วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 01:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 91 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2012, 20:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่ๆทุกคนด้วยความเครารพ.
**ผมขออนุญาตสนทนาธรรมในหัวข้อนี้ด้วยคนนะครับ เริ่มด้วย...
สติ ในภาษากลางๆคือ ความระลึกได้ครับ ส่วนในภาษาบ้านๆป่าๆเรียกว่า ความรู้ตัว
สัมมาสติ เป็นภาษาธรรม ความหมายย่อมเป็นไปในทางธรรม คือความรู้ตัว รู้จิต รู้ใจ ของตน ที่เป็นไปเพื่อออกจากอกุศลกรรม เป็นไปเพื่อกำจัดกิเลสและทุกข์สิ้นเชิง
**ส่วนเรื่องหัวข้อธรรมระหว่างพี่ อโศกะกับพี่ Sriariya นั้นผมขออนุญาตแสดงความเห็นนิดหน่อยนะครับ ในเรื่อง สัมมาทิฏฐิ และ สัมมาสังกัปปะ รวมถึงเรื่องขันธ์ 5 ด้วยครับ
สัมมาทิฏฐิ(ความเห็นชอบ) ในทางธรรมแล้ว หมายว่า เชื่อว่าปาบมี บุญมี สวรรค์มี นรกมี กรรมดี กรรมชั่วมี ทำดีได้ดี ทำชั่วย่อมได้รับผลของกรรมชั่ว เชื่อว่า พระพุทธเจ้ามีจริง พระธรรมมีจริง พระอรหันตสาวกที่สำเร็จตามพระพุทธเจ้ามีจริง นิพพานมีจริง ทางสู่นิพพานมีจริงและทำได้จริง ครับ นี่คือสัมมาทิฏฐิที่เป็นบาทแห่งมรรคครับ
สัมมาสังกัปปะ(ความคิดชอบ) ในทางธรรมแล้ว หมายว่า เมื่อสัมมาทิฏฐิเกิดขึ้นแล้ว บุคคลย่อม ย่อมมีความคิดชอบว่า เราจะเลือกทำกรรมดีประกอบกุศลกรรมไม่ทำกรรมชั่วไม่ประกอบอกุศลกรรม เพราะเหตุที่เชื่อว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว สวรรค์มีจริง นรกมีจริง เราจะปฏิบัติตนตามแนวทางแห่งมรรคเพื่อมรรคผลนิพพาน เพราะเชื่อว่า พระพุทธเจ้ามีจริง พระธรรมมีจริง พระอรหันตสาวกที่สำเร็จตามพระพุทธเจ้ามีจริง นิพพานมีจริง ทางสู่นิพพานมีจริงและทำได้จริง นี่คือสัมมาสังกัปปะที่เป็นผลสืบเนื่องต่อมาจากสัมมาทิฏฐิครับ
ขันธ์ 5 ผมขอแก้ไขในส่วนของพี่ อโศกะ นิดเดียว ตรงที่ว่า เวทนา กับ สังขาร ครับ คือถ้าเป็นเวทนาทางกายแล้วจะเกิดก่อนสังขารครับ แต่ถ้าเป็นเวทนาทางใจจะเกิดเพราะสังขารปรุงแต่งครับ พี่อาจจะลืมอธิบายตรงจุดนี้ไป ผมขอเสริมแค่ตรงนี้แหละครับ
**สุดท้ายนี้ผู้ปฏิบัติย่อมรู้อยู่เฉพาะตัวครับ และผู้ปฏิบัติย่อมรู้เหมือนๆกันในภูมิที่มีและผ่านมาเหมือนกัน และเพียงได้สนทนาธรรมกันก็เข้าใจกันได้ครับ อีกอย่างนะครับ การพิจารณาธรรมต้องพิจารณาโดยธรรมในทางธรรม จะเอาสมมติในทางโลกมาเป็นหลักพิจารณาไม่ได้ครับ ไม่งั้นมันจะติด ธรรมที่ถูกจะกลายเป็นผิดไป จะกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิที่ยากจะแก้ได้ครับ


สติ หมายถึง ความระลึกได้, นึกได้, ความไม่เผลอ, การคุมใจไว้กับกิจ หรือกุมจิตไว้กับสิ่งที่เกี่ยวข้อง, จำการที่ทำและคำที่พูดแล้ว แม้นานได้ (จากพจนานุกรม พุทธศาสน์ ฉบับพระธรรมปิฎก)
ความหมายของคำว่า สติ ข้างต้น เป็นความหมายที่ครอบคลุม และถือเป็นยุติ ไม่มีคำว่า ศัพท์ภาษาทางการ หรือ ศัพท์ภาษาชาวบ้าน
สัมปชัญญะ หมายถึง ความรู้ตัวทั่วพร้อม, ความรู้ตระหนัก, ความรู้ชัดเข้าใจชัด ซึ่งสิ่งที่นึกได้; มักมาคู่กับ สติ (ข้อ ๒ ในธรรมมีอุปการะมาก ๒) (จากพจนานุกรม พุทธศาสน์ ฉบับพระธรรมปิฎก)
สัมมาสติ หมายถึง ระลึกชอบ คือระลึกใน สติปัฏฐาน ๔ (ข้อ ๗ ในมรรค) (จากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับพระธรรมปิฎก)
สัมมาทิฏฐิ หมายถึง ปัญญาอันเห็นชอบ คือเห็นอริยสัจ ๔, เห็นชอบตามคลองธรรมว่า ทำดีมีผลดี ทำชั่วมีผลชั่ว มารดาบิดามี (คือมีคุณความดีควรแก่ฐานะหนึ่งที่เรียกว่ามารดาบิดา) ฯลฯ, เห็นถูกต้องตามที่เป็นจริงว่าขันธ์ ๕ ไม่เที่ยงเป็นต้น (ข้อ ๑ ในมรรค) (จากพจนานุกรม พุทธศาสน์ ฉบับพระธรรมปิฎก)
สัมมาสังกัปปะ หมายถึง ดำริชอบ คือ ๑.เนกขัมมสังกัปปะ ดำริจะออกจากกามหรือปลอดจากโลภะ ๒.อัพยาปาทสังกัปปะ ดำริในอันไม่พยาบาท ๓.อวิหิงสาสังกัปปะ ดำริในอันไม่เบียดเบียน (ข้อ ๒ ในมรรค)(จากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับพระธรรมปิฎก)
ส่วนเรื่องขันธ์ ๕ คุณผู้ใช้ชื่อว่า "ลูกพระป่า" คุณยังไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของขันธ์๕ ดีพอ ที่ผู้ใช้ชื่อว่า อโศก กล่าวไว้นั้น ถูกต้องแล้ว จะเวทนา แบบไหน สังขาร ย่อมเกิดก่อนเสมอ ไปศึกษาเกี่ยวกับขันธ์ ๕ ในพระไตรปิฎกก็ได้นะ จะได้รู้จริง รู้แจ้ง ยิ่งขึ้นไปอีก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2012, 12:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ส่วนเรื่องขันธ์ ๕ คุณผู้ใช้ชื่อว่า "ลูกพระป่า" คุณยังไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของขันธ์๕ ดีพอ ที่ผู้ใช้ชื่อว่า อโศก กล่าวไว้นั้น ถูกต้องแล้ว จะเวทนา แบบไหน สังขาร ย่อมเกิดก่อนเสมอ

สวัสดีครับพี่sriariya :b8:
**ผมอยากให้พี่ลองเอาเข็มจิ้มที่แขนของตัวเองดูครับว่า เวทนาทางกายคือความรู้สึกเจ็บนั้นเกิดขึ้นทันทีมันหรือว่าต้องรอให้เกิดความปรุงคือสังขารก่อนแล้วจึงเกิดเวทนาทางกายคือความเจ็บปวดขึ้นมา ลองสอบอารมณ์กับใจตัวเองตอนนั้นดูนะครับว่ากายเจ็บแล้วใจเราเจ็บตามมั้ย...ใจกับกายนั้นเป็นคนละส่วนกันมิใช่หรือครับ
ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2012, 19:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
อ้างคำพูด:
ส่วนเรื่องขันธ์ ๕ คุณผู้ใช้ชื่อว่า "ลูกพระป่า" คุณยังไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของขันธ์๕ ดีพอ ที่ผู้ใช้ชื่อว่า อโศก กล่าวไว้นั้น ถูกต้องแล้ว จะเวทนา แบบไหน สังขาร ย่อมเกิดก่อนเสมอ

สวัสดีครับพี่sriariya :b8:
**ผมอยากให้พี่ลองเอาเข็มจิ้มที่แขนของตัวเองดูครับว่า เวทนาทางกายคือความรู้สึกเจ็บนั้นเกิดขึ้นทันทีมันหรือว่าต้องรอให้เกิดความปรุงคือสังขารก่อนแล้วจึงเกิดเวทนาทางกายคือความเจ็บปวดขึ้นมา ลองสอบอารมณ์กับใจตัวเองตอนนั้นดูนะครับว่ากายเจ็บแล้วใจเราเจ็บตามมั้ย...ใจกับกายนั้นเป็นคนละส่วนกันมิใช่หรือครับ
ขอบคุณครับ :b8:


คุณผู้ใช้ชื่อว่า "ลูกพระป่า"ขอรับ กรุณาเปลี่ยนชื่อเถอะ เพราะมันอาจจะทำให้เหล่าพระป่า เสียชื่อ เพราะความไม่รู้หรือความเขลาของคุณก็เป็นได้
ถ้าเป็นสมัยเมื่อสัก สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าด่าแล้วคุณรู้ไหม เพราะข้าพเจ้าแนะนำให้คุณไปศึกษาและอ่านเกี่ยวกับ ขันธ์ ๕ ในพระไตรปิฎก คุณกลับมาเถียงด้วยความไม่รู้
สังขาร คือ การปรุงแต่ง คุณรู้ไหมว่า อะไรคือ การปรุงแต่ง มันปรุงแต่งตรงไหนบ้าง ปรุงแต่งเรื่องอะไรบ้าง ไปศึกษามา แล้วก็มาตอบให้เป็นไปตามหลักความจริง หรือ ตามหลักสรีระร่างกายของมนุษย์ อย่าเถียงด้วยความไม่รู้ และไม่ต้อง(ขออภัยนะ) แสดงความโง่ ออกมา โดยคิดว่า ฉลาด ขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 12:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับพี่sriariya :b8:
**พระอรหันต์ทั้งหลายนั้นท่านยังคงมีเวทนาทางกายคือรูปขันธ์อยู่ แต่ถึงแม้จะเกิดเวทนาทางกายกับท่านสักเพียงไหนใจท่านก็เฉยๆไม่เป็นทุกข์ใจไปตามอาการของธาตุขันธ์นั้นๆ พี่ว่าเป็นเพราะอะไรครับ...
ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2012, 20:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่sriariya :b8:
**พระอรหันต์ทั้งหลายนั้นท่านยังคงมีเวทนาทางกายคือรูปขันธ์อยู่ แต่ถึงแม้จะเกิดเวทนาทางกายกับท่านสักเพียงไหนใจท่านก็เฉยๆไม่เป็นทุกข์ใจไปตามอาการของธาตุขันธ์นั้นๆ พี่ว่าเป็นเพราะอะไรครับ...
ขอบคุณครับ :b8:


เฮ้อ...ขออภัยนะขอรับ คุณสำเร็จอรหันต์แล้วหรือยัง ถ้ายังคุณจะถามทำไม
พระอรห้นต์ ทุกพระองค์ ย่อม "รู้จักทำอาสวะให้สิ้น" นั่นหมายถึงการขจัดขับหรือดันอาสวะทั้งหลายทั้งปวง ทั้งความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ให้ออกจากร่างกาย เพราะ อาสวะทั้งหลายเหล่านั้น เป็นคลื่นไฟฟ้า
ข้าพเจ้าให้คุณไปศึกษา พระไตรปิฎก ในเรื่องของ ขันธ์ ๕ แล้วให้ตอบคำถาม จะได้มีความรู้ว่า อะไรคือ รูป,อะไรคือ สัญญา,อะไรคือ เวทนา, อะไรคือ สังขาร,
แต่คุณกลับมาถาม ถามแล้วคุณได้อะไรขอรับ ฝึกปฏิบัติก็ไม่ได้ แค่คำว่า สังขาร ก็ไม่รู้เรื่องแล้ว พยายามเข้านะจะได้ฉลาดรู้ในธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2012, 20:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่sriariya :b8:
**พระอรหันต์ทั้งหลายนั้นท่านยังคงมีเวทนาทางกายคือรูปขันธ์อยู่ แต่ถึงแม้จะเกิดเวทนาทางกายกับท่านสักเพียงไหนใจท่านก็เฉยๆไม่เป็นทุกข์ใจไปตามอาการของธาตุขันธ์นั้นๆ พี่ว่าเป็นเพราะอะไรครับ...
ขอบคุณครับ :b8:


เฮ้อ...ขออภัยนะขอรับ คุณสำเร็จอรหันต์แล้วหรือยัง ถ้ายังคุณจะถามทำไม
พระอรห้นต์ ทุกพระองค์ ย่อม "รู้จักทำอาสวะให้สิ้น" นั่นหมายถึงการขจัดขับหรือดันอาสวะทั้งหลายทั้งปวง ทั้งความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ให้ออกจากร่างกาย เพราะ อาสวะทั้งหลายเหล่านั้น เป็นคลื่นไฟฟ้า
ข้าพเจ้าให้คุณไปศึกษา พระไตรปิฎก ในเรื่องของ ขันธ์ ๕ แล้วให้ตอบคำถาม จะได้มีความรู้ว่า อะไรคือ รูป,อะไรคือ สัญญา,อะไรคือ เวทนา, อะไรคือ สังขาร,
แต่คุณกลับมาถาม ถามแล้วคุณได้อะไรขอรับ ฝึกปฏิบัติก็ไม่ได้ แค่คำว่า สังขาร ก็ไม่รู้เรื่องแล้ว พยายามเข้านะจะได้ฉลาดรู้ในธรรม

สวัสดีครับพี่sriariya :b8:
ผมมีคำถามปุจฉาพี่สักหน่อยครับ เวทนาทางกายนั้นเป็นเป็นอาการของขันธ์ใดในขันธ์ 5 ครับ และเวทนาทางใจนั้นเป็นอาการของขันธ์ใดในขันธ์ 5 ครับ ถ้าพี่เห็นว่ามันเป็นกองขันธ์ข้อเดียวกันผมก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้วครับ
ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2012, 19:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
sriariya เขียน:
ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่sriariya :b8:
**พระอรหันต์ทั้งหลายนั้นท่านยังคงมีเวทนาทางกายคือรูปขันธ์อยู่ แต่ถึงแม้จะเกิดเวทนาทางกายกับท่านสักเพียงไหนใจท่านก็เฉยๆไม่เป็นทุกข์ใจไปตามอาการของธาตุขันธ์นั้นๆ พี่ว่าเป็นเพราะอะไรครับ...
ขอบคุณครับ :b8:


เฮ้อ...ขออภัยนะขอรับ คุณสำเร็จอรหันต์แล้วหรือยัง ถ้ายังคุณจะถามทำไม
พระอรห้นต์ ทุกพระองค์ ย่อม "รู้จักทำอาสวะให้สิ้น" นั่นหมายถึงการขจัดขับหรือดันอาสวะทั้งหลายทั้งปวง ทั้งความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ให้ออกจากร่างกาย เพราะ อาสวะทั้งหลายเหล่านั้น เป็นคลื่นไฟฟ้า
ข้าพเจ้าให้คุณไปศึกษา พระไตรปิฎก ในเรื่องของ ขันธ์ ๕ แล้วให้ตอบคำถาม จะได้มีความรู้ว่า อะไรคือ รูป,อะไรคือ สัญญา,อะไรคือ เวทนา, อะไรคือ สังขาร,
แต่คุณกลับมาถาม ถามแล้วคุณได้อะไรขอรับ ฝึกปฏิบัติก็ไม่ได้ แค่คำว่า สังขาร ก็ไม่รู้เรื่องแล้ว พยายามเข้านะจะได้ฉลาดรู้ในธรรม

สวัสดีครับพี่sriariya :b8:
ผมมีคำถามปุจฉาพี่สักหน่อยครับ เวทนาทางกายนั้นเป็นเป็นอาการของขันธ์ใดในขันธ์ 5 ครับ และเวทนาทางใจนั้นเป็นอาการของขันธ์ใดในขันธ์ 5 ครับ ถ้าพี่เห็นว่ามันเป็นกองขันธ์ข้อเดียวกันผมก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้วครับ
ขอบคุณครับ :b8:


อุบะ...ข้าฯถามเจ้า แต่เจ้ากลับไม่ตอบคำถาม ดันกลับมาถามลองภูมิซะอีก อย่าหาว่าข้าฯดูถูกดูหมิ่นเจ้าเลยนะ เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า ลูกพระป่า ระดับสมองสติปัญญาของเจ้านั้น ยังอ่อนด้อย เจ้าไปศึกษา วิชา "ระบบสรีระร่างกายของมนุษย์" แล้วเอามาเปรียบเทียบกับ หลักพุทธศาสนา คือ หลัก ขันธ์ ๕ แล้วเจ้าก็จะรุ้ดี อย่าทำเป็นอวดฉลาด ตอบคำถามของข้าพเจ้าให้ได้ซะก่อน ถ้าไม่รุ้จริงๆแล้วค่อยมาถาม เอ็ง ยังรู้จักข้าฯน้อยไปแล้ว (ต้องขออภัยต่อท่านทั้งหลายที่เข้ามาอ่าน อาจจะดูเหมือนไม่สุภาพ ก็ขอให้คิดว่า เป็นการเสวนา ระหว่าง ลุงกับหลานนะขอรับ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2012, 21:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 มี.ค. 2012, 17:36
โพสต์: 210


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: :b8: :b8:

.....................................................
กระบี่อยู่ที่ใจ : เมตตาธรรมค้ำจุนโลก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2012, 02:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
ลูกพระป่า เขียน:
sriariya เขียน:
ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่sriariya :b8:
**พระอรหันต์ทั้งหลายนั้นท่านยังคงมีเวทนาทางกายคือรูปขันธ์อยู่ แต่ถึงแม้จะเกิดเวทนาทางกายกับท่านสักเพียงไหนใจท่านก็เฉยๆไม่เป็นทุกข์ใจไปตามอาการของธาตุขันธ์นั้นๆ พี่ว่าเป็นเพราะอะไรครับ...
ขอบคุณครับ :b8:


เฮ้อ...ขออภัยนะขอรับ คุณสำเร็จอรหันต์แล้วหรือยัง ถ้ายังคุณจะถามทำไม
พระอรห้นต์ ทุกพระองค์ ย่อม "รู้จักทำอาสวะให้สิ้น" นั่นหมายถึงการขจัดขับหรือดันอาสวะทั้งหลายทั้งปวง ทั้งความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ให้ออกจากร่างกาย เพราะ อาสวะทั้งหลายเหล่านั้น เป็นคลื่นไฟฟ้า

ข้าพเจ้าให้คุณไปศึกษา พระไตรปิฎก ในเรื่องของ ขันธ์ ๕ แล้วให้ตอบคำถาม จะได้มีความรู้ว่า อะไรคือ รูป,อะไรคือ สัญญา,อะไรคือ เวทนา, อะไรคือ สังขาร,
แต่คุณกลับมาถาม ถามแล้วคุณได้อะไรขอรับ ฝึกปฏิบัติก็ไม่ได้ แค่คำว่า สังขาร ก็ไม่รู้เรื่องแล้ว พยายามเข้านะจะได้ฉลาดรู้ในธรรม

สวัสดีครับพี่sriariya :b8:
ผมมีคำถามปุจฉาพี่สักหน่อยครับ เวทนาทางกายนั้นเป็นเป็นอาการของขันธ์ใดในขันธ์ 5 ครับ และเวทนาทางใจนั้นเป็นอาการของขันธ์ใดในขันธ์ 5 ครับ ถ้าพี่เห็นว่ามันเป็นกองขันธ์ข้อเดียวกันผมก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้วครับ
ขอบคุณครับ :b8:


อุบะ...ข้าฯถามเจ้า แต่เจ้ากลับไม่ตอบคำถาม ดันกลับมาถามลองภูมิซะอีก อย่าหาว่าข้าฯดูถูกดูหมิ่นเจ้าเลยนะ เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า ลูกพระป่า ระดับสมองสติปัญญาของเจ้านั้น ยังอ่อนด้อย เจ้าไปศึกษา วิชา "ระบบสรีระร่างกายของมนุษย์" แล้วเอามาเปรียบเทียบกับ หลักพุทธศาสนา คือ หลัก ขันธ์ ๕ แล้วเจ้าก็จะรุ้ดี อย่าทำเป็นอวดฉลาด ตอบคำถามของข้าพเจ้าให้ได้ซะก่อน ถ้าไม่รุ้จริงๆแล้วค่อยมาถาม เอ็ง ยังรู้จักข้าฯน้อยไปแล้ว (ต้องขออภัยต่อท่านทั้งหลายที่เข้ามาอ่าน อาจจะดูเหมือนไม่สุภาพ ก็ขอให้คิดว่า เป็นการเสวนา ระหว่าง ลุงกับหลานนะขอรับ)

สวัสดีครับพี่sriariya :b8:
คำตอบของผมมันก็แฝงอยู่ในคำถามที่ผมได้ถามพี่ไปนั่นแหละครับ....เห็นที่พี่ชอบยกเอาสรีระร่างกายมาอ้างอิง สมองบ้าง...เส้นประสาทบ้าง...กระแสไฟฟ้าบ้าง...ผมเลยสงสัยอยากถามพี่สักนิดว่า...พวกที่ไม่มีกายหยาบทั้งหลายนี่ อาสวะทั้งหลายนั้นคงไม่มีแล้วกระมัง ถ้าอาสวะทั้งหลายเป็นคลื่นไฟฟ้าอย่างที่พี่ว่า แถมไฟฟ้าที่เราใช้กันตามบ้านนี่ก็สมุทัยนี่เอง(ดูตรงที่ใส่สีแดง)....ผมขอฝากอุบายธรรมให้พี่สักข้อ "จงพิจารณาธรรมโดยธรรม" อย่าเอาวิทยาศาสตร์มาพิจารณาธรรม เพราะธรรมนี้กว้างมากๆลีกล้ำมากๆ เกินกว่าที่วิทยาศาสตร์จะอธิบายได้ครับ
ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2012, 21:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


เฮ้อ....เจ้าลูกพระป่าเอ๋ย.....ข้าพเจัาอ่านภาษาไทยออก และเข้าใจความหมายของภาษาไทยตามบริบทได้ดีตามสมควรด้วย
แต่ข้าพเจ้าให้เจ้าตอบคำถาม ที่ข้าพเจ้าได้ถามเจ้า และข้าพเจ้าให้เจ้าไปศึกษามา เจ้ากลับโอ้อวด หลบไปหลีกมา ไม่ตอบสักที แถมยังมีหน้ามาสอนข้าพเจ้าซะอีก
ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้ากลับไปอ่านหลักคำสอนหรือบทความธรรมะต่างๆที่ข้าพเจ้าได้เขียนไป ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนเพ้อเจ้ออย่างที่เจ้ากล่าวมาดอกนะ
แล้วเจ้ายังกล้าถามเพ้อเจ้อเกี่ยวกับ พวกไม่มีกายหยาบ....ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้ามองเห็นพวกที่ไม่มีกายหยาบ หรือ พวกโอปปาติกะ หรือ ผีที่ยังไม่ไปเกิด(สัมภเวสี) หรือ พวกเจ้าที่เจ้าทาง เจ้ามองเห็นหรือ เจ้าถึงได้ถาม แต่ข้าพเจ้าสามารถมองเห็นพวกเขาได้ถ้าอยากจะเห็น จะเรียกมาคุยก็ยังได้ถ้าจำเป็น (นี้เรื่องจริงนะ ไม่ได้โอ้อวด)

เอาละ ข้าพเจ้าจะโปรดสัตว์อย่างเจ้าเอาว่า ....พวกที่ไม่มีกายหยาบ ก็มีอาสวะ เพราะถ้าพวกเขายังอยู่ในโลกมนุษย์ พวกไม่มีกายหยาบทุกชนิด มีกิเลสหรือมี อาสวะทั้งนั้น แต่จะมีมากมีน้อย หรือจะขจัดอาสวะได้มากบ้างน้อยบ้างก็แล้วแต่

ถึงแม้ไม่มีกายหยาบ แต่พวกเขาก็มีจิตที่เล็กที่สุด คือ นิวเคลียส์ มนุษย์ธรรมดามองไม่เห็นเขาดอกนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2012, 16:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ค. 2009, 15:30
โพสต์: 36

งานอดิเรก: เล่นแมว
สิ่งที่ชื่นชอบ: นอน
ชื่อเล่น: มู่
อายุ: 24

 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
เฮ้อ....เจ้าลูกพระป่าเอ๋ย.....ข้าพเจัาอ่านภาษาไทยออก และเข้าใจความหมายของภาษาไทยตามบริบทได้ดีตามสมควรด้วย
แต่ข้าพเจ้าให้เจ้าตอบคำถาม ที่ข้าพเจ้าได้ถามเจ้า และข้าพเจ้าให้เจ้าไปศึกษามา เจ้ากลับโอ้อวด หลบไปหลีกมา ไม่ตอบสักที แถมยังมีหน้ามาสอนข้าพเจ้าซะอีก
ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้ากลับไปอ่านหลักคำสอนหรือบทความธรรมะต่างๆที่ข้าพเจ้าได้เขียนไป ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนเพ้อเจ้ออย่างที่เจ้ากล่าวมาดอกนะ
แล้วเจ้ายังกล้าถามเพ้อเจ้อเกี่ยวกับ พวกไม่มีกายหยาบ....ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้ามองเห็นพวกที่ไม่มีกายหยาบ หรือ พวกโอปปาติกะ หรือ ผีที่ยังไม่ไปเกิด(สัมภเวสี) หรือ พวกเจ้าที่เจ้าทาง เจ้ามองเห็นหรือ เจ้าถึงได้ถาม แต่ข้าพเจ้าสามารถมองเห็นพวกเขาได้ถ้าอยากจะเห็น จะเรียกมาคุยก็ยังได้ถ้าจำเป็น (นี้เรื่องจริงนะ ไม่ได้โอ้อวด)

เอาละ ข้าพเจ้าจะโปรดสัตว์อย่างเจ้าเอาว่า ....พวกที่ไม่มีกายหยาบ ก็มีอาสวะ เพราะถ้าพวกเขายังอยู่ในโลกมนุษย์ พวกไม่มีกายหยาบทุกชนิด มีกิเลสหรือมี อาสวะทั้งนั้น แต่จะมีมากมีน้อย หรือจะขจัดอาสวะได้มากบ้างน้อยบ้างก็แล้วแต่

ถึงแม้ไม่มีกายหยาบ แต่พวกเขาก็มีจิตที่เล็กที่สุด คือ นิวเคลียส์ มนุษย์ธรรมดามองไม่เห็นเขาดอกนะ


บ่นไรลุง s002 s002 s002 ทำใจดีดีเอาไว้

.....................................................
ใช้ดาบฟาดน้ำน้ำยิ่งไหลโชก ยกแก้วกับโศกโศกยิ่งทุกข์หนัก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2012, 20:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


wangmingdi เขียน:
sriariya เขียน:
เฮ้อ....เจ้าลูกพระป่าเอ๋ย.....ข้าพเจัาอ่านภาษาไทยออก และเข้าใจความหมายของภาษาไทยตามบริบทได้ดีตามสมควรด้วย
แต่ข้าพเจ้าให้เจ้าตอบคำถาม ที่ข้าพเจ้าได้ถามเจ้า และข้าพเจ้าให้เจ้าไปศึกษามา เจ้ากลับโอ้อวด หลบไปหลีกมา ไม่ตอบสักที แถมยังมีหน้ามาสอนข้าพเจ้าซะอีก
ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้ากลับไปอ่านหลักคำสอนหรือบทความธรรมะต่างๆที่ข้าพเจ้าได้เขียนไป ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนเพ้อเจ้ออย่างที่เจ้ากล่าวมาดอกนะ
แล้วเจ้ายังกล้าถามเพ้อเจ้อเกี่ยวกับ พวกไม่มีกายหยาบ....ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้ามองเห็นพวกที่ไม่มีกายหยาบ หรือ พวกโอปปาติกะ หรือ ผีที่ยังไม่ไปเกิด(สัมภเวสี) หรือ พวกเจ้าที่เจ้าทาง เจ้ามองเห็นหรือ เจ้าถึงได้ถาม แต่ข้าพเจ้าสามารถมองเห็นพวกเขาได้ถ้าอยากจะเห็น จะเรียกมาคุยก็ยังได้ถ้าจำเป็น (นี้เรื่องจริงนะ ไม่ได้โอ้อวด)

เอาละ ข้าพเจ้าจะโปรดสัตว์อย่างเจ้าเอาว่า ....พวกที่ไม่มีกายหยาบ ก็มีอาสวะ เพราะถ้าพวกเขายังอยู่ในโลกมนุษย์ พวกไม่มีกายหยาบทุกชนิด มีกิเลสหรือมี อาสวะทั้งนั้น แต่จะมีมากมีน้อย หรือจะขจัดอาสวะได้มากบ้างน้อยบ้างก็แล้วแต่

ถึงแม้ไม่มีกายหยาบ แต่พวกเขาก็มีจิตที่เล็กที่สุด คือ นิวเคลียส์ มนุษย์ธรรมดามองไม่เห็นเขาดอกนะ


บ่นไรลุง s002 s002 s002 ทำใจดีดีเอาไว้


บ่นไปอย่างนั้นแหละ เพราะรู้อยู่ว่าเขาเป็นใคร
โธะ..โธ่....ใจของข้าพเจ้าดีอยู่แล้ว ทั้งระบบการทำงาน และความแข็งแรง ขั้นเทพ..เลยละขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2012, 19:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ค. 2009, 15:30
โพสต์: 36

งานอดิเรก: เล่นแมว
สิ่งที่ชื่นชอบ: นอน
ชื่อเล่น: มู่
อายุ: 24

 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
wangmingdi เขียน:
sriariya เขียน:
เฮ้อ....เจ้าลูกพระป่าเอ๋ย.....ข้าพเจัาอ่านภาษาไทยออก และเข้าใจความหมายของภาษาไทยตามบริบทได้ดีตามสมควรด้วย
แต่ข้าพเจ้าให้เจ้าตอบคำถาม ที่ข้าพเจ้าได้ถามเจ้า และข้าพเจ้าให้เจ้าไปศึกษามา เจ้ากลับโอ้อวด หลบไปหลีกมา ไม่ตอบสักที แถมยังมีหน้ามาสอนข้าพเจ้าซะอีก
ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้ากลับไปอ่านหลักคำสอนหรือบทความธรรมะต่างๆที่ข้าพเจ้าได้เขียนไป ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนเพ้อเจ้ออย่างที่เจ้ากล่าวมาดอกนะ
แล้วเจ้ายังกล้าถามเพ้อเจ้อเกี่ยวกับ พวกไม่มีกายหยาบ....ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้ามองเห็นพวกที่ไม่มีกายหยาบ หรือ พวกโอปปาติกะ หรือ ผีที่ยังไม่ไปเกิด(สัมภเวสี) หรือ พวกเจ้าที่เจ้าทาง เจ้ามองเห็นหรือ เจ้าถึงได้ถาม แต่ข้าพเจ้าสามารถมองเห็นพวกเขาได้ถ้าอยากจะเห็น จะเรียกมาคุยก็ยังได้ถ้าจำเป็น (นี้เรื่องจริงนะ ไม่ได้โอ้อวด)

เอาละ ข้าพเจ้าจะโปรดสัตว์อย่างเจ้าเอาว่า ....พวกที่ไม่มีกายหยาบ ก็มีอาสวะ เพราะถ้าพวกเขายังอยู่ในโลกมนุษย์ พวกไม่มีกายหยาบทุกชนิด มีกิเลสหรือมี อาสวะทั้งนั้น แต่จะมีมากมีน้อย หรือจะขจัดอาสวะได้มากบ้างน้อยบ้างก็แล้วแต่

ถึงแม้ไม่มีกายหยาบ แต่พวกเขาก็มีจิตที่เล็กที่สุด คือ นิวเคลียส์ มนุษย์ธรรมดามองไม่เห็นเขาดอกนะ


บ่นไรลุง s002 s002 s002 ทำใจดีดีเอาไว้


บ่นไปอย่างนั้นแหละ เพราะรู้อยู่ว่าเขาเป็นใคร
โธะ..โธ่....ใจของข้าพเจ้าดีอยู่แล้ว ทั้งระบบการทำงาน และความแข็งแรง ขั้นเทพ..เลยละขอรับ



s007 s007 ไม่ธรรมดาซะแล้ว ลุงเนี้ย ยอดมนุษย์อุลต้าแมน rolleyes

.....................................................
ใช้ดาบฟาดน้ำน้ำยิ่งไหลโชก ยกแก้วกับโศกโศกยิ่งทุกข์หนัก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2014, 13:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.ค. 2013, 22:27
โพสต์: 76

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สติ คือความระลึกได้ ว่าตอนนั้นทำอะไรอยู่
เช่น นักดนตรีเล่นดนตรีเขาก็มีสติติดอยู่กับเครื่องดนตรี (สติจะเป็นตัวที่ทำให้เกิดสมาธิซึ่งจะพูดต่อไป)
คนฆ่าหมูในโรงฆ่าสัตว์ จะฆ่าหมู เขาก็จะต้องมีสติล่ะ ว่าจะฆ่ายังไง จะต้องทำอะไร
นั้นก็เป็นสติ
สติที่เขาระลึกได้ตอนนั้น ว่าจะทำยังไง
ฉะนั้น สติ มัน ก็คือ ส่วนที่เราระลึกว่าเราทำอะไรอยู่ในขณะนั้น เเต่จากตัวอย่างทำให้ทราบว่า
สตินั้นมันจะเป็นสัมมาสติได้หรือไม่ ก็ อยู่ของเจตนาของกรรม ที่เรา จะทำ
พิจารณาเอา
เรามีสติ กับการที่จะฆ่า หมู ก็ไม่ใช่สัมมาสติ แต่เป็น มิจฉาสติ
ฉะนั้นสัมมาสติ ก็คือ สติที่เราระลึกได้ในขณะที่เรา ได้กระทำกรรมเจตนาตรงกันข้าม กับมิจฉาสติ

..... :b19: :b19: :b19:

ว่าด้วยเรื่อง สมาธิ กับสัมมาสมาธิ
สติ เป็นฐานของสมาธิ ทำการใดแล้วไม่มีสมาธิ ก็จะเป็นบ่เกิดความประมาท
เราจะ หั่นผัก เรารู้แล้วว่าเรา จะหั่นผัก (สติ) ในขณะที่หั่นนั้น เมื่อเรา เพ่งไปจดจ่อกับการหั่นผัก หรือ สตินั้น
จะเกิดสมาธิ เพราะสติเราอยู่กับการหั่น จะจิตใจจดจ่ออยู่ แต่เมื่อใด ขาดสติ สมาธิหาย ก็ อาจโดนมีดบาทมือ นั้นก็คือ เมื่อขาดสติ
สมาธิไม่มี เกิดความประมาท

คนฆ่าหมู จะฆ่าหมู มีสติรับรู้ว่าจะฆ่าหมู นั้นเขาก็ต้องมีสมาธิ แต่เป็น สมาธิที่เป็น มิจฉาสมาธิ
ดั้งนั้น
สมาธิ กับสัมมาสมาธิ ก็ จะแตกต่างกัน จากการนี้

สรุป สติ กับสมาธิ มันมีอยู่ไม่ว่า จะทำอะไร แต่ สติสมาธิ อันไหน ตรงไหน จะเป็น สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ท่าน ทั้งหลายก็ ดูพิจารณากันเอาครับ ว่าเจตาในขณะนั้นเป็นอย่างไร

หากผิดพลาดหรือ ไม่ถูกต้องประการใด ขอผู้รู้ ชี้แนะ ต่อด้วยครับ :b8:

.....................................................
".....มหาปุริสภาวสฺส ลกฺขณํ กรุณาสโห....."
".....อัชฌาศัยที่ทนไม่ได้เพราะกรุณาเป็นลักษณะของความเป็นมหาบุรุษ....."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2014, 21:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


สติ คือการมีใจจดจ่อกับกิริยาอาการต่างๆ

สัมมาสติ คือการรู้กิริยาอาการว่าเป็นธรรมที่ปรากฏด้วยความใช้ความคิดที่เป็นกุศลนำ เช่น การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกเพราะยึดเป็นอารมณ์ในการฝึกธรรมครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 91 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร