วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 15:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2011, 13:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 พ.ย. 2011, 16:11
โพสต์: 43


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีคะ
เรื่องของดิฉันผ่านมาได้ 7เดือนแล้วและดิฉันก็แยกทางกับสามีแล้ว ทำใจได้เมื่อไม่มีเขาอยู่
แต่เมื่อครบรอบ วันแต่งงาน 5 ธค. ทำให้ใจฉันคิดแค้น สามีและญาติของเขา ( เราคบกัน 1 ปี ครึ่ง แต่งงานได้ 4 เดือนก็แยกทางกัน ปัญหามือที่ 3 และ ญาติเข้ามาเกี่ยวข้อง คิดว่าดูดีแล้วขยัน ไม่เจ้าชู้ แต่....)
เพราะเป็นรักครั้งแรกและสามีคนแรกที่ดิฉันจะสร้างครอบครัว แต่แล้วมันกับทำให้ช้ำใจเมื่อแต่งงานกันไปแล้ว เจ้าตัวสามีบอกว่าไม่ได้รักเรา (เขาเจอคนใหม่ที่น่ารักออนหวานเอาใจเก่ง) นึกถึงเหตุการณ์นี้ขึ้นมาทำให้คิดแค้นและอาฆาตมาก ๆ และทางน้องของสามีบอกกับสามีเราให้อยู่เฉยไม่ต้องมาหาเราไม่ต่องติดต่อกัน ( คือเหมือนเขาสนับสนุนให้เลิกกัน ) เมื่อเราปรึกษากับทางแม่ของสามี ท่านปลอบเราว่า หนูกับเขาไม่เข้าใจกัน หนูจู้จี้ (ซึ่งตอนคบกันเราบอกแล้วว่ารับไม่ได้กับการนอกใจ มีชู้ พบจับได้บอกไม่มีอะไรกัน เราเลยกลายเป็นคนจู้จี้ ขี้ระแวง) แม่เลี้ยงได้แต่ตัว เราเสียใจมากแทบไม่เป็นผู้เป็นคน ตอนนี้มันกลายเป็นว่าทั้งรักทั้งแค้นมากๆ เพราะตนเองเป็นคนรัดเดียวใจเดียว

ส่งข้อความอาฆาต สาปแช่งให้ แม่สามี น้องสามี (เพราะสามีเปลี่ยนเบอร์) ทั้งทื่รู้ว่าการสาปแช่งเป็นสิ่งไม่ดี เป็นการสร้างบาปให้กับตัวเอง แต่ ด้วยโมหะ โทสะ เข้าครอบงำทำให้คิดแค้นอาฆาต ว่าทำไม
เราต้องพบคนใจดำ เจ้าชู้ด้วย (ดิฉันลองใจเขาว่า ดิฉันท้อง เขาบอกดิฉันว่า ให้เอาเด็กออก ฉันสะอึกเลย เขาไม่รักเด็ก แถมยัง ไม่คิดสงสารฉันว่าจะเกิดอันตรายไหม ดีที่ดิฉันไม่ท้องจริง และดิฉันบอกให้เขาเลิกกับผู้หญิงคนนั้น เขากับตอบว่า ผู้หญิงคนนั้นไม่ผิด ตัวดิฉันก็ได้ส่งข้อความคุยกับผู้หญิงของเขาข้อให้เขาเลิกกับสามีดิฉัน ผู้หญิงคนนั้น บอกว่า ดิฉันไม่มีเสน่ห์มัดใจสามี ดิฉันเลยบอกถ้าอย่างนั้นพี่ยกสามีพี่ให้ เพราะมีคนมารับช่วงต่อแล้ว ให้แล้วพี่ไม่รับคืน เธอคนนั้นส่งข้อความของฉันให้สามีดิฉันดู)
ดิฉันอ่านพบ คำนี้ว่า ทำไมผู้หญิงเดี๋ยวนี้ชอบแย่งผู้ชายเลว ๆ ทำให้ดิฉันคิดตามเหมือนกัน ว่ารักคนเลวๆ ยึดมั่นในรักเดียวใจเดียวกันคนที่ไม่รักเราจริงทำไม
และในตอนนี้ดิฉันยังลดความอาฆาตพยาบาทในใจไม่ลง ยังคิดอภัยให้เขาไม่ได้อย่างจริง
ส่งข้อความสาปแช่งเค้าและญาติเขาตลอดให้ได้รับผลกรรมเหมือนอย่างที่ทำกับดิฉันและลูกผู้หญิงไว้
ดิฉันเป็นคนทิฐิแรง รู้อะไรถูกผิด บาปกรรม แต่ทำไมคนทำบาปกรรมกับลูกผู้หณิงถึงไม่ได้รับกรรมและไม่สำนึกว่าเขาก็มีแม่ มีน้อง และมีลูกๆเป็นผู้หญิง ทำไมถึงไม่มีจิตเมตตาลูกผู้หญิงทำร้ายจิตใจกันด้วยความไม่รู้จักพอ

อยากปลอยวาง และปลงได้ แต่ใจมันไม่วาง(ความรู้ ท้วมตัว เอาหัวไม่รอด เรื่องความรักความใคร่)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2011, 17:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


สัมมาทิฏฐิ ๑๐ ความเห็นที่ถูกต้องและการปรับใช้แก้ปัญหา(ความรัก)ชีวิต

๑.ทานมีผลจริง
ทานมีผลจริง เพราะถ้าให้ได้ก็วางได้เย็นได้ข้อนี้ ยังทำไม่ได้
แต่ต้องค่อยๆ ทำโดยใช้ความเห็นตรง เห็นถูกในข้ออื่นๆ ประกอบ

๑.๑ วัตถุทาน แบ่งเฉลี่ยข้าวของเงินทองร่วมกินร่วมใช้ เว้นได้ไม่ต้องทำ
กับคู่กรณี แต่ยังสามารถให้ไปในคนที่ยังลำบากตกทุกข์ได้ยาก ไม่มีพ่อไม่
มีแม่ตามสถานกำพร้า หรือไร้ลูกไร้ญาติขาดมิตร ธรรมดาข้าวของเงินทอง
ไหลมาก็ไหลไป ใจที่ให้ใจที่สละ ใจที่สุขนี้เป็นสมบัติโดยแท้จริง สิ่งของล้วน
เป็นของลวงตา ใจที่แค้นใจที่ยึดเป็นเหมือนขยะต้องกำจัดทิ้ง!

หรือให้กับคนที่รักเรา ให้พ่อให้แม่ เอาเวลาอาฆาตมานึกหาสิ่งของที่พ่อแม่ชอบ
ที่พ่อแม่ต้องการ หรือญาติพี่น้องเราที่เราไม่ค่อยได้ให้ เอาไปให้เอาไปฝาก ยิ่ง
เลือกให้ ให้แล้วได้ประโยชน์ทั้งครอบครัวของเขา ของญาติใจเราก็ยิ่งสุข ได้ตรึก
นึกถึงคนอื่นนอกจากเรื่องของตัวเองเสียบ้าง คงไม่ตายแค่รวมใจมาคิดถึงการ
ได้ให้วัตถุสิ่งของกับคนอื่นๆ โดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนหรือคำปลอบใจเห็นอก
เห็นใจใดๆ ในเรื่องที่ผ่านมา ^^

๑.๒ ธรรมทาน ให้ตนเอง ศึกษาหาวิธี ในการอบรมสติปัญญาความรู้ให้ตนเองด่วน
๑.๓ อภัยทาน ปลง ปล่อย ยอม เย็น ทุกข์เกิดที่ใจ ดับที่ใจ! ให้อภัยต่อคู่กรณี
คู่รักคู่แค้น ที่ทำเวรและกรรมร่วมกันมา..(เพราะไม่มีศรัทธาความเชื่อเรื่องกรรม-
วิบากกรรม)

ธรรมทาน หมายความว่า การให้โอกาสตนเองได้สดับฟังพระธรรมคำสั่งสอน
ว่าด้วยเรื่องกฏแห่งกรรม ว่าด้วยเรื่องของความทุกข์ ความพลัดพราก ความเกิด
แก่เจ็บตาย ความโศกเศร้ารำไรรำพัน ทุกข์กายทุกข์ใจ ไม่สบายกายไม่สบายใจ
เหล่านี้ล้วนเป็นธรรมดา! ประจำทุกตัวตนบุคคล สิ่งที่ได้รับในวันนี้ล้วนมีเหตุมี
ที่มามีปัจจัย อาจเป็นกงกำกงเกวียน เวียนมาบรรจบ วิบากอกุศลกรรมได้ช่อง
จึงทำให้ได้รับความคับแค้นใจ ทุกข์ใจ ฯลฯ

ธรรมชาติของสังขารทั้งหลาย ย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา
ไม่ว่าดีหรือร้าย หากดีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ยังไม่ดับไป จะไปให้มันดับไปนั้นก็เป็น
ไปไม่ได้ หากเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นจะใ้ห้เรื่องดีๆ เกิด หรือเรื่องร้ายๆ ยังตั้งอยู่
ยังไม่ดับไป จะให้เรื่องดีๆ เกิดก็เป็นไปไม่ได้ เมื่อมันถึงกาลเวลา เมื่อมัน
หมดเหตุหมดปัจจัย ไม่ว่าดีหรือร้าย ก็ล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปด้วยกัน
ทั้งหมด แต่ไม่แทรกแซงกัน ไม่ก้าวก่ายกัน เพียงแต่หมุนเวียนพลัดเปลี่ยน
แสดงความเป็นอนิจจัง แก่ผู้เห็นทุกข์เท่านั้นถึงจะเห็นธรรม!

อภัยทานในที่นี้ หมายความว่า การให้อภัยไม่พยาบาทผูกโกรธอาฆาตมีผลทำ
ให้ได้รับความสุข หากให้อภัยไม่ได้ มีความพยาบาทผูกโกรธ เวรหรือวิบากนั้นก็
ไม่ระงับดับไป จะติดตามเป็นเวรเหมือนเงามืดดำไล่ตาม ไม่ให้พบความ
สุขความเจริญในชีวิต เพราะความเครียดแค้น...ทำอะไรก็ไม่ดีขึ้นเลย ฯลฯ


๒.การสงเคาระห์มีผล
ในยามนี้คนที่เกื้อกูลเราที่สุด ก็เป็นคนที่รักเราที่สุดไม่มีใครเกิน พ่อและแม่อีกแล้ว
ใครในโลกนี้จะรักใครเกลียดใครแค่ไหน แต่ก็ไม่เสมอเหมือนสองคนนี้ พ่อและแม่
ท่านรักเราเสมอไม่เคยเกลียดเรา แค้นเราอาฆาตต่อเรา ไม่ว่าเราจะทำผิด คิดผิด
พูดผิดต่อท่านแค่ไหน

บางทีก็เป็นกัลยาณมิตร กัลยาธรรมที่อยู่ไกล ไม่รู้จัก แต่ก็พลัดเวียนเข้ามาให้คำปรึกษา
แนะนำพูดคุยเหล่านี้ เพราะเคยได้ช่วยเหลือสงเคาระห์กันและกันมาก่อน ไม่ทอดทิ้งกัน
หาทางออก บอกแนวทางวิธีต่างๆ

ชีวิตคู่นั้นต้องมีศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญาเสมอเหมือนกันไม่งั้นก็ไปกันไม่รอด ถึงดึงดัน
จะไปด้วยกัน ต้นก็ทำท่าดูดี แต่ท้ายก็ป่นปี้เสียหายไม่เป็นท่า เช่นเดียวกับการให้ทาน
เอาเวลาที่คิดจะสร้างครอบครัวอยู่กินจนแก่เ่ฒ่า กลับมาสนใจสงเคาระห์พ่อและแม่
โลกกำลังวิบัติผันแปร อากาศกำลังเลวร้าย การได้ปฏิบัติดูแล ให้พ่อแม่ได้มีพระรัตน-
ตรัยเป็นที่พึ่งพิง นับว่าประเสริฐและเป็นลูกที่ดีที่สุด ดีกว่าวิธีการต่างๆ มากมาย

ถ้าคนเป็นหมื่นเป็นแสนเหมือนนกแตกรัง ไปมีครอบครัว แล้วเราจะเป็นหนึ่งในหมื่น
ในแสนนั้นไม่ได้เชียวหรือที่จะ ดูแลนกเฒ่านกชรา ที่ป้อนข้าวป้อนน้ำเรามา เพราะการ
สงเคาระห์ต่อผู้ให้กำเนิด กตัญญูต่อบุคคลที่เลี้ยงดูเรามา มีผลมีอานิสงส์ให้เราเจริญ
เติบโตไปในร่มทางธรรมได้ง่าย ความสำเร็จทางโลก แต่ไร้ซึ่งความกตัญญูรู้คุณก็เรียก
ได้ว่าปิดประตู สู่กุศลธรรมต่างๆ แน่นอน อีกทั้งต้องสงเคาระห์เกื้อกูลต่อ ตระกูลที่ไม่
เห็นเราเป็นญาติเราเป็นคนในครอบครัว การสงเคาระห์นั้นก็ไม่มีผลไม่มีอานิสงส์ใดๆ

จะป่วยการยื้อรักยื้อหลงให้เจ็บปวด หรืออาฆาตพยาบาทต่อวิบากกรรม ต่อมโนกรรม
ความรู้สึกนึกคิดฝ่ายอกุศล ฝ่ายมืดดำไปทำไม?

รักเดียวใจเดียวมันถูกต้อง มันคือศรัทธา คือศีล คือความเสียสละ คือจาคะ แต่ขาดปัญญา
เสียแล้ว รักเดียวใจเดียวนี้ก็ทำร้าย ทำลายให้คนๆ นั้นเหมือนนกตาบอด แม้มีปีกก็บินไป
ไหนต่อไหนไม่ได้ มีแต่หลงทิศหลงทาง เพราะตามองไม่เห็น

เมื่อความรักประกอบด้วยปัญญา ความรักเดียวใจเดียว ก็จะไม่กลายเป็นความยึดถือ ความหลง
อีกทั้งความอาฆาตพยาบาทก็ไม่มี นั่นเพราะรักคนถูก(มีศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา)ฉะนั้น
การรักคนผิด(ไม่มีศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา) รังแต่จะนำความเดือดเนื้อ ร้อนใจมาให้
ครอบครัวที่มีผู้นำครอบครัว ที่ไม่มีศีล ก็เท่ากับยืนอยู่บนหนทางของความฉิบหาย ถ้ามีลูก
มีสายใยชีวิต จะดูแลประคับประครองต่อกันไปอย่างไร ที่เคยคิดว่าสุข สุขมันจะเป็นอย่าง
นั้นอย่างนี้ เป็นจริงได้ ต่อเมื่อ มีคู่ชีวิตที่ถูกต้องที่ตรงเหตุตรงปัจจัย ในเมื่อมันไม่ถูกต้อง
ไม่ตรงตามเหตุตามผล การคร่ำครวญเสียใจ ตลอดจนเครียดแค้น วันละสามหนสี่หนเช้า
เย็นขาดสติ หลงคิด หลงแค้นเป็นมโนกรรม เป็นอกุศลจิต เป็นความรู้สึกนึกคิดที่ไม่ฉลาด
ขาดปัญญาเหมือนนกมีปีกที่ตาบอดฉันใดก็ฉันนั้น...

เมื่อสงเคาระห์บุคคลที่ควรสงเคาระห์เช่นพ่อและแม่คนใกล้ตัวแล้ว คนที่ขาดเสียไม่ได้
ก็คือตัวเราเองที่จะต้อง ช่วยเหลือตัวเอง เยียวยาตัวเอง ไม่ปล่อยให้ตกอยู่ใน วิบากกรรม
จากความรักความหลง ความแค้นความอาฆาตนี้นาน

หากไม่สงสาร ไม่ช่วยเหลือตัวเอง ยอมรับเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น เอาแต่โทษหรือตำหนิใคร
ยิ่งทำเท่าไหร่ สิ่งที่ย้อนกลับมาสู่ใจเรา นั่นคือสิ่งที่ประจักษ์เองได้รับเอง หากยอมเย็นใจเรา
ก็เป็นสุข สบายกายสบายใจ หากย้อนกลับมาเป็นความทุกข์ ความไม่สบายใจ แปลว่าที่ทำ
ไปนั้น ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับใครตลอดจนถึงตนเองเลย ดังนั้นการสงเคาระห์ตนเอง
ช่วยเหลือตัวเองจึงมีผล ต่อเมื่อเราเข้าใจตามธรรมดา ตามความเป็นจริง ในสิ่งที่พระพุทธองค์
ทรงสอน ว่าความรัก ความพลัดพราก น้ำตาในมหาสุมทรยังน้อยกว่า น้ำตาที่เราเสียไปที่สะสม
เอาไว้ในทุกภพทุกชาติไม่ได้ คิดดูว่ามากมายขนาดไหน กอบกู้สถานการณ์เริ่มต้นใหม่ นี้ก็สอง
ข้อต้นนะครับ มีเวลาเดี๋ยวจะมาแชร์ต่อครับเจริญพร...


คนเรายังไม่รู้ว่าถืออะไรอยู่ ครั้นจะวางในสิ่งที่ไม่รู้ย่อมเป็นไปไม่ได้ ^^

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2011, 20:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


๓.การยกย่องบูชามีผล
ชื่อว่าได้เป็นสามีภรรยา เมื่อสุดทางแล้วเป็นไปไม่ได้แล้ว การตำหนิติโทษ
ต่อกันและกัน ล้วนเป็นอกุศล ใครยิ่งทำยิ่งทุกข์ อาจสนุกปากแค่เพลินๆ ใน
ตอนต้นแต่ให้ผล ทุกข์ร้อนซ้ำซาก ยามใครมาพูดจาไม่เข้าหู นั่นให้รู้ว่าเพราะ
วิบากอกุศลมันตามมาทัน ได้ยินอะไรเป็นร้อนใจขัดใจไปเสียหมด

เพราะเหตุที่ทำคือไม่ มองแง่ดี หาแต่ข้อเสีย จิตเลยเพลียเพราะจับได้แต่อกุศล
เมื่อหันมาปลด ปล่อย ปลงแง่ร้าย แต่ส่งเสริม สร้างสรรค์ในแง่ดีของคนอื่น แม้มัน
จะน้อยนิดไม่เท่าที่เรามีหรือคิดเองว่ามี(มากกว่า) ก็ให้คิดเสียว่ายังมีหรือพอมี
พอเราระลึกได้คิดได้ว่าเขาก็ยังมีสิ่งดีๆ หลงเหลือที่เคยมีให้กันมา ก็เหมือนรังนกแตก
เหมือนบ้านถูกไฟไหม้ อะไรที่ยังใช้การได้ ก็เลือกเอามาใช้ประโยชน์

ที่เสียแล้วก็เสียไป ยังซ่อมไหวก็เอามาทำใหม่ให้ไฉไลกว่าเดิม อย่างนี้ก็ไม่ผิดกัน
กล่าวคือ ถ้าเป็นที่ทำงานเรามีแต่แง่ดีมองเห็นแต่ความดีคนอื่น จิตใจเราก็คล้อย
ตามจะพูดตามในสิ่งที่ใจเราคิด ส่งผลให้เรากระทำตามออกมาเป็นความรักความ
เกื้อกูลคนในที่ทำงาน ส่วนในสังคม ในบ้าน ในครอบครัวก็ไม่ผิดแปลกแตกต่าง
กันเลยคือ ถ้าเรามองพ่อผัวแม่ผัวตลอดจนทุกคนในครอบครัวด้วย การยกย่อง
บูชา ไม่ตั้งแง่มีแต่ข้อตำหนิ ใจเราก็จะน้อมไปในลักษณะที่จะ พูดจะคิดต่อผู้อื่น
ในแง่ที่ดี ดังนั้นการมองคนอื่น รู้สึกต่อคนอื่น หรือค้นหาข้อดีของคนอื่น หรือการ
ยกย่องบูชา (หมายถึงคุณความดี ลักษณะที่ดีด้วย) มีผล

ถ้ายกย่องต่อการกระทำที่ไม่ดีของคนอื่น ก็เป็นการกระทำที่ผิดไป ส่งเสริมกันผิดๆ
เช่นลูกผิดแต่พ่อแม่เข้าข้าง ลำเีีอียง ในการไม่มีศีลมีธรรม อย่างนี้ก็ไม่สมควรยก
ย่องบูชา ถ้าครอบครัวใด ยกย่องบูชา ก็เท่ากับครอบครัวนั้น ขาดสัมมาทิฐิ ในเรื่อง
การยกย่องบูชา ผลและอานิสงส์ที่จะได้รับ ก็คือความวุ่นวายปั่นป่วน

ที่จะได้รับวิบากรับผลก็ดูได้จาก ปัจจุบันนี้มีผลปรากฏอย่างไร ถ้าอดีตที่ันับไม่ได้
เคยเข้าข้างลำเอียง บูชาบุคคลที่ไม่ควรบูชา ยกย่องคนผิด ผลของกรรมนั้นก็ส่งผล
ให้ปัจจุบันต้องได้รับความลำเอียง ในหมู่คนที่ยกย่องคนผิดคนไม่ควรบูชาฯลฯ

ในที่นี้ชี้ให้เห็นคุณและโทษของการยกย่องบูชาและการตำหนิติเตียนผู้อื่น มีผลมีวิบาก
ของมันเป็นเหตุเป็นปัจจัยอยู่จริง เมื่อรู้แล้วก็หมั่นสร้างแต่เหตุดี คือหาข้อดี(แม้จะน้อย-
นิดจริงๆ) ของคู่กรณีของบุคคลอื่นอย่างน้อย

ก็ทำให้เราเข้าใจทุกข์ เข้าใจธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงมากยิ่งขึ้น ท่านตรัสว่า
กัมมุนา วัตติโลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ข้อนี้เมื่อบุคคลหว่านพืชเช่นใด
ย่อมได้รับผลเช่นนั้น ผู้ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว
ถ้าวัน
นี้ยังไม่รู้ว่า กฏแห่งกรรมนั้นยุติธรรม เห็นคนทำเลวทำชั่ว คนไม่ควรยกย่องบูชาได้รับ
แต่ความสุข เห็นแต่ตัวเราเอง ทำไมต้องได้รับความทุกข์ เที่ยวแต่โทษแต่แช่งคนอื่น
เพิ่มบาปอกุศลให้ตนเอง แปลว่า ยังไม่รู้จักกรรมที่เคยทำเอาไว้ทั้งในปัจจุบันและในอดีต
(กรรมเก่า กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่ล่วงไปแล้วทั้งดีและชั่ว)พร้อมทั้งวิบากกรรม
หรือผลแห่งกรรมที่ตนเองกำลังได้รับดีพอ...

๔.ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วมีจริง
ต่อจากข้อที่แล้วเรื่องบูชายกย่องบุคคลที่ีควรบูชา ก็เป็นเรื่องกฏแห่งกรรมที่รู้ได้ยาก
เห็นได้ยากและเป็นอจินไตย แปลว่าไม่ควรคิด ที่ว่าไม่ควรคิดในที่นี้คือ ไม่เที่ยวแต่
สาปแช่งสาปส่ง เฝ้าถามว่า ทำไมๆ คนเลวๆ ผู้ชายเลวๆ ถึงไม่ได้รับผลของการกระทำ
ของความไม่รู้จักพอ ข้อนี้หากได้ย้อนดูตั้งแต่ต้นมาทุกข้อ ตั้งแต่การรู้จักงดเว้น มหาทาน
คือ๑.ไม่ฆ่าไม่เบียดเบียน ๒.ไม่ลักทรัพย์ ๓.ไม่ประพฤติผิดในกามไม่คบชู้ ๔.ไม่โกหกหลอกลวง
๕.ไม่ดื่มไม่ติดสุราสิ่งเสพติดมึนเมา ห้าข้อนี้พระท่านเรียกว่า เป็นการให้ทานอย่างหนึ่ง
คือให้ชีวิตในข้อแรก ให้สมบัติสิ่งของในข้อสอง ให้ความไม่เบียดเบียนกันในข้อสาม
ให้ความจริงในข้อที่สี่ ให้ความเจริญแห่งสติปัญญาความไม่ประมาทเป็นที่ห้า...


หากว่ามหาทานนี้มีแก่บุคคลใด การสละปันสิ่งของต่อผู้ที่ควรให้ ตลอดจนการสงเคาระห์
เอ็นดูช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ยกย่องบูชาตนเอง กราบไหว้ตนเองเป็น เคารพตนเองเป็น

คำถามที่ว่า ทำไมคนนั้น ผู้ชายคนนั้น ถึงไม่ได้รับกรรมที่เขาทำเพราะความมักมากบ้าง
ก็คงไม่เกิดขึ้นค้างคาใจ ในเรื่องกฏแห่งกรรมแน่นอน แต่ที่ติดขัดติดข้อง ขอรอดูความ
ฉิบหายขอดูความตายความทรมานของ"พวกมัน" อันนี้ก็สุดแท้แต่ เหตุปัจจัย และสุดแท้แต่
กรรมและผลของกรรม ที่รู้ไม่ได้ คิดไม่ได้ อยากให้เป็นไปตามต้องการไม่ได้ นี้แหละคือ
อจินไตยไม่ควรคิด คิดแล้วก็เป็นบ้า หลง ไม่มีสติ เครียดแค้น บ่อนทำลายตนเอง ไม่ให้อภัย
ไม่สงเคาระห์ตนเอง ไม่หันกลับมายกย่อตนเองที่ไม่ผิดธรรมนองคลองธรรมเช่นนั้นบ้าง แม้้ต้อง
ได้รับวิบากกรรมจากการล่วง ศีลข้อ ๓ เรื่องความประพฤติผิดในกามสดๆ ร้อนๆ ที่ผ่านมาที่ได้รับ กับ
ไม่มองไม่สะท้อน ไม่ระลึก ไม่พินิจพิจารณาดู ถึงกรรมและผลของกรรมเลย...ฯลฯ

ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน พอใช้ชีวิตร่วมกัน ถ้าสองคนไม่ยึดถือสิ่งเดียวกันคือรักเดียว
ใจเดียวแล้ว ถึงแม้คนหนึ่งมีศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา แต่อีกคนหนึ่งไม่มี ความรักเมื่อเป็น
เรื่องของคนสองคน เปรียบเหมือนเสื้อขาวสะอาดที่มีรอยหมองคล้ำหรือขาดทะลุแล้ว

จะเป็นเสื้อด้านหน้าด้านหลัง ก็เรียกว่าไม่สะอาดไม่สวย ทะลุข้างหน้า ข้างหลังไม่ทะลุ
ทะลุข้างหลังแต่ไ่ม่ทะลุไม่ดำข้างหน้า ก็เรียกได้ว่า หม่นหมองและใช้ประโยชน์ไม่ได้ ไม่ต่าง
จากความรักที่เป็นเรื่องของคนสองคน คือต้องมีศีลข้อ ๓ เสมอกัน เมื่อเรามีเขาไม่มีจะให้
พ้นไปจากความทุกข์แต่เพียงลำพังเพราะเรามีศีลมีสัจจะ ก็คงเป็นไปไม่ได้!
เหมือนเสื้อขาว
สะอาดที่มีรอยดำขาดทะลุแล้วฉันใดก็ฉันนั้น...

ที่ประคับประครองที่ปะที่ชุนที่เย็บ ใส่ได้ก็ไม่สวย เวลาใส่แล้วมีตำหนิมีร้อยเย็บ คลำแล้ว
ก็อดเจ็บอดแสบไม่ได้ อันนี้ก็เป็นเรื่อง ต้องทำหูหนวกตาบอดเป็นใบ้ ในรายที่ต้องประครอง
ชีวิตมีห่วงมีสายใ่ยชีวิตกันต่อไป ใครจะดีจะชั่วก็ช่างเขา เรื่องของเรากรรมของเรา จะสุขหรือ
ทุกข์ล้วนอาศัยเหตุปัจจัย พระท่านว่าเกิดจากผัสสะกระทบ หรืออาศัยตัณหาเป็นเหตุเป็นปัจจัย
คนเราุึุึถึงจะสุขจะทุกข์ได้ มีความอยากได้อยากมีอยากเป็นมาก ก็ยึดมาก เมื่อไม่ประสบกับ
สิ่งที่เป็นที่รักที่พอใจ ก็ทุกข์มากช้ำมาก

สุขหรือทุกข์นั้นจึงเป็นนามธรรมอาศัยเหตุปัจจัยเกิด อาศัยตัณหาเกิดพระท่านสอนให้รู้กรรม
คือกิเลส กรรม วิบาก(สุขหรือทุกข์)อย่างนี้ กรรมที่เราคิด เราพูด เราทำมีจริง ผลของกรรม
ก็มีจริง เช่นเดียวกับนกมีปีกที่ตาบอด พออยู่มาวันดีคืนดี เกิดปฏิหาริย์ ตาที่เคยมืดบอดเริ่ม
มองเห็นแสงสว่าง มันก็พร้อมจะบินไปในทิศต่างๆ ตามที่มันพอใจ เพราะมันลืมความแค้น
ความหลังลงได้ เหมือนกับแม่บ้านที่ คลำเจอผ้าที่ปะเย็บ เจ็บแต่ไม่จำ ทำแต่สิ่งดีๆ บุญทำ
บาปไม่สร้าง ถือเอาพระรัตนตรัยเอาพระธรรมคำสั่งสอนเป็นที่พึ่ง

คิดดี พูดดี ทำดี จิตที่เหมือนนกตาบอด ใจที่อาฆาตแค้น ก็ถูกสัมมาทิฐิ มีการให้ทานคือการ
ให้อภัยปลูกฝังลงในจิตใจ เป็นเหมือนแสงสว่างนำทางให้ชีวิตได้เริ่มต้นใหม่ มีอิสระพร้อมจะ
โบยบิน รู้จักให้ต่อคนที่ควรให้ ช่วยเหลือไม่ทอดทิ้งคนที่ไม่ควรทอดทิ้ง(พ่อแม่ญาติพี่น้อง)
ยกย่องบูชาต่อคุณความดี เห็นข้อดีคนอื่น บูชาคนที่ควรบูชา

เชื่อว่ากรรมและผลของกรรมมีจริง และสนใจกรรมดีกรรมชั่ว คิดดี พูดดี ทำดีของตนเอง
ไม่สนใจใส่ใจต่อกรรมและผลของกรรมของคนอื่น คิดไปก็เสียเวลาเสียสติเปล่าประโยชน์
ด้วยสัมมาทิฐิ ๔ ข้อต้นนี้ก็คงช่วยเยียวยายกระดับจิตใจ ให้ตรงต่อประโยชน์และความสุข
ที่แท้จริง โดยไม่ต้องมุ่งที่จะ สุขเพราะเห็นความทุกข์ความฉิบหายของคนอื่น

เพราะกรรมและกฏแห่งกรรมนั้น ยุติธรรมแล้วสำหรับทุกสัตว์ตัวตนบุคคลหญิงหรือชายล้วน
ได้รับผลของกรรมดีและชั่ว ตามกรรม(กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม)ที่ตนกระทำ ผลสุข
ไม่เกิดขึ้นเื่มื่อเรายังทำกรรมที่เป็นทุกข์ ต่อเมื่อเราทำกรรมที่เป็นสุข ผลของสุขจึงกลับมา
และเหนือยิ่งไปกว่าคือมีความเข้าใจถูกเห็นถูก ทั้งสมมติสัจจะ ความจริงธรรมดาโลก ว่า
สุขทุกข์เป็นของคู่กัน ทุกตัวคนบุคคลชายหญิง ไม่มีใครจะได้รับสุขหรือทุกข์ไปตลอด
อย่างใดอย่างหนึ่งอย่างเดียว ล้วนต้องมีทุกข์มีความพลัดพรากมีความ อาลัยอาวร คับแค้น
คับข้องใจด้วยกันทั้งนั้น

เมื่อพิจารณาตามความเป็นจริงตามพระธรรมคำสั่งสอน ก็จะยิ่งเห็นแจ้งเห็นชัดในความไม่รู้
ความยึดถือ ที่เอาสุขหรือทุกข์นี้เป็นเราของเรา เพราะโดยแท้จริงแล้ว มันเป็นไปตามอำนาจ
เหตุปัจจัยต่างหาก เป็นไปตามตัณหาอุปาทานที่เป็นอำนาจความพอใจไม่พอใจและความไม่รู้

สุขทุกข์แท้จริงแล้วไม่ใช่มีใครทำ ทั้งไม่ใช่เราทำเอง สุขทุกข์ล้วนอาศัยผัสสะ อาศัยตัณหา
เป็นเหตุเป็นปัจจัยสั่งสมไว้ ตามที่กล่าวมา เมื่อบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ถึง ความไม่มีอำนาจไปบังคับบัญชา
ให้สุขให้ทุกข์มันเ็ป็นไปตามใจต้องการ ก็สมควรพิจารณา เห็นความเบื่อหน่าย ในสุขในทุกข์
ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราของเรา เพราะที่สุดชีวิตก็ยังมีความเกิดแก่ เจ็บตาย รออยู่

มีความพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น สมคำที่พระองค์ทรงตรัสว่า
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ถ้าวันนี้ใจเราตกต่ำ ดำเครียด
หายใจเข้าออกเป็นแต่เครียดเป็นแต่แค้น อกุศลวิตกที่ก่อเกิดอยู่เป็นประจำนี้แหละ จะมีอำนาจ
ชักจูงให้เรา คิดเราพูด เราทำไปในทางอกุศลเสียมากกว่า

ให้ตั้งจิตอธิษฐานขอให้เกิดสติปัญญา รู้เห็นความจริงของสิ่งทั้งหลาย ขอให้ตนเองมีสัมมาทิฐิ
เพราะสัมมาทิฐิจะเป็นเหมือนเกาะแก้วเป็นกำแพง ป้องกัน อกุศลวิตกต่างๆ ที่เป็นมาร เป็นปีศาจ
คอยมายุยงให้เราเื่สื่อมจากความดี จากกุศล เข้าห้องพระดูพระพุทธรูป มองพระพักต์ขององค์
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านคงไม่ชนะภัยเวรทั้งหลายด้วยการจองเวร เหมือนพระเทวทัต
ท่านคงไม่ชนะหากยังไม่มีสัมมาทิฐิ ท่านคงไม่ชนะหากท่านยังไม่ละอกุศล และทำกุสลให้ถึงพร้อม
ท่านคงไม่ชนะหากไม่ทำจิตให้บริสุทธิ์พิจารณาสภาพธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริง

เพราะท่านเป็นผู้บอกผู้สอน ผู้แสดงหนทางพ้นทุกข์เอาไว้แล้ว และทรงตรัสว่า สัมมาทิฐิและ
โยนิโสมนสิการ การพิจารณาโดยแยบคายนี้เองคือ รุ่งอรุณของกุศลธรรมทั้งหลาย

เพราะท่านตรัสว่า ทานมีผล การสงเคาระห์มีผล การยกย่องบูชามีผล และผลของวิบาก-
แห่งกรรมดีกรรมชั่วมีผล
จริงแท้ทุกประการขอเจริญพร...

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2011, 20:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ทำแบบนั้น ก็ยิ่งเป็นการยอมรับว่า
เขาคิดถูกที่เลิกกับเรา อย่าทำแบบนั้นเลย ทำไปแล้ว
ใช่ว่าใจเราจะสงบขึ้น ยิ่งก่อกวนเขา เราก็ยิ่งว้าวุ่น
ยิ่งอยากทำให้พวกเขาเจ็บ เราเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายเจ็บ
ไหนๆก็เลิกกันแล้ว เหลือความทรงจำดีๆ ไว้ให้พวกเขา
ยามนึกถึงเราดีกว่า

ถ้าคิดว่าเราไม่ผิด ใจเราก็ยิ่งจะอาฆาต ลองคิดกลับด้านดูซิ
คิดว่าเราคงเคยทำอย่างนี้กับพวกเขา ที่เห็นชัดๆเลย
ก็คือขณะนี้ คุณกำลังสร้างความเดือดร้อน ก่อเหตุ
สร้างอกุศลกรรม กับพวกเขา ผลที่ได้รับทันทีก็คือ
ความทุรนทุราย กระสับกระส่ายของตัวเอง
ซึ่งการกระทำเหล่านี้ ยังจะส่งผลต่อไปในอนาคตอีก

ถ้าคิดถึงความดีของตัวเองมากกว่าความดีของคนอื่น
ความริษยา อาฆาต ทิฐิมานะ จะแรงและเพิ่มมากขึ้น
แต่ถ้าเห็นความไม่ดีของตัวเองมากเท่าไหร่?
ความแค้น อาฆาต จะอ่อนแรงลงมากเท่านั้น

ไตร่ตรองถึงข้อบกพร่องของตัวเอง พร้อมกับพยายามนึกถึง
ความดีของพวกเขา....แล้วสังเกตุดูว่าความอาฆาตมาดร้าย
จะคลายตัวลงไปมาก

ดีแล้วที่เลิกกันเสียแต่ตอนนี้ ตอนที่ยังไม่มีอะไรพัวพัน
ยังไม่มีใครให้รับผิดชอบ อยู่กันไม่ได้แล้วบอกตรงๆ
ยังดีกว่า "อยู่ทน อย่างทนอยู่" จะทุกข์ทรมานมากกว่านี้

จะปีใหม่แล้ว ล้างสิ่งเก่าๆออกไปเถอะ
สร้างสิ่งใหม่ๆให้กับตัวเอง อดึตที่ทำให้เจ็บปวด
มันก็กำลังเคลื่อนตัวห่างออกไปจากเรา อย่าพยายาม
ดึงมันกลับมาให้เป็นปัจจุบัน....ให้โอกาสตัวเองนะค่ะ :b4: :b4:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2011, 22:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 พ.ย. 2011, 16:11
โพสต์: 43


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณท่าน พุทธฎีกา และพี่ทักทายนะคะ
หนู ขอใช่คำนี้นะคะเพราะพูดกับพ่อแม่จะติดปาก ทั้งที่อายุก็มากแล้ว
ขอบคุณที่ให้สติ ตอนเย็นหนูไปงานวันเกิดของหลานมา เป็นวันรวมญาติพี่น้องเลยก็ว่าได้
มีคนที่รักและห่วงใยหนู่คือหลาน ก็อายุห่างกันแค่ 1 ปี เขาไปเที่ยวทำบุญที่วัดของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
ยังคิดถึงหนูว่าลืมช่วยหนูไปด้วยจะได้เปลี่ยนบรรยากาศและไม่ฟุ้งซาน หนูมองแต่ว่าคนอื่นไม่รักหนู่แต่ลืมมองคนใกล้ตัวเขาเป็นหว่งและรักหนู และยังผู้ที่ให้กำเนิดหนูมาท่านรักหนูแบบไม่มีข้อแม้ใด ๆ เลย

หนูอ่านข้อความของท่านพุทธฎีกาแล้วหนูก็น้ำตาไหลไป
ว่าหนูไม่รักตัวเองเลยให้ความสำคัญคนอื่นมากกว่า
ที่สำคัญลืมคนที่รักเรามากกว่าใครในโลก คือ พ่อกับแม่
เมื่อเกิดเรื่องใหม่ๆ ท่านมานอนข้างๆ หนูและกอดหนูปลอบหนูและร้องไห้ไปกับหนู
ด้วยความสงสารหนู

พี่ทักทายคะ ขอบคุณนะคะ
หนูพยายามจะไม่ทำบาปในด้านอกุศลกรรม
แล้วพยายาม คิดปล่อยวางเหมือนอย่างที่แม่สอน คนเราไม่ได้เกิดมาพร้อม
ตายก็ไม่ตายด้วยกัน เมื่อก่อนไม่มีเขาเรายังอยู่ได้ ไม่มีอะไรเป็นของเราแม้แต่ร่างกายของเรา
ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เดี๋ยวมันก็ผานไป (แม่บอกแล้วอยู่เป็นโสดสบายจะตาย)
แม่ท่านจบ ป.4 แต่ท่านมีคุณธรรมย่อมรับสัจจะธรรมมากกว่าหนู
ท่านส่งหนูเรียนสูงแต่หนูกับไม่ยอมรับความเป็นจริงเลยของธรรมชาติเลย
หนูแพ้กิเลส ความรัก โลภ โกรธ หลงทุกที

หนูจะพยายามชนะใจตัวเองให้ได้นะคะ
จะพยายามปล่อยความอาฆาต ทิฐิ เพราะสิ่งที่หนูทำลงไปหนูรู้ว่ามันเป็นบาป
แต่ด้วยความขาดสติและโง่เขลาของตนเอง
หนูจะพยายาม สู้ๆๆๆ ชนะกิเลสและใจตนเองให้ได้

ตอนนี้หนูจะมอบความรักที่หนูมีให้กับหลานแท้ๆตัวน้อย ๆ ของหนู
น่ารักน่าชัง อายุ 1เดือนแล้วคะ
และหนูคงเข็ดเรื่องความรักและการมีครอบครัว เพราะเป็นคนเปิดโอกาสในการคบคนยากมาก
( อาจจะกลัวเหงากับการอยู่คนเดียว แต่ดีกว่าเสียใจกับผู้ชาย)
และอยู่เป็นลูกตัวน้อยของพ่อแม่ ผู้ที่เริ่มแก่เฒ่าลงทุกวัน
คิดไปก็ดีนะคะที่หนูได้มีโอกาสตอบแทนคุณพ่อแม่เมื่อท่านแก่เฒ่า

หนูจะ สู้ๆๆกับมันนะคะ ถ้าหนูเริ่มคิดแค้น
จะพยายามห้ามใจตนเองไม่ให้ก่อกวนสร้างความเดือดร้อนให้อดีตสามี ผู้อืน และตนเองอีก
จะเตือนตนเองไว้ กรรมใครกรรมมัน อย่าสร้างกรรมให้ตนเองมากกว่านี้

จะพยายามรับความจริงให้ได้ ลดอาฆาต ทิฐิลงให้ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ของเรา

ขอบคุณคะ ปีใหม่นี้ขอให้สุขกายสุขใจนะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2011, 07:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ธ.ค. 2011, 07:44
โพสต์: 142

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านเรื่องของคุณแล้ว นึกถึงน้องที่เคยร่วมงานกันคนนึงเลยค่ะ

น้องคนนี้เค้านิสัยคล้ายๆคุณ คือ เป็นคนแรง เค้าเล่าว่า เคยอกหักจากแฟนเก่า เค้าเคียดแค้นถึงขนาด ถึงขนาดเคยปีนเข้าบ้านผู้ชาย หวังจะเอายาพิษใส่ในแท้งค์น้ำ หวังฆ่าคนทั้งบ้านมาแล้ว แต่บังเอิญทำไม่สำเร็จ มิเช่นนั้น อาจได้ขึ้นหน้าหนึ่งนสพ.รายวันไปแล้ว หลังจากนั้น เค้าก็ได้เจอแฟนคนปัจจุบัน ได้แต่งงานและมีลูกเต้าไปแล้ว เคยถามเค้าเหมือนกันว่า ทำไมถึงคิดแค้นแรงขนาดนี้ เค้าบอกว่า มันเป็นนิสัย (สันดาน) ที่แก้ไม่ได้ เป็นมาตั้งแต่ตอนเด็ก เค้าเคยถูกพ่อแม่จับขังไว้ในห้องทั้งวันเพื่อทำโทษ คงเป็นเพราะเรื่องนี้หรือเปล่า ที่ทำให้เค้าสะสมเอาสิ่งไม่ดีๆมามากๆเข้า นานวันนานคืน เลยแสดงออกแบบนี้

เวลาเค้าโกรธหรือทะเลาะกับคนในบ้าน (พ่อแม่สามี) เค้าเคยถึงขนาดขว้างแก้วขว้างปาสิ่งของต่อหน้าผู้ใหญ่มาแล้ว เราได้ยินถึงกับผงะค่ะ ขนาดโตๆกันแล้วยังควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ นี่ถ้ายังเด็กอยู่ สงสัยหนักกว่านี้ (ตอนเด็กๆเค้าบอกว่าหนักกว่านี้อีกค่ะ)

พอดีเห็นคนนิสัยคล้ายๆคุณมาแล้ว เลยอยากเตือนด้วยความหวังดีน่ะค่ะ ว่าพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองบ้าง อย่างน้อยๆให้เย็นลงก็ยังดี อย่าไปคิดทำร้ายหรือส่งข้อความด่าว่าเขาและคนในครอบครัวเลยค่ะ ไม่มีประโยชน์ ถึงคุณจะแค้นแค่ไหน มันก็รังแต่จะทำให้พวกเค้ามองคุณในแง่มุมร้ายมากขึ้น เค้าอาจจะยิ่งส่งเสริมให้อดีตสามียิ่งไม่ชอบคุณ และเห็นจุดอ่อนในตัวคุณมากขึ้นไปใหญ่ อีกอย่าง การแต่งงาน มิใช่แต่งกับแค่คนๆเดียว แต่คุณต้องแต่งกับคนทั้งบ้านเลยค่ะ ดังนั้น จึงไม่แปลกเลยที่คนในครอบครัวจะมีอิทธิพลทางความคิดต่อตัวเค้า ยิ่งถ้าเค้าเป็นครอบครัวใหญ่ อยู่กันหลายคน ยิ่งหลีกเลี่ยงปัญหาจากคนรอบข้างไม่ได้ค่ะ

คุณลองไตร่ตรองคิดให้รอบคอบว่าจะทำอย่างไรต่อไป ถ้าหากยังรักเค้าอยู่ คุณรับได้ไหมกับปัญหาญาติๆของเค้า ถ้ารับได้ ก็บอกเค้าไปตามตรงว่ายังรักเค้าอยุ่ ขอโอกาสกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แต่ถ้าคุณตัดสินใจไม่คืนดีด้วยแล้ว ก็อย่าไประรานเค้าเลยค่ะ ต่างคนต่างไป คุณอาจจะได้พบรักครั้งใหม่ ที่ดีกว่านี้ก็เป็นได้ค่ะ

ขอให้คุณมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิมนะคะ ถ้าไม่สบายใจก็เข้ามาคุยกันในนี้ได้ค่ะ พี่ๆเพื่อนๆ ที่นี่น่ารักมากๆ มีแต่ให้คำแนะนำดีๆให้กับทุกคน คุณหรือเราก็ไม่ต่างกันค่ะ ต่างหนีร้อนมาพึ่งเย็นกันทั้งนั้น

มะกอกมะนาว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2011, 13:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2011, 15:12
โพสต์: 191


 ข้อมูลส่วนตัว


อืม จากความเห็นของท่านพุทธฏีกาก็ดี คุณทักทายก็ดี ท่านอื่นๆก็ดี เธอคงจะได้สติไปบ้างไม่มากก็น้อย สิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นเป็นอกุศลนำความทุกข์มาให้ พึงขจัดสิ่งนั้นออกไปไม่ให้เกิดขึ้นแม้ในความคิด ในจิตใจ ควรมีความเพียรพยายามระวังไม่ให้อารมณ์อันเป็นอกุศลเกิดขึ้นอีก หากอกุศลเกิดขึ้น พึงหาวิธียังอกุศลไม่ให้เกิดขึ้น พร้อมกันนั้นต้องเพียรยังกุศลความดีให้เกิดมีขึ้น และทำให้ยิ่งๆขึ้นไปอีก ถ้ามีความเพียรพยายามโดยชอบ คิดโดยชอบถูกต้องแล้ว ย่อมมีความเจริญตามลำดับ ขอจงทำความเห็นใหม่ ทำให้เป็นความเห็นโดยชอบ เห็นโดยชอบอย่างไร เห็นโดยชอบก็หมายความว่า เชื่อกรรมการกระทำ กรรมการกระทำนั้นจะส่งผลให้เกิดมีขึ้นได้ทั้งดีและชั่ว ...หากปราถนาที่จะคลายความเคียดแค้นอันเป็นความทุกข์ ก็ปล่อยวางเสีย อย่าเก็บไว้ พึงทำทำความเห็นพิจารณาตนให้เห็นเป็นไปตามจริงของธาตุขันธุ์ ลดทิฏฐิความถือตัวถือตน เห็นตนเป็นตัวตนก็ย่อมเข้าข้างตัวตนเพื่อตน เห็นตนไม่เป็นตัวเป็นตนก็ย่อมไม่เข้าข้างตัวตนเพื่อตน เพราะเมื่อบุคคลเห็นตนตามเป็นจริงแล้ว จึงไม่มีตัวตนที่จะก่อกรรมให้เกิดความเคียดแค้นแก่ใครๆเพื่อตัวตน ตนไม่ใชตนเพราะตนนั้นไม่ใหญ่ ตนนั้นไม่ปรากฏโดยความเป็นตัวตน ฉะนั้น ขอจงเพียรพยายามทำความเห็นให้ถูกให้ชอบเถิด ละตัวตนด้วยตัวตนเองนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2011, 18:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 พ.ย. 2011, 16:11
โพสต์: 43


 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้ไปงานเลี้ยงส่งพ่ที่ทำงานได้ย้าย
ได้ยินผู้บริหารพูดคุยกันสัพเพเหระจนมาพูดเรื่องเมียน้อยกัน
เราอึ้งที่ได้ยินเพราะท่านพูดกันอย่าเปิดเผยและเห็นเป็นเรื่องปกติมาก
เราได้ยินแล้วสงสารเมียและลูกท่านที่บ้าน รู้สึกเห็นใจลูกผู้หญิง
แล้วก็ เฮ่อ ผู้ชายส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้หรือ
ไม่ได้อคติกับผู้ชายทุกคนนะคะ เพราะพ่อหนูก็เป็นคนรักเดียวใจเดียวไม่เจ้าชู้

ขอบคุณ พี่world2/2554 และพี่ มะกอกมะนาว ที่เป็นห่วงกลัวหนูความคุมอารมย์ไม่อยู่คิดฆ่าคน
มันเป็นบาปคะหนูไม่ทำอีกอย่างมันผิดกฏหมายด้วย
หนูแค่ยึดมั่นถือมั่นเกินไป เพราะถูกปลูกฝังให้รักเดียวใจเดียว มีผัวเดียวเมียเดียว ตัดสินใจเลือกแล้วเลือกเลยไม่มีการเปลี่ยนใจ ต้องยอมรับการตัดสินใจตนเองทุกเรื่อง แม้แต่การกิน การเลือกซื้อของ
( อาจจะดูหัวโบราณสำหรับคนสมัยนี้ ที่ยังรักเดียวใจเดียวอยู่กันจนแก่เฒ่า แต่หนูคิดว่ามันเป็นสิ่งดีและไม่ทำให้สังคมไม่วุ่นวาย)
มันก็เลยเจ็บแทบกระอักเลือดนะคะ

และเรื่องการกับมาคืนดีกันคงเป็นไปไม่ได้( ถึงแม้หนูจะมีเยื่อใยและอภัยให้เขาถ้าเขามาขอโทษขอคืนดี) คือ
1. เค้าไม่ได้รักหนู และเขาเป็นคนที่ใจดำ ไม่ให้อภัยใคร
2. หนูได้กระทำ สิ่งไม่ดี ด้วยโมหะ โทสะ คือการระรานเขาและญาติ ( อย่างที่พี่ทักทายบอกว่าทำแบบนี้เขายิ่งคิดถูกที่เลิกกับหนู)

วันนี้หหนูชนะใจตนเอง 1 วัน คิดแค้นจะส่งข้อความระรานญาติเขาอีก แต่ก็ควบคุมอารมย์ แล้วบอกกับตัวเองว่า อย่าสร้างบาปให้ตนเองอีก ๆๆ ชังมันๆๆๆๆๆ ได้หลายกิโลเลย

อยู่เป็นนกโสดในรังเดิมดูแล พ่อแม่ดีกว่า อ้อแล้วก็ หลานน้อยๆๆที่กำลังเติบโตเรียนรู้โลก อีก 1 คน
เป็นภาระที่พ่อกับแม่สั่งไว้ว่า ถ้าพ่อแม่ไม่อยู่ ให้ดูแลน้อง
และส่งเสียเลี้ยงดูหลาน( ลูกของน้องชาย) แทนแม่ เพราะว่า หนูเป็นข้าราชการคนเดียวในบ้าน
หนูก็ยินดีนะคะ

ขอบคุณทุกท่านหนูจะพยายามชนะใจตนเองให้ได้ ตลอด
หนูต้องทำได้ เกิดเป็นคนซะอย่าง ทำไม่ได้ก็ตายไปกับมันซะ เลือกเอา จะเอาทุกข์หรือสุขใจ
(คำแม่สอน)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2011, 22:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขอให้ชนะกิเลสทั้งปวงนะค่ะ

อนุโมทนาสาธุค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2011, 12:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2011, 16:09
โพสต์: 38

แนวปฏิบัติ: สวดมนต์
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะ ถึงแม้จะไม่มีคำแนะนำดีๆมาให้แต่ก็ขอเป็นกำลังใจใ้ห้ผ่านพ้นไปไห้ได้นะคะ :b1:

.....................................................
รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2011, 00:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 13:34
โพสต์: 1654

งานอดิเรก: ฟังเพลง และฟังธรรมตามกาลเวลา
สิ่งที่ชื่นชอบ: อภัยทาน
อายุ: 39
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว




Lotus181.jpg
Lotus181.jpg [ 2.98 KiB | เปิดดู 11899 ครั้ง ]


ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์
ที่ใดมีทุกข์ ที่นั่นมีธรรม


ชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้า โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)

แลอดีต.... เมื่อเหลียวหลังไปดูอดีตหลายๆคนมักเสียใจว่า สิ่งที่เราอยากทำหรือควรทำน่าจะทำได้ดีกว่านี้ ทำไมเราถึงไม่ทำ เช่น การเรียน บางคนเสียใจว่า ทำไมตอนเด็ก ๆ เราน่าจะตั้งใจเรียนกว่านี้ หากตั้งใจตอนนี้ชีวิตของเราคงเจริญก้าวหน้ามากกว่าปัจจุบัน

อยู่กับปัจจุบัน.... แต่เราก็ไม่สามารถกลับไปเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราในอดีตได้อีกแล้ว เพราะสิ่งใดในชีวิตคนเราผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้อีก จงอยู่กับชีวิตในปัจจุบัน จงใช้ชีวิตอยู่กับวันนี้ อย่าได้เสียใจกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต แต่จงนำประสบการณ์ทั้งดีและไม่ดีในอดีต นำมาเป็นบทเรียนต่อไป

ล้มได้ก็ลุกได้.... คนเราทุกคนในโลกนี้ เกิดมาแล้วย่อมต้องพบกับปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ นานา ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาเงินทอง ปัญหาการทำงาน ปัญหาความรัก ปัญหาครอบครัว ฯลฯ บางคนยอมพ่ายแพ้ต่อปัญหา บางคนยอมรับกับความผิดหวัง ความล้มเหลว แต่คนที่ประสบความสำเร็จ เมื่อเขาพบกับความล้มเหลว เขาจะลุกขึ้นสู้อีกครับ

พ่ายแพ้ชั่วคราว... คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ เขามักมีความเข้าใจปรัชญาของคำว่า “ การพ่ายแพ้ชั่วคราว” การพ่ายแพ้มักไม่สามารถทำให้เราจบสิ้น แต่ความล้มเลิกต่างหากที่ทำให้คนเราจบสิ้น จงกระโดดโลดเต้นดีใจแล้วร้องว่า “ความสำเร็จรอเราอยู่ข้างหน้า” แล้วเริ่มต้นต่อสู้ใหม่อีกครั้ง

จงกำหนดชีวิตของเราด้วยตัวตนของเราเอง.... ไม่มีใครที่จะกำหนดชีวิตของเราหรือรู้จักตัวตนของเราได้ดีกว่าตัวเราเอง จงกำหนดชะตาชีวิตของตนเอง อย่าให้ใครมาเป็นผู้กำหนด คนเราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิต ไม่ได้มีชีวิตให้คนอื่นใช้ ชีวิตจะดีหรือไม่ดี ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองเป็นสำคัญ

เดินต่อไป...... คนเราเปลี่ยนแปลงเรื่องราวที่ผ่านพ้นมาในอดีตไม่ได้ แต่สามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตได้ จงก้าวเดินต่อไป จงหาเป้าหมายของชีวิตตั้งแต่บัดนี้ จงจับจ้องที่เป้าหมาย ไม่ใช่จับจ้องที่อุปสรรค แล้วชีวิตของท่านก็จะก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและมีความสุข เพราะโลกทั้งโลกมักเปิดทางให้กับคนที่รู้ตัวว่าเขาจะเดินทางไปในทิศทางใด ขอให้ท่านจงเดินไปข้างหน้า ระยะทางหมื่นลี้ ย่อมเริ่มต้นจากก้าวแรกเสมอ

ถ้าไม่กล้า...ก็ไม่มีวันเดินหน้า.... คนเราเมื่อไม่กล้าที่จะทำอะไร ก็ไม่ควรหวังว่าจะได้อะไร จงกล้าที่จะไปตามหาความฝันของตนเองตามเส้นทางเดินของตนเอง ถึงแม้คนรอบข้างของเราจะคัดค้าน ต่อต้าน ไม่เห็นด้วย ไม่มีการสนับสนุน ก็ตาม จงก้าวเดินไปสู่ความฝันอย่างมั่นใจ จงเลือกอาชีพที่ตนเองชอบและตนเองถนัด แต่ถ้าหากท่านยังหาสิ่งที่ใช่อาชีพที่ใช่ยังไม่เจอ จงหามันต่อไป แล้วจงกล้าที่จะก้าวเดินต่อไป อย่าได้หวั่นไหวกับอุปสรรคต่างๆ

ขอบคุณที่มา :: drsuthichai

:b44: กราบอนุโมทนาบุญกับท่านผู้เจริญในธรรมและกัลยาณมิตรนะเจ้าค่ะ มีดวงตาเห็นธรรม มีความสว่างทั้งทางโลกและทางธรรม มีความสุขความเจริญ และอยู่เย็นเป็นสุขนะเจ้าค่ะ :b8: :b8: :b8: :b20:

หากต้องการธงชัยต้องเดินไปข้างหน้า

.....................................................
ธรรมอำนวยพร
ขอให้.....มีจิตที่รู้ ที่ตื่น ที่เบิกบาน (พุทธะ)
ขอให้.....ทำการงานด้วยความสุข (อิทธิบาทสี่)
ขอให้.....ขจัดทุกข์ได้ด้วยปัญญา (อริยสัจสี่)
ขอให้.....มีดวงตาที่เห็นความจริง (ไตรลักษณ์)
ขอให้.....เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยไตรสิกขา (ศีล, สมาธิ, ปัญญา)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2011, 16:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 พ.ย. 2011, 14:04
โพสต์: 19


 ข้อมูลส่วนตัว


ใจเดียว เขียน:
สวัสดีคะ
เรื่องของดิฉันผ่านมาได้ 7เดือนแล้วและดิฉันก็แยกทางกับสามีแล้ว ทำใจได้เมื่อไม่มีเขาอยู่
แต่เมื่อครบรอบ วันแต่งงาน 5 ธค. ทำให้ใจฉันคิดแค้น สามีและญาติของเขา ( เราคบกัน 1 ปี ครึ่ง แต่งงานได้ 4 เดือนก็แยกทางกัน ปัญหามือที่ 3 และ ญาติเข้ามาเกี่ยวข้อง คิดว่าดูดีแล้วขยัน ไม่เจ้าชู้ แต่....)
เพราะเป็นรักครั้งแรกและสามีคนแรกที่ดิฉันจะสร้างครอบครัว แต่แล้วมันกับทำให้ช้ำใจเมื่อแต่งงานกันไปแล้ว เจ้าตัวสามีบอกว่าไม่ได้รักเรา (เขาเจอคนใหม่ที่น่ารักออนหวานเอาใจเก่ง) นึกถึงเหตุการณ์นี้ขึ้นมาทำให้คิดแค้นและอาฆาตมาก ๆ และทางน้องของสามีบอกกับสามีเราให้อยู่เฉยไม่ต้องมาหาเราไม่ต่องติดต่อกัน ( คือเหมือนเขาสนับสนุนให้เลิกกัน ) เมื่อเราปรึกษากับทางแม่ของสามี ท่านปลอบเราว่า หนูกับเขาไม่เข้าใจกัน หนูจู้จี้ (ซึ่งตอนคบกันเราบอกแล้วว่ารับไม่ได้กับการนอกใจ มีชู้ พบจับได้บอกไม่มีอะไรกัน เราเลยกลายเป็นคนจู้จี้ ขี้ระแวง) แม่เลี้ยงได้แต่ตัว เราเสียใจมากแทบไม่เป็นผู้เป็นคน ตอนนี้มันกลายเป็นว่าทั้งรักทั้งแค้นมากๆ เพราะตนเองเป็นคนรัดเดียวใจเดียว

ส่งข้อความอาฆาต สาปแช่งให้ แม่สามี น้องสามี (เพราะสามีเปลี่ยนเบอร์) ทั้งทื่รู้ว่าการสาปแช่งเป็นสิ่งไม่ดี เป็นการสร้างบาปให้กับตัวเอง แต่ ด้วยโมหะ โทสะ เข้าครอบงำทำให้คิดแค้นอาฆาต ว่าทำไม
เราต้องพบคนใจดำ เจ้าชู้ด้วย (ดิฉันลองใจเขาว่า ดิฉันท้อง เขาบอกดิฉันว่า ให้เอาเด็กออก ฉันสะอึกเลย เขาไม่รักเด็ก แถมยัง ไม่คิดสงสารฉันว่าจะเกิดอันตรายไหม ดีที่ดิฉันไม่ท้องจริง และดิฉันบอกให้เขาเลิกกับผู้หญิงคนนั้น เขากับตอบว่า ผู้หญิงคนนั้นไม่ผิด ตัวดิฉันก็ได้ส่งข้อความคุยกับผู้หญิงของเขาข้อให้เขาเลิกกับสามีดิฉัน ผู้หญิงคนนั้น บอกว่า ดิฉันไม่มีเสน่ห์มัดใจสามี ดิฉันเลยบอกถ้าอย่างนั้นพี่ยกสามีพี่ให้ เพราะมีคนมารับช่วงต่อแล้ว ให้แล้วพี่ไม่รับคืน เธอคนนั้นส่งข้อความของฉันให้สามีดิฉันดู)
ดิฉันอ่านพบ คำนี้ว่า ทำไมผู้หญิงเดี๋ยวนี้ชอบแย่งผู้ชายเลว ๆ ทำให้ดิฉันคิดตามเหมือนกัน ว่ารักคนเลวๆ ยึดมั่นในรักเดียวใจเดียวกันคนที่ไม่รักเราจริงทำไม
และในตอนนี้ดิฉันยังลดความอาฆาตพยาบาทในใจไม่ลง ยังคิดอภัยให้เขาไม่ได้อย่างจริง
ส่งข้อความสาปแช่งเค้าและญาติเขาตลอดให้ได้รับผลกรรมเหมือนอย่างที่ทำกับดิฉันและลูกผู้หญิงไว้
ดิฉันเป็นคนทิฐิแรง รู้อะไรถูกผิด บาปกรรม แต่ทำไมคนทำบาปกรรมกับลูกผู้หณิงถึงไม่ได้รับกรรมและไม่สำนึกว่าเขาก็มีแม่ มีน้อง และมีลูกๆเป็นผู้หญิง ทำไมถึงไม่มีจิตเมตตาลูกผู้หญิงทำร้ายจิตใจกันด้วยความไม่รู้จักพอ

อยากปลอยวาง และปลงได้ แต่ใจมันไม่วาง(ความรู้ ท้วมตัว เอาหัวไม่รอด เรื่องความรักความใคร่)

รู้ตัวเองได้อย่างนี้ก็ดีแล้วครับ
ที่เหลือปล่อยให้เวลาเยียวยาหัวใจ(มันเกิดได้ ก็ดับได้ ไม่คงทนหรอกครับ)
ถ้าท่าน จขกท หุนหันพลันแล่น รังแต่จะเพิ่มทุกข์ให้ตัวเองเสียเปล่า
จิตที่อาฆาตไม่สามารถทำอันตรายใครได้ นอกจากคนที่อาฆาตเอง
ขณะที่จิตของท่านเผาไหม้ตัวเอง คนที่ท่านคิดแค้นเขาก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรครับ

นึกถึงคนที่รักเราครับ
คนที่เขาไม่รัก ก็อย่าไปนึกถึงอีกเลย ทุกข์ใจเปล่าๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2012, 22:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 พ.ย. 2011, 16:11
โพสต์: 43


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดี ปีใหม่คะทุกๆท่าน
อาจจะช้าหน่อยเพราะหนูยุงกับงานมากเลยคะ
และก็รักษาจิตใจที่บอบช้ำของตนเองอยู่คะ
เพราะมีอาการเครียดต่อเนื่องจนเหมือนตนเองเป็นโรคซึมเศร้า
จึงพยายามไม่คิดถึงเรื่องอดีตแต่ก็ยังมีอาการตื่นตอนเช้าไม่สดชื่นไม่อยากไปทำงาน
ไม่อยากลกจากที่นอน มีอาการอยากนอนอย่างเดียวเลยคะ
แต่หนูก็จะพยายามให้ตนเองดีขึ้น

ตอนนี้อาการอาฆาตพยาบาทลดลงมากกว่าแต่ก่อนมาก
เพราะหนูมีความสุขกับการวางแผนสร้างอนาคตให้กับหลานตัวน้อย ๆ มีความสุขดี คะ
แต่ก็อดนึกไม่ได้ว่าถ้าเรามีลูกของเราบ้างก็ดี จะได้ไม่เหงา
แต่ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว

ว้าบ่นซะนาน
ขอให้ทุกท่านมีความสุข ไร้ทุกข์ ไร้โศก ไร้โรคภัยใดๆมาเบียดเบียนนะคะ

สิ่งเลวร้ายที่ผ่านมาขอให้มันไหลผ่านไปกับน้องน้ำนะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2012, 16:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ธ.ค. 2010, 17:35
โพสต์: 163

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณใจเดียว อย่ายอมแพ้ตัวเอง
ลุกขึ้นไม่ไหว ก็นอนไปให้พอก่อน
ลองหาเวลาตื่นเช้าสักวัน
ไปหาที่สงบๆ หรือที่ว่างเปล่าสักแห่ง
มองออกไปสุดตา ให้ใจว่างสักครั้ง

มีลูกใช่ว่าไม่เหงา
บางทีวุ่นวายและทำให้ตัดสินใจยากขึ้นด้วยซ้ำ

มีคนรักอยู่ใกล้ใช่ว่าไม่ซึม
ถ้าเขาอยู่ใกล้ แต่ใจไม่ได้อยู่กับเรา
เราสิจะทุกข์ยิ่งกว่า และทุกข์นานกว่า
และตัดสินใจอะไรไม่ได้เลย

ถ้าไม่มีทั้งเขา ไม่มีทั้งใจที่ให้เรา
เราทุกข์ แต่ก็ยังไม่นาน
เพราะเขาช่วยเราตัดสินใจได้เร็วขึ้นไปแล้ว

ขอเป็นกำลังใจให้คุณใจเดียวด้วยคนนะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2012, 15:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 พ.ย. 2011, 16:11
โพสต์: 43


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีคะ

ขอบคุณ สำหรับกำลังใจนะคะคุณวันนี้
2 วันที่ผ่านมาหนูโต้ข้อความกับอดีตสามี
เราก้แรงเขาก้แรงต่างคนต่างไม่ยอมกัน

เลยทำให้นอนไม่หลับ เครียดทั้งคืน
นึกไปก็สมน้ำหน้าตนเองเหมือนกัน
เขาไม่รักเราแล้ว แต่เรายังรักเขาอยู่
เขาด่าว่าแรงๆ ก็ยังให้อภัย ยอมให้ด่าว่าดูถูกศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงทุกครั้ง
ยังงัยก็ยังหาเหตุผลเข้าข้างอดีตสามีที่เป็นแบบนี้เพราะเราไปยุ่งกับเขาเอง

สมเพช ตนเองจังที่ยังตัดใจไม่ขาด
ด้วยความยึดมั่น ผัวเดียวเมียเดียว

โง่หน้ามืดตามัวอยู่ได้

ฮึแพ้กิเลส รักโลภ โกรธ หลง อีกแล้ว


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 13 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร