วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 00:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2012, 07:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


เสียงระฆังตอนตีสี่เงียบหายไปนานแล้ว แต่เสียงเห่าหอนของสุนัขยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่าย ๆ เพราะเมื่อตัวหนึ่งหยุด อีกตัวก็ตั้งต้นหอนใหม่ ผลัดกันรุกผลัดกันรับอยู่อย่างนี้เป็นเวลาเกือบชั่วโมงแล้ว
ครูใหญ่กำลังเดินจงกรมระยะที่หกอยู่ รู้สึกรำคาญขึ้นมาตะหงิด ๆ เพราะแม้จะกำหนด "เสียงหนอ" ครั้งแล้วครั้งเล่า พวกมันก็ยังไม่ยอมหยุดเห่าหอน เหตุนี้กระมังที่เขาเปรียบเทียบคนพูดพร่ำไม่รู้จักกาลเทศะว่า "พวกปากหมา" แต่ก็แปลกตรงที่ว่าวันนี้ เสียงของพวกมันช่างโหยหวนชวนให้ขนลุกขนพองกว่าทุกวัน
"หรือจะเป็นเพราะพวกมันรู้ว่าวันนี้เป็นวันพระ ถึงได้หอนนานกว่าปกติ" เขาคิด
เดินจงกรมได้หนึ่งชั่วโมงเต็ม ๆ จึงกำหนดนั่ง หากยังไม่ทันได้นั่งก็เห็นพระรูปหนึ่งเดินขึ้นศาลาตรงมา แสงจากดวงไฟสี่สิบแรงเทียนแม้จะไม่สว่างไสวเท่าไฟนีออน แต่ก็ทำให้เห็นชัดว่า ภิกษุรูปนั้นอายุอยู่ในราวเจ็ดสิบเศษ ร่างการทรุดโทรมซูบผอม จีวรดูเก่าสกปรก แถมยังขาดกะรุ่งกะริ่ง เหมือนเอาผ้าขี้ริ้วมาห่อหุ้มร่างเอาไว้
ภิกษุชราเดินตัวแข็งทื่อตรงมา ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของครูใหญ่ ครั้นใกล้เข้ามาในระยะสักสามเมตร จึงได้รู้ว่าท่านมิได้เดิน หากลอยมาในลักษณะเท้าเรี่ย ๆ กับพื้น สติบอกทันทีว่า สิ่งที่เห็นข้างหน้านั้นมาจากต่างภพภูมิ
หันไปดูครูน้อยสองคน เห็นจะเริ่มเดินจงกรม เพราะมัวอิด ๆ ออด ๆ กว่าจะตื่นกันได้ก็เกือบ ๆ ตีห้าเข้าไปแล้ว มิหนำซ้ำ ยังเสียเวลาไปกับการล้างหน้าแปรงฟันอีกหลายนาที
มีคนตื่นอยู่ถึงสองคนเช่นนี้ความกลัวก็ลดน้อยลง แต่เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่ภาพลวงตา จึงกำหนด "เห็นหนอ" สามครั้ง กำหนดแล้ว ภาพนั้นก็ยังไม่หายไป ครูวัยกลางคนจึงรวบรวมสติแล้วถามออกไปว่า
"ท่านเป็นใคร ขึ้นมาทำอะไรที่นี่"
"อาตมาเป็นพระอยู่วัดนี้ เขาเรียกอาตมาว่าหลวงตาเฟื่อง" เสียงนั้นแหลมเล็ก ผิดแผกไปจากเสียงมนุษย์ธรรมดาสามัญ
"แล้วทำไมหลวงตาไม่ไปลงโบสถ์กับเขาล่ะครับ"
"อาตมาไม่ต้องลงโบสถ์ อย่าตกใจ อาตมาไม่ได้มาร้าย คือว่า อาตมาตายไปเมื่อสิบปีที่แล้ว แต่ยังไม่ได้ไปไหน" ฟังแล้วขนลุกซู่ เมื่อภิกษุชราบอกว่าตายแล้ว แต่เมื่อท่านบอกว่าไม่ได้มาร้าย จึงกลั้นใจถามออกไปว่า "แล้วท่านขึ้นมาบนนี้ มีจุดประสงค์อะไรหรือครับ"
"มีสิ อาตมาจะมาขอส่วนบุญจากโยม อาตมาลำบากเหลือเกิน ต้องอด ๆ อยาก ๆ หนาวก็หนาว โยมช่วยบอกท่านพระครูด้วยว่า อาตมาขอผ้าไตรสักหนึ่งสำรับ แล้วเวลาโยมปฏิบัติกรรมฐาน ช่วยแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้หลวงตาเฟื่อง วัดป่ามะม่วงด้วย อาตมาจะได้ไปเกิดเสียที วนเวียนอยู่ที่นี่มาสิบปีแล้ว เพราะยังใช้กรรมไม่หมด"
"เมื่อตอนท่านบวช ไม่ได้เจริญกรรมฐานหรือครับ จึงได้มีสภาพอย่างนี้"
"เปล่า อาตมาหัวดื้อ ท่านพระครูบอกอาตมาก็ไม่เชื่อ เพราะเป็นคนทิฐิสูง เห็นว่าท่านพระครูเด็กกว่า ไหนเลยจะมาสอนอาตมาได้ ก็เพราะไม่เชื่อท่านนี่แหละ ถึงต้องมาเป็นเปรตอย่างที่โยมเห็นอยู่นี่"
"เปรตหรือครับ ทำไมรูปร่างไม่เหมือนกับที่แม่เล่าให้ฟังสมัยผมเด็ก ๆ คือแม่บอกว่า เปรตตัวนั้นสูงเท่าต้นตาล ปากเท่ารูเข็ม มือเท่าใบลาน แสดงว่าแม่หลอกผมใช่ไหมครับ"
"ไม่ได้หลอกหรอกโยม เปรตมีหลายประเภท อย่างอาตมานี่ เป็นประเภทปรหัตตุปชีวิกเปรต คือ เปรตที่มีการเลี้ยงชีวิตอยู่ โดยอาศัยบุญที่ผู้อื่นอุทิศให้ อาตมาถึงต้องมาขอส่วนบุญจากโยม โปรดเมตตาด้วยเถิด" เสียงนั้นทั้งขอร้องและวิงวอน
"ถ้าอย่างนั้นผมจะแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้ทุกครั้งที่ทำกรรมฐาน ชื่อหลวงตาเฟื่องนะครับ"
"ถูกต้อง อาตมาต้องขอขอบใจโยมเป็นอย่างมาก ขอให้โยมจงตั้งอกตั้งใจปฏิบัติต่อไป ทางนี้เป็นทางที่ประเสริฐที่สุดแล้ว อาตมายังนึกเสียดายเวลาที่ผ่านมาที่มัวหลงประมาทมัวเมาในชีวิต จึงต้องมาตกระกำลำบากอย่างนี้ กว่าจะรู้สึกตัวก็สายเกินไปเสียแล้ว จงอย่างได้เอาเยี่ยงอย่างอาตมาเลย นี่ถ้าได้ไปเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง อาตมาจะเจริญสติปัฏฐาน ๔ ไปจนตลอดชีวิตทีเดียว จะไม่ประมาทมัวเมาอีกแล้ว เข็ดแล้ว อาตมาลานะโยม"
ร่างนั้นค่อย ๆ ลอยห่างออกมาแล้วจึงหายวับไปกับความสลัวของรุ่งอรุณ บัดดลนั้น บรรดาสุนัขที่ส่งเสียงเห่าหอนมาตั้งแต่ตีสี่ ต่างพากันเงียบเสียงลงราวกับนัด
"ครูใหญ่ไม่สบายหรือเปล่าครับ ถึงได้ยืนพูดอยู่คนเดียวอย่างนั้น" ครูบุญมีเดินเข้ามาถามด้วยความสงสัย
"ผมกำลังคุยกับหลวงตาเฟื่อง คุณไม่เห็นหรอกหรือ พระแก่ ๆ ที่เดินขึ้นมาเมื่อครู่นี้เอง"
"ผมไม่เห็นใครสักคน ไม่เชื่อถามครูอรุณดูได้"
"จริงครับ ครูใหญ่ยืนพูดงึมงำอยู่คนเดียว ฟังไม่ได้ศัพท์ว่าพูดอะไรบ้าง ไม่สบายหรือเปล่าครับนี่" ครูน้อยอีกคนถามอย่างเป็นห่วง
"ปละ....เปล่า ผมไม่ได้เป็นอะไร ประเดี๋ยวผมจะไปพบหลวงพ่อสักหน่อย คุณสองคนไปเป็นเพื่อนผมหน่อยซี" ครูบุญมีดูนาฬิกาข้อมือแล้วท้วงว่า "เพิ่งจะตีห้าครึ่ง อีกตั้งครึ่งชั่วโมงท่านจึงจะออกจากโบสถ์ เราปฏิบัติกันไปพลาง ๆ ก่อนดีกว่า"
"คุณสองคนไม่รำคาญเสียงหมาหอนหรือ มันเพิ่งหยุดไปเดี๋ยวนี้เอง อะไรของมันนักหนา หอนอยู่ได้เป็นชั่วโมง" ครูใหญ่บ่น
"ใครว่า มันหอนตอนพระตีระฆังเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เอ...เช้านี้ครูใหญ่มีอะไรแปลก ๆ พิกล หรือว่ายังไม่อยากกลับบ้าน" ครูบุญมีเย้า ครูใหญ่จึงตัดสินใจไม่เล่าเรื่องประหลาดให้คนทั้งสองฟัง เพราะสองคนนี้จะต้องคิดว่าเขา "ไม่สบาย" สู้เก็บไว้ถามท่านพระครูจะดีกว่า
"ว่าไง จะไปกุฏิท่านพระครูกับผมได้ไหม" ครูใหญ่ชวนอีก
"ไปก็ไป ไปนั่งสมาธิรอท่านก็ได้" ครูอรุณพูด แล้วทั้งสามคนจึงพากันไปนั่งรออยู่ที่กุฏิท่านพระครู อากาศภายนอกค่อนข้างหนาวเย็น เพราะย่างเข้าฤดูหนาว แต่ในจิตใจของครูใหญ่กลับร้อนรุ่มดั่งไฟสุมขอน ทั้งร้อนใจและใจร้อนอยากพบท่านพระครูเป็นที่สุด
เสร็จจากสังฆกรรมในโบสถ์แล้ว ท่านพระครูจึงเดินกลับกุฏิเพื่อเตรียมออกบิณฑบาตโปรดสัตว์เช่นเดียวกับภิกษุอื่น ๆ ในวัด ครั้นถึงกุฏิก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นครูสามคนนั่งรออยู่ ท่านคิดว่าเขามาลา จึงชวนให้อยู่รับประทานอาหารเช้าก่อน
"พวกผมยังไม่กลับหรอกครับ แต่ผมมีปัญหาบางอย่างจะมาเรียนถามหลวงพ่อครับ ต้องขอประทานโทษที่มารบกวนแต่เช้า" ครูใหญ่ออกตัว
"มีอะไรหรือ ท่าทางดูร้อนใจพิกล"
"หลวงพ่อครับ ที่วัดนี้มีพระชื่อ หลวงตาเฟื่องหรือเปล่าครับ" ท่านพระครูนั่งนึกอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง จึงตอบว่า
"มี แต่ตายไปนานแล้ว แกเป็นจ่าสิบตำรวจ เกษียณอายุแล้วมาบวชที่นี่ ครูใหญ่รู้จักแกหรือ"
"ไม่รู้จักหรอกครับ แต่ท่านมาหาผมเมื่อกี้นี้ มาแนะนะตัวว่าชื่อหลวงตาเฟื่อง" แล้วครูใหญ่จึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านพระครูฟังอย่างละเอียด ฟังแล้ว ท่านเจ้าของกุฏิจึงพูดขึ้นว่า
"น่าอายเหลือเกิน ตัวเป็นพระแต่มาขอส่วนบุญจากญาติโยม ครูเห็นหรือยังล่ะว่า พระก็ไปทุคติ ไปอบายได้ถ้าประมาท หลวงตาเฟื่องแกดื้อ อาตมาเตือนด้วยความหวังดี แกก็ไม่เชื่อ เกียจคร้านเอาแต่กินกับนอน นอกจากนี้ยังขโมยของวัดไปฝากลูกฝากหลานเป็นประจำ โน่นบ้านแกอยู่ใต้วัดไปโน่น
อาตมาบอกว่ามันบาปนะหลวงตา แกก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ เสร็จแล้วเป็นยังไง ไปเกิดเป็นเปรตเลยเห็นไหม ครูใหญ่น่าจะถามแกดูว่าทำไมถึงใช้ให้ครูมาขอผ้าไตร ทำไมแกไม่มาขอเอง"
"ผมก็คิดจะถามอยู่เหมือนกัน แต่ยังไงไม่ทราบ ลืมเสียได้ สงสัยจะกลัวมากไปหน่อย"
"แกคงรู้ว่า เมื่อคืนมีคนเขาเอาผ้าไตรมาถวายอาตมาหนึ่งสำรับ เลยใช้ให้ครูใหญ่มาขอ ฉลาดดีนี่ ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวโยมกลับไปปฏิบัติต่อจนถึงเวลาอาหาร รับทานอาหารกันแล้วค่อยมาหาอาตมา อาตมาจะออกไปบิณฑบาตอยู่เหมือนกัน เรื่องนั้นค่อยว่ากันใหม่"
แล้วท่านพระครูจึงออกบิณฑบาต โดยมีนายสมชายหิ้วปิ่นโตเดินตามหลัง ครูสามคนกลับมายังศาลา ไม่มีใครพูดถึงหลวงตาเฟื่องอีก ด้วยกลัวว่าแก่จะมาปรากฏตัว ฟ้ายังไม่ทันสาง เพราะดวงตะวันยังไม่ขึ้น พวกอมนุษย์จึงมีสิทธิที่จะมาป้วนเปี้ยนให้เห็นได้
ท่านพระครูฉันเช้าเสร็จได้สักพัก ครูใหญ่หนึ่งคนก็นำครูน้อยสองคนเข้ามาหา แต่ละคนมีกระเป๋าเสื้อผ้ามาด้วย แสดงว่าเตรียมพร้อมที่จะกลับ
"อยู่กันอีกซักคืนเถอะน่า" ท่านเจ้าอาวาสแกล้งเย้า
"ไม่ไหวครับ" สามเสียงตอบขึ้นพร้อมกัน
"อ้าว เผื่อจะได้เลขเด็ด หลวงตาเฟื่องแกให้หวยแม่นนา" คราวนี้ครูบุญมีกับครูอรุณทำท่าสนใจ ครูบุญมีพูดว่า
"อยากได้น่ะอยากหรอกครับ แต่กลัวจะช็อคไปเสียก่อน"
"หลวงพ่อครับ ตกลงว่าหลวงพ่อจะให้ผ้าไตรหลวงตาเฟื่องใช่ไหมครับ" ครูใหญ่ทวงถาม เพราะไม่แน่ใจว่า "ภาระ" ที่รับปากมานั้นเสร็จสิ้นหรือยัง
"เออแน่ะ เกือบลืม เอาอย่างนี้ เดี๋ยวอาตมาจะฝากผ้าให้ครูใหญ่นำไปถวายพระ ต้องถวายพระกรรมฐานนะ อย่าไปถวายซี้ซั้ว" ท่านพูดภาษาจีนก็เป็นเหมือนกัน
"ทำไมต้องถวายเฉพาะพระกรรมฐานเล่าครับหลวงพ่อ" ครูอรุณถาม
"ก็ท่านจะได้กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้หลวงตาเฟื่องได้ ถ้าพระที่ไม่ปฏิบัติ จะอุทิศไปไม่ถึง พระบางรูปทองบทกรวดน้ำไม่เป็นด้วยซ้ำ อย่างหลวงตาเฟื่องนี่ท่องได้เสียที่ไหน ขนาดบวชมาตั้งสิบพรรษา เวลาเขานิมนต์ไปสวด ก็ทำปากขมุบขมิบไปยังงั้นเอง แต่อย่าพูดไปนะ พระแบบหลวงตาเฟื่องเดี๋ยวนี้มีเยอะ แล้วท่านก็หัวเราะ จากนั้นจึงหยิบผ้าไตรส่งให้ครูใหญ่
"ถือไปยังงี้แหละ ไม่ต้องห่งต้องห่อหรอก เดี๋ยวก็ได้ถวายแล้ว" ท่านพูดเช่นนี้ด้วยรู้ว่าคนทั้งสามจะไปพบพระธุดงค์กลางทาง เพราะ "เห็นหนอ" บอกอย่างนั้น
"เอาเถอะ แล้วอาตมาจะช่วยแผ่เมตตาให้แกอีกแรงหนึ่ง จะได้ไปเกิดเร็ว ๆ นี่ถ้าครูใหญ่ไม่บอก อาตมาก็ไม่รู้ว่าแกไปเกิดเป็นเปรต ลืมไปเลย"
"หลวงพ่อได้ "เห็นหนอ" แต่ทำไมไม่รู้เล่าครับ" ครูอรุณสงสัย
"อ้อ...นี่แสดงว่าครูยังเข้าใจ "เห็นหนอ" ไม่ถ่องแท้ ดีแล้วที่พูดขึ้น อาตมาจะได้ถือโอกาสอธิบายเสียเลย จริงอยู่ แม้อาตมาจะได้ "เห็นหนอ" แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะได้ตลอดเวลาเมื่อไหร่กัน แหม ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ยุ่งเลยน่ะซี วัน ๆ ไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว เพราะเที่ยวไปเห็นคนโน้นคนนี้วุ่นวายไปหมด
โปรดจำไว้ว่าเราจะ "เห็นหนอ" ก็ต่อเมื่อเราตั้งสติกำหนดจิตเท่านั้น อย่างที่อาตมากำลังคุยกับโยมอยู่นี่ อาตมาก็เห็นโยมเป็นโยมเหมือน ๆ กับที่คนอื่น ๆ เห็น แต่ถ้าอาตมาอยากรู้ว่าโยมกำลังคิดอะไรอยู่ อาตมาก็จะตั้งสติกำหนดจิต แล้ว "เห็นหนอ" จึงจะเกิด นี่มันเป็นยังงั้น พอจะเข้าใจหรือยังเล่า"
"ครับ เข้าใจแล้วครับ หลวงพ่อครับ แล้วคนที่เจริญสติปัฏฐาน ๔ มีโอกาสได้ "เห็นหนอ" ทุกคนไหมครับ" ครูบุญมีสงสัย
"ไม่ทุกคน ก็คนที่จบปริญญาตรีได้เกียรตินิยมทุกคนหรือเปล่าเล่า"
"ได้เป็นบางคนครับ" ครูอรุณตอบ
"เหมือนกันนั่นแหละ คนที่เจริญสติปัฏฐาน ๔ บางคนก็ไม่ได้ "เห็นหนอ" เพราะมันไม่ใช่จุดหมายของการปฏิบัติ เป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น อาตมาจะยกตัวอย่างในสมัยพุทธกาลเรื่อง พระอุบลวัณณาเถรี คนนี้เป็นพระอรหันต์มีฤทธิ์มาก
ในบรรดาพระเถระผู้มีฤทธิ์ ต้องยกให้พระโมคคัลลานะ แต่ถ้าพระเถรี ต้องยกให้พระอุบลวัณณา แต่ถึงแม้จะมีฤทธิ์ ก็ยังถูก นันทมาณพ ข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องของกรรมเก่าครั้งอดีตชาติที่ท่านประพฤติผิดศีลข้อสาม คนก็พากันสงสัยว่า ทำไมทั้ง ๆ ที่มีฤทธิ์ยังถูกข่มขืนได้ นี่ก็เหมือนกัน คือเมื่อท่านยังไม่ตั้งสติกำหนดจิต ฤทธิ์มันก็ยังไม่เกิด
ในคัมภีร์กล่าวว่า ตอนจะถูกข่มขืนนั้น ท่านไปข้างนอกมา ทั้งเหนื่อยทั้งร้อน กำลังจะนอนพัก นันทมาณพซึ่งซ่อนอยู่ใต้เตียงก็ถือโอกาสข่มขืนตอนนี้ เมื่อนันทมาณพข่มขืนเสร็จก็ถูกธรณีสูบ เพราะว่าทำร้ายพระอรหันต์ ถือว่ามีโทษหนัก บาปมาก เห็นไหมว่า ถ้าไม่ตั้งสติ กำหนดจิต ฤทธิ์ก็ไม่เกิด เหมือนอย่างที่อาตมาลืมหลวงตาเฟื่อง แล้วแกก็ไม่มาปรากฏให้เห็น ก็เลยไม่รู้กัน อ้อ...ยังเป็นเปรตอยู่หรือนี่"
"ครับ ท่านบอกว่า เป็นปรทัตตุปชีวิกเปรต พวกเปรตนี่มีหลายประเภทหรือครับหลวงพ่อ"
"เท่าที่อาตมาทราบ มีสี่ประเภท คือ ปรทัตตุปชิวิกเปรต คือ พวกที่มีชีวิตอยู่ด้วยการขอส่วนบุญจากผู้อื่น ชุปปิปาลิกเปรต คือ พวกที่ถูกเบียดเบียนด้วยการหิวข้าวหิวน้ำ นิชฌามตัฒหิกเปรต คือ พวกที่ถูกไฟเผาให้เร่าร้อนอยู่เสมอ และ กาลกัญจิกเปรต เป็นชื่อของอสุราที่เป็นเปรต ครูอยากจะเป็นเปรตประเภทไหนล่ะ" ท่านถามครูอรุณ
"ไม่อยากเป็นสักประเภทเดียวครับ"
"ทำกรรมอะไรจึงไปเกิดเป็นเปรตครับหลวงพ่อ" ครูบุญมีถาม
"ก็ความโลภน่ะซี เขาเรียกว่า "จิตมีโลภะ" อย่างหลวงตาเฟื่องที่ขโมยของวัดไปให้ลูกกิน เพราะจิตยังมีโลภะ ยังห่วงลูก คนที่ตายขณะที่จิตมีโลภะ เช่นยังห่วงโน่นห่วงนี่ ไม่ว่าจะห่วงสมบัติหรือห่วงลูกหลาน ก็ถือว่ายังมีโลภะ ถ้าไม่ไปเกิดเป็นเปรต ก็ไปเกิดเป็นอสุรกาย
ฉะนั้นโยมจงจำเอาไว้ เวลาตายต้องทำจิตให้ผ่องใส จะได้ไปสุคติภูมิ ถ้าตายขณะจิตมีกิเลส เช่นถ้ามีโทสะ จะไปเกิดเป็นสัตว์นรก ถ้ามีโลภะจะไปเกิดเป็นเปรตหรืออสุรกาย ถ้ามีโมหะก็จะไปเกิดเป็นเดรัจฉาน
ดังนั้น ถ้ารู้ว่ากำลังจะตายก็อย่าไปห่วง อย่าไปโลภ โกรธ หลง จะได้ไม่ต้องไปอบายภูมิ อาตมาจะเล่าเรื่องจริงให้ฟังเรื่องหนึ่ง อยากฟังไหมเล่า"
"อยากฟังครับ" คนทั้งสามตอบ
"เอาละ อยากฟังก็จะเล่าให้ฟัง มีเจ้าคณะอำเภอรูปหนึ่ง อย่าให้อาตมาเอ่ยชื่อเลยนะ เพราะไหน ๆ ท่านก็มรณภาพไปแล้ว เจ้าคณะอำเภอรูปนี้ท่านสะสมผ้าไตรไว้เป็นร้อย ๆ สำรับ ใส่ตู้เรียงรายเต็มกุฏิไปหมดแล้วท่านก็หวงมาก ไม่ยอมแจกไตร เพราะตั้งใจว่า อายุครบ ๘๐ จะทำบุญใหญ่ แล้วค่อยแจกตอนนั้น
แต่ปรากฏว่า พออายุ ๗๕ ปี ท่านก็มรณภาพแล้วไปเกิดเป็นเปรต เห็นไหม ประมาทนิดเดียว ไปเกิดเป็นเปรตเลย จะว่าท่านโลภก็ไม่เชิง เพราะท่านตั้งใจไว้ว่า อายุ ๘๐ ถึงจะแจก ทีนี้ท่านก็เลยตายขณะที่จิตมีโลภะ คือห่วงผ้าไตร
"หลวงพ่อทราบได้อย่างไรครับ ว่าท่านไปเกิดเป็นเปรต" ครูใหญ่ถาม
"ท่านมาบอกอาตมา มาแบบเดียวกับที่หลวงตาเฟื่องมาหาครูใหญ่นั้นแหละ แต่แย่กว่าหลวงตาเฟื่องตรงที่ไม่มีอะไรนุ่งห่ม มาแบบชีเปลือย ว่างั้นเถอะ มาถึงก็บอกอาตมาว่า
"ท่านพระครู ผมหนาวเหลือเกินวันเผาศพ ช่วยเอาผ้าไตรแจกให้หมด แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้ผมด้วย"
อาตมาก็จัดการให้ คืนนั้นก็มาขอบใจ นุ่งห่มเรียบร้อย บอกว่าสบายแล้ว นี่เห็นหรือยัง ประมาทไม่ได้เลย เผลอไปนิดเดียวยังไปทุคติเสียได้
นี่แหละ พระพุทธองค์ถึงได้ทรงเตือนนักว่า ไม่ให้ประมาท ทีนี้เห็นความสำคัญของสติหรือยังว่า การมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลานั้น มีประโยชน์มาก เห็นด้วยไหมเล่า"
"เห็นด้วยครับ" ครูสามคนตอบ แล้วครูใหญ่จึงพูดขึ้นว่า
"หลวงพ่อครับ พวกผมเห็นจะต้องกราบลาและต้องขอกราบของพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูง ที่ได้เมตตาพวกผมให้ได้รับความสะดวกสบายทุกอย่าง ได้อาหารบำรุงร่างกาย แล้วยังได้ธรรมะบำรุงจิตใจอีกด้วย และในฐานะที่พวกผมเป็นครูบาอาจารย์ ก็จะนำความรู้นี้ ไปอบรมสั่งสอนแก่เยาวชนให้เป็นพลเมืองดีของชาติสืบไปในอนาคต
สุดท้ายนี้ พวกผมไม่มีอะไรจะตอบแทนพระคุณของหลวงพ่อ นอกจากจะขออนุญาตถวายเงินจำนวนหนึ่งเพื่อสมทบทุนเป็นค่าอาหาร เลี้ยงพระ เณร และญาติโยมที่มาเข้ากรรมฐาน ได้ทราบมาว่า หลวงพ่อต้องรับภาระหนักในเรื่องนี้ พวกผมพอจะช่วยแบ่งเบาได้บ้างตามกำลังศรัทธาและกำลังทรัพย์" ครูใหญ่พูดค่อนข้างยาว แล้วจึงถวายเงินจำนวนหนึ่งซึ่งใส่ซองปิดผนึกอย่างเรียบร้อย
"ขออนุโมทนา ขอให้ครูใหญ่และคณะจงเดินทางกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ แล้วขอให้หมั่นเจริญกรรมฐานกันทุกวัน ในสามคนนี้จะมีคนหนึ่งถูกล็อตเตอรี่รางวัลใหญ่ อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นไปได้ อาตมาขอบิณฑบาต ขอให้เลิกเสีย เพราะมันเป็นการพนัน แต่ที่ซื้อไว้แล้วก็ไม่เป็นไร เอาเถอะ ที่จะถูกน่ะ ซื้อไว้แล้ว ไม่ต้องซื้อใหม่"
บังเอิญคนทั้งสามต่างก็ซื้อไว้คนละฉบับ จึงพากันคิดว่าคนโชคดีที่ท่านพระครูพูดถึงนั้น คือตัวเขา คนเป็นครูใหญ่นั้นตั้งปณิธานไว้แล้วว่าจะเลิกอย่างเด็ดขาด ไม่ว่างวดนี้จะถูกหรือไม่ก็ตาม การได้มีโอกาสมาลิ้มรสพระธรรมในครั้งนี้ มีค่ากว่าการถูกรางวัลที่หนึ่งเป็นไหน ๆ
เวลาตีสี่ของวันรุ่งขึ้น ท่านพระครูตื่นขึ้นปฏิบัติกรรมฐานเป็นเวลาสองชั่วโมงเช่นเคย และไม่ลืมที่จะแผ่เมตตาไปให้หลวงตาเฟื่องดังที่ได้ลั่นวาจาไว้กับครูใหญ่ เมื่อคืน ก่อนจำวัด ท่านก็ได้อุทิศส่วนกุศลไปให้ภิกษุนั้นครั้งหนึ่งแล้ว ก็คงจะพอช่วยได้บ้าง แผ่เมตตาเสร็จ ท่านจึงกำหนดออกจากกรรมฐาน พอลืมตาขึ้น จึงเห็นหลวงตาเฟื่องนั่งพับเพียบพนมมือแต้อยู่ต่อหน้า
"ผมมาขอบคุณท่านพระครูที่ได้ช่วยสงเคราะห์ ผมสบายแล้ว" ภิกษุชราบอกกล่าว
"ท่านมาก็ดีแล้ว ผมอยากจะต่อว่าสักหน่อย" ท่านพระครูพูดขึ้น
"ต่อว่ามาก ๆ ก็ได้ คราวนี้ผมยอมจำนนทุกอย่าง เข็ดแล้ว ถ้าผมเชื่อท่านพระครูเสียแต่แรกก็คงไม่ลำบากถึงปานนี้" ฝ่ายนั้นรำพึงรำพัน
"เรื่องที่ผมอยากจะต่อว่าก็คือ ทำไมท่านไม่มาบอกผมตั้งแต่ทีแรก เพราะอย่างน้อยผมก็ช่วยท่านไม่ให้ต้องอด ๆ อยาก ๆ แล้วทำไมไม่มาบอกผมตรง ๆ ต้องไปผ่านทางครูใหญ่ ท่านไม่อายเขาหรือไง ที่เป็นพระ แต่ไปขอส่วนบุญจากฆราวาส มาขอจากพระด้วยกันก็ยังดี ท่านเห็นผมเป็นอะไร ถึงได้ข้ามหน้าข้ามตาไป" เจ้าของกุฏิต่อว่าต่อขานเป็นการใหญ่
"ผมกลัวท่านพระครูจะไม่อภัยให้ก็เลยไม่กล้า อีกอย่าง ผมก็อยากจะรับกรรมที่ก่อขึ้นนั้นด้วยตนเอง ก็ท่านพระครูเคยสอนไว้ไม่ใช่หรือว่า รับกรรมแทนกันไม่ได้ ใครสร้างเหตุคนนั้นก็ต้องรับผล"
"ถูกแล้ว แต่ผมหมายความว่า อย่างน้อยก็ยังช่วยให้ทุเลาเบาลางลงได้บ้าง"
"แต่ตอนนี้ท่านก็ได้ช่วยผมแล้ว ผมเป็นหนี้บุญคุณท่านพระครูมากเหลือเกิน นี่ถ้าได้ไปเกิดเป็นมนุษย์อีก ผมจะตั้งหน้าตั้งตาเจริญสติปัฏฐาน ๔ ไปจนตลอดชีวิต ผมรู้แล้วว่า การเวียนว่ายตายเกิดมันทุกข์อย่างไร ผมเห็นจะต้องลา ขอบพระคุณสำหรับผ้าไตรใหม่เอี่ยมที่ผมนุ่งห่มอยู่นี้"
พูดจบ ภิกษุชราก้มลงกราบสามครั้ง แล้วร่างนั้นก็ค่อย ๆ เลือนหายไปในความสลัวของยามอรุณ
บ่ายจัดของวันที่แปดนับแต่วันบวช ขณะที่พระบัวเฮียวกำลังเดินไปยังกุฏิท่านพระครู เพื่อให้ท่านทดสอบอารมณ์ รถตู้สีครีมใหม่เอี่ยมคันหนึ่งก็แล่นเข้าประตูวัดมา มีรถเก๋งสีฟ้าแล่นตามมาติด ๆ เมื่อรถสองคันแล่นเข้ามาจอดคู่กันที่ลานวัด บุรุษสองคนกับสตรีสามคนได้ลงมาจากรถ พระใหม่ไม่ทันได้สังเกตว่า คนไหนลงมาจากคันไหน แต่ที่จำได้แม่นยำคือ บุรุษที่เดินนำหน้าคนทั้งสี่มานั้น คือครูที่มาจากนครสวรรค์ และเพิ่งออกจากกรรมฐานกลับไปเมื่อสามสี่วันก่อน
คนทั้งห้าเดินตรงไปยังกุฏิท่านพระครูและถึงก่อนหน้าท่านเล็กน้อย เมื่อท่านไปถึงและทำความเคารพพระอุปัชฌาย์แล้ว ครูใหญ่จึงแนะนำกับคนทั้งสี่ว่า
"นี่หลวงพี่บัวเฮียว อาจารย์สอนกรรมฐานให้พ่อ"
แล้วทั้งหมดจึงก้มลงกราบสามครั้ง พระใหม่รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ คนที่เป็นครูใหญ่ยกย่องให้เกียรติท่านถึงปานนั้น อีกทั้งหญิงสาวสองคนที่มาด้วยก็สวยหยาดเยิ้มจนท่านรู้สึกขวยเขิน
"เจริญพรครูใหญ่ ครูบุญมีกับครูอรุณไม่ได้มาด้วยหรอกหรือ" ท่านพระครูทักทาย กระบวนจำชื่อคนแม่นไม่มีใครเกินท่านเจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วง
"ไม่ได้มาครับเพราะโรงเรียนเปิดแล้ว ตัวผมก็ลางานมา จะพาครอบครัวมากราบหลวงพ่อ" แล้วจึงแนะนำสมาชิกทีละคน
"คุณผ่องพักตร์แม่บ้านของผม สามคนเป็นลูกชื่อ ผ่องพรรณ วรรณวิไล ชัยชนะ อายุห่างกันคนละปี เรียนจนได้งานทำกันแล้วครับ"
ท่านพระครูกำหนด "เห็นหนอ" พิจารณาคนทั้งสี่ทีละคน แล้วพูดขึ้นว่า "นี่คนนี้ฉลาด จะได้เป็นด็อกเตอร์" ท่านชี้ไปที่วรรณวิไล หญิงสาวยิ้มอาย ๆ ยกมือขึ้น "สาธุ" พร้อมกล่าวว่า "ขอให้สมพรปากเถิดเจ้าค่ะ"
พระบวชใหม่แอบชื่นชมในใจว่า "เจ้าประคุณเอ๋ย รูปก็สวย เสียงก็ใส แถมยังความรู้สูงเสียด้วย ข้างฝ่ายพี่สาวก็สวยไม่แพ้กัน นี่ถ้าให้เราเลือกคงเลือกไม่ถูกกระมังหนอ มันเข้าทำนอง รักพี่เสียดายน้อง ครั้นจะรักน้องก็เสียดายพี่ จะเอายังไงดีวุ้ย"
ท่านพระครูแอบสำรวจความคิดของพระใหม่ เห็นกำลังฟุ้งซ่านหนัก จึงพูดขึ้นว่า
"เห็นไหมบัวเฮียว ที่ฉันบอกเธอว่าครูใหญ่ต้องกลับมาที่วัดนี้อีกภายในเจ็ดวัน ก็กลับมาจริง ๆ
"แต่หลวงพ่อบอกว่าจะถูกรางวัลที่หนึ่งด้วยนี่ครับ" พระใหม่ทักท้วง คนเป็นครูใหญ่จึงพูดขึ้นว่า
"เป็นความจริงครับ ผมกำลังจะกราบเรียนหลวงพ่ออยู่พอดี" พระอุปัชฌาย์มองหน้าลูกศิษย์เหมือนจะบอกว่า "เห็นไหมบัวเฮียว ที่ฉันพูดไว้น่ะ ผิดเสียที่ไหน"
"ผมต้องกราบขอบพระคุณหลวงพ่อที่ได้เมตตาให้ผมมีโชค" ครูใหญ่พูดพร้อมกับยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
"ไม่เกี่ยวกับอาตมาหรอกโยม" บางครั้งท่านก็เรียกครูใหญ่ว่า "โยม"
"มันเป็นโชคของโยมเอง อาตมาเพียงแต่รู้เท่านั้น ซึ่งความจริงแล้ว ไม่ว่าอาตมาจะรู้หรือไม่โยมก็ต้องถูกอยู่ดี เพราะโยมทำกรรมมาอย่างนั้น เรื่องของกรรมใครทำใครได้ ทำกรรมดีก็ได้ดี ทำกรรมชั่วก็ได้ชั่ว ลูกศิษย์ของอาตมาคนหนึ่งเขาไม่เล่นหวย ไม่เคยซื้อ ไม่ว่าจะเป็นหวยใต้ดินหรือหวยรัฐบาล แต่เมื่อถึงคราวที่กรรมดีมาให้ผล เขาก็ถูกรางวัลที่ ๑ จนได้
เรื่องมีอยู่ว่าตาขี้เมาคนหนึ่งมาอ้อนวอนขายให้เขา เพื่อจะเอาเงินไปซื้อเหล้ากิน เขาบอกไม่ซื้อ ๆ ตานั่นก็เซ้าซี้จนเขารำคาญ เลยควักเงินให้ไปสิบบาทแล้วเอาล็อตเตอรี่มา ตกเย็นล็อตเตอรี่ออก ปรากฏว่าเขาถูกรางวัลที่ ๑ เห็นไหมคนมีชี อยู่ดี ๆ ก็มีคนเอาเงินมาให้ตั้งห้าแสน
เขาก็สำนึกถึงบุญคุณตาขี้เมา ตั้งใจจะเอาเงินไปแบ่งให้บ้าง พอไปตามหาถึงได้รู้ว่า หมอนั่นช็อคตายไปแล้ว แกไปเที่ยวเร่ขายจนจำเลขได้ พอรู้ว่าถูกรางวัลที่ ๑ เกิดความเสียดาย เลยช็อค"
ท่านพระครูเล่าจบ ลูกสาวคนโตของครูใหญ่จึงถามขึ้นว่า
"แล้วแบบนี้คนที่ซื้อไปจะบาปไหมคะหลวงพ่อ"
"ไม่บาปหรอกหนู เพราะเขาไม่ได้เจตนา แล้วจิตของเขาก็ไม่มีโลภะ แต่ซื้อเพื่อตัดรำคาญ"
"ผมว่าตาขี้เมาคนนั้นไม่มีโชคมากกว่าใช่ไหมครับหลวงพ่อ" ครูใหญ่ถาม
"ก็คงเป็นยังงั้นแหละ เงินมาอยู่ในมือแล้วยังเอามายัดเยียดให้คนอื่น พูดภาษาชาวบ้านก็ว่า ดวงจะไม่ได้ใช้เงิน"
"อย่างคนที่ผมรู้จักคนหนึ่งครับหลวงพ่อ รายนี้ก็ถูกรางวัลที่ ๑ เหมือนกัน แกเอาเงินไปซื้อรถเก๋งแล้วก็ไปแต่งนางงามบ้านหมี่มาเป็นเมียน้อย ทั้งที่เมียแกยังอยู่ด้วยกัน หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่กับอบายมุข ทั้งสุรา นารี พาชี กีฬาบัตร ผลที่สุดก็เลยวิบัติ คือ ถูกหวยได้ไม่ถึงเดือนก็ขับรถไปชนกับสิบล้อตายคาที่เลยครับ" ชัยชนะเล่า
"นั่นแหละเขาเรียกว่าทุกขลาภ เพราะเขาไม่เข้าใจกฎแห่งกรรม ไม่เข้าใจว่าที่ตนร่ำรวยขึ้นมานั้นกรรมดีมันมาให้ผล แทนที่จะสร้างกรรมดีเพื่อเติมเชื้อบุญต่อไปอีก กลับไปทำบาปคือประพฤติผิดศีล ก็เลยต้องพบกับความหายนะทันตาเห็น"
"แสดงว่าคนที่มีเมียน้อยทุกคน จะต้องพบกับความหายนะใช่ไหมคะหลวงพ่อ" คุณผ่องพักตร์ถามขึ้น
"ก็คงงั้นมั้ง หรือ ครูใหญ่ว่ายังไง"
"ข้อนั้นผมไม่ทราบครับ ทราบแต่ว่าแม่บ้านผม เธอเป็นโรคหึงครับ ที่ถามหลวงพ่อเพราะแรงหึง กลัวว่าผมจะมีเมียน้อย" คนเป็นครูใหญ่ "ฟ้อง" กราย ๆ
"ผู้หญิงเป็นโรคหึงทุกคนแหละโยม ต่างกันแต่ว่าใครจะมีอาการมากน้อยกว่ากัน"
"หลวงพ่อไม่ได้เป็นผู้หญิง แล้วทราบได้อย่างไรคะว่า ผู้หญิงเป็นโรคหึงทุกคน" ผ่องพรรณถามขึ้น
"ก็หนูไม่ได้เป็นหลวงพ่อ แล้วหนูทราบได้อย่างไรล่ะจ๊ะ ว่าหลวงพ่อไม่ทราบ" ท่านพระครูถามยิ้ม ๆ หญิงสาวมิรู้จะตอบประการใด จึงหันไปสบตากับหลวงพี่บัวเฮียว หวังให้ท่านช่วย
"คุณโยมคงได้ "เห็นหนอ" น่ะครับหลวงพ่อ พระใหม่เอื้อนเอ่ยหมายจะช่วย "คุณโยม" ทว่ากลับทำให้เธองุนงงหนักขึ้น ท่านพระครูเห็นว่าเรื่องจะไปกันใหญ่ จึงวกกลับเข้ามาเรื่องเดิม
"ตกลงครูใหญ่จะใช้ชีวิตแบบที่ลูกชายเล่ามาหรือเปล่าล่ะ น่าสนุกดีเหมือนกันนะ"
"ไม่หรอกครับหลวงพ่อ ผมมันเข้าวัดเข้าวาเสียแล้ว บ้านเรามีห้าคนผมก็เอาห้าหาร ได้กันคนละแสน ทีนี้ผมก็บอกภรรยาและลูก ๆ ว่าหลวงพ่อรับนิมนต์ไปเทศน์ตามที่ต่าง ๆ อยู่เสมอ ถ้ามีรถไว้ใช้สักคันก็จะสะดวกขึ้น ผมเลยบอกจะซื้อรถตู้ถวายหลวงพ่อ พวกเขาก็ช่วยกันลงขันมาซื้อรถ แล้วยังมีเงินเหลือสำรองเป็นค่าน้ำมันอีกสองหมื่น"
พูดจลก็ถวายเงินสดและทะเบียนรถพร้อมลูกกุญแจแด่ท่านเจ้าอาวาส ท่านพระครูรับประเคนแล้ว ให้ศีลให้พรตามธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติ คนทั้งหมดรวมทั้งพระบัวเฮียวต่างพากันอนุโมทนาสาธุการ
"หลวงพ่อคงต้องหาคนขับรถสักคนหนึ่งแล้วละครับ" ครูใหญ่เสนอแนะ
"ก็มีแต่สมชายนี่แหละ ขับพอเป็นแล้ว แต่ยังไม่มีใบขับขี่"
"ไม่ยากหรอกครับหลวงพ่อ ใบขับขี่ต่างจังหวัดทำง่ายกว่าในกรุงเทพฯ เพื่อน ๆ ผมมีใบขับขี่เกือบทุกคน ทั้งที่บางคนยังขับรถไม่เป็นด้วยซ้ำ" ชัยชนะออกความเห็น
"แต่แบบนั้นไม่ค่อยดีนะเจ้าคะ เพราะนอกจากจะไม่ปลอดภัยสำหรับตัวเองแล้ว ยังอาจเป็นอันตรายต่อผู้อื่นอีกด้วย" วรรณวิไลเอ่ยขึ้น
"จริงค่ะ หนูเห็นด้วยกับน้องวรรณ อย่างเพื่อนหนูนะคะ กำลังยืนพูดโทรศัพท์อยู่ในตู้โทรศัพท์สาธารณะซึ่งตั้งอยู่ริมถนน คนที่เขากำลังคุยด้วยก็คือหนูเอง จู่ ๆ รถเก๋งคันหนึ่งก็พุ่งเข้ามาชนโครม เพื่อนหนูคอขาดกระเด็นออกมานอกตู้ซึ่งพังยับเยิน กระจกแตก คนชนก็ถูกอัดก๊อปปี้ตายคาพวงมาลัย
หนูก็แปลกใจว่าเอ....กำลังคุยกันดี ๆ ก็มีเสียงดังโครมแล้วก็เงียบหายไป เลยขับรถออกตามหา ดีที่เขาบอกชื่อถนนไว้ตอนคุยกัน พอหนูเห็นเพื่อนหนูแทบช็อคเลยค่ะ
ตำรวจสอบสวนได้ความว่า ผู้หญิงคนชนนั้นเพิ่งหัดขับรถ แถมวันนั้นแกทะเลาะกับสามีเลยขโมยรถขับไปกินเหล้า พอเมาก็ประมาทขับเสียเร็วเลยทำให้เพื่อนหนูพลอยเคราะห์ร้ายไปด้วย"
ท่าทางคนเล่ายังไม่หายหวาดเสียว แต่พระใหม่กลับเพลิดเพลินกับเสียงใส ๆ ของคุณโยมจนเผลอสติ จ้องหน้าหล่อนไม่วางตา ครั้นเมื่อหญิงสาวเล่าจบจึงถามเชย ๆ ออกมาว่า
"แล้วอย่างนี้จะเอาผิดกับใครเล่าครับหลวงพ่อ เพราะคนทำผิดก็ตายไปแล้ว"
"อ้าว...ก๊อเอาผิดกะพระบัวเฮียวน่ะซี" ท่านพระครูตอบหน้าเฉย
"ถ้างั้นหลวงพ่อก็ยุ่งแล้วละครับ เพราะถ้าพระลูกวัดถูกจับ สมภารก็ต้องถูกสอบสวนด้วย" คราวนี้คนเชยทำเป็นรู้
"งั้นครูใหญ่ช่วยไปประกันตัวให้ด้วยก็แล้วกัน ไหนว่าเป็นลูกศิษย์เป็นอาจารย์กันไม่ใช่หรือ" ท่านพระครูโยนกลองไปที่ครูใหญ่
"ครับ ไม่เป็นไร ผมประกันตัวให้หลวงพี่เอง" ครูสฤษดิ์พลอยเออออห่อหมกด้วย
"แหม...คุณก็ หลวงพ่อท่านพูดเล่น ๆ คุณก็เอาเป็นจริงเป็นจังไปได้" คุณผ่องพักตร์ปรามสามี
"คุณพ่อก็พูดเล่น ๆ นะคะคุณแม่" วรรณวิไลแก้แทนบิดา พระบัวเฮียวมีอันต้องคิดหนัก ว่าพี่น้องสองศรีคู่นี้ใครเสียงหวานกว่ากัน ก็เลยตัดสินใจไม่ได้อีกครั้ง
"กรณีของเพื่อนหนู ก็ต้องโทษว่ากรรมใช่ไหมคะหลวงพ่อ" ผ่องพรรณถาม
"แน่นอน โดยเฉพาะคนขับนั้นเป็นกรรมประเภททิฏฐธรรมเวทนียกรรม คือกรรมที่ให้ผลในชาติปัจจุบันทันตาเห็น การดื่มสุราถือว่าละเมิดศีลข้อร้ายแรงที่สุดในบรรดาศีลห้า เฉพาะทำให้ขาดสติ เมื่อขาดสติเสียแล้วก็ละเมิดศีลข้ออื่น ๆ ได้หมด อันนี้แสดงให้เห็นว่าทำชั่วได้ชั่วทันตาเห็น
ส่วนเพื่อนของหนูก็แสดงว่าต้องมีเวรมีกรรมเกี่ยวเนื่องมากับคนที่ชน คือมันต้องมีเหตุ ถ้าไม่มีเหตุมันก็ไม่มีผล หนูลองคิดง่าย ๆ ก็ได้ว่า ทำไมถึงต้องเป็นเพื่อนของหนู ทำไมไม่เป็นคนอื่น เพราะคนใช้โทรศัพท์เครื่องนี้ วัน ๆ มีมากมาย แต่ทำไมเขาไม่ถูกชน ที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาไม่ได้เป็นเจ้ากรรมนายเวรกันมา จริงไหมล่ะจ๊ะ" ท่านหันไปถามวรรณวิไล
"จริงเจ้าค่ะ เหมือนอย่างคุณพ่อกับคุณแม่ ก็คงเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันมาใช่ไหมเจ้าคะหลวงพ่อ" หญิงสาวถามหมายจะยั่วบิดาและมารดา
"แน่นอนจ้ะ ไม่เฉพาะคุณพ่อคุณแม่หรอก ถึงหนูเองก็เถอะ หลวงพ่อเห็นหมดแล้วว่าหนูจะต้องใช้เวรใช้กรรมกับคูกของหนูมากกว่านี้อีกหลายเท่า ถึงดวงการศึกษาหนูจะดี แต่ดวงคู่ครองค่อนข้างจะแย่ หนูต้องอดทนมาก ๆ ถึงจะอยู่กันได้ คู่ของหนูเข้าเป็นคนเจ้าทิฏฐิ ใจร้อน พูดก็ไม่เพราะ คือไม่เพราะแต่กับหนู แต่กับคนอื่น ๆ โดยเฉพาะสาว ๆ เขาพูดเพราะมากเชียวละ หนูก็เลยเป็นโรคหึง แล้วโรคนี้มันจะทรมานจิตใจหนูมากทีเดียว"
"เมื่อรู้อย่างนี้แล้วหนูก็ไม่แต่งกับเขาซีเจ้าคะหลวงพ่อ"
"ไม่แต่งได้แหละดี ดีมาก ๆ เชียวละ แต่ถึงเวลานั้นจริง ๆ หนูจะไม่คิดอย่างนี้ ไม่พูดอย่างนี้ หนูจะมาหาหลวงพ่อแล้วพูดว่า...หลวงพ่อเจ้าคะ หนูไม่ได้รักเค้าหรอกเจ้าคะ แต่หนูสงสารเค้าถึงได้ยอมแต่งงานด้วย จริง ๆ นะเจ้าคะ...."
"ท่านพูดเลียนเสียงวรรณวิไล ทำให้คนอื่น ๆ พากันหัวเราะทั้งหญิงสาวที่ชื่อวรรณวิไลด้วย
"แล้วเขาเจ้าชู้ไหมเจ้าคะหลวงพ่อ" หล่อนถามอีก
"จะว่าเจ้าชู้ก็ไม่เชิง แต่ผู้ชายที่พูดหวาน ๆ น่ะผู้หญิงชอบใช่ไหม นี่แหละสาวแก่แม่หมายตอมกันหึ่งเชียวละ"
"แหม หนูชักใจไม่ดีแล้วซีเจ้าคะ หนูเชื่อว่าสิ่งที่หลวงพ่อพูดจะต้องเกิดขึ้นกับหนูจริง ๆ เห็นคุณพ่อบอกว่าหลวงพ่อได้ทิพยจักษุกับเจโตปริยญาณ" ประโยคหลังหล่อนพูดตามหลักวิชาที่เคยเรียน
"จริงหรือไม่จริง หนูคอยดูไปก็แล้วกัน อีกแปดปีก็จะรู้ ถ้าไม่จริงมาต่อว่าหลวงพ่อได้" พระบัวเฮียวแอบคิดในใจว่า "เอ...เนื้อคู่ของคุณโยมจะใช่เราหรือเปล่าหนอ" ก็พอดีกับหญิงสาวถามขึ้น
"แล้วตอนนี้เจอกันหรือยังเจ้าคะ พระใหม่ตั้งใจฟังเต็มที่ หากก็ต้องผิดหวังเมื่อท่านพระครูตอบว่า
"เดินผ่านกันไปผ่านกันมาหลายครั้งแล้วที่มหาวิทยาลัย แต่ยังไม่เคยพูดกัน เขาไม่สนใจหนูหรอกเพราะเขามีคู่รักอยู่แล้ว ต้องชดใช้กรรมกับคนนั้นก่อนแล้วถึงจะมาเจอกับหนู"
"แล้วตอนนี้เขาแต่งงานกันหรือยังเจ้าคะ"
"ยัง อีกสองปีถึงจะแต่ง แต่งแล้วก็หย่ากันในปีนั้น ผู้หญิงเขาใจเด็ดทิ้งลูกทิ้งผัวไปอยู่กับชายอื่น คู่ของหนูก็เลยเป็นพ่อหม้ายลูกติด"
"ก็ดีซีเจ้าคะหนูจะได้ไม่ต้องมีลูกของตัวเอง ลูกเขาก็เหมือนลูกเราจริงไหมคะพี่ผ่อง" หล่อนหันไปถามพี่สาว
"พอถึงเวลานั้นจริง ๆ มันไม่เป็นอย่างที่หนูหวังไว้หรอกจ้ะ จำคำพูดของหลวงพ่อไว้นะจ๊ะคุณด็อกเตอร์ ว่าหนูน่ะจะต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่าเพราะสามี"
หญิงสาวกลับมีอารมณ์ขันเพราะไม่เคยจริงจังกับชีวิต แต่เล็กจนโต หล่อนได้รับความรักความอบอุ่นมาโดยตลอด ทั้งคนในครอบครัวทั้งเพื่อนฝูงต่างรักใคร่หล่อนกันทุกคน ชีวิตของวรรณวิไลจึงยังไม่รู้จักคำว่าทุกข์ ทั้งไม่เคยคิดว่าจะต้องพบกับมัน
หล่อนมิรู้ดอกว่า ความร่าเริงน่ารักและมองโลกในแง่ดีอันเป็นคุณสมบัติประจำตัวหล่อนนั้น อีกแปดปีมันจะไม่มีหลงเหลืออยู่เลย นอกจากจะไม่เหลือแล้วมันยังเปลี่ยนเป็นคุณสมบัติที่ตรงข้าม...ตรงข้ามโดยสิ้นเชิง อีกแปดปีหล่อนจะต้องมานั่งร้องไห้คร่ำครวญต่อหน้าพระภิกษุรูปนี้ หล่อไม่รู้ แต่ท่านพระครูท่านรู้
"ก็แล้วแต่จังหวะจ้ะ หัวเข่าหนูน่ะแน่ ๆ อยู่แล้ว แต่ถ้าวันไหนโชคร้ายหน่อยก็จะเป็นหัวเข่าเขา ทำหัวเราะไปเถอะแล้วหลวงพ่อจะคอยดู"
"ถึงขนาดนั้นเชียวหรือคะหลวงพ่อ" คุณผ่องพักตร์รู้สึกเป็นห่วงลูกสาวคนเล็ก
"ก็เขาทำกรรมมาอย่างนั้นนี่โยม" ท่านพระครูตอบ
"คนมีการศึกษาเขาจะทำกันถึงขนาดนั้นเชียวหรือคะหลวงพ่อ" เธอคัดค้าน
"การศึกษาไม่เกี่ยวหรอกโยม ที่อาตมาเห็น ๆ มาน่ะ ขนาดจบปริญญาโท ปริญญาเอก ยังเตะกันตกบ้านไม่รู้กี่คู่ต่อกี่คู่" คราวนี้มารดาของวรรณวิไลนั่งเงียบกริบ นึกสงสารบุตรสาวที่จะต้องมารับกรรมทั้งที่อะไร ๆ ก็ดีมาโดยตลอด ท่านพระครูรู้จึงพูดปลอบว่า"
"ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอกโยม ขอให้ถือว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม อาตมาเองก็ชดใช้กรรมมามากต่อมาก หนักกว่าลูกสาวโยมหลายเท่านัก คิดเสียว่าใช้ ๆ กันเสียให้หมด จะได้ไม่ต้องมีเวรมีกรรมต่อกันอีก"
"ดิฉันห่วงลูกสาวน่ะค่ะ"
"ห่วงเขาทำไมกันเล่า กรรมใครใครก็ใช้ แต่ไม่นานหรอกโยม เก้าปีหลังจากแต่งงานเขาก็จะสบาย คู่ของเขานั้นโดยเนื้อแท้ก็เป็นคนดี แต่ต้องมีเรื่องระหองระแหงกันจนหาความสุขไม่ได้ก็เพราะกรรมเก่า ก็ทำกับเขวไว้มากนี่นา"
ท่านหันไปทางวรรณวิไล เห็นกฎแห่งกรรมของหล่อนอย่างถ้วนทั่ว ทว่าเจ้าตัวกลับไม่รู้ไม่เห็นกรรมของตัวเอง
ฟังเขาคุยกันแล้วพระบัวเฮียวจึงรู้ว่า คู่ของวรรณวิไลไม่ใช่ท่าน ภิกษุหนุ่มจึงย้ายความหวังไปไว้ที่คนเป็นพี่สาวของหล่อน พอดีที่ผ่องพรรณถามขึ้นว่า
"หลวงพ่อคะ แล้วหนูพบเนื้อคู่หรือยังคะ" พระใหม่ใจเต้นระริกด้วยหวังจะได้ยินคำตอบว่า "พบแล้วจ้ะ ตอนนี้ยังบวชเป็นพระอยู่" ใจแทบหยุดเต้นเมื่อท่านพระครูตอบว่า
"จะมีเนื้อคู่สักกี่คนกันล่ะจ๊ะ ก็เพิ่งแต่งงานเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี่เอง รถคันที่ขับมาก็ไม่ใช่ที่สามีเขาซื้อให้หรือจ๊ะ"
พระบัวเฮียวหน้าซีดลงทันใด รู้สึกวาบหวิวคล้ายจะเป็นลม เพราะต้องพบกับความผิดหวังถึงสองครั้งสองคราติด ๆ กัน ใจหนึ่งท่านพระครูอยากจะสมน้ำหน้า แต่อีกใจก็นึกสงสาร จึงพูดเป็นเชิงปลอบโยนว่า
"แต่บางคนก็โชคดีที่เกิดมาไม่มีเนื้อคู่ ไม่ต้องไปใช้เวรใช้กรรมกับใคร อย่างพระบัวเฮียวนี้ ดวงจะต้องบวชตลอดชีวิต และจะมีความสุขกว่าคนครองชีวิตคู่"
"ผมขออนุโมทนาด้วยครับ" ครูใหญ่ยกมือขึ้น "สาธุ" แล้วพูดต่ออีกว่า "บุญของท่านเหลือเกินที่ไม่ต้องมารับผิดชอบชีวิตใคร ๆ ผมเข็ดแล้ว กว่าลูกจะโต จะเรียนจบ ผมลำบากแทบเลือดตากระเด็น ถ้ากลับไปเป็นโสดได้อีกครั้ง ผมจะขอบวชไปจนตลอดชีวิต"
ภิกษุหนุ่มฟัง "ศิษย์อาวุโส" ของท่านพูดแล้วก็มีกำลังใจขึ้น พระอุปัชฌาย์รู้จึงเสริมอีกว่า
"ถ้าชีวิตการครองเรือนให้ความสุขได้จริง เจ้าชายสิทธัตถะก็คงไม่สละราชสมบัติออกผนวชหรอก อยากรู้ไหมว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวอาตมาจะหาหลักฐานมายืนยัน"
ท่านลุกขึ้นเดินไปที่ตู้พระไตรปิฎก หยิบเล่มที่ต้องการออกมาแล้ว จึงกลับมานั่งที่เดิม
นี่ พระพุทธองค์ทรงแสดงโทษของกามไว้ในเล่มนี้" พูดพลางส่งคัมภีร์เล่มใหญ่ และบอกให้เปิดไปหน้า ๓๖๐
"ไหนลองอ่าน ซัคควิสณสุตตนเทศ ตั้งแต่ข้อ๗๖๔ - ๗๖๖ ให้พรรคพวกฟังซิ" ครูสฤษดิ์จึงต้องอ่านด้วยเสียงที่ทุกคนได้ยินกันทั่วกันว่า
"...ข้อ ๗๖๔ กามนี้เป็นเครื่องข้องมีความสุขน้อย มีทุกข์มาก บุคคลผู้มีปัญญารู้ว่ากามนี้เป็นดังฝี ดังนั้น แล้วพึงเที่ยวไปผู้เดียว เหมือนนอแรดฉะนั้น
ข้อ ๗๖๕ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สุขโสมนัสใด อาศัยกามคุณ ๕ ประการนี้เกิดขึ้น สุขโสมนัสนั้นแลเรากล่าวว่า กามสุข กามสุขชุดนี้ กามสุขนี้เลว กามสุขนี้ลามก กามสุขนี้ให้เกิดทุกข์ กามนี้เป็นเครื่องช้อง มีความสุขน้อย
ข้อ ๗๖๖...คำว่ากามนี้มีความยินดีน้อย มีความทุกข์ยาก กามทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสว่ามีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก มีโทษมาก
กามทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส เหมือนโครงกระดูก...เหมือนชิ้นเนื้อ...เหมือนคบเพลิง...เหมือนหลุมถ่านเพลิง...เหมือนความฝัน...เหมือนของที่ยืมเขามา...เหมือนผลไม้...เหมือนดาบ และสุนัขไล่เนื้อ...เหมือนหอกและหลาว...เหมือนศีรษะงูเห่า...มีทุกข์มาก มีความยินดีน้อย มีความคับแค้นมาก มีโทษมาก เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า กามนี้มีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก...
ครูใหญ่อ่านจบ ท่านพระครูจึงถามขึ้นว่า
"เป็นยังไง ซาบซึ้งหรือยัง เห็นแล้วใช่ไหมว่าเป็นพระนั้นได้เปรียบกว่าเป็นฆราวาสเป็นไหน ๆ"
"แหม...หนูชักอิจฉาหลวงพ่อกับหลวงพี่แล้วซีเจ้าคะ ถ้าหนูเป็นผู้ชายคงต้องขอบวชแน่ ๆ เลย" วรรณวิไลพูดขึ้น หล่อนเป็นคนอ่อนไหวง่าย จึงซาบซึ้งและซึมซับอะไร ๆ ได้รวดเร็วกว่าคนอื่น ๆ
"เป็นผู้หญิงก็บวชได้ คือบวชใจยังไงล่ะ บางคนกายบวชแต่ใจไม่ได้บวช เช่น พวกที่อาศัยผ้าเหลืองหากิน คนพวกนี้เขาเรียกว่า ตัวเป็นพระแต่ใจเป็นมาร"
"บวชใจทำอย่างไรคะหลวงพ่อ" ถามอย่างสนใจ
"ก็เจริญสติปัฏฐาน ๔ เหมือนที่คุณพ่อหนูเขาปฏิบัตินั่นยังไงล่ะ"
"ถ้าเช่นนั้น ปิดเทอมหน้าหนูจะมาอยู่วัดสักเจ็ดวันนะคะคุณพ่อ" หล่อนบอกบิดา
"ดีแล้วลูก เผื่อกรรมมันจะได้เบาบางลง" ครูใหญ่สนับสนุน
"หลวงพ่อคะ แล้วชีวิตครอบครัวของหนูจะดีไหมคะ" ผ่องพรรณถามขึ้นบ้าง ฟังเรื่องราวของน้องสาวแล้วหล่อนพลอยใจไม่ดีไปด้วย วรรณวิไลทั้งสวยทั้งเก่ง ไม่น่าจะต้องมีกรรมอะไรหนักหนา
"ดีจ้ะ ตอนนี้ดีเพราะกำลังข้าวใหม่ปลามัน แต่ต่อไปแย่หน่อย เพราะสามีเขาจะเลี้ยงหนูด้วยลำแข้งชนิดซี่โครงเหน็บข้างฝาเชียวละ รู้สึกจะหนักกว่ารายน้องสาวด้วยซ้ำ เพราะสามีหนูเขาเจ้าชู้ พอไปเจอคนใหม่ก็เบื่อคนเก่า" ท่านพระครูบอกไปตามที่ได้เห็นกฎแห่งกรรมของสองพี่น้อง
"ลูกสาวดิฉันโชคร้ายทั้งสองคนเลยหรือคะหลวงพ่อ" คุณผ่องพักตร์ถาม รู้สึกหดหู่เศร้าหมองด้วยสงสารลูก
"อย่าไปคิดอะไรมากเลยโยม ทุกคนมีกรรมเป็นของตน เรื่องของกรรมเก่าก็ต้องชดใช้กันไป อย่าไปสร้างกรรมใหม่ขึ้นมาอีกแล้วกัน ชีวิตการครองเรือนก็เป็นอย่างนี้ สุขบ้างทุกข์บ้างปะปนกันไป"
หลวงพ่อคะ แล้วหนูพอจะมีทางทำให้กรรมเบาบางลงบ้างไหมคะ" ผ่องพรรณถาม หล่อนเริ่มวิตกกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
"จะกังวลล่วงหน้าไปทำไมเล่าหนู อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เราต้องกล้าเผชิญกับความจริง การจะให้กรรมเบาบางลงมีวิธีเดียวคือมาเข้ากรรมฐานที่วัดนี้สักเจ็ดวันเป็นอย่างน้อย"
"สามีหนูไม่ยอมให้มาแน่ ๆ ค่ะ ตั้งเจ็ดวัน นี่หนูขอมาหาคุณพ่อคุณแม่วันเดียวเขายังไม่ค่อยพอใจ"
"ใช่ซีจ๊ะ ก็กำลังรักอยู่นี่ เขาไม่อยากให้คลาดสายตาสักเวลานาทีเอาเถอะ แล้วหนูจะได้มาอยู่วัดตอนที่เขาเบื่อหนูแล้ว ถึงเวลานั้นหลวงพ่อคงจะช่วยแนะนำได้บ้าง"
"หนูต้องกราบขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ" พูดจบจึงก้มกราบสามครั้ง เป็นการฝากเนื้อฝากตัว คุยกันอีกพักใหญ่ ๆ คนทั้งห้าจึงลากลับ ท่านพระครูย้ำเตือนสตรีทั้งสองว่า
"อย่าลืมมาเข้ากรรมฐานนะหนูนะ แล้วก็ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก รู้ไว้ดีกว่าไม่รู้ ที่หลวงพ่อบอกก็เพื่อจะให้หนูตั้งสติได้เมื่อพบกับเหตุการณ์อย่างนั้น จะได้ไม่ตกใจเกินไป อย่าลืมว่าใช้ ๆ ให้หมดกันไปเสียแล้วก็อย่างไปสร้างกรรมใหม่"
ท่านจำเป็นต้องบอกต้องพูด เพราะคนส่วนมากเมื่อประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ต่างผลุนผลัน พากันฆ่าตัวตายบ้าง ฆ่าคนที่ทำให้ตัวเองเจ็บช้ำบ้าง ด้วยคิดว่าเป็นทางหนีทุกข์ แต่ข้อเท็จจริงนั้นนอกจากจะหนีทุกข์ไปไม่ได้แล้วยังทำให้เพิ่มทุกข์ผูกเวรกันหนักขึ้นไปอีก
"จำไว้นะหนูนะ" ท่านย้ำเตือนอีกครั้ง
"เจ้าคะ"
"ค่ะ" สตรีทั้งสองรับคำพร้อมกับก้มลงกราบท่านพระครูและหลวงพี่บัวเฮียว แล้วจึงเดินไปยังลานจอดรถที่บิดามารดาและน้องชายรออยู่






เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2012, 04:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


.. อนุโมทนาแล้วๆๆ ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2012, 09:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


พระบัวเฮียวมองตามรถเก๋งคนงามที่กำลังเคลื่อนตัวช้า ๆ ออกจากลานวัด มุ่งสู่ถนนสายเอเชีย โดยมีผ่องพรรณทำหน้าที่เป็นคนขับ
"จ้องตาไม่กระพริบเชียวนะ" เสียงพระอุปัชฌาย์ค่อนขอด
"โธ่...หลวงพ่อ ก็ผมสงสารเขานี่ครับ" คนเป็นศิษย์ว่า
"อ้อ...สงสารเลยมองตามตาละห้อยเลย"
"ไม่สงสารได้ไงล่ะครับหลวงพ่อ ผู้หญิงหน้าตาสวย รวยความรู้ แต่ต้องมามีเวรมีกรรม" พระใหม่พูดจากใจจริง
"เธอเลือกสงสารแต่คนสวย ๆ งั้นหรือ" ท่านพระครูไม่วายยั่ว
"ก็ไม่เชิงหรอกครับ หรือว่าหลวงพ่อไม่สงสารเขา"
"ทำไมจะไม่สงสาร ก็ที่ฉันยอมตรากตรำทำงานจนลืมกินลืมนอนอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่เพราะความสงสารหรอกหรือ เธอจำไว้นะบัวเฮียว ว่าทั้งคนทั้งสัตว์ที่เกิดมาในโลกนี้ ล้วนน่าสงสารด้วยกันทั้งนั้น เมื่อเขามีทุกข์เราพอจะช่วยได้ก็ต้องช่วยไม่ว่าเขาจะเป็นใคร มาจากไหน จะสวยหรือไม่สวยก็ตาม เข้าใจหรือยัง"
"หมายความว่า เราต้องเป็นกัลยาณมิตรสำหรับทุกคนใช่ไหมครับ"
"ถูกแล้ว ต้องอย่างนี้ถึงจะเป็นศากยบุตรขนานแท้ เธอรู้ไหม เสด็จพ่อของพวกเรา ทรงเรียกพระองค์เองว่า เป็นกัลยาณมิตรของสัตว์ทั้งหลาย เพราะพระองค์ทรงเมตตาต่อสรรพสัตว์อย่างเสมอหน้ากัน มิได้เลือกที่รักมักที่ชังแต่ประการใด"
"หลวงพ่อครับ ที่ผมสงสารสองพี่น้องนั้นไม่ได้แปลว่าผมเลือกที่รักมักที่ชังอะไร เพียงแต่ผมคิดว่าคนที่มีบุญแล้วไม่น่าจะต้องมีกรรม" พระบัวเฮียวชี้แจง
"นั่นเพราะเธอยังไม่เข้าใจความหมายของกรรมอย่างถ่องแท้ ฟังให้ดีนะฉันจะอธิบายให้ฟัง คำว่า กรรม หมายถึง การกระทำที่มีเจตนาเป็นพื้นฐาน ถ้าเจตนาดีกรรมนั้นก็เป็นกรรมดี ถ้าเจตนาชั่วกรรมนั้นก็เป็นกรรมชั่ว ดังนั้นกรรมจึงมีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว แต่คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจกรรมไปในทางลบ คือไปเข้าใจว่า คือ บาป หรือ ความชั่ว และที่ว่า...สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม...ก็หมายความว่า ใครทำกรรมดีก็ย่อมได้รับผลดี ทำกรรมชั่วก็ย่อมได้รับผลชั่ว เพราะกรรมย่อมเกิดจากผู้กระทำ เหมือนสนิมเหล็กเกิดจากเหล็ก ฉะนั้นถ้าไม่มีผู้กระทำ กรรมก็ไม่มี อย่างแม่หนูสองคนนั้น ถ้าเขาไม่ทำกรรมเขาก็ไม่ต้องรับผลของมัน" ท่านพระครูอธิบายละเอียดชัดเจน
"หลวงพ่อพูดราวกับว่าคนเราเลือกที่จะทำกรรมได้อย่างนั้นแหละครับ"
"ก็ทำไมจะเลือกไม่ได้เล่า จริงอยู่ กรรมในอดีตเราเลือกไม่ได้ เพราะมันผ่านพ้นไปแล้ว เราต้องชดใช้ไปตามหน้าที่ แต่กรรมในปัจจุบันเราเลือกได้ บางคนไม่เข้าใจเรื่องนี้ จึงปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามยถากรรมโดยไม่แก้ไขปรับปรุง อย่างเช่นคนขี้เหล้าเมายาก็ไปโทษว่า เพราะเป็นกรรมจึงเลิกไม่ได้ อันนี้เป็นข้อแก้ตัวเสียมากกว่า เพราะถ้าเขาตั้งใจที่จะเลิกจริง ๆ เขาก็เลิกได้ หรืออย่างคนที่เกิดมาจน เพราะกรรมเก่าส่งผล เนื่องจากชาติก่อน ๆ เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น ไม่ทำบุญบริจาคทาน เมื่อทำเหตุไว้ไม่ดีก็ต้องรับผลไม่ดี ถ้าเขาคิดว่าเพราะกรรมจึงทำให้เกิดมายากจนแล้วเลยงอมืองอเท้าเกียจคร้าน ไม่ขวนขวายทำมาหากิน เขาก็ต้องจนอยู่อย่างนั้น"
"แปลว่าเขาต้องฝืนดวงใช่ไหมครับ คือต้องขยันหมั่นเพียรในการประกอบอาชีพ เป็นการสร้างกรรมใหม่ในทางที่ดี ที่เป็นกรรมเก่าก็ชดใช้ไปแล้ว คือการเกิดมายากจนขัดสน อย่างนั้นใช่ไหมครับ"
"ถูกแล้ว แต่ถ้าเขาขยันหมั่นเพียรจนร่ำรวยขึ้นมา ก็ยังตระหนี่ถี่เหนียว ไม่ทำบุญบริจาคทาน ชาติต่อไปเขาก็ต้องยากจนขัดสนอีก" เงียบกันไปครู่หนึ่ง พระบัวเฮียวจึงถามขึ้นว่า
"หลวงพ่อครับ แล้วเรื่องคุณโยมสองคนนั่นมีทางจะแก้กรรมไหมครับ"
"มี แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่า เขามีความอดทนพอไหม มีความเพียรถึงขึ้นหรือเปล่า วิธีแก้กรรมที่ดีที่สุดคือการเจริญสติปัฏฐาน ๔ เช่นที่เธอปฏิบัติอยู่นั่นแหละ แต่ตอนนี้เขายังไม่สนใจเพราะยังไม่เห็นทุกข์ อีกแปดปีคนน้องจะแต่งงานแล้วก็จะเห็นทุกข์ ถึงตอนนั้นเขาจะนึกถึงฉันและมาให้ฉันช่วย คนพี่ก็เหมือนกัน"
"แต่คนน้องเขาบอกจะมาปิดเทอมหน้า ไม่ใช่หรือครับ" พระบัวเฮียวติง
"เขาตั้งใจอย่างนั้นจริง แต่เชื่อสิว่าเขามาไม่ได้หรอก เพราะยังไม่ถึงเวลาของเขา ต้องรออีกแปดปีถึงมาได้"
"หลวงพ่อครับ คุณโยมคนน้องทำกรรมอะไรไว้ครับถึงต้องมาเป็นอย่างนี้" ถึงอย่างไรพระใหม่ก็ยังไม่วายสงสัย เดี๋ยวนี้ท่านบอกตัวเองได้แล้วว่า คนน้องน่าสนใจกว่าคนพี่ด้วยเหตุว่าเธอยังโสด หน้าตาของเธอสะสวย สดใส ไม่ช้าไม่นานจะต้องเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อยเพราะโศกศัลย์ น่าสงสารแท้
"มันพูดยาก ถ้าจะว่าไปแล้วมันมาจากทั้งกรรมเก่าและกรรมใหม่ กรรมเก่านั้นแก้ไขไม่ได้ คือ แม่หนูวรรณวิไลกับผู้ชายคนนั้น เคยทำกรรมร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน ยังไงเสียชาตินี้จะต้องมาอยู่ด้วยกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนกรรมใหม่ก็คือเรื่องโรคหึงกับเรื่องลูกเลี้ยง แม่หนูคนนี้เขามาแปลกตรงที่อยากแต่งงาน แต่ไม่อยากมีลูก เลยคิดจะเลี้ยงลูกเขาให้เหมือนลูกตัว แต่ทีนี้มันไม่เป็นยังงั้น เพราะเด็กคนนี้แกก็มีกรรมของแกคือแกอยากดีแต่ไม่ยอมฝืนใจตัวเอง อย่าลืมนะบัวเฮียว การทำความดีจะต้องฝืนใจ ถ้าฝืนใจไม่ได้ทำความดีไม่ได้ เพราะธรรมชาติของคนนั้นมักจะตามใจตัวเอง ซึ่งก็คือตามใจกิเลสตัณหา แล้วเธอคิดว่ากิเลสตัณหามันพาเราไปทางดีหรือทางชั่ว" ท่านถาม
"ทางชั่วครับ"
"นั่นแหละ ถ้าใครฝืนใจตัวเองไม่ได้ก็เป็นคนดีไม่ได้ ยกตัวอย่างง่าย ๆ เอาเรื่องใกล้ ๆ ตัวเรานี่แหละ ไหนบอกมาซิว่าตอนตี ๔ เธออยากนอนต่อหรืออยากลุกขึ้นมาปฏิบัติกรรมฐาน"
"อยากนอนต่อครับ"
"แล้วนอนหรือเปล่า"
"ไม่นอนครับ ผมฝืนใจลุกขึ้นมาปฏิบัติกรรมฐาน เพราะผมอยากเป็นคนดีครับ การทำความดีต้องฝืนใจ" พระใหม่ตอบฉะฉาน เงียบกันไปครู่หนึ่ง พระบัวเฮียวก็ถามขึ้นอีกว่า
"หลวงพ่อครับ แล้วคุณโยมคนน้องทำกรรมอะไรไว้อีกครับ"
"ปกติคนเราก็ทำกรรมอยู่ตลอดเวลานั่นแหละบัวเฮียว สุดแล้วแต่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว นี่เรายังไม่พูดลึกเข้าไปถึงกรรมอีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่ากรรมกลาง ๆ คือกรรมไม่ดีไม่ชั่วหรอกนะ เรื่องนั้นมันลึกซึ้ง เอาเป็นว่าขณะนี้เรารู้จักแต่กรรมดีกับกรรมชั่วก็พอ การทำกรรมนั้นไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว ถ้ามันแรงมันก็จะให้ผลทันตาเห็นในชาตินี้ อย่างหนูวรรณวิไลเขาเป็นโรคหึงรุนแรงมากก็เลยทุกข์มาก ซึ่งข้อนี้เขาแก้ไขได้แต่ไม่ยอมแก้ไข จะโทษฝ่ายหญิงข้างเดียวก็ไม่ถูกนัก เพราะผู้ชายที่จะมาแต่งงานกับเขานั้นเป็นคนชอบทำให้เมียหึง เห็นเมียหึงแล้วเขามีความสุข คือเป็นความสุขของผัว แต่เป็นความทุกข์ของเมีย"
"แปลว่าถ้าคุณโยมเขาไม่หึง เขาก็ไม่มีความทุกข์ใช่ไหมครับ"
"แน่นอน"
"ถ้าผมเป็นเขา จ้างผมก็ไม่หึง เรื่องอะไรจะทำให้ตัวเองทุกข์"
"เธอไม่ได้เป็นเขา เธอก็พูดได้ ลองเธอไปเป็นเขาดูบ้าง ก็ต้องทำอย่างที่เขาทำ เชื่อไหมล่ะ"
"เชื่อก็ได้ครับ"
"ไม่เชื่อก็ไม่ว่าอะไรนะ"
"เชื่อดีกว่าไม่เชื่อครับ เป็นลูกศิษย์ไม่เชื่ออาจารย์ แล้วจะไปเชื่อใครที่ไหน ผมไม่อยากเป็นคนอกตัญญูหรอกครับหลวงพ่อ"
"ดี คิดอย่างนั้นได้ก็ดี"
"ขอบคุณครับ"
"ขอบคุณเรื่องอะไร" ท่านพระครูไม่เข้าใจ
"ก็ขอบคุณที่หลวงพ่อชมว่าผมดีน่ะซีครับ"
"ฉันไปชมเธอตั้งแต่เมื่อไหร่" ท่านนึกไม่ออกจริง ๆ
"เมื่อกี้นี้เอง แหม...หลวงพ่อไม่น่าลืมง่ายอย่างนี้เลย ก็ที่...ที่หลวงพ่อพูดว่า ดี คิดอย่างนั้นได้ก็ดี หลวงพ่อว่าดีน่ะไม่ใช่ชมผมหรือครับ" คราวนี้ท่านพระครูถึงรูว่าตกหลุมพรางของพระบัวเฮียวเข้าแล้ว ครั้นจะพูดโต้ตอบไปก็เกรงจะขายหน้า เพราะเดี๋ยวนี้ลูกศิษย์ของท่านชักมีเล่ห์เหลี่ยมมาขึ้นทุกวัน จนท่านตามไม่ทัน ทางที่ดีที่สุดคือนิ่งเสีย
"แต่เอ...หลวงพ่อครับ" พระใหม่เพิ่งจะนึกได้ว่าเรื่องที่ตนกำลังพูดถึงอยู่นั้น ไม่เกี่ยวกับกาย เวทนา จิต ธรรม ดังที่พระอุปัชฌาย์เคยสอน
"นี่เรากำลังเผลอสติหรือเปล่าครับ ที่พูดเรื่องของคนอื่น เพราะมันไม่เกี่ยวกับสติปัฏฐานข้อใดเลย"
"ทำไม่จะไม่เกี่ยว นี่แหละจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานละ เพราะถ้าเรามีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ว่าเรากำลังพูดเรื่องอะไรก็เท่ากับเรารู้ในขณะนั้น ๆ ว่าจิตของเราปราศจากโมหะ เธอรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาในขณะที่คุยหรือเปล่าเล่า"
"บางครั้งก็รู้ แต่บางครั้งก็เผลอไปเหมือนกันครับ" พระบัวเฮียวตอบตามตรง
"แสดงว่าเธอยังฝึกสติไม่ถึงขั้น จะต้องใช้ความเพียรอีกมาก เรื่องที่เรากำลังคุยอยู่นี้ไม่เรื่องเหลวไหลไร้สาระ เพราะฉันกำลังจะบอกเธอว่า หนูวรรณวิไลนี่แหละจะมาเป็นกำลังสำคัญช่วยฉันเผยแผ่คำสอนของพระพุทธองค์ ฉันกับเขาเคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาแต่ชาติปางก่อน ชาตินี้ก็ต้องมาช่วยเหลือกันอีก" พระใหม่ทำตาลุก พูดตะกุกตะกักว่า "หมาย...หมายความว่า...หลวงพ่อ...กับ...เอ้อ...โยมวรรณวิไลเคย...เคยเป็น...."
"ไม่ใช่ ไม่ใช่ยังงั้น อย่าเข้าใจผิด" ท่านพระครูรีบปฏิเสธ ด้วยรู้ว่าพระบัวเฮียวเข้าใจไปอีกทางหนึ่ง
"เอาละ เมื่ออยากจะรู้ก็จะบอก แต่เธอต้องไม่เอาไปพูดต่อนะ ใครเขาไม่เชื่อจะเป็นบาปเป็นกรรมของเขาเปล่า ๆ เรื่องนี้ฉันยังไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อน เธอรับปากได้ไหมล่ะว่าจะไม่ไปเล่าต่อ"
"ได้ครับ คนอยากรู้รับคำหนักแน่น ท่านพระครูหลับตาเพื่อลำดับเรื่องราวแล้วจึงเริ่มต้นเล่า
"ชาติที่แล้ว ฉันเป็นแม่ทัพสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย หนูวรรณวิไลเป็นทหารคนสนิทของฉัน ในชาตินั้นเขาชื่อนายจันสม"
"แล้วหลวงพ่อชื่ออะไรครับ"
"อ้าว...ก็ชื่อเจริญน่ะซี นี่เธอยังไม่รู้จักชื่อฉันหรอกหรือ" ถึงคราวที่ต้องแก้เผ็ด ท่านพระครูก็ต้องทำไปตามหน้าที่
"ผมหมายถึงชื่อของหลวงพ่อเมื่อชาติที่แล้วน่ะครับ" พระใหม่อดคิดไม่ได้ว่า "กรรมช่างให้ผลรวดเร็วเหลือเกิน หลวงพ่อท่านฉลาดหลักแหลมไปเสียทุกด้าน เราอยู่ใกล้ท่าน ยังรู้ตัวเองว่าฉลาดขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้เศษธุลีของท่าน ดูสิ...เมื่อกี้เราหลงลำพองคะนองใจ ว่าเถียงชนะท่าน ยังไม่ทันถึงห้านาทีลับแพ้อย่างไม่เป็นท่า"
"อันนี้บอกเธอไม่ได้จริง ๆ ที่บอกไม่ได้เพราะมันถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ฉันไปพิสูจน์มาแล้วที่หอสมุดแห่งชาติ มีชื่อฉันอยู่ด้วยในฐานะเป็นแม่ทัพก่อนกรุงแตก"
"ถ้าอย่างนั้นนิมนต์เล่าต่อเถิดครับ"
"ฉันกับนายจันสม เคยออกรบด้วยกันหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายเมื่อปี ๒๓๑๐ ก่อนหน้ากรุงแตกเล็กน้อย กองทัพของฉันพ่ายแพ้แก่พม่า เพราะขาดขวัญและกำลังใจ ฉันบอกให้นายจันสมหนีเอาตัวรอด ครั้งแรกเขาจะไม่หนี ฉันก็ให้เหตุผลว่าถ้าไม่หนีก็ต้องตาย แต่ถ้าหนีอาจจะไปรวบรวมสมัครพรรคพวกมากู้ชาติบ้านเมืองได้ในภายหลัง เขาก็เลยหนีขึ้นไปทางนครสวรรค์ ต้องตกระกำลำบากมาก จึงรำพึงกับตัวเองว่าเกิดเป็นชายชาติทหารต้องทุกข์ยากลำบากแสนสาหัส ชาติหน้าขอให้เกิดเป็นผู้หญิง เขาเลยไปตายที่นครสวรรค์แล้วก็ได้เกิดเป็นผู้หญิงสมใจ เนื่องจากเขากับฉันยังมีจิตผูกพันห่วงหากัน ก็ต้องได้มาพบกันอีก มาช่วยเหลือเกื้อกูลกันอีก"
"แล้วหลวงพ่อหนีมาที่นี่หรือครับ"
"ฉันเป็นถึงแม่ทัพ ถ้าหนีก็เสียชื่อหมด ฉันรบกับพม่ากระทั่งขาดใจตายแต่ฉันก็ตายอย่างมีสติ ขออโหสิกรรมกับคนที่ฉันฆ่า และอโหสิกรรมให้คนที่ฆ่าฉัน เพราะถือว่าเราต่างทำตามหน้าที่ ไม่ได้มีความอาฆาตมาดร้ายกันเป็นการส่วนตัวก็เลยไม่บาปมาก ฉันไปชดใช้กรรมอยู่ ๑๖๑ ปี จึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์อีก เธออย่าถามนะว่าไปใช้กรรมอยู่ที่ไหนอย่างไร มันเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ฉันจึงไม่บอกเธอ"
"แล้วคุณโยมเขาทราบไหมครับ ว่าเคยเกิดร่วมชาติมากับหลวงพ่อ"
"ไม่ทราบ แล้วเธอก็ไม่ต้องไปบอกเขาล่ะ"
"ครับ ผมรับรองว่าไม่บอก แล้วเนื้อคู่ของคุณโยมเมื่อชาติที่แล้วเป็นอะไรครับ"
"ก็เป็นเมียนายจันสม ถูกผัวซ้อมเป็นประจำ แกก็อาฆาต บอกชาติหน้าขอให้เกิดเป็นผู้ชาย จะได้แก้แค้น ก็มาตามล้างตามแค้นกันจนได้ ยังกะเรื่องนวนิยายนะเธอนะ"
"ครับ ผมว่านวนิยายก็คงมาจากเรื่องจริงนั่นแหละครับ"
"คงงั้นมั้ง เธอเห็นหรือยังล่ะว่า ชีวิตคนเราต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ ฉันถึงเบื่อหน่ายการเกิด ไม่อยากเกิดอีกเลยแม้แต่ชาติเดียว"
"การที่พระพุทธเจ้ามาบวชก็เพราะท่านเบื่อหน่ายการเกิดใช่ไหมครับ"
"ถูกแล้ว เมื่อพระองค์ตรัสรู้และได้ญาณ ๓ แต่ไหนเธอตอบมาก่อนว่า ญาณ ๓ มีอะไรบ้าง"
"ญาณ ๓ หรือ วิชชา ๓ หรือ เตวิชชา ใช่ไหมครับ"
"นั่นแหละ จำได้หรือเปล่าว่ามีอะไรบ้าง ฉันเพิ่งสอนเธอไปเมื่อวานนี้เอง"
"จำได้ครับ ญาณ ๓ ได้แก่ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ จุตูปปาตญาณ และ อาสวักขยญาณ ครับ"
"ดีมาก ลองแปลให้ฟังซิว่า แต่ละญาณ มีความหมายอย่างไร"
"แปลไม่ได้ครับ"
"ทำไมถึงไม่ได้ล่ะ"
"ก็หลวงพ่อยังไม่ได้สอนแปลนี่ครับ"
"อ้าว...ก็เห็นเธอไม่ถาม ฉันก็นึกว่าเธอรู้"
"บางทีไม่รู้ แต่ผมก็ไม่ถามครับ"
"ก็ดี งั้นฉันก็จะไม่บอก เอาไวเธอไปศึกษาเอาเอง"
"โธ่...บอกเถอะครับหลวงพ่อ ผมไหว้ล่ะ" แล้วทำไหว้ประหลก ๆ
"ไม่บอกแน่นอน ฉันบอกว่าไม่บอกก็ไม่บอก ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าเมื่อบอกเธอแล้ว เธอก็ต้องย้อนว่า...ไหนหลวงพ่อว่าจะไม่บอกไงละครับ แล้วบอกทำไม่...จริงไหม" คนเป็นศิษย์เลยได้แต่ยิ้มแหย ๆ เพราะตั้งใจไว้อย่างนั้นจริง ๆ
"เอาละ ทีนี้ก็มาต่อเรื่องที่พูดค้างเอาไว้ คือเมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้และได้ญาณ ๓ ทรงเห็นทุกข์ของการเวียนว่ายตายเกิดอย่างแจ่มแจ้ง ทั้งของพระองค์เองและของสรรพสัตว์ เวลาพระองค์สอนก็ย้ำเสมอ โดยทรงอุปมาอุปไมยว่า...ในพื้นปฐพีนี้ไม่ว่าจะเอาเข็มแทงลงไป ณ ที่ใด ก็ไม่พ้นหลุมศพของตถาคต หากเอากระดูกในแต่ละชาติมากองรวมกัน ก็จะสูงกว่าเขาพระสุเมรุ และน้ำตาที่ร้องไห้คร่ำครวญเพราะความทุกข์ความพลัดพรากก็ยังมากกว่าน้ำในมหาสมุทรมารวมกัน ตถาคตเบื่อหน่ายการเกิดเสียนัก ตถาคตจะไม่เกิดอีก...พระองค์ตรัสเช่นนี้บ่อยครั้ง เพื่อให้สรรพสัตว์ ได้เห็นโทษเห็นภัยในวัฏสงสาร ถึงกระนั้นก็ยังมีคนอีกมากที่ไม่เชื่อฟัง จึงต้องเวียนเกิดเวียนตายกันอยู่อย่างนี้มิรู้จักจบสิ้น"
"แล้วหลวงพ่อจะเกิดอีกไหมครับ" พระลูกวัดถาม
"ก็ต้องแล้วแต่เหตุปัจจัย" ท่านสมภารตอบ
"เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดมีอะไรบ้างครับ"
"มี ๓ อย่างคือ
กมฺมํ เขตฺตํ-มีกรรมเป็นนา
วิญญาณํ พีชํ-มีวิญญาณเป็นพืช และ
ตณฺหา สิเนหํ-มีตัณหาเป็นยางเหนียวที่จะสามารถนำพืชไปเพาะให้งอกงาม
ถ้าเหตุปัจจัย ๓ อย่างนี้มาประจวบกันเข้า การเกิดก็จะต้องมีขึ้น"
"แล้วหลวงพ่อดับเหตุปัจจัยเหล่านี้หมดหรือยังครับ" คนเป็นศิษย์พยายามที่จะหยั่งรู้ภูมิธรรมของอาจารย์
"เรื่องอย่างนี้จะไปพูดสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ฉะนั้นฉันจะไม่ตอบเธอ ถ้าเธออยากรู้ต้องปฏิบัติให้มาก ๆ ของอย่างนี้จะต้องรู้ด้วยตัวเอง บอกเล่ากันไม่ได้ อย่าลืมว่า คติกรรมฐาน คือ กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ทำความเพียรมาก จำเอาไว้แล้วปฏิบัติให้ได้ตามนี้"
ถ้าอย่างนั้นผมขออนุญาตถามเรื่องเดียว เรื่องเดียวจริง ๆ และผมเชื่อว่าหลวงพ่อต้องตอบได้"
"ไม่ต้องถาม เอาละอยากรู้ก็จะบอกให้" ท่านรู้สึกขัดเขินด้วยรู้ว่าพระบัวเฮียวจะถามเรื่องอะไร เป็นเรื่องที่ท่านรู้แต่ผู้เดียวและยังไม่เคยบอกใคร พระบัวเฮียวเป็นคนแรกและคนสุดท้ายที่รู้เรื่องนี้
"ภรรยาของฉันเมื่อชาติที่แล้วก็จะมาร่วมสร้างกุศลที่วัดนี้ เขาจะมาสร้างหอระฆังให้ ตอนนี้เขาแต่งงานกับนายแพทย์ เขาสวยยังกะนางฟ้าแน่ะเธอ สวยกว่าเมื่อชาติที่แล้วเสียอีก"
"สวยเท่าอาภัสราไหมครับ" พระบัวเฮียวหมายถึงนางสาวไทยที่ชนะการประกวดนางงามจักรวาลเมื่อห้าหกปีที่แล้ว
"สวยกว่า สวยกว่าหลายเท่าเลยแหละ แล้วยังใจบุญใจกุศลอีกด้วย"
"แล้วหลวงพ่อไม่เสียดายหรือครับที่คุณหมอเขามาแย่งไปเสียได้" คนเป็นศิษย์ยั่วเย้า
"เสียดงเสียดายอะไรกัน ก็มันคนละภพละชาติ ถ้าเสียดายฉันก็คงไม่มาบวชอย่างนี้ เอาละไม่ต้องถามอะไรอีก เราคุยกันมานานพอสมควรแล้ว เธอกลับไปปฏิบัติต่อที่กุฏิของเธอได้แล้ว มีอะไรสงสัยก็มาถาม อย่าลืม กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ทำความเพียรมาก แล้วจะได้ไม่ต้องเกิดอีก" พระบัวเฮียวกราบเบญจางคประดิษฐ์สามครั้ง แล้วจึงลุกออกมา ความรู้สึกของพระใหม่ ขณะเดินกลับกุฏินั้นเป็นสิ่งที่บรรยายไม่ถูก มันหดหู่ ขัดข้องและหวิวโหวงในอารมณ์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้จะพยายามใช้สติกำหนดอิริยาบถอยู่ตลอดเวลา หากก็ไม่อาจสลัดความรู้สึกเช่นนั้นออกไปได้ จะว่าสงสารสองพี่น้องก็คงไม่ใช่ เพราะรู้แล้วว่ามันเป็นไปตามกฎแห่งกรรม ท่านจะต้องค้นให้พบว่า ความรู้สึกที่เป็นอยู่นี้ มันมีเหตุมาจากอะไร
ถึงกุฏิ ท่านจัดการสรงน้ำชำระร่างกายจนสะอาดสะอ้าน รู้สึกสดชื่นขึ้น หากความหวิวโหวงในอารมณ์ก็ยังไม่เหือดหาย ท่านเริ่มต้นเดินจงกรมตั้งแต่ระยะที่ ๑ ไล่ไปจนถึงระยะที่ ๖ ซึ่งกินเวลาประมาณ ๒ ชั่วโมง จากนั้นจึงกำหนดนั่ง เมื่อจิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิดีแล้ว จึงใช้ปัญญาพิจารณาหาสาเหตุของความอึดอัดขัดข้องในหัวใจ ก็ได้ความว่า คำพูดของท่านพระครูที่ว่า ท่านไม่มีเนื้อคู่นั้น ทำให้เกิดความรู้สึกแปลก ๆ นี้ขึ้น สัญชาตญาณของมนุษย์ปุถุชนย่อมต้องการมีความรัก มีคู่ครอง และชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น มีทายาทไว้สืบสกุล เมื่อรู้ว่าดวงชะตาของท่านไม่อาจมีในสิ่งเหล่านี้ จึงเกิดความรู้สึกเก็บกดอยู่ภายใต้จิตสำนึก จนกลายเป็นความหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่ในจิตใจ เออหนอ...ขนาดท่านเป็นชายอกสามศอก ทั้งยังดำรงเพศเป็นบรรพชิต เจ้าความรู้สึกนี้มันยังทำร้ายท่านได้ถึงเพียงนี้ แล้วพวกผู้หญิงซึ่งเป็นเพศอ่อนแอนั้นเล่า หากหล่อนรู้ว่าตัวเองไร้เนื้อคู่ จะต้องอยู่เดียวเปลี่ยวดายไปจนตลอดชีวิต หล่อนจะทุกข์ทรมานสักเพียงใดเล่าหนอ...
ฉันเช้าเสร็จ ท่านพระครูขึ้นไปเขียนหนังสือยังกุฏิชั้นบน สั่งนายสมชายไว้ว่าจะเขียนสัก ๒ ชั่วโมง หากมีผู้ใดมาขอพบในช่วงระยะเวลาดังกล่าวก็ขอให้รออยู่ก่อน ท่านขึ้นไปได้สักประเดี๋ยว ชายหนุ่มผู้หนึ่งก็มาขอพบ เขามากับสตรีรูปร่างหน้าตาจัดว่าสวย ท่าทางคงจะเป็นคู่รักกัน
เมื่อลูกศิษย์วัดแจ้งให้ทราบตามที่ท่านสั่งไว้ ชายหนุ่มผู้นั้นแสดงความไม่พอใจออกมานอกหน้า และทำทีจะขึ้นไปพบด้วยตัวเอง มิใยที่นายสมชายจะห้ามปราม บังเอิญประตูทางขึ้นถูกใส่กลอนเอาไว้ เขาจึงตะโกนขึ้นไปว่า
"หลวงน้าครับผมมาเยี่ยม เปิดประตูหน่อยครับ" เงียบ ไม่มีเสียงตอบลงมา ลูกศิษย์วัดทราบดีว่าถ้าท่านลงตั้งใจจะทำงานแล้ว ก็จะไม่ยอมรับรู้รับฟังเรื่องอะไรของใคร จะเรียกจะหาอย่างไรท่านก็ไม่ลงมา ชายหนุ่มผู้นั้นจึงตะโกนดังกว่าเดิม
"หลวงน้าครับ ผมจ่อยไงครับ จ่อยหลานแท้ ๆ ของหลวงน้าจะมาขอพบครับ" เมื่อไม่มีเสียงตอบอนุญาต นายจ่อยรู้สึกเสียหน้า อายทั้งลูกศิษย์ อายทั้งหญิงคู่หมั้นที่ตนหมายพามากราบท่านพระครู
"ท่านไม่ลงมาหรอกครับ ถึงผมจะเรียกท่านก็ไม่ลงมา เวลาท่านเขียนหนังสือ ท่านไม่ยอมพบใครหรอกครับ" นายสมชายพูดอย่างพยายามผูกมิตรทั้งที่รู้สึกไม่ค่อยจะชอบหน้า ถึงจะเป็นหลานหลวงพ่อจริงตามที่เขาเอ่ยอ้าง ก็ไม่ควรจะมาแสดงอำนาจบาตรใหญ่อย่างนี้
"ถ้างั้นเราออกไปดูแม่น้ำหลังวัดกันเถอะ แม่น้ำเจ้าพระยายังไงล่ะ" เขาหันไปพูดกับคู่หมั้น ไม่อยากอยู่สู้หน้ากับลูกศิษย์วัด อีกตั้งเกือบ ๒ ชั่วโมงกว่าหลวงน้าจะลงมา
เมื่อท่านพระครูลงมายังกุฏิชั้นล่าง จึงพบว่าชายหญิงคู่หนึ่งนั่งรออยู่ ขณะทำงานท่านทำจิตให้เป็นสมาธิ ไม่รับรู้ รูป รส กลิ่น เสียงใด ๆ จากภายนอก จึงไม่ทราบว่าหลานมาหา
"อ้าว เอ็งหรอกหรือเจ้าจ่อย ไปยังไงมายังไงกัน" ท่านทักหลานชายซึ่งเคยมาบวชเณรอยู่วัดนี้เมื่อสิบกว่าปีก่อนโน้น แต่ยังไม่ทันได้บวชพระก็ชิงสึกออกไปทำมาหาเลี้ยงชีพเสียก่อน ส่วนหญิงสาวที่มาด้วยท่านไม่เคยเห็นหน้า แต่ก็คลับคล้ายคลับคลาว่าเหมือนใครสักคน
"หลวงน้าสบายดีหรือครับ" หลานชายทัก
"ก็เรื่อย ๆ ว่าแต่เอ็งเถอะ หายหัวไปเลยนะเอ็ง" ท่านต่อว่าหลานชาย เพราะตั้งแต่สิกขาลาเพศแล้ว นายจ่อยไม่เคยไปมาหาสู่ท่านอีกเลย
"ผมต้องขออภัย งานยุ่งมากเลยครับ พอดีพ่อเขาย้ายไปทำไร่ที่ท่าตะโก หนทางไกลไปมาลำบากก็เลยไม่ได้มา"
"อ้อ ไม่ได้อยู่ที่โคกสำโรงหรอกหรือ แล้วพ่อเอ็งเขาเป็นยังไงบ้าง" ท่านถามถึงคนเป็นพี่เขย ส่วนพี่สาวซึ่งเป็นมารดาของนายจ่อยนั้นเสียชีวิตตั้งแต่ลูกชายยังเป็นเณร
"แกก็ไม่เจ็บไม่ไข้อะไร ตอนนี้มีเมียใหม่ มีน้องเล็ก ๆ อีกสามคน" นายจ่อยรายงาน
"อะไรกัน อายุจะหกสิบแล้วยังมานั่งเลี้ยงลูกอ่อน" ท่านพระครูพูดเหมือนตำหนิคนเป็นสามีของพี่สาว
"แกไม่ได้เลี้ยงหรอกครับหลวงน้า ผมเห็นเมียเขาเลี้ยงอยู่คนเดียว"
"อ้าว เอ็งไม่เรียกเขาว่าแม่หรอกหรือ"
"แม่ เม่อะไรล่ะหลวงน้า ก็มันเป็นเพื่อนผมเอง เคยเลี้ยงควายมาด้วยกันสมัยเด็ก ๆ ผมก็เลยเรียกไม่ลง กรรมของมันที่ต้องมาเป็นเมียพ่อ หลวงน้าไม่รู้อะไร พ่อน่ะแกเมาเช้าเมาเย็น งานการไม่ทำ ผมบอกให้แกมาบวชอยู่กับหลวงน้า แกก็ไม่เอา"
"เรื่องอะไรเขาจะเอา ก็ทีลูกชายเขายังไม่ยอมบวชเลยนี่นา" ท่านประชดคนเป็นหลาน
"โธ่ หลวงน้าครับ เรื่องมันแล้วไปแล้ว" หลานชายครวญ
"แล้วไปแล้วก็แล้วกันไป ว่าแต่ว่าที่มานี่ เอ็งมีธุระอะไรกับข้าหรือเปล่า"
"ก็มีเหมือนกันครับ คือผมพาคู่หมั้นมากราบหลวงน้า แล้วก็จะนิมนต์หลวงน้าไปงานแต่งงานของผมด้วยครับ"
"อ้อ นี่คู่หมั้นหรอกเรอะ แล้วหนูเป็นคนที่ไหนล่ะจ๊ะ" ท่านถามคู่หมั้นหลานชาย
"หลวงน้าจำไม่ได้หรือครับ จุกไงล่ะครับ" หลานชายตอบแทนคนเป็นคู่หมั้น
"จุกไหน" ท่านพระครูยังนึกไม่ออก
"ก็จุกที่เคยใส่บาตรหลวงน้ากับผมสมัยที่เราพายเรือบิณฑบาตกันยังไงล่ะครับ" หลานชายช่วยทบทวนความจำ แต่หลวงน้าก็ยังนึกไม่ออกจึงต้องใช้ "เห็นหนอ" เข้าช่วย
"อ๋อ อีจุกน่ะเอง แม่เจ้าไวยเป็นสาวแล้วสวยจนข้าจำไม่ได้" ท่านอุทานด้วยนึกไม่ถึงว่าจะได้พบกันอีก นางสาวจุกนั่งบิดไปบิดมาเพราะความขวยอาย ท่านพระครูนึกย้อนไปถึงอดีตเมื่อสิบปีก่อนโน้น ครั้งที่ท่านยังเจริญสมถกรรมฐานและเล่นทางไสยศาสตร์ด้วย ท่านมี "กระจกหมอดู" อยู่บานหนึ่งที่ใช้ดูเหตุการณ์ในอนาคต โดยภาพของเหตุการณ์จะมาปรากฏในกระจก แต่หลังจากที่ท่านได้พบ "พระในป่า" จึงได้เปลี่ยนมาเจริญวิปัสสนากรรมฐานและเลิกเล่นไสยศาสตร์ เพราะเห็นว่าไม่ได้ให้ประโยชน์ที่แท้จริงแก่ชีวิต
สมัยนั้นท่านบิณฑบาตทางเรือ ทุกเช้าท่านกับเณรจ่อยจะช่วยกันพายเรือลัดเลาะไปตามริมน้ำเจ้าพระยาเพื่อโปรดสัตว์ เด็กหญิงผิวขาววัยสิบเอ็ดขวบที่ใคร ๆ เรียกกันว่า "อีจุก" เพราะไว้ผมจุกกลางศีรษะ จะออกมาใส่บาตรที่ท่าน้ำในสภาพขี้หูขี้ตาเกรอะกรัง ขี้มูกไหลยืดเพราะเป็นหวัดทั้งปี บ่อยครั้งที่น้ำมูกของเด็กหญิงหยดลงไปในบาตรโดยที่เจ้าตัวไม่ได้ใส่ใจ และเมื่อเรือแล่นผ่านพ้นบ้านอีจุกไปแล้ว เณรจ่อยก็มีอันต้องเทข้าวทิ้งน้ำทุกครั้ง เพราะทนสะอิดสะเอียนไม่ไหว ส่วนท่านพระครูนั้นแม้จะผ่านการเจริญ "อาหาเรปฏิกูลสัญญา" มาแล้วก็ยังต้องทำแบบเดียวกับเณรหลานชาย คือ เทข้าวทิ้งจนเกลี้ยงบาตร
"แหม หลวงน้าเมื่อไหร่อีจุกมันจะตาย ๆ ไปสักทีนะ" เณรจ่อยบ่นอุบ เพราะต้องเทข้าวทิ้งน้ำทุกวัน
"ไปแช่งเขา ระวังบาปจะกินหัวเอ็ง" หลวงน้าว่าให้
"ก็มันโมโหนี่หลวงน้า จริง ๆ จะ ผมน่ะโกรธมันจริง ๆ เชียว"
"คนโกรธคือคนโง่ คนโมโหคือคนบ้า เอ็งอยากโง่อยากบ้าก็ตามใจเอ็ง"
"หลวงน้า เราไม่รับบิณฑบาตบ้านมันดีกว่านะ" เณรหลานชายแนะ
"ทำอย่างนั้นไม่ได้ มันผิดวินัยที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ เราจะเลือกที่รักมักที่ชังอย่างนั้นไม่ได้"
"ถ้างั้นก็บอกมันตรง ๆ เลยว่า อย่าให้มันเป็นคนใส่ ให้เปลี่ยนเป็นพ่อหรือแม่มันแทน
"เอ็งก็บอกเขาเองซิ"
"ผมมันเป็นเด็ก หลวงน้านั่นแหละดีแล้ว"
"ข้าไม้เอากับเอ็งด้วยหรอก อยู่ดีไม่ว่าดี จะให้ข้าถูกติเตียนเสียแล้วไหมล่ะ" ท่านพระครูปฏิเสธ เป็นอันว่าท่านจำต้องรับบิณฑบาตจากเด็กหญิงจุกเรื่อยมา กระทั่งมีการตัดถนนเข้าวัด ท่านจึงเลิกบิณฑบาตทางเรือ เณรจ่อยดีใจจนเนื้อเต้น ที่จะได้ไม่ต้องเทข้าวทิ้งน้ำ
คืนวันหนึ่งไม่รู้ว่าเณรจ่อยนึกยังไงขึ้นมา ถึงได้บอกให้หลวงน้าช่วยดูเนื้อคู่ให้ ท่านพระครูจึงบอกให้เณรจ่อยตั้งจิตอธิษฐานขอให้คนที่จะมาเป็นเนื้อคู่ จงปรากฏเป็นภาพขึ้นกระจกหมอดู อธิษฐานเสร็จ หลวงน้าจึงยื่นกระจกให้เณรหลาน เณรจ่อยมองไปที่กระจกแล้วก็โวยลั่น "อีจุกอีเด็กสกปรก ดูซีขี้มูกไหลยืดเชียว หลวงน้าแกล้งผมใช่ไหม ผมไม่เอา ยกให้หลวงน้าก็แล้วกัน" พูดพลางส่งกระจกคืน ท่านพระครูรับไปดูก็ปรากฏว่าภาพที่เห็นในกระจกนั้นเป็นภาพเด็กหญิงจุก คิดมาถึงตอนนี้ ท่านอดขำไม่ได้จึงพูดขึ้นว่า "ไงล่ะเจ้าจ่อย ก็ไหนเอ็งว่าเกลียดอีจุกนักไง ทำไม่ถึงจะมาร่วมหอลงโลงกันล่ะ"
"ร่วมหอเฉย ๆ โลงน่ะยังไม่อยากลงหรอกหลวงน้า ขออยู่ไปอีกซักเจ็ดแปดสิบปีก่อนถึงค่อยลง" นายจ่อยรีบชี้แจง
"นั่นแหละ ๆ นึกยังไงถึงมารักกันได้เล่า" ท่านถามอีก
"ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคือ...เอ้อ...คืออีจุกเด็กขี้มูกมากคนนั้น เพราะไม่เคยเจอกันอีกเลยนับตั้งแต่ผมสึก เพิ่งมารู้เอาอีตอนที่มันรักเขาจนถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว ก็เลยต้องตกบันไดพลอยโจน"
"นี่พี่จ่อยอย่ามาพูดดีนะ จะถอนหมั้นกันวันนี้เลยก็ได้ ฉันน่ะไม่ยั่นหรอก คนชอบฉันยังมีอีกเป็นพะเรอเกวียน" สาววัยยี่สิบสองพูดโกรธ ๆ
"เอ็งจะโกรธจะขึ้งไปทำไม่ล่ะจุก ไหน ๆ ก็จะมาเป็นหลานสะใภ้ข้าแล้ว ข้าล้อเล่นบ้างไม่ได้หรือไง" ท่านพระครูปราม
"ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรหลวงน้านี่นา ฉันว่าพี่จ่อยเขาต่างหาก" ว่าที่หลานสะใภ้เถียงฉอด ๆ หน้าบึ้งตึงจนหมดสวย
"เอาละ ๆ เอ็งไม่ต้องมาเถียง ไหนเอ็งจะแต่งกันเมื่อไหร่ เผื่อข้าติดธุระจะได้สับหลีกทัน"
"ผมคิดกันไว้ว่าวันที่ ๙ ธันวา หลวงน้าช่วยดูอีกทีเถอะว่าฤกษ์นี้ใช้ได้หรือเปล่า ถ้าไม่ดีหลวงน้าก็ช่วยหาให้ใหม่ด้วย"
"ฤกษ์ยามมันไม่สำคัญเท่าตัวของเราหรอก ถ้าตัวเราดีมันก็ต้องดีวันยังค่ำ เป็นชาวพุทธไม่ต้องไปถือเรื่องฤกษ์ยาม ถ้าเชื่อข้าก็จำเอาไว้ แต่ถ้าไม่เชื่อก็แล้วไป"
"ไม่เชื่อหลวงน้าแล้วผมจะไปเชื่อใครเล่าครับ แม่ผมก็ตายไปแล้ว พ่อก็เมาเช้าเมาเย็น เอาเป็นที่พึ่งไม่ได้ ก็เห็นแต่หลวงน้านี่แหละที่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร" หลานชายอ้อน
"คิดยังงั้นได้มันก็ดี แต่ว่าก็ว่าเถอะ ใจจริงข้าอยากให้เอ็งบวชมากกว่า จะได้ตัดภพตัดชาติให้มันสั้นเข้า ไม่งั้นก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่อย่างนี้ ไม่รู้จักจบสิ้น" ท่านพระครูพูดจากใจจริง หลานชายจึงพูดเอาใจหลวงน้าว่า "ใจผมก็อยากบวชเหมือนกัน แต่ทีนี้สงสารจุกเขา เขาจะอยู่กับใครเพราะพ่อแม่ก็ตายไปหมดแล้ว"
"จะยากอะไรเล่า ก็มาบวชชีอยู่เสียที่วัดนี่ ต่างคนก็ต่างปฏิบัติ ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกัน" หลวงน้าเสนอทางออกให้
"ถ้าเป็นอย่างนั้นได้มันก็ดีครับหลวงน้า แต่ผมกลัวจะต้องอาบัติปาราชิก เพราะหักห้ามใจไม่ได้ อีกอย่างดวงผมกับผ้าเหลืองมันก็ไม่ค่อยจะถูกกันซักเท่าไหร่" หลานชายปฏิเสธอย่างนิ่มนวลชนิดบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น
"ถ้าดวงไม่ถูกกับผ้าเหลืองก็อย่าบวช เดี๋ยวจะบาปเสียเปล่า ๆ การกระทำบางอย่าง ถ้าพระทำถือว่าบาป แต่ถ้าฆราวาสทำไม่ถือเป็นบาป เช่น การร้องรำทำเพลง การเสพเมถุน เป็นต้น แต่ถึงเอ็งจะไม่บวช ข้าก็อยากให้พากันมาเข้ากรรมฐานสักเจ็ดวัน แล้วกลับไปปฏิบัติที่บ้านวันละนิดละหน่อย ลืมบ้างนึกได้บ้างก็ยังดีกว่าไม่ได้ปฏิบัติเสียเลย" ท่านแนะแนวทางดำเนินชีวิตที่ดีแก่หลาน หากฝ่ายนั้นรีบออกตัวว่า "งานผมยุ่งครับหลวงน้า คงหาเวลามายาก ถึงมาแล้วก็คงเอากลับไปปฏิบัติที่บ้านไม่ได้เพราะต้องทำไร่ไถนา ทำโน่นทำนี่อยู่ตลอดเวลา เอาไว้แก่ ๆ ผมค่อยพากันมาก็แล้วกันนะครับ" หลานชายผัดผ่อน
"อ้อ...รอให้แก่เรอะ แล้วถ้าเกิดเอ็งตายไปตอนยังไม่ทันแก่ล่ะ จะว่ายังไง" เป็นเป็นน้าทักท้วง
"ก็สุดแล้วแต่เวรแต่กรรมเถอะครับ"
"ถ้าเอ็งปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามยถากรรมนับว่าเอ็งประมาทมาก คนทุกวันนี้ก็พากันประมาทเหมือนเอ็งนั่นแหละ แล้วคิดหรือว่าแก่แล้วเอ็งจะมาเข้าวัด ข้าว่าจะเมาเช้าเมาเย็นเหมือนพ่อเอ็งน่ะซี" ท่านยกพี่เขยเป็นตัวอย่าง
"โธ่ หลวงน้าครับ นาน ๆ ผมจะมาสักที หลวงหน้าก็ตั้งหน้าตั้งตาเทศน์อยู่ได้ คุยเรื่องที่มันมีประโยชน์กว่านี้ดีกว่าน่า" นายจ่อยเริ่มหงุดหงิด ข้างนางสาวจุกก็รู้สึกรำคาญไม่แพ้กัน
"ก็ถ้าเอ็งไม่ใช่หลานข้า ข้าจะไม่ยุ่งเลยเชียว เอ็งก็เหมือนกันจุก อย่าคิดว่าสิ่งที่ข้าแนะนำเอ็งเป็นเรื่องไร้สาระ นี่แหละคือประโยชน์สูงสุดของชีวิตเชียวนา ถ้าอยากให้ชีวิตร่มเย็นเป็นสุขก็หาโอกาสมาเข้ากรรมฐานให้ได้ ไม่ต้องมาพร้อมกันหรอก ผลัดกันมาก็ได้ ไม่ต้องอ้างว่าไม่มีเวลา การอ้างเช่นนั้นแสดงว่าเอ็งยังไม่เข้าใจเรื่องการปฏิบัติ ใช่ว่าเอ็งต้องมาเดิน ขวาย่าง ซ้ายย่าง พองหนอ ยุบหนอ อยู่ตลอดเวลาเมื่อไหร่กัน ถ้าเป็นยังงั้นก็ไม่ต้องทำมาหากินกันแล้ว"
"ก็นั่นซีครับ ผมถึงมองไม่เห็นประโยชน์ว่าเราจะปฏิบัติไปทำไมกัน เสียเวลาทำมาหากินเปล่า ๆ" นายจ่อยรีบแถลง
"นั่นเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์เชียวละ โปรดเข้าใจเสียใหม่นะหลานนะ ว่าที่ข้าให้มาอยู่วัดเจ็ดวัน ก็เพื่อมาเอาหลักการและวิธีการเพื่อนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้ โดยที่ทำงานไปด้วย เอาอย่างนี้ ไหนเอ็งลองบอกข้ามาซิว่า เวลาทำงานเอ็งหายใจหรือเปล่า เอ็งหายใจเข้าออกตลอดเวลาไหมหือจุก" ท่านถามนางสาวจุกด้วย
"หายใจจ้ะ" สาววัยยี่สิบสองตอบ
"นั่นแหละ เอ็งก็กำหนดไปซี หายใจเข้าพอง หายใจออกยุบ หรือ กำลังทำอะไรอยู่ก็ให้กำหนดไปตามจริง จะไถนา จะดำนา หว่านข้าว ก็ตั้งสติกำหนดให้รู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลา นี่ก็ถือว่าเป็นการปฏิบัติแล้ว มันยากเย็นอะไรล่ะ เอ็งไม่ต้องคิดไกลไปถึงขั้นมรรคผลนิพพานหรอก เอาแค่ให้เป็นสุขร่มเย็นในชีวิตนี้ก็พอ เวลาตายจะได้มีสติไม่หลงตาย คนที่ไม่เคยฝึกสติ ข้าเห็นหลงตายทุกราย"
"แล้วเป็นยังไงครับ หลงตายกับตายอย่างมีสติ มันต่างกันตรงไหน" หลานชายยังไม่เข้าใจ
"ต่างกันตรงที่ไปนะสิ คนหลงตายก็ต้องไปทุคติ แปลว่าไปไม่ดี ส่วนคนที่ตายอย่างมีสติก็ไปสุคติ คือไปดี" ท่านอธิบาย
"ไปดีไปไหนครับ แล้วไปไม่ดีไปไหน"
"ไปดีก็ไปสุคติภูมิ คือ ตั้งแต่ภูมิมนุษย์ไปจนถึงขั้นพรหม ซึ่งขึ้นอยู่กับกรรมที่ทำ ถ้าทำกรรมดี เช่น ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ก็จะไปเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดา ถ้าได้รูปฌานก็ไปเกิดเป็นรูปพรหม หรือไดอรูปฌานก็ไปเกิดเป็นอรูปพรหม ถ้าทำชั่วก็ไปทุคติภูมิ หรืออบายภูมิ มีนรก เปรต อสุรกาย และเดรัจฉาน ภูมิมีทั้งหมด ๓๑ ภูมิ ซึ่งล้วนแต่ขึ้นอยู่กับกรรมทั้งสิ้น"
"งั้นถ้าเราไม่ทำกรรมเลยก็ไม่ต้องเกิดใช่ไหมครับ"
"ถูกแล้ว เขาเรียกว่าบรรลุนิพพาน"
"แปลว่าคนไม่ทำกรรมจะได้ไปนิพพานใช่ไหมครับ"
"มันเป็นไปไม่ได้ที่คนจะไม่ทำกรรม แล้วจะว่าไปนิพพานก็ไม่ได้ เพราะนิพพานไม่ใช่สถานที่ที่คนจะมาจะไป แต่เป็นความดับกิเลส ถ้าเราปฏิบัติอริยมรรคมีองค์แปดจนถึงขั้นปัญญา สามารถทำลายตัณหาอุปาทานหมดสิ้น นิพพานก็จะปรากฏขึ้นมาเอง เอาละอย่าพูดไปไกลถึงขนาดนั้น มันเข้าใจยากสำหรับปุถุชน"
"หลวงน้าจ๊ะ แล้วคนที่หลงตายเป็นยังไงจ๊ะ คือเวลาจะตายเราจะรู้ได้ยังไงว่าเขาหลงหรือไม่หลง" นางสาวจุกถามบ้าง
"รู้ซี ที่เองถามน่ะมีตัวอย่างมากมายเลย อย่างตาอิ่มบ้านอยู่ติดวัดแต่ไม่เคยมาเข้ากรรมฐาน ข้าชวนทีไรแกก็ผัดวันประกันพรุ่งอยู่เรื่อย พอใกล้ตายก็บอกลูกหลานมานิมนต์ข้า ข้าก็ไป แกก็พะงาบ ๆ จะตายมิตายอยู่รอมร่อ แต่ยังพอพูดได้ ข้าก็บอกให้ว่า พุทโธ พุทโธ ลูก ๆ เขาก็ไปบอกใกล้ ๆ บอกพ่อพนมมือแล้วว่า พุทโธ พุทโธ นะพ่อ แกก็ด่าใส่ลูกเลย ด่าเสียงดังเสียด้วย ขนาดจะตายแล้วนะ ด่าว่า ไอ้พวกเวร กูจะตายอยู่เดี๋ยวนี้แล้วพวกมึงยังมาพุทโธ่ พุทโธ่ ใส่กูอีก ลูกก็บอกไม่ใช่พุทโธ่ พุทโธต่างหากล่ะพ่อ ไหนว่าซิ พุทโธ พุทโธ แกก็ไม่รู้เรื่อง ว่าไม่ได้ เพราะไม่เคยฝึก ก็เลยหลงตาย"
"แสดงว่าตอนแกตาย แกโกรธลูกด้วยใช่ไหมจ๊ะ"
"โกรธน่ะซี เมื่อโกรธ จิตก็เศร้าหมอง พระพุทธองค์ตรัสว่า เมื่อจิตเศร้าหมอง ทุคติย่อมเป็นที่หมาย
อีกรายนึงก็ยายอ่อน รายนี้งมหอยขาย พวกหอยโข่ง หอยขม หอยกาบ อะไรพวกนี้ วัน ๆ แกงมได้เป็นกระแต๋ง ๆ พอจะตายก็เกิดนิมิตเห็นหอยมาลอยตรงหน้าเต็มไปหมด ลูก ๆ ก็บอกแม่พนมมือว่า อะระหัง อะระหัง ยายอ่อนก็ว่า อะระหอย อะระหอย ไม่เป็นอะระหัง เพราะไม่เคยฝึก ท่องอะระหอย ๆ จนขาดใจ" ท่านยกตัวอย่างที่เคยพบมา
"แล้วที่ตายแบบไม่หลงมีไหมจ๊ะ" ว่าที่หลานสะใภ้ถามอีก
"มี ยายจันทร์ไง รายนี้มาเข้ากรรมฐานตอนแก่ ลูกหลานพามาเข้าเพราะเริ่มจะหลง สติสตังไม่ค่อยดี แต่ไม่ได้แปลว่าบ้านะ เพราะคนบ้ามาเข้ากรรมฐานไม่ได้ คือยายจันทร์แกขี้หลงขี้ลืม อายุหกสิบกว่า ๆ ก็หลงแล้ว ลูกเต้าเขาก็ให้แกเฝ้าบ้านเลี้ยงหลาน ตักน้ำ ผ่าฟืนไปตามเรื่อง แกแก่แต่ยังแข็งแรง วันหนึ่งแกจะเดินไปหยิบดุ้นฟืนมาก่อไฟต้มข้าวให้หมากิน ไปเห็นหมานอนหลับอยู่ แกก็ไปคว้าเอาขามันเข้า มันตกใจตื่นเลยกัดเอา แกก็อุทานว่า เฮ้อ กุนี่มันแย่จริง ๆ ดูซิอจะไปหยิบดุ้น หมาดันไปคว้าเอาขาฟืน นี่ขนาดบ่นก็ยังบ่นผิด ๆ ถูก ๆ ลูกเขาก็พามาขอกรรมฐานกับข้า ข้าก็แนะแนวไปให้แกกลับไปทำที่บ้าน แกไม่ยอมมาค้างวัด กลับไปได้สักสามวันแกก็มาอีก บอกเอากรรมฐานมาคืน ปฏิบัติไม่ได้ ไม่มีเวลา ลูกหลานมันกวน ข้าก็บอกให้แล้วไม่รับคืน ก็เลยสอนแกไปว่าเวลาทำอะไรให้ท่องให้กำหนดทุกอย่าง เช่นจะเดินไปหยิบฟืนก็เดินท่องไปว่า หยิบฟืน หยิบฟืน จะได้ไม่ไปคว้าเอาขาหมา สอนจนแก่เข้าใจดี แล้วก็กลับไปปฏิบัติที่บ้าน ไม่ช้ายายจันทร์ก็หายจากโรคหลง ๆ ลืม ๆ เพราะสติดีขี้น"
เดี๋ยวนี้แกยังอยู่หรือเปล่าครับ หลวงน้า" หลานขายถามขึ้น
"เข้าเมรุไปแล้ว น่าเสียดายวันที่แกตายนั้นอายุครบแปดสิบพอดี ลูกหลานเขารายงานว่า ตั้งแต่ปฏิบัติกรรมฐาน แกสติดีมาก ไม่หลง ๆ สืม ๆ เหมือนแต่ก่อน จะกินจะถ่ายก็เรียบร้อย คนแก่บางคนใช้ไม่ได้เลย ทั้งกินทั้งถ่ายเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปหมด แบบนี้ลูกหหลานเขาก็เบื่อ ไม่อยากเลี้ยง แต่คนที่มาเจริญสติปัฏฐาน ลูกหลานเขาไม่รำคาญ เพราะเลี้ยงง่าย ไม่เลอะเลือนเลื่อนเปื้อน นี่ประโยขน์ของการมาเข้ากรรมฐานอยู่ตรงนี้ แต่ก็ไม่ใช่ว่ามาเข้าเจ็ดวันแล้วทิ้งเลยไม่เอากลับไปปฏิบัติที่บ้าน อย่างนี้ก็ไม่ได้ผล"
"ถ้าอย่างนั้นฉันขออยู่เข้ากรรมฐานเลยนะพี่จ่อย พี่ช่วยกลับไปเอาเสื้อผ้ามาให้ฉันด้วยก็แล้วกัน เอ...แต่ฉันไม่มีชุดขาวนี่หลวงน้า" นางสาวจุกเกิดศรัทธา ขณะเดียวกันก็กังวลเรื่องเสื้อผ้า
"เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง มีญาติโยมเขาใจบุญบริจาคให้วัดเอาไว้เป็นของกลาง ใครไปใครมาก็เบิกไปใส่ได้ แล้วซักมาคืน ถ้าเอ็งจะอยู่ก็ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งสิ้น ว่าแต่เอ็งจะอยู่พร้อมกันเลยไหมเล่า" ท่านถามหลานชาย นายจ่อยพลอยเกิดศรัทธาตามคนเป็นคู่หมั้น จึงตอบว่า "ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องไป ๆ มา ๆ" เห็นคนทั้งสองมีศรัทธาปสาทะเช่นนั้น ท่านพระครูก็พอใจ จึงพูดให้กำลังใจว่า
"ดีแล้ว เอ็งสองคนเริ่มต้นเดินในทางที่ถูกต้องแล้ว ทางนี้เป็นทางสายเดียวที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้น ถ้าเอ็งไม่เปลี่ยนทิศทางเดิน สักวันหนึ่งก็จะถึงจุดหมายจนได้ ไม่ถึงชาตินี้ก็ต้องเป็นชาติหน้า ถ้าชาติหน้ายังไม่ถึงก็จะต้องถึงในชาติต่อ ๆ ไป ขอให้มีความเพียร อย่าท้อถอยเสียก่อนก็แล้วกัน"
"แล้วเรื่องแต่งงานผม หลวงน้าไม่ลืมนา" นายจ่อยยังห่วงเรื่องทางโลก
"รับรอง ข้าจะช่วยจัดการให้เรียบร้อย เอาละ เดี๋ยวข้าจะให้สมชายพาจุกมันไปฝากที่สำนักชี ส่วนเอ็งไปอยู่กับพระบัวเฮียว ประเดี๋ยวจะให้สมชายพาไป รอให้จัดการเรื่องคู่หมั้นเอ็งเสร็จก่อน" แล้วท่านพระครูจึงเรียกนายสมชายมาสั่งการ จากนั้นจึงขึ้นไปเขียนหนังสือคู่มือการสอบอารมณ์กรรมฐานยังชั้นบนของกุฏิ





เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2012, 10:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว




kakating flower.jpg
kakating flower.jpg [ 27.7 KiB | เปิดดู 5277 ครั้ง ]
:b8:

.. อนุโมทนา แล้วๆๆ ..
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2012, 07:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"หลวงพี่บวชถึง ๑๐ พรรษาหรือยังครับ" นายจ่อยถามพระบัวเฮียว หลังจากลูกศิษย์วัดกลับไปแล้ว
"อาตมาบวชครบเดือนเมื่อวานนี้เอง" หลวงพี่ตอบ รู้ว่าชายผู้นี้เป็นหลานพระครู เห็นจะต้องดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ อย่างน้อยก็เป็นการตอบแทนบุญคุณที่ท่านพระครูมีต่อท่าน
"จริงหรือครับ ผมนึกว่าหลวงพี่บวชมาไม่ต่ำกว่า ๑๐ พรรษาเสียอีก" นายจ่อยคิดว่าอายุของหลวงพี่รูปนี้คงประมาณสัก ๔๐ หรือกว่านั้น
"อาตมาดูแก่มากขนาดนั้นเชียวหรือ" ท่านถาม
"ไม่แก่หรอกครับ" ผมว่าหลวงพี่ดูเหมือนคนสักสามสิบหกสามสิบเจ็ด" พูดหมายเอาใจหลวงพี่ หากฝ่ายนั้นกลับโวยวายว่า
"เห็นไหม ในที่สุดคุณก็ว่าอาตมาแก่จริง ๆ นั่นแหละ มีอย่างหรืออาตมาเพิ่งอายุยี่สิบหก กลับมาว่าแก่กว่าอายุตั้งสิบปี" พูดอย่างน้อยใจ
"จริงหรือครับ ถ้างั้นหลวงพี่ก็แก่กว่าผมปีเดียวเอง แหม ผมนึกว่าหลวงพี่อายุสี่สิบเสียอีก ว่าแต่ว่าพหลวงพี่จำไม่ผิดนะครับ หรือว่าโยมแม่เขาไปแจ้งเกิดตอนหลวงพี่สิบขวบ" นายจ่อยไม่วายกังขา
"พูดยังงั้นมันไม่สวยนาคุณนาอยู่ดีไม่ว่าดี มาเที่ยวค่อนแคะคนอื่นเขา ไม่เคยมีใครว่าอาตมาอย่างนี้นอกจากคุณ" พระบัวเฮียวออกโกรธ ๆ นายจ่อยเห็นท่าไม่ดีจึงรีบแก้ว่า
"ใจเย็น ๆ ซิครับหลวงพี่ ผมล้อเล่นเท่านั้นเอง ก็หลวงพี่ดูสงบเสงี่ยมน่าเลื่อมใสผิดกับพระทั่ว ๆ ไปที่ผมเคยรู้จัก ผมก็เลยนึกว่าหลวงพี่แก่พรรษา พวกพระแถวบ้านผมเสียอีกยังไม่ได้เรื่อง"
"ไม่ได้เรื่องยังไง" พระบัวเฮียวอารมณ์ดีขึ้นนิดหนึ่ง
"ก็ไม่น่าเลื่อมใสเหมือนอย่างหลวงพี่น่ะซีครับ เป็นต้นว่าไม่สำรวมกิริยา จะเดินจะเหินก็ว่ากันเสียจีวรปลิว แถมตอนเย็น ๆ ก็ถกเขมรเตะตะกร้อกันเป็นที่ครื้นเครง ยิ่งองค์ที่ชื่อหลวงตาทองยิ่งหนักกว่าเพื่อนเมาเช้าเมาเย็น เดินโซซัดโซเซไม่ตรงทางเหมือนคนอื่นเขา"
"แล้วสมภารเขาไม่เข้มงวดเอาหรือ"
"สมภารน่ะตัวร้าย ไม่เคยอยู่วัดหรอกครับ ชาวบ้านเขาลือกันว่าแกไปอยู่กับเมีย วันโกนกันพระถึงกลับวัด" นายจ่อยอ้าง "ชาวบ้าน"
"เป็นพระมีเมียได้หรือ" หลวงพี่ค้านด้วยไม่เคยฟังเรื่องนี้มาก่อน
"พระแท้น่ะมีไม่ได้แน่ แต่นี่มันพระปลอมน่ะครับ พวกมาอาศัยผ้าเหลืองหากิน อย่างหลวงตาทองนี่แกติดเหล้ามาก่อน ที่มาบวชก็เพื่อจะให้เลิกเหล้า แต่ก็เลิกไม่ได้ ส่วนสมภารนั่น ผมก็ไม่ได้ใส่ร้ายแกหรอก เคยมีชาวบ้านเขาแอบไปดูที่บ้านเมียแก ก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ" นายจ่อยไม่ได้บอกว่าตัวเขาก็ไปดูกับ "ชาวบ้าน" ด้วย
"แล้วทำไมเขาไม่จับสึกเสียล่ะ" แบบนี้เสียชื่อเสียงวัด แล้วก็ยังทำให้พระศาสนามัวหมอง" พระบัวเฮียวรู้สึกไม่สบายใจที่ได้ยินได้ฟัง
"เรื่องมันยาวครับหลวงพี่ คือ สมภารแกเป็นคนมีอิทธิพล นัยว่าก่อนบวชเคยเป็นนักเลงมาก่อน พอชาวบ้านเขาจะเอาเรื่อง แกก็ใช้วิธีเชือดไก่ให้ลิงดู คืออยู่ ๆ กรรมการวัดคนที่เป็นตัวตั้งตัวตีก็ถูกฆ่าตาย เขารู้กันทั้งบางว่าสมภารเป็นผู้บงการ แต่ไม่มีใครกล้าฟ้องร้อง เรื่องก็เลยเงียบไป"
"แบบนี้ก็แย่น่ะซี" คนฟังรู้สึกเศร้าสลดในหัวใจยิ่งนัก
"แย่หรือไม่แย่พวกชาวบ้านเขาก็ประท้วงด้วยการเลิกทำบุญตักบาตรก็ในเมื่อพระทำตัวไม่ดี คนก็หมดความเลื่อมใส"
"ผมว่าทำอย่างนั้นก็ไม่ถูก การที่เราเห็นพระไม่ดีเพียงบางส่วน แล้วจะมาเหมาเอาว่าพระเป็นอย่างนั้นทั้งหมดมันก็ไม่ยุติธรรมกับพระ เพราะพระดี ๆ ยังมีอีกมาก อีกประการหนึ่ง การเลิกทำบุญทำทาน ก็เป็นการตัดทางกุศลของตัวเอง"
"หมายความว่าอย่างไรครับ"
"ก็หมายความว่า เมื่อเราเลิกทำบุญ ก็เป็นการตัดโอกาสทางสวรรค์ ตัดโอกาสการสร้างสมบารมี เช่น ทานบารมี เป็นต้น คุณต้องเข้าใจนะว่า พระก็คือคนนั่นแหละ แล้วคนก็มีทั้งคนดีและคนชั่ว เมื่อคนมาบวชพระ ก็เลยมีทั้งพระดีและพระชั่ว แต่ถึงเราจะทำบุญกับพระชั่ว ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องชั่วตามท่านไปด้วย"
"อ้าว ถ้าอย่างนั้น สมมุติว่าผมทำบุญกับหลวงตาทองยี่สิบบาท แล้วแกเอาเงินนั้นไปซื้อเหล้ากัน ในฐานะที่ผมเป็นเจ้าของเงิน ผมไม่บาปหรือไง" นายจ่อยค้าน
"นั่นแสดงว่าคุณเข้าใจผิด การทำบุญนั้น ไม่ว่าจะทำกับใคร ถ้าเราทำด้วยบริสุทธิ์ใจ และของทำบุญนั้นได้มาด้วยความบริสุทธิ์ เราก็ได้บุญแล้ว สมมุติว่ามีพระรูปหนึ่งมาบอกบุญว่าจะเอาเงินไปสร้างโบสถ์ คุณเชื่อ จึงทำบุญไปยี่สิบบาทด้วยความเต็มใจ เมื่อคุณทำ คุณก็ได้บุญทันทีนั่นคือคุณเกิดปีติ อิ่มเอิบใจว่าได้ทำบุญ ทีนี้ถ้าพระรูปนั้นเองเงินไปซื้อเหล้ากิน ท่านก็บาปเอง โดยที่บาปนั้นไม่มาถึงคุณแน่นอน เพราะคุณไม่รู้เห็นเป็นใจกับท่าน แต่ถ้าท่านนำไปสร้างโบสถ์จริง คุณก็ได้บุญสองต่อ เพราะฉะนั้นการทำบุญทำเมื่อไหร่ก็ได้บุญเมื่อนั้น สุดแต่ว่าจะได้มากได้น้อย และที่สำคัญคือ การทำบุญเป็นการสืบต่อพระศาสนา เพราะถ้าคนพากันคิดเหมือนกันหมดว่า เมื่อพระทำตัวไม่ดีเขาก็เลิกทำบุญ ต่อไปพระศาสนาก็จะตั้งอยู่ไม่ได้ จริงไหม" หลวงพี่อธิบายเสียยืดยาว ชั่วเวลาเพียงเดือนเดียวของการบวช ท่านหูตากว้างขึ้น สามารถเข้าใจอะไร ๆ ได้ลึกซึ้งกว่าแต่ก่อน
"คงจะจริงอย่างที่หลวงพี่ว่า คนที่มาบวชเป็นพระ บางคนเขาก็ไม่ได้ตั้งใจบวช คือไม่ได้มาบวชเพื่อละกิเลส แต่บวชด้วยเหตุผลอื่น บางคนลูกเกเรไม่เอาถ่านก็จับบวช บางคนไปปล้นไปฆ่าเขามา ก็มาอาศัยผ้าเหลืองหลบภัย วัดก็เลยกลายเป็นที่รวมของคนชั่ว แม้แต่หมาแมวที่ไม่ดีคนเขาก็เอามาปล่อยวัด ก็ต้องรับกรรมกันไป" นายจ่อยพูดปลง ๆ
"แต่ถึงจะเป็นคนชั่วมาก่อน ถ้าบวชแล้วกลับตัวกลับใจได้ ก็นับเป็นวาสนาของเขา" พระบัวเฮียวอดนึกไปถึงของตัวท่านเองไม่ได้
"ครับ มันก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เป็นต้นว่าสิ่งแวดล้อม หรือโชควาสนาของคน ๆ นั้น"
"ที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าได้ครูบาอาจารย์ดี ก็มีโอกาสจะเปลี่ยนนิสัยได้ อย่างอาตมานี่ ถ้าพูดกันตรง ๆ ก็ใช่ว่าเป็นคนดิบคนดีมาก่อน ครูดีที่วัดนี้ หลวงพ่อท่านเคร่งครัดมาก พระรูปใดทำตัวไม่ดี ท่านก็นิมนต์ไปอยู่วัดอื่น"
"เอ...หลวงพี่บอกว่าเพิ่งบวชได้เดือนเดียว แสดงว่าหลวงพี่บวชในพรรษาใช่ไหมครับ โชคดีจังที่หลวงน้ายอมให้บวช ถ้าเป็นวัดอื่นเขาต้องรอให้ออกพรรษาเสียก่อน"
"ใช่ ท่านพระครูท่านเมตตาอาตมามากทีเดียว ท่านบอกว่าจะบวชในพรรษาหรือนอกพรรษาไม่สำคัญ มันสำคัญอยู่ที่ว่า บวชแล้วตั้งใจปฏิบัติหรือเปล่า ท่านบอกคนที่บวชหลายพรรษาแต่ไม่ปฏิบัติ ก็ยังสู้พวกมาเข้ากรรมฐานแค่เจ็ดวันไม่ได้"
"ถึงว่าซี หลวงน้าถึงอยากให้ผมกับคู่หมั้นอยู่เข้ากรรมฐาน ฟังหลวงพี่พูดอย่างนี้แล้วผมก็สบายใจ เวลาถูกคนอื่นค่อนแคะว่าเป็นคนดิบ ผมจะได้อธิบายให้เขาฟังได้"
"เป็นยังไง คนดิบ" หลวงพี่ไม่เข้าใจ
"คนดิบ ก็คือ คนไม่ได้บวชได้เรียนไงครับ อย่างผมความจริงก็บวชเณรมาตั้งหลายพรรษา แต่ไม่ได้บวชพระ คนเขาก็เลยชอบมาเปรียบเปรยถากถางว่าเป็นคนดิบ ยังกะพวกคนสุกมันดีกันนัก หลวงพี่รู้ไหม บางคนบวชกันที ก็ฆ่าวัวฆ่าหมู จัดงานเลี้ยงกันใหญ่โต ร่ำสุรายาเมากันเปรอะไปหมด เผลอ ๆ คนเป็นนาคก็เอากับเขาด้วย ตอนนั่งทำขวัญนาค ก็สัปหงกเพราะความเมา บวชได้สิบห้าวันก็สึกออกมาแล้ว แบบนี้จะว่าได้บุญหรือก็เปล่า ไอ้ที่ฆ่าวัวฆ่าหมู ก็ต้องไปตกนรกใช้กรรมอีก" ผู้พูดไม่ทันสังเกตว่าผู้ฟังหน้าถอดสี เมื่อได้ยินข้อความว่า "ไอ้ที่ฆ่าวัวฆ่าหมู ก็ต้องไปตกนรกกันอีก"
"ตอนอาตมาบวช ไม่ได้ฆ่าวัวฆ่าหมูอย่างที่คุณว่า หลวงพ่อท่านไม่ทำอะไรยุ่งยากอย่างนั้น" พระบัวเฮียวร้อนตัว
"หลวงน้าท่านเป็นคนตรง แล้วก็เจ้าระเบียบ อย่างเวลามีงานบวช ท่านไม่อนุญาตให้แห่สิงโตหรือกลองยาว เพราะเสียงมันจะไปรบกวนคนที่เขากำลังปฏิบัติกรรมฐาน ท่านบอกว่าการทำอย่างนั้นไม่ได้บุญ แล้วยังสิ้นเปลืองเงินทองโดยใช่เหตุ ผมเคยไปงานบวชเพื่อนที่วัดวัดนึง ชื่ออะไรก็จำไม่ได้เสียแล้ว"
"ชื่อวัดหรือชื่อเพื่อนที่ว่าจำไม่ได้น่ะ"
"ชื่อวัดซีครับ ส่วนชื่อเพื่อนผมจำแม่นมาก เพราะมันชื่อเดียวกับผม"
"แล้วเป็นยังไง งานบวชเพื่อนคุณ"
"ทุเรศที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา คือมันเมากันเละเลย ตอนแห่นาครอบโบสถ์ก็พากันรำแอ่นหน้าแอ่นหลัง ทั้งผู้หญิงผู้ชาย แถมทิ้งขวดเหล้าขวดเบียร์ไว้เกลื่อนกลาดตามกำแพงโบสถ์บ้าง ตามพื้นบ้าง ถ้าเป็นที่วัดป่ามะม่วงหลวงน้าเอาตายแน่เลย" นายจ่อยเล่าฉอด ๆ
อาตมาว่าเป็นเพราะเขาเข้าใจไม่ถูกต้อง คิดว่าทำอย่างนั้นจะได้บุญ ที่จริงชาวพุทธเรายังเข้าใจศาสนาผิด ๆ กันอีกมาก อาตมาเองก็เพิ่งมาเข้าใจถูกต้องเอาเมื่อบวชนี่แหละ"
"ผมว่าเขาทำตามประเพณีมากกว่า คือทำตาม ๆ กันมา จนกลายเป็นประเพณี หลวงพี่เห็นด้วยไหมครับว่าประเพณีบางอย่างมันก็ไม่ถูกต้อง ดังนั้นการทำตามประเพณีจึงไม่ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป"
"อันนี้เห็นจะจริง อาตมาก็ไม่เห็นด้วยกับการกระทำหลาย ๆ อย่างของชาวพุทธซึ่งเขาอ้างว่าทำตามประเพณี เป็นต้นว่า ไปทำบุญ แต่ดื่มเหล้า อย่างงานผ้าป่า งานกฐิน ซึ่งเป็นงานบุญก็พากันดื่มเสียเมาแอ๋ เมื่อเมาก็ขาดสติ แล้วมันจะไปได้บุญยังไง ก่อนถวายผ้ากฐิน พระท่านก็ให้รับศีล ก็รับกันไปงั้น ๆ พอออกจากวัด ก็ร่ำสุรากันโดยไม่เกรงใจศีลที่รับจากพระมากหยก ๆ อย่างนี้อาตมาว่า ขาดทุนนะ โบราณท่านถึงสอบไว้ว่า ...ถ้าคิดจะทำบาปแลกบุญ มักขาดทุนอยู่ร่ำไป..."
"นั่นซีครับ อย่างเรื่องบวชก็เหมือนกัน สมมุติตอนบวช เขาต้องฆ่าหมูฆ่าวัวเพื่อนำมาเลี้ยงพระเลี้ยงคน พอสึกออกมา ปรากฏว่าบาปกับบุญที่ได้ มันไม่สมดุลกัน บาปมากกว่าก็ต้องไปตกนรก" นายจ่อยย้อนมาพูดเรื่องปาณาติบาต ทำให้พระบัวเฮียวใจหดหู่อีกครั้ง แม้คนพูดจะไม่ล่วงรู้การกระทำแต่หนหลังของท่าน แต่ตัวท่านรู้ และรู้สึกสะเทือนใจทุกครั้งเมื่อถูกสะกิด ขึ้นชื่อว่าบาป หากใครทำเข้าก็ต้องพกพามันติดตัวติดใจไปทุกแห่งหน ดุจเงาติดตามตัวฉะนั้น พระบัวเฮียวกำลังเสวยผลของบาป!
"คุณบวชเณรอยู่นานไหม" ถามเพื่อต้องการเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากได้ยินได้ฟังสิ่งที่ทำให้ใจเศร้าหมอง
"ห้าพรรษาครับ ตั้งแต่อายุสิบปีถึงสิบห้าปี"
"อยู่กับหลวงพ่อมาตลอดเลยหรือ"
"ครับ"
"งั้นก็ได้วิชาดี ๆ จากหลวงพ่อไว้มากน่ะซี เห็นมหาบุญเล่าให้อาตมาฟังว่า หลวงพ่อท่านเก่งทางคุณไสยด้วย
"จริงครับ แต่ท่านไม่ให้ใครหรอก ท่านว่าวิชาพวกนี้ไม่มีประโยชน์ ช่วยให้พ้นทุกข์ไม่ได้ ถึงท่านจะเก่งทางคุณไสย แต่หลังจากที่ธุดงค์ไปเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อในป่าแล้ว ท่านก็ทิ้งไสยศาสตร์หมด ใครขอเรียน ท่านก็ไม่สอนให้ ท่านว่ามันเป็นเดรัจฉานวิชา ได้ไปแล้วก็รังแต่จะก่อเวรก่อกรรมกันมากขึ้น"
"แปลว่า ท่านไม่เคยนำวิชาเหล่านี้มาใช้เลย"
"ก็ใช้บ้างเหมือนกัน คือใช้เท่าที่จำเป็น ทว่าไม่สอนให้ใคร ท่านจะสอนคนอื่นก็เฉพาะวิชากรรมฐานเท่านั้น ท่านว่า นี่เป็นของจริง ช่วยให้พ้นทุกข์ได้ ส่วนไสยศาสตร์เป็นของปลอม แต่ท่านก็เคยเอามาใช้บ่อย เป็นต้นว่า เวลาคนถูกผีเข้า ท่านก็มีคาถาไล่ผี ผมเคยไปกับท่านบ่อย ๆ บางทีคนเขามาตามตอนตีหนึ่งตีสอง บอกเมียถูกผีเข้า หลวงพ่อก็ให้ผมไปด้วย ท่านไล่ผีเก่งจริง ๆ นอกจากนี้ ท่านยังมีคาถาออกลูกง่าย ท่านก็เอาผลมะตูมเสกให้กิน กินปุ๊บเด็กออกมาปั๊บ ราวกับปาฏิหาริย์"
"แล้วเนื้อคู่ล่ะ ท่านดูเนื้อคู่แม่นไหม" อยากให้นายจ่อยตอบว่าไม่แม่น เผื่อจะมีความหวังได้พบเนื้อคู่กับเขาบ้าง หากนายจ่อยกลับตอบชัดเจนว่า
"แม่นที่สุดในโลก แม่นพันเปอร์เซ็นต์เลย ดูอย่างเรื่องของผมก็แล้วกัน ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมาเป็นคู่รักกับอีจุก เอ๊ยจุกเขา แต่ก็ต้องเป็น เพราะความดูแม่นของหลวงน้า หลวงพี่ฟังไหมครับ ถ้าไม่ฟังผลจะได้ไม่เล่า"
"เล่าไปซี อาตมากำลังฟัง"
"แต่ถ้าหลวงพี่ไม่อยากฟัง" ผมไม่เล่าก็ได้นะครับ" คนเล่าทำเล่นตัว
"อยากฟังนะซี" พระบัวเฮียวยืนยัน
"เรื่องมันเป็นอย่างนี้" นายจ่อยเริ่มต้นเล่าอย่างตั้งอกตั้งใจตั้งแต่ต้นจนจบ คนฟังจึงขัดขึ้นว่า
"เทข้าวทิ้งน้ำก็เป็นอาบัติน่ะซิ มันผิดวินัยข้อไม่เคารพบิณฑบาต" หลวงพี่อ้างพระวินัย
"หลวงน้าท่านบอกว่า มันอยู่ที่เจตนา เราไม่ได้เททิ้งเทขว้าง แต่เราเจตนาจะเลี้ยงปลา ปลาชุมมากเลยหลวงพี่ เทไปแป๊บเดียว ปลามันฮุบกินหมดเลย มันพากันมาเป็นฝูง ๆ"
"แต่ก็น่าเห็นใจท่านนะ ท่านเป็นคนสะอาดสะอ้าน เป็นอาตมา อาตมาก็ฉันไม่ลงเหมือนกัน แม้จะไม่ใช่คนสะอาดสักเท่าไหร่ แต่จะให้ฉันข้าวผสมน้ำมูก ไม่ไหวแน่"
"นั่นซิครับ พูดก็พูดเถอะหลวงพี่ เมื่อก่อนนี้ผมเกลียดจุกมาก ๆ เลยโกรธหลวงน้าอยู่หลายวัน นึกว่าท่านแกล้ง ผมบอกยกให้หลวงน้าก็แล้วกัน ผมไม่เอาหรอก"
"แล้วตอนนี้ยังคิดจะยกเขาให้หลวงพ่ออยู่อีกหรือเปล่า" พระบัวเฮียวแกล้งถาม นายจ่อยหัวเราะแหะแหะก่อนตอบว่า "เป็นตายยังไงก็ไม่ยอม ใครจะมาแย่งจุกไปจากผม ก็ต้องข้ามศพกันไปก่อนละ หลวงพี่ไม่รู้อะไร จุกตอนเด็กกับตอนนี้น่ะ ดูผิดกันราวฟ้ากับดิน ตอนเด็กดูสกปรกขี้มูกมาก แต่ตอนนี้สะอาดสะอ้านแล้วก็สวยยังกะนางฟ้า เดี๋ยวหลวงพี่ก็จะได้เห็น เขาจะมาขึ้นกรรมฐานพร้อมผม หลวงน้าสั่งไว้ว่า ให้ไปขึ้นกรรมฐานตอนหกโมงเย็น เสร็จแล้วให้ผมมาปฏิบัติกับหลวงพี่ที่กุฏิ ส่วนเขาไปปฏิบัติกับแม่ชี"
"ก็ดีสิ อาตมาจะดูว่า ระหว่างคู่รักของคุณกับคู่รักของหลวงพ่อ ใครจะสวยกว่ากัน" พระบัวเฮียวเผลอพูดในสิ่งที่เป็นความลับ ความจริงท่านยังไม่เคยเห็นคนที่เป็นคู่รักของหลวงพ่อเมื่อชาติที่แล้ว แต่ก็คิดว่า วันหนึ่งจะต้องได้เห็น เพราะท่านพระครูบอกว่า เขาจะมาช่วยสร้างหอระฆังถวาย
"หลวงพี่หมายความว่ายังไง หลวงน้าน่ะหรือมีคู่รัก ไม่น่าเป็นไปได้ ผมอยู่กับท่านมาห้าปี ยังไม่เคยได้ยินข่าว หรือว่าท่านเพิ่งมามีเอาตอนหลัง" นายจ่อยซัก
"อาตมาเผลอไป คุณอย่าไปถามท่านนะ ไม่งั้นผมตายแน่ ๆ"
"ก็ได้ แต่หลวงพี่ต้องเล่าให้ผมฟัง"
"อาตมารับปากกับท่านแล้วว่าจะไม่เล่าให้ใครฟัง อย่าให้ต้องเสียคำพูดเลยนะ" พระบัวเฮียววิงวอน
"งั้นหลวงพี่ก็เลือกเอาก็แล้วกัน ว่าจะให้ผมไปถามหลวงน้า หรือว่าจะเล่าให้ผมฟัง" คนถือไพ่เหนือกว่ายื่นข้อเสนอ
"นี่อาตมาไม่มีทางเลือกอื่นเลยหรือไง" หลวงพี่ถามเชิงต่อรอง
"ไม่มีครับ" นายจ่อยตอบเสียงหนักแน่น พระบัวเฮียวยกมือทั้งสองประนมไว้หว่างอก แล้วพูดด้วยเสียงที่นายจ่อยได้ยินชัดเจนว่า "หลวงพ่อครับ ผมขออภัยที่ต้องผิดสัญญา ขอให้บาปกรรมในครั้งนี้ จงตกอยู่ที่นายจ่อยแต่เพียงผู้เดียว"
"อ้าว ไหงเป็นยังงั้นล่ะหลวงพี่" นายจ่อยโวยวาย
"ก็อาตมาบอกแล้วว่า มันเป็นความลับ ในเมื่อคุณอยากรู้ ก็ต้องรับเอาบาปไปด้วย อยากมาคาดคั้นอาตมาทำไม"
"หลวงพี่นะหลวงพี่ บอกตรง ๆ ว่า ในชีวิตผม ยังไม่เคยเห็นใครฉลาดเท่าหลวงน้า เพิ่งมาเจอหลวงพี่นี่แหละ ที่แม้จะฉลาดน้อยกว่าหลวงน้านิดนึง แต่ก็ต้องนับว่าเป็นคนฉลาดอย่างหาตัวจับยาก" พระบัวเฮียวฟังแล้วก็ไม่กล้าดีใจ เพราะไม่รู้ว่านายจ่อยพูดติหรือชมท่านกันแน่ ครั้นจะถามออกไปตรง ๆ ก็เกรงจะเสียเหลี่ยม จึงนั่งเฉยอยู่
"นิมนต์เล่าได้แล้วครับ" นายจ่อยเตือน
"ไม่เล่าแล้ว อาตมาไม่อยากให้คุณบาป" หลวงพี่เปลี่ยนใจไม่เล่า
"งั้นผมไปถามหลวงน้าก็ได้" นายจ่อยขู่ หากไม่ได้ผล เพราะพระบัวเฮียวกลับยุส่ง
"ไปเลย รีบไปเสียเร็ว ๆ เดี๋ยวท่านขึ้นไปเขียนหนังสือแล้วจะต้องรอนาน ไปสิ" นายจ่อยถึงกับอึ้ง ไม่นึกไม่คิดว่า ท่านจะมาไม้นี้ แต่สมองอันเฉียบไวก็สั่งปากว่า
"ผมนึกออกแล้ว ที่หลวงพี่ไม่เล่า ก็เพราะมันเป็นเรื่องไม่จริงใช่ไหม หลวงพี่ไม่กล้าเล่าเรื่องไม่จริงใช่ไหม ที่แท้หลวงพี่ก็ไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่าผม แต่แกล้งทำเป็นรู้" คิดว่าคราวนี้คงจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งจนมุมได้ หากก็ผิดหวัง เมื่อหลวงพี่พูดว่า
"อาตมาจะดีใจ ถ้าคุณคิดอย่างนั้นจริง ๆ ว่าแต่ว่า คุณอยู่กับหลวงพ่อมานาน เคยเห็นผู้หญิงสวย ๆ มาหาท่านบ้างไหม" ท่านหมายถึงสตรีที่ท่านพระครูเคยเล่าให้ฟัง แต่นายจ่อยไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน จึงตอบไปตามที่ตนมีประสบการณ์ว่า
"หลายคนเชียวแหละหลวงพี่ ทั้งสาวแก่แม่หม้าย ตั้งแต่สวยหยาดเยิ้มไปจนถึงผีหลงหลุม"
"เป็นยังไงที่ว่าผีหลงหลุมนะ" คนฟังไม่เข้าใจ
"อ้าว...ก๊อขี้เหร่เหมือนกับผีหลงหลุมน่ะซี แต่เชื่อไหม หลวงน้าไม่สนใครสักคน บางทีท่านก็ว่าให้ด้วยซ้ำ อย่างคนนึงเป็นด็อกเตอร์สวยด้วย มาหาท่านบ้อยบ่อย ถามโน่นถามนี่ที่ไม่เกี่ยวกับธรรมะ แล้วก็แต่งตัวชะเวิกชะวาก ก้มทีงี้ แหม! อย่าให้พูดดีกว่า" นายจ่อยยังจำภาพด็อกเตอร์สาวผู้นั้นได้ติดตา
"แหม! ถ้าอาตมาเป็นหลวงพ่อคงตบะแตกแน่เลย"
"แต่ถ้าหลวงพี่เห็นจริง ๆ ผมว่าคงไม่พูดยังงี้หรอก มันทุเรศมากกว่า ผมยังนึกทุเรศไม่หาย คนอะไรก็ไม่รู้มีความรู้ซะเปล่า แต่ไม่มีหัวคิด"
"แล้วท่านพระครูท่านว่าอย่างไรบ้าง ที่เขาทำอย่างนั้น"
"ตอนแรกท่านก็สอนทางอ้อมว่าคนที่จะมาวัดมาว่า ควรจะแต่ตัวให้เรียบร้อย แต่ยายคนนั้นแกไม่เข้าใจ เพราะวันหลัง ๆ แกก็แต่งแบบนี้มาอีก ท่านก็เลยว่าเอาตรง ๆ ท่านพูดว่า "นายจ่อยเลียนเสียงและท่าทางของท่านพระครู
"นี่โยม อาตมารู้นะว่าโยมคิดยังไงกับอาตมา แต่โยมสิไม่ยอมรับรู้ว่าอาตมาคิดยังไงกับโยม ถ้าอาตมาคิดจะสึก ก็คงสึกไปเสียนานแล้ว เพราะคู่รักของอาตมาสวยกว่าโยมหลายเท่านัก ทั้งสวยทั้งดี อาตมายังไม่หวั่นไหว แล้วทำไมจะต้องมาสนใจคนอย่างโยม ผู้ซึ่งหาสาระแก่นสารอะไรไม่ได้ น่าเสียดายที่เป็นถึงด็อกเตอร์ ทำอะไรไม่สมกับภูมิรู้ของตัวเลย"
"ทำไมคุณจำแม่นจัง แน่ใจนะว่าไม่ได้เพิ่มเติมเสริมแต่งขึ้นมา" พระบัวเฮียวถือโอกาสขัดคอ
"รับรองว่าไม่ได้แต่งได้เติมอะไรทั้งสิ้น เดี๋ยวผมจะบอกว่าทำไมถึงจำได้" นายจ่อยยืนยันหนักแน่น
"แล้วผู้หญิงคนนั้นว่ายังไง"
"จะว่ายังไง้ ก๊อสะบัดก้นลุกหนีไปเลย ตั้งแต่นั้นก็ไม่มาอีก"
"ถ้ามาอีก ก็อายยางมะตูมยางมะตอยแย่นะซี"
"แหม...หลวงพี่นี่ปากไม่เบาเหมือนกันนะ ให้ตายซิ"
"อ้าว...จะรีบตายไปทำไมล่ะ ยังหนุ่มยังแน่นอยู่เลย" คนเป็นพระแกล้งว่า หากคนเป็นฆราวาสกลับเฉยเสีย
"หลวงพี่ว่าพวกผู้หญิงที่ชอบสึกพระนี่ ตกนรกไหมครับ" นายจ่อยถามความเห็น
"มันก็พูดยากนาคุณนา แต่บาปนะบาปแน่ ส่วนจะถึงขั้นตกนรกหรือเปล่า อาตมาเองก็ไม่แน่ใจ ให้แน่ต้องถามหลวงพ่อ ว่าแต่ว่า รายอื่นมีอีกหรือเปล่า หรือว่ามีรายด็อกเตอร์รายเดียว"
"มีอีกหลายรายเชียวครับ ที่ผมจำคำพูดของหลวงน้าได้ก็เพราะเหตุนี้แปละ คือต้องฟังหลวงน้าพูดอย่างนี้บ่อย ๆ"
"แสดงว่า หลวงพ่อเนื้อหมอมากเชียว สาว ๆ ถึงได้มารุมตอม"
"ก็ท่านรูปหล่อนี่ครับ ตอนที่ท่านหนุ่ม ๆ น่ะ สมบัติ เมทะนีงี้ชิดซ้ายเลยละ" นายจ่อยอวดอ้างคุณสมบัติหลวงน้า
"งั้นเชียวเหรอ เอ...แต่อาตมาว่าสมบัติหล่อกว่านะ" หลวงพี่แย้ง นายจ่อยจึงรีบแก้ว่า
"นั่นเพราะหลวงน้าท่านฉันยาลดความหล่อมากไปหน่อย"
"อะไรกัน ยาลดความหล่อก็มีด้วย มันเป็นยังไงนะ ไอ้เจ้ายาขนาดนี้" พระบัวเฮียวรู้สึกสนใจ
"ขอที ขอที อย่างหลวงพี่อย่าฉันเลยครับยาขนานนี้ ขนาดยังไม่ฉันผมก็ว่า...."
"ว่ายังไง เอาอีกแล้วนะ เมื่อกี้ว่าแก่ คราวนี้มาว่าอาตมาไม่หล่ออีก ประเดี๋ยวก็ลาออกจากตำแหน่งพี่เลี้ยงของคุณเสียหรอก" ท่านขู่
"ใจเย็น ๆ น่าหลวงพี่ ผมพูดเล่นก็เอาเป็นจริงไปได้ ถ้าอย่างหลวงพี่ยังไม่เรียกว่ารูปหล่อแล้ว ใคร้จะมาหล่อ"
"คุณก็พูดไปเรื่อย ระวังบาปจะกินหัวเอานาคุณนา" หลวงพี่เตือน "ว่าแต่ว่า หลวงพ่อท่านฉันยาลดความหล่อจริง ๆ หรือ" พระบัวเฮียวยังติดใจเรื่องยา
"จะจริงหรือไม่จริง อันนั้นผมไม่รู้ แต่ท่านเคยปรารภกับผมบ่อย ๆ ว่า "นายจ่อยทำเลียนเสียงท่านพระครู "จ่อยเอ๊ย หลวงน้าเห็นท่าจะต้องกินยาลดความหล่อเสียแล้วละ ไม่งั้นก็ต้องสู้รบตบมือกับพวกมารพรหมจรรย์อยู่บ่อย ๆ ความหล่อนี่มันเป็นมารพรหมจรรย์พอ ๆ กับความสวย นั่นแหละ"
"อ้าว...หลวงพี่ไม่เข้าใจ ก็พระหล่อ ๆ น่ะ ถูกผู้หญิงสึกมาเสียมากต่อมาก หลวงน้าถึงว่าพวกผู้หญิงสวยหนึ่ง พระรูปหล่อหนึ่ง เหล่านี้เป็นศัตรูของพรหมจรรย์ พระบางองค์เป็นถึงท่านเจ้าคุณ ยังถูกผู้หญิงสึกเอาไปเป็นผัวเลย"
"อย่างอาตมานี่จะมีใครมาสึกบ้างไหม" พระหนุ่มยังหวังว่าจะมีโอกาสออกไปใช้ชีวิตคู่ "เมินเสียเถอะ ชาตินี้ไม่มีหวัง" นายจ่อยเกือบจะโพล่งออกไปอย่างนี้ หากก็ยั้งปากไว้ทัน จึงพูดเสียใหม่ว่า "อยู่อย่างนี้แหละดีแล้ว เรื่องอะไรจะต้องไปรบกับพวกมาร หลวงน้าท่านว่าผู้หญิงน่ะเป็นมารพรหมจรรย์อันดับหนึ่ง"
"แล้วมารอันดับสองล่ะ"
"อันดับสองได้แก่ ลาภ สักการะ สองอย่างนี้ ทำเอาพระเสียพระมานักต่อนักแล้ว
"ก็ในเมื่อผู้หญิงเป็นมาร แล้วทำไมคุณถึงไปรักโยมจุกล่ะ นั่นเขาเป็นผู้หญิงไม่ใช่หรือ" พระบัวเฮียวแกล้งยั่ว
"หลวงน้าสอนว่า...มารไม่มี บารมีไม่เกิด...ผมอยากสร้างบารมีครับ" นายจ่อยตอบเสียงดังฟังชัด
พระบัวเฮียวกับนายจ่อยมาถึงกุฏิท่านพระครูก่อนเวลาสิบแปดนาฬิกาเล็กน้อย นางสาวจุกเตรียมพานดอกไม้ธูปเทียนรออยู่แล้ว หล่อนมากับแม่ชีวัยกลางคน ซึ่งนายจ่อยไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แม่ชีก้มลงกราบพระบัวเฮียวสามครั้ง และนางสาวจุกก็ทำตาม
"จุกมารอที่นี่นานแล้วหรือ" นายจ่อยถามคู่หมั้น หล่อนดูแปลกตาเมื่ออยู่ในชุดแม่ชี แม้จะไม่ได้โกนผม
"ก่อนหน้าพี่จ่อยนิดเดียวเองจ้ะ" หญิงสาวตอบ พระบัวเฮียวดูคู่หมั้นของนายจ่อย ตั้งข้อสังเกตว่าปากของหล่อนเป็นสีชมพูเรื่อ ๆ ไม่ยักกะเป็นสีแดงเหมือนปากโยมผ่องพรรณกับโยมวรรณวิไล สามเมืองกรุงกับสาวบ้านนอกคงจะต่างกันตรงสีของปากนี่เอง แต่ถึงอย่างไรคุณโยมสองพี่น้องก็สวยกว่า ท่านคิดเองสรุปเองเสร็จสรรพ
"หลวงพี่อย่ามองคู่หมั้นผมนานนักซี หึงนะ" นายจ้อยเย้า
"อ้าว...คู่หมั้นคุณหรอกหรือ ก็ไม่แนะนำแล้วอาตมาจะไปรู้ได้ยังไง" พระบัวเฮียวเย้าบ้าง
"ก็ใครจะไปทราบได้ล่ะครับว่าหลวงพี่ไม่รู้ หลวงพี่ฉลาดปราดเปรื่องออกจะตายไป ไม่น่ามาตกม้าตายตอนจบเล้ย" นายจ่อยเปรียบเทียบไปคนละเรื่อง
"อ้าว นี่จะจบแล้วหรือ ก็ยังไม่ทันได้ออกแขก ไหงจะลาโลงเสียแล้ว" พระบัวเฮียวอุตส่าห์โต้ตอบให้เข้าเรื่อง นางสาวจุกมองหน้าคู่หมั้นที มองหน้าพระที ออกสงสัยว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไรกัน นึกได้ว่ายังไม่ได้ให้นายจ่อยรู้จักแม่ชี จึงพูดขึ้นว่า "พี่จ่อยจ๊ะ นี่แม่ชีเจียนที่หลวงน้าให้ฉันไปอยู่ด้วย เป็นหัวหน้าสำนักชีของวัดนี้" นายจ่อยยกมือไหว้ พลางออกปากฝากฝัง "ผมขอฝากคู่หมั้นด้วยนะครับ"
"ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ สมชายเขาบอกฉันแล้วว่าหนูจุกเขาเป็นคู่หมั้นของหลานชายหลวงพ่อ" แม่ชีเรียกท่านพระครูว่า "หลวงพ่อ" เช่นเดียวกับที่คนอื่น ๆ เรียก แม้เธอจะแก่กว่าท่านหลายปีก็ตาม
"แม่ชีมาอยู่วัดนี้นานแล้วหรือครับ" นายจ่อยถาม
สมัยที่เขาเป็นเณรอยู่ที่วัดนี้ยังไม่มีชีอยู่ในวัด
"เข้าปีที่หกแล้วจ้ะ ฉันมาจากวัดบ้านใต้โน่น" พูดพลางชี้มือไปทางทิศใต้ของวัด
"แล้วทำไมย้ายวัดเสียล่ะครับ"
"โอ๊ย ไม่ย้ายยังไงไหว ทั้งพระทั้งเณรขาดระเบียบวินัย ศีลขาด ศีลพร่องจนแทบไม่มีเหลือ ข้างฝ่ายพวกชีด้วยกันก็อิจฉาตาร้อน ทะเลาะเบาะแว้งกันไม่เว้นแต่ละวัน หาความสงบไม่ได้" แม่ชีเล่า นายจ่อยแอบคิดในใจว่า "เอาอีกแล้ว รายการตำหนิพระอีกแล้ว เฮ้อ ไม่เข้าใจเลยว่าพระสมัยนี้ ท่านคิดยังไงกันถึงได้ทำให้คนเขาว่าอยู่เรื่อย"
"ฉันก็เลยมาขอหลวงพ่ออยู่วัดนี้ พาเพื่อนชีมาด้วยอีกสามคน หลวงพ่อท่านให้พวกฉันอยู่บนศาลา สองปีต่อมาท่านถึงสร้างสำนักชีให้ ก็ค่อยเป็นสัดเป็นส่วนหน่อย ตอนนี้มีแม่ชีอยู่ราว ๆ สามสิบคน" แม่ชีชี้แจง
"แล้วเป็นไง พระวัดนี้ดีหมดทุกรูปไหม" นายจ่อยตั้งใจ "จับผิด" พระวัดนี้ โดยเฉพาะองค์ที่ชื่อ "บัวเฮียว"
"ถ้าหลวงพ่อละก็ดีไม่มีที่ติ แต่รูปอื่น ๆ ฉันไม่รับประกัน" แม่ชีแบ่งรับแบ่งสู้
"โยม อาตมาก็ไม่เคยทำเสียหายอะไรนะโยม" พระบัวเฮียวร้อนตัว
"ก็ดีแล้วนี่คะ จะได้อยู่ไปนาน ๆ ขืนทำเสียหายมีหวังถูกสั่งย้ายวัด" แม่ชีพูดตรงไปตรงมา พระใหม่เลยนิ่ง
ท่านพระครูลงมาเวลาสิบแปดนาฬิกาตรง ทุกคนที่นั่ง ณ ที่นั้นต่างพากันทำความเคารพ ยิงมิทันที่ท่านจะได้พูดจาทักทายผู้ใด อาคันตุกะสามคน เป็นสตรีสอง บุรุษหนึ่งก็พากันคลานเข้ามา ท่าคลานของคนอายุน้อยที่สุดนั้นดูตุ้มต๊ะตุ้มตุ้ยเนื่องจากเจ้าตัวน้ำหนักมาก หล่อนกราบท่านพระครูสามครั้ง แล้วบอกบุรุษกับสตรีสูงอายุที่มาด้วยว่า
"เตี่ยจ๊ะ แม่จ๊ะ นี่ท่านพระครูไงกราบท่านเสียซิ" บิดามารดาทำตามคำสั่งของบุตรสาว แล้วสตรีผู้นั้นจึงกล่าวขึ้นว่า
"หลวงพ่อจำหนูได้หรือเปล่าคะ" หล่อนแทนตัวเองว่า "หนู" ทั้งที่อายุอานามแก่กว่าท่านพระครูถึงสามปี
"จำได้สิ คุณนายดวงสุด ท่านผู้ว่าไม่ได้มาด้วยหรอกหรือ" ท่านถามถึงสามีของคุณนายซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด
"ไม่ได้มาค่ะ หนูมาจากท่าพระไปรับเตี่ยกับแม่มาเข้ากรรมฐาน เตี่ยชื่อเส็งค่ะ คนเขาเรียกกันว่า เถ้าแก่เส็ง ส่วนแม่ชื่อกิมง้อ" หล่อนแนะนำ
"ดีจริง อุตส่าห์พาพ่อแม่มาสร้างกุศล ลูกดี ๆ อย่างนี้หายากนะเถ้าแก่นะ" ท่านพูดกับเถ้าแก่เส็ง ฝ่ายนั้นยิ้มพลางพยักหน้ารับ
"แล้วคุณนายจะให้พ่อแม่อยู่กี่วันละ" ท่านถาม
"เจ็ดวันค่ะ หรือเตี่ยกับแม่ว่าไง" หล่อนถามความเป็นจากบิดามารดา
"ตามใจลื้อ ลื้อจาให้เตี่ยอยู่กี่วังก็แล้วแต่ลื้อ" ถ้าแก่เส็งตอบ เขาไม่เคยขัดใจบุตรสาว ไม่ว่าหล่อนจะให้ทำอะไร เขาทำได้ทั้งนั้น ก็มีลูกสาวอยู่คนเดียว อุตส่าห์ทะนุถนอมมาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น แล้วหล่อนก็ไม่เคยทำให้พ่อแม่ต้องผิดหวัง ความรู้ก็จบถึงมหาวิทยาลัย ฐานะก็เป็นถึงคุณนายผู้ว่าราชการจังหวัด และที่สำคัญที่สุดก็คือ หล่อนมีหลานชายหัวแก้วหัวแหวนให้เขาถึงสี่คน คนโตเรียนหมอใกล้จบแล้ว
"งั้นก็ลองดูสักเจ็ดวันก่อน ถ้าชอบค่อยอยู่ต่อ" ลูกสาวสรุป
"เมื่อไหร่คุณนายจะมาเข้าบ้างล่ะ" ท่านพระครูถาม คุณนายดวงสุดามาที่วัดนี้บ่อย มาทำบุญบ้าง ฟังเทศน์บ้าง แต่ยังไม่เคยเข้ากรรมฐาน
"หนูยังไม่ว่างเลยค่ะหลวงพ่อ เดี๋ยวก็ต้องเตรียมจัดงาน หาเงินช่วยกาชาด เอาไว้ให้คุณเอี่ยมปลดเกษียณแล้วค่อยพากันมาเข้า" หล่อนหมายถึงสามีซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด
"อาตมาว่ามันจะไม่ยังงั้นน่ะซี พอถึงเวลานั้นเข้าจริง ๆ ก็จะมาบอกว่าต้องเลี้ยงหลาน มีหลายรายเชียวที่อาตมาชวนแล้วมาไม่ได้ เช่นอ้างว่าลูกยังไม่โต พอลูกโตก็มาไม่ได้ เพราะต้องเลี้ยงหลาน พอหลานโตยังไม่ทันได้เลี้ยงเหลน ก็กลับบ้านเก่าเสียแล้ว เลยไม่ได้บุญกุศลติดตัวไป อาตมากลัวว่าคุณนายจะเป็นเหมือนเขาน่ะสิ"
"ไม่เหมือนค่ะ ไม่เหมือนแน่ ๆ หนูกับคุณเอี่ยมสัญญากันไว้แล้วค่ะ ว่าจะไม่ยอมเลี้ยงหลานเด็ดขาด ลูกใครใครก็เลี้ยงกันเอาเอง"
"อ้อ คุณนายเลี้ยงลูกเองว่างั้นเถอะ" คราวนี้คุณนายยิ้มเขิน ๆ กล่าวแก้ว่า
"ก็เตี่ยกับแม่เขาเห่อหลาน ไม่ยอมให้หนูเลี้ยงสักคน เขาคงสงสารหนู สงสารหลานที่ต้องระหกระเหินย้ายตามคุณเอี่ยมไปจังหวัดโน้นจังหวัดนี้ ก็เลยเหมาไปเลี้ยงให้ทั้งหมด"
"ฉันเลี้ยงลูกคนเดียวมันไม่ทันเบื่อ ก็เลยเลี้ยงหลานเสียเบื่อเลยค่ะ" คุณกิมง้อพูดบ้าง เธอพูดไทยชัดกว่าผู้เป็นสามี เพราะเพื่อนฝูงของเธอเป็นคนไทยเสียเป็นส่วนใหญ่
"ประเดี๋ยวมีหลานของลูกมาให้เลี้ยง ก็หายเบื่อมั้ง" ท่านพระครูหมายจะลองใจ
"ไม่หายค่ะหลวงพ่อ ฉันสัญญากับเตี่ยหนูดวงไว้แล้วว่า ออกจากวัดไป เราจะปฏิบัติกรรมฐานกันทุกวัน งานการก็เลิกทำ เราสบายแล้ว เก็บหอมรอมริบไว้มากพอสมควร ในชัยชราก็จะหาบุญหากุศลใส่ตัวไปเป็นเสบียงในชาติหน้า ที่ฉันได้ดิบได้ดีในชาตินี้ก็คงจะเพราะทำบุญมาดี ก็ต้องทำดีต่อ ๆ ไป อีกเป็นการเติมเสบียงเข้าไว้" คุณกิมง้อจาระไน
"แหม แจ๋วจริง ๆ ความคิดของอาม้านี่แจ๋ว ๆ" ท่านพระครูชมเปาะ ท่านมักเรียกสตรีที่อายุแก่กว่าท่านว่า "อาม้า"
"นาน ๆ อาตมาถึงจะเจอคนแบบนี้สักคน ที่เห็น ๆ น่ะ ประเภทไม่ยอมละไม่ยอมวางแทบทั้งนั้น เมื่อวานมาหาอาตมาคนนึง หน้าตาเศร้าหมองมาเชียว ถูกเมียยักยอกเครื่องเพชรหนีตามหนุ่มไป ก็จะไม่ให้หนียังไงเล้า ตัวเองอายุเจ็ดสิบ เมียเพิ่งจะยี่สิบแปด อาตมาเคยเตือนแล้วเขาไม่เชื่อ มันเป็นไปตามกฎแห่งกรรม เอาละ ไหน ๆ ก็พูดมาแล้ว ก็จะเล่าให้ฟังเสียเลย ฟังไว้เป็นอุทาหรณ์นะ" แล้วท่านก็ออกตัวว่า "นี่อาตมาไม่ได้เอาเขามานินทานะ เพราะไม่ได้ออกชื่อออกเสียง ที่เล่าเพราะอยากให้เอาไปคิดเป็นการบ้านว่ากรรมดี กรรมชั่วมันมีจริง ๆ" ท่านหยุดทบทวนเรื่องราวประเดี๋ยวหนึ่งแล้วจึงเริ่มต้นเล่า
"คนนี้เขาเป็นนายพล จะเป็นพลโทหรือพลเอก อาตมาก็จำไม่ได้เสียแล้ว เขาเคยมาหาอาตมาครั้งแรกเมื่ออายุ ๕๘ ก็สิบสองปีมาแล้วมาถึงก็บอก "หลวงพ่อ ผมจะแต่งงานอีกได้ไหม" อาตมาก็ถามว่า "ตอนนี้ท่านอายุเท่าไรล่ะ"
"ห้าสิบแปด"
"แล้วเจ้าสาวล่ะ"
"สิบหก เขาสวย เป็นลูกสาวจ่าลูกน้องผมเอง พ่อแม่เขาก็ยินดียกให้" นายพลเขาเล่าให้อาตมาฟังอย่างนี้ อาตมาก็ตั้งสติกำหนด "เห็นหนอ" ก็เห็นหมด เห็นอะไรรู้ไหม ท่านถามพระบัวเฮียว
"เห็นกฎแห่งกรรมใช่ไหมครับ" พระบัวเฮียวตอบแบบย้อนถามอีกทีหนึ่ง
"ถูกแล้ว อาตมาก็ได้ทราบว่า ท่านนายพลผู้นี้มีอกุศลกรรมติดมาแต่ชาติก่อน โดยเฉพาะเรื่องผิดศีลข้อกาเม จำไว้นะ คนที่ผิดศีลห้าน่ะ ต้องรับกรรมทุกคน คือถ้าผิดศีลมาจากชาติก่อน ชาตินี้ต้องมารับกรรม อาตมาวิจัยมาแล้ว ถูกต้องแน่นอนไม่มีผิดพลาดเลย เป็นต้นว่าคนที่มีปาณาติบาตติดมาหกสิบเปอร์เซ็นต์จากชาติก่อน มาชาตินี้ต้องอายุสั้น ถึงจะเกิดมาสวยมารวยยังไงก็จะอยู่ได้ไม่นาน จะต้องตายตั้งแต่อายุยังไม่ถึงครึ่งคน พวกที่อทินนาทานติดมาหกสิบเปอร์เซ็นต์ มีทรัพย์สินเงินทองจะต้องถูกเขาลักขโมย บางที่ก็ถูกปล้น เรียกว่าทรัพย์อยู่กับตัวไม่ได้ มันร้อน เพราะเคยไปลักขโมยของคนอื่นเขามา พวกที่กาเมสุมิจฉาจารติดมาหกสิบเปอร์เซ็นต์ จะมีเมีย มีผัว ต้องเป็นของคนอื่นเขาหมด คือมีเมีย เมียก็มีชู้ มีผัว ผัวก็มีเมียน้อย"
"มีเมียน้อยก็ดีนี่ครับหลวงพ่อ ผมว่าดีกว่ามีเมียมาก" พระบัวเฮียวอดขัดคอไม่ได้ ท่านพระครูจึงแก้ว่า
"มีเมียน้อยในที่นี้แปลว่ามีเมียมาก"
"แล้วมีเมียมากในที่นี้จะแปลว่าอะไรล่ะครับ"
"อ้าว ก็แปลว่ามีเมียน้อยน่ะซี ทำฉลาดน้อยไปได้" คราวนี้พระหนุ่มจึงสงบปากสงบคำลงได้ ท่านพระครูจึงเล่าต่อ
"ส่วนคนที่มีมุสาวาทติดมาหกสิบเปอร์เซ็นต์ มักถูกเขาหลอก แล้วพูดจาอะไรก็มักไม่มีคนเชื่อถือถ้อยคำ สำหรับข้อสุดท้าย อันนี้สำคัญมาก เพราะกรรมมันตกทอดไปถึงลูก "คือคนที่ผิดศีลข้อห้า ถ้าติดมาหกสิบเปอร์เซ็นต์ รับรองได้ว่า มีลูกกี่คน ๆ ปัญญาอ่อนหมด ถ้าไม่ถึงกับปัญญาอ่อนก็ไม่ฉลาด เรียนไม่ถึงขั้นปริญญา นี่อาตมาวิจัยมาหมดแล้ว ทีนี้มาต่อเรื่องนายพล อาตมาก็เห็นว่า...."
"ขอประทานโทษเถอะค่ะหลวงพ่อ หนูยังไม่เข้าใจเรื่องศีลข้อสุดท้าย ว่าทำไมกรรมจะต้องตกมาถึงลูก ก็แปลว่าทำกรรมแทนกันได้น่ะซีคะ" คุณนายดวงสุดาถามขึ้น
"ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกคุณนาย เราทำกรรมแทนกันไม่ได้ แต่มันเป็นเรื่องของกรรมจัดสรร คือคนที่จะเกิดมาปัญญาอ่อนนั้น ก็เพราะตัวเขาทำกรรมมาเอง ไม่ใช่พ่อแม่ทำให้ แต่กรรมมันจัดสรรให้ไปเกิดกับคนที่ผิดศีลข้อห้า มันก็เลยดูเหมือนว่าทำกรรมแทนกัน แต่ที่จริงไม่ใช่ กรรมมันเพียงแต่ไปจัดสรรให้ไปประจวบกันเข้าเท่านั้น พูดอย่างนี้คุณนายพอจะเข้าใจหรือยัง"
"พอจะเข้าใจค่ะ นิมนต์หลวงพ่อเล่าเรื่องนายพลต่อเถิดค่ะ" คุณนายพูดพร้อมกับประนมมือขึ้น "นิมนต์ท่านพระครูเล่าต่อ
"อาตมาก็เห็นว่านายพลท่านผิดศีลข้อสามติดมาจากชาติก่อน มีเมียห้าคนก็หนีตามชู้หมด อาตมาก็แกล้งลองใจโดยถามว่า แล้วภรรยาท่านว่ายังไงล่ะ เขาจะยอมให้แต่งกับเด็กคราวลูกคราวหลานหรือไง" ท่านก็โกหกอาตมา บอกว่า ภรรยาหย่ากันแล้ว และก็บอกด้วยว่ามีภรรยาคนเดียว กำลังจะแต่งงานกับคนที่สองที่อายุสิบหกนี่ อาตมาเลยพูดตรง ๆ ว่าท่านมาโกหกเลย ภรรยาท่านหนีตามชู้ไปใช่ไหม ท่านมีภรรยามาแล้ว ๕ คน ล้วนแต่หนีตามชู้ไปหมด ต้องพูดความจริง อาตมาถึงจะคุยด้วย ถ้าโกหกก็เลิกพูดกัน
ในที่สุด ท่านก็ยอมรับว่าใช่ แล้วก็ถามอาตมาว่ารู้เรื่องของท่านได้ยังไง ใครมาเล่าให้ฟัง อาตมาบอกไม่มีใครเล่าหรอก อาตมารู้เอง ท่านก็ศรัทธา ถามว่าอยากแต่งงานกับเด็กคนนี้ ขอให้อาตมาช่วยดูให้ด้วยว่าจะอยู่กันยืดไหม อาตมาก็บอกว่า อย่าแต่งเลย เพราะท่านมีกรรมข้อกาเมสุมิจฉาจาร ติดมา ถ้าแต่งก็ต้องเป็นเหมือนคนอื่น ๆ อีก ท่านก็บอกให้อาตมาช่วย อาตมาบอกไม่สามารถฝืนกฎแห่งกรรมได้ ก็ขอร้องให้ท่านเลิกล้มความตั้งใจ ท่านก็ไม่เชื่อ ก็กลับไปแต่งงานจนได้
แต่งงานได้สองปีก็เกษียณ ผู้หญิงก็มีชู้ ท่านก็ไม่โกรธ เพราะรู้ว่ามันเป็นกฎแห่งกรรม ผู้หญิงเขาก็ทนอยู่ด้วยเพราะอยากได้สมบัติ จะรอให้ผัวตายว่างั้นเถอะ อยู่มาสิบสองปีนายพลก็ยังไม่ตาย เขาก็เลยขนเครื่องเพชรและขอมีค่าอื่น ๆ หนีไปอยู่กับชู้เสียเลย นายพลก็เสียใจ นึกถึงอาตมาขึ้นมาได้ก็อุตส่าห์มาหา มาปรับทุกข์ แต่อาตมาก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก ชวนให้มาเข้ากรรมฐานก็ไม่ยอม นี่แหละฟังเอาไว้แล้วเก็บไปคิดเป็นการบ้าน" ฟังเรื่องของนายพลแล้ว ผู้ที่นั่ง ณ ที่นั้น ต่างพากันสลดใจ ขณะเดียวกันก็คิดว่าพวกตนโชคดีที่มีโอกาสมาเข้ากรรมฐาน
"แล้วนี่คุณนายจะกลับหรือว่าจะค้างวัดซักคืนสองคืน" ท่านพระครูถามคุณนายดวงสุดา
"กลับเลยค่ะ คนขับรถเขารออยู่ เดี๋ยวจะให้เขาขนเสื้อผ้าของเตี่ยกับแม่มาให้ หลวงพ่อจะให้พักที่ไหนคะ"
"โยมผู้หญิงให้พักกับแม่ชี ส่วนโยมผู้ชายให้พักกุฏิพระบัวเฮียว คุณนายไม่ต้องห่วง อาตมาจะจัดการให้เรียบร้อย"
เมื่อกี้หลวงพ่อเรียกพ่อแม่ของคุณนายว่า เถ้าแก่ กับอาม้า ไหงมาเปลี่ยนเป็นโยมผู้หญิงโยมผู้ชายเสียล่ะครับ" พระบัวเฮียวคิดจะถามท่านพระครูอย่างนี้ หากก็เกรงว่าจะถูกท่านย้อนให้ต้องอับอายขายหน้า จึงเพียงแค่คิดเท่านั้น
คุณนายดวงสุดา หยิบซองสีขาวออกมาจากกระเป๋าเสื้อเพื่อถวายแด่ท่านพระครู
"หนูขอถวายปัจจัยเป็นค่าอาหารเลี้ยงพระเณรและผู้มาเข้ากรรมฐานค่ะ" ท่านพระครูยื่นผ้ากราบออกไปรับประเคน คุณนายประเคนเสร็จจึงกราบสามครั้งพร้อมกล่าวลา
ก่อนลุกออกไป ได้หันไปพูดกับบิดามารดาว่า "หนูไปละนะ ขอให้เตี่ยกับแม่ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ อย่าเกเรล่ะ แล้วก็อย่าลืมแผ่เมตตาอุทิศส่วนบุญไปให้หนูด้วย" พระบัวเฮียวรู้สึกว่าคุณนายสอนพ่อแม่ราวกับสอนลูก เลยชักสงสัยว่าใครเป็นพ่อเป็นแม่ ใครเป็นลูกกันแน่ คุณนายลุกออกไปสักประเดี๋ยว คนขับรถก็นำกระเป๋าเสื้อผ้าสองใบมาส่งให้เถ้าแก่เส็งกับภรรยา แล้วจึงกลับออกไป
ท่านพระครูให้สองสามีภรรยาขึ้นกรรมฐานพร้อมกับนายจ่อยและคู่หมั้น โดยีแม่ชีเจียนเป็นผู้กล่าวนำ ให้คนทั้งสี่กล่าวตาม ขึ้นกรรมฐานแล้ว ท่านพระครูจึงแนะแนวทางแก่คนทั้งสี่ว่า "ก่อนที่จะเริ่มต้นปฏิบัติ จำเป็นต้องรู้ปริยัติสักเล็กน้อยพอเป็นเค้า นั่นก็คือ ต้องเข้าใจความหมายของคำว่า จิต อารมณ์ และสติ เสียก่อน เพราะสามคำนี้มีความสำคัญมาก ไหนพระบัวเฮียวช่วยอธิบายหน่อยซิว่า จิตคืออะไร"
"จิต คือ ธรรมชาติรับรู้อารมณ์ ครับ" พระบวชใหม่ตอบ
"แล้วอารมณ์คืออะไร แม่ชีเจียนช่วยอธิบายสู่กันฟังหน่อยเป็นไร" ท่านถามแม่ชีเป็นการทดสอบไปในตัว
"อารมณ์ คือ สิ่งที่จิตไปยึดเหนี่ยวค่ะ" แม่ชีตอบ
"ถูกแล้ว อารมณ์ในที่นี้จึงแตกต่างจากความหมายที่ใช้กันโดยทั่วไป เพราะหมายถึงอารมณ์ ๖ ซึ่งได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ และ ธรรมารมณ์ โยมสองคนพอจะเข้าใจที่อาตมาพูดไหม"
"ม่ายเข้าจาย" เถ้าแก่เส็งตอลพร้อมกับส่ายหน้า ส่วนคุณกิมง้อเพียงแต่ยิ้ม
"ไม่เป็นไร ตอนนี้ยังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ปฏิบัติมาก ๆ แล้วจะรู้ได้เอง" ท่านให้กำลังใจ รู้ว่าผู้มีอายุสองคนนี้ต้องทำได้ และจะก้าวหน้ากว่าคนหนุ่มสาวที่นั่งทำตาปริบ ๆ อยู่ต่อหน้าท่านเสียอีก
"เอาละ เมื่อเข้าใจความหมายของจิตและอารมณ์แล้ว ทีนี้ก็มาทำความเข้าใจกับคำว่า สติ สติ แปลว่า ความระลึกรู้ สติทำหน้าที่ผู้จิตไว้กับอารมณ์ ในพระสูตรให้ความหมายของสติว่า เป็นเครื่องผูกจิต"
"ทำไมถึงต้องผูกจิตไว้ล่ะจ๊ะหลวงน้า" นางสาวจุกถาม นายจ่อก็คิดจะถามแบบเดียวกันนี้ พอดีคู่หมั้นถามขึ้นก่อน
"การที่ต้องผูกจิตก็เพราะจิตมันไม่อยู่นิ่ง มันซัดส่ายไปหาอารมณ์โน้นอารมณ์นี้อยู่ตลอดเวลา การจะฝึกจิตให้ตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์เดียวจึงต้องเอาสติมาผูกมันไว้ เหมือนเวลาเราจะฝึกวัว เราก็ต้องใช้เชือกผูกวัวไว้กับหลักให้มั่นเสียก่อนจึงจะฝึกได้ สติจึงเปรียบเหมือนเชือก จิตก็คือวัว ส่วนอารมณ์ก็คือหลัก สติทำหน้าที่ผูกจิตไว้กับอารมณ์ ก็เหมือนเชือกทำหน้าที่ผูกวัวไว้กับหลัก ทีนี้พอจะเข้าใจหรือยัง"
"เข้าใจครับหลวงน้า เข้าใจแจ่มแจ๋วเลย" คราวนี้คนเลี้ยงวัวรีบตอบ
"โยมสองคนล่ะ พอจะเข้าใจที่อาตมาพูดบ้างไหม" ท่านถามบิดามารดาของคุณดวงสุดา
"พอจะเข้าใจค่ะ" คุณกิมง้อตอบขณะที่เถ้าแก่เส็งพยักหน้า
จากนั้นท่านเจ้าของกุฏิจึงขึ้นไปเขียนหนังสือต่อยังขั้นบนของกุฏิ แม่ชีเจียนพานางสาวจุกและคุณกิมง้อกลับไปฝึกเดินจงกรมที่สำนักชีซึ่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้านหลังวัด
ท่านพระครูเคยเล่าให้แม่ชีฟังว่า เมื่อสิบกว่าปีก่อนนี้ ส่วนที่เรียกว่าหลังวัดเคยเป็นหน้าวัดมาก่อน เพราะการไปมาต้องอาศัยเรือมาขึ้นฝั่งที่หน้าวัด ต่อเมื่อมีการตัดถนนสายเอเชียผ่านด้านหลังวัด ผู้คนก็หันมาใช้ถนนแทนเรือ หลังวัดจึงกลายเป็นหน้าวัดไปโดยปริยาย
พระบัวเฮียวสอนเดินจงกรมให้นายจ่อยและเถ้าแก่เส็งที่กุฏิท่านพระครูนั่นเอง เพราะกว้างขวางพอที่จะเดินได้ครั้งละหลาย ๆ คน ส่วนกุฏิที่ท่านอยู่นั้นมีเนื้อที่พอเดินได้เพียงคนเดียว คืนนี้ก็ต้องนอนกันถึงสามคน ก็คงจะอึดอัดอยู่สักหน่อย โชคยังดีที่เป็นหน้าหนาว ท่านพระครูท่านสั่งให้สมชายนำหมอนและผ้าห่มไปเพิ่มแล้ว
สาธิตวิธีเดินจงกรมให้เป็นตัวอย่างแล้ว พระบัวเฮียวจึงให้คนทั้งสองลองเดิน เถ้าแก่เส็งตั้งอกตั้งใจเต็มที่และเดินได้ถูกต้องตามที่ครูสอน ส่วนนายจ่อยจับ ๆ จด ๆ สอนก็ยากจนครูออกจะหนักใจ ก็พอจะมองออกว่าอุปนิสัยไม่มาทางนี้
"หลวงพ่อท่านสอนไว้ว่า การทำความดีต้องฝืนใจ อาตมารู้ว่าคุณไม่ชอบ แต่ในเมื่อคุณตั้งใจที่จะทำความดีแล้ว คุณก็ต้องฝืนความรู้สึกให้ได้" ท่านพูดเป็นงานเป็นการ เห็นท่านเอาจริง นายจ่อยชักกลัว อีกอย่างก็ชักจะรู้สึกอายคนแก่ที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเดินอย่างขะมักเขม้น "เอาละวะไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ลองตั้งใจทำดูหน่อยเป็นไร คงไม่ถึงตายหรอกน่า" นายจ่อยให้กำลังใจตัวเอง แล้วก็เลยตั้งอกตั้งใจเดินเป็นอย่างดียิ่ง




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2012, 10:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว




kakating flower.jpg
kakating flower.jpg [ 27.7 KiB | เปิดดู 5255 ครั้ง ]
:b8:

.. อนุโมทนาแล้วๆๆ..
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2012, 08:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"หลวงพ่อครับ ผมมีข้อข้องใจสงสัยหลายอย่าง อยากจะเรียนถามแต่ก็เกรงว่าหลวงพ่อจะไม่ตอบ เพราะมันไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติ ครั้นจะเก็บเอามาไว้มันก็ข้องใจอยู่นั่นแล้ว หลวงพ่อว่าผมควรจะทำอย่างไรดีครับ" เป็นคำถามค่อนข้างยาว ที่ท่านพระครูได้รับจากพระบัวเฮียวในเช้าวันนี้
"เอาอย่างนี้ ไหนเธอตอบฉันมาก่อนซิว่า เธอจะถึงกับท้องแตกตายหรือเปล่า ถ้าหากว่าฉันไม่ตอบน่ะ" ท่านพระครูเปิดฉากกระแนะกระแหน พระบัวเฮียวใจชื้นขึ้นมานิดหนึ่ง ลองท่านตอบอย่างนี้ แสดงว่ากำลังอารมณ์ดี พระหนุ่มจึงตอบไปว่า
"ก็ไม่แน่นะครับหลวงพ่อ ถ้าขืนเก็บไว้นาน ๆ ก็อาจจะต้องตายในลักษณะนั้น หลวงพ่อคงไม่อยากเห็นใช่ไหมครับ มันคงอุจาดตานาดูเชียวละ ผมเองก็ไม่อยากตายตั้งแต่อายุยังน้อย อีกอย่างนึงหลวงพ่อก็เป็นคนมีเมตตากรุณา ใคร ๆ ก็รู้ นึกว่าสงสารลูกนกลูกกา ช่วยตอบให้หายสงสัยหน่อยเถอะครับ แล้วผมจะไม่ลืมพระคุณหลวงพ่อเลย" พระบัวเฮียย "ร่ายยาว" จนท่านพระครูคร้านที่จะฟัง จึงออกปากอนุญาตว่า
"เอาเถอะ ๆ ไม่ต้องยกแม่น้ำทั้งห้า เธออยากจะให้ฉันตอบเรื่องอะไรก็ถามมา ถ้าตอบได้ก็จะตอบ ตอบไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ว่าไง จะถามอะไรก็ถาม"
"แหม! หลวงพ่อน่าจะรู้ว่าผมจะถามอะไร ทุกทีก็เห็นหลวงพ่อรู้ทำไมวันนี้เกิดไม่รู้เสียล่ะครับ" พระบัวเฮียวไม่วายกระเซ้า
"ฉันจะรู้ก็ต่อเมื่ออยากจะรู้ แต่นี่ไม่อยากรู้ ก็เลยไม่รู้ อย่ามัวพูดมากประเดี๋ยวฉันก็ไม่เปิดโอกาสให้ถามเสียหรอก" ท่านสมภารวัดป่ามะม่วงถือโอกาสเล่นตัว
"ครับ ครับ ถาม ถาม" คนถามละล่ำละลัก ถ้วยเกรงว่าท่านจะเปลี่ยนใจไม่อนุญาต
"คือว่า นายจ่อยเขามาเล่าให้ผมฟังเรื่องความประพฤติของพระ เขาว่าพระที่วัดแถวบ้านเขาทำตัวไม่เหมาะสม เป็นต้นว่า เสพสุรายาเมาบ้าง เสพเมถุนบ้าง บงการฆ่าคนบ้าง อย่างนี้มันก็ต้องอาบัติปาราชิกน่ะซีครับ พระแบบนี้มีอยู่จริงหรือครับหลวงพ่อ ผมว่านายจ่อยคงไม่พูดปดนะครับ"
"ยิ่งกว่าที่เธอพูดมายังมีเลย บัวเฮียวเอ๋ย"
"แล้วไม่ต้องอาบัติปาราชิกหรือครับ" ถามซ้ำ
"มันจะไปอาบ่งอาบัติอะไร ในเมื่อคนพวกนี้ไม่ใช่พระ แต่เป็นพวก มารศาสนา"
"ศาสนาน่ะไม่เสื่อมหรอก แต่คนเสื่อมจากศาสนา คือคนบางกลุ่มบางพวก เมื่อเห็นพระทำตัวไม่ดี ก็เลยไปโทษว่าศาสนาเสื่อม นี่คนด้อยปัญญาจะคิดอย่างนี้ เพราะขาดโยนิโสมนสิการ"
"ขาดอะไรนะครับ" พระบัวเฮียวรู้สึกไม่คุ้นหูกับ "ศัพท์ใหม่" ที่ท่านพระครูใช้
"ขาดโยนิโสมนสิการ คือไม่รู้จักคิด ไม่มองสิ่งทั้งหลายด้วยปัญญา เลยทำให้เกิดมิจฉาทิฏฐิ โยนิโสมนสิการมีความสำคัญมาก เพราะเป็นปัจจัยให้เกิดสัมมาทิฏฐิ และเป็นต้นทางของความดีทั้งปวง คนที่มีโยนิโสมนสิการเขาจะแยกแยะได้ว่า ใครเป็นพระ ใครเป็นมารศาสนา เพราะฉะนั้นถึงเขาจะเห็นพระทำตัวไม่ดี เขาก็จะไม่เสื่อมจากศาสนา เพราะเขารู้ว่านั้นคือมาร ไม่ใช่พระ"
"หมายความว่าคนที่ขาดโยนิโสมนสิการ เป็นคนโง่ใช่ไหมครับ"
จะว่าโง่ก็ไม่เชิงหรอกนะ เพราะคนพวกนี้ส่วนใหญ่จะมีการศึกษาสูง เป็นครูบาอาจารย์ เป็นแพทย์ เป็นวิศวกร เรียกว่าเป็นคนมีปัญญา แต่เป็นปัญญาทางโลก เธอคอยดูไปก็แล้วกัน อีกสิบปียี่สิบปีข้างหน้า พวกมารศาสนาจะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ แล้วคนฉลาดบางพวกก็จะไปฝักใฝ่กับพวกนี้ ประชาชนทั้งหลาย ก็จะเกิดความสับสนทางความคิด ไม่รู้แน่ว่า อันไหนผิดอันไหนถูก เพราะนอกจากจะประพฤติวิปริตผิดวินัยที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้แล้ว พวกมารศาสนาเหล่านี้ยังพยายามจ้วงจาบบิดเบือนพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกด้วย คนก็จะพากันเสื่อมจากศาสนา นับว่าเป็นเรื่องอันตรายมาก"
"แล้วเราจะแก้ไขอย่างไรครับ"
"อะไรนะ เธอพูดว่า "เรา" งั้นหรือ เราแก้ไขไม่ได้หรอกบัวเฮียวเอ๋ย อย่าว่าแต่เราซึ่งเป็นเพียงหยดน้ำหนึ่งในมหาสมุทรเลย คนที่เขามีอำนาจวาสนา มีบารมีมากกว่าเราหลายร้อยหลายพันเท่า ก็ยังไม่สามารถแก้ไขได้ มันต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม" ท่านพระครูพูดปลง ๆ
"หลวงพ่อครับ ผมชักงง ๆ แล้วนะครับ"
"งงเรื่องอะไรอีกละ รู้สึกจะงงบ่อยเหลือเกินนะ"
"ก็เรื่องกรรมน่ะครับ ประเดี๋ยวหลวงพ่อก็สอนว่า ไม่ควรปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามกรรม ประเดี๋ยวก็บอกว่าปล่อยให้เป็นไปตามกรรม จะไม่ให้ผมงงยังไงไหว" พระหนุ่มชี้แจง
"ก็ไม่เห็นจะต้องงงเลย ฉันเคยบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือว่า เรื่องของกรรมมันสลับซับซ้อน ยากที่คนธรรมดาจะรู้จะเข้าใจได้ มันเป็นอจินไตย"
"อะไรไตนะครับ" พระบัวเฮียวมีอันต้องงงหนักขึ้น
"อจินไตย เธอไม่เคยได้ยินหรอกหรือ ฉันจำได้ว่าเคยอธิบายให้เธอฟังมาครั้งหนึ่งแล้ว เอ! ก็เป็นคนช่างจำไหงลืมเสียได้ล่ะ" ท่านตำหนิกราย ๆ
"ครับ แต่ก่อนผมช่างจำ แต่เมื่อมาเจออะไร ๆ ที่ทำให้งงอยู่เรื่อย ความจำมันก็เลยเสื่อม หลวงพ่อกรุณาขยายความอีกสักครั้งเถิดครับ" ท่านพระครูนิ่ง ตามองไปที่ตู้พระคัมภีร์ พูดว่า
"ฟังอย่างเดียวมันจำยาก ต้องให้เห็นด้วย นั่นไงอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ นั่น ไปเปิดดูเสีย" พระใหม่จึงต้องลุกขึ้นเดินไปที่ตู้พระคัมภีร์หาอยู่นานกว่าจะได้เล่มที่ต้องการ ได้คัมภีร์แล้วจึงกลับมานั่งที่เดิม
"อยู่หน้าอะไรครับหลวงพ่อ" ถามเพราะใช้ไม่เป็น
"หน้าโง่มั้ง" ท่านพระครูตอบหน้าตาเฉย
"โธ่หลวงพ่อก็ ถามดี ๆ ต้องด่ากันด้วย"
"ใครว่าด่า คนดี ๆ อย่างเธอใครเขาจะด่า"
"แหม! หลวงพ่อนี่เข้าใจ ใช้ได้ ใช้ได้" พูดพลางพยักหน้าหงึก ๆ
"เข้าใจอะไร" คราวนี้ท่านพระครูเป็นฝ่ายงงบ้าง
"ก็เข้าใจตบหัวแล้วลูบหลังน่ะซีครับ มีอย่างที่ไหน ด่าว่าผมโง่อยู่หยก ๆ ก็มาชมว่าผมดีอีกแล้ว อย่างนี้ไม่เรียกว่าตบหัวแล้วลูกหลัง จะให้เรียกว่าอะไร"
"โง่แต่ดี กับฉลาดแต่เลว เธอจะเลือกอย่างไหนล่ะ"
"เอาดีด้วยฉลาดด้วยครับ" ตอบเสียงหนักแน่น
"อันนั้นมันไม่ได้อยู่ในเงื่อนไข ฉันให้เธอเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่าง ว่าไงจะเอาอย่างไหน"
"งั้นก็เอาโง่แต่ดีแล้วกันครับ ผมไม่อยากฉลาดแล้วตกนรก แล้วหลวงพ่อล่ะครับจะเลือกอย่างไหน" พระหนุ่มเป็นฝ่ายถามบ้าง
"สำหรับฉันไม่ว่าจะเลือกอย่างไหน มันก็เป็นไปไม่ได้ทั้งสองอย่าง เพราะฉันอยู่นอกเงื่อนไขที่ว่านี้"
"แปลว่า หลวงพ่อหลุดพ้นแล้วใช่ไหมครับ พ้นจากนรกสวรรค์ พ้นจากความดีความชั่ว" พระบัวเฮียวถือโอกาสสรุป
"ไหนเธอจะดูเรื่องอจินไตยไม่ใช่หรือ ดูที่สารบัญเรื่องอจินติสูตรก่อนว่าอยู่หน้าที่เท่าไร แล้วช่วยอ่านให้ฉันฟังด้วย" ท่านพระครูพูดตัดบทด้วยไม่ต้องการ "อวดอุตริมนุสสธรรม" เพราะการกระทำเช่นนั้น จะต้องอาบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง คือถ้าอวดอุตริมนุสสธรรมที่มีในตน ก็จะต้องอาบัติปาจิตตีย์ ถ้าอวดอุตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน ก็จะต้องอาบัติปาราชิก ท่านจึงหลีกเลี่ยงการพูดถึงเรื่องเช่นนี้ ด้วยมันเสียทั้งขึ้นทั้งล่อง พระบัวเฮียวไม่ต่อล้อต่อเถียง ตั้งหน้าตั้งตาหา "อจินติสูตร" จากสารบัญ พบแล้วจึงเปิดไปหน้านั้น อ่านให้ท่านพระครูฟังว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้ อันบุคคลไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความบ้า เดือดร้อน อจิตไตย ๔ ประการเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑ ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน ๑ วิบากกรรม ๑ ความคิดเรื่องโลก ๑ อจินไตย ๔ ประการนี้แล ไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความบ้า เดือดร้อน....
"ไง ยังสงสัยเรื่องกรรมอยู่อีกหรือเปล่า" ท่านพระครูถาม เมื่อพระบัวเฮียวอ่านจบ
"ไม่สงสัยแล้วครับ ไม่อยากคิดด้วย ผมกลัวเป็นบ้า กลัวเดือดร้อนครับ" พระบัวเฮียวตอบจริงจัง
"ดีแล้ว คิดอย่างนั้นได้ก็ดีจะได้สบายใจ แต่เธอเชื่อเถอะ ใครทำกรรมไว้อย่างไร ก็ต้องได้รับผลอย่างนั้น เราไม่ต้องไปวิเคราะห์วิจัยแต่ประการใด พวกมารศาสนาเหล่านี้ในที่สุดก็ต้องรับกรรมที่ตนกระทำ กรรมมันมีผล มีวิบาก ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม"
"หลวงพ่อครับ ผมสังสัยอีกนิดหนึ่ง ทำไมในคัมภีร์เขาถึงกล่าวว่า "พระพุทธเจ้าทั้งหลาย" พระพุทธเจ้าไม่ได้มีพระองค์เดียวหรือครับ" คนช่างสงสัยถามอีก
"มีหลายพระองค์ ในกัปป์หนึ่ง ๆ ก็จะมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ อย่างกัปป์ที่เราอยู่นี้เรียกว่า ภัทรกัปป์ มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ ๕ พระองค์ พระพุทธเจ้าของเราเป็นพระองค์ที่ ๔ ท่านพระครูอธิบาย
"แล้วอีก ๔ พระองค์มีพระนามว่าอะไรบ้างครับ"
"อันนี้ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจ คือมันเป็นเรื่องเหลือวิสัยที่ฉันจะรู้ได้ แต่เท่าที่ฉันรู้ พระนามของพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ในภัทรกัปป์มี พระกกุสันโธ พระโกนาคมน์ พระกัสสปะ พระสมณโคดม ส่วนองค์สุดท้ายคือ พระศรีอาริยเมตตไตรย"
"ที่เรียกว่าพระศรีอาริย์ใช่ไหมครับ"
"นั่นแหละ ในคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เขาเชื่อว่าพระพุทธศาสนาคือ ศาสนาของพระสมณโคดมนั้นจะมีอายุห้าพันปี ต่อจากนั้นก็จะเป็นศาสนาของพระศรีอาริยเมตไตรย นี่เราก็ผ่านมาถึง ๒๕๑๖ ปีแล้ว ก็เหลืออีกสองพันสี่ร้อยกว่าปีก็สิ้นอายุ กล่าวกันว่า ยิ่งใกล้จะถึงห้าพันปี คนก็ยิ่งเสื่อมจากศาสนาลงไปเรื่อย ๆ และพวกมารศาสนาก็จะทวีจำนวนมากขึ้น"
"หลวงพ่อครับ แล้วระยะเวลา ๑ กัปป์ นานแค่ไหนครับ"
"เขาว่าเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก ท่านอุปมาว่าเปรียบเหมือนมีภูเขาหินล้วน กว้างยาวสูงด้านละ ๑ โยชน์ ทุก ๆ ๑๐๐ ปี มีคนนำผ้าเนื้อละเอียดอย่างดีมาลูบครั้งหนึ่ง จนกว่าภูเขานั้นจะสึกหรอสิ้นไป แต่กัปป์หนึ่งก็ยังยาวนานกว่านั้นอีก"
"ช่างยาวนานจนดูเหมือนว่าไม่มีวันสิ้นสุดเลยนะครับ ถ้าอย่างนั้นการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ก็เบื่อกันแย่ซีครับ"
"นั้นซี ฉันถึงได้พยายามที่จะตัดออกจากวัฏสงสารให้ได้ ถึงเธอเองก็เหมือนกัน"
"วัฏสงสารนี่มันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่ และจะไปสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ครับ"
"ไม่มีใครรู้ว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ และมันก็ไม่มีวันที่จะสิ้นสุดลงได้ ตราบใดที่สัตว์โลกยังทำกรรมกันอยู่"
"แต่ถ้าสัตว์โลกหยุดทำกรรมเมื่อนั้นมันก็จะสิ้นสุดลง เป็นอย่างนั้นหรือเปล่าครับ"
"มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ในทางปฏิบัติ มันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ที่สัตว์โลกจะหยุดทำกรรม อิมพอสซิเบิ้ล" คราวนี้ท่านพระครูใช้ภาษาอังกฤษ
"ฮั่นแน่ หลวงพ่อพูดภาษาปะกิดก็เป็นด้วย" พระลูกวัดล้อเลียน แล้วจึงถามต่อไปว่า
"พระจ้างฆ่าคนนี่ตกนรกไหมครับ แล้วทำไมท่านถึงต้องทำอย่างนั้น"
"เธอว่าตกหรือเปล่าเล่า อย่าลืม พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า เราทำกรรมใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราจะต้องรับผลของกรรมนั้น"
"ก็ท่านไม่ได้ลงมือฆ่าเอง ก็ไม่น่าจะบาปนี่ครับ"
"ทำไม่จะไม่บาป ถึงจะไม่ได้ลงมือเอง แต่วจีกรรม และมโนกรรมก็เป็นของท่าน แม้กายกรรมจะเป็นของคนอื่นก็ตาม กรณีที่ว่านี้ ถ้าเขาสอบสวนได้ความว่าทำผิดจริง ก็ต้องถูกให้สึก เพราะเป็นอาบัติปาราชิก มันก็น่าสลดใจนะ อุตส่าห์เข้ามาสู่ร่มกาสาวพัสตร์ แต่ก็เอาตัวไปลงนรกจนได้ กรณีรองเจ้าคณะจังหวัดจ้างฆ่าเจ้าคณะจังหวัดก็เหมือนกัน ขนาดเป็นครูบาอาจารย์ของตัวก็ยังทำได้ลงคอ"
"ทำไมถึงต้องฆ่าเล่าครับ"
"ก็หวังตำแหน่งน่ะซี อาจารย์ไม่ตายสักที ลูกศิษย์อยากจะเป็นเจ้าคณะจังหวัด ก็เลยจ้างฆ่าเสียเลย ฉันยังไปงานเผาศพท่าน เพราะคุ้นเคยกันมาก่อน เธอไม่เคยได้ยินเรื่องนี้หรอกหรือ ดังทั่วประเทศเชียวละ น่าสลดใจเหลือเกิน"
"แล้วรองเจ้าคณะจังหวัดถูกจับหรือเปล่าครับ"
"ก็เพราะถูกจับน่ะซี เรื่องถึงแดงขึ้นมา ไม่น่าทำเย เพราะลาภสักการะเป็นเหตุแท้ ๆ เป็นพระเป็นเจ้ามาหลงติดอยู่กับลาภสักการะก็เจ๊งทุกราย คราวนี้ท่านใช้ภาษาจีน
"แหมหลวงพ่อเก่งจังนะครับ พูดได้ตั้งหลายภาษา จีนก็ได้ ปะกิดก็ได้" พระบัวเฮียวออกปากชม
"ก็ฉันทำกรรมมาดี" ท่านพระครูถือโอกาสคุยทับ
"กรรมที่ทำให้เก่งเป็นอย่างไรครับ ผมอยากเก่งบ้าง"
"อยากรู้ก็ไปอ่าน จูฬกัมมวิภังคสูตร เอาเอง ที่ สุภมาณเพโตเทยยบุตร ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ทำไมคนเราถึงเกิดมาไม่เหมือนกัน บางคนโง่ บางคนฉลาด บางคนรวย บางคนจน พระพุทธเจ้าท่านอธิบายไว้ละเอียดมาก มีโอกาสก็ไปอ่านเสีย อยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๔ นั่น อ่านแล้วจะได้เลือกทำแต่กรรมดี ฉันเองยังเสียดาย ตอนเด็ก ๆ เกเรชะมัด สร้างเวรสร้างกรรมเอาไว้มาก นี่ก็ทยอยใช้ไปเรื่อย ๆ จะพยายามชดใช้เสียให้หมด ๆ ไปในชาตินี้
"แปลว่าหลวงพ่อจะไม่เกิดอีกแล้วใช่ไหมครับ"
"ด้วยใจจริงแล้ว ฉันไม่ปรารถนาจะเกิดอีกเลยแม้แต่ชาติเดียว แต่มันก็ต้องแล้วแต่เหตุปัจจัย ถ้ายังใช้กรรมไม่หมด ก็ต้องเกิดอีก ไม่ว่าจะปรารถนาหรือไม่ปรารถนาก็ตาม"
"แล้วตอนนี้หลวงพ่อใช้จวนหมดหรือยังครับ" พระบัวเฮียวพยายาม "ตะล่อม"
"หมดหรือไม่หมด มันก็ไม่ใช่เรื่องของเธอ อย่ามาถามเซ้าซี้อยู่เลย ฉันไม่หลงกลเธอง่าย ๆ หรอก" คนเป็นศิษย์ทำหน้าปั้นยาก เมื่อคนเป็นอาจารย์รู้เท่าทัน แต่แล้วก็ถามขึ้นอีกว่า
"หลวงพ่อครับ ผมยังสงสัยเรื่องที่หลวงพ่อเล่ามา"
"เรื่องอะไรอีกล่ะ" คนถูกถามชักจะรำคาญ
"ก็เรื่องที่รองเจ้าคณะจังหวัดจ้างฆ่าเจ้าคณะจังหวัด เพราะหวังครองตำแหน่งแทนน่ะครับ ผมว่าไม่น่าจะบาปมากมายอะไร เพราะท่านไม่ได้ลงมือฆ่าเอง" พระใหม่ไม่วายสงกา
"ช่างสงสัยจริงนะ เอาละฉันจะอธิบายให้ฟัง การฆ่านั้นจะบาปมากน้อยแค่ไหน ก็ต้องดูว่ามันครบองค์ ๕ หรือเปล่า ถ้าครบก็บาปมาก ถ้าไม่ครบก็บาปน้อยลดหลั่นกันลงไป องค์ ๕ นั้นได้แก่ สัตว์มีชีวิต ๑ รู้ว่าสัตว์มีชีวิต ๑ มีจิตคิดจะฆ่า ๑ ใช้ความพยายามในการฆ่า ๑ สัตว์ตายเพราะความพยายามนั้น ๑ ฉันจะเล่าเป็นตัวอย่างให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง แล้วเธอวิเคราะห์เอาเองก็แล้วกัน ว่าครบองค์ ๕ หรือเปล่า เรื่องนี้เขาเล่าสืบกันมา เขาว่าเป็นเรื่องจริงด้วย"
"แล้วหลวงพ่อว่าหรือเปล่าครับ"
"ว่าอะไร"
"ก็ว่าเป็นเรื่องจริงน่ะซีครับ ผมไม่เคยได้ยินว่า "หลวงพ่อว่า" สักครั้งมีแต่ "เขาว่า เขาว่า" อยากให้หลวงพ่อว่าบ้าง" พระญวน "ยวน"
"พูดอย่างนี้แปลว่าไม่ฟังใช่ไหม ก็ดี ฉันจะได้ไม่เล่า" คนเป็นอาจารย์ถือโอกาสเล่นตัว
"ฟังครับฟัง นิมนต์เล่าเถอะครับ" พูดพร้อมกับประนมมือขึ้น "นิมนต์" ท่านพระครูจึงเริ่มเล่า
"กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว..."
"นานแค่ไหนครับ" ผู้ฟังไม่วายล้อเลียน
"จะนานแค่ไหนมันก็นานแล้วกัน"
"หลวงพ่อนี่ความจำดีจังนะครับ เรื่องนานมาแล้วยังอุตส่าห์จำได้" คราวนี้ท่านพระครูหมดความอดทนอย่างแท้จริง จึงยื่นคำขาดว่า "นี่บัวเฮี้ยว ถ้าเธอเฮี้ยวอีก รับรองว่าฉันไม่เล่าแน่"
"ครับ ๆ ผมไม่ขัดคอแล้ว ผมบัวเฮียวครับ ไม่ใช่บัวเฮี้ยว นิมนต์เล่าเถิดครับ" ท่านพระครูจึงเริ่มต้นใหม่ว่า
"กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหลวงตาองค์หนึ่ง อาศัยอยู่ในวัดวัดหนึ่ง เช้าตรู่วันหนึ่ง ท่านก็เห็นเต่าใหญ่ตัวหนึ่ง กำลังเดินต้วมเตี้ยมอยู่บนทางที่จะไปถาน หลวงตากำลังจะไปถานเพื่อปลดทุกข์ ครั้นเห็นเต่าทุกข์นั้นก็พลันหาย เพราะความอยากฉันแกงเต่า ก็เลยหันหลังเดินกลับไปที่กุฏิ คว้าคัมภีร์ใบลานมานั่งเทศน์ ทำเสียงอ่อนหวานว่า "เมื่อกี้ข้าไปถานเห็นเต่าคลาน ตัวมันออกใหญ่ ๆ เมื่อกี้ข้าไปถานเห็นเต่าคลาน ตัวมันออกใหญ่ ๆ เทศน์ซ้ำ ๆ อยู่อย่างนี้ เพราะต้องการจะให้ลูกศิษย์ได้ยิน ข้างฝ่ายลูกศิษย์ก็นึกว่าหลวงตาเทศน์ ก็ไม่ได้ใส่ใจ หลวงตาโมโห เลยตะโกนดัง ๆ ว่า "เมื่อกี้ข้าไปถาน เห็นเต่าคลานตัวมันออกใหญ่ ๆ โว๊ย" คราวนี้มีโว๊ยติดมาด้วย หลวงตาท่านโว๊ยนะ ไม่ใช่พระครูเจริญโว๊ย เดี๋ยวจะมาหาว่าฉันพูดไม่สุภาพ" ท่านพระครูออกตัวไว้ก่อน พระบัวเฮียวเลยถือโอกาสสนองว่า
"ผมยังไม่ได้ว่าหลวงพ่อสักหน่อย ไม่เห็นจะต้องร้อนตัวไปเลย นิมนต์เล่าต่อเถิดครับ กำลังสนุก"
"พอหลวงตาโว๊ย ลูกศิษย์ก็เลยเข้าใจ รู้ว่า อ้อนี่หลวงตาคงอยากจะฉันแกงเต่า จึงเดินไปทางที่จะไปยังส้วมพระ ก็เห็นเต่าตัวหนึ่งคลานต้วมเตี้ยมอยู่ เลยจับเอามา วิธีแกงเต่าสมัยนั้นจะต้องต้มให้มันตายเสียก่อน ลูกศิษย์จึงจัดแจงก่อไฟ เอาหม้อข้าวใส่น้ำยกขึ้นตั้งไฟ พอน้ำเดือดก็จับเต่าใส่ลงไป บังเอิญเต่าตัวมันใหญ่กว่าหม้อข้าว มันก็เลยร่วงลงมา ลูกศิษย์ก็จับใส่ลงไปใหม่ มันก็ร่วงลงมาอีกเป็นสองครั้งสามครั้ง ข้างฝ่ายหลวงตาชำเลืองดูอยู่ เห็นท่าจะไม่ได้ฉันแกงเต่าเป็นแน่แท้ ก็เลยหยิบคัมภีร์ใบลานขึ้นมาอีก เดี๋ยวกอ่นเธอรู้จักหมอต้มกรักไหมล่ะ" ท่านถามคนฟัง
"ไม่รู้จักครับ"
"หม้อต้มกรัก เป็นภาชนะรูปทรงกระบอก มีขนาดใหญ่กว่าหม้อข้าว เขาเอาไว้สำหรับย้อมจีวร เพราะสมัยนั้นยังไม่มีจีวรขายเหมือนอย่างสมัยนี้" คนเล่าอธิบาย
"ครับ แล้วอย่างไรต่อไปครับ"
"หลวงตาก็กางคัมภีร์ออก แล้วเทศน์ด้วยเสียงอันดังว่า เมื่อกี้ข้าไปถานเห็นเต่าคลานตัวมันออกใหญ่ ๆ หม้อข้าวมันเล็กนัก หม้อต้มกรักนั่นประไร ลูกศิษย์ก็จัดแจงไปหยิบหม้อต้มกรักมา เอาน้ำในหม้อข้าวเทใส่ ยกขึ้นตั้งไฟ แล้วจับเต่าใส่ลงไป ในที่สุดหลวงตาก็ได้ฉันแกงเต่าสมใจ ก็เป็นอันจบเรื่อง เอาละทีนี้เธอวิเคราะห์มาซิว่า ในองค์ ๕ ที่กล่าวมาข้างต้น หลวงตาถูกองค์ไหนบ้าง"
"ครบองค์ ๕ เลยครับ" คราวนี้พระบัวเฮียวตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
"อ้าว ก็ท่านไม่ได้ลงมือเอง แล้วจะครบได้ยังไง" ท่านพระครูลองใจ
"ครบซีครับ เพราะเต่าเป็นสัตว์มีชีวิต หลวงตาท่านก็รู้ว่ามันมีชีวิต แต่ก็ยังจะอยากกินมัน ก็แสดงว่ามีจิตคิดจะฆ่า ใช้ความพยายามในการฆ่า ก็ตรงที่เทศน์ว่า หม้อข้าวมันเล็กนัก หม้อต้มกรักนั้นเป็นไร แล้วเต่าก็ตายเพราะความพยายามนั้น อย่างนี้ไม่เรียกว่าครบองค์ ๕ หรือครับ"
"แหม! เธอนี่ฉลาดเสียจริง ๆ" พระบัวเฮียวหน้าบานเมื่อถูกชม แต่ก็หุบลงทันที เมื่อท่านพระครูพูดต่อว่า
"แต่นาน ๆ จะฉลาดสักครั้ง อย่างเรื่องเมื่อกี้น่าจะฉลาด ก็ไม่ฉลาด"
"เรื่องอะไรหรือครับ"
"ก็เรื่องรองเจ้าคณะจังหวัดนั้นไง เธอคิดว่าไม่บาปหรือไง ถึงท่านจะไม่ได้ลงมือเอง แต่มันก็ครบองค์ ๕ หรือเธอว่าไม่ครบ" พระหนุ่มครุ่นคิดอยู่ประเดี๋ยวหนึ่งแล้วก็ยิ้มแหย ๆ พูดเสียงอ่อย ๆ ว่า
"จริงครับ ผมไม่น่าโง่เลย"
"นั้นซี หน้าเธอดูฉลาดออก" ท่านพระครูเริ่ม "รุก" แต่พระบัวเฮียวอยากจะรู้เรื่องอื่น ๆ อีก จึงไม่ยอมต่อกลอนด้วย





"หลวงพ่อครับ อีกเรื่องหนึ่งที่ผมสงสัยก็คือ..." ศิษย์พูดยังไม่ทันจบ อาจารย์ก็รีบโบกมือห้าม
"ช้าก่อน ช้าก่อน วันนี้เราคุยกันมาพอสมควรแล้ว ฉันรู้ว่าเธอจะถามเรื่องอะไร เอาไว้ต่อวันหลังก็แล้วกัน วันนี้หมดเวลา เธอกลับไปปฏิบัติที่กุฏิของเธอได้แล้ว ตั้งอกตั้งใจเข้า จะได้ใช้หนี้ให้หมด ๆ ไปเสีย" ประโยคหลังท่านทิ้งท้ายเอาไว้ให้คนฟังไปคิดเอาเอง
พระบัวเฮียวใช้พยายามอยู่หลายวัน ก็ยังไม่สบโอกาสที่จะเรียนถามข้อสงสัยจากท่านพระครู เพราะท่านไม่ค่อยมีเวลาว่างพอที่จะมานั่งให้ลูกศิษย์ซักถามได้เหมือนแต่ก่อน ยิ่งกิตติศัพท์ความดีงามของท่านเป็นที่เลื่องลือไป คนก็พากันมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ลูกหามากขึ้น มีผู้นิมนต์ท่านไปบรรยายธรรมตามสถาบันต่าง ๆ อยู่เนือง ๆ จนแทบไม่เว้นแต่ละวัน
นับตั้งแต่ครูสฤษดิ์ซื้อรถตู้มาถวาย ท่านก็ไปไหนมาไหนสะดวกขึ้น โดยมีนายสมชายเป็นพลขับ นายสมชายเล่าว่า แต่ก่อนที่ยังไม่มีรถไว้ใช้ เวลาจะไปไหนท่านจะว่าจ้างนายอู่ให้ขับรถไปให้ แต่นายอู่ก็ทำให้ท่านต้องเสียงานอยู่บ่อย ๆ เป็นต้นว่าคืนไหนฝันร้าย รุ่งเช้าก็จะมาบอกว่าไม่สามารถขับรถไปส่งท่านได้ เพราะกลัวจะเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าท่านพระครูจะอ้อนวอนอย่างไร นายอู่ก็ไม่ยอมไปท่าเดียว ครั้นจะไปว่าจ้างคนอื่นก็ไม่ทันการ เพราะกว่าจะไปก็เลยเวลาที่เขานิมนต์ไปแล้ว
แต่ถึงนายอู่จะกลัวอย่างไรก็ไม่อาจหนีกฎแห่งกรรมไปได้ เพราะในที่สุดนายอู่ก็ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำเสียชีวิต เนื่องจากไม่รักษาสัจจะ
เรื่องมีอยู่ว่า สมัยหนุ่ม ๆ นายอู่มีอาชีพล่องเรือค้าขายไปตามลำน้ำเจ้าพระยา ไปซื้อของกรุงเทพฯ มาขายต่างจังหวัด และอาเของต่างจังหวัดไปขายกรุงเทพฯ กิจการก็รุ่งเรืองดีอยู่ มีเรือของตัวเองหนึ่งลำและทำเป็นเรือโดยสารด้วย
คืนหนึ่ง ขณะล่องเรือกลับจากกรุงเทพฯ คนขับเกิดหลับในเพราะเป็นเวลาดึกมากแล้ว เรือจึงพุ่งไปชนแก่งกลางแม่น้ำพลิกคว่ำลง คนขับกับผู้โดยสารประมาณห้าหรือหกคนพากันจมน้ำตายหมด
นายอู่กำลังจะจมน้ำ ก็เกิดห่วงแม่กับเมีย ตอนนั้นเมียกำลังตั้งท้องลูกคนแรก เขาจึงตั้งจิกอธิษฐานว่า ขอให้ตนรอดชีวิตแล้วจะบวชอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรหนึ่งพรรษา
ปรากฏว่านายอู่รอดจากการจมน้ำตายอย่างปาฏิหาริย์และกลับมาถึงบ้านได้ ไม่นานภรรยาก็คลอดบุตรออกมาเป็นหญิง เขาก็หาเลี้ยงลูกเมียเลี้ยงแม่ ยังไม่ยอมบวช ก็อยู่ต่อมาจนมีลูกอีกหลายคน ภายหลังได้ขายเรือมาซื้อรถเที่ยวรับจ้างส่งคน ส่งของอยู่แถววัด
มาระยะหลัง ๆ นายอู่ฝันร้ายอยู่บ่อย ๆ คือฝันว่ายมบาลมาต่อว่าต่อขานที่นายอู่เสียสัจจะ หากยังดื้อดึงไม่ยอมบวชจะต้องรถคว่ำคอหักตาย เขาจึงได้มาเล่าให้ท่านพระครูฟัง ท่านก็ขอร้องให้บวช นายอู่ก็ไม่ยอมบวช ทั้งยังขอร้องไม่ให้ท่านเล่าเรื่องความฝันให้แม่และเมียของตนฟัง คืนไหนฝัน รุ่งเช้านายอู่ก็จะไม่ยอมขับรถ
เวลาผ่านไปอีกหลายปี กระทั่งลูกสาวคนโตอายุ ๒๑ และกำลังจะแต่งงาน นายอู่ก็ฝันร้ายถี่ขึ้น ท่านพระครูก็ขอร้องให้เขาบวช เพราะท่านรู้ว่าถ้าไม่บวช เขาจะต้องตาย นายอู่ก็ดื้อดึงมายอมบวช อ้างว่าถ้าเขาบวชแล้วใครจะหาเลี้ยงแม่เลี้ยงเมีย
ความจริงเขาจะบวชก็บวชได้ เพราะลูก ๆ ก็โตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมดแล้ว นอกจากไม่ยอมบวชแล้ว เขายังขอร้องท่านพระครูให้ปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
อยู่ต่อมาไม่นาน นายอู่ก็รถคว่ำคอหักตายจริงดังที่ฝัน ท่านพระครูรู้สึกเศร้าสลดใจทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันเป็นกรรมที่เขาสร้างเองทำเอง เรื่องพอจะแก้ไขได้ เขาก็ไม่ยอมแก้ไข จึงต้องจบชีวิตอย่างน่าเอนจอนาถเช่นนั้น
"หลวงพี่ครับ หลวงพ่อให้มานิมนต์" นายสมชายมาบอกพระบัวเฮียวในตอนบ่ายวันหนึ่ง หลังจากที่ท่านปฏิบัติกรรมฐานเสร็จ
"นิมนต์ให้ไปที่กุฏิหลวงพ่อหรือ" พระหนุ่มเชื้อสายญวน ถามอย่างดีใจ เพราะจะได้ถือโอกาสเรียนถามข้อข้องใจสงสัยที่ติดค้างมาหลายวัน
"เปล่าหรอกครับ ท่านให้มานิมนต์จะพาไปเจริญพระพุทธมนต์เย็นที่บ้านฝั่งโน้น ลูกสาวเขาแต่งงานครับ เขานิมนต์พระวัดเรา ๓ รูป หลวงพ่อให้ผมมานิมนต์หลวงพี่กับพระมหาบุญ บอกให้เอาย่ามกับตาลปัตรไปด้วย" นายสมชายบอกกล่าว
"ไปเดี๋ยวนี้เลยหรือ" ถามอย่างยินดี
"สักพักก็ได้ครับ หลวงพ่อจะออกห้าโมง นี่เพิ่งจะบ่ายสาม หลวงพี่ไปรอที่กุฏิท่านก่อนห้าโมงก็แล้วกัน ผมไปนะครับ"
"แล้วพระมหาบุญท่านทราบหรือยัง"
"ทราบแล้วครับ ผมไปเรียนท่านก่อนจะมาหากลวงพี่" เสร็จธุระ นายสมชายจึงเดินกลับไปยังกุฏิท่านพระครู
พระบัวเฮียวจัดแจงสรงน้ำ ขัดสีฉวีวรรณอย่างพิถีพิถันกว่าทุกวัน สรงน้ำเสร็จก็จัดการนุ่งห่มอย่างเรียบร้อย รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ "ออกงาน" เป็นครั้งแรกของชีวิตการบวช ท่านถือตาลปัตรและย่ามเดินไปที่กุฏิท่านพระครู นั่งอยู่คนเดียวสักยี่สิบนาที พระมหาบุญก็มาถึง ผู้บวชทีหลังทำความเคารพภิกษุผู้เคยทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงด้วยการกราบสามครั้ง
"มานานแล้วหรือบัวเฮียว" พระมหาบุญทักขึ้นก่อน
"สักครู่ใหญ่ ๆ เห็นจะได้ หลวงพี่มาก็ดีแล้ว ผมอยากจะเรียนถามอะไรสักหน่อย"
"ถามมาก ๆ ก็ได้ ถ้าผมตอบได้ก็จะตอบ รับรองว่าไม่ปิดบังอำพรางเลยแม้แต่น้อย เป็นไง ปฏิบัติไปถึงไหนแล้ว ข่าวว่าเป็นคนโปรดของท่านพระครูเลยนี่" คนจะถามกลับเป็นฝ่ายถูกถามเสียก่อน
"ก็ไม่เชิงครับ ท่านเมตตาผมมากกว่า เห็นเป็นคนเซ่อ ๆ ซ่า ๆ ท่านคงจะสงสาร ก็เลยเอาใจใส่มากหน่อย ถ้าฉลาดหลักแหลมเหมือนหลวงพี่ ท่านก็คงปล่อยให้บินเดี่ยวได้แล้ว" พระบัวเฮียวตอบอย่างเอาใจ "หลวงพี่"
"แต่คุณก็ก้าวหน้าเร็วดีนี่ เมื่อตอนผมบวชใหม่ ๆ ท่านก็ประคับประคองอยู่หลายเดือนกว่าจะปล่อยให้บินเดี่ยวอย่างที่คุณเห็น ท่านพระครูท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่วิเศษที่สุด ผมเคารพนับถือท่านมากจริง ๆ"
พระมหาบุญพูดจากความรู้สึกลึกซึ้ง หากพระบัวเฮียวก็เข้าใจ เพราะความรู้สึกของท่านที่มีต่อท่านพระครูก็ไม่แตกต่างไปจากนี้
"หลวงพี่ครับ ผมไม่เคยออกงาน รู้สึกตื่นเต้นจนกลายเป็นความกังวล กลัวว่าจะวางตัวไม่ถูก หลวงพี่พอจะกรุณาแนะนำผมหน่อยจะได้ไหมครับ"
"ได้ซี ทำไมจะไม่ได้เล่า ไม่ต้องไปกังวลหรอก ให้ทำตามที่หลวงพ่อท่านบอกก็แล้วกัน เป็นต้นว่าเวลานั่งเขาจะเรียงตามอายุพรรษา สงสัยว่าคุณคงจะต้องนั่งท้ายแถว เพราะบวชทีหลังเพื่อน อย่าประหม่าก็แล้วกัน บทเจริญพระพุทธมนต์เย็น คุณก็ท่องได้หมดแล้วไม่ใช่หรือ"
"ครับ ได้หมดแล้ว แต่ไม่ทราบว่าเวลาสวดจริง ๆ จะจำผิดจำถูกบ้างหรือเปล่า"
"จำถูกน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่จำผิดคงไม่ดีนัก ประเดี๋ยวจะทำให้ขายหน้าพระวัดเรา เอาอย่างนี้ถ้าตอนไหนไม่แน่ใจก็ให้ออกเสียงเบา ๆ ไม่มีใครเขารู้หรอก เพราะตอนสวดเราจะเอาตาลปัตรบังหน้าไว้" ผู้แก่พรรษากว่าแนะนำ
"ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะประหม่ามากน้อยแค่ไหน คงจะเขินมากเลยถ้า...."
"ถ้าอะไร" พระมหาบุญซัก เพราะฝ่ายนั้นไม่ยอมพูดต่อ
"ถ้า...มีสาว ๆ มานั่งฟังน่ะครับ" พระมหาบุญจึงแถลงว่า
"ต้องมีแน่ ๆ อย่างน้อยก็เจ้าสาวคนหนึ่งละ แล้วยังจะเพื่อเจ้าสาวอีกคนหรือสองคน และถ้าเขารู้ว่าจะมีพระหนุ่ม ๆ ไป พวกสาว ๆ คงพากันแห่มาเชียวแหละ สงสัยว่าคราวนี้คุณจะต้องสึกเสียละมัง" พระมหาบุญพูดเย้า ๆ
"สึกน่ะไม่กลัวหรอกครับ กลัวจะประหม่า อย่างหลังนี่แก้อย่างไรครับ"
"คุณก็กำหนดซี รู้สึกอย่างไร ก็กำหนดไปอย่างนั้น ปฏิบัติแล้วก็ต้องเอามาใช้ประโยชน์ให้ได้ เอาเถอะตั้งสติเข้าไว้แล้วก็จะดีไปเอง จำไว้แล้วกันว่าถ้าคุณขืนแสดงอะไรเปิ่น ๆ ออกไป คราวหน้าคราวหลังหลวงพ่อจะไม่พาคุณไปไหนต่อไหนด้วยอีก"
"ถ้าอย่างนั้นผมจะพยายามเต็มที่เลยละครับ จะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาบ่อย ๆ"
"แต่การไปไหนมาไหนบ่อยมันก็ไม่ดีสำหรับการปฏิบัตินะบัวเฮียว เพราะจิตมันจะท่องเที่ยวไปรับอารมณ์อื่น ไม่จดจ่อแน่วแน่อยู่กับอารมณ์กรรมฐาน แต่ก็นั่นแหละถ้าเรากำหนดได้ทันมันก็ไม่เสียหายอะไร นึกเสียว่าเป็นการหาแบบฝึกหัดมาให้จิตทำแล้วกัน" พระมหาบุญแนะนำในฐานะที่เคย "อาบน้ำร้อนมาก่อน"
ท่านพระครูลงมาจากกุฏิชั้นบน เมื่อเวลาสิบเจ็ดนาฬิกาเศษ พระสองรูปที่นั่งรออยู่ทำความเคารพด้วยการไหว้ แล้วลุกขึ้นเดินตามท่านไปยังรถที่นายสมชายรออยู่
ท่านพระครูขึ้นไปนั่งตอนหน้าคู่กับคนขับ ส่วนพระมหาบุญกับพระบัวเฮียวนั่งถัดไปทางด้านหลัง นายสมชายปิดประตูเรียบร้อยแล้วจึงออกรถ วิ่งตรงไปออกสายเอเชีย แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ตัวจังหวัดซึ่งอยู่ด้านทิศเหนือของวัด ประมาณยี่สิบนาทีก็ถึงทางแยกเข้าตัวจังหวัด จากนั้นต้องวิ่งย้อนลงมาทางใต้อีกประมาณสองกิโลเมตร จึงถึงท่าเรือที่จะข้ามไปยังบ้านงานที่อยู่ทางฝั่งโน้น
"สมชายเฝ้ารถรอยู่ฝั่งนี้ ไม่ต้องข้ามไปด้วย" ท่านพระครูสั่งศิษย์วัด แล้วท่านจึงเดินนำลงไปรอเรือจ้างซึ่งมีเพียงลำเดียว ครู่หนึ่งหญิงแจวเรือจ้าง ก็แจวเรือเปล่ากลับมาหลังจากส่งผู้โดยสารขึ้นฝั่งตรงข้ามแล้ว
"นิมนต์หลวงพ่อจ้ะ จะไปบ้านงานหรือจ๊ะ" หญิงแจงเรือเชื้อเชิญพร้อมกับตั้งคำถาม ในชนบทนั้นบ้านไหนมีงานก็เป็นอันรู้ถึงกันหมดทั้งตำบล
"ไปทีเดียวสามไหวไหมจ๊ะหนู หรือว่าต้องทีละคน" ท่านพระครูถามคนแจว ซึ่งเป็นหญิงสาวอายุไม่เกินยี่สิบ เกรงว่าจะเกินเรี่ยวแรงของหล่อน เพราะน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาปริ่มขอบตลิ่ง เนื่องจากยังไม่สิ้นเดือนสิบสอง ระยะทางข้ามฟากจึงดูกว้างไกลกว่าปกติ พระบัวเฮียวมีอันต้องกำหนด "เขินหนอ" เมื่อสบตากับหล่อน
"ไหวจ้ะ นิมนต์ทั้งสามองค์เลยจ้ะ" หญิงสาวตอบ
"นั่นพายอีกันไม่ใช่หรือ" พระมหาบุญชี้ไปที่ไม้พายซึ่งวางอยู่หัวเรือ
"เอาอย่างนี้ เดี๋ยวอาตมาจะช่วยพาย จะได้เบาแรงโยมหน่อย" พูดแล้วท่านก็ลงไปนั่งที่หัวเรือ จับไม้พายมาถือด้วยท่าทางทะมัดทะแมง
เมื่อภิกษุอีกสองรูปขึ้นมานั่งในเรือเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวจึงออกเรือ โดยมีพระมหาบุญช่วยแจวอยู่ทางด้านหัว ส่วนหล่อนอยู่ท้าย ท่านพระครูกับพระบัวเฮียวอยู่กลาง
"สองทุ่มเลิกหรือยังจ๊ะหนู อาตมาต้องกลับประมาณสองทุ่ม" ท่านพระครูถาม ขึ้นจากเรือแล้วต้องเดินไปอีกหลายนาทีกว่าจะถึงบ้านงาน
"มีจ้ะ หนูจะแจวจนถึงหกโมง ต่อจากนั้นพ่อเด็กเขาจะมาเปลี่ยนและไปเลิกเอาสองทุ่มครึ่ง" หญิงสาวตอบ
"อ้อ มีลูกมีผัวแล้ว แบบนี้ค่อยหายเขินหน่อย" พระบัวเฮียวพูดในใจ รู้สึกโล่งอกเมื่อทราบว่าหล่อนมีเจ้าของแล้ว
เมื่อถึงฝั่งท่านพระครูจึงถามว่า "เท่าไหร่จ๊ะหนู"
"นิมนต์เถิดจ๊ะ ฉันถวาย นึกว่าให้ฉันมีโอกาสได้ทำบุญก็แล้วกัน"
"อย่าเลยหนู กินแรงคนอื่นมันบาป เท่าที่หนูมีจิตศรัทธาก็ได้บุญแล้ว อาตมาขออนุโมทนา เท่าไหร่จ๊ะ"
"คนละสองสลึงจ๊ะ หลวงพ่อให้ฉันมาบาทเดียวก็พอ" หญิงสาวลดให้ห้าสิบสตางค์
ท่านพระครูวางเงินไว้ให้สองบาท แล้วกล่าวว่า "ถ้าอย่างนั้นอาตมาฝากซื้อขนมไปให้ลูกหนูอีกหนึ่งบาท ขอบใจนะจ๊ะหนู"
หญิงสาวยกมือไหว้ พลางกล่าวขอบคุณ แล้วจึงรีบพายเรือเปล่ากลับไปรับผู้โดยสารที่กำลังยืนรออยู่ทางฝั่งโน้น
ร้าน "ลมโชย" เป็นร้านอาหารที่ขึ้นชื่อของตำบล ตั้งอยู่ริมแม่น้ำติดกับท่าข้ามเรือ ขณะนั้นกำลังขายดิบขายดี มีลูกค้านั่งเต็มทุกโต๊ะ โต๊ะที่ติดกับทางเดินมีแต่ผู้ชายล้วน กำลังตั้งวงเสพสุรากันอย่างครื้นเครง มีจานกับแกล้ม แก้วและขวดเหล้าวางอยู่เต็ม
เมื่อเดินผ่านโต๊ะนั้น ท่านพระครูกำหนด "เห็นหนอ" แล้วจึงกระซิบกับพระบัวเฮียวว่า "เธอคอยดูนะบัวเฮียว เดี๋ยวคนโต๊ะนี้จะตีกันถึงเลือดตกยางออก รอให้เมาได้ที่เสียก่อน ขากลับเราทันได้เห็นแน่"
"หลวงพ่อรู้ได้อย่างไรล่ะครับ" พระบัวเฮียวถามตามความเคยชินเสียมากกว่า เพราะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว
"รู้ก็แล้วกัน ไม่เชื่อเธอคอยดูว่าจะเป็นอย่างที่ฉันพูดหรือเปล่า" แล้วภิกษุสามรูปก็เดินผ่านร้านนั้นไปบ้านงาน
หลังจากการเจริญพระพุทธมนต์เย็น สิ้นสุดลง เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงจึงกล่าวลาเจ้าภาพ แล้วพาภิกษุอีกสองรูปกลับวัด ส่วนพระอีก ๖ รูปมาจากวัดทางฝั่งนี้ จึงไม่ต้องไปข้ามเรือ ขณะเดินกลับ พระมหาบุญถามพระบัวเฮียวว่า "ไงคุณหายตื่นเต้นหรือยัง"
"จวนแล้วครับ เหลืออีกนิดเดียวก็จะหาย ต้องขอขอบคุณหลวงพี่มาก ๆ เลย ผมพยายามนึกถึงคำแนะนำของหลวงพี่เกือบตลอดเวลา เพื่อเจ้าสาวเขาสวยจนผมประหม่า"
ฟังแล้วท่านพระครูอดรนทนไม่ได้ จึงขัดขึ้นว่า "รู้สึกว่าเธอจะชื่นชมแต่คนสวย ๆ เท่านั้นนะบัวเฮียวนะ ไม่รู้หรอกหรือว่า สตรีคือศัตรูพรหมจรรย์" พระบัวเฮียวตอบล้อเลียนว่า "รู้ซีครับหลวงพ่อ อาตมารู้หมด แต่อาตมาก็อดไม่ได้"
"ทำพูดดีไปเถอะ แล้วอย่ามาหาว่าฉันไม่เตือนก็แล้วกัน" ท่าสนพระครูนึกหมั่นไส้
"ดูท่าทางคุณคงอยากสึกใช่ไหมคุณบัวเฮียว" พระมหาบุญถาม
"อยากครับ ผมอยากสึกออกไปแต่งงาน เห็นเขาแต่งกันแล้วผมก็อยากแต่งบ้าง" พระบัวเฮียวสารภาพ
"แล้วคุณคิดว่าจะได้แต่งหรือเปล่า"
"คิดว่าน่าจะได้ หลวงพี่ไม่เห็นหรือ พระวัดป่ามะม่วงตั้งหลายองค์ที่รูปหล่อน้อยกว่าผมก็ยังสึกออกไปแต่งงาน แล้วทำไมผมจะทำอย่างนั้นบ้างไม่ได้"
"มันไม่ได้อยู่ที่ดีกรีของความหล่อหรอก แต่มันอยู่ที่กรรม ถ้าเราไม่เคยทำกรรมกับใครไว้ก็ไม่ต้องมาชดใช้ คนที่เขาแต่งงานกันก็เพื่อจะมาร่วมกันใช้กรรม สำหรับเธอเขาเรียกว่าไม่มีคู่กรรม เชื่อสิ ชาตินี้เธอไม่มีโอกาสได้แต่งงานหรอก" ท่านพระครูชี้แจง จำพูดของท่านจึงไปทำให้ใจของพระบัวเฮียวเหี่ยวแห้งหดหู่โดยที่ท่านมิได้เจตนา
เมื่อเดินมาถึงท่าน้ำก็ต้องรอเรือซึ่งเพิ่งจะบรรทุกผู้โดยสารสองคนออกจากฝั่งไป คงต้องยืนรออีกหลายนาทีกว่าเขาจะพายกลับมารับ
พระจันทร์ค่อนดวงลอยเด่นอยู่กลางฟ้า พวกผู้ชายที่นั่งกินเหล้าอยู่โต๊ะติดทางเดินยังไม่มีใครลุกไปไหน เสียงที่คุยชักจะดังมากขึ้น เพราะต่างก็กำลัง "ได้ที่" แล้วใครคนหนึ่งก็สบถขึ้นว่า
"...หมาตัวไหนตดวะ สงสัยแม่มันคงไส้เน่า เหม็นฉิบหายเลย" พูดด้วยความโกรธผสมกับความเมา
"พูดยังงั้นมันก็ไม่สวยซีวะ เรื่องขี้เรื่องตดมันอดกันไม่ได้โว๊ย หรือว่าแม่มึงไม่เคยตด" ชายที่นั่งติดกันพูดโกรธ ๆ
ท่านพระครูจึงกระซิบกับพระบัวเฮียวว่า "คอยดูนะ เดี๋ยวได้ตีกัน"
"หลวงพ่อไปห้ามไว้เสียก่อนไม่ดีหรือครับ" พระบัวเฮียวออกความเห็น เพราะเกรงจะถูกลูกหลง ท่านพระครูตอบว่า
"พูดกับคนเมาจะไปรู้เรื่องอะไร ดีไม่ดีจะเจ็บตัวอีกด้วย ก็คนไม่มีสติสัมปชัญญะ ไม่ว่าหน้าอินทร์หน้าพรหมพ่อซัดได้ทั้งนั้น"
เสียงทะเลาะรุนแรงขึ้น มีการด่าอย่างหยาบคาย ในที่สุดก็แบ่งออกเป็นสองฝ่ายแล้วก็ถึงขั้นตะลุมบอนกัน
"หลวงพ่อ ทำไงดี ทำไงดี" พระบัวเฮียวกระซิบเสียงลั่น ขาก็สั้นตามไปด้วย
"เฉยไว้ ไม่ต้องกลัว มากับฉันรับรองว่าปลอดภัย" พระบัวเฮียวชำเลืองไปที่โต๊ะนั้น เห็นคนหนึ่งคว้าขวดเหล้าฟาดลงบนศีรษะของอีกคนหนึ่ง ผู้ถูกฟาดล้มฟุบคาโต๊ะเลือดแดงฉาน
"หลวงพ่อครับ ผมจะเป็นลมอยู่แล้ว" พระบัวเฮียวรู้สึกใจสั่น ขาสั่นพั่บ ๆ เคยเห็นแต่เลือดวัวควาย ไม่เคยเห็นเลือดคน
"กำหนดซีบัวเฮียว" พระมหาบุญแนะ
"กำหนดไม่ไหวครับ มันกลัวจนตั้งสติไม่ได้"
"งั้นก็แปลว่าวันนี้คุณสอบตก ต้องกลับไปฝึกอีกมาก ๆ โน่นไงเรือมาโน่นแล้ว"
เมื่อเรือเข้ามาจอดเรียบร้อย สมภารรูปหนึ่งกับลูกวัดสองรูปจึงพากันลงเรือ คราวนี้พระมหาบุญไม่ต้องช่วยแจว เพราฝีพายเป็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำล่ำสัน นั่งกันเรียบร้อยแล้วท่านพระครูจึงเอ่ยขึ้นว่า
"เห็นไหมบัวเฮียว เห็นโทษของการขาดสติหรือยัง นี่ถ้าคนพวกนั้นพากันมาเข้ากรรมฐาน ก็จะไม่มีเรื่องต้องตีกันหัวร้างข้างแตกอย่างนั้น"
"นั่นซีครับ ถ้าเจ้าหมอนั่น กำหนด "กลิ่นหนอ" เสียก็คงไม่มีเรื่อง นี่จะมีคนตายไหมครับหลวงพ่อ" ถามอย่างเป็นห่วง
"ไม่หรอก เดี๋ยวตำรวจเขาก็มาจัดการ" ท่านพระครูตอบ
"ผมว่าสาเหตุของเรื่องมันไม่ได้อยู่ที่การผายลมหรอกครับหลวงพ่อ มันอยู่ที่เหล้าต่างหาก คนพวกนั้นพอเหล้าเข้าปาก ก็เห็นช้างตัวเท่าหมู" พระมหาบุญว่า
"ไม่ว่าคนพวกนั้น หรือคนพวกไหนหรอก พอเมาขึ้นมาก็ต้องเป็นแบบนี้ทั้งนั้น ไม่งั้นพระพุทธองค์ท่านจะสอนหรือ....สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา สุราเมรัยเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ศีลข้อนี้สำคัญที่สุด เพราะถ้าละเมิดข้อนี้ข้อเดียว ก็สามารถละเมิดข้ออื่น ๆ ได้ทั้งหมด ฉันถึงอยากให้ทุกคนเจริญสติปัฏฐาน ๔ จะได้ไม่ขาดสติ"
"แต่บางคนเขาก็ชอบที่จะอยู่อย่างไม่มีสตินะครับหลวงพ่อ เพราะถึงเขาจะรู้ว่าสุราทำให้ขาดสติ เขาก็ยังดื่ม ทั้ง ๆ ที่รู้"
"คนพวกนี้น่าสงสารนะท่านมหา"
"สงสารทำไม่ครับหลวงพ่อ ผมว่าเราไม่ควรสงสารคนชั่ว" พระบัวเฮียวขัดขึ้น
"เธอไม่รู้อะไร คนชั่วนั้นแหละน่าสงสาร เพราะเขาไม่รู้ว่านรกกำลังรอเขาอยู่ ก็เลยประมาทมัวเมาในชีวิต คนทุกวันนี้มักจะตั้งอยู่ในความประมาทกันเสียเป็นส่วนใหญ่ น่าเสียดายที่เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ไม่ได้ใช้ความเป็นมนุษย์ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง"
ขึ้นจากเรือ ภิกษุทั้งสามรูปจึงเดินไปที่รถซึ่งนายสมชายเตรียมเปิดประตูรอไว้แล้ว
"เป็นไง รอนานไหม" ท่านพระครูทัก
"ก็หลับไปตื่นนึงแหละครับ แต่ไม่ไหว ยุงชุมชะมัด อากาศหนาว ๆ อย่างนี้ไม่น่ามียุง" ลูกศิษย์วัดพูดเป็นเชิงบ่น
ขณะที่นั่งมาในรถ พระมหาบุญเปิดฉากการสนทนาขึ้นว่า
"ความไม่ประมาทนี้สำคัญนะครับหลวงพ่อ ขนาดพระพุทธองค์จะปรินิพพานอยู่แล้ ยังทรงเตือนภิกษุทั้งหลายให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท"
"ถูกแล้ว สมัยที่ยังทรงพระชนม์อยู่ ก็ตรัสสอนเรื่องความไม่ประมาทบ่อยครั้ง ทรงอุปมาอุปไมยว่า
....รอยเท้าของสัตว์บกทั้งหลายชนิดใด ๆ ก็ตาม ย่อมลงในรอยเท้าช้างได้ทั้งหมด รอยเท้าช้างเรียกว่าเป็นยอดของรอยเท้าเหล่านั้นโดยความใหญ่ ฉันใด กุศลธรรมทั้งหลายย่อมมีความไม่ประมาทเป็นมูล ประชุมลงในความไม่ประมาทได้ทั้งหมด ความไม่ประมาทเรียกได้ว่าเป็นยอดของธรรมเหล่านั้น ฉันนั้น...."
"แหม หลวงพ่อยังกับเป็นตู้พระไตรปิฎกเคลื่อนที่แน่ะ" พระบัวเฮียวออกปากชม แต่แล้วกลับตั้งข้อสงสัยว่า "แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นพุทธพจน์จริง ๆ เพราะพระพุทธเจ้าก็ปรินิพพานไปตั้งสองพันกว่าปีแล้ว"
"เป็นชาวพุทธ ถ้าไม่เชื่อคัมภีร์พระไตรปิฏก ก็เอวังเท่านั้นเอง จริง ๆ นะบัวเฮียว ฉันไม่ค่อยเข้าใจเธอสักเท่าไร เรื่องที่น่าสงสัย เธอก็ไม่สงสัย แต่เรื่องที่ไม่น่าสงสัยเธอกลับสงสัย รู้สึกว่าเธอชอบ "ทวนกระแส" อยู่เรื่อยเชียวนะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พระธรรมคำสอนเป็นสิ่งท้าทายให้พิสูจน์ ถ้าไม่เชื่อก็ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง แล้วเธอจะรู้ว่า พระธรรมคำสอนเป็นสัจธรรมโดยแท้" ท่านพระครูถือโอกาส "เทศน์นอกธรรมาสน์"
"ผมเชื่อครับ เชื่อโดยไม่ต้องพิสูจน์ เพราะรู้ว่าหลวงพ่อพิสูจน์มาหมดแล้วนี่ครับ" คนถูกเทศน์ตอบเสียงอ่อย
นายสมชายขับรถออกจากตัวจังหวัด แล้วเลี้ยวเข้าถนนสายเอเซียประมาณสามสิบหนาที่ก็มาจอดที่หน้ากุฏิท่านพระครู พระบัวเฮียวถือโอกาสถามเจ้าของกุฏิว่า
"อ้อ ลืมบอกไป พรุ่งนี้เป็นวันแต่ง เราต้องไปถึงบ้านงานเจ็ดโมงเจริญพระพุทธมนต์ ฉันเช้าแล้วก็กลับวัด ประมาณสิบโมงจะมีโยมมาหา จะมาสร้างหอประชุมให้ ต้องใช้เงินเป็นล้านเชียวนาท่านมหา" ประโยคหลังท่านพูดกับพระมหาบุญ
"เขามีหนังสือมาบอกหลวงพ่อหรือครับ" พระมหาบุญถาม
"เปล่าหรอก"
"แล้วทำไมหลวงพ่อทราบเล่าครับ" พระบัวเฮียวถามทั้งที่ไม่น่าจะถาม
"ก็ "เห็นหนอ" เขาบอกเมื่อตอนเช้ามืดนี่เอง" ท่านพระครูตอบ ท่านรู้ว่าพระบัวเฮียวมีข้อสงสัยอยากจะไต่ถาม จึงพูดตัดบทว่า "เอาเถอะ พรุ่งนี้ฉันจะให้เธอกับท่านมหาอยู่ฟังด้วย หลังจากนั้นเธอมีอะไรจะถามก็ถามได้"
พระบัวเฮียวดีใจอย่างบอกไม่ถูก ขณะที่พระมหาบุญรู้สึกเฉย ๆ เพราะท่านสามารถปรับตัวความยินดียินร้ายให้สมดุลกันได้แล้ว






เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2012, 02:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว




kakating flower.jpg
kakating flower.jpg [ 27.7 KiB | เปิดดู 5234 ครั้ง ]
.. อนุโมทนาแล้วๆๆ ..
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2012, 08:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


กลับจากบ้านงาน ท่านพระครูขึ้นไปเขียนหนังสือคู่มือการสอบอารมณ์กรรมฐาน อยู่ที่ชั้นบนของกุฏิ ครู่ใหญ่ ๆ นายสมชายก็ขึ้นไปรายงานว่า อาคันตุกะสี่คนมารอพบอยู่ที่กุฏิชั้นล่าง
"ไปตามพระมหาบุญกับพระบัวเฮียวมาฟังด้วย" ท่านสั่งแล้วเขียนหนังสือต่อไปอีกพักหนึ่ง รอให้พระบัวเฮียวแบพระมหาบุญมาถึงเสียก่อนจึงค่อยลง
สักครู่นายสมชายก็เดินตามภิกษุสองรูปเข้ามา เห็นเจ้าของกุฏิยังไม่ลงมาจากชั้นบน จึงขึ้นไปตามอีกครั้ง
เมื่อท่านพระครูลงมา และนั่งบนอาสนะประจำของท่านแล้ว ภิกษุสองรูปกับฆราวาสสี่คนต่างทำความเคารพ ด้วยการกราบเบญจางคประดิษฐ์สามครั้ง
"เจริญพร โยมมาจากไหนกันบ้างล่ะนี่" ท่านถามคนนั่งหน้าสุด
"ผมมาจากเชียงใหม่ครับ"
"โยมล่ะ" คนที่นั่งถัดไปตอบว่า
"ผมมาจากภูเก็ตครับ" ถามอีกสองคนก็ได้ความว่ามาจากกาญจนบุรีคนหนึ่ง จากระยองคนหนึ่ง
"แหม สี่คนมาจากสี่ทิศเลย แล้วไปยังไงมายังไงถึงได้นัดมาเจอกันที่วัดนี่"
"ไม่ได้นัดครับ พวกเราเจอกันโดยบังเอิญตรงทางเลี้ยวเข้าวัด เป็นเรื่องแปลกครับหลวงพ่อ ถึงจะมาจากคนละทิศ แต่ก็บังเอิญมาเจอกันตรงทางเข้าวัด พอคนขับรถผมเลี้ยวจากสายเอเชียมา ก็เจอรถเบ๊นซ์อีกสามคันเลี้ยวตามมา เป็นเบ๊นซ์รุ่นเดียวกันเสียด้วย แล้วแต่ละคนก็มีคนขับขับมาให้ นี่ถ้าเกิดสีเดียวกันทั้งสี่คัน ผมคงต้องเอาไปลงหนังสือพิมพ์แน่" คนที่มาจากเชียงใหม่รายงาน
"อาตมาว่ามีเรื่องแปลกกว่านั้นอีก เชื่อไหมว่าโยมสี่คนเกิดวัน เดือน ปี ตรงกัน ไม่เชื่อลองถามกันดูก็ได้"
"จริงหรือครับหลวงพ่อ งั้นผมต้องพิสูจน์ละ" คนมาจากเชียงใหม่พูดแล้วจึงหันหน้ามาถามคนที่มาจากภูเก็ตว่า "คุณเกิดเมื่อไหร่ ส่วนผมยี่สิบเจ็ดมีนา เจ็ดหนึ่ง"
"ทำไมวันเดียวกับผมเลย" อีกสามคนร้องขึ้นพร้อมกัน ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมาพบผู้เป็น "สหชาติ" ถึงสี่คนในคราวเดียวกัน คนทั้งสี่ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้เกิดขึ้น พระมหาบุญแบพระบัวเฮียวก็ไม่รู้ แต่ท่านพระครูรู้ ว่ามันเป็นไปตามกฎแห่งกรรม บุรุษที่มาจากทิศทั้งสี่ เหนือ ใต้ ตะวันตก ตะวันออก สี่คนนี้จะมาสร้างกรรมร่วมกันที่วัดป่ามะม่วง กรรมที่ร่วมกันสร้างนั้นเป็นกรรมดี!
"นี่ก็ได้เวลารับประทานอาหารแล้ว เชิญทานข้าวกันก่อนเดี๋ยวค่อยมาคุยต่อ" ท่านพระครูเชื้อเชิญพลางหันไปสั่งนายสมชาย ให้นำอาคันตุกะทั้งสี่ไปที่โรงครัว พระมหาบุญกับพระบัวเฮียวก็ลุกออกไปเพื่อฉันภัตตาหารเพล ท่านพระครูขึ้นไปเขียนหนังสือต่อยังชั้นบนของกุฏิ รอให้พระและฆราวาสทั้งหกกลับมาอีกครั้งท่านจึงจะลง
ที่โรงครัว มีอาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้เพียงโต๊ะเดียว เนื่องจากเป็นช่วงออกพรรษา อุบาสกอุบาสิกาที่มาเข้ากรรมฐานมีน้อยกว่าปกติ แม่ครัวจึงจัดอาหารใส่ปิ่นโตไปส่งให้ถึงกุฏิที่พัก จะได้ไม่ต้องเดินมาที่โรงครัว
"เชิญเลยค่ะคุณ" แม่ครัวผู้มีอัชฌาสัยเชื้อเชิญ พลางกุลีกุจอตักข้าวใส่จานแจกบุรุษทั้งสี่ นายสมชายช่วยยกน้ำมาบริการ
"ทานมาก ๆ นะคะคุณ หลวงพ่อท่านจะได้ดีใจ" แม่ครัววัยหกสิบบอกอาคันตุกะ หล่อนยิ้มแย้มแจ่มใสต้อนรับทุกคนด้วยความเต็มใจ บุรุษทั้งสี่เกิดความอบอุ่นอย่างประหลาด นับตั้งแต่รถเลี้ยวเข้ามาในวัด มีความรู้สึกเหมือนดังได้กลับคืนสู่บ้านที่ตนจากไปนานแสนนาน
"ผมรู้สึกว่าวัดนี้มีอะไรแปลก ๆ นะครับ คุณรู้สึกอย่างนั้นหรือเปล่า" บุรุษที่มาจากภูเก็ตเอ่ยขึ้น เขารู้สึกคุ้นเคยกับคนทั้งสาม ราวกับว่ารู้จักกันมานาน ทั้งที่เพิ่งจะเห็นหน้ากันเป็นครั้งแรก คนทั้งสามก็มีความรู้สึกอย่างเดียวกัน บุรุษที่มาจากเชียงใหม่เสริมว่า "ผมยังนึกว่าฝันอยู่เลยนะครับนี่ ไม่นึกว่าจะมาพบเรื่องมหัศจรรย์อย่างนี้ บอกตามตรงว่า ผมไม่เคยเข้าวัดมาก่อน ไม่เคยทำบุญ ไม่เคยศรัทธาพระ ก็พระสมัยนี้น่าศรัทธาเสียเมื่อไหร่" ประโยคหลังเขาพูดเสียงเบา เพราะเกรงแม่ครัวกับลูกศิษย์วัดจะได้ยิน
"ส่วนผมเป็นคนชอบทำบุญมาก่อน แต่พอมีเรื่องกับท่านเจ้าคุณก็เลยเลิกทำ" คนมาจากกาญจนบุรีพูด
"เจ้าคุณอะไรครับ" คนมาจากระยองถาม
"ก็เจ้าคุณ...." เขาเอ่ยนามเจ้าคุณรูปหนึ่ง ที่กลังเป็นที่เคารพศรัทธาของคนกรุงเทพฯ มีลูกศิษย์ลูกหาเป็นนักการเมืองหลายคน ล้วนแต่เป็นคนเด่นคนดังแทบทั้งสิ้น
"เรื่องร้ายแรงมากหรือครับคุณถึงกับเลิกนับถือพระ"
"ก็ไม่ร้ายแรงเท่าไหร่ แต่มันก็เล่นเอาผมหมดศรัทธาไปเลย จะเล่าให้ฟังก็คงได้ คือพี่ชายผมเขาเป็นรัฐมนตรีแล้วก็เป็นลูกศิษย์ท่าน เวลาทำบุญก็นิมนต์ท่านมาที่บ้านเป็นประจำ วันหนึ่งเขาทำบุญวันเกิด นิมนต์ท่านไว้ล่วงหน้าแล้ว พอถึงวันงานก็ให้ผมไปรับ คือผมจะทำหน้าที่รับส่งท่านทุกครั้งที่นิมนต์มา บังเอิญวันนั้นภรรยาผมเอารถเบ๊นซ์ไปร้านเสริมสวย ผมก็เลยขับโตโยต้าของลูกสาวไปรับ คุณเชื่อไหม ท่านถือตาลปัตรกับย่ามเดินตามผมมาถึงรถ พอเห็นเป็นรถโตโยต้า ท่านถามว่า ทำไมไม่เอารถเบ๊นซ์มารับ ผมก็บอกเหตุผลท่านไป ท่านก็ยืนลังเลไม่ยอมขึ้นรถ เสร็จแล้วก็บอกผมว่ารอเดี๋ยวนะ แล้วก็หายเข้ากุฏิไป ประเดี๋ยวหนึ่งก็ส่งพระอีกรูปมาแทน พี่ชายผมโกรธมาก พระรูปนั้นเล่าให้ฟังว่า เจ้าคุณท่านเจ้ายศเจ้าอย่าง ใครไม่เอารถเบ็นซ์มารับท่านก็ไม่ไป พระในวัดรู้กันดีว่าท่านติดในลาภสักการะมาก หากไม่มีผู้ใดกล้าเตือนเพราะท่านเป็นเจ้าอาวาส พวกผมก็เลยเลิกนับถือพระ เลิกทำบุญกันมาตั้งแต่บัดนั้น"
"เรื่องที่คุณเล่ามาผมจะไม่เชื่อเลยถ้าไม่ประสบกับตัวผมเอง บังเอิญผมก็รู้จักท่าน แล้วก็โดนแบบเดียวกับที่คุณโดน ผมเลยเข็ด แต่ทำไมถึงมาวัดนี้ได้ก็ไม่รู้" บุรุษที่มาจากระยองพูด
"แต่วัดนี้คงไม่ทำให้พวกเราต้องผิดหวังนะ ผมรู้สึกศรัทธาหลวงพ่อท่านจริง ๆ สงสัยว่าท่านจะเป็นพระวิเศษถึงได้รู้อะไร ๆ เกี่ยวกับพวกเรา ผมอยากมาทำบุญกับท่าน คงเป็นบุญของผมนะ ไม่งั้นคงไม่ดั้นด้นมาถึงที่นี่ เพราะวัดที่ภูเก็ตก็มีตั้งหลายวัด" การสนทนาชะงักลงชั่วครู่ เพราะรสชาติของอาหารไม่เปิดโอกาสให้คุยกัน เสร็จจากการรับประทาน นายสมชายจึงพาบุคคลทั้งสี่กลับมายังกุฏิท่านพระครูและพระอีกสองรูปนั่งรออยู่แล้ว
คนทั้งสี่นั่งเรียบร้อยแล้ว ท่านพระครูจึงกล่าวขึ้นว่า "พระวัดนี้ไม่เหมือนที่อื่นหรอกโยม ใครมานิมนต์ถ้าว่างก็ไปทั้งนั้น ไม่ต้องเอารถเบ็นซ์มารับด้วย เดินไปก็ยังเคย" คนทั้งสี่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก สงสัยเสียจริงว่า ท่านรู้เรื่องที่พวกเขาคุยกันได้อย่างไร
"แต่พระในประเทศไทยไม่ได้เป็นอย่างท่านเจ้าคุณหมดหรอกนะ ที่ดี ๆ ก็ยังมีอีกมาก อย่าเพิ่งเข้าใจผิด" ท่านพูดต่อ เมื่อเห็นคนเหล่านั้นทำหน้าสงสัย "ไปตามคนขับรถสี่คนให้ไปกินข้าวเสีย" ท่านหันไปสั่งนายสมชาย "หลวงพ่อทราบได้อย่างไรครับ" คนที่มาจากระยองถาม
"โยมอย่าได้พากันสงสัยไปเลย หลวงพ่อท่านสามารถรู้ทุกอย่างถ้าท่านอยากจะรู้" พระมหาบุญบอกกล่าว พระบัวเฮียวจึงเสริมอีกว่า "หลวงพ่อท่านได้ "เห็นหนอ" น่ะโยม" บุคคลทั้งสี่พอจะเข้าใจที่พระมหาบุญพูด แต่ไม่มีใครเข้าใจคำพูดของพระบัวเฮียว ไม่มีเลยสักคน!
"เอาละ อิ่มหมีพีมันกันดีแล้ว ไหนลองบอกมาซิว่านึกยังไงถึงพากันมาที่นี่ได้ ไม่ได้นัดกันไม่ใช่หรือ"
"ไม่ได้นัดครับ พวกผมเพิ่งมารู้จักกันที่นี่ ผมก็ไม่ทราบว่าคนอื่น ๆ เขามาที่นี่เพราะอะไร สำหรับผม ฝันว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งมาบอก ให้มาช่วยสร้างหอประชุมที่วัดป่ามะม่วงจะมีอานิสงส์มาก และจะมีเพื่อนเก่ามาช่วยสร้างอีกสามคน" คนมาจากระยองพูดยังไม่ทันจบ คนมาจากกาญจนบุรีก็พูดขึ้นว่า
"ผู้หญิงอายุประมาณยี่สิบ ผิวคล้ำ หน้าคม ผมยาว"
"สวมผ้าซิ่นสีน้ำเงิน เสื้อแขนกระบอกสีขาวใช่ไหม" คนมาจากเชียงใหม่ต่อให้ และคนที่มาจากภูเก็ตก็พูดด้วยเสียงอันดังว่า
"เธอบอกว่าชื่อ กาหลง ใช่ไหม" เป็นอันว่าคนทั้งสี่ฝันแบบเดียวกัน ท่านพระครูรู้สึกประหลาดใจที่ "แม่กาหลง" มีศรัทธามากมายถึงปานนั้น "เห็นหนอ" บอกเพียงว่าจะมีคนมา แต่ไม่ได้บอกเรื่องแม่กาหลง
"วัดนี้มีผู้หญิงชื่อ กาหลง ด้วยหรือครับ" คนที่มาจากภูเก็ตถาม ท่านพระครูเห็นว่า หากให้คนทั้งสี่รู้เรื่องแม่กาหลง เขาก็จะไม่ยอมมาวัดกันอีก จึงพูดแบ่งรับแบ่งสู้ว่า
"มี แต่เขาไม่ค่อยชอบพบปะกับใคร อย่าไปกวนเขาเลย ว่าแต่ว่าคุยกันมาตั้งนาน อาตมายังไม่รู้เลยว่า โยมชื่ออะไรกันบ้าง แนะนำตัวกันสักหน่อยไม่ดีหรือ" ท่านเจ้าของกุฏิพยายามเบนออกจากเรื่องแม่กาหลง พระบัวเฮียวเองก็ยังไม่รู้ว่าแม่กาหลงเป็นใคร
"ผมชื่อบุญชัยครับ ใคร ๆ เขาเรียกผมว่าพ่อเลี้ยงชัย" คนมาจากเชียงใหม่แนะนำตัวเอง
"ผมชื่อศักดิ์ชัย คนเมืองกาญจน์ เขาเรียกผมว่า เสี่ยชัย
"คนระยองเขาเรียกผมว่า เถ้าแก่ชัย ชื่อเต็ม วิชัย ครับ"
"ส่วนผมเขาเรียกว่า เฮียชัยกันทั้งจังหวัด" คนมาจากภูเก็ตแนะนำตัวเป็นคนสุดท้าย
"แล้วชื่อเต็มว่าอะไร" พระมหาบุญถาม
"ชื่อชัยเฉย ๆ ครับ" เขาตอบ
"ถ้าอย่างนั้น อาตมารู้แล้วว่าจะตั้งชื่อหอประชุมว่าอะไรดี รับรองว่าโยมจะต้องเห็นด้วย" ท่านพระครูพูดขึ้น
"ชื่ออะไรครับ" เสี่ยชัยถาม
"หอประชุมจตุรชัย แปลว่าชัยทั้งสี่ หรือสี่ชัย เป็นยังไงโก้ดีไหม" คนตั้งชื่อถามความเห็น ไม่มีผู้ใดให้คำตอบ แล้วพ่อเลี้ยงชัยจึงถามท่านพระครูบ้างว่า
"พวกผมยังไม่ทราบเลยครับว่าหลวงพ่อชื่ออะไร"
"แม่กาหลงเขาไม่ได้บอกหรอกหรือ"
"ไม่ได้บอกครับ บอกแต่ชื่อวัดและที่ตั้ง" เสี่ยชัยเป็นคนตอบ
"หลวงพ่อชื่อเจริญ ท่านพระครูเจริญ เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วง" พระมหาบุญเป็นผู้บอก
"ถ้าอย่างนั้นผมขอเสนอว่า หอประชุมควรจะชื่อ เจริญชัย คือเอาชื่อหลวงพ่อนำ ตามด้วยชื่อพวกผม" เฮียชัยออกความเห็น ซึ่งสมาชิกทั้งสาม รวมพระอีกสองต่างก็เห็นด้วย ชื่อที่ท่านพระครูเสนอจึงต้องตกไปตามมติที่ประชุม
"เป็นอันว่าเราได้ชื่อแล้ว ทีนี้เรื่องแบบล่ะครับ หลวงพ่อจะออกแบบเองหรือว่าจะให้พวกผมจัดการ" เสี่ยชัยถาม
"อาตมาจะออกเอง ไหน ๆ เรื่องชื่อก็ตกไปแล้ว ขอแก้ตัวเรื่องแบบอีกสักครั้ง แล้วอาตมาจะให้โยมสี่คนดู ถ้าไม่ชอบใจก็แก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ อาตมาชอบประชาธิปไตย ไม่ชอบเผด็จการ" ฟังคำพูดของท่านแล้ว คนทั้งสี่รู้สึกสบายใจและมีศรัทธาปสาทะมากขึ้น
"เรื่องแบบผมจะไม่คัดค้าน ขอให้เป็นไปตามความพอใจของหลวงพ่อ ผมได้เสนอชื่อและเป็นที่ยอมรับผมก็ดีใจแล้ว" เฮียชัยกล่าว และได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนอีกสามคน
"ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย พวกผมสี่คนจะรับผิดชอบทุกบาททุกสตางค์" พ่อเลี้ยงชัยสรุป
"เรื่องนี้อาตมาขอเสนอให้มีการทอดกฐิน จะได้ให้คนอื่น ๆ เขามีโอกาสร่วมทำบุญด้วย โบราณท่านสอนเอาไว้ว่าทำบุญอย่าหวงบุญ ต้องกระจายกันออกไปมาก ๆ อย่างน้อยก็เป็นการเปิดโอกาสให้คนยากคนจนได้มีส่วนร่วมสร้างกุศล คนละสลึงสองสลึงก็ยังดี เกิดชาติหน้าจะได้มีบริวาร" ท่านพระครูแนะนำ
"แต่นี่ก็หมดเทศกาลกฐินแล้วนี่ครับหลวงพ่อ" พระบัวเฮียวท้วง
"ปีนี้หมดก็ทอดปีหน้าได้ ถึงอย่างไรก็สร้างไม่เสร็จในปีเดียวหรอก หรือโยมว่ายังไง" ท่านถามเถ้าแก่ชัย
"ครับ แล้วแต่หลวงพ่อจะเห็นสมควรเถิดครับ ส่วนผมคงไม่มีเวลามาที่นี่บ่อยนัก ก็จะขอฝากเงินไว้ก่อน ขาดเหลืออะไรหลวงพ่อช่วยมีหนังสือไปหาตามที่อยู่ในนามบัตรนี่นะครับ" พูดเสร็จจึงเขียนเช็คเงินสดจำนวนสามแสนบาทพร้อมนามบัตรถวายท่านพระครู คนอื่น ๆ ทำตามเพราะเห็นชอบด้วย ท่านพระครูรับไว้แล้วพูดสัพยอกว่า
"เงินตั้งมากมาย นี่ถ้าเกิดอาตมาเบิกเงินแล้วหนีไปแต่งงาน โยมจะว่ายังไง"
"ก็แล้วแต่หลวงพ่อเถิดครับ" เสี่ยชัยตอบ หากใจเกิดกลัวขึ้นมาจริง ๆ บุรุษอีกสามคนพลันเกิดความรู้สึกอย่างเดียวกัน ท่านพระครูรู้จึงเสนอว่า
"อาตมาว่าเราเปิดบัญชีร่วมกันทั้งห้าคนไม่ดีหรือ จะได้สบายใจด้วยกันทุกฝ่าย" เสียชัยจึงตอบว่า
"ทำอย่างนั้นมันก็ดีอยู่หรอกครับ แต่มันจะยุ่งยากตอนเบิกจ่าย เอาเป็นว่าพวกผมไว้ใจหลวงพ่อก็แล้วกัน"
"ถ้าอย่างนั้นอาตมาจะตั้งกรรมการวัดขึ้นชุดหนึ่ง สำหรับดำเนินการเรื่องนี้ เรื่องการเบิกจ่ายก็จะให้กรรมการทุกคนรับรู้ อาตมาเป็นคนละเอียด จะทำอะไรก็ต้องให้รอบคอบรัดกุม โดยเฉพาะเรื่องเงินเรื่องทองซึ่งทำให้คนเสียคน พระเสียพระมานักต่อนักแล้ว มีวัดหนึ่งอย่าให้อาตมาเอ่ยชื่อเลย โดยเขาทอดกฐินเพื่อจะเอาเงินสร้างโบสถ์ ปรากฏว่าสมภารเชิดเงินหนีไปแต่งงานอยู่ที่กรุงเทพฯ
"แบบนี้ตกนรกไหมครับ" พระบัวเฮียวถาม
"ไม่น่าถาม ก็เท่ากับฉ้อโกง เงินเขาเจตนาจะให้มาสร้างกุศล ไม่ได้ให้สมภารแต่งเมีย" บุคคลทั้งสี่ฟังแล้วรู้สึกใจไม่ดี ท่านพระครูกำหนด "เห็นหนอ" รู้ว่าเขายังคลางแคลงใจจึงพูดตัดบทว่า
"เอาอย่างนี้ดีไหม กว่าอาตมาจะออกแบบเสร็จก็คงอีกหลายเดือน เพราะไม่ค่อยมีเวลาว่าง ออกแบบแล้วยังจะต้องหาผู้รับเหมาให้มาประกวดราคา มันหลายขั้นตอน ก็คงจะกินเวลาอีกหลายเดือน โยมเอาเงินคืนไปก่อนดีกว่า ได้เรื่องอย่างไรแล้ว อาตมาจะมีหนังสือแจ้งไป อาตมาไม่อยากถือเงินมาก ๆ นึกว่าเห็นใจอาตมาเถอะ" เป็นอันว่าคนทั้งสี่ยอมรับเช็คคืนไป แต่ก็ได้ตั้งสัจจะว่าจะไม่เลิกล้มความตั้งใจที่จะช่วยสร้างหอประชุม
เมื่อพวกเขากราบลา ท่านพระครูให้ศีลให้พรว่า "ขอให้โยมทุกคนจงมีความสุขความเจริญ และขยันหมั่นเพียรในการประกอบอาชีพ ทีสำคัญคือ ขอให้หาเลี้ยงชีพในทางสุจริต การหากินในทางทุจริตนั้น แม้จะรวยเร็ว แต่ก็วิบัติเร็วเช่นกัน จำไว้นะโยมนะ"
"หลวงพ่อคืนเขาไปทำไมครับ น่าเสียดายเงินตั้งเป็นล้าน" พระบัวเฮียวพูดขึ้นเมื่อคนทั้งสี่ลุกออกไปแล้ว
"ก็ฉันสำรวจดูแล้ว เห็นว่าเขายังไม่เชื่อใจ ก็เลยต้องทำให้เขาเชื่อ และไม่ต้องห่วงหรอก พวกเขาจะต้องกลับมาที่นี่อีก"
"ครับ ถ้าอย่างนั้นผมก็หมดห่วง เอ...หลวงพ่อครับ ที่หลวงพ่อพูดถึงท่านเจ้าคุณนั้นท่านอยู่วัดไหน ชื่ออะไร แล้วท่านเป็นอย่างไรหรือครับ"
"เธอจะรู้ไปทำไมล่ะ ถึงบอกไปเธอก็คงไม่รู้จัก"
"ถึงไม่รู้จักผมก็ว่ามันมีประโยชน์นะครับ คือว่าท่านทำดีผมจะได้เอาเป็นตัวอย่าง ถ้าไม่ดีผมก็จะได้ไม่ทำตาม"
"เหตุผลของเธอฟังเข้าท่าดี แต่ฉันจะไม่บอกเธอหรอก ท่านจะดีหรือไม่ดีมันก็เรื่องของท่าน"
"เอาไว้ให้เป็นหน้าที่ของกฎแห่งกรรมใช่ไหมครับ" พระหนุ่มล้อเลียนมาอยู่วัดนี้ได้ยินแต่คำว่า "กฎแห่งกรรม" จนชินหู
"ทำเป็นพูดเล่นไปเถอะ แล้ววันหนึ่งเธอจะรู้ คอยดูไปก็แล้วกัน อีกหน่อยพระที่ทำผิดวินัย ประพฤตินอกลู่นอกทางจะต้องเดือดร้อน จะถูกจับสึกบ้าง ติดคุกบ้าง ฆ่าตัวตายบ้าง แล้วอย่างนี้ไม่เรียกว่ากฎแห่งกรรมแล้วจะให้เรียกอะไร"
"ครับ ก็ต้องเรียกว่ากฎแห่งกรรมนั้นแหละครับ" พระญวนเริ่มยวน" หากท่านพระครูไม่ใส่ใจ คงพูดต่อไปว่า
"อันที่จริงฉันก็ไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ มันไม่สบายใจเพราะแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ฉันก็ตั้งปณิธานไว้ว่า จะไม่เป็นอย่างนั้น และจะสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาไม่ให้ประพฤติชั่ว ถ้า หอประชุมเสร็จ จะเป็นประโยชน์ต่อคนจำนวนมาก ฉันตั้งใจจะเลิกสร้างวัตถุ จะสร้างคนแทน เพราะถ้าเราทำให้คนเปลี่ยนจากมิจฉาทิฐิมาเป็นสัมมาทิฐิได้ นับว่าได้บุญกว่าการสร้างวัตถุหลายเท่านัก ต่อไปข้างหน้าถ้าเธอไปเป็นครูบาอาจารย์ใคร ฉันก็ขอฝากเรื่องนี้ไว้ด้วย"
"ครับ ผมจะดำเนินรอยตามหลวงพ่อทุกประการ" คนเป็นศิษย์รับสนองเจตนารมณ์ของอาจารย์
"หลวงพ่อครับ เมื่อวานหลวงพ่ออนุญาตผมให้เรียนถามข้อข้องใจได้" พระบัวเฮียวทวงสัญญา พระมหาบุญซึ่งเป็นฝ่ายฟังมานานจึงพูดขึ้นว่า
"ถ้าอย่างนั้น ผมเห็นจะต้องขอตัว เพราะผมไม่มีข้อสงสัยอะไร จะกลับไปปฏิบัติที่กุฏิ" พูดจบจึงกราบท่านเจ้าอาวาสสามครั้งแล้วลุกออกไป...

"หลวงพ่อครับนายจ่อยเขาบอกว่าหลวงพ่อมีกระจกวิเศษ" เป็นคำถามแรกที่พระบัวเฮียวถามท่านพระครู
"งั้นหรือ แล้วเขาเล่าอะไรให้เธอฟังอีก"
"เขาเล่าว่ากระจกวิเศษสามารถดูเนื้อคู่ได้ ที่เขาได้คู่หมั้นกับโยมจุกก็เพราะกระจกหลวงพ่อ"
"อ้อ เขาว่ายังงั้นหรือ พูดถึงนายจ่อยทำให้ฉันนึกได้ว่าเขาจะแต่งงานวันที่ ๙ ธันวาที่จะถึงนี้ อีกไม่กี่วันแล้วซีนะ เขานิมนต์พระวัดเรา ๙ รูปเลย ไม่มีเจริญพระพุทธมนต์เย็น เราเห็นจะต้องออกกันตั้งแต่ตีสี่ ฉันจะให้เธอกับมหาบุญไปด้วย คงเต็มรถพอดี" ท่านนึกขอบใจครูสฤษดิ์ที่ซื้อรถตู้มาถวาย
"ครับ แต่ผมอยากรู้เรื่องกระจกวิเศษนะครับ หลวงพ่อจะกรุณาเล่าให้ผมฟังได้หรือเปล่า แล้วถ้าผมจะขอ...เอ้อ...ขอดูเนื้อคู่ หลวงพ่อจะขัดข้องไหมครับ" พูดอย่างเกรงใจเป็นที่สุด
"โธ่เอ๋ยบัวเฮียว รู้สึกว่าเธออยากจะมีคู่เสียจริงนะ จำไม่ได้หรือที่ฉันเคยบอกว่าดวงเธอไม่มีเนื้อคู่"
"จำได้ครับ"
"งั้นก็แปลว่าเธอไม่เชื่อ"
"เชื่อครับ แต่ผมอยากให้กระจกตรวจสอบอีกที ก็หลวงพ่อบอกผมไว้หลายเดือนแล้ว ตอนนั้นเนื้อคู่ผมอาจจะยังไม่เกิด ตอนนี้คงจะเกิดแล้ว" ท่านพระครูอยากจะว่าแรง ๆ แต่เมื่อนึกได้ว่าอีกฝ่ายยังหนุ่มยังแน่น ก็ต้องคิดถึงเรื่องอย่างนี้อันเป็นธรรมชาติธรรมดาของคนหนุ่ม คิดได้ดังนี้จึงพูดขึ้นว่า
"เอาละ เมื่อเธออยากรู้ ฉันก็จะเล่าให้ฟัง" แล้วท่านจึงเริ่มต้นเล่าว่า
"ฉันได้วิชานี้มาจากหลวงพ่อศุข วัดมะขามเฒ่า ตั้งแต่ฉันบวชใหม่ ๆ ผู้ที่จะเรียนวิชานี้ได้จะต้องได้กสิณ ฉันก็ฝึกอาโปกสิณอยู่หลายเดือน จึงได้ไปเรียนกับท่าน เป็นวิชาไสยศาสตร์ กระจกหมอดูนี้ดูแม่นอยู่สองเรื่อง คือเรื่องของหาย กับดูเนื้อคู่ เชื่อไหม ถ้าฉันสึกออกไปหากินใต้ต้นมะขามสนามหลวง รับรองว่ารวยไม่รู้เรื่อง เพราะคนเขาชอบดูเนื้อคู่กัน โดยเฉพาะพวกอาจารย์สาว ๆ นี่ชอบดูนัก"
"แล้วทำไมหลวงพ่อไม่สึกล่ะครับ เป็นผมสึกไปเสียตั้งนานแล้ว" พระบัวเฮียวขัดขึ้น
"ก็ถึงว่าซี แต่ทำไมฉันถึงไม่สึกก็ไม่รู้" ท่านแกล้งเอออวย "รวบรัดตัดใจความก็คือ ฉันได้วิชาหมอดูจากหลวงพ่อศุข ที่นี้พอคนรู้ก็พากันมาให้ดูใหญ่ วิธีดูก็คือต้องเสกคาถาก่อนแล้วจึงเป่าไปที่กระจก เป็นกระจกแปดเหลี่ยมนะ ไม่ใช่กระจกธรรมดา เช่น สมมุติว่าเขามาดูเนื้อคู่ พอเสกคาถาลงไป คนที่จะมาเป็นเนื้อคู่ก็จะไปปรากฏที่กระจำ ทีนี้เวลาจะลบก็ต้องใช้น้ำมนต์ลบถึงจะออก ถ้าไม่ใช้น้ำมนต์ก็จะติดอยู่อย่างนั้นถึงเจ็ดวันจึงจะลบไปเอง
นายจ่อยตอนนั้นเขาเป็นเณร อายุเพิ่งจะสิบห้า แต่มารบเร้าให้ดูเนื้อคู่ แหมพอภาพอีจุกติดในกระจก โกรธฉันเสียยกใหญ่ หาว่าฉันแกล้ง เสร็จแล้วเป็นไง หนีพ้นอีกจุกเสียที่ไหน" ท่านนึกภาพ "อีจุก" เด็กขี้มูกมากคนนั้นแล้วยังอดขำไม่ได้
"เห็นว่าหลวงพ่อต้องเทข้าวทิ้งน้ำเพราะโยมจุกเป็นเหตุจริงหรือเปล่าครับ แล้วไม่กลัวผิดวินัยหรือครับ"
"กลัวสิ ทำไม่จะไม่กลัว แต่มันคลื่นไส้ก็เลยบอกเณรจ่อยว่าเราเลี้ยงปลากันเถอะ แหมอีกจกนะอีจุก เล่นเอาฉันเทข้าวทิ้งน้ำทุกวัน ตอนบวชใหม่ ๆ ฉันก็ไม่ได้เป็นพระดิบพระดีเท่าไหร่หรอก" ท่านสารภาพ
"แล้วทำไมเดี๋ยวนี้ถึงดีได้ละครับ" คนฟังย้อนถาม
"ก็ตั้งแต่ได้เรียนกรรมฐานจากพระในป่า ฉันเลยกลับเนื้อกลับตัวได้ รู้ดีรู้ชั่วขึ้นมาเองเพราะการปฏิบัติ นับว่าเป็นบุญของฉัน ไม่เช่นนั้น ป่านนี้อาจกลายเป็นมารศาสนาไปแล้วก็ได้" ท่านพระครูหัวเราะหึหึ ก่อนที่จะเล่าต่อไปว่า
"อยู่มาวันหนึ่ง สมภารจุ่นวัดบ้านเหนือก็มาขอให้ดูให้"
"ดูของหายหรือครับ"
"ไม่ใช่ ดูเนื้อคู่" ท่านลงเสียงหนักตรง "ดูเนื้อคู่"
"เนื้อคู่ใครครับ"
"ก็เนื้อคู่ท่านน่ะสิ อายุท่านก็ไม่เท่าไหร่ แค่หกสิบสอง อายุหกสิบสองมาให้ดูเนื้อคู่ สมภารนะสมภาร"
"แล้วหลวงพ่อดูให้ไหมครับ"
"ฉันก็ว่าจะไม่ดูเพราะเห็นท่านแก่จวนจะเข้าเมรุอยู่แล้ว ยังอยากจะมีคู่ พุทโธ่พุทถังอนิจจังอนิจจา"
"แล้วเห็นไหมครับ มีใครมาปรากฏในกระจกไหม"
"ไม่มี เพราะเนื้อคู่ท่านยังไม่เกิด ฉันก็บอกท่านว่า ท่านสมภาร เนื้อคู่ท่านยังไม่มาเกิด ยังอยู่ในเมืองนรก ท่านโกรธใหญ่หาว่าแกล้ง ที่จริงเป็นอย่างนั้นจริง ๆ แหมไม่น่ามาโกรธกันเลย" ท่านพูดยิ้ม ๆ
"แล้วตอนนี้สมภารจุ่นยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าครับ"
"ยังอยู่ เจ็ดสิบกว่าแล้ว ไม่รู้ยังคิดที่จะมีเนื้อคู่อยู่อีกหรือเปล่า เหมือนเธอนั่นแหละ" ประโยคหลังท่านวกมาหาคนฟัง
"ไม่เหมือนหรอกครับ ผมเพิ่งจะยี่สิบหก ยังหนุ่มยังแน่น ถ้าหกสิบสองผมคงเลิกคิดแล้ว" พระบัวเฮียวแย้ง แล้วจึงพูดเสียงอ่อย ๆ ว่า
"หลวงพ่อครับ โปรดดูให้ผมสักครั้งเถิดครับ รับรองว่าผมจะไม่กวนใจหลวงพ่ออีกเลย"
"สายไปเสียแล้วบัวเฮียวเอ๋ย อย่ามาอ้อนวอนเสียให้ยาก ถึงฉันจะใจอ่อนก็ดูให้ไม่ได้ เพราะฉันเลิกมาหลายปีแล้ว"
"ทำไมเลิกเสียละครับ"
"มันมีสาเหตุน่ะซี เอาละจะเล่าให้ฟัง บอกตามตรงว่าไม่อยากเล่าสักเท่าไหร่ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นมันก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว เดี๋ยวจะหาว่าเอาเขามานินทา"
"ถ้ามันทำให้หลวงพ่อไม่สบายใจ ไม่ต้องเล่าก็ได้ครับ" พระบัวเฮียวพูดอย่างเกรงใจ
"ไม่เป็นไร เธอจะได้หายสงสัย เรื่องมันเป็นอย่างนี้ คือนายบุญช่วย เขามาขอให้ฉันดูของหาย"
"ของอะไรเขาหายหรือครับ"
"ไม่ใช่ของของเขาหรอก ของคนเขมรที่มาขออาศัยบ้านเขาอยู่ ตอนนั้นเขมรแตก ผู้คนก็พากันหนีออกนอกประเทศ ก็หอบทองกันมาคนละหลาย ๆ บาท คนที่มาอาศัยนายบุญช่วยอยู่นั่นเอาทองมาหนักห้าสิบบาท ทีนี้อยู่ ๆ ทองเกิดหายไป นายบุญช่วยก็พามาให้ฉันช่วยดู พอฉันเสกคาถาเป่าลงไปที่กระจกแปดเหลี่ยม ที่เธอเรียกว่ากระจกวิเศษนั่นแหละ แต่ฉันเรียกว่ากระจกหมอดู ผลปรากฏว่ายังไงรู้ไหม"
"ไม่ทราบครับ"
"ปรากฏว่า รูปนายบุญช่วยไปติดอยู่ที่กระจก ฉันก็ยังไม่ให้เขาดู บอกว่าโยมบุญช่วยกลับไปเถอะ อาตมาไม่ดูหรอกเดี๋ยวจะผิดใจกันเปล่า ๆ เขาก็ยืนยันว่าอยากดู ที่เขาพูดอย่างนี้เพราะไม่เชื่อว่ากระจกจะแม่น คิดว่าจะเหมือนรายของสมภารจุ่นที่มาดูเนื้อคู่แล้วไม่มีรูปปรากฏ ฉันก็ไม่ยอมดูให้ ที่แท้ฉันรู้แล้ว ภาพนายบุญช่วยก็ยังอยู่ในกระจก เขาก็ไปตามสมภารจุ่นให้มาช่วยพูด ฉันบอกถ้าอยากจะดูก็ตามใจ เลยเอากระจกให้ดู เธอเอ๋ยเขาโกรธฉันเสียใหญ่ ไม่โกรธอย่างเดียว ก่นด่าหยาบ ๆ คาย ๆ บรรพบุรุษฉันทั้งข้างพ่อข้างแม่ถูกนายบุญช่วยขุดขึ้นมาด่าหมด แถมเปลี่ยนหน้าให้ฉันเสียอีก"
"เปลี่ยนยังไงครับ" พระญวนสงสัย
"ก็เปลี่ยนจากหน้าคนเป็นหน้าอวัยวะเพศน่ะซี ตานี่หยาบคายมาก" ท่านยังจำถ้อยคำหยาบคายของฝ่ายนั้นได้
"แล้วหลวงพ่อโกรธไหมครับ"
"โกรธหน้าเขียวหน้าเหลืองเชียวละ ฉันก็เลยยกมือขึ้นประนมสาบานต่อหน้าสมภารจุ่นว่า นับแต่นี้ต่อไปจะไม่ดูให้ใครอีก แล้วฉันก็เขวี้ยงกระจกหมอดูลงแม่น้ำเจ้าพระยาไป ทั้ง ๆ ที่มีรูปนายบุญช่วยติดยู่ นี่แหละสาเหตุที่ทำให้ฉันเลิกดู" ท่านพระครูเล่า "เขวี้ยง" ของท่านก็คือ "ขว้าง"
"แล้วเดี๋ยวนี้นายบุญช่วยยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าครับ ผมอยากจะไปเตะมันสักสองสามป้าบฐานมาด่าครูบาอาจารย์ผม" พระบัวเฮียวพูดอย่างโกรธแทนผู้เป็นอาจารย์
"อย่าไปสนใจเขาเลย ฉันเองก็ไม่ได้ผูกพยาบาทฆาตพยาเวรอะไรเขาแล้ว มัน..."
"เป็นไปตามกฎแห่งกรรม" พระบัวเฮียวต่อให้
"ก็จริง ๆ นี่นา ตอนหลังมีคนมาบอกว่าเขาไปติดคุกอยู่หลายปีด้วยเรื่องนี้ เรื่องขโมยทองเขมรนี่"
"ตอนที่หลวงพ่อโกรธ หลวงพ่อกำหนด "โกรธหนอ" หรือเปล่าครับ"
"ไม่ได้กำหนด เพราะตอนนั้นยังกำหนดไม่เป็น ยังไม่ได้เรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อในป่า เลยโกรธเสียไม่มีดี ถ้าเป็นฆราวาสอยู่ก็เห็นจะต้องตายกันไปข้างหนึ่ง เห็นไหม เธอเห็นอานิสงส์ของการบวชหรือยัง ฉันถึงได้ไม่ยอมสึกเพราะไม่งั้นคงตกนรกเพราะฆ่าคนตาย"
นายบุญช่วยนี่แย่มากนะครับ เขาอุตส่าห์หนีร้อยมาพึ่งเย็น ไม่น่าไปทำกับเขาอย่างนั้น ใจดำอำมหิตจริง ๆ"
"อย่าไปว่าเขาเลย เขาก็ชดใช้กรรมที่เขาก่อแล้ว กรรมมันให้ผลทันตาเห็นจริง ๆ แหม นายบุญช่วยนี่สำคัญ มาเปลี่ยนหน้าให้ฉันได้" พูดแล้วก็หัวเราะ เรื่องที่เคยสะเทือนใจในอดีต ปัจจุบันกลายเป็นเรื่องน่าขันเสียมากกว่า ช่างไม่มีอะไรคงที่คงทน ไม่มีตัวไม่มีตนให้ยึด ให้ถือแม้แต่อย่างเดียว
"ถ้าผมจะไปขอเรียนวิชากับหลวงพ่อศุขบ้าง ท่านจะสอนให้ไหมครับ" พระบัวเฮียวถาม
"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วฉันก็ไม่รู้จะไปถามท่านได้ที่ไหน เพราะท่านเข้าเมรุไปสี่ห้าปีแล้ว" แม้จะไม่มีเชื้อสายญวนแต่ท่านก็พูด "ยวน" ได้
"แหมเสียดายจริง ๆ ไม่งั้นผมคงมีโอกาสสึกไปนั่งใต้ต้นมะขามแน่เลย เรียนจากหลวงพ่อได้ไหมครับ"
"เธอจะเรียนไปทำไม มันไม่มีประโยชน์สักเท่าไหร่ ช่วยให้พ้นทุกข์ก็ไม่ได้ ฉันตั้งใจแล้วว่าจะไม่สอนให้ใคร แต่ถ้าจะเรียนวิชากรรมฐาน ฉันยินดีจะสอนให้เพราะเป็นวิชาที่จะทำให้เราพ้นทุกข์ได้ เชื่อฉันเถอะ อย่างวิชาทำเสน่ห์ก็เหมือนกัน ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลย"
"หลวงพ่อเรียนด้วยหรือครับ"
"เรียนซี ฉันเรียนวิชาไสยศาสตร์ มาหลายวิชา แต่เดี๋ยวนี้ทิ้งหมดแล้ว เหลือแต่วิชากรรมฐานวิชาเดียว ส่วนไสยศาสตร์ทิ้งหมด"
"หลวงพ่อคิดยังไงถึงไปเรียนวิชาทำเสน่ห์ล่ะครับ"
"อ้าว ก็อยากให้ผู้หญิงเขารักน่ะซีถามได้"
"แล้วเขารักไหมล่ะครับ"
"รักหรือไม่รักก็นับปิ่นโตไม่ไหวแล้วกัน สาว ๆ แย่งกันมาส่งปิ่นโตวันนึงยี่สิบเถาได้มั้ง จนไม่รู้จะฉันของใคร"
"แล้วเดี๋ยวนี้ทำไมไม่มีสักเถาเดียวล่ะครับ"
"ก็ฉันไม่ยอมสึกสักที ปิ่นโตก็เลยค่อย ๆ หายไปทีละเถาสองเถา เพราะคนส่งเขาไปแต่งงานกับคนอื่น ในที่สุดก็ไม่เหลือสักเถาอย่างที่เธอว่านั่นแหละ แหมคนแถวนี้ไม่ไหวคบไม่ได้" แล้วท่านก็หัวเราะหึหึ ไม่ทราบว่าขำอะไร ยิ่งเล่าคนเล่าก็ยิ่งนึกสนุกจึงเล่าต่ออีกว่า "พวกคนเฒ่าคนแก่ก็ไม่เบา หนอย วางแผนจะจับฉันไปเป็นลูกเขย โน่นบ้านฝั่งโน้น" ท่านชี้ไปยังบ้านที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำเจ้าพระยา
"วางแผนอย่างไรครับ" คนถามสนใจ
"ก็ทำเป็นนิมนต์ไปเที่ยวบ้านน่ะซี จะให้ไปจีบลูกสาว ไอ้เรารึก็รู้ทันว่า ถ้าไป ถูกจับแต่งงานแน่ ก็เลยไม่ยอมไป คนพวกนี้เจ้าเล่ห์อย่าบอกใคร กว่าฉันจะครองตัวอยู่มาจนอายุห้าสิบนี่ต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายเชียวละ ไม่งั้นก็ไม่รอดปากเหยี่ยวปากกามาได้หรอก"
"แล้วหลวงพ่อคิดจะสึกไหมครับนี่" คนเป็นศิษย์แกล้งถาม
"จะสึกไปทำไมกันเล่า อยู่มาจนป่านนี้แล้ว" คนตอบตอบจริงจัง
"มันก็ไม่แน่นะครับ หลวงพ่อเพิ่งจะห้าสิบ สมภารจุ่นตั้งหกสิบสองยังคิดสึกเลย"
"นั่นมันสมภารจุ่น แต่สมภารเจริญไม่เป็นอย่างนั้นแน่ รับรองได้ ถ้าจะสึกก็คงสึกเสียตั้งแต่หนุ่ม ๆ แล้ว"
"ตอนหนุ่ม ๆ เขาว่าหลวงพ่อรูปหล่อมากจนต้องกินยาลดความหล่อจริงหรือเปล่าครับ นายจ่อยเขาเป็นคนบอกผม"
"อ้อ เจ้าจ่อยเขาว่ายังงั้นหรือ แล้วเธอเชื่อเขาหรือเปล่าล่ะ เชื่อหรือเปล่าหือ"
"ยังไม่เชื่อเสียเลยทีเดียว ผมอยากทราบข้อเท็จจริงจากปากหลวงพ่อครับ"
"เธอจะรู้ไปทำไม ฉันมองไม่เห็นประโยชน์สักนิด"
"ผมอยากสึกน่ะครับ" พระหนุ่มสารภาพ
"เธอจะอยากไปทำไมนะบัวเฮียว ถ้าอยากรับรองว่าไม่ได้สึก"
"งั้นผมไม่อยากก็ได้" พระบัวเฮียวหลงกล ท่านพระครูจึงสรุปว่า "ดี ๆ ฉันขออนุโมทนา การครองเพศบรรพชิตนั้นประเสริฐที่สุดแล้ว เธอจะสึกออกไปสร้างเวรสร้างกรรมทำไมเล่า"
"โธ่หลวงพ่อ ก็คนที่เขาหล่อน้อยหว่าผมยังสึกนี่นา" พระหนุ่มครวญ
"แล้วที่หล่อมากกว่าเธอที่เขาไม่สึกล่ะ อย่างน้อยก็มีฉันคนหนึ่งละ..." คนเป็นอาจารย์ยั่วลูกศิษย์
"เรื่องของหลวงพ่อ ไม่ใช่เรื่องของผม" คนเป็นศิษย์พูดงอน ๆ
"ทำไมเธอถึงอยากสึกนักนะบัวเฮียว"
"เรื่องของผมไม่ใช่เรื่องของหลวงพ่อ" เห็นคนเป็นศิษย์งอน อาจารย์จึงพูดเป็นงานเป็นการว่า
"เชื่อฉันเถอะบัวเฮียว อย่าหาบ่วงมารัดคอเลย ชีวิตแต่งงานนั้นมีแต่ทุกข์"
"ก็หลวงพ่อไม่เคยแต่งงาน แล้วหลวงพ่อรู้ได้ไงว่ามันทุกข์" คนเป็นศิษย์ย้อน
"ก็เธอไม่ใช่ฉัน แล้วเธอรู้ได้ไงว่าฉันไม่รู้" คนเป็นอาจารย์โต้กลับ
"ผมยอมแพ้ ไม่เถียงกับหลวงพ่อแล้ว เถียงไปก็ไร้ประโยชน์" พระบัวเฮียวยอมแพ้เอาดื้อ ๆ
"มันไม่ใช่เรื่องแพ้เรื่องชนะหรอกบัวเฮียว เรามาพูดเรื่องจริงกันดีกว่า ขอให้เชื่อฉันสักครั้ง ว่าชีวิตการครองเรือนนั้นมันทุกข์ จริงอยู่ถึงฉันจะยังไม่เคยมีครอบครัว แต่มันก็เฉพาะชาตินี้เท่านั้น ชาติที่แล้วฉันมีก็อย่างที่เคยเล่าให้เธอฟังนั่นแหละ เธอเดินอยู่บนเส้นทางอันประเสริฐแล้ว จะมาเปลี่ยนเสียทำไมกัน" คำพูดของพระอุปัชฌาย์ทำให้พระบัวเฮียวได้คิด จริงศิ หมู่นี้ท่านครุ่นคิดถึงแต่เรื่องลาสิกขา ทั้งที่ตั้งใจไว้แต่ต้นแล้วว่า จะครองเพศสมณะไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ แต่เหตุไฉนจิตใจจึงมาปรวนแปรเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงปานนี้
ความสงสัยประดังขึ้นมาอีก คราวนี้เป็นความสงสัยในตัวเอง จึงเรียนถามท่านพระครูว่า
"หลวงพ่อครับ หมู่นี้ไม่รู้เป็นอะไรผมถึงได้คิดแต่เรื่องสึกออกไปมีครอบครัว อยากพบเนื้อคู่ อยากแต่งงาน เจ้าความรู้สึกอันนี้มันคอยรบกวนผมอยู่เรื่อย มันเป็นเพราะอะไรครับ"
"มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยน่ะสิ เธอรู้ไม่ใช่หรือ ว่าเวลานี้เธอกำลังทำอะไรอยู่ เธอกำลังปฏิบัติกรรมฐานซึ่งถือเป็นการทำความดีชั้นสูงสุด เพราะการฝึกอบรมจิตนั้นเป็นยอดของการทำความดี เมื่อทำความดีก็ต้องมีมารมาผจญ มารที่เธอกำลังผจญอยู่ขณะนี้คือ นิวรณ์"
"นิวรณ์ที่หมายถึงสิ่งที่มากีดกั้นขัดขวางไม่ให้เราทำความดีใช่ไหมครับ"
"ถูกแล้ว ฉะนั้นเธอจะต้องมีความเพียร มีจิตใจที่เข้มแข็งฟันฝ่าอุปสรรคนี้ให้ได้ เพื่อบรรลุความดีสูงสุด อันเป็นจุดหมายที่แท้จริงของชีวิต การที่เธอคิดแต่จะสึกออกไปแต่งงาน ก็เพราะอำนาจของกามฉันทนิวรณ์ ยัง ยังมีอีกที่เธอจะต้องผจญ ยังมีพยาบาทนิวรณ์ ถีนมิทธนิวรณ์ และอุทธัจจกุกกุจนิวรณ์ อีกสามตัว นี่เธอยังเจอแค่สองตัวเท่านั้น และถ้าเธอเอาชนะเจ้าสองตัวนี้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปพูดถึงอีกสามตัวที่เหลือ"
หลวงพ่อครับ ทำไมเจ้านิวรณ์มันถึงได้มารบกวนเฉพาะตอนที่เราปฏิบัติธรรมล่ะครับ แล้วเวลาที่เราไม่ปฏิบัติมันพากันไปอยู่เสียที่ไหน" ถามอย่างข้องใจ
"มันก็แนบเนื่องอยู่ในจิตของเรานั้นแหละ เมื่อไหร่ที่เรายังไม่ได้ทำความดี มันก็นอนสบายเฉยอยู่ ต่อเมื่อเราทำความดี นั่นแหละมันถึงจะลุกขึ้นมาอาละวาด เพราะฉะนั้นเราจะต้องไล่มันออกไปจากจิตให้หมดสิ้น"
"อย่างที่หลวงพ่อพูดเสมอ ๆ ว่า "มารไม่มีบารมีไม่เกิด" ใช่ไหมครับ
"ก็คงงั้นมั้ง พระบัวเฮียวรู้สึกว่าจิตใจปลอดโปร่งขึ้น หากก็ยังสงสัยอยู่อีกนิดหนึ่ง จึงเรียนถามท่านพระครูว่า
"หลวงพ่อครับ แล้วยาลดความหล่อนี่มันมีจริง ๆ หรือเปล่าครับ"
"ถ้ามีจริงเธอจะทำไม"
"ผมจะขอไปกินบ้างน่ะครับ พระอุปัชฌาย์ได้ยินดังนั้นจึงพินิจพิจารณาคนเป็นศิษย์อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วพูดว่า
"หน้าตาอย่างนี้ไม่ต้องพึ่งยาลดความหล่อ ไม่ต้องพึ่ง"
"โธ่หลวงพ่อ มาแบบนายจ่อยอีกคนนึงแล้ว" พระบัวเฮียวโวยวาย แล้วจึงชี้แจงอย่างน้อยอกน้อยใจในโชควาสนาว่า
"ผมไม่ได้หมายความว่ายังงั้น คือไหน ๆ ผมก็ไม่มีโอกาสได้แต่งงานเหมือนชาวบ้านเขา ก็ทำให้มันสุดเหร่ไปเลย จะได้ปลงได้ว่า เพราะตัวเองขี้เหร่ถึงไม่มีผู้หญิงมาแต่งงานด้วย เจ้ากามฉันทนิวรณ์มันจะได้ล่าทัพกลับไป ไม่มารบกวนผมอีก"
"ไม่ต้องใช้ยาลดความหล่อไปไล่ให้มันยุ่งยากหรอก ถ้าเธอมีสติรู้เท่าทันมันตลอดเวลา มันก็ครอบงำเธอไม่ได้ เราต้องใช้ปัจจัยภายใน ไม่ใช่ปัจจัยภายนอก" ท่านพระครูทั้งแนะแนวและแนะนำ
"ครับ ถึงตอนนี้ผมเข้าใจแจ่มแจ้งแดงแจ๋เลยครับ ผมจะกลับไปสู้กับมันเดี๋ยวนี้ กราบขอบพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูง ที่กรุณาชี้ทางสว่างให้ผม" ท่านก้มลงกราบอาจารย์สามครั้งแล้วลุกออกมา ความอึดอัดขัดข้องพลันมลายไป มีความปลาบปลื้มโปร่งใจเข้ามาแทนที่



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2012, 10:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:


.. อนุโมทนาแล้วๆๆ ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2012, 08:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนสายของวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๑๖ ท่านพระครูกำลังสอบอารมณ์ให้อุบาสิกาทองริน โดยมีนายสมชายนั่งคอยรับใช้อยู่ห่าง ๆ
ทุกครั้งที่มีการสนทนากับสตรีชนิดตัวต่อตัว ท่านจะต้องมีบุคคลที่สามอยู่ด้วยเสมอ จึงเป็นที่รู้กันดีในหมู่ผู้ใกล้ชิดว่า
สมภารวัดป่ามะม่วงท่านเคร่งวินัยนัก โดยเฉพาะเรื่องเพศตรงข้าม ท่านจะระมัดระวังเป็นพิเศษ สงฆ์หลายรูปที่ตั้งใจมาบวชเพื่อหวังความหลุดพ้น แต่เพราะไม่สำรวมระวังในการปฏิบัติต่ออิสตรี จึงถูกสึกออกไปเป็นผู้ครองเรือนเสียมากต่อมาก
แม้ในสมัยพุทธกาล เรื่องเช่นนี้ก็เคยปรากฏ ดังกรณีของพระอานนท์เถระ ซึ่งถูกนางภิกษุณีชื่อวสิกา วางแผนล่อลวงจะให้สึก ด้วยนางสนิทเสน่หาหลงใหลในรูปโฉมของพระอานนท์ยิ่งนัก หากเพราะมีการตั้งสติไว้เฉพาะหน้า ระวังใจมิให้แปรปรวน ท่านพระอานนท์จึงรอดพ้นจากกลลวงของภิกษุณีรูปนั้นได้ ทั้งยังเทศนาโปรดนางให้สำนึกรู้ในผิดชอบชั่วดีอีกด้วย
"ไงโยม มีอาการอย่างไรบ้าง พอง - ยุบ ชัดเจนดีไหม" ท่านถามอุบาสิกาวัยสี่สิบเศษ ซึ่งอุตส่าห์เดินทางจากกรุงเทพฯ มาเข้ากรรมฐาน หล่อนตั้งใจมาอยู่วัดเจ็ดวัน แต่ท่านให้อยู่สิบห้าวันเพราะ "เห็นหนอ" บอกว่าหล่อนกำลังมีเคราะห์ เจ้ากรรมนายเวรเขาตามมาเอาชีวิต ภายในสิบห้าวัน หากหล่อนปฏิบัติกรรมฐานอยู่แต่ในวัด ก็จะพ้นเคราะห์ออกไปนอกวัดเมื่อใด จะต้องถูกรถชนตายทันที เพราะดวงของหล่อนจะต้องตายโดยอุบัติเหตุอย่างที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "ตายโหง" ท่านจึงกำชับนักกำชับหนา ไม่ให้หล่อนออกไปไหน
"บางทีก็ชัด บางทีก็ไม่ชัดค่ะ" นางทองรินตอบ
พระบัวเฮียวจะมาให้ท่านสอบอารมณ์เช่นกัน ครั้นเห็นท่านกำลังมีแขกจึงหันหลังกลับแต่ท่านพระครูเรียกเอาไว้
"มีอะไรหรือบัวเฮียว เข้ามาคุยกันก่อนซิ" พระหนุ่มจึงเดินเข้ามานั่งในที่อันสมควร แล้วจึงทำความเคารพพระอุปัชฌาย์ นางทองรินทำความเคารพท่าสนด้วยการกราบสามครั้ง
"ฉันกำลังสอบอารมณ์ให้โยมเขา เธอฟังด้วยก็ได้ ฝึกเอาไว้ ในวันข้างหน้าเมื่อไปเป็นครูบาอาจารย์เขา จะได้สอบอารมณ์เป็น"
"ครับ" พระหนุ่มรับคำ เห็นท่านพระครูได้เพื่อนแล้ว นายสมชายจึงลุกออกไปทำธุระของตน
"หลวงพ่อคะ สองสามวันมานี่ ดิฉันปฏิบัติไม่ค่อยได้ผลเลยค่ะ
"ทำไมล่ะ คิดถึงบ้านหรือไง"
"ไม่คิดถึงค่ะ แต่มันง่วงเหงาหาวนอนตลอดเวลา เดินจงกรมก็ง่วง นั่งสมาธิก็ง่วง"
"นั่งสัปหงกน้ำลายไหลยืดเลยใช่ไหม" ท่านถามเพราะทราบดีว่าอาการเช่นนี้เกิดจากอะไร
"ค่ะ แหม หลวงพ่อพูดราวกับเคยเห็น" หล่อนพูดเขิน ๆ
"ทั้งเคยเห็นทั้งเคยเป็นเชียวแหละโยม ที่มีอาการอย่างนี้เพราะถูกถีนมิทธนิวรณ์ครอบงำ โยมกำลังผจญมาร เจ้ามารตัวนี้ชื่อ ถีนมิทธะเป็นนิวรณ์ตัวที่ทำให้จิตหดหู่ เซื่องซึม เกียจคร้าน ง่วงเหงาหาวนอนอยู่ตลอดเวลา"
"แล้วเราจะกำจัดมันได้อย่างไรครับ" พระบัวเฮียวถามเพราะกำลังประสบปัญหาแบบเดียวกัน
"วิธีกำจัดถีนมิทธนิวรณ์ทำได้โดยบริโภคอาหารให้น้อยลง ผลัดเปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ เช่น ยืนบ้าง เดินบ้าง นั่งบ้าง สลับกันไป อีกวิธีหนึ่งคืออยู่ในที่โล่งแจ้งและที่สำคัญที่สุดก็คือต้องมีความเพียร ตั้งจิตแน่วแน่ว่าจะต้องเอาชนะมันให้ได้"
"การทำความดีนี่ยากจังเลยนะคะหลวงพ่อ ดิฉันชักท้อใจเสียแล้ว" สตรีวัยสี่สิบเศษเผยความรู้สึก
"ท้อไม่ได้ซี โดยเฉพาะเวลานี้ โยมกำลังมีเคราะห์ ถ้าโยมท้อถอยต้องลำบากแน่ อย่าลืม พุทธภาษิตที่ว่า บุคคลล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร โยมจำข้อนี้ไว้ให้ดีแล้วก็เร่งปฏิบัติเขาจะพ้นทุกข์ได้" ท่านให้กำลังใจ
สตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งคลานเข้ามากราบท่านพระครู แล้วพูดขึ้นว่า
"หลวงพี่จำฉันได้หรือเปล่า"
"ใครจะจำแม่ครัวฝีมือเอกที่ชื่อบุญรับไม่ได้ล่ะ วัดนี้เป็นยังไงถึงได้ไม่อยากมา" ท่านพระครูต่อว่าต่อขาน นางบุญรับเคยมาช่วยทำกับข้าวอยู่โรงครัวหลายปี ภายหลังได้โยกย้ายไปอยู่ที่พิจิตร จึงหายหน้าหายตาไป
"ไม่เป็นยังไงหรอกจ้ะ ฉันน่ะอยากมาทุกวันนั่นแหละ แต่จนใจด้วยหนทางมันไกลปาลำบาก คิดถึงหลวงพี่ทุกเวลานาทีเลย" นางพูดพลางชำเลืองไปทางอุบาสิกาที่นุ่งขาวห่มขาว นั่งสงบเสงี่ยมอยู่ต่อหน้าท่านพระครู ครั้นเห็นหน้าหล่อนชัดเจน นางบุญรับให้นึกเกลียดขึ้นมาทันที ก็หน้าของหล่อนช่างเหมือนเมียใหม่ของผัวเก่านางเสียนี่กระไร นางบุญรับเลิกกับผัวเก่าไปมีผัวใหม่ ข้างผัวเก่าของนางก็มีเมียใหม่เช่นกัน อันที่จริงต่างคนต่างมีใหม่ ก็น่าจะหายกัน นางไม่น่าจะมาเกลียดชังผู้หญิงคนนี้ แต่ทำไมถึงต้องเกลียดเพียงเพราะแม่นี่หน้าเหมือนนังนั่น หาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้ เลยนั่งค้อนขวับ ๆ โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันรู้ตัว ท่านพระครูนึกขำ สงสารอุบาสิกาก็สงสารที่หล่อนช่างมีเจ้ากรรมนายเวรมากมายเสียจริง ๆ
"โยมมีอะไรจะถามอีกไหม ถ้าไม่มีก็กลับไปปฏิบัติที่กุฏิได้ พรุ่งนี้อาตมาไม่อยู่ จะไปงานแต่งงานหลานที่โคกสำโรง โยมมีอะไรข้องใจก็เก็บไว้ถามช่วงบ่ายก็แล้วกัน อย่าลืมว่าห้ามออกนอกบริเวณวัดโดยเด็ดขาด เอาละไปได้แล้ว" นางทองรินกราบภิกษุทั้งสอง แล้วจึงลุกออกมา นางบุญรับมองตามพลาง "ขว้างค้อน" ใส่
"หมั่นไส้" นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด
"ไปหมั่นไส้อะไรเขาเล่า ข้าไม่เห็นเขาไปทำอะไรให้แกสักหน่อย" กับคนคุ้นเคยท่านจะใช้คำว่า "ข้า" และ "แก"
"ก็ฉันเกลียดมัน ดูมันเดินเข้านั่นตูดบิดไปบิดมาน่าทุเรศจริงจริ๊ง" นางบุญรับไม่ฟังเสียง
"เอ้า ไหนแกลองลุกขึ้นแล้วเดินออกไปซิ โน่นเดินไปทางโน้น" ท่านพระครูสั่ง นางบุญรับทำตาม เดินไปได้สักสี่ห้าเมตร ท่านพระครูจึงเรียกให้กลับมานั่งตามเดิม
"นี่แน่ะแม่บุญรับนับวิชา รู้ตัวหรือเปล่า แกน่ะเดินตูดบิดน่าเกลียดยิ่งกว่าเขาเสียอีก แล้วยังจะมีหน้าไปว่าคนอื่นเขา" ท่านตั้งใจสอนนางบุญรับทางอ้อม หากฝ่ายนั้นหารู้ตัวไม่
"ก็มันเกี่ยวอะไรกับหลวงพี่ล่ะ ฉันจะเดินยังไงมันก็เรื่องของฉัน" อดีตแม่ครัวฝีมือเอกพูดงอน ๆ
"มันก็เหมือนกันนั่นแหละ โยมคนนั้นเขาจะเดินยังไงมันก็เรื่องของเขา แล้วแกไปหมั่นไส้เขาทำไมเล่า"
"ก็ฉันเกลียดมัน" นางไม่กล้าบอกว่าเพราะผู้หญิงคนนั้นหน้าเหมือนภรรยาใหม่ของสามีเก่า แต่ท่านพระครูก็รู้ จึงพูดขึ้นว่า
"ข้ารู้นะว่าแกเกลียดเขาทำไม่ เขาหน้าเหมือนเมียใหม่ของผัวเก่าแกใช่ไหมล่ะ" คราวนี้นางบุญรับรับเสียงอ่อยว่า
"ถูกแล้วจ้ะ แหม หลวงพี่นี่แสนรู้จริง ๆ รู้ไปหมดทุกเรื่องเลยพับผ่าซี"
"โยม พูดกับพระกับเจ้าให้มันดี ๆ หน่อย เดี๋ยวจะบาปจะกรรมเปล่า ๆ" พระบัวเฮียวเตือนอย่างหวังดี นางบุญรับเลยพาลเกลียดท่านไปอีกคน
"ฉันไม่ถือสาหรอกบัวเฮียว แม่คนนี้เขาทำกรรมาอย่างนี้ วจีทุจริต ท่านเน้นตรง วจีทุจริต
"แต่ผมว่าถ้าพอจะแก้ไขได้ ก็ควรจะแก้ไข ไม่ใช่ปล่อยไปตามบุญตามกรรม" ลูกศิษย์ยืมคำพูดอาจารย์มากล่าว แล้วก็เลยกลายเป็นการสร้างศัตรูไปโดยไม่รู้ตัว
"นี่ไปยังไงมายังไงไม่ทันบอกกันเลย มาถึงก็แช็ด ๆ ๆ ว่าคนโน้นเกลียดคนนี้ นิสัยไม่เปลี่ยนเลยนะเราน่ะ" ท่านพระครูว่าตรง ๆ แต่นางบุญรับไม่โกรธ ท่าสนจะดุจะว่าอย่างไรนางไม่เคยถือสา เหมือนกับท่านไม่ถือสานาง สมัยที่มาช่วยทำครัว หล่อนเที่ยวทะเลาะกับคนโน้นคนนี้ ถือตัวว่าทำอาหารอร่อย เลยเที่ยวดูถูกฝีมือคนอื่นเขาไปทั่ว หลายคนจึงแอบนินทานางลับหลังว่า "อุตส่าห์เข้าวัด แต่ไม่ยอมละยอมวางสักอย่างเดียว"
"ฉันจะมาช่วยทำครัวสักเจ็ดแปดวัน ก็คิดถึงหลวงพี่หรอกนะถึงได้มาเนี่ย" นางไม่วาย "หยอดยาหอม"
"งั้นก็ดีแล้ว จะได้ให้ไปอยู่กับโยมคนนั้น เผื่อจะหายเกลียดกัน" สมภารวัยห้าสิบแกล้งยั่ว
"โอ๊ย ไม่เอาหรอก เรื่องอะไรจะให้ไปอยู่กับคนที่เกลียด" นางปฏิเสธ
"อ้อ ต้องให้อยู่กับคนที่รักใช่ไหม งั้นก็มาอยู่ที่กุฏิข้าเสียเลยดีไหมเล่า" ท่านประชด ทำไมจะไม่รู้ว่า สมัยสาว ๆ นางบุญรับหลงรักท่านยังกับอะไรดี ถึงขนาดหายใจเป็น "หลวงพี่เจริญ" นั่นเทียว
"แหม ถ้าได้ยังงั้นก้อแจ๋วซี" แทนที่จะอายนางกลับว่าไปโน่น ท่านเจ้าของกุฏิรู้สึกสังเวชที่ผู้หญิงอายุร่วมห้าสิบแล้ว แต่ยังไม่รู้จักปล่อยวาง
"เออ ทำพูดดีไปเถอะ นรกจะกินหัวแกโดยไม่รู้ตัว หนอย จะวอนให้ข้าเดือดร้อนแล้วไหมล่ะ ประเดี๋ยวผัวเก่าผัวใหม่แกได้มาช่วยกันรุมข้าหรอก" ฟังนางบุญรับพูดจาโต้ตอบกับท่านพระครูแล้ว พระบัวเฮียวรู้สึกไม่ชอบหน้าผู้หญิงคนนี้เอามาก ๆ ท่านมิรู้ตัวดอกว่า "มาร" ที่ท่านจะต้องผจญเป็นลำดับต่อไปคือ พยาบาทนิวรณ์
"ตกลงหลวงพี่จะให้ฉันพักที่ไหนล่ะ" นางถาม
"ก็ไปเลือกดูเอาเองก็แล้วกัน ที่ไหนว่างก็พักได้ หรือจะพักที่เมรุนั่นก็ได้ ตอนนี้ยังว่างอยู่" ท่านพูดประชด
"แหม หลวงพี่แช่งอีบุญรับเสียแล้วไหมล่ะ ฉันยังไม่ยอมตายง่าย ๆ หรอก ต้องรอเผาคนที่ฉันเกลียดเสียก่อน" นางหมายถึงพระบัวเฮียวและอุบาสิกาคนนั้น
"อ้อ นี่แกกำหนดวันตายได้งั้นซี ข้าเห็นมานักต่อนักแล้วบุญรับเอ๋ย ไอ้ที่เที่ยวแช่งคนโน้นคนนี้ ตัวเองตายก่อนเขาทุกราย"
"แช่งอีกแล้ว แหม มาคราวนี้ซวยจัง ถูกหลวงพี่แช่งอยู่เรื่อย" นางบ่นกระปอดกระแปด
ชายอายุประมาณหกสิบ รูปร่างอ้วนเตี้ย ศีรษะล้าน เดินเข้ามาในกุฏิ พนมมือพูดกับท่านพระครูว่า
"หลวงพ่อ ผมมาขอยาแก้หืดหอบ อีปุกลูกสาวผมหอบใหญ่แล้ว" นายป่วนซึ่งมีบ้านอยู่ติดวัด บอกท่านพระครูด้วยท่าทางกังวล
"ใครเขาบอกให้มาเอาล่ะ" ท่านย้อนถาม
"ก็ไอ้ปองลูกชายผมมันบอกว่าเพื่อนเคยเป็น มันขอยาหลวงพ่อไปกินแล้วหาย ผมก็เลยมาขอมั่ง" นายป่วนชี้แจงพลางนั่งลง
"ข้าไม่มีหยูกมียาอะไรหรอก แต่ถ้าจะให้หายหืดหอบก็ไปเอาต้นตำแยแมวมาโขลกแล้วแช่กับน้ำซาวข้าวให้มันกิน เขาว่าชะงัดนัก มีคนหายมาหลายคนแล้ว รู้จักไหมล่ะต้นตำแยแมวน่ะ ที่หลังวัดก็มี"
"รู้จักครับ"
"ดีแล้ว ถ้าไม่รู้จักก็เอาแมวไปด้วยตัวนึง"
"เอาไปทำไมครับ"
"อ้าว ก็เอาไปพิสูจน์น่ะซี ลองถอนสักต้นให้แมวมันกิน ถ้าไม่ใช่ตำยาแมว แมวจะไม่กิน ถ้ามันกินก็แปลว่าใช่" ท่านอธิบาย
"แล้วเอาส่วนไหนของมันมาโขลกแช่น้ำซาวข้าวครับ"
"เอาทั้งต้นเลย รากด้วย ก่อนโขลกก็ล้างให้สะอาดเสียก่อน เอาให้คนไข้ดื่ม รับรองว่าหาย"
"แล้วไม่คันหรือครับหลวงพ่อ" พระบัวเฮียวถาม ขึ้นชื่อว่าต้นตำแยมันก็ต้องคัน
"ไม่คัน ตำแยถึงจะคัน แต่ตำแยแมวไม่คัน เป็นยาสมุนไพรชนิดหนึ่ง" ท่านตอบ
"ฉันไปหาที่พักก่อนนะหลวงพี่" นางบุญรับกราบสามครั้งแล้วลุกออกไป ไม่วายพูดเสียดสีนายป่วนว่า "แม่เจ้าโว๊ย วันนี้มันวันอะไรวุ๊ย ถึงได้มาเจอพระอาทิตย์ขึ้นบนไหกระเทียม"
"แกว่าใคร" นายป่วนถามเสียงตะคอก นางบุญรับไม่ตอบ ก้าวฉับ ๆ ออกจากกุฏิไป นายป่วนจึงหันมาถามท่านพระครูว่า
"อีนี่มันเป็นใครครับหลวงพ่อ ปากหมา ๆ อย่างนี้ประเดี๋ยวผมก็ตบล้างน้ำเสียเท่านั้น ไม่รู้จักอ้ายป่วนซะแล้ว" ชายวัยหกสิบแสดงอาการโกรธเกรี้ยว แม้บ้านจะอยู่ติดวัด แต่นายป่วนก็ไม่เคยมาเข้ากรรมฐาน จึงไม่รู้จักนางบุญรับ และกำหนด "โกรธหนอ" ไม่เป็น ท่านพระครูว่านายป่วนนั้น "ใกล้เกลือกินด่าง"
"อย่าไปถือสาแกเลยตาป่วน ไปเถอะ กลับไปหาตำแยแมวไปปรุงยาให้ลูกกินซะ อย่าได้มีเรื่องมีราวกันในวัดเลย นึกว่าเห็นแก่ข้าเถอะ" นายป่วนจึงกราบปะหลก ๆ สามครั้ง แล้วลุกออกไปเดินหาต้นตำแยแมวทางหลังวัด คิดว่าถ้าเจอยายคนปากเสียก็จะด่าให้สักสองสามชุด โทษฐานที่มาวิจารณ์รูปโฉมโนมพรรณของแก
"เธอมีข้อสงสัยข้องใจอะไรจะถามหรือเปล่า" ท่านถามพระบัวเฮียวหลังจากที่คนอื่น ๆ ลุกออกไปหมดแล้ว
"ก็มีเหมือนกันครับ เรื่องถีนิทธนิวรณ์ผมเข้าใจแล้ว ตอนที่หลวงพ่ออธิบายให้โยมทองรินฟัง แต่ทีนี้ผมมีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติอีกอย่างหนึ่ง ที่จะเรียนถามหลวงพ่อ คือหมู่นี้ไม่รู้เป็นอะไร เวลาฉันอาหารผมรู้สึกว่ามันอร่อยไปหมด แม้แต่น้ำที่ดื่มลงไปก็ยังรู้สึกว่ามันอร่อย"
"นั่นเป็นเพราะเธอติดในรส กามฉันทนิวรณ์ กำลังครอบงำเธอ เพราะรสจุดเป็นกามคุณอย่างหนึ่งใน ๕ อย่าง"
"แบบนี้ผิดไหมครับ"
"ผิดสิ ถ้าเป็นคนทั่วไปก็ไม่ถือว่าผิด แต่เป็นนักปฏิบัติถือว่าผิด เพราะถ้ามัวติดในรูป รส กลิ่น เสียง หรือ สัมผัส การปฏิบัติมันก็ไม่ก้าวหน้า นี่มันผิดในแง่นี้"
"แล้วจะแก้ได้อย่างไรครับ"
"ก็ตั้งสติพิจารณาเสียก่อนจึงค่อยฉัน พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ว่า "กายนี้เกิดขึ้นด้วยอาหาร อาศัยอาหารแล้ว พึงละอาหารเสีย" อันนี้หมายความว่าอย่างไร หมายความว่า...." ท่านถามเองตอบเองเสร็จ "ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ทุกครั้งที่บริโภคอาหารต้องพิจารณาโดยถ่องแท้เสียก่อน ว่าจะไม่บริโภคเพื่อเล่น ไม่บริโภคเพื่อมัวเมา ไม่บริโภคเพื่อประเทืองผิว ไม่บริโภคเพื่อตกแต่งร่างกายให้งดงาม แต่บริโภคเพื่อธงรงไว้เพื่อกายนี้ พอให้อัตภาพนี้ดำเนินไปได้ กับเพียงเพื่อระงับความหิวกระหาย เพื่อประพฤติพรหมจรรย์ โดยคิดว่า บริโภคนี้จะเป็นเครื่องระงับเวทนาใหม่มิให้เกิดขึ้น จะได้ประพฤติธรรมสืบไป ได้ความสะดวก ได้ความผาสุกพอสมควร เริ่มแต่ภิกษุนั้นอุปสมบท ก็เริ่มละอาหาร ไม่บริโภคในเวลาที่เขาบริโภคกัน วันละหนึ่งเวลาบ้างสองเวลาบ้าง ละอาหารที่พระวินัยห้ามบ้าง บริโภคอาหารตามมีตามได้ โดยบริโภคเพียงแต่ว่าเป็นธาตุ เพื่อเป็นที่ดำรงอยู่ของธาตุในกายนี้เป็นอยู่ นี่ เป็นภิกษุในพระธรรมวินัย ต้องปฏิบัติอย่างนี้ ไม่ใช่ไปติดในรสอาหาร"
"กล่าวโดยสรุปก็คือ ต้องมีโยนิโสมนสิการใช่ไหมครับ"
"ถูกแล้ว โยนิโสมนสิการมีความสำคัญมากในการละนิวรณ์ทั้ง ๕ ขาดโยนิโสมนสิการเสียแล้วก็ละไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นกามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ หรือ วิจิกิจฉา"
"หมายความว่า นิวรณ์แต่ละอย่าง ๆ นั้นจะละไม่ได้เลย ถ้าไม่มีโยนิโสมนสิการ ใช่หรือเปล่าครับ"
"ถูกแล้ว เอาเถอะเมื่อเธอปฏิบัติสูงขึ้นไปก็จะเข้าใจ" พระอุปัชฌาย์แนะนำ เนื่องจากมีประสบการณ์มาก่อน
"หลวงพ่อครับ ทำไมคนเข้าวัดถึงยังเอาดีไม่ได้ล่ะครับ อย่างโยมบุญรับนั้น หลวงพ่อบอกเข้าวัดมาหลายปี ผมก็เห็นแกยังละอะไรไม่ได้สักอย่างเดียว รู้สึกแกเที่ยวขวางเขาไปหมด คนเข้าวัดเข้าวาน่าจะเป็นคนดี" พระหนุ่มตำหนิกราย ๆ
"ก็พระอยู่ในวัดแท้ ๆ ยังเอาดีไม่ได้ก็ยังมีนี่นา บางคนบวชตั้งแต่เณร อายุพรรษาตั้งหกสิบเจ็ดสิบยังไม่ได้เรื่อง นับประสาอะไรกับคนอย่างยายบุญรับเล้า" ท่านออกเสียง "เล่า" เป็น "เล้า"
"นินทาอะไรฉันอีกล่ะ" นางบุญรับเข้ามาทันได้ยินชื่อตนเข้าพอดี เลยถามพาล ๆ
"มาก็ดีแล้ว ไงได้ที่พักเป็นที่พอพระราชหฤทัยหรือยัง" ท่านพระครูถามประชด หากนางบุญรับก็ตอบว่า
"ได้แล้วเพคะเสด็จพี่ หม่อมฉันกำลังจะมากราบทูลให้ทรงทราบอยู่พอดี"
"พอแล้ว ๆ แม่บุญรับไม่ไหว" ท่านพระครูรีบโบกมือห้าม
"บุญรับเฉย ๆ จ้ะ แหม กำลังเล่นลิเกสนุก ๆ ไม่น่ามาห้าม ถึงจะเป็นลิเกหลงโรงก็เถอะ ฉันจะมาบอกหลวงพี่ว่าได้ที่พักตรงข้ามกุฏิแม่นั้น ประเดี๋ยวเถอะแม่จะแกล้งให้สะเด็ดไปเลย" นางพูดอย่างหมายมั่น
"ขอที ๆ แม่คุณแม่มหาจำเริญ คนเขาจะมาสร้างบุญสร้างกุศล อย่าไปเป็นมารขัดขวางเขาเลย นี่ฉันจะถือโอกาสเทศน์แกสักหน่อย แกนะมันแย่นาบุญรับนา กรรมฐานก็เคยเข้ามาแล้ว ไหงถึงไม่ดีขึ้นเลย"
"แย่ยังไงล่ะหลวงพี่ ฉันอุตส่าห์หวังดีจะเข้ามาช่วยทำครัว หลวงพี่ยังมาว่าฉันอีก" นางเถียงฉอด ๆ
"ยัง ยังไม่รู้ตัวอีก เอาเถอะ ๆ นั่งลงเสียให้เรียบร้อย ยืนพูดกับพระมันไม่สวย" หญิงวัยเกือบห้าสิบจึงนั่งลง ท่านพระครูพูดต่อไปว่า "ฟังให้ดี ฉันจะสอนให้เอาบุญ การที่แกตั้งใจมาช่วยทำครัวนั่นก็ดีแล้ว ถือว่ามาสร้างกุศล ก็ในเมื่อตั้งใจมาทำบุญและจะมาทำบาปเสียทำไมล่ะ"
"ฉันไปทำบาปอะไรที่ไหน" นางบุญรับไม่วายเถียง
"ทำไมจะไม่ทำบาป ก็วจีทุจริตนั้นยังไง ทั้งพูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ครบเลยในตัวแก เสียงแรงที่อุตส่าห์มาเข้าวัด สู้บางคนที่เขาอยู่บ้านก็ยังไม่ได้" นางบุญรับรู้สึกรำคาญเนื่องจากไม่ชอบให้ใครมาติ จึงแกล้งปดท่านว่า
"จ้ะหลวงพี่ ฉันก็จะพยายามแก้ไข ให้เวลาฉันบ้าง ฉันขอตัวไปช่วยเขาทำครัวละนะ" กราบประหลก ๆ สามครั้งแล้วลุกออกไป ท่านพระครูส่ายหน้าอย่างระอา พูดกับพระบัวเฮียวว่า "ไม่ไหว ไม่ซึมซับสิ่งดี ๆ เลย คนอย่างยายบุญรับนับวันก็จะมีมากขึ้น ประเภทเข้าวัดแล้วมานั่งนินทาคนโน้นคนนี้ ที่เขาว่า มือถือสากปากถือศีล มันก็เป็นวิบากของเขา"
"คนที่มาเข้ากรรมฐานน่าจะละกิเลสได้นะครับหลวงพ่อ"
"มันก็ละได้ แต่เป็นการละได้ชั่วคราว คือตอนเจริญกรรมฐานจิตเป็นสมาธิ มันก็บริสุทธิ์ผ่องใส เพราะกิเลสมันถูกข่ม ถูกกดเอาไว้ แต่พอออกจากรรมฐาน กิเลสมันก็ฟุ้งขึ้นมาอีก เหมือนน้ำใสที่มีตะกอนนอนก้น เอามือไปกวน มันก็ขุ่น การจะขจัดกิเลสให้หมดไปโดยสิ้นเชิงจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีขั้นตอนการปฏิบัติที่ละเอียดลึกซึ้ง ที่สำคัญที่สุดคือผู้ปฏิบัติจะต้องมีความเพียรอย่างยิ่งยวด จึงจะประสบความสำเร็จ ก็กิเลสตัณหามันอยู่กับเรามาตั้งนมนานหลายภพหลายชาติ มีหรือที่มันจะยอมออกไปง่าย ๆ"
"ถึงต้องปฏิบัติกันข้ามภพข้ามชาติเลยใช่ไหมครับ"
"ถูกแล้ว แต่บางคนก็ท้อถอย ใจไม่สู้ เลยไม่อาจตัดออกจากสงสารวัฏไปได้ ความเพียรนี่สำคัญมากนะบัวเฮียว แล้วก็ต้องเป็นความเพียรที่ถูกต้องที่เรียกว่า สัมมาวายามะ ถ้าเป็น มิจฉาวายามะ แทนที่จะทำให้หลุดพ้น กลับทำให้ติดแน่นอยู่ในสงสารวัฏหนักเข้าไปอีก"
"เรียกว่า การทำความเพียรก็ต้องมีโยนิโสมนสิการใช่ไหมครับ"
"ถูกแล้ว แหม รู้สึกว่าเธอจะเก่งขึ้นมาเชียวนะ สงสัยว่าจะหลุดพ้นในชาตินี้เสียละมัง" พระอุปัชฌาย์สัพยอก
"สาธุ สมพรปาก" พูดพร้อมกับยกมือขึ้น "สาธุ"
"ถ้าอย่างนั้นก็กลับไปปฏิบัติที่กุฏิของเธอได้ อ้อ พรุ่งนี้ออกตีสี่ครึ่งฉันเปลี่ยนเวลาแล้ว เลื่อนออกไปอีกครึ่งชั่งโมง ประเดี๋ยวจะให้สมชายไปบอกคนอื่น ๆ พระบัวเฮียวกราบเบญจางคประดิษฐ์สามครั้งแล้วลุกออกมา ขณะเดินกลับกุฏิแทนที่จะกำหนด "ซ้าย - ขวา ซ้าย - ขวา" เหมือนเช่นเคย ก็เปลี่ยนมากำหนดว่า "โยนิโสมนสิการ โยนิโสมนสิการ... ไปจนถึงที่พัก

ก่อนออกจากวัด ท่านพระครูอุตส่าห์เดินไปหานางทองรินถึงกุฏิที่นางพัก โดยมีพระบัวเฮียวกับนายสมชายไปเป็นเพื่อน นางทองรินซึ่งตื่นตั้งแต่ตีสี่ ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วและกำลังจะเดินจงกรม เมื่อได้ยินเสียงนายสมชายเรียกอยู่ข้างนอก จึงเปิดประตูออกมา ออกตกใจที่พบท่านพระครูและพระบัวเฮียว จึงรีบนิมนต์ท่านเข้ามาข้างใน
"ไม่เข้าหรอกโยม อาตมาจะรีบไป แวะมาบอกโยมเท่านั้นเอง อย่าลืมว่าโยมกำลังมีเคราะห์ ถ้าโยมไม่เชื่อฟัง อาตมาก็ช่วยอะไรโยมไม่ได้ อาตมาไปละนะ"
"ขอบพระคุณหลวงพ่อมากค่ะ ดิฉันจะทำตามคำสั่งของหลวงพ่อทุกอย่าง" นางทองรินรับคำหนักแน่น พร้อมกับไหว้ภิกษุทั้งสอง
ขณะเดินไปขึ้นรถ ท่านพระครูพูดกับพระบัวเฮียวว่า "ฉันช่วยเขาได้แค่นี้แหละบัวเฮียว เจ้ากรรมนายเวรเขาตามมาทวงชีวิต วันนี้ถ้าเขาออกนอกบริเวณวัด จะต้องตายอย่างแน่นอน แต่ถ้าเขาเชื่อฉัน ก็จะไม่ตาย" พระบัวเฮียวไม่ออกความเห็น รู้สักสังหรณ์ใจพิกลว่าจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับหล่อน
นายสมชายขับรถพาท่านพระครูและลูกวัดอีก ๘ รูปมาถึงบ้านงานเมื่อเวลาหกโมงครึ่ง เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงจึงจะเริ่มพิธี เจ้าบ่าวซึ่งอยู่ในชุดกางเกงขายาวสีเทาฟ้า เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีชมพู ออกมาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เห็นนายจ่อยท่าทางมีความสุข จิตของพระบัวเฮียวก็ถูก "กามฉันทนิวรณ์" กลุ้มรุมอีกจนเจ้าตัวต้องใช้ "โยนิโสมนสิการ" เข้าปราบปราม มันจึงสงบลงได้ "เจ้าสาวไปไหนเสียล่ะ" ท่านถามถึงคนเป็นเจ้าสาว
"ยังไม่กลับจากร้านเสริมสวยครับ" เจ้าบ่าวตอบ แขกเหรื่อยังมากันไม่มาก เจ้าบ่าวจึงมีเวลาพูดคุยกับพระสงฆ์ ท่านพระครูถามหาบิดาของนายจ่อย ก็ได้รับคำตอบว่ายังไม่สร่างเมา จึงไม่กล้าอกมาสู้หน้า
พวกแม่ครัวกำลังสาละวนอยู่กับการจัดอาหารเลี้ยงพระ ท่านพระครูนั่งหลับตากำหนด "เห็นหนอ" เพราะอยากรู้ว่าพวกแม่ครัวเขากำลังคุยกันเรื่องอะไร
"เอ้าแก ชิมอยู่นั้นแหละ ระวังจะเกิดเป็นเปรตนะ กินก่อนพระก่อนเจ้า" แม่ครัวนางหนึ่งว่าเพื่อน
"ก็มันอร่อยนี่หว่า" คนชิมตอบ
"เออ อร่อย ๆ นี่แหละ ข้าเห็นเป็นเปรตมาเสียนักต่อนักแล้ว"
"แกเห็นได้ยังไง" คนชิมย้อน
"ก็ปู่ย่าตายายข้าสอนไว้อย่างนี้ ถึงข้าไม่เห็นแต่ข้าก็เชื่อ"
"นั่นมันสมัยปู่ย่าตายายแกโว้ย สมัยนั้นน่ะพระท่านน่าเคารพนับถือ กินก่อนท่านถึงได้บาป แต่สมัยนี้มันใช่พระเสียที่ไหน แค่พวกหัวโล้นห่มผ้าเหลือง ไปไหน ๆ ก็เที่ยวแต่จะกินของดี ๆ แล้วยังจะเอาเงินอีก ที่เขาว่า "ข้าวก็ยัด อัฐก็เอา" นั้นแหละ" แม่ครัวอีกคนเถียงแทนเพื่อน
"ตายละอีแป้น มึงนะมึง นรกจะกินหัวกบาลมึงเข้าสักวัน" แม่ครัวคนแรกว่า ท่านพระครูกำหนดลืมตาไม่อยากรู้ไม่อยากเห็นอีกต่อไป นี่ขนาดคนชนบทยังดูถูกดูแคลนพระถึงปานนี้ มันความผิดของใครกันนี่ ท่านรู้สึกรันทดใจนัก เห็นนายจ่อยกำลังซุบซิบกับพระบัวเฮียวอยู่ทางปลายแถว ท่านจึงกำหนด "เห็นหนอ" ไปที่บุคคลทั้งสอง
"ทำไมนิมนต์พระวัดป่ามะม่วงทั้งหมดล่ะ ไม่กลัววัดเจ้าถิ่นเขาเขม่นเอาหรือ" พระบัวเฮียวถาม เพราะตามธรรมเนียมหากจะนิมนต์พระต่างถิ่นมา ก็ต้องให้มีพระในท้องถิ่นอยู่ด้วย การนิมนต์พระจากที่อื่นมาทั้งหมด ถือว่าเป็นการกระทำที่ข้ามหน้าข้ามตาพระเจ้าถิ่น
"ก็อย่างที่เคยเล่าให้หลวงพี่ฟังนั้นแหละ ผมไม่นับถือพระแถวนี้ แต่พูดก็พูดเถอะหลวงพี่ กฎแห่งกรรมมันทำหน้าที่ได้รวดเร็วดีจริง ๆ สมภารตายแล้ว" นายจ่อยจงใจใช้คำว่า "ตาย" แทน "มรณภาพ"
"อ้าว เป็นอะไรตายล่ะ"
"ถูกจามด้วยขวานหัวแบะเลย นอนตายอยู่ข้างระเบียงโบสถ์ ป่านนี้คลทะเลาะกับยมบาลอยู่ในนรกนั่น"
"แล้วหลวงตาทองขี้เมานั่นล่ะ"
"แหม หลวงพี่จำแม่นจัง แกสึกแล้ว เห็นว่ากลัวตกนรกเพราะไม่อาจเลิกเหล้าได้ เป็นพระกินเหล้ามันบาปมาก แกเลยสึกออกมาเสียหมดเรื่องหมดราว จะได้ตกนรกน้อยหน่อย แกว่าของแกยังงี้ ไม่ใช่ผมว่านา" ฟังแล้วพระครูจึงสรุปในใจว่า "อ้อ มันอย่างนี้เองนี่เล่า ยายแม่ครัวถึงได้ไม่ศรัทธาพระ หนอยแน่มาเรียกเราว่า พวกหัวโล้นห่มผ้าเหลือง ข้าวก็ยัด อัฐก็เอา ยายคนนี้สำมะคัญ" ถึงตอนนี้ท่านรู้สึกขำยายนั่น คำพูดของนางเท่ากับเป็นกระจกเงาที่สะท้อนให้เห็นภาพของผู้ที่เรียกตัวเองว่า "นักบวช"
เสียงรถมอเตอร์ไซค์วิ่งเข้ามาจอดใต้ถุนเรือน แล้วนางจุกก็เดินนวยนาดเข้ามากราบท่านพระครูและภิกษุอีก ๘ รูป หล่อนอยู่ในชุดไทยเรือนต้นสีชมพูอ่อน ตัดเย็บด้วยผ้าไหมเนื้อดี ผมเกล้าทรง "ลูกจันทน์" ไว้กลางศีรษะ ใบหน้าถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามโดยฝีมือของช่างเสริมสวยประจำตำบล
"หลวงน้ามาถึงนานแล้วหรือจ๊ะ" หล่อนทักทาย
"นานหรือไม่นานก็ถึงก่อนคนเป็นเจ้าสาวแล้วกัน" หลวงน้าพูดแหย่
"แหม หลวงน้าเนี่ย เจอหน้าก็ว่ากันเลยเชียว" หล่อนพ้อ
ขณะนั้นเวลาเจ็ดนาฬิกาตรง พิธีจึงเริ่มด้วยการให้ทายกซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวนำกล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย และอาราธนาศีล ท่านพระครูให้ศีลเสร็จแล้วพระสงฆ์ทั้ง ๙ รูปเจริญพระพุทธมนต์ คู่บ่าวสาวนั่งพับเพียบประนมมือฟังพระสวด มีหมอนสีชมพูรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส สำหรับวางแขนกันเมื่อยคนละใบ
เสร็จจากการเจริญพระพุทธมนต์ ทายกนำกล่าวถวายสังฆทาน แล้วจึงช่วยกันประเคนอาหารคาวหวาน พระสงฆ์ฉันภัตตาหารเสร็จ เจ้าภาพถวายจตุปัจจัยไทยธรรมแล้ว พระสงฆ์ทั้ง ๙ รูปกล่าวอนุโมทนาคาถา คู่บ่าวสาวกรวดน้ำและรับพรตามลำดับ พวกแม่ครัวก็พากันออกมารับพรจากพระด้วย ท่านพระครูจำคนที่ว่าพระได้ จึงพูดสัพยอกนางว่า
"พวกหัวโล้นห่มผ้าเหลืองนี่ไม่ไหวเลยนะโยมนะ กินข้าวเขาแล้วยังจะเอาเงินอีก" แม่ครัวหน้าเหรอ ไม่นึกไม่ฝันว่าท่านจะรู้ในสิ่งที่พวกตนแอบนินทา แต่อย่างน้อยก็ยังดีใจที่ท่านไม่โกรธ
"หลวงพ่อมาจากวัดไหนจ๊ะ" นางถาม รู้สึกศรัทธาท่านขึ้นมานิดหนึ่ง
"วัดป่ามะม่วง เคยได้ยินไหมเล่า"
"ไม่เคยจ้ะ อยู่ที่ไหนจ๊ะ"
"อยู่ไม่ไกลหรอก ถ้าอยากจะไปก็ให้เจ้าบ่าวเขาพาไปก็ได้ เขามีสอนกรรมฐานด้วยนะ อยากไปเรียนไหมเล่า"
"ก็อยากเหมือนกัน ว่าแต่ว่าหลวงพ่อไม่โกรธฉันนา" นางยังกลัวความผิด
"โกรธเรื่องอะไรเล่า"
"ก็ที่ฉันว่าหลวงพ่อ"
"อาตมาจะไปโกรธทำไม ก็อาตมาไม่ได้เป็นอย่างที่โยมว่า แต่ถึงเป็นก็ไม่ควรจะโกรธ เพราะเท่ากับโยมพูดความจริง ใช่ไหมล่ะ"
"ใช่จ้ะใช่ ว่าแต่ว่าทำไมหลวงพ่อถึงรู้ล่ะว่าฉันเป็นคนพูด" นางไม่วายสงสัย
"เอาเถอะไว้ไปเข้ากรรมฐานแล้วจะบอก อย่าลืมไปก็แล้วกัน"
"จ้ะ ๆ ฉันไปแน่ รอให้เกี่ยวข้าวเสร็จก่อน" นางรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ
เมื่อท่านพระครูไม่อยู่ในวัด นางทองรินให้รู้สึกเร่าร้อนใจยิ่งนัก เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่รู้ว่าท่านไม่อยู่ โดยเฉพาะวันนี้รู้สึกว่ามันเร่าร้อนกว่าทุกวัน แม้อากาศภายนอกจะหนาวเหน็บ หากมันก็ไม่ช่วยให้ความเร่าร้อนในใจบรรเทาเบาบางลงได้ ไม่ว่าหล่อนจะเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิ ก็ไม่อาจทำให้จิตสงบได้เลย หล่อนเริ่มฟุ้งซ่าน คิดไปต่าง ๆ นา ๆ ป่านนี้ลูกเต้าจะกินอยู่กันอย่างไร สามีหล่อนเล่า จากกันมาตั้งเจ็ดแปดวัน ป่านนี้มิมีอะไรกับสาวใช้แล้วหรือ เพราะเห็นแม่นั่นทำท่าระริกระรี้ให้ท่าอยู่บ่อย ๆ ข้างสามีหล่อนก็ใช่ย่อย ยิ่งเมาแอ๋กลับบ้านทุกวันอย่างนั้นมีหรือที่จะพ้นเงื้อมมือแม่สาวใช้วัยรุ่น จริงอยู่แม้หล่อนจะไปขอร้องให้มารดามาช่วยดูแล แต่แม่หล่อนก็ต้องมีวันเผลอ ยิ่งถ้าสองคนนั้นมีจิตกระสันต่อกัน แม่หล่อนหรือใคร ๆ ก็ห้ามความกระสันของคนคู่นั้นไม่ได้ อย่ากระนั้นเลย เราควรจะไปดูสักหน่อยเป็นไร นั่งรถไปสองชั่วโมงก็ถึง ดูให้เห็นกับตาแล้วจะรีบมา หลวงพ่อคงยังไม่กลับ นี่ก็เพิ่งจะหกโมงเช้าเท่านั้นเอง แล้วหล่อนก็รีบจัดแจงแต่งกาย ออกจากที่พักเดินฝ่าความหนาวเหน็บตรงไปยังถนนสายเอเชีย "คอยดูนะตาแก่ ถ้าจับได้คาหนังคาเขา แม่จะฆ่าทิ้งเสียเลย" หล่อนคิดเรื่อยเปื่อยไปตลอดทาง สิ่งที่คิดล้วนแต่ร้าย ๆ ทั้งนั้น
ถึงถนนสายเอเชีย หล่อนต้องข้ามไปรอรถทางฝั่งโน้น มีรถประจำทางหลายสายที่วิ่งมาจากทางเหนือเพื่อจะเข้ากรุงเทพฯ หล่อนมองซ้ายมองขวา เห็นไม่มีรถวิ่งมาสักคัน จึงก้าวเท้าออกไปโดยเร็วแล้วก็ต้องจบชีวิตลง เพราะถูกรถบรรทุกชนกระเด็นไปตกอยู่ริมถนนฝั่งตรงข้ามล
รถบรรทุกคันนั้นวิ่งตะบึงแข่งกับลมหนาวมาตามถนนสายเอเชีย เห็นคนเดินตัดหน้าในระยะกระชั้นชิดจะเบรคก็ไม่ทัน คนขับก็เลยไม่ยอมเบรค ทั้งไม่สนใจที่จะหยุดรถดูให้เสียเวลาทำมาหากิน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจทางหลวง ที่จะเรียกป่อเต็กตึ้งมาเก็บศพ
บรรดารถยนต์ที่วิ่งผ่านไปมา ไม่มีคันใดหยุดดูร่างบอบบางที่นอนจมกองเลือดอยู่ริมถนน อย่างดีก็แค่ชะลอรถให้ช้าลง เพราะมีตัวอย่างมานักแล้ว ที่คนชนหนีไป แล้วคนหยุดดูกลับกลายเป็นจำเลยแทน
รถสายตรวจของตำรวจทางหลวงมาพบศพเมื่อเวลาแปดนาฬิกา จึงวิทยุไปเรียกป่อเต็กตึ้ง ชาวบ้านแถวนั้นเริ่มทยอยกันมาดูศพ เนื่องจากอากาศคลายความหนาวเย็นลงมากแล้ว แม่ครัววัดป่ามะม่วงก็มาดูกับเขาด้วย เห็นหน้าผู้ตายถนัด "นางบุญรับ" ถึงกับขวัญเสีย ความเกลียดชังที่มีต่อหล่อนกลับกลายเป็นความเวทนาสงสาร นางยกมือท่วมหัวพูดเบา ๆ ว่า
"ไปสู่ที่ชอบ ๆ เถิดแม่คุณ ขออย่าได้มีเวรต่อกันและกันเลย"
แม่ครัวที่มาด้วยอีกสองคนก็รู้สึกใจหายเพราะเห็นกันทุกวัน เคยเอาปิ่นโตไปส่งให้ที่ห้องพักวันละสองเวลา เช้านี้ก็เอาไปส่ง เห็นไม่อยู่ห้องก็นึกว่าไปทางไหน มาพบอีกทีก็กลายเป็นศพไปเสียแล้ว ช่างน่าอนาถใจแท้ ๆ
นายละอองขับรถมาจากกรุงเทพฯ กับบุตรสาววัยรุ่นอีกสองคน เข้าตั้งใจมาเยี่ยมภรรยาซึ่งมาปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดป่ามะม่วง เคยขับรถมาส่งเหล่อนเมื่อวันที่ ๑ ธันวา หล่อนบอกว่าจะมาอยู่สักเจ็ดวัน พอมาถึงท่านพระครูกลับบอกให้อยู่ตั้งสิบห้าวัน ด้วยเหตุผลว่าหล่อนกำลังมีเคราะห์ ลูกสาวสองคนรบเร้าให้เขาพามาด้วยทนคิดถึงมารดาไม่ไหว เขาเองก็คิดถึงหล่อนเช่นกัน
รถวิ่งมาถึงทางเลี้ยวเข้าวัด เห็นคนมุงดูอะไรกันอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม ชายวัยกลางคนมิได้สนใจจะหยุดดู ด้วยใจจดจ่ออยู่ที่ภรรยา อยากเห็นหน้าหล่อนเร็ว ๆ
ครั้นถึงวัด เขาตรงไปยังกุฏิที่หล่อนพักพร้อมลูกสาวทั้งสอง เมื่อเดินไปถึงปรากฏว่าหล่อนไม่ได้อยู่ที่นั้น ที่ประตูมีกุญแจดอกเล็ก ๆ คล้องไว้ หน้าต่างทุกบานถูกปิด เขาจึงไปที่กุฏิท่านพระครู คิดว่าหล่อนอาจจะอยู่ที่นั่น คนที่กุฏิท่านพระครูบอกเขาว่า ท่านไม่อยู่และยังบอกเรื่องมีคนถูกรถชนตายเป็นคนที่มาเข้ากรรมฐาน
เขารู้สึกสังหรณ์ใจพิกลจึงขับรถออกไปดู แล้วก็ได้พบกับความจริงที่เศร้าสลด ภาพของลูกสาวสองคนร่ำไห้กอดศพแม่ ทำให้เขาสะเทือนใจยิ่งนัก ยังลูกชายคนเล็กที่อยู่กับแม่ยายที่บ้านอีกคน แกจะทำอย่างไร เมื่อรู้ว่าผู้เป็นแม่ได้จากโลกนี้ไปเสียแล้ว
เมื่อรถของมูลนิธิป่อเต็กตึ้งมาถึงที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่จึงให้นำศพไปตั้ง ณ วัดป่ามะม่วงตามคำขอร้องของสามีผู้ตาย ซึ่งต้องการจะรอถามท่านพระครูก่อน ว่าจะให้นำศพไปเผาที่กรุงเทพฯ หรือว่าเผาเสียที่วัดป่ามะม่วง แล้วเขากับลูกก็มานั่งรอท่านที่กุฏิ
ทันทีที่ท่านพระครูก้าวลงจากรถ สามีนางทองรินแทบจะโผเข้าหา เขาคุกเข่าลงกับพื้นกราบแทบเท้าของท่าน ร้องไห้สะอึกสะอื้นแข่งกับลูกสาวทั้งสอง ตอนเห็นศพภรรยาเขากลั้นความรู้สึกทั้งมวลไว้ แต่เมื่อมาพบผู้ที่เห็นอกเห็นใจที่เขาจะยึดเป็นที่พึ่งได้ ความรู้สึกที่อดกลั้นเอาไว้ก็กลั้นไม่ไหวอีกต่อไป
"ทำใจดี ๆ เอาไว้โยม เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดาโลก ไม่มีใครหลีกหนีพ้น โยมทองรินเขาไปสบายแล้ว เขานั่งรออาตมาอยู่ตรงทางเลี้ยว เล่าให้ฟังหมดว่าเกิดอะไรขึ้น ไป ไปคุยกันที่กุฏิดีกว่า" ท่านเดินนำสามพ่อลูกไปยังกุฏิ ภิกษุอีกเจ็ดรูปต่างแยกย้ายกันไปยังกุฏิของตน คงมีแต่พระบัวเฮียวที่เดินตามท่านพระครูมาเพราะอยากรู้เรื่องราว
เมื่อทุกคนมาถึงกุฏิและนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ท่านพระครูจึงเล่าเรื่องที่ "วิญญาณ" มาบอกกล่าว
"เมื่อเช้าก่อนออกจากวัด อาตมาก็ไปกำชับเขาว่า ไม่ให้ออกไปไหน ขาก็รับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่พออาตมาออกจากวัดไป เขารู้สึกร้อนอกร้อนใจ ไม่อาจปฏิบัติได้ เกิดห่วงโยม ห่วงลูก ๆ" ท่านไม่ได้เล่าทั้งหมดที่วิญญาณบอก เพราะอย่างน้อยก็เห็นแก่คนที่ตายไปแล้ว แต่คนฟังกลับเป็นคนเล่าเสียเองว่า
"เขาคงเห็นผมดื่มเหล้าทุกวัน เลยกลัวว่าจะพลาดพลั้งไปมีอะไร ๆ กับคนใช้ ทั้งที่ผมไม่เคยคิดอกุศลเช่นนั้น ตั้งแต่เขามาอยู่วัด ผมก็ไม่เคยดื่มอีกเลย และก็ตั้งจะว่าจะไม่ดื่มไปจนตลอดชีวิต อาจเป็นเพราะเขาเผื่อแผ่บุญมาให้ผม จึงทำให้ผมกลับเนื้อกลับตัวได้" นายละอองเล่า แม้จะหยุดร้องไห้แล้ว แต่ก็ยังมีน้ำคลออยู่ที่หน่วยตาทั้งสอง
"ดีแล้ อาตมาขออนุโมทนาด้วย โยมทองรินเขาก็คงดีใจ ส่วนเรื่องศพเขาบอกให้เผาที่นี่ เขาอยากจะปฏิบัติกรรมฐานต่อแล้วจึงจะไปเกิดในภพภูมิใหม่"
"วิญญาณปฏิบัติธรรมได้หรือครับหลวงพ่อ" พระบัวเฮียวถาม
"ทำไมจะไม่ได้เล่า อย่างวิญญาณแม่กาหลงก็มาปฏิบัติที่วัดนี้ตั้งแต่ยังเป็นเปรต จนเดี๋ยวนี้เป็นเทพธิดาไปแล้ว รูปร่างสวยงามเชียว เคยมาปรากฏให้คนเห็นบ่อย ๆ เคยสอนเดินจงกรมให้แม่ชีเขียวด้วย" แม่ชีเขียวเป็นผู้อาวุโสที่สุดของสำนักชี เดี๋ยวนี้อายุแปดสิบ ไปไหนมาไหนไม่ค่อยไหวแต่ก็ยังปฏิบัติอยู่ที่สำนัก
"แล้วแม่ชีเขียวแกรู้ไหมครับว่า แม่กาหลงไม่ใช่มนุษย์"
"รู้ แต่แกเป็นคนไม่กลัวผี แกก็เดินจงกรมอยู่กับแม่กาหลงสองคน คนอื่น ๆ ไม่มีใครกล้า นี่รู้เรื่องแม่กาหลงแล้วอย่าไปเล่าให้เศรษฐีเจริญชัยนั่นฟังนะ เดี๋ยวเขาจะพากันกลัวไม่ยอมมาวัดอีก" ท่านกำชับพระบัวเฮียว ซึ่งฝ่ายนั้นก็รับคำหนักแน่น
"แล้วภรรยาผมล่ะครับหลวงพ่อ ทำไมเขาต้องอายุสั้น" นายละอองถาม
"ตามหลักของกรรม คนที่อายุสั้นเพราะเคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต โยมทองรินเคยไปฆ่าเขาไว้ เจ้ากรรมนายเวรก็เลยตามมาทวง นี่เขาเล่าให้อาตมาฟังนะ"
"ถ้าเขาไม่ออกไปนอกวัดก็ไม่ต้องตายใช่ไหมครับ"
"ถูกแล้ว เจ้ากรรมนายเวรเขามาดักรออยู่ ตอนโยมเขาข้ามถนนก็บังตาเอาไว้ ไม่ให้เห็นรถบรรทุก"
"ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่า จิตวิญญาณจะมีอยู่จริง นี่ถ้าไม่ใช่หลวงพ่อเล่า ผมคงไม่เชื่อ"
"ถึงจะเป็นอาตมา โยมก็อย่าเพิ่งเชื่อจนกว่าจะได้พิสูจน์ด้วยตัวเองเสียก่อน"
"พิสูจน์อย่างไรครับ" ถามอย่างสนใจ
"มาเข้ากรรมฐานสักเจ็ดวัน พอมีเวลาไหมเล่า"
"ครับ ผมจะหาเวลามา รอให้ลูก ๆ ปิดเทอมเสียก่อน"
"ดีแล้ว โยมทองรินจะได้ดีใจ โยมจะได้คุยกับเขา โดยไม่ต้องผ่านทางอาตมา"
"หนูจะมากับคุณพ่อได้ไหมคะหลวงตา หนูอยากคุยกับคุณแม่ค่ะ" เด็กสาววัยสิบสี่ถามขึ้น
"ได้จ้ะ ถ้าหนูตั้งใจปฏิบัติก็จะสามารถคุยกับคุณแม่ได้ แล้วหนูจะมาไหมละจ๊ะ" ท่านถามคนน้อง
"ถ้าคุณพ่อกับพี่เขามาหนูก็มาค่ะ" เด็กหญิงวัยสิบสองตอบ
"หลวงพ่อครับ ศพของทองริน จะเผาเมื่อไหร่ครับ" นายละออกถามขึ้น
"สวดพระอภิธรรมสักสามคืนแล้วค่อยเผา เจ้าตัวเขาไม่สนใจหรอก ร่างกายนั้น เมื่อวิญญาณทิ้งเสียแล้วก็ไม่ต่างกับท่อนไม้หรือท่อนฟืน"
"ถ้าอย่างนั้นก็เผาเสียวันนี้เลยดีไหมครับ" พระบัวเฮียวออกความเห็น เป็นความเห็นที่เชยที่สุดในความคิดของท่านพระครู
"จะเร็วขนาดนั้นไม่ได้หรอกบัวเฮียว อย่าลืมว่าโยมเขามีญาติพี่น้องจะต้องแจ้งให้ญาติรู้เสียก่อน ให้เขาจัดการกันตามประเพณีนิยม คนที่เขาไม่เข้าใจเรื่องการเกิดการตายก็มีอยู่
"ถ้าเช่นนั้นผมจะเข้ากรุงเทพฯ ไปบอกญาติ ๆ เลยนะครับ" นายละอองบอก
"อย่าเลย โยมกำลังเครียด ไม่ควรขับรถขับลา อาตมาคิดว่าโยมไม่ต้องไปก็ได้ เดี๋ยวให้สมชายพาไปโทรศัพท์ทางไกลที่ในตัวจังหวัด โยมจะได้เตรียมงานอยู่ทางนี้ ห้าโมงเย็นจะมีพิธีรดน้ำศพ ญาติทางกรุงเทพฯ คงมาทัน เดี๋ยวพาลูกไปเข้าที่พักเสียก่อน พักที่กุฏิโยมทองรินได้ไหม กลัวกันหรือเปล่า"
"ไม่กลัวครับ"
"ไม่กลัวค่ะ" สามพ่อลูกตอบพร้อมกัน
"ดีแล้ว ถ้าอย่างนั้นสมชายช่วยพาไปส่งด้วย เสร็จแล้วพาโยมผู้ชายเข้าไปโทรศัพท์ที่ตัวจังหวัด บอกญาติทางกรุงเทพฯ ให้รู้ เขาจะได้พากันมาทันอาบน้ำศพ"
เมื่อสามพ่อลูกลุกออกไปแล้ว นางบุญรับก็ร้องไห้กระเซอะกระเซิงเข้ามา
"หลวงพี่ ฉันกลัวผียายทองริน"
"ก็ดีแล้วนี่ อยากไปเกลียดเขา แบบนี้ต้อบอกให้หลอกเสียให้เข็ด" ท่านพระครูขู่
"ไม่เกลียดแล้วจ้ะหลวงพี่ ฉันไม่เกลียดเขาแล้ว เห็นเขาตายแล้วสงสาร" นางบุญรับรีบบอก
"อ้อ ถ้าเขายังไม่ตายก็ยังไม่หายเกลียดใช่ไหมเล่า" ท่านพระครูย้อน
"ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนนี้ฉันสงสารเขาจริง ๆ ขอให้ไปที่ชอบ ๆ เถอะ แม่คู้ณ อย่าได้มาจองเวรจองกรรมกันเลย"
"ใครเขาอยากจะจองเวรจองกรรมกับคนอย่างแกเล่ายายบุญรับเอ๊ย อย่าสำคัญตัวผิดไปหน่อยเลย คนอย่างแกน่ะ แม้แต่ผีก็ยังเมิน" ท่านพระครูว่าให้
"เมินก็ดี จะได้ไม่มาหลอกฉัน เดี๋ยวตอนอาบน้ำศพ ฉันจะไปกราบขอขมาเขา"
"ดีแล้ว แล้วข้าจะช่วยบอกเขาให้ไป ช่วยไปตามลูกสาวเขามากินข้าวกินปลาเสีย นี่ก็เที่ยงกว่าแล้ว บริการเขาดี ๆ นะแม่เขาจะได้ไม่มาหลอก" ท่านแกล้งแหย่
"แหม หลวงพี่ชอบพูดให้ฉันหวาดเสียวอยู่เรื่อย" นางต่อว่าแล้วจึงลุกออกไป ท่านพระครูพูดกับพระบัวเฮียวว่า "วันนี้เธอก็เลยอดฉันเพล"
"ไม่เป็นไรครับ ผมอิ่มมาจากบ้านนายจ่อยแล้ว อาหารเขาอร่อย ๆ ทั้งนั้น ผมเลยว่าเสียอิ่มแปล้ ถึงไม่ได้ฉันอีกสามวันก็คงไม่หิว"
"ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ รู้สึกว่าเธอจะติดในรสอีกแล้วนะ ทำไมถึงไม่กำหนด "รสหนอ" ล่ะ"
"กำหนดไม่ทันครับ ก็มันอร่อยผมก็เลยฉันเพลินจนลืมกำหนด"
"นั่นแสดงว่าเธอยังต้องฝึกอีกมาก"
"ครับผมก็ว่าอย่างนั้น หลวงพ่อครับ ยายบุญรับแกจะหายโกรธโยมทองรินจริงอย่างที่แกพูดหรือเปล่าครับ"
"จริงสิ โบราณเขาถึงสอนว่า งามอยู่ที่ผี ดีอยู่ที่ละ พระอยู่ที่ใจ ไงล่ะ"
"หมายความว่าอย่างไรครับ"
"ก็หมายความว่า คนเราถึงจะจงเกลียดจงชังกันปานใด พออีกฝ่ายหนึ่งตายลง ความเกลียดก็หายไป จะมีแต่ความเมตตา สงสารเขา อะไรที่เขาเคยทำไว้กับตนก็จะเห็นว่าเป็นสิ่งดีงามไปหมด แล้วก็จะนึกถึงเขาแต่ในทางที่ดีที่งาม จึงเรียกว่างามอยู่ที่ผี ดีอยู่ที่ละ ก็หมายความว่า คนเราจะดีได้ก็ต้องละชั่วให้ได้ ถ้าละชั่วไม่ได้ก็ดีไม่ได้ ส่วนพระอยู่ที่ใจอันนี้ คงไม่ต้องอธิบายหรอกนะเพราะเธอก็เป็นพระ ฉันก็เป็นพระ ไม่ใช่คนหัวโล้นห่มผ้าเหลืองอย่างที่แม่ครัวบ้านงานว่า"
"ครับ แล้วผมก็ขอตั้งปณิธานว่า จะรักษาศักดิ์ศรีของพระไว้ด้วยชีวิต จะไม่ยอมให้ใครมาตราหน้าว่า เป็นพวกหัวโล้นห่มผ้าเหลืองอย่างเด็ดขาด" พระบัวเฮียวให้คำปฏิญาณต่อหน้าพระอุปัชฌาย์..





เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ



เชิญร่วมบูรณะวัดเมืองน่าน
0819510954


ขอเชิญผู้มีจิตศรัทธาร่วมเป้นเจ้าภาพสร้างอุโบสถทรงจตุรมุข วัดดงเล้า
โทร. ๐๘๔-๙๐๖๒๗๕๓๘



ขอเชิญร่วมสร้างวิหารทาน วัดป่าห้าพระองค์
084-6401527


ขอเชิญร่วมทำบุญสร้างเจดีย์ และร่วมอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุ
โทร ๐๘๓-๑๑๔๓๖๘๑


ขอเชิญสร้างกุฏิ วัดป่าบางแสม บางปะกง ฉะเชิงเทรา


ขอเชิญเป็นเจ้าภาพร่วมสร้างพระประธานขนาด 109 นิ้วถวายวัดป่าหนองผักแว่น จ.ร้อยเอ็ด
08-6516-9234



เชิญผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญใหญ่ๆทอดผ้าป่าสร้างเมรุ และพระประธาน
089-0-10802-1



ขอเชิญร่วมทำบุญหล่อพระพุทธเจ้าน้อย
สามารถติดตามและร่วมทำบุญตามรายละเอียดดังนี้ (เซเว่น อีเลเว่น และไปรษณีย์ไทย ทุกสาขา)



"งานบุญ บูรณะสวนแสงธรรม หลังน้ำท่วม และงานบุญสร้างพระศรีอริยะเมตไตรย์ "
โทร 081-112-4218



เชิญร่วมสมทบทุนสร้างเจดีย์ศรีสุทธาวาส บรรจุพระบรมสารีริกธาตุฯ
โทร...053-384684


งานมหากุศลใหญ่! ขอเชิญหล่อพระเกตุมาลาพระพุทธรูปปางประทานพรที่ใหญ่ที่สุดในไทย
08-3986-2555



เชิญผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำทอดผ้าป่าสร้างเมรุ และพระประธาน
ณ วัดราษฎรสีสุก บ้านสีสุก หมู่ ๒ ตำบลกกกุง อำเภอเมืองสรวงจังหวัดร้อยเอ็ด ในวันอาสาฬบูชา ที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ เวลา ๐๘.๓๐ นาฬิกาเนื่องจากวัดนี้มีผู้มาปฏิบัติธรรมเป็นจำนวนมาก แต่อยู่ในหมู่บ้านซึ่งทุรกันดาลชาวบ้านไม่มีปัจจัยพอที่จะทำการก่อสร้างได้เสร็จจึงเชิญผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันทำบุญกับท่านพระอนันต์อภินันโท
โดยร่วมบริจาคผ่านธนาคารกรุงไทย สาขารัฐสภาชื่อบัญชี นางสาวธัชสรัญ ปทีปนำพาผล ผู้ประสานงาน เลขที่บัญชี 089-0-10802-1




ขอเชิญผู้มีจิตศรัทธาร่วมสร้างซุ้มประตูลานปฏิบัติธรรม
โทร 08-01942107


เชิญร่วมทำบุญสร้าง (วิหารทาน) เพื่อประดิษฐาน พระพุทธกัสปะ รัตนมงคลสัพพะสิทธิ์
โทร.๐๘๗-๑๘๕-๑๙๖๔




ร่วมสร้างศาลาวิหารไม้สักกับพระอาจารย์สุริยันต์ โฆษปัญโญ วัดป่าวังน้ำเย็น มหาสารคาม
0851455942


สร้างศาลาปฏิบัติธรรมฯ เพื่อประดิษฐานพระประธาน "หลวงพ่อโต"
089-6427273


เรียนเชิญท่านเจ้าภาพผู้มีบุญทุกท่านร่วมบุญอุปปัฏฐากพระภิกษุอาพาธด้วยการเป็นเจ้าภาพนวดแผนไทย รูปละ200บาท หรือเป็นเจ้าภาพรายเดือน หรือ ตามพลังจิตศรัทธา โดยโอนผ่านบัญชีออมทรัพย์ธนาคารกรุงไทยสาขาคลองหลวงเลขที่ 9807919223 ชื่อบัญชี น.ส.กมนทรรศน์ สุนทรศารทูล หรือ นายสายชล มีบำรุง โทร.085-9219772



ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างกุฏิสงฆ์ถวายวัดที่สร้างใหม่
080-1220801


เชิญร่วมสร้างพระสมเด็จชินราชสายฟ้าเจ็ดสีพุทธภูมิ
089-897-8008


วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา ขอเชิญร่วมบุญแกะสลักหินทราย
สามารถร่มบุญได้ที่ บัญชีเลขที่ 595-0-80641-3 ธนาคาร กรุงเทพ สาขา เดอะมอล์นครราชสืมา ชื่อบัญชี พระอินผล กิวแก้ว





ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างฉัตร 9 ชั้น ถวายพระประธาน
080-5174730


เชิญผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญใหญ่สร้างเมรุ และพระประธาน วัดที่ขาดแคลน
ณ วัดราษฎรสีสุก บ้านสีสุกหมู่ ๒ ตำบลกกกุง อำเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด ในวันอาสาฬบูชา ที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ เวลา ๐๘.๓๐ นาฬิกา



ขอเชิญร่วมทำบุญสมโภชพระพุทธรูปเจ้าทันใจและถวายตุงเงินตุงทอง
ณ วัดศรีมงคล (เหมืองลึก) ตำบลทาทุ่งหลวง
อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน
วันเสาร์ ที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๕
ร่วมอนุโมทนาบุญผ่านธนาคาร กรุงไทย สาขา แม่ทา
ชื่อบัญชี พระสมุห์ทรงศักดิ์ มหาวีโร
เลขที่บัญชี 531-0-06020-0


ขอเชิญลูกหลานร่วมสร้างรูปพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำองค์ใหญ่ที่สุดในโลก
ร่วมทำบุญได้ที่ วัดวีระโชติธรรมาราม ต.คลองหลวงแพ่ง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา
ธนาคารกสิกรไทย สาขาสุวินทวงศ์ จ.ฉะเชิงเทรา เลขที่บัญชี 409-2-42394-3


ขอเชิญรัตนมณฑปมณีเชษฐาขึ้นใหม่ เพื่อประดิษฐานพระพุทธมหามณีเชษฐาเพื่อให้เด่นสง่าและเป็นเคารพสักการะบูชา และหล่อทองเหลืององค์หลวงพ่อมณีเชษฐาจำลองขนาดหน้าตักกว้าง ๓๒ นิ้ว<O </O

<O </O
จึงเรียนเชิญท่านร่วมสร้างบุญสร้างกุศล ร่วมกุศลทุกอย่างได้ที่วัดจอมมณี และสอบถามรายละเอียดกับท่านเจ้าอาวาสได้โดยตรง<O </O

<O </O
พระครูสุตรัตนาภรณ์<O </O
เจ้าอาวาสวัดจอมมณี อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย<O </O
โทรศัพท์ 08-1799-0343


ขอเชิญร่วมทำบุญผ้าป่าสามัคคี สมทบทุนซ่อมหลังคาพระอุโบสถ
ณ วัดพงเสลียง ต.แม่สิน อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย
โทรศัพท์ เจ้าอาวาส (พระอธิการณรงค์ นรินฺโท) 089-839-3273



ขอเชิญร่วมทำบุญ เททองหล่อพระ ปิดทองคำแท้ กาญจนบุรี 02/08/2555
086 – 173 5586


ขอเชิญร่วมสร้างพระพุทธรูปใหญ่ ขนาดหน้าตัก ๙ เมตรพร้อมอาคาร ณ วัดถ้ำแม่ย่า จ.สุโขทัย
083 – 3033745


ขอเชิญร่วมบริจาคสมทบทุนสร้างร.พ.ผู้สูงอายุ
บริจาคได้ที่ ธนาคารกรุงเทพ สาขาย่อยเซ็นทรัลพลาซ่า รัตนาธิเบศน์ ชื่อบัญชี มูลนิธิกรุงเทพมหานคร 2552 ประเภท ออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 924-0-071119


ขอเชิญร่วมสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ณ วัดธรรมยาน


ผู้มีจิตศรัทธาใจบุญทั้งหลาย มาร่วมกันทอดกฐิน เพื่อนำปัจจัยทั้งหมดที่ได้ สร้างโบสถ์ใหม่ ณ วัดศรีบุญเรือง จ.บึงกาฬ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๕



ร่วมสร้างพระอุโบสถเป็น วิหารทาน สร้างมหาทานบารมีติดตามตัวไปข้ามภพข้ามชาติ
โทรศัพท์ 087 - 880 7942


เชิญร่วมบูรณะศาลาเอนกประสงค์และกฏิ เนื่องจากไฟไฟม้เมื่อ ๙ พ.ค.ที่ผ่านมา‏
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :
วัดป่าเชิงเลน โทรศัพท์ ๐๒-๘๖๕-๕๖๔๕ และ ๐๒-๘๖๕-๕๖๔๖


15 มิย 55 ครูบาวิทูรย์ นำเทพบุตรเทพธิดาร่วมสร้างสมเด็จองค์ปฐม
จึงเรียนเชิญทุกท่านร่วมเป็นเจ้าภาพทำบุญ ตามกำลังศรัทธา ณ ปรียนันท์ธรรมสถาน พระครูบาวิฑูรย์ ชินวโร อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ท่านสามารถร่วมบรรจุวัตถุมงคล พระบรมสารีริกธาตุ พระเครื่อง แก้ว แหวน เงิน ทอง แผ่นทองเหลืองต่างๆ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ได้อย่างสะดวกตามอัธยาศัย

ขอเชิญผู้ใจบุญร่วมทำบุญซื้อที่ดินถวายวัดเวฬุวนาราม (ไผ่เขียว) ดอนเมือง กรุงเทพฯ
โทร. 025743652


ขอเชิญเป็นเจ้าภาพร่วมสร้างพระประธานขนาด 109 นิ้วถวายวัดป่าหนองผักแว่น จ.ร้อยเอ็ด
08-6516-9234


เรียนเชิญญาติธรรมร่วมสร้างพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม ณ สำนักปฎิบัติธรรมพุทธพรหมปัญโญ
โทร:087-4013002


ร่วมบุญใหญ่สร้างศาลาเจดีย์พระวิหารหลวงพ่อสุกกับพระป่ากรรมฐาน
080-4692136


ร่วมสร้างพระประธานโบสถ์ หลวงพ่อองค์อินทร์ หน้าตัก ๗๐ นิ้ว วัดทรายศรี จ.นครพนม
บ้านนาอินทร์ ต.นาเดื่อ อ.ศรีสงคราม จ.นคพนม วันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ เวลา ๙.๙ นาที่
ธนาคารกรุงไทย สาขาอากาศอำนวย ชื่อบัญชี วัดทรายศรี เลขบัญชี 4440275702

ขอเชิญร่วมทำบุญปูพื้นกระเบื้องศาลาเอนกประสงค์สร้างใหม่
โทร 082-8672501


ร่วมสร้างอาคารโรงพยาบาลสูง ๑๐ ชั้น จังหวัดชัยภูมิ ร่วมกับ หลวงพ่อสายทอง เตชะธัมโม
0883135981


เชิญชวนร่วมทำบุญใหญ่ สร้างบันไดทางขึ้น-ลง องค์พระธาตุจอมแจ้ง จ.เชียงราย


เชิญร่วมทำบุญสร้าง (วิหารทาน) เพื่อประดิษฐาน พระพุทธกัสปะ รัตนมงคลสัพพะสิทธิ์
โทร.๐๘๗-๑๘๕-๑๙๖๔

รับบริจาคต้นโพธิ์หรือเมล็ดพันธุ์โพธิ์ เพื่อปลูกในสวนป่าต้นโพธิ์ วัดบ่อกรุ
08-2685-5608


คณะลูกศิษย์หลวงพ่อเยื้อนจัดทำเหรียญ locket เพื่อการกุศลสร้างกุฏิวัดเขาศาลา จ.สุรินทร์
สนใจติดต่อ
คุณเพชร เบอร์โทร 083 115 5449
คุณปา เบอร์โทร 081 157 8193


มหากุศลใหญ่ ขอเชิญยกพระเกตุขึ้นประกอบที่พระพุทธรูปปางประทานพรที่ใหญ่ที่สุดในไทย
ในวันมหามงคลฤกษ์ 4 มิถุนายน 2555 ซึ่งเป็นวันวิสาขบูชาและวันครบรอบพุทธชยันตี 2,600 ปีนี้ ขอเชิญผู้มีจิตศรัทธาร่วมงานบุญใหญ่ ยกพระเกตุขึ้นประกอบที่พระพุทธรูปปางประทานพรที่ใหญ่ที่สุดในไทย (หน้าตักกว้าง 12 ม. 19 ซม. สูง 17 ม. 39 ซม.)

14:00 น. ยกพระเกตุ
รายละเอียดเกี่ยวกับงาน การร่วมทำบุญ ดูที่ Link ด้านล่าง
http://www.nongplubtemple.nextmediatren ... image.html



บุญด่วน..ตอนนี้ขาดเจ้าภาพกระเบื้องปูพื้นฐานพระ ๘๕ กล่อง จะเร่งทำให้ทันวันงาน
บัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาบัวใหญ่ ชื่อบัญชี พระมหาธนภัทร อุตฺตมปญฺโญ เลขที่บัญชี 302-0-26017-5
โทร.๐๘๕-๑๙๘-๒๙๑๑

บุญด่วน...ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพถวาย..แท้งค์น้ำ...กับสำนักสงฆ์พระธาตุเจดีย์มังกรทอง
โทร 085-0304787


ด่วนรับเป็นเจ้าภาพสร้าง "นรสิงห์" เฝ้าองค์พระธาตุเจดีย์ ตัวละ ๖,๐๐๐ บาท
โทร ๐๘๓-๑๑๔๓๖๘๑


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2012, 23:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


:b16:

.. อนุโมทนาแล้วๆๆ..

:b8: ..


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 48 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร