วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 06:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2011, 21:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


มีไม่นิพพาน
นิพพานต้องไม่มี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2011, 22:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ถูก....นิพพานต้องไม่มี

ใครยังมีอยู่...ไม่ได้เข้า..นะเอ้อ :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2011, 10:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ธ.ค. 2010, 06:57
โพสต์: 50


 ข้อมูลส่วนตัว


โลกุตรธรรมเก้า มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ พระพุทธองค์ตรัสไว้
ปล่อยรู้ เขียน:
นรกมี สวรรค์มี พรหมมี...นิพพานไม่มี
ล้อเล่นหรือเปล่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2011, 13:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2011, 15:12
โพสต์: 191


 ข้อมูลส่วนตัว


นิพพานที่กล่าวกัน ณ ที่นี้ หมายความถึงอย่างไรล่ะ ถ้าหมายถึง นิพพานที่ท่านสมมติเรียกขึ้นมาเพื่อให้เข้าใจบอกกล่าวสอนกัน ก้เป็นนิพพานที่มีอยู่ แต่ถ้าหมายความถึง นิพพานอันธรรมชาติภายในจิตใจที่บ่งบอกว่า คือนิพพานนั้น ก้เป็นนิพพานที่ไม่มี ไม่ใช่ไม่มีนิพพาน แต่ไม่มีอะไรจะมาสมมติบัญญัติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2011, 13:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เลข 0 มันก็แทนคำว่าไม่มี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2011, 13:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ธ.ค. 2010, 06:57
โพสต์: 50


 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นด้วยจ้าาา เพราะ นิพพาน ไม่ใช่ภาษาพูด นิพพาน เป็นภาษาปฏิบัติ ถ้าเอาแต่พูดว่า นิพพาน เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ชาวบ้านเรียก ขี้โม้ขี้อวด เป็นพระเป็นเจ้าท่านปรับอาบัติปาราชิก ข้ออวดอุตริมนุษย์ธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2011, 20:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ปรมัตถสัจจะ คือสิ่งที่มีจริง 4 ประการ

คือ 1.จิต 2.เจตสิก 3.รูป 4.นิพพาน

จิต.......................มีจริง
เจตสิก(คือ เวทนา สัญญา สังขาร) ................มีจริง
รูป ......................มีจริง
นิพพาน ................มีจริง

แต่ถามว่า ธรรมทั้ง4 เหล่านี้ เป็นอัตตา หรือไม่ .......................ตอบว่า ไม่
ธรรมทั้ง4 เหล่านี้ เป็นอนัตตา ใช่ไหม .................................ตอบว่า ใช่

จิตและเจตสิก เกิดขึ้นพร้อมกัน ตั้งอยู่ และดับไปพร้อมกัน ด้วยปัจจัย24
อันได้แก่ อนันตรปัจจัย สหชาตปัจจัย กัมปัจจัย วิปากปัจจัย ....... เป็นต้น
รูป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อม และดับไป
เกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัย24 เช่นกัน คือต่างเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน ระหว่าง จิตเจตสิก และรูป

นิพพาน ไม่มีเกิด ไม่มีดับ ไม่ขึ้นกับเหตุปัจจัยใดๆ

คำว่า อนัตตา จึงไม่ควรแปลว่า เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล

แต่ควรแปลว่า ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่มีใครเป็นเจ้าของ บังคับบัญชาไม่ได้

จะถูกต้องกว่า

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2011, 21:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะไม่เกิด...จึงไม่มี
เพราะเกิด...จึงมี


สงบ ไม่มี
มี ไม่สงบ


เห็นพูดได้...แต่ไม่ได้เห็น
ได้เห็น...แต่พูดไม่ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2011, 22:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


มี...ไม่มี...กันใหญ่เลย

นรก..สวรรค์..พรหม...มีเกิด...(เลย...มีดับ)

นิพพาน..ไม่มีเกิด..(เลย..ไม่มีดับ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2011, 07:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


ยิ่งทำ ยิ่งเป็น ยิ่งมี ยิ่งทุกข์

ยิ่งธรรม ยิ่งไม่เป็น ยิ่งไม่มี ยิ่งไม่ทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2011, 08:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 16:44
โพสต์: 84

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พูดเก่ง เขียนเก่ง สำนวนดี กิเลสไม่กลัวนะ จะบอกให้ :b11:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2011, 14:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


พูดได้ เขียนได้ แต่เห็นไม่ได้
เห็นได้ แต่พูดไม่ได้ เขียนไม่ได้...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2011, 20:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: สิ่งสมมุติทั้งนั้นครับคุณmes
อย่าไปเชื่อมันครับ

รู้อย่างเดียวเท่านั้นครับ
อย่าเผลอครับ เผลอมีเขามีเราขึ้นมาเมื่อใด โดนครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2011, 22:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บทว่า ชญฺญา นิพฺพานมตฺตโน
ความว่า พระนิพพานอันเป็นอสังขตธาตุ นำมาซึ่งความสุขอย่างแท้จริง โดยเป็นอารมณ์อันดีเยี่ยมแก่มรรคญาณและผลญาณ ซึ่งได้บัญญัติว่า อัตตา เพราะไม่เป็นอารมณ์ของปุถุชนอื่น แม้โดยที่สุดความฝัน แต่เพราะเป็นแผนกหนึ่งแห่งมรรคญาณและผลญาณนั้นๆ ของพระอริยเจ้าทั้งหลาย และเพราะเป็นเช่นกับอัตตา จึงเรียกว่า อตฺตโน ของตน
พึงรู้ คือพึงทราบพระนิพพานนั้น อธิบายว่า พึงรู้แจ้ง คือพึงทำให้แจ้งด้วยมรรคญาณและผลญาณทั้งหลาย. ด้วยคำนั้น ทรงแสดงถึงความที่พระอริยเจ้าทั้งหลายมีจิตน้อมไปในพระนิพพาน.
จริงอยู่ พระอริยะเจ้าทั้งหลายย่อมอยู่ แม้ในเวลาที่อธิจิตเป็นไป ก็อยู่โดยภาวะที่น้อมโน้มโอนไปในพระนิพพานโดยส่วนเดียวเท่านั้น. ก็ในที่นี้ สติเป็นไปในกายปรากฏแก่ภิกษุใด ภิกษุนั้นสำรวมแล้วในผัสสายตนะ ๖ ต่อแต่นั้น ก็มีจิตตั้งมั่นเนืองๆ พึงรู้พระนิพพานของตน ด้วยการกระทำให้ประจักษ์แก่ตน พึงทราบการเชื่อมบทแห่งคาถาอย่างนี้ด้วยประการฉะนี้.

Quote Tipitaka:
ด้วยบทว่า สตตํ ภิกฺขุ สมาหิโต นี้ ทรงแสดงอนุบุพพวิหารสมาบัติ ๙ โดยแสดงถึงความเป็นผู้มากด้วยสมาบัติ.
ก็ภิกษุผู้เป็นอย่างนี้ พึงรู้นิพพานของตน คือพึงรู้ พึงคิดถึงอนุปาทิเสสนิพพานธาตุของตนอย่างเดียวเท่านั้น เพราะไม่มีกรณียกิจอันยิ่ง เพราะทำกิจเสร็จแล้ว
อธิบายว่า แม้กิจอื่นที่เธอจะพึงคิดก็ไม่มี.

จบอรรถกถาโกลิตสูตรที่ ๕
--------------------------------
.. อรรถกถา ขุททกนิกาย อุทาน นันทวรรคที่ ๓ โกลิตสูตร จบ.

อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 266&Z=2277
- -- ---- --------------------------------------------

นิพพานรวมทั้งมรรคญาณผลญาณขั้นนี้พระอริยะเจ้าเป็นวิสังขารอสังขตธาตุอสังขตธรรมเป็นปรมัตถ์ธรรมมีเจ้าของ
ไม่ใช่พระนิพพานที่เป็นธรรมมารมณ์ของพระโยคาวจรที่กำลังเข้าสู่โครตภูบุคคล นิพพานนั้นเป็นอนัตตาแน่นอนเป็นบัญญัติธรรมไม่ใช่ปรมัตถ์ธรรม พระโยคาวจรในขณะนั้นยังเป็นปุถุชน เหมารวมไม่ได้กับนิพพานของพระอริยะ :b4:


แก้ไขล่าสุดโดย นายฏีกาน้อย เมื่อ 25 พ.ย. 2011, 23:51, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
ผิดกฎกติกา มารยาท ในการแสดงความคิดเห็น ข้อ(1),(8),(11)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2011, 04:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
ปรมัตถสัจจะ คือสิ่งที่มีจริง 4 ประการคือ
1.จิต 2.เจตสิก 3.รูป 4.นิพพาน
จิต.......................มีจริง
เจตสิก(คือ เวทนา สัญญา สังขาร) ................มีจริง
รูป ......................มีจริง
นิพพาน ................มีจริง

แต่ถามว่า ธรรมทั้ง4 เหล่านี้ เป็นอัตตา หรือไม่ .......................ตอบว่า ไม่
ธรรมทั้ง4 เหล่านี้ เป็นอนัตตา ใช่ไหม .................................ตอบว่า ใช่

จิตและเจตสิก เกิดขึ้นพร้อมกัน ตั้งอยู่ และดับไปพร้อมกัน ด้วยปัจจัย24
อันได้แก่ อนันตรปัจจัย สหชาตปัจจัย กัมปัจจัย วิปากปัจจัย ....... เป็นต้น
รูป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อม และดับไป
เกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัย24 เช่นกัน คือต่างเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน ระหว่าง จิตเจตสิก และรูป

นิพพาน ไม่มีเกิด ไม่มีดับ ไม่ขึ้นกับเหตุปัจจัยใดๆ

คำว่า อนัตตา จึงไม่ควรแปลว่า เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล

แต่ควรแปลว่า ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่มีใครเป็นเจ้าของ บังคับบัญชาไม่ได้
จะถูกต้องกว่า

ขออนุญาติแนะนำครับ การกล่าวบัญญัติใด ควรจะกล่าวถึงที่มาของคำๆนั้นด้วย
เพราะบัญญัติบางคำเหมือนกัน แต่มันต่างกันในสภาวะหรือต่างกันในแง่ของปรมัตถ์

สภาวะธรรมที่เป็นปรมัตถ์บ้างอย่าง บางคนรู้ บางคนไม่รู้ แล้วก็มาเถียงกัน
ในลักษณะไปไหนมาสามวาสองศอก มันเสียเวลาเปล่าๆ

อย่างเช่นในความเห็นนี้ก็เช่นกันครับในเรื่องของ"อนัตตา"
เจ้าของความเห็นจำเป็นต้องกล่าว เน้นด้วยว่าที่มาที่ไปของคำๆนี้มาจากไหน
เพราะสภาวะปรมัตถ์ กล่าวมาเป็นสมมุติบัญญัติบางทีคนอื่นไม่เข้าใจ จะเกิดสับสนครับ

สรุปก็คือ "อนัตตา" ที่เป็นไตรลักษณ์หรือไม่ต้องบอกเน้นด้วย
คุณสมบัติที่เป็น"อนัตตา"ในปรมัตถ์ มันเกิดได้ในสองสภาวะ
คือสภาวะไตรลักษณ์ที่เป็น"สังขตธรรม" กับสภาวะที่ไม่ใช่ไตรลักษณ์
เรียกว่า "อสังขตธรรม"ครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 81 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร