดงควัตร 13 หรอกเหรอ

ธุดงควัตร ก็คือ ข้อปฏิบัติเพื่อปราบทำลายกิเลสอย่างเยี่ยม
หรือถ้าพูดให้เข้าใจง่าย จะเรียกว่าเป็น...อาวุธหนัก...
ระดับนิวเคลียร์
ก็ได้ ไม่ใช่อาวุธเบาแบบ ปืนแก๊ป
ถ้าเอาไปใช้ถล่มกิเลสเมื่อไร กิเลสต้องกระเจิงเมื่อนั้น

แต่กลับไม่ค่อยมีคนจะกล้าเอาไปใช้เท่าไร
เพราะ....ใจไม่ถึง....ใจไม่เด็ด...
ก็เลย ไม่กล้าเอาไปใช้ฆ่ากิเลส
ชอบเอาแต่อาวุธเบาๆ อย่าง...มีดปอกผลไม้...(ศีลห้า)

จะเอาไปฆ่ากิเลสซึ่งเปรียบเหมือนกับยักษ์ใหญ่ แล้ว

เมื่อไหร่จะฆ่ามันได้สักทีหนอ??????
เยี่ยม! :b35: อย่างนี้ซิศิษย์ตถาคต จะได้ไม่ต้องเป็นลูกเขย ลูกสะใภ้พยามาร

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2012, 03:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2012, 21:02
โพสต์: 127


 ข้อมูลส่วนตัว


โห...ท่าน Bigtoo ยังอยู่ อยู่เหรอนี่
นึกว่าจะไม่เข้ามาดูกระทู้เก่าๆที่ตั้งเอาไว้ตั้งนานแล้วอีกนะนี่

ท่านติดตามผลงานแบบเกาะติดจริงๆ นับถือๆๆๆ

ยินดีที่ได้รู้จักครับ

ว่างๆ ก็ไปคุยกันที่ห้องChat ลาน 1 นะครับ
ผมมักจะเข้าตอนดึกประมาณ 3-4 ทุ่ม ราวๆนี้แหละ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2012, 21:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
แสงแห่งพระธรรม เขียน:

ใช่ๆๆๆๆๆๆเดียวนี้ต้องนั่งสมาธิในห้องแอร์.


อิจฉาละซี้.... :b32:

.....

คนที่เขานั่งกรรมฐานในห้องแอร์...ก็บุญกรรมที่เขาทำมาทั้งนั้น...แหละครับ....ไม่มีอะไรไม่เกิดแต่เหตุ

แต่ก็สงสารคนที่ยึดแต่รูปลักษณ์ภายนอก....ว่าต้องกันดารบ้าง...ลำบากบ้าง...มืด ๆ อยู่ในป่าบ้าง...วัดเก่า ๆ โทรม ๆ ก็คิดว่าแบบนี้จึงเรียกว่าอยู่อย่างสมถะบ้าง.....เรียกว่ามีอุปาทานในรูป....แต่กลับไม่รู้ตัว...

เอิ๊ก...เอิ๊ก....เอิ๊ก...


ผมว่าคนที่ยึด...นะ...คุณตะวัน...ไม่ได้ไปว่าธุดงควัตร ไม่ดี

เห็นกันเยอะ...มาก...คิดแต่ต้องไปวัดที่ห่างไกล..จึงจะเข้าท่า...วัดวาเต็มกรุงเทพ..ว่าไม่ดี

ยังไม่เคยไปเลย....วัดในกรุงเทพ....ได้แต่คิดนึกเอง...ไปมาแล้วก็ว่าไปอย่าง

ถ้าไม่ยึด...มีหรือจะออกอาการเพ่งโทษคนอื่น...(ว่าดี...ว่าไม่ดี)

จะทำดีทั้งทีดันคิดมาก...ต้องอย่านั้น...ต้องอย่านี้...ทีตอนกิเลสตัญหามันเกิด...ไม่หยักกะเลือกให้มันเกิดตามสถานที่

นักปฏิบัติ...ต้องฉลาด...

ต้องฉลาดรู้ว่านิสัยของตน....ต้องดัดด้วยอะไร...เราก็ทำไปตามเหตุปัจจัยของเรา...

ตอนไหนต้องเตะ...ก็เตะ
ตอนไหนต้องถีบ..ก็ต้องถีบ
ตอนไหนต้องปลอบ...ก็ปลอบ
ตอนไหนต้องฟัน...มันก็ต้องฟัน

ฟันไม่ถูกที่...ปลอบไม่ถูกเวลา...มันก็คนบ้าเท่านั้นเอง :b12:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 62 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 71 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร