วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 09:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มี.ค. 2012, 15:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับพี่ๆทุกท่าน :b8:
>>วันนี้ผมขออนุญาติเอาประสบการณ์มาแบ่งบันสักหน่อยครับ....เมื่อปลายปีที่แล้วผมได้มีโอกาสอ่านเจอปริศนาธรรมข้อหนึ่งที่หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ได้แสดงไว้ว่า "คิดเท่าไหร่ๆก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละถึงรู้" จำได้ว่าตอนนั้นได้กำหนดจิตพิจารณาธรรมข้อนี้อยู่นานพอสมควร แต่ก็ยังไม่สามารถได้คำตอบที่ทำให้หมดสงสัยได้ ได้แต่คำตอบแบบเดาๆว่า...บางครั้งบางคราวพยายามคิดอะไรมากเกินไปก็หาคำตอบไม่ได้ แต่บางทีที่ไม่ได้สนใจจะคิดถึงมันมันกลับได้คำตอบดีๆ...ก็ประมาณนี้แหละครับ แต่ลึกๆผมรู้สึกว่ามันยังไม่ถูกต้อง
>>หลังจากนั้นมาผมก็ยังขบปริศนาธรรมข้อนี้อยู่เนืองๆ จนวันหนึ่งช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ตอนที่ว่างๆไม่ได้ทำงานอะไร ผมจะบริกรรมพุทโธเป็นประจำ แล้วจู่ๆก็มีความรู้หนึ่งปรากฏขึ้นมาในใจ เหมือนจิตมันแสดงธรรมออกมาให้ตัวมันเอง เป็นธรรมที่ไม่มีคำพูดอะไรแต่จิตตอนนั้นกลับรู้คำตอบของปริศนาธรรมที่หลวงปู่ดูลย์ได้กล่าวไว้ แล้วอุทานออกมาเองว่า "คิดเท่าไหร่ๆก็ไม่รู้..อ๋อ มันเป็นอย่างนี้เอง ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้..อ๋อ มันเป็นอย่างนี้เอง แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละถึงรู้..อ๋อ มันเป็นอย่างนี้เอง" แล้วก็หายสงสัยอีกเลย และคำตอบที่ได้มันก็ต่างจากที่เดาเอาไว้ทีแรกมากๆเลยทีเดียว
**จุดสำคัญของปริศนาธรรมของหลวงปู่อันนี้อยู่ที่คำว่า "ไม่รู้กับรู้" นี่แหละครับ "ไม่รู้กับรู้" ที่หลวงปู่กล่าวไม่ใช่สมมติบัญญัติ...หากแต่เป็นสภาวะธรรมของจิต
หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ
ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มี.ค. 2012, 19:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ธ.ค. 2010, 11:11
โพสต์: 94


 ข้อมูลส่วนตัว


จะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจด้วยได้ไหมละครับว่า เป็นยังไง :b11:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2012, 04:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่ๆทุกท่าน :b8:
>>วันนี้ผมขออนุญาติเอาประสบการณ์มาแบ่งบันสักหน่อยครับ....เมื่อปลายปีที่แล้วผมได้มีโอกาสอ่านเจอปริศนาธรรมข้อหนึ่งที่หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ได้แสดงไว้ว่า "คิดเท่าไหร่ๆก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละถึงรู้" จำได้ว่าตอนนั้นได้กำหนดจิตพิจารณาธรรมข้อนี้อยู่นานพอสมควร แต่ก็ยังไม่สามารถได้คำตอบที่ทำให้หมดสงสัยได้ ได้แต่คำตอบแบบเดาๆว่า...บางครั้งบางคราวพยายามคิดอะไรมากเกินไปก็หาคำตอบไม่ได้ แต่บางทีที่ไม่ได้สนใจจะคิดถึงมันมันกลับได้คำตอบดีๆ...ก็ประมาณนี้แหละครับ แต่ลึกๆผมรู้สึกว่ามันยังไม่ถูกต้อง
>>หลังจากนั้นมาผมก็ยังขบปริศนาธรรมข้อนี้อยู่เนืองๆ จนวันหนึ่งช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ตอนที่ว่างๆไม่ได้ทำงานอะไร ผมจะบริกรรมพุทโธเป็นประจำ แล้วจู่ๆก็มีความรู้หนึ่งปรากฏขึ้นมาในใจ เหมือนจิตมันแสดงธรรมออกมาให้ตัวมันเอง เป็นธรรมที่ไม่มีคำพูดอะไรแต่จิตตอนนั้นกลับรู้คำตอบของปริศนาธรรมที่หลวงปู่ดูลย์ได้กล่าวไว้ แล้วอุทานออกมาเองว่า "คิดเท่าไหร่ๆก็ไม่รู้..อ๋อ มันเป็นอย่างนี้เอง ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้..อ๋อ มันเป็นอย่างนี้เอง แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละถึงรู้..อ๋อ มันเป็นอย่างนี้เอง" แล้วก็หายสงสัยอีกเลย และคำตอบที่ได้มันก็ต่างจากที่เดาเอาไว้ทีแรกมากๆเลยทีเดียว
**จุดสำคัญของปริศนาธรรมของหลวงปู่อันนี้อยู่ที่คำว่า "ไม่รู้กับรู้" นี่แหละครับ "ไม่รู้กับรู้" ที่หลวงปู่กล่าวไม่ใช่สมมติบัญญัติ...หากแต่เป็นสภาวะธรรมของจิต
หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ
ขอบคุณครับ :b8:

ไม่สงสัยเลยที่ตอบมาแบบนี้ รู้แล้วตั้งแต่เริ่มอ่านกระทู้ มันไม่ได้เรื่อง
ไม่ได้สาระเลยแม้แต่น้อย พุดโถ๋! ตอบมาได้ว่า ..เป็นสภาวะธรรมของจิต
แบบนี้คุณเรียกว่าคำตอบหรือครับ ผมถามคุณหน่อย คุณเอาธรรมมาละเลงเล่น
แบบนี้สนุกมั้ยครับ อันไหนไม่รู้ก็อย่าพยายามโชว์ภูมิเลยครับ

คุณลูกพระป่าครับ แนะนำครับอยากเป็นนักประพันธ์ ก็ไม่ควรเอาธรรมะมาเป็น
ที่ทดสอบนะครับ
ลูกพระป่า เขียน:
**จุดสำคัญของปริศนาธรรมของหลวงปู่อันนี้อยู่ที่คำว่า "ไม่รู้กับรู้" นี่แหละครับ "ไม่รู้กับรู้" ที่หลวงปู่กล่าวไม่ใช่สมมติบัญญัติ...หากแต่เป็นสภาวะธรรมของจิต
หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ
ขอบคุณครับ :b8:

คุณคิดว่าเขาจะได้ประโยชน์จากกระทู้ของคุณหรือครับ
จะบอกให้นะครับ คำพูดของหลวงปู่ชาวบ้านเขาได้ยินได้ฟังมาแล้วทั้งนั้น
แล้วคำว่าสภาวะธรรมของจิตอะไรของคุณนั้นน่ะ มันเป็นประเภท
ตอบอะไรมาไม่ตรงประเด็น นั้นก็คือคำตอบที่ตอบมามันไม่ใช่คำตอบ
มันกลับทำให้เป็นปัญหาขึ้นมาใหม่ ความหมายก็คือ เขาสงสัยเรื่องคำพูดของหลวงปู่แล้ว
ยังจะต้องมาสงสัยกับคำตอบของคุณอีกว่า ...สภาวะธรรมของจิตคืออะไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2012, 10:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


ให้ทาง เขียน:
จะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจด้วยได้ไหมละครับว่า เป็นยังไง :b11:

**สวัสดีครับพี่ให้ทาง :b8:
ขออภัยที่ไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด เพราะเห็นว่าถ้าพูดออกไปมากกว่านี้ อาจจะไปทำให้คุณค่าแห่งปริศนาธรรมของหลวงปู่ดูลย์และสิ่งที่ควรรู้ในปริศนาธรรมอันนี้ที่ควรจะเป็นธรรมปัจจัตตัง ไม่ใช่ธรรมสัญญา...ขอให้ลองพิจารณาลงไปที่ตัวรู้กับตัวไม่รู้ที่เป็นสภาวะธรรม แล้วคำตอบจะออกมาเองครับ...
**สวัสดีครับพี่โฮฮับ :b8:
ถ้าพี่คิดว่าสิ่งที่พี่กำลังทำอยู่นี้มันดีแล้ว ก็ตามใจพี่เถอะครับ ผมไม่หวังจะไปเปลี่ยนแปลงความเห็นที่พี่ยึดถืออยู่อีกต่อไปแล้ว...เพราะครั้งล่าสุดที่ได้เสวนาธรรมกับพี่นั้น ใจผมมันอุทานออกมาว่า"เบื่อ" และตามด้วยการเทศตัวเองว่า "การรบกับกิเลสของผู้อื่นนั้นไม่มีทางชนะได้ ไม่เหมือนรบกับกิเลสในใจตนยังพอมีทางให้ชนะได้"
ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2012, 10:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
"คิดเท่าไหร่ๆก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละถึงรู้"


คิดตัวแรก....มันมีความปรุงแต่ง...เป็นตรรก...เป็นความรู้จำ....จะคิดเท่าไร..มันก็หนีตัวมันเองไม่ได้

ให้มาทำความสงบของใจ..คือหยุดความคิด...หยุดปรุงแต่ง..ทำใจให้พ้นจากขันธ์มาร

เมื่อปลอดจากมารแล้ว...ความคิดจะแจ่มใส่...ความคิดจะสอนใจตามความเป็นจริง...ไม่มีการโน้มน้าวจากเหตุผลของความจดจำ...ใจจะซึ่งตามความเป็นจริงนั้น..เรียกว่า..รู้

กระผมก็เคยไปเห็นมา...เขียนใว้ที่ข้างประตูฝั่งซ้ายทางเข้าพิพิธภัณฑ์หลวงปู่ฯ..ที่วัดบูรพา

อ่านแล้วก็เข้าใจอย่างนี้...ผิดก็ผิดที่กระผมเอง...
:b8: :b8: :b8:

ใครที่คิดว่าหลวงปู่ฯสอนแต่ดูจิตแบบ..เหย ๆ ..ไปวัน ๆ ...นั้นผิดถนัด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2012, 12:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
แล้วจู่ๆก็มีความรู้หนึ่งปรากฏขึ้นมาในใจ เหมือนจิตมันแสดงธรรมออกมาให้ตัวมันเอง เป็นธรรมที่ไม่มีคำพูดอะไรแต่จิตตอนนั้นกลับรู้คำตอบของปริศนาธรรมที่หลวงปู่ดูลย์ได้กล่าวไว้ แล้วอุทานออกมาเองว่า "คิดเท่าไหร่ๆก็ไม่รู้..อ๋อ มันเป็นอย่างนี้เอง ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้..อ๋อ มันเป็นอย่างนี้เอง แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละถึงรู้..อ๋อ มันเป็นอย่างนี้เอง" แล้วก็หายสงสัยอีกเลย และคำตอบที่ได้มันก็ต่างจากที่เดาเอาไว้ทีแรกมากๆเลยทีเดียว
**จุดสำคัญของปริศนาธรรมของหลวงปู่อันนี้อยู่ที่คำว่า "ไม่รู้กับรู้" นี่แหละครับ "ไม่รู้กับรู้" ที่หลวงปู่กล่าวไม่ใช่สมมติบัญญัติ...หากแต่เป็นสภาวะธรรมของจิต
หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ
ขอบคุณครับ :b8:


มี "อ๋อ.."

ไม่เพลินกะ "อ๋อ.."

ต่อจาก "อ๋อ.." ล่ะ

มี "อ๋อ..อ่อ..อ้อ.." อีกมั๊ย

คิดว่าจะมี "อ๋อ..อ่อ..อ้อ.." หลัง "อ๋อ" อีกมั๊ย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2012, 12:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
**จุดสำคัญของปริศนาธรรมของหลวงปู่อันนี้อยู่ที่คำว่า "ไม่รู้กับรู้" นี่แหละครับ "ไม่รู้กับรู้" ที่หลวงปู่กล่าวไม่ใช่สมมติบัญญัติ...หากแต่เป็นสภาวะธรรมของจิต
หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ
ขอบคุณครับ :b8:


รู้อะไร กะไม่รู้อะไร
ไม่รู้อะไร กะ รู้อะไร

:b1:

อ๋อ...อ๋อ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2012, 12:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมอันว่าด้วยการตามหา "อ๋อ"
ธรรมอันว่าด้วยการค้นพบ "อ๋อ"

"จิต" กะ "อ๋อ"

โดยบัญญัติ

จิต ไม่ใช่ อ๋อ

แต่ทำไม สภาวะ "อ๋อ" จึง...บ่งบอกความนัยเกี่ยวกับ "จิต"

:b12:

อ๋อ...อ๋อ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2012, 12:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ลูกพระป่า เขียน:
แล้วจู่ๆก็มีความรู้หนึ่งปรากฏขึ้นมาในใจ เหมือนจิตมันแสดงธรรมออกมาให้ตัวมันเอง เป็นธรรมที่ไม่มีคำพูดอะไรแต่จิตตอนนั้นกลับรู้คำตอบของปริศนาธรรมที่หลวงปู่ดูลย์ได้กล่าวไว้ แล้วอุทานออกมาเองว่า "คิดเท่าไหร่ๆก็ไม่รู้..อ๋อ มันเป็นอย่างนี้เอง ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้..อ๋อ มันเป็นอย่างนี้เอง แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละถึงรู้..อ๋อ มันเป็นอย่างนี้เอง" แล้วก็หายสงสัยอีกเลย และคำตอบที่ได้มันก็ต่างจากที่เดาเอาไว้ทีแรกมากๆเลยทีเดียว
**จุดสำคัญของปริศนาธรรมของหลวงปู่อันนี้อยู่ที่คำว่า "ไม่รู้กับรู้" นี่แหละครับ "ไม่รู้กับรู้" ที่หลวงปู่กล่าวไม่ใช่สมมติบัญญัติ...หากแต่เป็นสภาวะธรรมของจิต
หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ
ขอบคุณครับ :b8:


มี "อ๋อ.."

ไม่เพลินกะ "อ๋อ.."

ต่อจาก "อ๋อ.." ล่ะ

มี "อ๋อ..อ่อ..อ้อ.." อีกมั๊ย

คิดว่าจะมี "อ๋อ..อ่อ..อ้อ.." หลัง "อ๋อ" อีกมั๊ย

สวัสดีครับพี่eragon_joe
ถ้าแค่คิดก็น่าจะมี อ๋อ..อ่อ..อ้อ ภายหลังอีกก็ได้นะ มันไม่แน่...แต่ตอนนั้นรู้แต่ว่า อ๋อ อ๋อ อ๋อ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2012, 13:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่eragon_joe
ถ้าแค่คิดก็น่าจะมี อ๋อ..อ่อ..อ้อ ภายหลังอีกก็ได้นะ มันไม่แน่...แต่ตอนนั้นรู้แต่ว่า อ๋อ อ๋อ อ๋อ


จ้ะ

เห็น "อ๋อ"

ก็เห็น "โฮฮับ"

เห็น "โฮฮับ"

ก็ "อ๋อ"

"เบื่อ" อ๋อ

อ๋อ "เบื่อ"

:b16:

อ๋อ "รู้"

รู้ "อ๋อ" ไม่ "อ๋อ"

:b12:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 25 มี.ค. 2012, 13:29, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2012, 13:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


"อ๋อ"

เจตสิก

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2012, 13:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ยากที่จะประมาณ
ว่าหลวงปู่ หมาย "หยุด" ขนาดไหน

อาจจะหมายถึง "หยุดอ๋อ" "อ๋อหยุด" ด้วยก็ได้

:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2012, 14:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่โฮฮับ :b8:
ถ้าพี่คิดว่าสิ่งที่พี่กำลังทำอยู่นี้มันดีแล้ว ก็ตามใจพี่เถอะครับ ผมไม่หวังจะไปเปลี่ยนแปลงความเห็นที่พี่ยึดถืออยู่อีกต่อไปแล้ว...เพราะครั้งล่าสุดที่ได้เสวนาธรรมกับพี่นั้น ใจผมมันอุทานออกมาว่า"เบื่อ" และตามด้วยการเทศตัวเองว่า "การรบกับกิเลสของผู้อื่นนั้นไม่มีทางชนะได้ ไม่เหมือนรบกับกิเลสในใจตนยังพอมีทางให้ชนะได้"
ขอบคุณครับ :b8:

พระพุทธองค์ทรงสอนให้รู้ที่กายใจของตัวเองครับ
คำพูดเของคุณข้างบน คุณว่ามันเป็นกิเลสของคุณหรือของผมครับ
ถ้าคุณคิดว่าคุณกำลังรบกับกิเลสของผม นั้นแสดงว่าคุณถูกกิเลสในใจคุณ
เข้าครอบง้ำแล้วล่ะครับ

จะบอกอะไรให้ครับ เอาเป็นว่าผมสอนดีกว่าฟังเข้าใจง่ายดี
ไอ้ที่คุณเข้าใจว่ากำลังรบกับกิเลสของผมหรือคนอื่น มันไม่ใช่หรอกครับ
ทั้งหมดทั้งมวลมันเป็นกายใจของคุณผัสสะของคุณนั้นเองแหล่ะ

การกระทำของคนอื่นมันเป็นแค่สิ่งที่เราไปกระทบ มันเป็นอนัตตา
เราไปบังคับบัญชาไม่ได้หรอกครับ สิ่งที่เราทำได้เราต้องใช้สติของเรา
ไม่ให้เกิดการปรุงแต่งวจีสังขาร อย่าให้เกิดการแสดงออกทางวาจาในทางอกุศล
หรือให้ดีก็คือพยายามไม่ต้องมากระทบผัสสะที่เกิดจากผม เห็นความเห็นผมก็ผ่านเลยไป
แบบนี้ครับ ถึงจะกล่าวได้ว่ากำลังรบกับกิเลสในใจตัวเอง


ธรรมะง่ายๆแค่นี้ยังไม่รู้ ริจะมาสอนธรรมชาวบ้าน
ตัวเองถูกกิเลสเล่นงานแล้วยังไม่รู้ตัวอีก
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2012, 18:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
จ้ะ

เห็น "อ๋อ"

ก็เห็น "โฮฮับ"

เห็น "โฮฮับ"

ก็ "อ๋อ"

"เบื่อ" อ๋อ

อ๋อ "เบื่อ"

:b16:

อ๋อ "รู้"

รู้ "อ๋อ" ไม่ "อ๋อ"

:b12:

ปล่อยๆ คุณโฮฮับเขาบ้างเถอะ

ธรรมะคุณโฮฯ จะแตกฉานแค่ไหนผมไม่ทราบ

ทราบแต่ว่าคุณโฮฯ แกแตกฉานด้านภาษาไทยเป็นอันมาก เข้าใจเนื้อหาที่ผู้ถามต้องการถาม สรรหาเรื่องมาตอบตามได้เนื้อความที่ถามไว้

ผมยังสงสัยอยู่เลยว่าแกเป็นอาจารย์ภาษาไทยหรือเปล่า

เหมือนอาจารย์ระเบียบเคร่งครัดด้านไวยากรณ์ภาษาไทย คุณโฮฯแกก็เคร่งครัดด้านหลักการอ่านเขียนและโต้ตอบด้านภาษาไทยเช่นกัน :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2012, 21:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




a_dul_resize.jpg
a_dul_resize.jpg [ 29.36 KiB | เปิดดู 4931 ครั้ง ]
onion
"คิดอยู่ไม่รู้ หยุดคิดถึงรู้" น่าจะเอาแค่นี้จะได้ไม่มีเรื่องให้งง
เวลาที่คิดอยู่นั้น จิต สติ ปัญญา ไม่อยู่กับปัจจุบันอารมณ์ จึงไม่สามารถเห็นหรือรู้สภาวธรรมตามความเป็นจริง

เมื่อสติ ปัญญาอยู่กับปัจจุบันอารมณ์ได้ดีนั้น ความนึกไปในอดีต คิดไปในอนาคต จะหยุดทำงานไปชั่วคราว
ตอนนั้นผู้ปฏิบัติจะได้เห็นสภาวธรรมที่แท้จริง หรือความจริงของสภาวธรรม ความจริงของสภาวธรรมก็ไม่มีอะไรแปลกพิเศษ พิสดาร ความจริงของสภาวธรรมทั้งหมดคือ เกิดขึ้น......ตั้งอยู่......แล้วก็ดับไป เป็น
อนิจจัง......ไม่เที่ยง.....ทุกขัง....ทนตั้งอยู่ไม่ได้......อนัตตา......บังคับบัญชาไม่ได้ ไร้แก่นสาร ตัวตน
ความรู้ชัดพระไตรลักษณ์ที่ใจตรงๆ โดยไม่มีความนึกคิดประกอบ จะส่งให้เกิดปัญญาญาณที่สำคัญอันเป็นฐานแห่งความหลุดพ้นคือ นิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่าย คลายจาง จนละวางความเห็นผิดยึดผิดที่ติดแน่นอยู่ในใจได้


หลังจากนั้นเมื่อเกิดธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ความคิดถึงจะได้กลับมาใช้ประโยชน์อีกครั้งหนึ่ง
onion
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 87 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร