วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 21:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2008, 06:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

อารมณ์ ๖ ที่เป็นบัญญัติ-ปรมัตถ์
พระครูเกษมธรรมทัต (สุรศักดิ์ เขมร์สี)
http://www.dharma-gateway.com/monk/prea ... sem_26.htm

๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๑

นมัตถุ รตนัตตยัสสะ ขอถวายความนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขอความผาสุกความเจริญในธรรมจงมีแก่ญาติสัมมาปฏิบัติธรรมทั้งหลาย

ต่อไปนี้จะได้ปรารภธรรมะตามหลักคำสั่งสอนขององศ์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในการประพฤติปฏิบัติ

การปฏิบัติเป็นเรื่องของการลงมือกระทำ
การกระทำทางจิตใจก็คือการดำเนินเจริญสติระลึกรู้ เรียกว่าการเจริญภาวนา

ทำสติให้เกิดขึ้น ทำสมาธิให้เกิดขึ้น ทำปัญญาให้เกิดขึ้น
ทำสติให้เจริญ ทำสมาธิให้เจริญ ทำปัญญาให้เจริญ
หรือ เรียกว่าการปฏิบัติเจริญภาวนา

การปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความดับทุกข์เป็นวิปัสสนา
ถ้าไม่ได้เจริญให้เป็นวิปัสสนาแล้วก็ไม่สามารถที่จะดับทุกข์ได้
คือไม่สามารถจะดับทุกข์ได้อย่างแท้จริง

การเจริญสมถะทำให้เกิดความสงบ ทำให้เกิดความสุข
ก็เป็นความสุขที่ชั่วครู่ หรือว่าเป็นความสุขที่เป็นไปในระยะหนึ่ง
เมื่อสมาธิเสื่อมลงคลายลงก็มีความทุกข์อีก คือเมื่อมีกิเลสเกิดขึ้นกิเลสเจริญขึ้นมาอีกก็ทุกข์อีก
สมาธินั้นได้เพียงแค่การข่มกิเลสเข้าไว้ เรียกว่า วิขัมภนปหาน

คนส่วนมากปฏิบัติแล้วก็อยากจะสงบ ใฝ่ฝันต่อความสงบ เพราะอะไร
เพราะความสงบให้ความสุข ยิ่งความสงบที่เกิดจากสมาธิก็จะเป็นความสุขที่ดื่มด่ำ
ความสุขที่ไม่เหมือนกับความสุขทางโลกียะ ไม่เหมือนกับความสุขที่ได้เสพในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส
ความสุขที่ไปเสพในกามคุณอารมณ์นั้นเป็นความสุขที่ยิ่งเร่าร้อน
ความสุขที่มีทุกข์ตามมา

เมื่อบุคคลได้มาเจริญสมาธิได้พบกับความสุขสงบในด้านจิตใจ
ก็จะรู้สึกว่าติดใจ รู้สึกว่าความสุขจากความสงบนี้
มีความประณีตเหนือกว่าความสุขทางรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส

แม้บุคคลที่ได้สัมผัสความสงบบ้างในระดับต้นๆ
ก็ยังมีความรู้สึกว่าน่าพึงพอใจติดใจใฝ่ฝันต้องการได้ความสงบ
อยากจะได้สมาธิ อยากจะได้ความสงบ

ความสงบด้วยอำนาจของสมาธิก็เหมือนกับเรากินยาระงับปวด
กินยาพวกปฏิชีวนะหรือว่าฉีดยาระงับปวด
มันรู้สึกว่าจะสบายแล้วก็ได้รับผลเร็ว เมื่อไม่สบายขึ้นมาก็กินยาระงับ
รู้สึกว่า เออ มันเป็นสุขหรือว่าคลี่คลายความทุกข์

แต่ว่ายาเหล่านั้นพอหมดฤทธิ์ยามันก็เป็นอีก
ปวดอีกไม่สบายอีก แต่มันทันใจกินแล้วรู้สึกว่ามันหาย
แต่มันก็หายชั่วระยะฤทธิ์ยาเปรียบเหมือนกับการเจริญสมถะคือการทำสมาธิ
ถ้ามีสมาธิแล้วกิเลสถูกระงับลงไป เรียกว่าวิขัมภนปหาน ข่มกิเลสไว้ได้นาน ๆ

แต่สำหรับการเจริญวิปัสสนานั้น เหมือนกับการกินยารักษา
อาจจะไม่ทันใจเพราะว่ายารักษานั้นต้องใช้เวลา ไม่ทันใจ
เหมือนผู้ปฏิบัตินี่ถ้าเจริญวิปัสสนาล้วน ๆ
จะรู้สึกว่าไม่ได้อย่างใจ ไม่ได้ความสุข ไม่ได้ความสงบอย่างใจ

อันนี้ก็เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ผู้ปฏิบัตินั้นไม่สามารถดำเนินให้ตรงทางของวิปัสสนา
เพราะใจร้อนต้องการความสุขสงบจากสมาธิก็เลยไปเน้นในเรื่องของการทำสมาธิ
เมื่อได้สมาธิก็ติดใจพอใจ จิตใจก็หยุดอยู่อย่างนั้น

หรือแม้ว่ายังไม่ได้สมาธิ แต่จิตใจใฝ่ฝันต่อความสงบใฝ่ฝันต่อสมาธิ
ก็เป็นเหตุให้ไม่ได้สมาธิ เป็นเหตุให้การเจริญภาวนานั้นไม่ก้าวหน้าขึ้นไป
เพราะความอยาก อยากสงบเป็นธรรมตัณหามาเกาะกวนจิตใจให้ไม่ได้รับความสงบ
ฉะนั้นบุคคลที่ต้องการความสงบก็ต้องทำใจไม่อยากสงบ ทำใจอย่าไปอยากสงบ
เจริญภาวนาฝึกฝนอบรมไปอย่างเป็นปรกติ มันก็จะสงบได้เอง

เรื่องการเจริญวิปัสสนานั้นเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจให้แยบคาย
มิฉะนั้นแล้วมันก็ปฏิบัติไปไม่ได้ ปฏิบัติไปไม่ถูกทาง

เราจะต้องมีความเข้าใจว่าเจริญวิปัสสนานั้น
จะทำสติระลึกรู้ที่ไหน สติจะระลึกรู้อารมณ์อันใด
อารมณ์เหล่านั้นเป็นอย่างไร อารมณ์ของวิปัสสนา
หรือว่าอารมณ์อันเป็นที่ตั้งของสติที่เป็นวิปัสสนาคืออะไร อย่างไร
มันเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจตรงนี้ให้ได้

อารมณ์ของวิปัสสนานั้นจะต้องเป็นปรมัตถ์
เจริญสตินั้นสติต้องระลึกที่ปรมัตถ์
สติต้องระลึกตรงต่อปรมัตถ์
ถ้าไม่ระลึกตรงต่อสภาวปรมัตถ์แล้วมันก็เป็นวิปัสสนาไปไม่ได้ เกิดปัญญาไม่ได้


ปรมัตถ์คืออะไร ปรมัตถ์ก็คือสิ่งธรรมชาติ สิ่งที่เป็นจริง
ธรรมชาตินั่นแหละคือสิ่งที่มันมีมันเป็นอยู่จริงๆ

ต้องระลึกไปให้ตรงต่อธรรมชาติต่อสภาวะต่อสิ่งที่มันมีมันเป็นอยู่จริง ๆ
เรียกว่ากำหนดให้ตรงต่อปรมัตถ์

ในอารมณ์ทั้งหลายแหล่ทั้งหมด เมื่อมาแยกแล้วแบ่งออกเป็นสองพวก
อารมณ์พวกหนึ่งเรียกว่าปรมัตถ์ ปรมัตถ์อารมณ์ อารมณ์ที่เป็นของจริง ๆ ที่มีสภาวะจริง

อีกพวกหนึ่งเรียกว่าบัญญัติอารมณ์ อารมณ์ที่เป็นสมมุติ
อารมณ์ที่เป็นของแต่งตั้งตกลง ถูกปรุงแต่งขึ้นมาเป็นของปลอม หรือว่าจริงโดยสมมุติ


อารมณ์ทั้งหลายแหล่ที่จิตเข้าไปรับรู้
ถ้าแบ่งพวกแล้วก็มีอยู่สองพวก คือปรมัตถ์กับบัญญัติ


อารมณ์ที่เป็นปรมัตถ์ก็คือ
สี สิ่งที่มาปรากฏทางตา เขาเรียกว่ารูปารมณ์
เสียงคือสิ่งที่มาปรากฏทางหู เขาเรียกว่าสัททารมณ์
กลิ่นคืออารมณ์หรือสิ่งที่มาปรากฏทางจมูก เรียกว่า คันธารมณ์
รสคือสิ่งที่มากระทบทางลิ้นเรียกว่ารสารมณ์
เย็นร้อนอ่อนแข็งหย่อนตึงคือสิ่งที่มากระทบทางกาย เรียกว่าโผฏฐ์พพารมณ์
ส่วนสิ่งที่มากระทบทางใจเรียกว่าธรรมารมณ์
สิ่งที่มากระทบมาปรากฏทางใจทางมโนทวารเรียกว่าธรรมารมณ์

ธรรมารมณ์นั้นองค์ธรรมปรมัตถ์แล้วก็ได้แก่ จิตทั้งหมด เจตสิกทั้งหมด
เจตสิกคือสิ่งที่ประกอบกับจิต

แล้วก็ยังมีรูปที่เป็นความใสห้าชนิดเรียกว่าปสาทรูปห้า
คือ ประสาทตา ประสาทหู ประสาทจมูก ประสาทลิ้น ประสาทกาย นี่เรียกว่าปสาทรูป
รูปที่มีความใส

แล้วก็มีสุขุมรูป รูปที่ละเอียด เช่น รูปความเป็นหญิงเป็นชาย
รูปชีวิต รูปหทัยวัตถุ เหล่านี้ เป็นต้น

นอกจากนี้แล้ว ยังมีนิพพานและบัญญัติเป็นธรรมารมณ์

ฉะนั้น ธรรมารมณ์นี้มีทั้งที่เป็นปรมัตถ์ทั้งที่เป็นบัญญัติ

จิตเป็นปรมัตถ์
เจตสิกเป็นปรมัตถ์
ปสาทรูปเป็นปรมัตถ์
สุขุมรูปเป็นปรมัตถ์
นิพพานเป็นปรมัตถ์

ส่วนบัญญัติไม่ใช่ปรมัตถ์ อัตถบัญญัติ สัททบัญญัติ

-บัญญัติโดยความเป็นชื่อเรียกว่าสัททบัญญัติ -ความหมายรูปร่างสัณฐานเรียกว่าอัตถบัญญัติ เป็นอารมณ์เหมือนกัน เรียกว่าธรรมารมณ์
สิ่งเหล่านี้เป็นอารมณ์ที่มาปรากฏทางใจ


หมดแล้วในโลกนี้ในจักรวาลนี้ไม่มีอะไรนอกจากนี้แล้ว ก็มีอยู่แค่นี้ มีอยู่
สิ่งทั้งหลายทั้งหมดในโลกในจักรวาลนี้จัดเป็นอารมณ์แล้วก็มีหกอารมณ์ด้วยกัน
รูปารมณ์ สัททารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ ธรรมารมณ์
สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะและธรรมารมณ์


ตรงธรรมมารมณ์นี้มันมีมาก จิตทั้งหมดเป็นธรรมารมณ์
ทำไมจึงจิตเป็นธรรมารมณ์ เพราะจิตไม่สามารถจะมาปรากฏทางตาได้

จิตไม่สามารถจะมาปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หมายถึงมาเป็นอารมณ์ คือไม่สามารถจะเอาตาไปเห็นจิต เอาหูไปฟังจิต เอาจมูกไปดมจิต เอาลิ้นไปลิ้มจิต เอากายไปรับรู้จิตไม่ได้

จิตนี่ต้องรับรู้ด้วยทางใจ เอาใจรู้จิตหรือว่าเอาจิตรู้จิต เอาตาไปเห็นจิตไม่ได้
ฉะนั้นใครปฏิบัติไปไม่ใช่ไปเห็นจิตเป็นดวงๆ กลมๆ หรือเป็นสีเป็นแสงอะไร ไม่ใช่
นั่นเรียกว่าเป็นสมมุติแล้ว

จิตไม่ใช่สี ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่กลิ่น ไม่ใช่รส ไม่ใช่โผฏฐัพพะ
จิตนี่เป็นธรรมารมณ์ เป็นอารมณ์ที่ปรากฏทางใจรู้ด้วยจิต จิตรู้จิต

ฉะนั้นจิตนี้ก็พิเศษกว่าอารมณ์อื่น
อย่างอารมณ์อื่นคือรูปารมณ์

- สีต่างๆ มันก็สักแต่ว่าเป็นอารมณ์
ไม่สามารถจะไปรับรู้อะไรได้ เราจึงจัดเป็นรูปธรรม

- เสียงก็สักแต่ว่าเป็นสิ่งที่มาปรากฏให้รับรู้ ตัวมันเองไม่สามารถจะไปรู้อะไรได้
เสียงน่ะรู้อะไรไม่ได้ รู้อารมณ์ไม่ได้ ก็จึงจัดเป็นรูปธรรม

- กลิ่นก็เหมือนกันก็เป็นรูป เพราะไม่รู้เรื่องอะไร ได้แต่ถูกรู้
- รสก็ถูกรู้ ตัวมันเองรู้อะไรไม่ได้ จึงจัดเป็นรูปธรรม

ฉะนั้น อารมณ์ทั้งห้าคือ รูปารมณ์ สัททารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์
โผฏฐัพพารมณ์ เป็นรูปธรรมทั้งหมด อารมณ์ทั้งห้านี่เป็นรูปธรรม
สีเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะนี่เป็นรูปธรรมทั้งหมด สักแต่ว่าเกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมสลาย
ถูกรู้อย่างเดียวเป็นเฉพาะอารมณ์ได้อย่างเดียว อารมณ์คือสิ่งที่ถูกรู้ของจิต

แต่ตัวธรรมารมณ์นี้มันเป็นผู้รู้ได้ด้วยบางส่วน อย่างจิตนี่เป็นธรรมารมณ์
ในขณะเดียวกันมันก็เป็นผู้รู้อารมณ์ได้ด้วย มันพิเศษกว่าอารมณ์อื่น


จิตก็ดี เจตสิกก็ดี จิตและเจตสิกเป็นผู้รู้อารมณ์
ถ้าหากว่าจิตไปรู้จิต จิตก็กลายเป็นทั้งอารมณ์ กลายเป็นทั้งผู้รู้อารมณ์

เจตสิกนั่นมันผสมอยู่กับจิต
เพราะฉะนั้นถ้าจิตรู้อารมณ์ เจตสิกก็รู้อารมณ์ไปด้วย เพราะมันผสมกัน
จิตเกิดเจตสิกก็เกิด จิตดับเจตสิกก็ดับ
จิตอาศัยตา เกิดเจตสิกก็อาศัยตาเกิด
จิตอาศัยหทัยวัตถุเกิดเจตสิกก็อาศัยหทัยวัตถุเกิด
มันเกิดผสมกันอยู่
เพราะฉะนั้นจิตและเจตสิกนี้เป็นธรรมชาติที่เป็นผู้รู้อารมณ์ได้
เป็นผู้ที่เข้าไปรับรู้อารมณ์จึงจัดเป็นนามธรรม


ที่ว่าจิตรู้จิตมันรู้อย่างไร
อย่างขณะเห็นนี่คือจิต สติไประลึกรู้สภาพเห็น อย่างนั้นเรียกว่าจิตรู้จิตแล้ว
เพราะสติคือเจตสิกเกิดร่วมกับจิตไปรู้สภาพเห็น อย่างนี้แหละจิตรู้จิต
ได้ยินเสียงเกิดขึ้นเป็นจิต สติไประลึกรู้สภาพได้ยิน ก็เรียกว่าจิตไปรู้จิต
เพราะว่าสติมันเกิดมาตามลำพังไม่ได้มันเกิดร่วมกับจิต

เวลาคิดนึกทำสติระลึกรู้ความคิดนึก ความคิดนึกนั่นก็คือจิต
เมื่อไปกำหนดรู้ความคิดนึกก็เรียกว่าจิตรู้จิต
ฉะนั้นจิตนี่มันเป็นอารมณ์ก็ได้ เป็นผู้รู้อารมณ์ได้
เจตสิกคือสิ่งที่ประกอบกับจิต เช่น ความโกรธ ความโลภ ความหลง
มันเป็นอารมณ์ได้ด้วย เป็นผู้รู้อารมณ์ก็ได้ด้วย

เวลาเราโกรธใจมันโกรธ ทำสติไประลึกรู้ที่ความโกรธ
อย่างนี้เรียกว่าไปดูเจตสิก จิตไปรู้เจตสิกไปรู้ลักษณะความโกรธ

ความโกรธนั้นมันเป็นเจตสิกก็จริง แต่มันก็เกิดร่วมกับจิต มันก็เลยเหมือนกับว่าจิตรู้จิต
แต่เป็นเพียงว่าไปสังเกตอาการในจิตที่เป็นลักษณะความโกรธ

อันนี้ก็ฟังเรียบเรียงให้ดีนะ เวลาพูดว่าธรรมารมณ์นี่
ธรรมารมณ์นี่องค์ธรรมก็คือจิต เจตสิก ปสาทรูป สุขุมรูป นิพพาน บัญญัติ เป็นองค์ธรรมของธรรมารมณ์

ธรรมารมณ์คือสิ่งที่มากระทบมาปรากฏทางใจ
จิตทั้งหลายแหล่นี่จะรับรู้ได้ต้องอาศัยจิต
ก็เลยเท่ากับว่าจิตนั้นเป็นสิ่งที่มาปรากฏทางจิต

เจตสิกก็เป็นสิ่งที่มาปรากฏทางจิตมากระทบที่จิต
ปสาทรูปก็ต้องรับรู้ด้วยจิต เอาตาไปเห็นปสาทรูปไม่ได้
เอาหูไปได้ยินเสียงไม่ได้ต้องรู้ด้วยจิต

รูปที่ละเอียดก็เหมือนกัน ตลอดทั้งนิพพานและบัญญัติ
นิพพานก็ต้องรู้ด้วยจิต เอาตาไปดูเอาหูไปฟังไม่ได้ ต้องเอาจิตไปรับรู้

ฉะนั้นการรับรู้ด้วยจิตนี่มันเป็นเรื่องที่ใช้คำว่าดู ไม่ใช่ดูแบบตาเห็นจิตมัน
มันเป็นการเข้าไปรับรู้

นิพพานก็เป็นธรรมารมณ์ ฉะนั้นในธรรมารมณ์นี้มีทั้งบัญญัติและปรมัตถ์
ถ้ามาแยกดู จิตเป็นปรมัตถ์ เจตสิกเป็นปรมัตถ์
ปสาทรูป สุขุมรูป นิพพานเป็นปรมัตถ์

ส่วนบัญญัติไม่ใช่ปรมัตถ์ ชื่อก็ดีภาษาก็ดีความหมายรูปร่าง
อย่างนี้คือบัญญัติ ก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้ด้วยจิตเหมือนกัน


การเจริญวิปัสสนานั้นสติระลึกรู้ที่ปรมัตถ์
ถ้าเราเข้าใจเรื่องอารมณ์เหล่านี้ก็จะสามารถแยกแยะการปฏิบัตินั้นได้ว่า
ที่ระลึกนั้นน่ะตรงปรมัตถ์ไหม

ปรมัตถ์มันก็มีเพียงสี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือเย็นร้อนอ่อนแข็งหย่อนตึง
แล้วก็จิต เจตสิก รูป นิพพาน

ถ้าสติจะระลึกตรงต่อปรมัตถ์ก็ต้องระลึกรู้ไปที่นี่
ระลึกไปที่สี ระลึกไปที่เสียง ระลึกรู้ไปที่กลิ่น ระลึกรู้ไปที่รส
ระลึกรู้ไปที่เย็นร้อนอ่อนแข็งหย่อนตึง ระลึกไปรู้ที่จิต จิตที่ทำหน้าที่เห็น
ระลึกไปที่สภาพได้ยิน สภาพรู้กลิ่น สภาพรู้รส สภาพรู้สึกสัมผัส สภาพคิดนึก
นี่เรียกว่าระลึกตรงต่อปรมัตถ์

เห็นก็เป็นจิต ได้ยินก็เป็นจิต รู้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส คิดนึกนี่เป็นจิต
เจตสิกก็มีทั้งกุศล อกุศล

เจตสิกที่เป็นฝ่ายอกุศล เช่น ความหลง
-แม้แต่เผลอ สติระลึกรู้สังเกตความเผลอ
-ฟุ้งซ่าน สติไประลึกรู้ความฟุ้งซ่าน ก็เรียกว่ากำหนดปรมัตถ์
-ฟุ่งซ่านเป็นอย่างไร มันซัดส่ายรับอารมณ์ไม่มั่น -รำคาญก็ระลึกรู้ให้ตรงกับลักษณะของความรำคาญ ความหงุดหงิด -ความโกรธความโลภมันมีลักษณะมีสภาวะอย่างไร

สติสัมปชัญญะต้องระลึกกำหนดให้จดลักษณะของสิ่งต่อไปนี้แต่ละอย่างว่า
- ความโกรธมันมีสภาพอย่างไร
- ความโลภมันมีลักษณะอย่างไร
- ความอิจฉาริษยามีลักษณะอย่างไร
- ความหวงแหน ความตระหนี่หวงแหนมีลักษณะอย่างไร
...ความท้อถอย ,ความสงสัย ,ความมีศรัทธา, ความละอายต่อบาป
ความเกรงกลัวต่อบาป ,ความมีเมตตาความกรุณาสงสาร ,ความพลอยยินดี
อย่างนี้คือเจตสิกต่าง ๆ

เป็นปรมัตถ์แต่ละอย่างๆๆ เกิดร่วมกับจิตอยู่
การเจริญวิปัสสนานั้นต้องกำหนดให้จดสภาวะของปรมัตถธรรม
ก็คือต้องรู้สิ่งเหล่านี้ รู้สี รู้เสียง รู้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส รู้คิดนึก รู้เห็น รู้ได้ยิน
รู้รู้กลิ่น รู้รู้รส รู้รู้สึกสัมผัส รู้ความชอบไม่ชอบ ความสงบไม่สงบ นี้คือปรมัตถธรรม
ถ้าหากว่าเราเข้าใจหลักของปรมัตถธรรมแล้ว เราก็จะเจริญได้ถูกต้อง

พยายามที่จะระลึกให้ ตรงตัว ตรงสภาพ ตรงลักษณะของปรมัตถ์
ขณะใดที่จิตไปรับรู้อารมณ์ที่เป็นชื่อ เราก็เข้าใจแล้ว อ้อ นี่บัญญัติแล้ว
ทำๆไปมันเรียกชื่อ มีภาษาในใจว่าเป็นอย่างนั้นว่าอย่างนั้น
ชื่ออย่างนั้น นี่ก็รู้แล้วว่า จิตนี้ตกไปสู่บัญญัติ



บางทีมันรับปรมัตถ์อยู่ขณะหนึ่งแล้วก็ไปบัญญัติเสียแล้ว
เช่น มันไปรับรู้ที่กาย ไปรู้สึกความตึง ความตึงเป็นปรมัตถ์
พอไปรู้สึกตึง มันกลับเรียกชื่อว่านี่คือตึง นี่คือรูป
หรือว่าเรียกชื่ออย่างไรก็แล้วแต่

แม้แต่เรียกชื่อว่ารูป มันก็เป็นบัญญัติแล้ว
เรียกชื่อว่าตึงนี่ก็เป็นบัญญัติ
ยิ่งจะไปเรียกชื่อว่านี่คือท้องนี่คือขาเป็นบัญญัติ

หรือพอกำหนดความรู้สึกมันตึงมันไหวมันกระเพื่อม
มันเลยไปเห็นเป็นแผ่นเป็นผืนของกายส่วนนั้น
เช่น กำหนดไปที่ทรวงอกที่หน้าท้องมันก็เห็นเป็นผืนแผ่นของหน้าท้องของทรวงอก
อย่างนี้เรียกว่าอารมณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว

จริงอยู่ขณะที่กำหนดทีแรกกำหนดปรมัตถ์
กำหนดความตึงความไหวนั้นเป็นปรมัตถ์
แต่มันเลยไปสู่อารมณ์ที่เป็นบัญญัติ ไปสู่ธรรมารมณ์ที่เป็นบัญญัติ เป็นรูปร่างขึ้นมา

ถ้าเป็นรูปร่างเป็นสัณฐานนั้นคือบัญญัติแล้ว
ธรรมารมณ์ที่เป็นสมมุติแล้ว นี้ต้องเข้าใจ

ผู้ปฏิบัติถ้าไม่เข้าใจตรงนี้แล้วมันทำวิปัสสนาไปไม่ถูกแน่
ถ้าแยกอารมณ์ไม่เป็น แยกอารมณ์ที่เป็นบัญญัติไม่เป็นปรมัตถ์ไม่ถูก
แยกอารมณ์ที่เป็นบัญญัติปรมัตถ์ไม่ออก
เพราะฉะนั้น ต้องพยายามทำความเข้าใจเรื่องปรมัตถ์ให้ดี



แยกให้ออกว่าอารมณ์แบบนี้เป็นบัญญัติแล้ว
อารมณ์ที่เป็นปรมัตถ์นั้นจะต้องแค่นี้ ๆ
คือ ถ้าที่กายก็แค่เย็นร้อนอ่อนแข็งหย่อนตึง แค่รู้สึกไม่เลยไปเป็นรูปร่างไม่เลยไปเป็นความหมายไม่เลยไปเป็นชื่อ ก็รู้ว่าเป็นปรมัตถ์

ถ้ากำหนดได้ยินเสียงก็ระลึกแค่ได้ยิน ๆ ถ้ามันเลยออกไปว่านี่เสียงหมา อย่างนี้สมมุติแล้ว
ปรมัตถ์จริงๆ ไม่มีคำว่าหมา มันเป็นเพียงแต่เสียงดังมา ดังๆๆๆ สูงๆต่ำๆ
อันนั้นแค่ปรมัตถ์ เสียงกระทบได้ยิน ได้ยินเกิดขึ้น นั่นคือปรมัตถ์

จะเห็นว่าจิตนี้มันไว มันไว มันปรุงแต่งอย่างรวดเร็ว มันผลิต
พอมันได้ยินปั๊บ มันผลิตมันปรุงพรึบๆๆ เสร็จทันทีอย่างไวที่สุด
โดยที่ไม่ต้องออกแรง เพราะมันมีประสบการณ์มันจำไว้แล้ว มันชำนาญ จำไว้แล้ว
เสียงแบบนี้ต้องหมาแน่ มันเลยไม่ต้องออกแรงนึก
การทำงานของจิตมันรวดเร็ว

นอกจากว่าเป็นเสียงที่เราไม่เคยพบไม่เคยได้ยินมาก่อน
มันก็ปรุงไม่ออกว่า เอ๊ นี่มันเสียงอะไร ก็จะเป็นเรื่องคิดนึกอยู่อย่างนั้น
ถ้าเป็นเสียงที่เคยได้ยินมันก็จำได้ จำได้ว่านี่เสียงคนนั้น เป็นชื่อขึ้นมา อ๋อ
เสียงนี้ชื่อคนนั้น จำหน้าตาคนนั้นได้ จำรูปร่างคนนั้น จำความหมายของคนนั้น
นี่คือบัญญัติไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเสียงใคร เสียงคน เสียงสัตว์ เสียงธรรมชาติ มันก็คือแค่เสียงที่เป็นของจริง ฉะนั้นเวลาระลึกรู้สิ่งที่มาปรากฏทางหูก็ให้ระลึกแค่เสียงหรือแค่ได้ยินๆ อย่าไปพยายามนึกว่า เออ นั่นเสียงอะไร ถ้าไปนึกว่านั่นเสียงอะไร นั่นก็คือเข้าไปหาบัญญัติ

ที่นี้ถ้าหากว่านั่งฟังธรรมะอยู่นี่ ถ้าสติระลึกรู้แค่เสียงแค่ได้ยินมันก็จะไม่รู้เรื่อง
ไม่รู้ว่าพูดอะไร มันจะพบเพียงว่ามีเสียงกระทบ กระทบได้ยินแล้วก็ดับไปแค่นั้น
แต่ที่ฟังรู้เรื่องแสดงว่าจิตต้องตีความหมาย
สิ่งที่ผ่านบรรยากาศไปเข้าหูนี่เป็นปรมัตถ์เป็นเสียงเป็นคลื่นปรมาณูไป

แต่จิตของญาติโยมก็ตีความหมายของเสียงเหล่านั้น
เพราะว่าเข้าใจภาษาเพราะพูดเป็นภาษาไทย รู้เรื่องภาษาไทยมาก็เลยตีความหมายได้ นั่นน่ะจิตกำลังทำงาน กำลังคิดนึก
กำลังปรุงแต่ง ตีเป็นความหมายรู้เรื่องรู้ราว
ขณะนั้นจิตก็ไปรับธรรมารมณ์ ไปรับบัญญัติ

ปรมัตถ์น่ะดับไปแล้ว
ได้ยินดับ ได้ยินดับแต่มันไปตีความหมาย ก็เป็นเรื่องไปรับธรรมารมณ์

ตานี้ในขณะที่ฟังธรรมะนี่ถามว่า ถ้าอย่างนั้นก็ปฏิบัติไม่ได้
หรือถ้าอย่างนั้นก็เจริญสติไม่ได้นะซิ
เพราะว่าถ้าหากเจริญสติแล้วก็ไม่รู้ความหมาย ฟังไม่รู้เรื่อง ความจริงแล้วมันก็ยังปฏิบัติได้ เป็นเพียงแต่ว่ามันสลับกัน
ขณะหนึ่งไปบัญญัติ ขณะหนึ่งตีกลับเข้ามาสู่ปรมัตถ์
ไปบัญญัติมาสู่ปรมัตถ์
ไปบัญญัติเป็นปรมัตถ์
ปรมัตถ์ไปบัญญัติ
บัญญัติมันจะกลับมาสู่ปรมัตถ์
ถ้ามันช่ำชองมันก็เร็ว

สติรู้ไปบัญญัติ ระลึกปรมัตถ์
ไปบัญญัติ ระลึกปรมัตถ์

มันก็สามารถจะฟังรู้เรื่องได้ด้วยแล้วก็รู้สภาวปรมัตถ์สลับกันไปได้
อย่างเช่นว่า ฟังเสียงได้ยินเกิดขึ้นนี่
ถ้าหากผู้ปฏิบัติระลึกได้ขณะหนึ่งกำหนดได้ยิน ก็ได้เจริญสติกำหนดปรมัตถ์ได้ขณะหนึ่ง

จิตนึกคิดตีความหมายของเสียงเป็นความหมาย ขณะนั้นจิตไปสู่บัญญัติ

ขณะที่กำลังนึกคิดไปเป็นความหมายว่าอย่างนั้นอย่างนี้ อารมณ์เป็นบัญญัติ แต่ตัวผู้รู้อารมณ์เป็นปรมัตถ์
คือตัวที่กำลังตรึกนึก กำลังนึกคิด กำลังตีความหมายนี้เป็นปรมัตถ์ที่กำลังปรากฏ
ถ้าสติเกิดสติก็ระลึกรู้ความตรึกนึก ขณะนั้น ๆ มันก็กลับมาสู่ปรมัตถ์ได้อีก

สรุปว่าทุกระยะทุกขณะมีสภาวปรมัตถ์เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
ไม่เคยว่างเว้นจากปรมัตถธรรม

ฉะนั้นผู้ปฏิบัติสามารถที่จะเจริญได้ทุกระยะทุกขณะทุกเวลา
เจริญวิปัสสนาได้ทุกขณะ เพราะอารมณ์ของวิปัสสนามันมีอยู่ทุกระยะทุกขณะ

ทุกเสี้ยววินาทีนี่มีปรมัตถ์อยู่ทุกขณะ ไม่มีเห็น ก็มีได้ยิน
ไม่มีได้ยิน ก็มีรู้กลิ่น ไม่มีรู้กลิ่น ก็มีรู้รส ไม่มีรู้รส ก็มีรู้สึกเย็นร้อนอ่อนแข็งหย่อน ตึง
ไม่มีรู้สึกเย็นร้อนอ่อนแข็งหย่อนตึงมันก็มีคิดนึก มีไหม อยู่ตลอดเวลาอย่างนี้
เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน เดี๋ยวคิดนึก เดี๋ยวชอบ เดี๋ยวไม่ชอบ มันมีปรมัตถ์อยู่ตลอดเวลา

อารมณ์ที่เป็นปรมัตถ์ สติพร้อม ถ้าเข้าใจ สติเกิดขึ้นระลึกได้เสมอๆ
พอจิตมันคิดนึก เอ้า สติรู้ความคิดนึก ก็ได้เจริญสติที่เป็นวิปัสสนาขณะหนึ่ง

พอได้ยินเสียง สติระลึกรู้ ก็ได้ปฏิบัติได้เจริญวิปัสสนาขณะหนึ่ง


แม้ว่าจิตจะแล่นไปสู่สมมุติบัญญัติ แต่มันก็กลับมาสู่ปรมัตถ์ ควบคู่กันไปได้
เป็นบัญญัติบ้างปรมัตถ์บ้าง บัญญัติบ้างปรมัตถ์บ้าง ก็ถือว่ายังดี
ยังดีที่ไม่เป็นบัญญัติไปตลอด

ถ้าเราไม่เป็นผู้ปฏิบัติไม่มีความเข้าใจเรื่องของการเจริญสติ
จิตเราก็ไปบัญญัติตลอดเวลา ไม่เคยระลึกรู้สภาวะปรมัตถ์เลย

ไปเป็นสมมุติเป็นเรื่องเป็นราวเป็นชื่อเป็นภาษาเป็นความหมายตลอด
ไม่เคยรู้สภาวปรมัตถ์เลย ไม่เคยสังเกตสภาพได้ยิน
ไม่เคยสังเกตสภาพรู้กลิ่นรู้รส ไม่เคยรู้สภาวปรมัตถ์เย็นร้อน
ไม่เคยสังเกตความนึกคิด ไม่เคยสังเกตความพอใจไม่พอใจ นั่นคือไม่ได้ปฏิบัติ

ถ้าไม่ได้ปฏิบัติจิตใจก็จะไหลไปสู่สมมุติ จิตที่ไปสู่สมมุติ มันก็แน่นอน
มันก็จะร้อนอกร้อนใจ กลุ้มอกกลุ้มใจ วิตกกังวลมาก โกรธมาก โลภมาก หลงมาก
ฟุ้งซ่านหงุดหงิดมาก

แต่ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติแม้ว่ามันไปสมมุติบ้าง ไปสมมุติบ้างมาปรมัตถ์บ้าง
อุณหภูมิความเร่าร้อนมันก็จะลดกำลังลง มันมีตัวที่จะคอยคลี่คลาย
เพราะถ้าสติระลึกรู้ปรมัตถ์อยู่นี่ กิเลสก็ถูกคลี่คลายไปเป็นขณะๆ
กำหนดแค่ได้ยิน ได้ยินนี่ กิเลสมันก็ไม่เกิด

กิเลสมันจะเกิดเพราะมันตีความหมายเป็นสมมุติบัญญัติ จึงเกิดรักเกิดชัง
ถ้าได้ยินแค่เพียงเสียง เพียงกลิ่นเพียงรสเพียงสัมผัส มันก็ไม่โลภไม่โกรธไม่ชอบ
จะชอบไม่ชอบอย่างไรมันก็ไม่เกิด จิตก็เป็นกุศล เป็นกุศล เป็นกุศล

จิตที่เป็นกุศลจะชำระจิตให้ผ่องใสให้สะอาดเป็นขณะๆ
ฉะนั้นคนที่เจริญสติอยู่นี่จิตใจก็จะรู้สึกมีความเบามีความสบาย
ผ่อนคลายความทุกข์ ถ้าเผลอตัวไม่ได้มีสติจิตคิดนู่นคิดนี่คิดอะไรมากมาย
ลืมกำหนดลืมรู้สึกระลึก ก็จะพบว่า โอ้โฮ หนักอกหนักใจ แน่นอกแน่นใจ เศร้าหมอง ฟุ้งซ่าน เร่าร้อน นี่ถ้าเจริญสติขึ้นมาระลึกรู้ขึ้นมาก็ค่อยเบาอกเบาใจ สงบ
ร่มเย็นเป็นสุขขึ้น


มันจึงเห็นว่าการปฏิบัติจึงเป็นเรื่องจำเป็นของชีวิต
ในชีวิตประจำวันนี่จำเป็นต้องเป็นผู้เจริญสติ
เมื่อเราเจริญสติอยู่อย่างนี้เราก็จะพบคุณค่าของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
จะเกิดมีความเชื่อมั่นมีความศรัทธาคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าเป็นสิ่งจริงแม้แน่นอน
พระพุทธเจ้ามีจริงแน่นอน คำสอนของพระพุทธองค์ถูกต้องแน่นอน
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ถูกต้องอย่างแน่นอน เพราะอะไร

เพราะว่ามันคลี่คลายความทุกข์ให้เราได้
เราปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้านี่ความทุกข์มันลดลง
แล้วถ้าไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนมันทุกข์มาก จิตใจเร่าร้อน ฟุ้งซ่าน หงุดหงิด
เคร่งเครียดมากมาย แต่พอได้ปฏิบัติก็คลี่คลายเบาอกเบาใจ สงบร่มเย็น
จึงไม่ต้องมีใครมาชวนเชื่อ ชักชวนชวนเชื่อให้เราศรัทธาในพุทธศาสนา

มันเป็นศรัทธาที่เกิดขึ้นด้วยตัวของตัวเอง เพียงแค่เราชิม
ชิมผลของการปฏิบัติเพียงเล็กน้อย ยังรู้สึกเป็นผลได้เพียงนี้

ถ้าหากเราเจริญมากกว่านี้ ทำมากกว่านี้
มีความสะอาดมีความบริสุทธิ์ใจได้มากกว่านี้ ก็ลองพิจารณาดูว่ามันจะมีความสุขสงบขนาดไหน
เพียงแค่เรามีสติสัมปชัญญะ กิเลสมันบรรเทาลงไป
เรายังพบว่า เออ มันดีมันมีความสุขสงบ ถ้าสามารถทำกิเลสให้สิ้นไป
นั่นแหละจึงเรียกว่าความดับทุกข์โดยสนิท ความดับทุกข์โดยสิ้นเชิง
แล้วก็เห็นว่ามันเป็นไปได้ มีทางที่เป็นไปได้จากการที่พิสูจน์ในปัจจุบันนี่
พิสูจน์จากการที่เราปฏิบัติในปัจจุบันนี้

ถ้าเราเป็นผู้เจริญสติปฏิบัติเข้าใจแล้วจะรู้สึกว่ามันมีความจำเป็นที่เราจะต้อง
ปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเรา จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคอยปฏิบัติไว้

ถ้าเราไม่ปฏิบัติแล้วกิเลสก็จะกลุ้มรุมจิตใจของเรา
เพราะจิตมันรับอารมณ์อยู่เสมอ ลืมตามาเดี๋ยวก็ต้องเห็นภาพ ตื่นขึ้นมาก็ต้องได้ยินเสียง
พอรู้สึกตัวมาก็คิดนู่นคิดนี่มากมาย
ในแต่ละวันอารมณ์ที่มากระทบมีทั้งดีไม่ดี
ถ้าเราไม่มีสติอยู่นี่มันก็จะเกิดกิเลส เกิดโทสะ เกิดความฟุ้งซ่าน เกิดความหลงใหลติดใจ มันไม่ไปข้างโทสะมันก็ไปข้างโลภะ ไม่ไปข้างโทสะ
โลภะมันก็ไปข้างโมหะความหลง เป็นอยู่อย่างนี้ไม่โลภก็โกรธ
ไม่โกรธก็หลงอยู่วันยังค่ำถ้าไม่ได้ปฏิบัติ


เพราะฉะนั้นการเจริญการปฏิบัติไม่ใช่คอยเวลาข้างหน้า
ไม่ใช่คอยว่าให้เสร็จภารกิจก่อน ไม่ใช่คอยว่าขอให้เราอายุมากๆ ก่อน
การปฏิบัติเป็นเรื่องที่ต้องทำเดี๋ยวนี้ เป็นเรื่องที่ต้องเริ่มฝึกหัดประพฤติปฏิบัติไปอยู่ประจำในชีวิตของเรา

ในขณะที่ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง คิดนึกนี่ต้องฝึกหัดปฏิบัติเรื่อยไป อันดับแรกก็คือฝึกระลึกให้ตรงตัวปรมัตถ์ก่อน
อันนี้หมายถึงการเข้าข่ายเรื่องของวิปัสสนา

แต่ถ้าเราจะยังไม่ทำวิปัสสนาจะทำเรื่องสมาธิ อันนั้นก็ว่าไปอีกเรื่องหนึ่ง
คือกำหนดบัญญัติไปก่อนได้ เพ่งบัญญัติให้มีสมาธิก่อนก็ได้ แต่พูดถึงว่าเมื่อจะเข้ามาสู่ขั้นตอนของวิปัสสนานั้น เราจะต้องเริ่มจากการระลึกให้ตรงปรมัตถ์ ศึกษาสภาวปรมัตถ์ต่าง ๆ แต่ว่ายังทำไม่ถูกต้องคือยังทำไม่เป็น แต่ทำให้รู้จักสภาวปรมัตถ์ไว้ก่อน


กำหนดดูทางกายซิว่ามันมีไหม เย็นร้อนอ่อนแข็งหย่อนตึงที่ว่า
ได้ยินได้ฟังมาว่าทางกายมันก็มีแค่เย็นร้อนอ่อนแข็งหย่อนตึง
ความรู้สึกมีความไม่สบายกาย ความปวดเจ็บ ความสบายกาย มีแค่นี้
ก็ลองสังเกตไปมันมีไหม เอ้า มันมีอยู่นะ

ที่ขาที่แขนที่ลำตัวที่ศีรษะใบหน้า มันมีสบายบ้างไม่สบายบ้าง
มีเย็นบ้างมีร้อนบ้างมีตึงมีหย่อนมีไหว
ค่อยศึกษาพิจารณาสภาพปรมัตถธรรมเหล่านี้

ทางตามีเห็นมีสี ทางหูมีเสียงมีได้ยิน ทางจมูกมีกลิ่นมีรู้กลิ่น
ทางลิ้นมีรสมีรู้รส มันเกิดขึ้นในขณะที่รับประทานอาหารก็มีรส
เวลาทานอาหารมีทั้งรสมีทั้งเสียงมีทั้งกลิ่นมีทั้งเย็นร้อน
มันมีให้ศึกษาอยู่ตลอดเวลา

ศึกษาให้รู้จักก่อน รู้จักปรมัตถธรรมเหล่านี้ไปเรื่อยๆ
ทางจิตทางใจก็ศึกษาพิจารณา อ้อ มีคิดนึกนะ เดี๋ยวมันคิดโน่นคิดนี่ก็รู้
ค่อยรู้จักความนึกคิด
อ้อ เวลามันโกรธขึ้นมาก็ดูซิ โกรธเป็นอย่างไร
โลภเป็นอย่างไร หลงเป็นอย่างไร ฟุ้งเป็นอย่างไร สงสัยเป็นอย่างไร
ท้อถอยเป็นอย่างไร

ศึกษาให้รู้จักไปต่าง ๆ ก็เรียกว่าได้สัมผัสปรมัตถ์รู้จักปรมัตถ์
แต่ว่ามันยังทำไม่เป็นนัก คือยังทำแบบจดจ้อง ทำแบบบังคับ
ทำแบบดูมากเกินไป เลยไปสู่สมมุติบ้าง ทำให้เคร่งตึงบ้าง
หรือหย่อนยานเผอเรอบ้าง ในขั้นแรก ๆ มันก็จะเป็นอย่างนั้น ล้ำเกินไป เคร่งตึง
บังคับกดข่ม แต่ได้สัมผัสนะ ได้สัมผัสปรมัตถ์ความเย็นร้อนอ่อนแข็งหย่อนตึง
คิดนึก รู้สึกต่าง ๆ แต่มันยังมีบัญญัติ เดี๋ยวเป็นรูปร่าง เดี๋ยวเป็นความหมาย
เดี๋ยวนึกคิดรู้อะไรหน่อยก็คิดต่อเสียอีก ก็ค่อย ๆ ทำไป ทำไป

พอถึงอีกระดับหนึ่งก็มาฝึกการที่จะให้มันเป็นปรกติขึ้น
แทนที่จะไปติดตามดู ไปจดจ้องไปค้นหา ก็เริ่มมาทำแบบหยุดอยู่กับที่
วางจิตใจอยู่กับที่ ไม่ต้องไปวิ่งหาอารมณ์ หยุดนิ่ง ๆ

หยุดดูหยุดรู้อยู่ในจิตนั่น แต่มันก็ยังมีกระแสที่จะรับรู้ไปทางกายทางหูทางจมูก
ก็เรียกว่าสบายขึ้น

เหมือนกับเรารับแขกอยู่กับที่อยู่ในศาลานี้
แทนที่จะวิ่งไปประตูนั้นไปหน้าต่างนี้
ประตูมันมีทางเข้าตั้ง.... เดี๋ยวทางหน้าทางหลังทางซ้ายทางขวา
เราอยู่กับที่ปล่อยให้แขกเข้ามาเอง อารมณ์ก็คือแขก แขกก็คืออารมณ์

ให้เข้ามาถึงใจแล้วก็รู้ แล้วก็ไป
ผ่านไปแล้วก็รู้อันใหม่ รู้อันใหม่
มันก็จะสบายขึ้น ปรกติขึ้น

แต่ใหม่ๆ นี่มันยังวิ่งไปหาที่ประตูก่อน
วิ่งไปที่ขาไปที่ร่างกาย วิ่งไปที่หูที่จมูกที่ลิ้น ไปรับอารมณ์ต่าง ๆ ก็จะรู้สึก
แหม มันเหน็ดเหนื่อยวุ่นวาย อารมณ์มันมาก เดี๋ยวมีเสียง เดี๋ยวมีกลิ่น
เดี๋ยวมีเย็นมีร้อน กำหนดไม่หวาดไม่ไหว

ใหม่ ๆ ก็ต้องทำความรู้จักให้มากก่อน
พอรู้จักมากขึ้นแล้วก็ฝึกหัดการเป็นปรกติ หยุดดู หยุดรู้เฉย ๆ นิ่ง ๆ
แต่ว่ากำลังที่เคยฝึก ฝึกที่จะดูสภาวะต่างๆ มันก็เป็นปัจจัยมา
ถึงจะอยู่นิ่ง ๆ เฉย ๆ มันก็มีกระแสที่จะรับรู้ นี่เรียกว่าให้มันเป็นปรกติขึ้น

สติสัมผัสสัมพันธ์ทั้งความรู้สึกทางกายทางจิตใจ
เรียกว่าทางจิตใจนี่ต้องสัมพันธ์อยู่เสมอ

ถ้าไม่มีสติสัมพันธ์ทางจิตใจนี่ ไปดูที่ใดที่หนึ่งมันจะเลยไปสมมุติหมด
สมมุติว่าไปกำหนดที่กายอย่างเดียว ไปกำหนดปวดตรงไหนก็ดูปวดตรงนั้น
ดูไปมันก็เห็นเป็นรูปร่างขารูปร่างหัวเข่า นี่เรียกว่าอารมณ์มันสลับ
ความปวดเป็นปรมัตถ์ รูปร่างหัวเข่าเป็นธรรมารมณ์ในส่วนบัญญัติ

ฉะนั้นกำหนดปรมัตถ์มันไม่อยู่แค่ปรมัตถ์
ถ้าเราไปจ่อไปจี้อยู่ที่เดียว หรือกำหนดแค่ที่กาย ดูที่หน้าท้องดูที่ทรวงอก
มีตึงมีหย่อนมีไหว มันก็อดไม่ได้เห็นเป็นแผ่นเป็นผืนของหน้าท้องหน้าอก
แต่ถ้ามาสัมผัสที่จิตด้วย รู้ความรู้สึกที่กายแล้วสัมผัสที่จิต
รู้กายรู้จิต รู้กายรู้จิตไป รู้ได้ยินเสียง รู้จิตรู้ คือมันผูกพันอยู่กับจิตอยู่เสมอ
มันก็จะไม่เลยหรือเลยน้อยลง ไม่เลยไปสู่สมมุติบัญญัติ เลยก็เลยน้อยลง

เวลาสติมันกลับมารู้ที่จิตนี่มันก็จะไม่ปรุงแต่งต่อ
การที่มันเลยไปสู่บัญญัติก็เพราะจิตมันปรุงแต่ง
จิตมันมีสัญญาความจำปรุงแต่ง มันก็ประดิษฐ์อารมณ์เป็นรูปร่างเป็นความหมายเป็นชื่อ

พอสติมันรู้ที่จิตปุ๊บมันก็ตัดกระแสของการปรุงแต่ง

อารมณ์ที่จะเป็นชื่อเป็นความหมายเป็นรูปร่างมันอยู่ที่จิตทางมโนทวาร
เพราะว่ามันเป็นธรรมารมณ์ คืออารมณ์ที่มาปรากฏทางใจ

เมื่อสติไปดูที่ใจไปดูที่จิตก็เห็นความตรึก กำลังตรึกกำลังนึก พอสติไปดูที่ความตรึกนึก อารมณ์มันก็ทิ้งสมมุติมารู้ปรมัตถ์
ก็ตัดกระแสของเรื่องราวออกไป

ฉะนั้น ใครที่กำหนดจิตเป็นมันจึงจะพัฒนาไปได้
การปฏิบัติมันจึงจะไม่ตันอยู่ สามารถจะเห็นสภาวะของธรรมชาติที่แยบคายขึ้นไป
เพราะฉะนั้น ผู้ปฏิบัติทำไปแล้วต้องฝึกให้รู้เข้าไปถึงจิตใจ
รู้ไปที่จิตที่ธาตุรู้ สภาพรู้อาการในจิตใจต่าง ๆ

แม้ว่ามีสมาธิเกิดขึ้น อย่างบางคนทำไปแล้วมีสมาธิ
ความรู้สึกทางกายมันบางเบา ไม่ค่อยรู้สึกแล้ว ลมหายใจไม่มีหรือน้อย
ถ้าไม่มีการกำหนดจิต กายก็ไม่รู้สึกไปแล้ว แล้วมันจะดูอะไรเมื่อกำหนดจิตไม่เป็น
มันก็ไปอยู่กับความว่าง ไปดูความว่างเปล่า
เมื่อไปดูความว่างเปล่ามันก็ไม่เห็นความเกิดดับอะไร
เพราะความว่างเปล่ามันเป็นบัญญัติ เป็นบัญญัติอารมณ์ก็คือความหมายชนิดหนึ่ง


ความว่างก็คือความหมายชนิดหนึ่ง เป็นบัญญัติอารมณ์
เป็นอารมณ์ของจิตเหมือนกัน จิตก็จะอยู่แบบนิ่ง ๆ สงบ อยู่กับความว่างเอิบอิ่ม
ก็ดี เป็นสุขก็ดี แต่มันจะไม่เห็นความเกิดดับอะไร เมื่อไม่เห็นความเกิดดับ มันก็จะเห็นอนิจจังทุกขังอนัตตาไม่ได้ เมื่อไม่เห็นอนิจจังทุกขังอนัตตา มันก็ไม่ถอนความเป็นตัวตนอะไรได้ ก็ได้แต่สมถะความสงบอยู่อย่างนั้น

นี่เพราะว่ากำหนดจิตไม่เป็น หาจิตไม่เจอ กำหนดสภาวปรมัตถ์ทางมโนทวารไม่ได้
พอกายละเอียดไม่รู้สึก ลมหายใจไม่มี กายไม่มี ทุกสิ่งทุกอย่างว่างเปล่าไปหมด ก็จะอยู่นิ่ง ๆ แค่นั้นเอง กี่ปีกี่เดือนก็ไปไหนไม่ได้ อยู่อย่างนั้น



ที่นี้ถ้าหากกำหนดจิตเป็น
ทำไปลมหายใจบางเบา กายว่างลง หายใจไม่มี แต่มันก็มีจิตอยู่ให้รู้
จะเห็นว่ามันไม่ว่างเปล่าเลย มันมีสภาวะอยู่มีจิตอยู่มีรู้อยู่ จิตเป็นตัวรู้อยู่

ในจิตก็มีตัวนึกตัวคิดตัวปรุงแต่งอยู่ในนั้น บางทีก็ชอบ บางทีไม่ชอบ บางทีสงบ
บางทีไม่สงบ บางทีเอิบอิ่ม บางที่ผ่องใส

ถ้าสังเกตเหล่านี้เป็น ทุกขณะก็จะมีสภาวปรมัตถ์ให้รู้ให้ดูอยู่ตลอด
ไม่ใช่ว่างเปล่าไปเฉยๆ เจริญวิปัสสนานี่ไม่ใช่ว่างเปล่าเฉยๆ
ต้องมีสภาวะให้รู้อยู่ตลอดเวลา ที่เรียกว่ามีรูปมีนามเป็นอารมณ์อยู่ตลอดเวลา

เห็นรูปเห็นนามเกิดดับ คือปรมัตถธรรมนั้นน่ะถ้ามาแยกแล้วก็เป็นรูปเป็นนาม

สีเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์บางส่วนนี่เป็นรูป
เห็นได้ยินรู้กลิ่นรู้รสรู้สัมผัสนี่เป็นนาม คิดนึกเป็นนาม เจตสิกทั้งหลายเป็นนาม

ฉะนั้นปรมัตถ์ถ้าจะเรียกเป็นรูปเป็นนามก็จะแยกออกมา

ส่วนใดที่ปรากฏเสื่อมสลายไปอย่างเดียว รู้รับอะไรไม่ได้ นั่นก็คือรูป
นั่นคือสีเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะนี่เป็นรูป

นามก็เป็นธรรมชาติที่รับรู้อารมณ์ ได้เห็นได้ยินรู้กลิ่นรู้รสรู้สัมผัสคิดนึก
เหล่านี้เป็นนาม เวลาปฏิบัติก็ไม่ต้องไปนั่งเรียกชื่อว่า อันนี้คือรูป นี่คือนาม
นี่คือขันธ์ห้า นี่คือเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ

จริงอยู่ใหม่ๆ มันอาจจะคอยเรียก
ใหม่ๆ การศึกษาธรรมะ ในตัวเองมันก็คอยบอกอะไรเป็นอะไร อะไรอย่างไรอะไร
แต่อย่าปล่อยให้เพลินต่อความคิดเหล่านั้นไปเรื่อย ให้สติระลึกรู้
แม้มันจะคิดในเรื่องธรรมะ สติก็ระลึกเข้ามาที่ความคิด ระลึกเข้ามาที่ตัวตรึกนึก
มันก็จะกลับมาสู่ปรมัตถ์ มันต้องกลับเข้ามาเสมอ
จิตกลับมาที่จิตกลับมาที่รู้อยู่เสมอ เป็นปัจจุบันไว้


นี่ก็จะเห็นว่าการที่จะศึกษาธรรมะปฏิบัติธรรมะมันจะต้องทำความเข้าใจในเบื้องต้น
ในส่วนของอารมณ์ อันใดเป็นบัญญัติ อะไรเป็นปรมัตถ์
จากการฟังให้เข้าใจ แล้วก็มาเข้าใจจากการที่ปฏิบัติ

ลองมาสังเกตเทียบเคียงจากการฟังดูซิ เออ
ที่ฟังนี้ปรมัตถ์เป็นอย่างไร
บัญญัติเป็นอย่างไร ให้รู้จัก

พอรู้จักดีแล้วตานี้ก็ไม่ต้องมีใครมาบอก
รู้จักธรรมชาติที่จะระลึกรู้ระลึกรู้ อ๋อ มีอยู่แค่นี้ ก็ทำหน้าที่ระลึกรู้ไป

เพราะมันเกิดขึ้นอยู่เรื่อย
เห็นได้ยินรู้กลิ่นรู้รสคิดนึก สีเสียง กลิ่นรส มันมีอยู่แค่นี้ ก็ทำหน้าที่ระลึกไป
วันๆมันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่


ระลึกไปเพื่ออะไร
เพื่อจะให้เห็นแจ้งชัดของสิ่งเหล่านี้ ลบความเห็นผิดความยึดถือผิด
ที่เราเคยยึดถือว่าเป็นตัวเราเป็นของเรา เคยยึดถือว่าเห็นน่ะคือเราเห็น
จะได้รู้สึกว่าเห็นก็สักแต่ว่าธรรมชาติไม่ใช่เราสักหน่อย

ได้ยินเคยรู้สึกว่าเราได้ยิน เมื่อประจักษ์แจ้งมันก็พบว่าได้ยินมันก็สักแต่ว่าได้ยิน
ไม่ใช่ตัวเราสักหน่อย

รู้กลิ่นรู้รสรู้สัมผัสคิดนึก เคยรู้สึกว่าเป็นเรามาตลอด เราคิดนึก พอมันกำหนดรู้จริง ๆ มันก็สัก.... คิดนึกมันก็สักแต่ว่าคิดนึก
มันก็คือธรรมชาติชนิดหนึ่งที่คิดแล้วก็ดับไป เห็นแล้วก็ดับไป รู้กลิ่นรู้รสรู้สัมผัสก็ดับ มันต้องเห็นความดับไปต่อหน้าต่อตาอยู่เรื่อย ๆ
มันจึงจะรู้สึกในขณะนั้นว่าไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเรา

ที่ปฏิบัตินี่ต้องการที่จะให้เกิดความรู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเรา
ให้เกิดความรู้ความเห็นความเข้าใจว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้สักแต่ว่าเป็นธรรมชาติ
คือมันจะเรียกธรรมชาติหรือจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ จะเรียกรูปเรียกนาม ไม่สนใจทั้งหมด

แต่ว่าไปเห็นสิ่งที่ปรากฏให้รู้นั้นน่ะ มันก็สักแต่ว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏ
ทำหน้าที่แตกดับเปลี่ยนแปลงอย่างนั้น ไม่ได้เป็นตัวเป็นตน ไม่ใช่เป็นเราเป็นของเรา
เกิดแล้วดับทันที เกิดแล้วดับทันที นี่เป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัตินั้นจะต้องเข้าถึงอย่างนี้
จึงจะเรียกว่าเป็นวิปัสสนา แล้วก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เกินวิสัย
ไม่ใช่เป็นเรื่องที่คอยชาติหน้า หรือว่าไปคอยกันเมื่อไร เป็นเรื่องที่ (เทปหมดม้วน)

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2008, 06:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


วิปัสสนาภูมิ ตอนที่ 2
บัญญัติ ปรมัตถ์ รูปนาม และวิธีการกำหนด
โดย พระครูเกษมธรรมทัต (สุรศักดิ์ เขมรํสี)


บัญญัติคืออะไร บัญญัติก็คือสิ่งที่เราสมมุติขึ้น แล้วสมมุติล่ะคืออะไร สมมุติ คือสิ่งที่เราตกลงยินยอมกัน

บัญญัติ แยกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้

1) นามบัญญัติ (สัททบัญญัติ)
2) อัตถบัญญัติ

นามบัญญัติ คือ การตั้งชื่อเรียกเป็นภาษาต่างๆ เช่น ตัวเราตั้งชื่อไว้ว่า อย่างไร ก็มีชื่อต่างๆ กันไป สำหรับเรียก คำว่า โต๊ะ เก้าอี้ เป็นเรื่องที่สมมุติชื่อกันไว้ ไม่มีความแน่นอนอะไร ภาษาไทยก็เรียกไปอย่าง ภาษาอังกฤษก็เรียกไปอย่าง ภาษาจีนก็เรียกไปอย่าง ไม่มีความแน่นอนอะไร เพราะมันเป็นเรื่องสมสุติ การสมมุติอย่างนี้ก็เอาไว้สำหรับกล่าวขานพูดจากันให้รู้เรื่อง สื่อความหมายกันเข้าใจ ถ้าหากว่าใครไปเรียกอย่างอื่น ก็ถือว่าพูดไม่ตรงไม่ถูก พูดไม่ตรงความจริง อย่างที่นั่ง อยู่นี้ถ้าใครไปเรียกว่าโต๊ะก็ว่าพูดไม่จริง พูดไม่ตรงเขาเรียกว่าเก้าอี้

เขาจึงบอกว่า สมมุตินี้เป็นเรื่องการป้องกันการก้าวล่วงมุสาวาท แต่ว่าแม้จะเรียกว่าอะไรก็ตาม มันก็เป็นเรื่องสมมุติกันทั้งนั้น ถ้าหากว่าเรายังไม่ได้รับรู้การสมมุติ ของคนสมัยก่อนเขา ตกลงกันไว้อย่างไร ก็จะไม่รู้เรื่อง อย่างภาษาต่างประเทศบางภาษา ที่เราไม่เคยรู้ การสมมุติของเขา เราก็จะฟังไม่รู้เรื่อง หรืออย่างภาษาไทยเราไปพูด ให้เด็กเกิดมาใหม่ๆ เด็กทารก เด็กที่ยังไม่ได้รับกาอบรมการเรียนรู้สมมุติบัญญัติก็จะไม่รู้เรื่อง ฉะนั้น สิ่งเหล่านี้คือสิ่งสมมุติ ไม่มีความจริงอะไร นี้เรียกว่า นามบัญญัติ คือชื่อต่างๆ ภาษาต่างๆ เป็นบัญญัติ เป็นสมมุติบัญญัติ

อัตถบัญญัติ คำว่า อัตถบัญญัติ นั้นหมายถึง ความหมาย รูปร่างสัณฐาน ความหมายก็อย่าง รูปร่างสัณฐานก็อย่าง อย่างเช่นว่า สัญลักษณ์ต่างๆ ที่เขาทำไว้ เขาก็มีความหมายบ่งบอกให้เข้าใจ อย่างเช่นกฎจราจรที่มีเครื่องหมายมีป้ายบอกชี้ว่า ห้ามเลี้ยวบ้าง หรือว่าห้ามจอดบ้าง เป็นสัญลักษณ์ นั้นคืออัตถบัญญัติ เป็นความหมาย ถ้าหากว่าคนไม่ได้เรียนรู้กฎจราจรก็ไม่รู้เรื่อง ว่าเขามีความหมายว่าอย่างไร นี่คือบัญญัติความหมาย อีกอย่างก็คือรูปร่างสัณฐาน บัญญัติในความเป็นรูปร่าง สัณฐานของสิ่ง อันนี้จะเข้าใจยากนิดหนึ่ง ที่เราว่าเราเห็นรูปกลม รูปแบน รูปเหลี่ยม รูปร่างสัณฐานของสิ่งของหรือของวัตถุต่างๆ ที่จริงเราไม่ได้เห็นตามสภาวะจริง สภาวะจริงนั้นไม่ได้เห็น สิ่งที่จะเห็นได้ก็คือสีต่างๆ เท่านั้น เราจะเห็นเพียงสีต่างๆ แต่การที่รู้ว่ามันเป็น รูปแบน รูปเหลี่ยม รูปกลม อะไรต่างๆ เกิดจากจิตของเรามันสมมุติขึ้น มันประมวลสี ต่างๆ ขึ้นมา

แล้วมันก็ให้รู้ว่าเป็นรูปร่าง นี่อย่างโต๊ะนี้มัน สีขาว พอมันมาสุดริมก็เป็น อีกสีหนึ่ง เห็นมั้ย มันก็กลายเป็นขาดตอน เป็นรูปร่างขึ้นมา มันต้องมีส่วนเป็นสีต่างๆ ไม่งั้นเราจะไม่เห็นเป็นรูปร่างอะไรขึ้นมาได้ ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้เองเขาจึงวาดขึ้นมาได้ ช่างสี ช่างวาดภาพเขาจึงเอาสีมาระบายสีต่างๆ สามารถออกมาเป็นรูปร่างอะไรต่างๆ ได้ นั่นก็คือสี เรามองเห็นสีต่างๆ เท่านั้น แต่จิตเราประมวลออกมาเป็นรูปร่าง นี่คืออัตถบัญญัติ อันนี้มันขัดกับความรู้สึกของเรา เราจะมีความรู้สึกว่า เอ๊ะ มองแล้วก็เห็นรูปร่างเลยนี่ นี้คือความไวของจิตที่มันประมวล สีต่างๆ แล้ว ตัวที่ไปรู้ว่าเป็นรูปร่างไม่ใช่การเห็น มัน เป็นการคิดนึก ซึ่งเป็นสภาพจิตเกิดขึ้นทางใจ สภาพเห็นนั้นเป็นจิตที่เกิดขึ้นทางตา เห็นนี่เกิดขึ้นที่ตา เห็นเพียงสีเท่านั้น แต่ว่าจิตทางใจมันจะรับมาคิดนึกประมวลแล้ว ก็เป็นรูปร่างสัณฐาน ขึ้น เดี๋ยวตอนท้ายอาจจะเขียนภาพให้ดู เพื่อความเข้าใจง่ายขึ้น

อันนี้ก็ได้ความแล้วว่า บัญญัติมี 2 อย่างคือ นามบัญญัติ กับอัตถบัญญัติ บัญญัติก็ตรงกันข้ามกับปรมัตถ์ คำว่าบัญญัติ เรารู้ไปแล้วว่าความหมายว่าอย่างไร ทีนี้คำว่าปรมัตถ์ ปรมัตถ์นี่ตามความหมายคือว่า ธรรมชาติที่เป็นธรรมอันประเสริฐ ไม่มีการผิดแปลกผันแปรแต่อย่างใด และเป็นธรรมที่เป็นประธานของอัตถบัญญัติและนามบัญญัติทั้งปวง ปรมัตถ์นี่นะ คำว่าปรมัตถ์เป็นธรรมอันประเสริฐ คือไม่มีผิดแปลก ผันแปรแต่อย่างใด และเป็นธรรมที่เป็นประธานของอัตถบัญญัติและนามบัญญัติทั้งปวง คำว่า เป็นธรรมอันประเสริฐนั้นประเสริฐอย่างไร ประเสริฐ คือ ไม่มีการผิดแปลก ผันแปรแต่อย่างใด อันนี้คำว่าไม่มีการผิดแปลกผันแปรแต่อย่างใด ก็ไม่ได้หมายความว่า เป็นสิ่งที่เที่ยงตรง เที่ยงแท้ ไม่มีความสลายตัว ไม่มีความเกิด ดับ อะไรอย่างนั้นหรือ ก็ไม่ใช่ มันก็มีความเกิด ดับ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนันตา

แต่ว่ามันคนละแง่มุมกัน คือมีลักษณะอย่างไร มันจะคงลักษณะของมันอย่างนั้นไว้ นี้เรียกว่า ไม่มีการผิดแปลกผันแปรแต่อย่างใด ไม่เหมือนกับบัญญัติที่ได้กล่าวไปแล้ว เช่นชื่อ เห็นมั้ย คนไทยเรียกอย่างนี้ คนฝรั่งเรียกอีกอย่าง มันไม่แน่นอนอะไร แต่ปรมัตถ์มันแน่นอน คือมันมีลักษณะอย่างไรมันจะต้องคงลักษณะของมันอย่างนั้นไว้ ยกตัวอย่าง เช่น ประสาทตา เป็นปรมัตถธรรม ประสาทตาเป็นธรรมชาติในการรับสี คือรับภาพ มันก็จะคงลักษณะของมันอย่างนั้นไว้ จะเป็นตาของเรา ของใคร ของคนจีน คนไทย หรือของคน ของสุนัข ของแมว เป็ด ไก่ อะไรก็ตาม ตาจะต้องมีลักษณะคือเป็นการรับภาพเท่านั้น รับสีเท่านั้น ไม่มีใครเลยที่หูเราไม่ดีเอาตาฟังเสียงบ้างก็ได้ ไม่ได้เลย เราไม่สามารถเอาตาไปฟังเสียง ไปดมกลิ่น ไปลิ้มรส ไปสัมผัสอะไรได้ ตาจะต้องรับเพียงสี คือรับเพียงภาพเท่านั้น นี่คือเรียกว่าคงลักษณะของมัน

คือว่าเป็นธรรมชาติที่ไม่มีการผิดแปลกผันแปรแต่อย่างใด จึงเรียกว่าเป็นธรรมอันประเสริฐ หรือว่าอย่างไฟ ธาตุไฟ มีลักษณะร้อนหรือเย็น ไฟ ไม่ว่าจะเกิดที่ไหน เมื่อใครไปสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นคนไทย คนจีน จะเป็นสุนัข แมว ลองไปสัมผัสเข้ากับไฟแล้วจะต้องมีความรู้สึกเหมือนกันหมด คือมีความรู้สึกร้อน มีความรู้สึกร้อนหรือเย็นเหมือนกัน คือไม่ต้องพูดอะไร เด็กเอามือไปแตะไฟ คนไทยหรือลาวไปแตะไฟ จะมีความรู้สึกเหมือนกันโดยที่ไม่ต้องพูดอะไร นั่นคือ ตัวปรมัตถธรรม นี่เรียกว่าไม่มีการผิดแปลกผันแปรแต่อย่างใด ที่พูดเมื่อกี้ว่าไฟมีลักษณะร้อนและเย็น เราจะชักงง เอ๊ะ จะเอาอย่างไรกันแน่ ทั้งร้อนทั้งเย็น ที่ว่าเย็นก็เป็นลักษณ์ไฟก็คือ ธรรมดาไฟก็มีลักษณ์เป็นอุณหภูมิ คืออุณหภูมิที่มันต่ำ ต่ำกว่าอุณหภูมิในร่างกายของเรา

ความร้อนที่มันต่ำนั้นน่ะ เมื่อกายไปสัมผัสเราก็ว่าเย็น แต่ที่จริงก็เป็นลักษณ์ของความร้อน ความร้อนที่ลดระดับเราก็ว่าเย็น ฉะนั้นในลักษณะของการสัมผัสรับรู้ของเราต้องพูดไว้ 2 อย่างว่า เย็นและร้อน เป็นลักษณะของธาตุไฟ นี้คือ ปรมัตถธรรม มันไม่มีการผิดแปลกผันแปรแต่อย่างใด เราก็รู้ความหมายของคำว่าปรมัตถ์ มีตอนท้ายอีกตอนหนึ่งว่า นอกจากว่าไม่มีการผิดแปลกผันแปรแต่อย่างใดแล้ว ก็ยังเป็นธรรมที่เป็นประธาน เป็นประธานในอัตถบัญญัติและนามบัญญัติ คำว่าเป็นประธานเป็นยังไง คือ มันเป็นตัวตั้ง เป็นตัวพื้น เป็นแกนอยู่ และบัญญัติเข้ามาสวมอีกที ชื่อต่างๆมันมาสวม ชื่อภาษาหรือว่าความหมายหรือว่ารูปร่างมันมาสวมปรมัตถ์อีกทีหนึ่ง หมายถึงว่ามัน มีอยู่แล้ว อย่างร่างกายมันมีเป็นปรมัตถ์เป็นประธานของอัตถบัญญัติและนามบัญญัติทั้งปวง นี้คือ ปรมัตถธรรม

ปรมัตถธรรม จะมีอยู่ 4 อย่างคือ

1) จิตปรมัตถ์
2) เจตสิกปรมัตถ์
3) รูปปรมัตถ์
4) นิพพานปรมัตถ์

จิต เจตสิก รูป นิพพาน

จิต คือ ธรรมชาติที่มีลักษณะรู้อารมณ์ คือมีการไปรับรู้อารมณ์อยู่เสมอส่วน เจตสิก เป็นธรรมชาติที่อาศัยจิตเกิด คือ ประกอบกับจิต จิตกับเจตสิกจะเกิดร่วมกัน อุปมาจิตเหมือนน้ำใสๆ เจตสิกเหมือนสีต่างๆ เมื่อเราเอาสีเขียวไปใส่ในแก้วน้ำ แล้วก็คนๆ แล้วน้ำก็กลายเป็นน้ำเขียว หรือเอาสีเหลืองไปใส่ น้ำก็เป็นสีเหลือง มันจะรวมตัวกันอยู่อย่างนั้น แต่มันก็คนละอย่าง น้ำกับสีมันคนละอย่างกัน หรือจะเปรียบเจตสิกเหมือนเครื่องแกง คนที่ทำครัวก็เอาน้ำใส่หม้อลงไป แล้วเอาเครื่องแกง ที่ผสมไว้ด้วยพริก หอม กระเทียม กะปิ อะไรต่างๆ ที่ตำไว้ เอาไปคนลงในน้ำแกง น้ำนั้นก็กลายเป็นน้ำแกงปนกันไป เครื่องปรุงในจิตเจตสิกอุปมาได้อย่างนั้น

แต่นี่มันเป็นนามธรรม จิตกับเจตสิกเป็นนามธรรมเกิดร่วมกันอยู่ เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน มีอารมณ์อันเดียวกัน มีที่อาศัยอย่างเดียวกัน จิตจะเป็นไปต่างๆ ขึ้นกับอำนาจของเจตสิก เจตสิกมันเป็นเครื่องปรุงเหมือนอย่างน้ำจะให้เป็นน้ำแกง แกงอะไร มันก็ต้องใส่เครื่องปรุงแต่ละอย่างลงไป จิตก็เหมือนกัน ถ้าเจตสิกชนิดไหนลงไปรวมกับจิต จิตก็จะมีสภาพไปตามเจตสิกอย่างนั้น เจตสิกมันมีจำนวนมาก ไปปรุงแต่งในจิตจำนวนมากด้วยกัน จิตเกิดขึ้นครั้งหนึ่งๆ ก็จะมีเจตสิกหลาย ๆ ชนิดเข้าไปรวมตัวอยู่ด้วย คงจะไม่ได้พูดรายละเอียดลงไปว่า จิตนั้นมีกี่ประเภทอะไรบ้างในจำนวนจิต 89 หรือ 121 ดวง คือเราไม่มีเวลาไปศึกษาพออย่างนั้น แต่เราจะพูดเอาเฉพาะที่มาทำความเข้าใจที่จะนำมาปฏิบัติ เจตสิกมี 52 ชนิด เราก็จะไม่พูดรายละเอียดลงไป จะพูดเฉพาะเรื่องที่จะมาปฏิบัติ

รูป คือ ธรรมชาติที่มีลักษณะเสื่อมสิ้นสลายไป เสื่อมสิ้นสลายไป คือมันเกิดขึ้นแล้วมันก็แตกสลายไป ก็คือเป็นการปฏิเสธของการรับรู้อารมณ์ คือรูปมันไม่สามารถจะรับรู้ได้ ไม่เหมือนจิตเจตสิก จิตเจตสิกนี้นี่มันรู้อารมณ์ได้ มันไปจับไปรับรู้อารมณ์ได้ แต่รูปมันรับรู้อารมณ์ไม่ได้ มันก็มีหน้าที่ เกิดมาแล้วก็สลายตัวเท่านั้น แต่ไม่ใช่ว่าจิตเจตสิก จะไม่สลายตัว มันก็เกิดขึ้น ดับไปเหมือนกัน แต่ว่ามันรับรู้ อารมณ์ได้ แต่รูปมันรับรู้อารมณ์ไม่ได้ ก็เลยใช้เฉพาะคำว่าเสื่อมสิ้นสลายไป ซึ่งมี 28 รูปด้วยกัน ในคนหนึ่งก็จะมี 27 รูป แต่ว่ามันต่างกันอยู่ระหว่างผู้หญิง ผู้ชาย คือ ภาวรูป ในระหว่างอิตถีภาวรูป รูปของความเป็นผู้หญิง กับปุริสภาวรูป รูปของความเป็นชาย ซึ่งมีอยู่ในเซลทั่วร่างกาย ผู้ชายก็มีเฉพาะปุริสภาวรูป ผู้หญิงก็มีเฉพาะอิตถีภาวรูป แต่รวมผู้หญิงผู้ชายแล้วก็เป็น 28 รูป อันนี้ก็พอ เราก็จะไม่ศึกษาให้ละเอียด

นิพพาน คือ ธรรมชาติที่มีลักษณะสงบจากรูป นาม ขันธ์ 5 พ้นจากกิเลส คือ นิพพานมันเป็นธรรมชาติที่พ้นจากการปรุงแต่งจากเหตุปัจจัยทั้ง 4 คือ เหตุปัจจัยที่จะไปปรุงแต่ง ปัจจัยมี 4 คือ กรรม จิต อุตุ อาหาร ที่จะไปปรุงแต่งให้มันเกิดขึ้นให้มันดับไปไม่มี เพราะฉะนั้น นิพพานเป็นธรรมที่ไม่มีความเกิดดับ ไม่เหมือน จิต เจตสิก รูป ซึ่งมันถูกปรุงแต่งด้วยปัจจัย 4 เพราะฉะนั้น เมื่อเหตุปัจจัยมันดับ จิต เจตสิก รูป เหล่านั้นก็ดับ เมื่อเหตุปัจจัยส่งผล มันก็เกิดขึ้น แต่นิพพานนี้เป็นอสังขตธรรม คือเป็นธรรมที่ไม่ถูกปรุงแต่งด้วยปัจจัยทั้ง 4 จึงไม่มีความเกิดดับ

นิพพานก็เป็นธรรมชาติที่ไม่ใช่รูป ไม่ใช่จิต ไม่ใช่เจตสิก แต่ว่านิพพานก็มีอยู่ โดยความเป็นธรรมารมณ์ คือเป็นอารมณ์ที่มาปรากฎทางใจ ในร่างกายในชีวิตของเราก็มีจิต เจตสิก รูป ขาดนิพพานไป นอกจากเราปฏิบัติวิปัสสนา ให้ถึงจุดหนึ่งก็จะถึง จะไปรับสัมผัสนิพพานได้ ในปรมัตถธรรม 3 ประการ คือ จิต เจตสิก รูป (นิพพานก็ยกไว้ก่อน) ในจิต เจตสิก รูป นี้ เมื่อย่อลงแล้วก็คือรูปและนาม หรือถ้าย่อกว้างนิดก็คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เราได้ฟังศึกษาอบรมมา ขันธ์ 5 ถ้าย่อลงมานั้น ก็คือรูปกับนาม รูปให้คำจำกัดความไว้ว่า คือธรรมชาติที่เสื่อมสลาย ไม่สามารถจะรับรู้อารมณ์ได้ ส่วนนามให้คำจำกัดความไว้ว่า สามารถรับรู้อารมณ์ได้

ธรรมชาติใดที่มันสามารถรับรู้อารมณ์ได้เราจัดว่าเป็นนาม ส่วนธรรมชาติใดที่มันเกิดขึ้นมารับอารมณ์ไม่ได้ มีแต่สลายตัวเราจัดเป็นรูป การเจริญวิปัสสนา ต้องกำหนด ดูรูปนาม ต้องทิ้งต้องปล่อยจากบัญญัติ เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องศึกษาให้เข้าใจระหว่างบัญญัติกับปรมัตถ์ ถ้าเราไม่รู้จักบัญญัติ ไม่รู้จักปรมัตถ์ เราก็เลือกการกำหนดไม่ถูก จิตของเราก็จะไปอยู่กับบัญญัติตามความเคยชิน ความเคยชินของจิตก็จะไปอยู่กับสมมุติบัญญัติ อยู่อย่างนั้นมันก็ไม่มีทางที่จะรู้ตามความเป็นจริงได้ คือไม่เกิดวิปัสสนาขึ้น วิปัสสนานั้นเป็นชื่อของปัญญา ปัญญาที่รู้ตามความเป็นจริง ขอใช้คำจำกัดความ ของคำว่า วิปัสสนาไว้ว่า รู้ของจริงตามความเป็นจริง เรียกว่าวิปัสสนา

รู้ของจริงตามความเป็นจริงนั้นเป็นอย่างไร ของจริงก็คือ ปรมัตถ์ ซึ่งแบ่งออกมาเป็น รูปกับนาม ตามความเป็นจริงคืออะไร ก็คือ รูปนามมันมีลักษณะอย่างไร ความเป็นจริงของมันมีลักษณะอย่างไร ลักษณะความเป็นจริงของมันก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อนิจจังก็คือความเปลี่ยนแปลงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ในที่นี้ ไม่ใช่หมายถึง ความเจ็บป่วยร่างกายไม่สบายกายเท่านั้น ทุกขังในที่นี้หมายถึง สภาพที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ สิ่งใดที่ปรากฏมาแล้ว ทนอยู่ในคุณสมบัติเดิมไม่ได้ อย่างนั้นเราเรียกว่าเป็นทุกข์

อาการของความเป็นทุกข์ คือทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ส่วนอนัตตา ก็คือ ลักษณะที่บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่สามารถจะบังคับบัญชาได้ สิ่งที่บังคับบัญชาไม่ได้คือไม่มีตัวตน คำว่าไม่มีตัวตน ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอะไร ที่เราฟังกันว่าชีวิตนี้ไม่มีตัวไม่มีตน ไม่ใช่ว่ามันว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย ไม่ใช่ มันมีอยู่ แต่มีอยู่ในลักษณ์ที่บังคับไม่ได้ มีอยู่ในลักษณะที่มันเกิดตามเหตุตามปัจจัย เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย เราจะไปบังคับอะไรมันไม่ได้ แต่มันมีอยู่จริง สิ่งที่เราจะต้องเข้าไปรู้เป็นปรมัตถธรรม ฉะนั้น เมื่อเราปฏิบัติไปเห็นรูป เห็นนาม ก็เท่ากับเห็นของจริง และถ้าเราเห็นลักษณะของรูปของนาม ว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เรียกว่ารู้ตามความเป็นจริง นั่นคือ เรียกว่า วิปัสสนาญาณ เกิดขึ้น

เมื่อวิปัสสนาญาณเกิดขึ้นมันก็จะเป็นไปตามลำดับขั้น ตั้งแต่ญาณที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 เรื่อยไป จนกว่าจะขึ้นโคตรภูญาณ ซึ่งเป็นญาณที่ 13 มัคคญาณ ญาณที่ 14 ผลญาณ ญาณที่ 15 ปัจจเวกขณญาณ ญาณที่ 16 คือ เป็นโลกิยญาณ 13 ญาณ แล้วก็เป็นโลกุตตระ 2 ญาณ คือ มรรคญาณ แล้วก็กลับ ไปเป็นโลกิยญาณที่ 16 ถ้าคนผ่านญาณที่ 16 นี้ได้ก็เปลี่ยนโคตรจากปุถุชนเป็นอริยบุคคลชั้นที่ 1 ก็คือ โสดาบันบุคคล ถ้าผ่านญาณ 16 รอบที่ 2 ก็เป็นสกทาคามีบุคคล ผ่านญาณ 16 รอบที่ 3 ก็เป็นอนาคามีบุคคล ผ่านญาณ 16 รอบที่ 4 ก็เป็นอรหันตบุคคล หมดกิเลส โดยสิ้นเชิง เรื่องญาณที่เป็นไปในบั้นปลายเราไม่ต้องคำนึงถึง มันจะสอดคล้องกันไปเอง แต่ว่าเราปฏิบัติเริ่มต้นให้ถูกต้องด้วยการว่าทำอย่างไรให้ไปเห็นรูปนามตามความเป็นจริง ตัวที่จะเข้าไปรู้เห็นก็คือตัวปัญญาที่เรียกว่าตัววิปัสสนา ปัญญาที่จะเกิดขึ้นมามันก็ต้อง มีสติ สติเป็นตัวระลึกรู้

การระลึกรู้ถ้าหากระลึกรู้บัญญัติก็ได้ ระลึกชื่อ รู้เรื่องราวต่างๆ ภาษา ความหมาย ก็ระลึกได้ แต่มันจะไม่สามารถรู้ตามความจริง เพราะไปรู้ของปลอม บัญญัตินี้เป็นของปลอม บัญญัติเป็นของจริงเหมือนกันแต่เป็น ของจริงโดยสมมุติที่ชาวโลกกำหนดกันไว้ โดยเนื้อแท้แล้วไม่ใช่ของจริง ไปรู้ของปลอม มันก็รู้ตามความของปลอม กลายไปรู้เป็นคน เป็นสัตว์ เพราะฉะนั้นสติจะต้องระลึกรู้ ที่ของจริง จึงจะรู้ตามความเป็นจริงของกฎธรรมชาติ ฉะนั้นการปฏิบัตินั้นจะต้องพยายามเจริญสติระลึกรู้ให้ตรงปรมัตถ์ คือตรงรูปตรงนาม ละคลายสมมุติบัญญัติ ออกไป คือกำหนดให้ตรงปรมัตถ์ และการจะรู้แจ้งตามความเป็นจริงนั้นเราไม่ต้องไปบังคับ หรือไม่ต้องไปหาเหตุผล เอาอดีต อนาคต อุปมากับแจกันนี่ ตัวแจกันอุปมา เป็นรูปนาม แต่ลวดลายของมันเหมือนกับเป็นไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ถ้าเราอยากจะเห็นรู้ว่าแจกันนี้ลวดลายมันเป็นอย่างไร เราก็ต้องดูที่แจกัน ถ้าเราไปดูที่อย่างอื่น มันก็ไม่เห็นลวดลายบนแจกัน เมื่อเราเพ่งดู เราก็เห็นลวดลายของมัน อันนี้ลวดลายของมันก็คือลักษณะ ดังนั้นเมื่อเรากำหนด ให้ตรงรูปนามแล้ว ไม่ต้องกลัวว่ามันจะไม่รู้ ไม่เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันจะเห็นเอง เมื่อเพ่งดูที่แจกัน มันต้องเห็นลักษณะ เห็นลวดลายของมัน ฉะนั้นในการปฏิบัติวิปัสสนา ปัญญาวิปัสสนาไม่ใช่ปัญญาแบบที่เราเรียนทางโลก เราเรียนทางโลกเราจะต้องคิดมาก เอาเหตุผลในอดีต ในอนาคตอะไรต่างๆ เอามารวม มาประมวล มาคิด เราก็จะเกิดความเข้าใจ แต่ในการปฏิบัติวิปัสสนากลับตรงกันข้าม มันกลายเป็นว่าเราจะต้องปล่อยวางอดีต เรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาแล้วเราต้องวางมันได้ เรื่องอนาคตทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นเราจะต้องปล่อยมันได้ คือไม่คำนึงถึง จะต้องรู้อยู่ที่ปัจจุบัน

ดังนั้น เราได้หลักการแล้วว่า วิปัสสนานั้นจะต้องกำหนดให้ได้ปัจจุบัน กำหนดให้ตรงปรมัตถ์ คือรูปนาม และ กำหนดรูปนามให้เป็นปัจจุบัน อดีตไม่เอา อนาคตไม่เอาเอาแต่ปัจจุบัน ปัจจุบันนี้เอาแค่ไหน รูปนามมีความเกิดดับ รวดเร็วมาก มีความเกิดดับถี่มาก มันมีความเกิดขึ้นแล้วก็ดับทันทีเพียงแวบเดียวเท่านั้น ไวมากไวกว่าวินาที ต้องเอาวินาทีมาซอยมากๆ มันมีความเกิดดับไว แต่อาศัยที่มันดับแล้วก็เกิดอันใหม่ขึ้นมา มันดับแล้วอันใหม่เกิดขึ้นมา มันมีความเกิด ต่อๆ กัน แต่อันใหม่ อันที่เกิดมาอันที่สอง ก็ไม่ใช่อันที่ 1 อันที่ 3 ก็ไม่ใช่อันที่ 2 อันที่ 4 ก็ไม่ใช่อันที่ 3 เกิดแล้วมันดับไปเลย อันที่ 1 ก็ดับไป อันที่ 2 ก็ดับไป อันที่ 3 ก็ดับ ไป อันนี้สมมุติพูดให้ฟังเป็น 1,2,3 แต่มันไหลไปอย่างนี้ มัน เกิดดับตลอด ชีวิตที่เราเวียนว่ายตายเกิดมันไปอย่างนี้ มันเกิดขึ้นมาแล้วดับไป ดับไป แต่ว่ามันมีพลังมีอานุภาพที่ส่งต่อ อันที่ 1 ดับไปมันก็มีกำลัง ส่งต่อให้อันที่ 2 มีพลัง ขึ้นมา

แต่มันก็ คนละดวงกัน คนละประเภท คนละชนิดกัน ฉะนั้นเราได้ข้อมูลว่า รูปนามมันเกิดดับไว เกิดดับ เกิดดับ ถี่มาก เรียกว่า สันตติ คือ ความสืบต่ออัน รวดเร็ว ทำให้สัตว์ทั้ง หลาย มีความเห็นผิดขึ้นว่า สิ่งเหล่านี้มันเป็นของเที่ยง ไม่เห็นมันขาดตอน เมื่อเราไม่เห็นขาดตอนก็เห็นเป็นพืดไปหมด เหมือนเรามองรถไฟที่วิ่งไวไว เรามองเป็นขบวนเดียวรวด แต่อันที่จริง แล้วถ้ามันจอดเราจะเห็นเป็นตู้ๆ ๆ อันนี้ก เหมือนกัน รูปนามมันมีความเกิดดับไว ความไวของมันทำให้เห็นเป็นของเที่ยง เป็นอัน เดียวกัน ไม่เห็นเกิดดับ แต่เมื่อเราเจริญสติ ฝึก สติจนมีความช่ำชอง มีความคมกล้า สตินี้มันก็จะสามารถไปจับความไวของรูปนามนั้นได้ พอไปจับได้มันก็จะเห็นขาดตอน พอเห็นขาดตอนคือเห็นความเกิดดับ มันก็จะเกิดความรู้สึกไม่เที่ยงขึ้นมาใช่มั้ย มันเป็น หลักธรรมชาติ ถ้าเห็นความเกิดดับเมื่อไหร่มันก็จะเกิดความรู้สึกไม่เที่ยง

ต้องเห็นความดับไป เกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นดับไปไวที่สุด ก็จะมีการกระชากความรู้สึกในใจเป็นปัญญาที่ว่า ภาวนาปัญญา เกิดขึ้นในใจว่า อ๋อไม่เที่ยง ซึ่งปัญญาชนิดนี้ไม่ได้เกิดจากความคิด เอาอดีตมาคิด เอาอนาคตมาคิด แต่มันเกิดความแจ้งขึ้นมา มันรู้แจ้งไม่ต้องคิดอะไรเลย เป็นหลักการอย่างหนึ่งว่า การปฏิบัติอย่าหลงไปคิด ที่เราเรียนศึกษาวิชาการต่างๆ แม้แต่ปริยัติที่เราเรียนมา เวลานำมาปฏิบัติจริงๆ มันก็เป็นแต่เอามาสรุป แล้วก็ทำเฉพาะเรื่องที่เป็นปัจจุบันเท่านั้น จะมัวไปคิดหลักการ เช่น กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีอะไรบ้าง เวทนามีอะไรบ้าง มันไม่ใช่นึกอย่างนั้น สิ่งที่เป็นปัจจุบันกำลังเกิดขึ้นจะไม่รู้เลย ฉะนั้นเราเรียนเพื่อประกอบความเข้าใจ เวลามาปฏิบัติก็เจริญสติกำหนดรูปนามที่กำลังปรากฏจริงๆ เราก็ได้ความแล้วว่า ต้องเจริญสติ สติคือระลึกได้ ระลึกที่ไหน ระลึกที่รูปนาม รูปนามที่ไหน รูปนามที่เป็นปัจจุบัน บัญญัติไม่เอา เอาแต่ปรมัตถ์ คือ รูปนาม

ทีนี้เราต้องมาศึกษาให้ชัดอีกว่า รูปนามมันเป็นอย่างไรกันแน่ บอกว่าคือ จิต เจตสิก รูป มันก็ไม่รู้อยู่ตรงไหนอีก เราก็ต้องมาบอกเป็นภาษาของการปฏิบัติใหม่ว่า รูปนามมันก็เกิดขึ้นที่ทวารทั้ง 6 หรืออายตนะทั้ง 6 คือ ที่ตา ที่หู ที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย ที่ใจ แค่นี้ เราปฏิบัติอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ที่ตา มีอะไรที่เป็นปรมัตถ์บ้าง ที่ตาสิ่งที่เป็นปรมัตถ์ได้แก่ ตัวรับสี ก็คือ ประสาทตา ทำหน้าที่รับสี แล้วก็มีตัวที่เป็นสีสะท้อนมาจากวัตถุ อาศัยแสงสว่างสะท้อนมากระทบ อันนั้นก็เป็นรูป ภาษาธรรมะเรียกว่า รูปารมณ์ ประสาทตา ท่านเรียกว่า จักขุปสาท ก็เป็นรูป รูปต่อรูปมันจะสัมผัสกระทบกัน ตากระทบกับรูป กระทบแล้วมันจะทำให้เกิดวิญญาณขึ้น ที่มันเกิดขึ้นมันก็เกิดขึ้นในขณะที่พอกระทบ ก็เกิดขึ้นทันที ประชุมกันพร้อม ตัวที่เกิดขึ้นเป็นวิญญาณ คือจิต จิตทางตา ภาษาธรรมะเรียกว่า จักขุวิญญาณจิต คือ ธรรมชาติที่ทำหน้าที่เห็น เกิดขึ้นที่ปสาทตาเป็นจิตชนิดหนึ่ง จิตท่านจึงจัดเป็นนาม ฉะนั้น ประสาทตาจัดเป็นรูป สี ก็เป็นรูป ส่วนสภาพ เห็นเป็นนาม แต่ประสาทตาเรากำหนดได้ยาก รูปที่มากระทบ ตากำหนดง่ายกว่า แต่สิ่งที่ควรกำหนดทางตาก็คือ กำหนดทางนามธรรม คือ สภาพเห็น

เพราะว่าธรรมดาจิตมันคอยนึกไปสู่สมมุติ บัญญัติ ถ้าเราไปกำหนดที่สี พอเพ่งไปที่สีปุ๊บมันเห็นเป็นวัตถุ นี่ชื่อว่าแจกัน นี่ชื่อว่าดอกไม้ มีความหมาย มันไหลไปสู่สมมุติบัญญัติหมดเลย สิ่งที่เป็นปรมัตถ์ทางตา ก็คือ แค่สี สีต่างๆ ที่มากระทบตาเป็นรูป และสภาพเห็นคือตัวฉายออกมาทางตาเป็นตัวไปรับรู้สี เป็นนาม คนละอย่างกันแล้ว สีคือภาพ รูป ภาพอย่างหนึ่ง การเห็นก็อย่างหนึ่งคนละอย่าง สีเป็นรูป การเห็นเป็นนาม ฉะนั้นในการทำความรู้สึกทางตาก็เสนอแนะว่า ให้ทำความรู้สึกน้อมมาทางสภาพเห็น การน้อมมาทางสภาพเห็น ก็น้อมมาที่ธรรมชาติที่ฉายทางตา มันจะไม่มุ่งไปสู่รูปร่างสัณฐานความหมาย มาอยู่กับปรมัตถ์ได้ดีขึ้น ฉะนั้นสิ่งที่เป็นปรมัตถ์ทางตา ก็คือ สี รูปตา เป็นรูป การเห็นเป็นนาม ส่วนเข้าไปรู้ว่านี่เป็นแจกัน เป็นดอกไม้ นั่นเป็นการไปรู้สมมุติบัญญัติ ไม่ใช่ปรมัตถ์แล้ว

พอรู้ว่าเป็นแจกันเป็นดอกไม้ไม่ใช่การเห็นแล้ว ไม่ใช่การเห็นแจกัน ไม่ใช่การเห็นดอกไม้ เห็นแจกันไม่ได้ เห็นดอกไม้ไม่ได้ สิ่งที่เห็นทางตา จะเห็นเพียงสีต่างๆ สลับกันอยู่แต่ที่มันรู้ว่าเป็นแจกันเป็นดอกไม้คือ จิตทางจิต จิตทางตามันอันหนึ่ง จิตทางมโนทวารมันอันหนึ่ง เป็นจิตเหมือนกัน แต่เป็นจิตที่เกิดขึ้นที่ หทยวัตถุ มันจะไปนึก ประมวลอาศัยความจำ คือถ้าเราไม่รู้มาก่อนว่านี่เขาเรียกว่าแจกัน เขาเรียกว่าดอกไม้ เราก็นึกถึงชื่อมันไม่ได้ เราก็แค่เห็นรูปร่าง ไม่รู้ว่ามันชื่ออะไร แต่เราเคยฟังมาแล้วว่า เขาเรียกว่าแจกัน เขาเรียกว่าดอกไม้ ดอกอะไร ชื่ออะไร มันจำไว้ได้ พอเห็นสีเหล่านี้มันจำ สัญญามันจำ ก็ประมวลรู้ว่านี่ชื่อแจกัน นี่ดอกไม้ ฉะนั้นในขณะที่รู้ว่าเป็นแจกัน เป็นดอกไม้ ขณะนั้นจิตมีอารมณ์เป็นบัญญัติ แต่ในขณะที่จิตมีอารมณ์เป็นบัญญัตินั้น ในขณะนั้น ก็มีปรมัตถ์เกิดขึ้น ปรมัตถ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นก็คือสภาพจิตทางใจ ตัวที่เข้าไปรู้ว่า นี่คือแจกัน นี่คือดอกไม้

ตัวที่ไปรู้ว่าแจกัน ดอกไม้ คือจิต เป็นนามธรรม เป็นปรมัตถ์ ฉะนั้นในขณะที่รู้ว่าเป็นแจกัน สิ่งที่เป็นปรมัตถ์ก็คือตัวจิต ทางใจคือตัวนึก ตัวประมวล ถ้าสติเกิดขึ้นมาที่จะรู้ปรมัตถ์มันจะรู้ขึ้นมาที่ใจ สติมันรู้ที่ใจ ในขณะที่เห็น สัมผัสสี ถ้าสติเกิดขึ้นก็กำหนดสี กำหนดสภาพเห็น พอมันเกิดรู้ไปว่าเป็นแจกัน เป็นดอกไม้ เป็นคน สัตว์ สิ่งของอะไร ขณะนั้นปรมัตถธรรมคือ จิตกำลังคิดนึก สติก็ต้องรู้มาที่จิต พอรู้มาที่จิต สภาพการรู้เป็นดอกไม้บัญญัติเปลี่ยนไป อารมณ์มันเปลี่ยนไป อารมณ์มันเปลี่ยนมารู้ที่จิต ไม่ใช่รู้ดอกไม้ แจกัน มารู้ที่จิต มันก็เข้าทางสติมารู้ที่ปรมัตถ์ ไม่ใช่รู้บัญญัติ อันนี้เป็นทางหนึ่ง วิธีการหนึ่ง ทางอื่นๆ ก็เหมือนกัน

ทางหู สิ่งที่เป็นปรมัตถ์ก็คือเสียงกับสภาพได้ยิน เสียงก็เป็นคลื่นปรมาณู ผ่านมากระทบกับประสาทหู ประสาทหูเป็นรูป เป็นฝ่ายรับ เสียงเป็นรูปเป็นฝ่ายกระทบ พอกระทบกันแล้วมันก็เกิดวิญญาณ เกิดความรับรู้ขึ้น วิญญาณหรือจิตที่เกิดทางหู เรียกว่า โสตวิญญาณจิต คือสภาพได้ยิน ฉะนั้นเสียงเป็นรูป ได้ยินเป็นนาม เสียงกับได้ยินมันคนละอย่าง เสียงเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ได้ยินเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ฉะนั้นขณะได้ยินเสียงถ้าสติระลึกรู้ก็จะกำหนดสภาพได้ยินได้ถูก แต่ก็ขอเสนอไว้ว่า กำหนดมาที่สภาพการได้ยิน เพราะถ้ากำหนดไปที่เสียงมันมักจะไปสู่สมมุติบัญญัติง่าย จะไปนึกว่าเสียงนั้นเสียงใคร เสียงคน เสียงสุนัข เสียงแมว เสียงนก เสียงเรือ นั่นเป็นสมมุติบัญญัติอารมณ์ แต่ถ้าเรากำหนดสภาพได้ยิน ได้ยินมันก็ตัดสมมุติบัญญัติออกไปก็คือ เป็นปรมัตถ์

ทีนี้ถ้ามันเลยไปแล้วล่ะ เราบังคับไม่ได้ บังคับจะไม่ให้มันเลยไปเป็นเสียง รู้ว่าเป็นเสียงคนเสียงสัตว์ เราบังคับไม่ได้เลยเพราะความไวของจิต พอมันไปรู้ว่าเป็นเสียงคนเสียงสัตว์ มีความหมายอย่างนั้นๆ แสดงว่าขณะนั้นอะไรกำลังปรากฏ ปรมัตถ์อะไรกำลังปรากฏ ก็คือจิตทางใจกำลังปรากฏ ไม่ใช่จิตทางหูแล้ว จิตทางใจมันรับช่วงมาทางใจ ไปรับรู้เป็นเรื่องราวต่างๆ ความหมายของเสียงนั้น ถ้าสติเกิดขึ้น สติจะต้องกำหนดปรมัตถ์ตามหลักการของพุทธศาสนา ก็ต้องกำหนดที่ใจ ในขณะแรกได้ยินเสียงกำหนดที่หู ได้ยินๆ แต่มันเลยไปรู้ว่าเสียงคน เสียงสัตว์ กำหนดมาที่ใจ ใจคิดนึกไปถึงบัญญัติก็ให้กำหนดมาที่ใจ ก็จะตัดอารมณ์บัญญัติออกไป

ทางจมูก ก็มีกลิ่น มีการรู้กลิ่น มีประสาทจมูก กลิ่นก็เป็นน้ำมันระเหย เป็นรูปชนิดหนึ่งมากระทบกับประสาทจมูก แล้วก็เกิดการรู้กลิ่น ตัวกลิ่น ตัวประสาทจมูกเป็นรูป ตัวรู้กลิ่นเป็นนาม แต่เมื่อเรารู้ไปว่า กลิ่นนั้นเป็นกลิ่นอะไร กลิ่นน้ำหอม น้ำหอมยี่ห้อนั้นยี่ห้อนี้ กลิ่นผลไม้ นี่เป็นบัญญัติ เป็นสมมุติ ตัวที่เป็นปรมัตถ์คือกลิ่น ลักษณะของการรู้กลิ่นน้ำหอม กลิ่นซากศพ แสดงว่าไม่ใช่รู้กลิ่นเกิดขึ้น ไม่ใช่จิตทางจมูกเกิดขึ้น แต่เป็นจิตทางใจ จิตทางใจที่ไปคิดสู่สมมุติบัญญัติ สติก็ต้องรู้มาที่ใจ ก็เป็นอันว่าขณะใดที่จิตไปรู้สมมุติบัญญัติ ให้กำหนดมาที่ใจ อันนี้มีความสำคัญในขณะที่ปฏิบัติไปถึงระดับหนื่ง ที่เข้าไปสู่ความว่าง ผู้ปฏิบัติถ้าไม่เข้าใจเรื่องปรมัตถธรรม เรื่อง จิตแล้ว ก็จะไม่ก้าวหน้าทางการปฏิบัติ คือจะไปอยู่กับความว่าง เพราะความว่างก็เป็นสมมุติบัญญัติ เช่นการกำหนดลมหายใจ กำหนดลมหายใจเข้า กำหนดลมหายใจออก

กำหนดมากเข้าลมนั้นจะละเอียดๆๆ พอละเอียดมากเข้ามันไม่รู้สึกแล้ว และความรู้สึกทางกายก็ไม่มี ความรู้สึกทางจมูกก็ไม่มี มันละเอียดมาก จิตมีสมาธิแล้ว รูปมันจะละเอียด พอรูปละเอียดเข้าไปมันรับรู้ไม่ได้แล้ว ลมหายใจไม่รู้สึก ความว่างจะเข้ามาแทนที่ จิตก็เข้าไปรู้สึกกับความว่าง แต่ใจสงบ เย็น แต่มีความว่างเป็นอารมณ์ มันก็ไม่เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะความว่างนั้นก็คือสมมุติบัญญัติ ทีนี้เราก็จำไว้ว่า ความว่างเปล่าเป็นสมมุติบัญญัติอย่างหนึ่ง มันจะไม่มีลักษณะของความเกิดดับอะไรเลย เมื่อภาวะอย่างนั้นเกิดขึ้นก็จะต้องย้อนมาดูที่ตัวที่ไปรู้ ความว่าง คือ ตัวจิต ผู้ปฏิบัติมักจะมีปัญหาว่าทำไม่ได้ ได้แค่ไปอยู่กับความว่าง จะบอกให้กำหนดจิตก็กำหนดไม่ถูก ย้อนดูจิตไม่ถูก แม้จะอธิบายว่าจิตคือตัวรู้อารมณ์ บางคนก็ไม่สามารถจะเข้าใจได้ ฉะนั้นการฝึกฝนทีแรกก็ต้องพยายามเรียนรู้เรื่องจิต ไว้ด้วย จิตที่ไปรู้สมมุติบัญญัติ ก็กำหนดไว้ที่จิต นอกจากทางจมูกแล้วก็ทางลิ้น

ทางลิ้น ก็มีประสาทลิ้น แล้วก็มีรสมากระทบลิ้น แล้วก็มีตัวรู้รสเกิดขึ้น คือ ปรมัตถธรรม รสต่างๆ เป็นปรมัตถ์ แต่พอรู้ว่าเป็นรสแกงไก่ แกงหมู รสผลไม้ รสแป๊ปซี่ เป็นบัญญัติทั้งหมด ตัวที่เป็นปรมัตถ์คือรสต่างๆ รู้ว่าเป็นรสอะไร ตัวที่ ไปรู้รสเป็นนามหรือเป็นจิต รสต่างๆ เป็นรูป รู้รสเป็นนาม รสกับการรู้รสคนละอย่างกัน

ทางกาย ในร่างกายจะมีกายปสาท การรับรู้โผฏฐัพพารมณ์ สิ่งที่จะมากระทบกายเรียกว่า โผฏฐัพพารมณ์

โผฏฐัพพารมณ์ แบ่งออกเป็น 3 อย่าง

1) ปฐวีโผฏฐัพพารมณ์
2) เตโชโผฏฐัพพารมณ์
3) วาโยโผฏฐัพพารมณ์

ปฐวีโผฏฐัพพารมณ์ คือ ลักษณ์ของดิน ปฐวีก็คือดิน ลักษณะของดินจะมี ลักษณะแค่นแข็ง ฉะนั้นขณะสิ่งใดที่มากระทบกายเป็นความแค่นแข็ง เช่น เรานั่งสัมผัส โต๊ะเก้าอี้ รู้สึกแข็ง ความแค่นแข็งนั้นเป็นลักษณะของธาตุดิน เป็นรูป ตัวที่รู้สึกแข็ง เป็นจิต จัดเป็นนามธรรม กายปสาทที่รับความแข็งคือรูป ตัวความแข็งเป็นรูป ตัว รู้สึกแข็งเป็นนาม แข็งก็อย่าง รู้สึกแข็งก็อย่าง แข็งเป็นรูป รู้สึกเป็นนาม

เตโชโผฏฐัพพารมณ์ ก็คือไฟ ไฟที่มีลักษณะร้อนและเย็นดังที่กล่าว ส่วนที่เป็นความร้อนก็ดีเย็นก็ดี เป็นลักษณะของไฟ มีอยู่ในร่างกาย เช่นในท้องก็รู้สึกร้อน บางทีลมพัดมากระทบผิวกายรู้สึกเย็น นั่นคือลักษณะของไฟ หรือว่าแดดกระทบรู้สึกร้อนวูบมา ให้เจริญสติกำหนดตรงที่มันรู้สึกเย็นและร้อน มันเย็นตรงไหนร้อนตรงไหนกำหนดตรงนั้น ถ้าเลยไปว่าร้อนนี้เป็นไฟ เย็นนี้เป็นพัดลม เห็นหน้าตาของลม ลมมาจากพัดลมเป็นสมมุติบัญญัติ ถ้ามันเกิดขึ้นอย่างนั้น เราบังคับไม่ได้ก็กำหนดมาที่ใจ

วาโยโผฏฐัพพารมณ์ ก็คือลักษณะของลม ลมจะมีลักษณะเคร่งตึง มันตึงแล้วก็หย่อน คือ ตึงน้อยก็เป็นความหย่อน ฉะนั้น ในร่างกายส่วนไหนที่มีตึงก็คือ ธาตุลม แต่ถ้ามันหย่อน ธาตุลมมันลดระดับลงมาเรียกว่าหย่อน เช่น เราเกร็งมือรู้สึก ตึงพอเราแบมือเราเรียกว่าหย่อน ไอ้ที่หย่อนก็คือยังตึงแต่ตึงมันคลาย เพราะฉะนั้นเรา จึงบอกว่า ตึงและหย่อนเป็นลักษณะของธาตุลม

สิ่งที่มากระทบกายก็จะมีเพียงธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม ฉะนั้น สรุปแล้วก็คือ สิ่งที่มากระทบกายมีลักษณะเย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง อ่อนก็คือแข็งน้อย ความแข็งมันลดระดับลง เราก็รู้สึกว่ามันอ่อน แต่ที่จริงอ่อนก็คือแข็ง อย่างสำลี เราเอามือไปแตะสำลีเราก็ว่ามันอ่อน แต่ที่จริงสำลีก็มีความแค่นแข็ง แต่มันแข็งน้อยกว่าเนื้อของเรา เราก็ว่ามันอ่อน แต่ที่จริงก็คือความแข็ง ฉะนั้น ในทางการกำหนดรู้จะเป็นลักษณะเย็นก็ตาม ร้อนก็ตาม อ่อนก็ตาม แข็งก็ตาม หย่อนก็ตาม ตึงก็ตาม เป็นสิ่งที่มากระทบทางกายที่เรากำหนดรู้นั้น เรียกว่าเป็นรูป ความรู้สึก รู้สึกเย็น รู้สึกร้อน รู้สึกอ่อน รู้สึกแข็ง รู้สึกหย่อน รู้สึกตึง นั้นเป็นนาม แต่ถ้ามันไปรู้ว่าเป็นสิ่งของ ชื่อนั้น ชื่อนี้ เป็นความหมาย เป็นสมมุติบัญญัติ เป็นเรื่องของจิตใจที่เข้าไปรับรู้

การปฏิบัติมันดูที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทางใจ คิดไปเรื่องนั้น คิดไปเรื่องนี้ คิดไปเรื่องโน้น ขณะที่จิตคิดไปถึงเรื่องราวต่างๆ คิดไปถึงคน สัตว์ เหตุการณ์ สถานที่ อะไรก็แล้วแต่ ตัวเรื่องราวต่างๆ ขอให้ทราบว่านั้นคือ สมมุติคือบัญญัติ ไม่ใช่อารมณ์ที่เราจะต้องกำหนดรู้ เราจะต้องปล่อย ปล่อยวางเรื่องราวต่างๆ ให้ได้ ในขณะที่จิตกำลังไปคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ในขณะนั้นก็มี ปรมัตถธรรมอยู่ ปรมัตถธรรมในขณะนั้นคืออะไร ก็คือตัวที่ไปรู้เรื่องราวต่างๆ คือจิต จิตที่ไปรู้เรื่องราวต่างๆ ตัวเรื่องราวต่างๆ เป็นอารมณ์ ตัวที่ไปรู้เรื่องราวต่างๆ คือนาม คือจิต ฉะนั้นการกำหนดปรมัตถ์ จะต้องกำหนดที่ไหน ก็กำหนดมาที่จิต มันก็จะปล่อยวางเรื่องราวต่างๆ มารับรู้ที่จิต มันก็ได้ปัจจุบันขึ้น ได้กำหนดที่รูปนามขึ้น ฉะนั้นขณะที่เรานั่งไปมันเพลินคิดไปถึงคนนั้นคนนี้ ถ้าสติเกิดระลึกรู้ มันก็กำหนดระลึกรู้มาที่จิต กำหนดที่ตัวที่รู้เรื่องราวต่างๆ มันก็จะรู้สึกว่าเรื่องราวต่างๆ ขาดตอน ขณะที่เคลิ้มไปคิดไป ต้องกำหนดมาที่จิต ในจิตนอกจากว่าจะมีจิตแล้วยังมีเจตสิก

ที่กล่าวข้างต้นแล้ว คือตัวที่ไปปรุงแต่งจิตพูดง่ายๆ คือเป็นความรู้สึกในจิต ก็ต้องกำหนดรู้ด้วย มันจะมีความรู้สึกอย่างไร มันก็มีมากมาย ความรู้สึกพอใจก็อย่างหนึ่ง ไม่พอใจก็อย่าง สงบก็อย่าง ไม่สงบก็อย่าง ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ ท้อถอย เกิดความมานะ เกิดความเห็นผิด เกิดความโลภ ลักษณะของจิตที่เป็นฝ่ายอกุศลก็มีต่างๆ เราก็พิจารณาดูลงไปในกระแสจิตว่ามันมีอาการอย่างไร มีความรู้สึกอย่างไรที่มันกำลังปรากฏ คือในขณะที่เรากำหนดรู้ ไม่ใช่ไปรู้ถึงชื่อมัน ว่ามันชื่อว่าอย่างไร มีความหมายอย่างไร ไม่ต้อง นั่นมันเป็นสมมุติ เราดูลักษณะของมันที่กำลังแสดง เช่นเราดูละครที่กำลังเล่น เขาแสดงกิริยาอาการอย่างไรก็ดู แต่เราไม่ต้องรู้ว่าตัวละครเป็นใคร มาจากไหน ไม่ต้อง เราดูมันกำลังแสดงกิริยา อาการท่าทาง เล่นบทบาทอย่างไร ในจิตใจก็เหมือนกันมันแสดงความรู้สึกอย่างไร เราก็ดูไปๆ ดูโดยเราไม่ต้องไปทำอะไร

ฉะนั้น การปฏิบัติวิปัสสนาเป็นการศึกษาเรียนรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ที่มีอยู่จริงๆ โดยที่เราไม่ต้องไปสร้างขึ้นมา เราไม่ต้องไปสร้างอะไรขึ้นมาเลย เพียงแต่เราทำใจ ทำสติ เจริญสติ ระลึกรู้ สังเกต สติเป็นตัวระลึก ตัวสังเกตหรือพิจารณาเป็นตัวปัญญา เกิดไปด้วยกัน ที่เราเรียกว่า สติสัมปชัญญะ เป็นองค์สำคัญของการปฏิบัติ สัมปชัญญะ องค์ธรรมก็คือตัวปัญญา สัมปชัญญะตัวพิจารณา คำว่า พิจารณา ในที่นี้จะใช้ต้องเข้าใจว่า มันไม่ได้หมายถึงว่า เราต้องเอาข้อมูลอดีต อนาคต มาคิด มาอะไรอย่างนั้นมันคนละความหมายของคำว่าพิจารณาในที่นี้ ฉะนั้นคำว่า พิจารณาในที่นี้จะใช้อีกคำหนึ่งก็คือคำว่า สังเกต หรือพิจารณาสั้นๆ พิจารณาเฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏ ที่ผ่านไปแล้วก็แล้วกันไป อย่าเอาอดีตมาคิด มานึก อนาคต มาคิดนึก ฉะนั้นจึง ใช้คำว่าสังเกต สติเป็นตัวระลึกรู้ สัมปชัญญะเป็นตัวพิจารณาสังเกตเฉพาะรูปนามที่กำลังปรากฏ เมื่อผ่านไปแล้วก็ผ่านไปดูรู้อันใหม่ รูปใหม่ นามใหม่ที่กำลังปรากฏ

ในความเป็นจริงของผู้ปฏิบัติ ผู้ฝึกใหม่ๆ จะเป็นไปในลักษณะที่ว่า สติมันไม่อยู่กับปรมัตถ์ที่เป็นปัจจุบัน มันคอยจะไปอยู่กับสมมุติบัญญัติ เป็นเรื่องราว หลง เผลอ ลืมไปเรื่อยๆ ก็ต้องอาศัยความเพียรพยายามระลึกรู้ ระลึกรู้ให้ตรงปัจจุบันอยู่เรื่อยไป อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจ

ไม่ทราบว่า พูดมาแค่นี้ ใครจะมีปัญหาสงสัยอะไรบ้างมั้ย ถ้าไม่มีสงสัยอะไร ก็พูดถึงวิธีปฏิบัติ พูดในรูปแบบของการปฏิบัติเลย ก่อนอื่นก็อยากจะแสดงบนกระดาน ให้เห็นสิ่งที่กล่าวไปเมื่อกี้ เพื่อความชัดเจนขึ้นว่าธรรมชาติของชีวิตในเรื่องของกาย ใจมันเป็นอย่างไร ถ้าไม่เห็นภาพอาจจะนึกไม่ออกก็ได้ จะลองเขียนดู

สมมุติว่าเป็นภาพคน นี่เป็นตา เป็นหู ในปากก็มีลิ้นอยู่ อันนี้ก็เป็นร่างกายทั่วไป สิ่งที่มี ตัวเราก็มี ตา หู จมูก ลิ้น และร่างกายก็ทั่วไปทุกสัดส่วนและก็มีธรรมชาติหนึ่งก็คือหัวใจอยู่ข้างซ้าย ที่อาศัยเกิดของจิตก็จะมีอยู่ที่ตาบ้าง ที่หูบ้าง ที่จมูกบ้าง ที่ลิ้นบ้าง ที่ร่างกายทุกสัดส่วน และที่ใจ ในขณะที่มีภาพปรากฏทางตา เช่น ภาพต้นไม้ มันก็จะมีสีจากภาพนี้ไป สิ่งที่เป็นสีนี้เขาเรียกว่า รูปารมณ์ รูปารมณ์ ก็คือ สีต่างๆ ที่ตานี้ก็จะมีอะไร ก็มีตัวจักขุปสาท จักขุปสาทนี้เป็นความใส คือประสาทตา เป็นความใส เป็นเครื่องรับ แต่ว่าไม่รู้อารมณ์ รับเฉยๆ เป็นเหมือนกับแผ่นฟิมล์ของรูป หรือเหมือนกับทัพพีที่ตักแกง มันไม่สามารถรู้รสแกงได้ เมื่อสีกระทบกับประสาทตา ก็ทำให้เกิดธรรมชาติชนิดหนึ่ง ก็คือ จิตที่นี่ เรียกว่า จักขุวิญญาณ จักขุวิญญาณนี้ก็คือตัวเห็นนั่นเอง ฉะนั้น อันนี้เป็นสีต่างๆ จัดเป็นรูปธรรม จักขุปสาทก็เป็นรูป แต่ตัวเห็นนี้เป็นนาม

ดังนั้นจึงบอกว่า สีเป็นรูป เห็นเป็นนาม แต่ตัวจักขุปสาทมันกำหนดยาก เอาแค่ 2 อย่าง คือสีเป็นรูป เห็นเป็นนาม ทำไมจึงเป็นนาม เพราะมันเป็นตัวไปรับรู้อารมณ์ได้ อันนี้เป็นตัวอารมณ์ อารมณ์ก็คือรูป รูปบวกอารมณ์ ก็กลายเป็นรูปารมณ์ คือสีต่างๆ เขาให้คำจำกัด ความของคำว่าอารมณ์ไว้ว่าสิ่งที่ถูกรู้ สิ่งที่ถูกรู้เราเรียกว่าอารมณ์ ตัวเข้าไปรู้ก็คือจิต ตัวที่จะไปรู้รูปารมณ์ก็คือสภาพเห็น ดังนั้นสภาพเห็นนี้เป็นตัวรับรู้อารมณ์ได้ รูปารมณ์เป็นตัวถูกรู้ สภาพเห็นเป็นตัวเข้าไปรับรู้ การรู้เฉพาะตัวนี้จักขุวิญญาณมันจะรู้เพียงสีต่างๆ แต่พอรู้ว่าเป็นต้นมะพร้าว มันไม่ใช่การเห็นแล้ว มันกลายเป็นจิตที่หัวใจนี่ เขาเรียกว่าเป็น มโนวิญญาณ มโนวิญญาณตรงนี้เป็นตัวคิดนึกแล้ว มันประมวล มันผ่านช่องตา คิดนึกถึงสีต่างๆ แล้วประมวลเป็นรูปร่าง เป็นความหมาย เป็นชื่อซึ่งต้องมีสัญญาเกิดร่วมด้วย จำได้ว่าลักษณะอย่างนี้มันคือต้นมะพร้าว คำว่าต้นมะพร้าวนี้

พอรู้ว่าต้นมะพร้าวนี้เป็นอะไร ปรมัตถ์หรือบัญญัติ กลายเป็นบัญญัติแล้ว พอรู้ว่าต้นมะพร้าว ต้นมะพร้าวนี่มีลูกด้วย ก็บัญญัติต่อไป ลูกนี้ข้างในเป็นน้ำ น้ำนี่มันดื่มมีรสอย่างนั้น มันจะนึกเป็นสมมุติบัญญัติไปหมด ที่จริงปรมัตถ์คือสีต่างๆ และสภาพเห็น ฉะนั้นขณะไปรู้ว่าเป็นมะพร้าว มะพร้าวนี้เป็นบัญญัติอารมณ์ แต่ตัวที่ไปรู้บัญญัติอารมณ์นี้คือตัวมโนวิญญาณ ฉะนั้นสติที่เกิดขึ้นจะกำหนดที่ไหน ก็ต้องกำหนดมาที่มโนวิญญาณนี่ ก็จะกำหนดกลับมาที่ปรมัตถ์ ถ้าเรามัวไปหลงคิดถึงมะพร้าวก็เป็นสมมุติบัญญัติอยู่ ต้องกำหนดมาที่นี่ คือกำหนดมาที่ความคิดนึก มันก็จะเป็นปรมัตถ์ กำหนดปรมัตถ์ เวลาสติเกิดขึ้นมา มันก็เกิดที่หัวใจ สติระลึกรู้อะไร ระลึกรู้มโนวิญญาณ แต่ไม่ใช่ว่ามันจะเกิดทีเดียว 2 ดวง จิตจะเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กันไม่ได้ จำไว้ว่าจิตจะเกิดมาที่เดียว 2 ดวงไม่ได้ แต่จะต้องเกิดมาที่ละดวง ทีละดวง นึกคิดนี้ก็เป็นจิตดวงหนึ่ง สติก็เกิดกับจิตดวงหนื่ง

แล้วมันเกิดยังไง มันก็ต้องอันนี้ ดับไปแล้ว มโนวิญญาณดับไปแล้ว สติเกิดมาแล้วก็ไปรู้มโนวิญญาณที่มันดับไปแล้ว แต่ในความรู้สึกจริงๆ มันเหมือนกับรู้ปัจจุบัน เรายังเรียกว่าปัจจุบันได้ คือมันใกล้เคียงกัน ทีนี้ในภาวะความเป็นจริงที่ปฏิบัติก็คือ กำหนดความคิดนึกนั่นเอง ที่กำลังคิดนึกถึงมะพร้าวเรื่องราวต่างๆ ก็กำหนดที่ความคิดนึก ในใจพอนึกถึงมะพร้าวเกิดความรู้สึกยังไง พอใจหรือไม่พอใจ มันก็ยังเป็นมโนวิญญาณ เป็นจิตทางใจดวงหนึ่ง พอใจหรือไม่พอใจ ต่างก็เป็นมโนวิญญาณที่เกิดขึ้นมาที่จิตแต่ละชนิดๆ คิดกันมา สติก็รู้ไปสิ รู้ความพอใจ สังเกตลักษณะความพอใจ ลักษณะความไม่พอใจก็ระลึกรู้ความไม่พอใจ สติและปัญญาก็เกิดร่วมกัน สัมปชัญญะนี่เป็นตัวปัญญา คือสติเป็นตัวระลึกรู้ สัมปชัญญะก็สังเกต สังเกตลักษณะความพอใจเป็นอย่างนี้ ไม่พอใจอย่างนี้ มันปรากฏขึ้น

อันนี้ก็ทางหนึ่งแล้ว พอจะมองภาพพจน์มองออกไหมว่า การทำงานในชีวิตจริงๆ มันเป็นยังไง แล้วการปฏิบัติยังไง ถ้าหากว่า ขณะเห็นทีแรกถ้าสติเกิดขึ้นทัน ก็กำหนดสภาพเห็น สภาพสี ถ้าไม่ทันมันเกิดไปรู้เป็นต้นมะพร้าวแล้วก็รู้มาที่ใจ หรือมันเลยไปถึงความพอใจไม่พอใจแล้ว ก็รู้มาที่ความพอใจไม่พอใจ แต่มันก็ไม่ได้ตั้งอยู่ มันก็จะไป มันก็ไปเป็นรับรู้ทางอื่น ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็กำหนดเรื่อยไปตามสภาวะที่มันเกิดขึ้น อันนี้ก็อย่าง ถ้าเป็นทางหู ทางหูก็มีประสาทหู หรือเรียกว่า โสตปสาท ซึ่งเป็นความใสที่จะรับเสียง แล้วก็มีเสียงเป็นคลื่น เป็นคลื่นปรมาณูผ่านบรรยากาศมากระทบหู เสียงตัวนี้ก็เป็น สัททารมณ์ ก็คือตัวเสียง เสียงต่างๆ ก็จะดังมากระทบประสาทหู พอกระทบแล้วมันก็จะเกิดอะไรขึ้น เกิดสภาพได้ยินขึ้น เขาเรียกว่า โสตวิญญาณ

ก็คือตัวได้ยิน ได้ยินเป็นอะไร เป็นรูปหรือเป็นนาม เป็นนาม หูเป็นรูป เสียงเป็นรูป ฉะนั้นขณะที่ได้ยิน จะได้ยินเป็นเพียงเสียง คือเสียงสูงๆ ต่ำๆ ไม่รู้ว่าอะไร แต่ถ้าไปรู้ว่าเสียงนั้นเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นอะไร ไม่ใช่ได้ยินแล้วมันกลายเป็นจิตที่ใจ เป็นมโนวิญญาณ คิดนึกถึงว่าอ้อนั่นเป็นเสียงคน มีความหมายอย่างนั้น สติก็กำหนดมาที่ความคิดนึก ตอนแรกกำหนดที่หูได้ยินเสียง ได้ยินเสียงกำหนดไม่ทัน รู้ไปเป็นคน สัตว์ สิ่งของ ก็กำหนดไปที่จิตใจ แล้วก็พอมันคิดนึกแล้วมันก็จะเกิดความรู้สึกพอใจบ้างไม่พอใจบ้าง เราก็กำหนดมาที่ใจ ที่พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง สำหรับทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็เหมือนกัน จะเป็นไปในลักษณะอย่างนี้ ทีนี้เรามีเวลาจำกัด ก็พอเป็นตัวอย่าง


แนวทางเจริญวิปัสสนา

จะพูดเข้ามาถึงเวลาเราจะปฏิบัติกันจริงๆ คือที่เราฟังนี่ดูๆ แล้ว เหมือนง่ายในการปฏิบัติ กำหนดอันนั้นอันนี้ แต่เวลาเอาจริงๆ แล้วมันยาก กำหนดไปแล้วมันเผลอไปหมด แต่ว่าบอกหลักการไว้ว่ามันปฏิบัติอย่างนี้ การปฏิบัติเราก็เจริญไปตามแนวของสติปัฏฐาน คือ กาย เวทนา จิต ธรรม ซึ่งตามปกติจริงๆ แล้ว การปฏิบัติถ้าแยกออกไปแล้วก็มี 3 รูปแบบ หรือ 3

ระบบการปฏิบัติ

การปฏิบัติที่ 1 ก็คือ เรียกว่า เจริญสมถะก่อน ทำให้ได้สมาธิ ให้ได้ฌาณ ระดับของสมาธิที่เข้าถึงอัปปนาสมาธิ แล้วจึงยกฌาณขึ้นสู่วิปัสสนาทีหลัง คือขณะที่ถอยจากฌาณแล้วก็กำหนดองค์ฌาณ นี่ก็อย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งก็คือ เจริญวิปัสสนาโดยตรงไปเลย คือเจริญกำหนดดังที่อธิบายให้ฟัง ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตามปกติ ไม่บังคับว่าจะต้องอยู่จุดนั้นจุดนี้ กำหนดให้ได้ปัจจุบันที่รูปนาม นี่ก็อย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งก็คือลักษณะที่เจริญสมถะบ้าง วิปัสสนาบ้าง ปนๆ กันไป ก็จะพูด 2 ลักษณะนี้ คือลักษณะของการเจริญสมถะให้ได้ฌาณเราคงทำไม่ได้ คือเราไม่มีเวลาพอ เพราะว่า การจะทำสมาธิให้ได้ระดับฌาณมันไม่ใช่ทำได้ง่าย ต้องอยู่ในที่วิเวกสงบจริงๆ ต้องใช้เวลา ฉะนั้นคิดว่าเราไม่สามารถจะทำอย่างนั้นได้ ก็มี 2 หลักการ คือ เจริญวิปัสสนาโดยตรงอย่างหนึ่ง กับเจริญสมถะและวิปัสสนาปนๆ กัน แต่ว่าสมถะนี่เราก็เจริญพอควร ไม่ถึงกับว่าจะแนบแน่นอารมณ์ดิ่งไปสู่อปปนาสมาธิ ไปเลยทีเดียว

เจริญวิปัสสนาโดยตรงล้วนๆ ก็ทำความเป็นปกติ อย่างในขณะที่นั่งอยู่ขณะนี้ เราจะนั่ง จะยืน จะเดิน จะนอนอย่างไร ก็กำหนดตามความรู้สึกรู้อย่างขณะนั่งอยู่ขณะนี้ เราก็ให้สังเกตเข้ามาที่ความรู้สึกที่กาย

อันดับแรกก็นึกมาถึงท่าทางของกายที่นั่งอยู่ เรานั่งอยู่ในลักษณะไหน ขาอยู่ยังไง แขนยังไง ลำตัวยังไง ศีรษะยังไง ท่าทางของกายที่เรียกว่านั่ง มันมีลักษณะท่าทางยังไง เรานั่งแบบพับเพียบ หรือนั่งขัดสมาธิ หรือนั่งห้อยเท้า ให้เอาจิตนี่มารับรู้ คือเจริญสติ ให้จิตนี้รับรู้ในกายของตนเอง แทนที่จะให้จิตคิดไปในเรื่องอื่นต่างๆ ไม่เอา เอามาดูที่จิตของตัวเอง และดูที่กาย ท่าทางของกาย

ระยะที่ 2 ก็ดูให้ลึกลงไปกว่านั้น ก็คือดูไปถึงความรู้สึก ถ้าเราดูรูปร่างเฉยๆ มันไม่เห็นความเกิดดับ เราก็ดูไปถึงส่วนย่อยของมัน มันก็จะมีความรู้สึก รู้สึกที่กายจะรู้สึกอะไรบ้าง ร้อนบ้าง อ่อนบ้าง แข็งบ้าง หย่อนบ้าง ตึงบ้าง ใช่มั้ย เราสังเกตดู มีมั้ย ในขณะนี้ เรานั่งอยู่มีมั้ยความเย็น เราอยู่ใกล้พัดลมก็รู้สึกเย็น ถ้าเย็นที่แขนก็กำหนดรู้ที่แขน เย็นที่ใบหน้าก็กำหนดรู้ที่ใบหน้า แขนซ้าย แขนขวา ที่ใบหน้า มันก็ไม่พร้อมกัน แล้วมันก็จะดับ เย็นแล้วดับไป เย็นแล้วดับไป หรือรู้สึกร้อน เรานั่งอยู่นี่ มันรู้สึกร้อน ร้อนผิวกาย ร้อนในท้อง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ความแค่นแข็งมีมั้ย เราสังเกตดู กระทบกัน กระทบพื้น หรือมือกระทบรู้สึกแข็ง แล้วไปกระทบผ้ารู้สึกอ่อน แข็ง อ่อน ความเคร่งตึง มีมั้ยความตึง ระบบหายใจเข้า หายใจออก มีมั้ยความตึง อย่างเราหายใจเข้าไป เรารู้สึกว่าหน้าอก หน้าท้องนี่มันตึง สังเกตดู คือต้องดูจริงๆ

รู้สึกมั้ยหายใจเข้าไป ตึงหน้าอก ตึงหน้าท้อง คือลักษณะของลม หายใจออก ความตึงลดระดับมั้ย เราเรียกว่าความหย่อน นี่คือ ปรมัตถธรรม สังเกตความตึง ความหย่อน เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง มีในร่างกาย ตึงที่แขน ที่ขา ที่ลำตัว ที่ใบหน้า คาง มีอยู่ทั่วไป เรากำหนด กำหนดเป็นจุดๆ ไป มันจะรู้สึกไม่พร้อมกัน ในการกำหนดให้ทำสติเป็นปกติ คือทำจิตให้เหมือนเราอยู่เฉยๆ ทำจิตไว้นิ่งๆ เฉยๆ เหมือนกับปล่อยวาง ทำจิตปล่อยวางเรื่องราวต่างๆ แล้วให้จิตมันทรงตัวอยู่กับความนิ่งๆ เฉยๆ เสร็จแล้วจะทำให้เราสังเกตอะไรได้ออก สังเกต ความรู้สึกเย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ได้ออกโดยที่เราไม่ต้องบังคับว่า จะต้องตั้งสติไว้ที่จุดนั้นจุดนี้ เราดูรู้ต่ออารมณ์ใดมันเกิดขึ้น เราก็รู้อารมณ์นั้น อะไรมันเกิดขึ้น หมดไปแล้วก็หมดไป เราก็ดูอารมณ์ใหม่ มันก็มีอยู่ทั่วไป ทางกายนี้กำหนดง่ายจึงขอ เสนอไว้ว่า ให้เริ่มต้นจากการพิจารณาสังเกตทางกายไว้

ความรู้สึก ความตึง ความหย่อน ความเคลื่อนไหว นอกจากอิริยาบถนั่ง ก็มีอิริยาบถยืน เวลายืนเราก็กำหนดรู้ทั่วทั้งตัวในลักษณะท่าทางของกายที่ยืนอยู่ ยืน การที่ยืนก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง แล้วตัวที่ไปรู้ท่ายืน ที่ไปรู้อาการยืนก็อย่างหนึ่ง ยืนจึงเป็นอาการของรูป ตัวที่ไปรู้อาการยืนเป็นนาม กำหนดพิจารณาเห็นกายอย่างหนึ่ง จิตที่รู้ว่ากายยืนอย่างหนึ่ง เวลาเดินก็กำหนดรู้อาการเคลื่อนไหวของขาที่ก้าวไป ยก ย่าง เหยียบ เคลื่อนไหว มีความสัมผัสเย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ก็มีอยู่ แม้เวลานอนเราก็ให้สังเกตความรู้สึก เรานอนในท่าทางแบบไหน แขนขาอยู่อย่างไร แล้วก็ให้รับรู้ทั่วร่างกาย รู้ให้ลึกลงไปถึงความรู้สึก เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง นี่ส่วนของร่างกาย ทีนี้ส่วนของจิตใจ เราก็ต้องกำหนดถึงจิตใจ คือความรู้สึกนึกคิด คำว่า ดู ในที่นี้ก็คือ สติระลึกรู้ ปัญญาก็คือสัมปชัญญะ คือพิจารณาสังเกต สังเกตความคิดนึก

โดยที่ไม่ต้องบังคับมันจะคิดนึกถึงเรื่องอะไรก็รู้มาที่ความคิดนึก เราปล่อยวางจากเรื่องราวต่างๆ ดูที่ความคิดนึก แล้วก็ดูไปอีกชั้นหนึ่งคือ ความรู้สึกในอาการในจิตใจ ขณะนี้ใจมันสงบ ไม่สงบ มันฟุ้งซ่าน รำคาญใจ หงุดหงิด ใจเรารู้สึกขุ่นมัวหรือใจเราผ่องใส ก็ดูอาการในจิตใจของเราไป มันเกิดเวทนา สบายกาย ไม่สบายกาย ดีใจ เสียใจ กำหนดรู้คือไม่เจาะจงว่าจะต้องบังคับที่ใดที่หนึ่ง ถ้าใครทำได้ อย่างนี้ก็เป็นการเจริญวิปัสสนาไปโดยตรงเลย ใช้สมาธิแค่ขณิกสมาธิ ถ้าเราเข้าใจก็ทำไปได้เลย ถ้าหากว่าใครที่ฟังอย่างนี้แล้วก็ทำไม่ได้ ฟังแล้วมันก็ยาก เรื่องปรมัตถธรรมกำหนดได้ยาก อะไรต่างๆกำหนดไม่ถูก ก็จะต้องเป็นลักษณะที่ทำ โดยเฉพาะลงมาอีก ก็คือเน้นไปที่จุดใดจุดหนึ่งในสติปัฏฐานทั้ง 4 อาจจะเน้นไปที่กาย หรือเวทนา หรือจิต บางคนถนัดกำหนดกาย ก็ดูที่กายเป็นหลัก บางคนถนัดดูจิต ก็ดูจิตเป็นหลัก

อย่างเช่นกายก็แยกออกเป็นหลายอย่าง ลมหายใจ หรืออิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน เราถนัดกับลมหายใจ เราก็ดูลมหายใจเป็นหลัก รู้หายใจเข้า รู้หายใจออก รู้ยาว สั้น หยาบ ละเอียด ปล่อยลมหายใจตามปกติ สบาย ถ้าเราปฏิบัติแบบเจริญทั่วไป กำหนดให้เป็นปกติไม่ได้ ก็ต้องทำสมาธิบ้างพอสมควร คือเน้นไปที่ลมหายใจ ดุลมหายใจเข้า หายใจออก พอจิตสงบพอควร ก็ไม่ต้องบังคับ อยู่แค่ลมหายใจ ก็ดูอย่างอื่นต่อไป คือเราจะทำไปถึงขั้นลึกลงไปจริงๆ ให้ได้ฌาณก็ทำได้ยาก ฉะนั้นก็เสนอแนะว่าทำมาในรูปของวิปัสสนาเลย หรือจะทำสมาธิบ้างสลับกับวิปัสสนา เช่น ดูลมหายใจ เน้นที่ลมหายใจเข้า หายใจออกเป็นหลัก แล้วค่อยๆสังเกตความรู้สึกต่างๆ ทางกายและทางจิตไปก็ได้ หรือเราจะดูไปที่ท่าทางของร่างกาย ยืน เดิน นั่ง นอน เช่นนั่ง เราก็ดูท่าทางของกายที่นั่ง เรานั่งในท่าทางอย่างไรก็เพ่งดูในท่าทางของกายที่นั่งเป็นหลักอย่างนี้ไปก็ได้ แล้วค่อยไปสู่ความรู้สึก เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ความรู้สึกนึกคิด ก็ไม่ทราบว่าจะมีคำถามอะไรบ้างมั้ย

คำถาม การพิจารณาสัมผัสทางกายทำไมมีแต่ลักษณะของธาตุดิน ลม และไฟ แล้วธาตุน้ำจะพิจารณาอย่างไร

คำตอบ น้ำเป็นสุขุมรูป เป็นรูปที่ละเอียด ลักษณะของน้ำคืออะไร ลักษณะที่ไหลหรือเกาะกุม เราเอามือไปจุ่มในภาชนะที่มีน้ำ ภาชนะที่มีน้ำเอามือไปจุ่ม เราจะรู้สึกอย่างไร ถ้ารู้สึกเย็น ร้อน นั่นก็ไม่ใช่ลักษณะของน้ำ เย็นร้อนเป็นลักษณะของไฟ เราเอามือไปกระแทกๆ รู้สึกมันอ่อน มันแข็ง มันก็เป็นธาตุดินในน้ำ ในนั้นก็มีดินอยู่ แต่ดินก็มีน้อยกว่าน้ำ คือกายไม่สามารถไปสัมผัสความไหลและเกาะกุมได้ ถึงแม้เราจะอาบน้ำ รู้สึกว่าน้ำมันไหลไป ก็ไม่ใช่ว่าไปสัมผัสความไหล มันลักษณะความเย็น เย็นๆ ๆ จากแขนลงไปขา มันรู้สึกเย็น แล้วจิตเราคิด อ้อนี่มันไหลไป

ตัวที่รู้ว่าไหลนี่เป็น จิตทางใจ ไม่ใช่สัมผัส สัมผัสเย็นๆ ๆ ๆ แต่ใจมันคิดว่า อ้อ มันไหลไป ฉะนั้นการที่รู้ลักษณะของน้ำที่ไหลและเกาะกุม รู้ด้วยทางใจ เป็นรูปละเอียด เป็นสุขุมรูป ไหล ก็รู้ได้ทางใจ อย่างวัตถุที่มีอยู่ ในนี้ก็มีน้ำอยู่ มันทำให้วัตถุในนี้เกาะกุมอยู่ได้ เทียนที่มันแข็ง มันก็มีน้ำอยู่ มันทำให้วัตถุในนี้เกาะกุมอยู่ได้ เทียนที่มันแข็ง มันก็มีน้ำอยู่ พอเราจุดมันก็เหลวไหลไป ในทางที่เราเห็น เราเห็นสีต่างๆ จิตเรานึกว่าเทียนนี่มันไหลลงไป เวลาเทียนมันแห้ง มันเย็น มันก็เกาะกุม เราก็รู้ความเกาะกุมของมัน แต่มันไม่ใช่เห็น มันเห็นสีต่างๆ แต่จิตเรารู้ว่า มันเกาะกุมขึ้นมา ฉะนั้นลักษณะของน้ำรู้ได้เฉพาะทางใจเท่านั้น


คำถาม เวลามีลมมากระทบรู้สึกเย็น ความรู้สึกเย็นเป็นรูปหรือเป็นนาม

คำตอบ ความรู้สึกเย็นนั้นเป็นนาม ส่วนเย็นนั้นเป็นรูป เข้าใจมั้ย คือรู้สึกสบายกายเช่นเย็น พัดมาเย็นสบายมันเป็นความรู้สึกที่กาย แต่ไม่ใช่ตัวกายและไม่ใช่ตัวเย็น แต่เป็นตัวจิตซึ่งจัดเป็นนาม แต่เป็นจิตที่เกิดที่กาย ไม่ใช่จิตที่หัวใจ จิตที่หัวใจมันจะไปรู้ความหมายของความสบายว่านี่เป็นลม เป็นพัดลม เป็นอะไร นั่นเป็นจิตทางใจ แต่รู้สึกเพียงแต่สบายเฉยๆ อย่างนี้จะเป็นจิตที่เกิดที่กาย เกิดที่กายก็จริงแต่เป็นจิต ไม่ใช่รูป รูปก็เป็นเพียงแต่ลักษณะเย็น ร้อน เย็นที่มากระทบเป็นรูป แต่รู้สึกสบายเป็นเวทนา นี่ก็เป็นนามธรรมซึ่งเกิดร่วมกับจิต ถ้าไม่มีคำถามอะไร คิดว่า การพูดตรงนี้มันก็ไม่ละเอียดนัก ซึ่งการฟังคิดว่าเรายังมีเวลาฟังวันอื่นต่อๆ ไปอีก ก็จะพูดซ้ำๆ บ้าง เกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติโดยตรง


วิธีการเดินจงกรม

ทีนี้ก็อยากจะสาธิตการเดินจงกรมให้ดู การเดินจงกรม ถ้าไม่เห็นอะไรเลย เดี๋ยวก็ไปเดิน ไม่รู้จะเดินอย่างไรถูก ขอนิมนต์พระอาจารย์ลา มาสาธิต ขึ้นบนอาสน์สงฆ์ก็ได้ ลองมองไปที่บนอาสน์สงฆ์ คือเดินก็ใช้สถานที่ตรงไหนก็ได้ที่มันเรียบเตียน ใต้ต้นไม้ อะไรก็ได้ หาที่เหมาะๆ ขั้นแรกเราก็ยืนก่อน ยืนกำหนดรู้สึกตัวทำความรู้สึกทั่วร่างกาย กายที่ยืนนี่เรากำหนดรู้ จะเห็นว่ากายก็เป็นอย่างหนึ่ง จิตก็อย่างหนึ่ง ลองยืนด้วย ทุกท่านลองยืนด้วย กำหนดรู้ความยืนที่กายทำสติตั้งแต่ศีรษะตลอดถึงปลายเท้า เวลาเดิน ก็เดินไปตามปกติ นิมนต์เดิน แต่ว่าอาจจะช้าเล็กน้อย เพื่อสติจะได้ทันขึ้น เดินไปตามปกตินั่นแหละ ก้าวไปตามปกติไม่ต้องต่อส้น เวลาเดินเราก็จับความรู้สึก อาการเคลื่อนไหวตั้งแต่ยกเท้า ก้าวเท้า เหยียบเท้าลง มันจะมีความตึง ความไหว พอฝ่าเท้ากระทบพื้นมันก็มีความสัมผัสความแข็ง มันจะมีความตึงที่กาย มีความตึง ความหย่อน ความเคลื่อนไหว

เราสังเกตที่ความรู้สึกที่การเคลื่อนไหวของขา ใหม่ๆ ก็ขอเสนอว่าให้รู้ที่ขาหรือที่เท้าก่อน แต่ถ้าเราปฏิบัติจนชำนาญแล้วก็รู้ทั่วไปทางอายตนะอื่น คือ ทางจิต ทางตา หู จมูก ลิ้น ได้ แต่ใหม่ๆ ก็ขอเสนอว่าให้รู้เฉพาะที่กายก่อน ดูที่ขา ที่เท้า คือไม่ใช่ดูรูปร่าง รูปร่างของท่อนขานี่ก็เป็นบัญญัติ แต่ตัวลักษณะตึง หย่อน เย็น ร้อน อ่อน แข็ง นี่เป็นปรมัตถ์ ในกระแสจิตเราจะมีมโนภาพเป็นรูปร่าง แต่ว่าใหม่ๆ ก็อาจจะสัมผัสกับ รูปร่างไปก่อน อย่างรูปร่างท่อนขาก้าวไปๆ แต่ต้องพยายามกำหนดให้ลึกกว่านั้น ก็ต้องไปสังเกตความรู้สึกที่มันตึง มันหย่อน มันไหว มันแข็ง สังเกตดู เดินไปตามปกติ เมื่อไปสุดที่แล้วก็กำหนดยืนให้รู้อิริยาบถ ฝึกการยืน กำหนดไว้ เวลากลับก็หมุนเท้ากลั บทางขวา โดยเผยอปลายเท้าขึ้น แล้วก็หมุนส้น แล้วก็ยกเท้าซ้ายตาม พอยกเท้าซ้ายแล้วก็กำหนดที่เท้าซ้าย สัก 3 ครั้งมันก็จะหันมา พอดีข้างหน้า แล้วเราก็กำหนดยืนรู้ตัวอีก

ทำความรู้สึกตั้งแต่ศีรษะตลอดถึงปลายเท้า ยืน ยืนก็อย่างหนึ่ง รู้ว่ายืนก็อย่างหนึ่ง แล้วเราก็เดินกลับมา เดิน ทำความรู้สึกตัว ทำร่างกายให้สบายๆ เพื่อความสำรวมนิดหนึ่งไม่ให้มีหลายอารมณ์เราก็เก็บมือไว้ข้างหน้า มือซ้ายเกาะไว้ที่หน้าท้อง มือขวาเกาะไว้ที่แขนที่มือซ้าย แล้วก็วางมือสบายๆ ร่างกายไม่ต้องเกร็งตัว เดินแบบสบายๆ แต่ว่าไม่ปล่อยจิตให้ล่องลอยไปเรื่องอื่น ให้จิตมารับรู้ที่ตัวเอง ที่ร่างกาย ระยะแรกก็ทำความรู้สึกไว้ที่ขา ที่เท้าก้าวไปก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ไม่เหมือนกัน การที่เคลื่อนไหวไปเป็นรูป ตัวที่ไปรู้เคลื่อนไหวเป็นนาม เราก็อาจจะปูอาสนะไว้ที่ใดที่หนึ่ง โคนต้นไม้ หรือบนแคร่ เราเดินจงกรมสักพัก พอมันเมื่อย เราก็เดินไปหาที่นั่ง มันจะได้สมาธิดีขึ้น เมื่อไปถึงที่นั่งเราก็ยืนกำหนด รู้สึกตัว แล้วก็ย่อตัวลง ในขณะที่เราย่อตัวลงนั่งเราก็เจริญสติไปด้วย รู้กายที่มันเปลี่ยนแปลง

จากลักษณะที่ยืนตรง เป็นลักษณะที่ย่อตัวมันก็มีความเคลื่อนไหว ความตึง ความหย่อน ความเคลื่อนไหวที่ร่างกาย เราก็ทำสติรู้ไปเรื่อยๆ รู้ไปรู้ความรู้สึกที่กายตัวเองไป ขณะที่ย่อตัวแล้วเราขยับ เราก็มีขยับขา ขยับมือ เข้าที่แล้วนั่ง นั่งขัดสมาธิ คือเท้าขวาซ้อนเท้าซ้าย มือขวาซ้อนมือซ้าย หงายมือไว้ ที่หน้าตัก ตั้งกายตรงๆ แต่ไม่ต้องเกร็งตัว เมื่อเรานั่งลงไปแล้วเราก็ผ่อนคลาย กล้ามเนื้อให้มันสบายๆ ไม่ต้องเกร็งตัวอะไร แต่ถ้าหากเรานั่งขัดสมาธิ ไม่ถนัดก็นั่งพับ เพียบก็ได้ หรือว่าบางครั้งที่เราปฏิบัติทั้งวัน เราอาจจะนั่งห้อยเท้าบ้างก็ได้ นั่งห้อยเท้า เราก็ทำสติรู้ในท่าทางนั้น คือได้ทุกอิริยาบถ แต่ว่าการนั่งขัดสมาธิเราควรฝึกไว้บ้าง เพื่อทำให้มีความมั่นคงขึ้น และทำให้มันไม่ปวดเมื่อยง่าย ถ้าเราฝึกจนชำนาญแล้ว ร่างกายเลือดลมมันก็เดินได้ดีขึ้น ขณะที่นั่งไปเราก็ทำความรู้สึกรู้ตัว ดูท่าทางของกาย ที่นั่งอยู่ กายที่นั่งเป็นรูป จิตที่รู้เป็นนาม สังเกตสภาวกายก็อย่างหนึ่ง ตัวรู้ก็อย่างหนึ่ง

ลองทุกท่านลองเดินดู ลองไปหลังเก้าอี้ ลองเดินดู เราก็หาที่ของเรา คือเดินนี่เวลาไปปฏิบัติจริงๆ เราก็แยกๆ กันเดิน เราไม่ใช่ไปเดินตามกัน แต่ว่าในที่ นี้เราก็หาที่กำหนดยืนก่อน เดิน ยืน เราจะเก็บมือไว้ด้านหน้า แต่ว่าบางครั้งเมื่อย อาจจะไขว้หลังบ้างก็ได้ จะไขว้หลังอาจจะกอดอกอะไรก็ได้ หรืออาจจะปล่อยมือสบายๆ บ้างก็ได้ ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องมีรูปแบบอย่างนี้เสมอไป เรากำหนดยืนทำความรู้สึกตัว ตั้งแต่ศีรษะตลอดถึงปลายเท้า ลักษณะการที่ยืนนี้เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง เป็นรูป ตัวจิตที่เข้าไปรู้เป็นนาม แล้วก็เดิน เริ่มยกเท้าก้าวไป ทำความรู้สึกสังเกต ความตึง ความหย่อน ความเคลื่อนไหว เดิน สังเกตดู มันจะมีความไหว มีความตึง ฝ่าเท้ากระทบพื้น มันก็รู้สึกแข็ง ดังที่กล่าวแล้ว มันจะมีการสัมผัสความแค่นแข็ง ความตึง ความหย่อน ความเคลื่อนไหว ความเย็น ความร้อน ฝ่าเท้าไปกระทบพื้น บางที่รู้สึกเย็น อย่างหินอ่อนรู้สึกเย็น ถ้าเราไปเดินในพื้นดินอาจจะรู้สึกว่า มันแข็ง มันเจ็บ ก็กำหนดรู้

การทอดสายตา ทอดสายตาไปสักประมาณวาหนึ่ง อย่าก้มมาก ถ้าเราก้มมากมันจะปวดคอ สักวาหนึ่ง แล้วก็ไม่ต้องหลับตา เดินอย่าหลับตา แต่ว่าเราทอดสายตา ลงต่ำ ก็ใช้ระยะทางที่เราเดินสักประมาณ 25 ก้าว จะมากหรือน้อยกว่านั้นก็ไม่เป็นไร เราดูหาสถานที่เรียบๆ แล้วก็สำรวม ไม่มองเหลียวว่อกแว่ก สำรวม ถ้ารู้สึกว่าจิตใจมัน คอยจะคิดแต่เรื่องอื่น เราก็เพียรพยายามให้มันกลับมารับรู้ให้กายที่เคลื่อนไหวขาที่ก้าว ไปกับจิตที่รับรู้มันไปด้วยกัน คือขาที่ก้าวไปต้องมีความรู้สึกตัวไปด้วย ก้าวไปให้รู้สึกตัว ดูความตึง ความหย่อน ความเคลื่อนไหว เมื่อไปสุดที่ เราก็กำหนดยืน สมมุติว่าสุดที่แล้ว เราก็กำหนดยืน ยืนตรง กำหนดรู้ความรู้สึกที่ร่างกาย ยืนกำหนด รู้ทั่วทั้งตัว กายที่ยืนก็อย่างหนึ่ง จิตที่รู้ก็อย่างหนึ่ง แล้วก็กลับ โดยเผยอเท้าขวา ปลายเท้าขวา หมุนส้น กำหนดรู้ที่เท้าขวา แล้วก็ยกเท้าซ้ายตาม ก็ทำความรู้สึกที่เท้าซ้าย หมุนเท้าขวาก็รู้สึกที่เท้าขวา ยกเท้าซ้ายตามก็รู้สึกที่เท้าซ้าย สัก 3 ครั้ง มันก็จะกลับมาหันหน้าตรง พอหันหน้าตรง เราก็กำหนดยืน กำหนดรู้สึกตัวในท่าที่ยืน กายที่รู้สึกที่ยืนก็อย่างหนึ่ง จิตที่รู้ก็อย่างหนึ่ง เสร็จแล้วเราก็เดินต่อ

เอาล่ะก็พอสมควร สาธิตไว้แค่นี้ก่อน เพราะว่าเวลาปฏิบัติจริงๆ เราก็จะไปแยกย้ายกันปฏิบัติ ก็ขอเชิญกลับมานั่งที่อาสนะที่แจกไปก็ใช้ปูนั่งได้ เราจะไปนั่งในที่ต่างๆ ก็ได้ โดยใช้ผ้าตรงผ้าร่มไว้ข้างล่าง ผ้าร่มกันชื้นได้เอาไว้ข้างล่าง เวลาเรามีจำกัด ต่อไปจะได้ทำพิธีเลย ช่วงนี้ก็ขอจบไว้แค่นี้ ขอความสุข ความเจริญในธรรม จงมีแก่ทุกท่านเทอญ

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2008, 12:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขออนุโมทนาสาธุด้วยค่ะคุณน้องคามิน :b8: :b1: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2008, 14:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ส.ค. 2008, 21:29
โพสต์: 45


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
:b44: :b20: :b8:
อนุโมทนาสธุกัฟ//เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นครับ

.....................................................
ว่างเปล่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2008, 16:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ธ.ค. 2008, 13:10
โพสต์: 43


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ได้ความเข้าใจในการปฏิบัติมากขึ้นเลยครับ จะได้ปฏิบัติได้ถูกทาง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2012, 14:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b20: :b20: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร