วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 17:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 117 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2012, 07:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
อ้าว! งั้นไอ้ที่บอกจขกทไปมันก็มั่วนะซิ
แล้วให้ไปคุยกันห้องอื่น ห้องไหนดีล่ะ ห้องผูกพันธ์และพลัดพรากหรือห้องแนะนำตัวดี

พุทโธ! อุตสาห์ช่วยดันส่งมุขให้จะได้แจ้งเกิดซะที ที่ไหนได้ดันเหลว
ที่หน้าที่หลังส่งซิกด้วยว่า อันไหนมั่วอันไหนโม้ เราจะได้รู้ตัว
จะเล่นบทพระรองช่วยพระเอกซะหน่อย ดันกลายเป็นผู้ร้ายเป็นจิ๊กโก๋
มาหาเรื่องชาวบ้านตัวประกอบซะงั้น :b32:


:b32: :b32:
ไม่ต้องแจ้ง....ก็เกิดแล้วละ...

ตอนเกิด...ก็ไม่ได้แจ้ง...

หาก..ไม่อยากเกิด...ต้องแจ้งใครก่อนอะป่าว... rolleyes

แต่อยากรู้เรื่อง..อรูปพรหม..ฌาณ 3 นั้น..จริง ๆ ..เด้อ...จะบอกไห่ :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2012, 08:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 พ.ค. 2012, 19:48
โพสต์: 28


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
มัชฌิมา ปฏิปทา เขียน:
จริงๆแล้วผมเคยเล่าและถามหลวงตามหาบัวแล้วล่ะครับเป็นทางจดหมายแล้วท่านก็เมตตาตอบผมมาแล้วว่าถูกต้อง ในเว็ปยังมีข้อความนี้อยู่ ผมขอคัดลอกตัดตอนบางส่วนออกมาให้อ่านกันเพื่อหวังให้เป็นความรู้นะครับ ^___^.

การจะรู้ว่าการปฏิบัติของตนรุดหน้าหรือไม่ บุคคลนั้นจะต้องหมั่นดูสภาวะหรืออารมณ์
ของตนด้วยตัวเอง แล้วเอาสิ่งที่ได้ไปเทียบเคียงกับ พุทธพจน์หรือธรรมที่บรรดาครูบาอาจารย์
ได้บันทึกไว้ แบบนี้มันจึงจะเข้าใจ หรือไม่ ก็ต้องไปหาครูบาอาจารย์ด้วยตัวเอง ให้ท่านได้ตรวจ
ทานคำพูดหรืออารมณ์ที่เป็นปรมัตถ์ของเราด้วยตัวเองมันถึงจะสื่อกันได้อย่างถูกต้อง

มันไม่ใช่สิ่งที่คุณจะมาเขียนถามทางจดหมายหรือเว็บบอร์ด
คุณคงไม่ทราบว่าไอ้บัญญัติที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน มันมีการต่อเติม
เพื่มขึ้นมาตั้งมากมาย เจ้าสำนักบางคนพยายามสรรหาบัญญัติที่วิริศมาหรา
มาพูดแบบผิดๆถูกๆ ผู้ศึกษาบางคนไม่เข้าใจเห็นฟังแล้วเท่ดี ก็เอามาใช้ทั้งๆที่
มันผิดหลักปรมัตถ์ธรรม


มันตลกที่สุดตรงที่คุณบอกว่า คุณเห็น คุณมี"สติปัญญาเด่นดวง"
แต่ทำไมหนอต้องมาถามคนในเว็บบอร์ด

สรุปได้ก็คือ คุณกำลังหลงและเกิดอาการผยอง อยากจะอวดว่า
ตนได้โน้นได้นี่ ที่ถามมาไม่ได้เป็นจุดประสงค์ที่แท้จริง เพราะใครเขา
เข้ากับคุณเป็นปี่เป็นขลุ่ยคุณก็ว่าเขารู้จริงปฏิบัติจริง แต่พอมีคนแย้งก็
เกิดอาการไม่พอใจ ไม่ยอมรับ ถึงกับลงทุนอ้างชื่อ ครูบาอาจารย์

ที่น่าสะกิดใจตัวเองบ้างก็ตรงที่บอกว่า เขียนจดหมาย
ไปถามหลวงตาในเว็บ ผมถามคุณหน่อยครับ หลวงตาท่านจะมานั่งตอบจดหมาย
ทางคอมพิวเตอร์หรือครับ หลวงตาใช้คอมพิวเตอร์เป็นหรือครับ ขนาดบรรดา
ญาติโยมที่อยู่ตรงหน้าหลวงตา จะสื่อสารกับหลวงตายังต้องมีล่ามมีคนอธิบายความ
คำพูดของญาติโยมให้หลวงตาฟังอีกทีเลย




ผมก็บอกไปแล้วไง ว่าผมมีเจตนาอยู่สองอย่างที่เข้ามา บอกไปแล้ว ผมจะอวดทำไม ชื่อมัชฌิมา ปฏิปทา ก็สมมุติขึ้นมาไม่ใช่ชื่อจริงของผม ใครจะไปรู้ว่าผมเป็นใคร คุณว่าผมแอ๊บไม่โกรธ ไม่พอใจคุณ :) อย่ามองโลกในแง่ร้ายนักเลย ผมก็คำนวนดูแล้วว่าผมไม่รู้จะไปโกรธคุณทำไม ก็คุณไม่รู้ ไม่รู้หรอก จิตผมใจผมเอง คุณจะมารู้ดีไปกว่าผมได้ยังไง แล้วคุณจะมายัดเยียดให้จิตให้ใจผมเป็นโน่นเป็นนี่ตามที่คุณคิดมันก็เป็นไปไม่ได้ ที่ผมอ้างครูบาอาจารย์ไม่ใช่เป็นการลงทุนเลย มันไม่มีอะไรได้อยู่แล้วสำหรับผม ที่อ้างครูอาจารย์ก็เพื่อเอามาให้ดูว่าถูกต้องจะได้ไม่เขวกันไปใหญ่ ก็จะมีแต่ผลเสียไป ลิ้งแรกถามตอบปัญหาธรรมะกับหลวงตาที่ผมเอามาให้ดูที่ถามเมื่อปี48 นั่นคือผมเป็นผู้ถาม ถ้าผมมีเจตนาจะอ้างจะอวดผมคงบอกไปแต่แรกแล้วว่าผมเป็นผู้ถาม ที่ยกมาเพื่อให้เป็นหลักอ้างอิงเพื่อความรู้ของผู้อ่านโดยแท้ ที่ถามผมว่าหลวงตาจะมานั่งตอบปัญหาทางคอมพิวเตอร์หรอครับ ตอบนะครับ หลวงตาเมตตาตอบให้ครับ มีคนปริ้นจดหมายแล้วเอาไปนั่งถามหลวงตาหลังจังหัน ออนไลน์ออกอากาศทุกวัน ไม่เชื่อคุณก็คลิกเข้าไปดูก่อน ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2012, 12:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมมันก็เฉยๆ นะ แต่กิเลสมันไม่พอใจ เลยขุ่นมัวเอา :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2012, 14:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 พ.ค. 2004, 12:30
โพสต์: 147


 ข้อมูลส่วนตัว www


huh

ไม่เห็นมี อะไรน่าตระหนกเลย เรื่องราวไร้เดียงสา พิจารณาลงไตรลักษณ์ไม่ได้เลย คำคนไม่ดี พันคำชม ก็ไม่มีนัยยะอะไร คำคนดี ตำหนิ เพียงคำเดียวก็ ควรไคร่พิจารณา..

พวก ที่ไม่หวังดี หวังแทะกิน สร้างเคลือข่าย เดี๋ยวนี้มากอยู่ ไม่ต้องไปสนใจหรอก ใกล้ด่างกินดิน เยอะ พูดมากไปก็เหนื่อย..

ขนาดโครงการทอง ช่วยชาติ คนยังจาบจ้วง หลายแสน คน เขาไปเคยแวะไปหรอก หนึ่งสตางค์ ก็ไม่ได้ช่วยกัน ฟังเทศน์นี่ไม่ต้องพูดถึง โหลดฟรี สะดวกสบาย ถึงขนาด ก็ยัง ได้ ประโยชน์สาระธรรม สักนิดหรือ ไม่มีหรอก ถึงคุณ มัช ไปบอกสี ให้คนตาบอด มันโง่ชัดๆ (ขอโทษที่พูดตรงๆ) ให้เขารักษาให้มอง ได้แล้ว วันหนึ่ง เขาจะทราบซึ้งใจ กับ แหล่่งน้ำธรรม ทุกแหล่ง เอง ...

สุดท้ายนึ้ แนะนำให้ เขาหาครูบาอาจารย์ เถอะ ผมเองก็ได้ฝึก ธรรมจาก โลกไซเบอร์ เหมือนกัน ได้สอบทาน จากถามตอบจากเวป เช่นกัน ปฏิบัติจริงก็ได้ผลจริง ถึงได้ ใจถึง ก็ ถึง ตัวห่างไม่ใช่ นัยยะสำคัญอะไร?

** เชื่อว่า ครูบาอาจารย์ไม่ต้องแนะนำอะไรหรอก แค่ฟังกัณฑ์เทศน์ เดียวก็ ทราบได้เองแล้วว่า ฝากกรรมฐานได้หรือไม่ ?

[อย่าไปต่อความยืดเลย .. พุทโธ เยอะ สงบภาวนา เข้าไว้ อย่าทิ้ง บริกรรม ไปต่อได้ เติมน้ำเข้าไป ไม่รั่ว เพิ่มไป สักวันต้องเต็ม ไม่สงสัยเลย..]


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2012, 15:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มัชฌิมา ปฏิปทา เขียน:
ผมก็บอกไปแล้วไง ว่าผมมีเจตนาอยู่สองอย่างที่เข้ามา บอกไปแล้ว ผมจะอวดทำไม ชื่อมัชฌิมา ปฏิปทา ก็สมมุติขึ้นมาไม่ใช่ชื่อจริงของผม ...

แม้กระทั่งชื่อสมมุติก็ไม่วายนะครับ ขนาดชื่อสมมุติยังเล่นแต่งองค์ทรงเครื่อง
ยังกับว่าจะมาลาไปนิพพานยังไงยังงั้น

คุณคงไม่รู้หรอกว่า กิเลสมันสามารถหลอกล่อให้เราหลง มันทำให้เราอวดได้แม้กระทั่ง
จิตของตัว รู้จักมั้ยครับแอบปลื้มตัวเองน่ะ
มัชฌิมา ปฏิปทา เขียน:
ใครจะไปรู้ว่าผมเป็นใคร คุณว่าผมแอ๊บไม่โกรธ ไม่พอใจคุณ :) อย่ามองโลกในแง่ร้ายนักเลย ผมก็คำนวนดูแล้วว่าผมไม่รู้จะไปโกรธคุณทำไม ก็คุณไม่รู้ ไม่รู้หรอก จิตผมใจผมเอง คุณจะมารู้ดีไปกว่าผมได้ยังไง แล้วคุณจะมายัดเยียดให้จิตให้ใจผมเป็นโน่นเป็นนี่ตามที่คุณคิดมันก็เป็นไปไม่ได้ ...

ตัวหนังสือที่พิมพ์มา มันเปรียบเหมือนวาจาที่ออกมาจากใจนั้นแหล่ะครับ
ถ้าคุณรู้จักเหตุปัจจัยและรู้จักอารมณ์ปรมัตถ์ คุณก็สามารถรู้สภาวะอารมณ์ของอีกฝ่ายได้ครับ
มันก็เหมือนกับที่ผมแนะนำให้คุณ ไปถามครูบาอาจารย์เรื่องผลการปฏิบัติ
ต้องไปถามกันต่อหน้าไงครับ

แต่สำหรับผมแค่ผมไล่เหตุปัจจัยและคำพูดของคุณ มันก็ไม่ได้หนีจากสิ่งที่
ผมกล่าวหาคุณนั้นแหล่ะครับ
มัชฌิมา ปฏิปทา เขียน:
ที่ผมอ้างครูบาอาจารย์ไม่ใช่เป็นการลงทุนเลย มันไม่มีอะไรได้อยู่แล้วสำหรับผม ที่อ้างครูอาจารย์ก็เพื่อเอามาให้ดูว่าถูกต้องจะได้ไม่เขวกันไปใหญ่ ก็จะมีแต่ผลเสียไป ลิ้งแรกถามตอบปัญหาธรรมะกับหลวงตาที่ผมเอามาให้ดูที่ถามเมื่อปี48 นั่นคือผมเป็นผู้ถาม ถ้าผมมีเจตนาจะอ้างจะอวดผมคงบอกไปแต่แรกแล้วว่าผมเป็นผู้ถาม ที่ยกมาเพื่อให้เป็นหลักอ้างอิงเพื่อความรู้ของผู้อ่านโดยแท้ .

กรุณาใช้สมองตรองดูหน่อยนะครับ เวลาที่คุณกำลังมีความเห็นไม่ลงรอยกับคนอื่น
แล้วเที่ยวได้ยกครูบาอาจารย์มาอ้างแบบนี้ มันกระทบถึงครูบาอาจารย์หรือเปล่า

แถมความเห็นที่ครูบาอาจารย์ที่คุณอ้าง ก็ไม่ได้บอกหรือแสดงความเห็น
ในเชิงสนับสนุนในสิ่งที่คุณพูด เห็นแต่ท่านบอกในลักษณะเป็นกลางๆ
แบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น (อาจเป็นเพราะผ่านคนกลาง) นี้ถ้าไปบอกกับ
หลวงตาเองว่า ตัวเองมีสติปัญญาที่เด่นดวง รับรองได้ถูกด่าแน่ๆ
มัชฌิมา ปฏิปทา เขียน:
ที่ถามผมว่าหลวงตาจะมานั่งตอบปัญหาทางคอมพิวเตอร์หรอครับ ตอบนะครับ หลวงตาเมตตาตอบให้ครับ มีคนปริ้นจดหมายแล้วเอาไปนั่งถามหลวงตาหลังจังหัน ออนไลน์ออกอากาศทุกวัน ไม่เชื่อคุณก็คลิกเข้าไปดูก่อน ...

ถึงได้แนะนำไงให้ไปถามครูบาอาจารย์ต่อหน้า ให้ท่านเห็นอาการในขณะ
ที่กำลังพูดด้วย ไม่ใช่พิมพ์เป็นบทความใช้บัญญัติที่เลิศหรูอลังการแบบนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2012, 15:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 พ.ค. 2012, 19:48
โพสต์: 28


 ข้อมูลส่วนตัว


jojam เขียน:
huh

ไม่เห็นมี อะไรน่าตระหนกเลย เรื่องราวไร้เดียงสา พิจารณาลงไตรลักษณ์ไม่ได้เลย คำคนไม่ดี พันคำชม ก็ไม่มีนัยยะอะไร คำคนดี ตำหนิ เพียงคำเดียวก็ ควรไคร่พิจารณา..

พวก ที่ไม่หวังดี หวังแทะกิน สร้างเคลือข่าย เดี๋ยวนี้มากอยู่ ไม่ต้องไปสนใจหรอก ใกล้ด่างกินดิน เยอะ พูดมากไปก็เหนื่อย..

ขนาดโครงการทอง ช่วยชาติ คนยังจาบจ้วง หลายแสน คน เขาไปเคยแวะไปหรอก หนึ่งสตางค์ ก็ไม่ได้ช่วยกัน ฟังเทศน์นี่ไม่ต้องพูดถึง โหลดฟรี สะดวกสบาย ถึงขนาด ก็ยัง ได้ ประโยชน์สาระธรรม สักนิดหรือ ไม่มีหรอก ถึงคุณ มัช ไปบอกสี ให้คนตาบอด มันโง่ชัดๆ (ขอโทษที่พูดตรงๆ) ให้เขารักษาให้มอง ได้แล้ว วันหนึ่ง เขาจะทราบซึ้งใจ กับ แหล่่งน้ำธรรม ทุกแหล่ง เอง ...

สุดท้ายนึ้ แนะนำให้ เขาหาครูบาอาจารย์ เถอะ ผมเองก็ได้ฝึก ธรรมจาก โลกไซเบอร์ เหมือนกัน ได้สอบทาน จากถามตอบจากเวป เช่นกัน ปฏิบัติจริงก็ได้ผลจริง ถึงได้ ใจถึง ก็ ถึง ตัวห่างไม่ใช่ นัยยะสำคัญอะไร?

** เชื่อว่า ครูบาอาจารย์ไม่ต้องแนะนำอะไรหรอก แค่ฟังกัณฑ์เทศน์ เดียวก็ ทราบได้เองแล้วว่า ฝากกรรมฐานได้หรือไม่ ?

[อย่าไปต่อความยืดเลย .. พุทโธ เยอะ สงบภาวนา เข้าไว้ อย่าทิ้ง บริกรรม ไปต่อได้ เติมน้ำเข้าไป ไม่รั่ว เพิ่มไป สักวันต้องเต็ม ไม่สงสัยเลย..]




ขอบคุณครับ ขอน้อมรับด้วยใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2012, 15:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
โฮฮับ เขียน:
อ้าว! งั้นไอ้ที่บอกจขกทไปมันก็มั่วนะซิ
แล้วให้ไปคุยกันห้องอื่น ห้องไหนดีล่ะ ห้องผูกพันธ์และพลัดพรากหรือห้องแนะนำตัวดี

พุทโธ! อุตสาห์ช่วยดันส่งมุขให้จะได้แจ้งเกิดซะที ที่ไหนได้ดันเหลว
ที่หน้าที่หลังส่งซิกด้วยว่า อันไหนมั่วอันไหนโม้ เราจะได้รู้ตัว
จะเล่นบทพระรองช่วยพระเอกซะหน่อย ดันกลายเป็นผู้ร้ายเป็นจิ๊กโก๋
มาหาเรื่องชาวบ้านตัวประกอบซะงั้น :b32:


:b32: :b32:
ไม่ต้องแจ้ง....ก็เกิดแล้วละ...

ตอนเกิด...ก็ไม่ได้แจ้ง...

หาก..ไม่อยากเกิด...ต้องแจ้งใครก่อนอะป่าว... rolleyes

แต่อยากรู้เรื่อง..อรูปพรหม..ฌาณ 3 นั้น..จริง ๆ ..เด้อ...จะบอกไห่ :b9:

ไอ้ที่ไม่แจ้งเพราะกลัวเขามาแย่งเกิดนะซิ พี่น้องมีเป็นล้านดันแย่งเขามาเกิดจนได้
วันหลังเห็นพี่น้องเขาดำผุดดำว่าอยู่ ก็อย่าไปแข่งกำลังเขา แค่นี้ก็ไม่ได้เกิดแล้วล่ะ กะลาเอ๋ย :b9:

เรื่องอรูปพรมหม ญาณ3(ญาณไม่ใช่ฌาณ) เราถามกะลาว่ามันเหมือนกับชาน4ที่กะลาว่ามั้ย
ไม่ใช่ให้มาย้อน เดี๋ยวตบดิ้น :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2012, 15:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 พ.ค. 2012, 19:48
โพสต์: 28


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมอธิบายไปหมดแล้ว ไม่ขอคอมเม้นใดๆอีกนะครับ คอมเม้นนี้เป็นอันสุดท้าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2012, 16:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 พ.ค. 2004, 12:30
โพสต์: 147


 ข้อมูลส่วนตัว www


huh


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2012, 20:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
กราบนมัสการหลวงตาที่เคารพอย่างสูง
ผมได้ศึกษาธรรมะจากหลวงตาจากทางหนังสือกับเทปและได้ปฏิบัติอย่างจริงจัง ช่วงฝึกใหม่ๆจิตไม่สงบเท่าไรนัก แต่พอทำไปๆจิตเริ่มสงบขึ้นทุกวันๆจนรู้สึกมีอาการตัวเบาจนไม่มีน้ำหนักเลย แต่พอไปสนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอาการตัวเบาก็หายไปกลับมาหนักเหมือนเดิม ในตอนนั้นผมก็ได้รู้ว่าสมาธินี้สำคัญเช่นนี้เอง เกิดความพอใจติดใจในอาการตัวเบานี้และคิดว่าเราจะต้องทำให้ได้อีก แต่พอวันต่อๆมาทำไม่ได้เลย ยิ่งทำไม่ได้ยิ่งอยากให้มันเป็น ยิ่งอยากให้เป็นยิ่งหงุดหงิดรำคาญกระวนกระวายใจ จนเวลาทำสมาธิก็ไม่เป็นสมาธิเลย ช่วงนั้นทุกข์มากทุกข์จนได้สติคิดได้ว่าที่เราเครียดหน้าดำอยู่นี้ก็เพราะความอยากนี้เอง ไปยึดถืออาการตัวเบาจนทำให้เสียสมาธิ มีแต่กิเลสเต็มหัวใจ หลังจากที่ผมคิดได้ผมจึงได้ปล่อยวางความอยากได้อยากเป็นของผมลงแล้วหันมายึดคำสอนของหลวงตาที่ว่าใส่ใจแต่งานของตน หลังจากนั้นจิตก็เริ่มสงบขึ้นเลื่อยๆจนมาถึงคืนหนึ่งผมเริ่มนั่งสมาธิผ่านไประยะหนึ่งมีอาการตัวเบาเกิดขึ้นอีก คราวนี้ผมไม่สนใจแล้วมุ่งทำงานของตนคือพุทโธต่อไป สักพักพุทโธหายคิดยังไงก็คิดไม่ออกสิ่งที่เหลืออยู่คือลมหายใจที่ชัดเจนมาก ตอนนั้นผมไม่ได้สนใจไม่คิดอะไรทั้งนั้นมุ่งหน้าทำงานของตนต่อไป เหลือแต่ลมหายใจก็เอาแค่ลมหายใจ ลมหายใจก็ละเอียดนุ่มนวลและแผ่วเบาขึ้นทุกทีจนสุดท้ายไม่มีลมหายใจเลย มาถึงตอนนี้เหมือนจะหมดที่ไปแล้ว งานที่ทำอยู่ก็หายไปหมดแล้วคือไม่มีงานทำ แต่แล้วสติก็นึกถึงคำสอนของหลวงตาขึ้นมาได้ คือหลวงตาให้ระลึกรู้ไปทั้งๆที่ไม่มีอะไรนั้นละ จากนั้นผมจึงกำหนดจิตไปที่ความรู้ของตน พอกำหนดปุ๊ปรู้พุ่งหนีปั๊บ ไปไกลมากในตอนนั้นเหมือนตัวรู้จะพุ่งหนีไปไกลสุดขอบโลก แต่ผมก็ตามตัวรู้ไปไม่ให้คลาดสายตา ดูเหมือนจะตามทันแต่ยิ่งตามตัวรู้ยิ่งพุ่งหนีไปไกลและเร็วมากเหมือนจะออกนอกจักวาลไปให้ได้ ระหว่างตามเกิดความกลัวตายขึ้นแต่ก็ได้ตัดสินใจทันทีในขณะนั้นว่าตายเป็นตายเรามาถึงตอนนี้แล้วจะไม่ถอยกลับ แล้วผมก็ตามไปจนสุดท้ายตัวรู้ก็หมด หมดทุกอย่าง หมดไม่เหลืออะไรทั้งสิ้น และตั้งแต่นั้นมาผมจึงได้รู้ว่าจิตจริงๆนั้นไม่มีอะไรเลยคือไม่มีธาตุ4ขันธ์5เลย คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจว่า นี่เราโง่มาตั้งนานแสนนาน ไปหลงคิดว่าเป็นเราของเรา ขนาดตัวรู้ คิด จำ ที่ละเอียดยังไม่ใช่ของเราเลย ตัวที่มันขยันนั่งสมาธินั้นก็ไม่ใช่เรา
ผมจึงใคร่ขอกาสกราบเรียนถึงผลการปฏิบัติพร้อมทั้งขอรับคำแนะนำจากหลวงตาต่อไปครับ และการที่ผมพิจารณาอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ครับ

สวัสดีครับพี่ มัชฌิมา ปฏิปทา :b8:
ผมอ่านผลปฏิบัติธรรมอันนี้ที่พี่ได้ยกไปถามหลวงตามหาบัวดูแล้ว ผมเห็นว่าเรื่องราวอันนี้กับเรื่องารวที่พี่แสดงไว้ในกระทู้ตอนต้นนั้นมันต่างกันอยู่บ้าง และเป็นส่วนที่สำคัญมากๆด้วยนะครับ....ตรงนี้ที่พี่เล่าให้หลวงตาพี่ไม่ได้บอกถึงภาวะที่ สติปัญญาของพี่หายไปหมด ดับหมดไม่มีเหลือ แม้ความรู้ตัวว่าดับในขณะนั้น เหมือนที่กล่าวในกระทู้ตอนต้น พี่บอกหลวงตาท่านเพียงแค่"ผมก็ตามไปจนสุดท้ายตัวรู้ก็หมด หมดทุกอย่าง หมดไม่เหลืออะไรทั้งสิ้น" นั่นแหละผมถึงได้สงสัยเมื่อได้อ่านเรื่องราวที่พี่เล่าทีแรกเพราะในสายหลวงปู่มั่นนั่นท่านสอนให้ปฏิบัติเพื่อหาผู้รู้ให้เจอ ให้เห็นผู้รู้ ถึงผู้รู้ และอยู่กับผู้รู้ทุกขณะ...ผมจึงข้องใจเพราะถ้าปฏิบัติจนสุดท้ายไม่เหลืออะไรให้รู้เลยมันจะได้อะไร ถ้าอย่างนั้นเป็นก้อนหิน เป็นดิน เป็นภูเขา ก็นิพพานได้ใช่มั้ยครับ...ผิดถูกประการใดผมขออภัยด้วยในที่นี้นะครับ
ขอบคุณครับ :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกพระป่า เมื่อ 27 พ.ค. 2012, 21:23, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2012, 21:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ขอบคุณที่อโสกะ..เตือนด้วยความหวังดี....แต่ที่อโสกะพูดมานั้นนะ..เขาเอาใว้ปลอบใจ...ให้คนมีกำลังใจรักษาศีล...เกือบแล้ว...เกือบ.....แล้วละอโสกะ :b9:

ศีล...แปลว่า..ปกติ...หรือเป็นปกติ...หากไม่ปกติก็ยังไม่เป็นศีล :b32:

ศีล...จึงมีได้ด้วยความตั้งใจ...หากไม่ตั้งใจทำศีลนั้นก็ไม่มี...
แบบหนึ่ง....สมาทาน...คือเอาพระเป็นพยาน

อีกแบบ...อะไรนะ..วิรัตศีล...รึงัย..จำคำพระไม่ได้...คือแบบ...ตั้งใจทำเอาเองเลย..เอาตัวเองเป็นพยาน

เข้าใจแล้วนะ..อโสกะ

หากมีท่านใดจะเสริมหรือไม่เห็นด้วย...ก็เอาสั้น ๆ พองาม..จะได้ไม่ออกนอกหัวกระทู้ :b12: :b12:

ขอนุโมทนาด้วยครับพี่กบนอกกะลา...ศีลต้องประกอบด้วยเจตนางดเว้นจึงชื่อว่าถือศีล หากไม่มีเจตนางดเว้นแล้วพอเผลอหรือมีเหตุให้ผิดศีลก็รักษาศีลไว้ไม่ได้อยู่ร่ำไป ผู้ที่ถือศีลปฏิบัติจนเป็นปกติย่อมชื่อว่าเป็นผู้มีศีล มีศีลแล้วก็ไม่ต้องถือศีลอีก...เพราะมีแล้วนั่นเองครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2012, 23:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


ส่วนใหญ่....เรา ๆ จะคุ้น...กับ..ฌาน 4

แต่..อรูปฌาน...ไม่ค่อยมีใครพูดถึงกัน...

หากมาอยู่ตรงหน้า...ก็คงจะงง..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2012, 03:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
.....มาแล้วหรือครับ "คุณฮับโฮ" มาพร้อมลูกคู่ เกือบครบทีม
:b12:

คุณโสกะคำว่า"ลูกคู่" ผมว่ามันดีมีศักดิ์ศรีกว่าคำว่า "ลูกกระจ๊อก"ตั้งเยอะ
รู้มั้ยครับ ใครชอบทำตัวไร้อาย ไร้ศักดิ์ศรียอมเป็นลูกกระจ๊อกคนอื่น
ถ้าอยากรู้จะบอกให้ครับ บุคคลนั้นเขาชอบทำตัวเป็นลูกกระจ๊อก"คุณเช่นนั้น"ครับ :b9:
asoka เขียน:
ผมสังเกตเห็นว่าช่วงหลังๆนี่คุณโฮดูอ่อนนุ่ม พูดเป็นงานเป็นการขึ้นเยอะ ปิสุณาวาจา สัปปัปผลาวาจาก็ลดน้อยลง พูดเป็นศีลเป็นธรรมมากขึ้น มีเหตุผลข้อธรรมที่น่าฟังมากขึ้น กำลังนึกชมในใจอยู่เชียว
:b27: แต่นี่กลับมาเข้าอีหรอบเดิมอีกแล้ว

คุณกรุณาอย่ามาใส่ใจกับคำพูดคำจาของผมเลยครับ สงสัยไม่เคยเห็นพวกมิจฉาชีพ
อาศัยเลี้ยงชีพด้วยการหลอกลวงชาวบ้าน ส่วนใหญ่ต้องพึ่งวาจาที่อ่อนหวาน
เพื่อให้คนอื่นเชื่อในคำพูดของตนเอง ดังนั้นคำพูดมันไม่สำคัญเท่ากับใจที่เป็นกุศลหรอกครับ :b32:
asoka เขียน:

สติ มีหน้าที่ รู้ทัน.....ระลึกได้......ไม่ลืม 3อย่างนี่คือหน้าที่ของสติจริงๆ แต่สติธรรมดาเป็นแค่สติตามสัญชาติญาณ ไม่เหมือนอย่าง "สัมมาสติ" คือสติที่ต้องถูกปัญญาอบรมมาให้เห็นถูกทางถูกต้องเสียก่อนคือเห็นตามอริยสัจ 4 แล้วสติจึงจะมากำกับกายใจให้เดินไปบนเส้นทางแห่งอริยสัจ 4 และมรรค 8
ลองไปทำความละเอียดในเรื่องนี้ที่กระทู้ "สติต้องถูกอบบรมด้วยปัญญาจึงจะเป็นสัมมาสติ" กระทู้ยังอยู่หน้า 1 อยู่นะครับ[/color]

ปากพร่ำพูดว่ารู้ทัน ตัวคุณก็กรุณารู้ให้ทันซะด้วยซิครับ เอาบัญญัติมาละเลงธรรม
แล้วยังมีหน้าว่าชาวบ้าน เอาแต่ปริยัติ ปฏิบัติน้อย ผมว่ามันยังดีกว่าพวกไม่รู้ปริยัติ
แต่พยายามเอาบัญญัติมาโชว์ หารู้ไม่ว่านั้นแหล่ะเป็นลักษณะของปริยัติ แต่อาจแตกต่าง
กันตรงที่ เอามาใช้แบบเข้าใจผิดหรือไม่รู้ครับ และที่สำคัญไม่รู้ด้วยซ้ำว่า
ตัวเองกำลังทำอะไร เปรียบเหมือนตัวเองเป็นกลากเกลื้อนที่แผ่นหลังย่อมมองไม่เห็น
แต่พอเห็นหลังคนอื่นก็กระแหนะกระแหน่ว่าสกปรก ตลกซะไม่มีล่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2012, 04:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
อ้อแล้วประโยคนี้ "ถ้าจะบอกว่า"รู้ทัน" น่าจะเป็นวิญญาณขันธ์จึงจะถูกมากกว่า " พูดอย่างนี้แสดงว่าไม่เคยได้รู้หรือปฏิบัติจริงเลยว่า "สติกับปัญญานี่เขาเกิดขึ้นแทรกในระหว่างการเกิดดับของอารมณ์และสภาวะธรรมโดยตลอด จึงเกิดตัวที่ว่า "รู้" ขึ้นมาโดยตลอด อย่างเช่นประสาทหู (โสตวิญญาณธาตุ)กระทบเสียง
วิญญาณ หรือความรับรู้ทางหูเกิดขึ้น สังเกตดูตรงนี้ให้ดี "แล้วใครล่ะไปรู้ว่าวิญญาณทางหูเกิดขึ้น" ลองไปตรองดู

ตลกซ้ำซาก เพ้อเจ้อคงที่ ปากเที่ยวว่าชาวบ้านแบบไม่คิดหาว่าเขาไม่ได้ปฏิบัติ
แค่เห็นคำพูดของคุณก็รู้ว่า ไม่เคยปฏิบัติเลย ที่แสดงความเห็นมา มันก็แค่ไปจำเขามา
แล้วเอามาโชว์ชนิดไม่อายไม่รู้ว่าผิด เหมือนพวกตลกค่าเฟ่แหย่กันว่า ...
"ทำแบบนี้ไม่อายลูกเหรอ" :b32:

รู้หรือเปล่าว่า จิตมีคุณสมบัติเกิดดับรวดเร็วมาก มันเป็น"สันตติ"
ไอ้ที่ว่า"รู้"นั้นน่ะ มันเป็นการรู้สัญญา มันเกิดดับของกระบวนการขันธ์จนจบแล้ว
สติหรือปัญญามันเกิดหลังจากจบกระบวนการขันธ์แล้ว

เช่นเรารู้ทันว่าเราโกรธ นั้นหมายถึง กระบวนการขันธ์มันเกิดดับ
จนมาถึงสังขารขันธ์ที่เป็นอกุศล การรู้อกุศลเพื่อให้เกิดสติและปัญญา ต้องอาศัย
มโนวิญญาณตัวใหม่ ไปรู้สัญญาที่เป็นกระบวนการขันธ์อกุศลที่มันดับไปก่อนหน้า


โปรดจำไว้เลยว่า ที่ครูบาอาจารย์ให้รู้อยู่กับปัจจุบัน นั้นก็คือให้รู้ทันสัญญา
ที่เป็นกระบวนการขันธ์ที่พึ่งดับไป

asoka เขียน:
แล้วมิจฉาวาจาท่อนท้ายที่ว่า "เอาบัญญัติมาละเลงเป็นขนมเบื้อง" ลองพิจารณาดูว่า "ใครกันแน่ที่่เอาบัญญัติหรือปริยัติที่ดีๆ ถูกต้อง มาละเลงด้วยความเห็นผิดยึดผิดของตนเองกันแน่" ลองกลับไปตรองดูดีๆอีกทีนะครับ
:b34:
แล้วที่มาวิตกวิจารณ์คุณมัชฌิมา....ด้วยวิจารณญาณอันหยาบขาดประสบการณ์จริงของคุณโฮ....ระวังจะเข้าเนื้อนะจะบอกให้ เดี๋ยวจะหาว่าหล่อไม่เตือน.......
:b34:

มันก็เหมือนกับที่ผมบอกคุณไปก่อนหน้า พวกโจรพวกมิจฉาชีพ หรือแม้กระทั้งคนธรรมดาทั่วไป
หวังผลประโยชน์อีกฝ่าย ก็อาศัยวาจาที่อ่อนหวานชวนฟังเพื่อให้เหยื่อตายใจ

ส่วนผมไม่ได้หวังอะไร แค่รู้อะไรก็มาบอก ใครใคร่เชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร
ฉะนั้นผมไม่จำเป็นต้องฝืนหรือเสแสร้งให้คนอื่นมาฟังมาเชื่อครับ
asoka เขียน:
เรื่องรูป ก็เพื่อผ่อนคลายสายตาและจิตใจอันคุกรุ่น บางรูปก็มีความหมายมาก คุณโฮจะไปยุ่งทำไม ท่านผู้รักษากฎยังไม่ส่งสัญญาณเลย คุณโฮ..มาทำหน้าที่แทนเสียแล้ว น่าคิดนะ......ว่าใครกันแน่ที่ไป.....ส ร ข ค อ....
:b12: :b12: :b12:
สงบจิต สงบใจ เจริญธรรมนะครับ

ห้องนี้เป็นห้องสนธนาธรรม มันจึงควรมีแต่เนื้อหาในธรรม และการจะเข้าใจ
เนื้อหาธรรมที่คนอื่นแสดงมา มันต้องมีสมาธิกับคำพูดหรือธรรมที่คนอื่นแสดงมา
คุณเอารูปมาโพสเหมือนเด็กเล่นไฮไฟว์ เฟสบุ๊คแบบนี้มันรบกวนสมาธิคนอื่น

คุณโสกะครับ แค่กาละเทศะคุณยังไม่รู้ นับประสาอะไรจะมาคุยธรรมครับ
ห้องต่างๆในลานธรรมจักรเขาจัดแบ่งไว้โดยเฉพาะ อยากโพสรูปเป็นเด็กแบบนี้
ห้องนานาสาระมีตั้งมากมาย อย่างเช่นห้องนิทาน-การ์ตูนก็มีทำไมไม่ไปโพสครับ

และที่ผมตำหนิไปผมไม่ได้เจาะจงเรื่องกฎกติกานะครับ
เพียงแต่อยากจะให้รู้ว่ามรรยาทมันเป็นไง
บางคนมัวไปเสแสร้งเรื่องคำพูดจนลืมมรรยาทครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2012, 05:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มัชฌิมา ปฏิปทา เขียน:
ผมอธิบายไปหมดแล้ว ไม่ขอคอมเม้นใดๆอีกนะครับ คอมเม้นนี้เป็นอันสุดท้าย

คุณไม่มีหน้าที่คอมเม้น มันเป็นหน้าที่ของคนอื่น
แล้วจะบอกให้อย่างตัวคุณไม่มีสิทธิเลือกว่า
คอมเม้นไหนถูกใจฉันเอา คอมเม้นไหนไม่ถูกใจไม่เอา

ถ้าคุณยังแสดงอาการเลือที่รักมักที่ชัง
คุณต้องบอกไว้ล่วงหน้าว่า ห้ามแย้งอนุโมทนาได้อย่างเดียว
แบบนี้คุณก็จะได้สมใจปรารถนาครับ คุณเป็นกลางใจตัวเอง :b9:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 117 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 33 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร