วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 18:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 207 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 14  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2011, 15:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะ เอกอนเห็นเอกอนท่องไป....พบปะกับธรรมต่าง ๆ มากมาย
เพราะ เอกอนมี... จึงปรากฎเอกอนท่องไป
และถ้า เอกอนไม่มี... จะปรากฎ...อะไร
และ ปัจจัยใด... ทำให้เอกอน ไม่ปรากฎ


อิอิ ในห้วงคำนึงของเด็กหญิง เอกอน
(เอาล่ะหว๋า เดี๋ยวเฒ่า เดี๋ยวเด็กหญิง
อิอิ หมู่สหายธรรมจะเห็นเอกอนเป็นตัวกลับกลอก มั๊ยนี่ :b12: :b9: :b9: )


อวิชชา=>สังขาร=>วิญญาณ=>นามรูป=>สฬายตนะ=>ผัสสะ=> เวทนา=>ตัณหา=>อุปาทาน=>ภพ=>ชาติ =>ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
:b8: พอดีนึกได้ว่าเห็นที่บ้านจานป้อ ก็เลยขอยืมมาใช้
เสียดาย จานป้อถูกระงับการใช้งานชั่วคราว :b1:
ทำให้เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นไม่ได้

เอกอน กะลังจะเอาตัวเอกอน มาให้สหายธรรมร่วมกันชำแหละ อยู่ :b6:

ก็ว่าด้วย อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร นี่ล่ะ ไล่จนถึง นามรูป

อวิชชา คือ การไม่รู้ในขันธ์ตามความเป็นจริง (สัจจะแห่งขันธ์)
ทำให้เกิดการเข้าไปยึดมั่นขันธ์ อันเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดเป็น
วิญญาณที่เข้าไปครอบครอง ปรากฎเป็นก้อนรูป-นามที่มีการถือครอง
ซึ่งจริง ๆ แล้ว............ :b10: :b10:


ติ๊ต่างเอกอนกำลังนั่งมองสมการช่วงนี้อยู่
วานเพื่อน ๆ ธรรมร่วมแสดงความคิดเห็น
ชำแหละ เอก๊อนนนนนน ที...นะจ๊ะ
แบบว่า เอกอนเกิดไอเดียว่า
การจะชำแหละหมู ก็ต้องมีหมูอยู่บนเขียง
อิอิ จะชำแหละธรรม ก็น่าจะมีตัวตนยกขึ้นวางพาดบนเขียง
จะทำให้ การพิจารณามีเป้าหมาย และอาจจะเห็นภาพได้ง่าย

อิอิ เอกอนยอมทนจั๊กกะเดี๋ยม

:b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2011, 16:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2011, 10:18
โพสต์: 590

โฮมเพจ: www.bhuddhakhun.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


eragon_joe เขียน:

เอกอน กะลังจะเอาตัวเอกอน มาให้สหายธรรมร่วมกันชำแหละ อยู่

ก็ว่าด้วย อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร นี่ล่ะ ไล่จนถึง นามรูป


อวิชชา คือการไม่รู้ หรือรู้ผิดๆ เข้าใจผิดๆ แล้วนำสิ่งนั้นไปใช้แบบผิดๆ

สังขาร คือ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของสรรพสิ่ง ไม่มั่นคง ถาวร ไม่มีความเที่ยง

อวิชชา และ สังขาร เป็นคนละเรื่องกัน
อวิชชา ไม่ได้เป็นเหตุปัจจัยของการเกิดสังขาร

.....................................................
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2011, 17:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ท่านพุทธคุณทำให้เอกอนต้องไปหยิบพระสูตรมา
เพื่อแตกประเด็น
ประหนึ่ง ใจคออยากจะชำแหละตัวเองซะให้ได้อย่างนั้น

:b12: :b12: :b12:

๖. ปัจจยาการวิภังค์
สุตตันตภาชนีย์
[๒๕๕] สังขารเกิดเพราะอวิชาเป็นปัจจัย
วิญญาณเกิดเพราะสังขารเป็นปัจจัย
นามรูปเกิดเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย
สฬายตนะเกิดเพราะนามรูปเป็นปัจจัย
ผัสสะเกิดเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย
เวทนาเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย
ตัณหาเกิดเพราะเวทนาเป็นปัจจัย
อุปาทานเกิดเพราะตัณหาเป็นปัจจัย
ภพเกิดเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย
ชาติเกิดเพราะภพเป็นปัจจัย
ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส เกิดเพราะชาติ
เป็นปัจจัย ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
[๒๕๖] ในปัจจยาการเหล่านั้น อวิชชา เป็นไฉน
ความไม่รู้ทุกข์ ความไม่รู้ทุกขสมุทัย ความไม่รู้ทุกขนิโรธ ความไม่รู้
ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้เรียกว่า อวิชชา
[๒๕๗] สังขารเกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เป็นไฉน
ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อาเนญชาภิสังขาร กายสังขาร
วจีสังขาร จิตตสังขาร

ในสังขารเหล่านั้น ปุญญาภิสังขาร เป็นไฉน
กุศลเจตนา เป็นกามาวจร เป็นรูปาวจร ที่สำเร็จด้วยทาน ที่สำเร็จ-
*ด้วยศีล ที่สำเร็จด้วยภาวนา นี้เรียกว่า ปุญญาภิสังขาร
อปุญญาภิสังขาร เป็นไฉน
อกุศลเจตนาเป็นกามาวจร นี้เรียกว่า อปุญญาภิสังขาร
อาเนญชาภิสังขาร เป็นไฉน
กุศลเจตนาเป็นอรูปาวจร นี้เรียกว่า อาเนญชาภิสังขาร
กายสังขาร เป็นไฉน
กายสัญเจตนา เป็นกายสังขาร วจีสัญเจตนา เป็นวจีสังขาร มโนสัญ-
*เจตนา เป็นจิตตสังขาร
เหล่านี้เรียกว่า สังขารเกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2011, 17:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธคุณ เขียน:
อวิชชา คือการไม่รู้ หรือรู้ผิดๆ เข้าใจผิดๆ แล้วนำสิ่งนั้นไปใช้แบบผิดๆ

สังขาร คือ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของสรรพสิ่ง ไม่มั่นคง ถาวร ไม่มีความเที่ยง

อวิชชา และ สังขาร เป็นคนละเรื่องกัน
อวิชชา ไม่ได้เป็นเหตุปัจจัยของการเกิดสังขาร


มารอชม สังขารเอกอน โดนชำแหละเถอะท่าน

เอกอน ก็กำลังรอหมอศัลยกรรม อยู่ :b12:

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2011, 18:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b17: :b17: :b17:

คนสมัยก่อน...ชอบเรียก..ลูกของคน ๆ นั้น...ตามด้วยชื่อพ่อชื่อแม่

ทิดเกิดลูกพ่อพูน
ทิดมีลูกแม่จัน.. :b12: :b12:

รูปที่เกิดเพราะความคิดสังขาร...ก็เลยเรียกรูปนี้ว่าสังขาร

แต่..ไม่ใช่ตัวสังขารขันธ์..

เป็นรูป..แต่ไม่มีนามครอง

แล้วความคิดที่เรียกว่าสังขารตัวนี้..เกิดได้ก็เพราะความไม่รู้

เรียกความไม่รู้นี้ว่า...อวิชชา

ไม่รู้ว่า...ความคิดตัวนี้...จะนำความทุกข์มาให้...เรียกว่า..ไม่รู้ทุกข์

ความคิดแบบไหน...ละ..จะนำความทุกข์มาให้..

ก็ความคิดประเภทที่ว่า...มีไอ้นี้ดีกว่า...มีไอ้นั้นดีกว่า...

มีอะไรที่มากกว่าจิต...จะเป็นยังงัยหว้า!!! :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2011, 23:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2009, 21:22
โพสต์: 29

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss s002 s002
ตั้งคำถามอะไรกันเนี่ย เห็นด้วยกับ ความเห็นท่านกบนอกกะลา

:b3: :b3: :b3:

ถึก ขอเพิ่มเติมนิ๊ดนึงงงงงงงงงง นะๆๆๆๆๆ

เอาแบบม้วนเดียวจบก็แระกันนะ อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป

สังเกตง่ายๆๆ ถ้ามีความคิด เช่นอยากได้โทรศัพท์ใหม่ มันก็ต้องไปดูของจริงหรือหา แคตตาล็อคใช่ป่ะ
( ความคิด(สังขาร) มันก็ต้องมีสิ่งที่รับรู้เรื่องราวของความคิด(วิญญาณ) แล้วก็ ร่างกายเกิดปฎิกิริยาตอบสนอง (นามรูป) )

ง่ายนิ๊ดนึง สาเหตุเพราะไม่รู้ว่า ความคิด ตกอยู่ภายใต้ไตรลักษณ์
ทุกขัง ของ ความคิดอันนี้อธิบายยากชะมัด
อนัตตา สังเกตง่ายๆๆ อยู่ๆๆมันคิดขึ้นมาได้เอง แล้วก็ ไม่มีตัวตน
อนิจจัง ยากเช่นกัน ความคิดมันเกิดขึ้นไม่ได้รับการสนอง มันก็ดับไป ถ้าสนองมันก็ คิดต่อไป ปัญหาคือเรื่องราวที่คิดต่อมันต่อเนื่อง หากจะย้อนดูดีๆๆ จะเห็นว่า ความคิดตอนเริ่มต้นมันหายไปแว้ววววววววววววว

ถึก ขอแสดงความเห็นส่วนตัวได้เท่านี้อ่ะคร๊าบบบบบบบบบบบบบบบบ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2011, 04:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เพราะไม่รู้ จึงได้หลงกระทำบุญบ้างบาปบ้าง ไม่บุญไม่บาปบ้าง
เพราะไม่รู้ จึงได้กระทำกรรม อันเป็นบุญบ้าง บาปบ้าง ไม่บุญไม่บาปบ้าง

เพราะอวิชชา ทำให้เกิดสังขารนั่นเอง

สังขารคือบุญบ้าง(ปุญญาภิสังขาร)
สังขารคือบาปบ้าง(อปุญญาภิสังขาร)
สังขารคือไม่บุญไม่บาปบ้าง(อเนญชาภิสังขาร)

พระอรหันต์ ไม่มีอวิชชา จึงไม่กระทำกรรมใดๆ สิ่งที่พระอรหันต์ทำเรียกว่า กิริยา ไม่จัดเป็นกรรม

สังขารที่กล่าวถึงข้างบน ทำให้เกิดวิญญาณ
ในที่นี้คือ วิปากวิญญาณ อันเป็นวิญญาณที่เกิดเพราะวิบากผลแห่งกรรมที่กล่าวถึงข้างบนนั้น

ยกตัวอย่างเช่น ปฏิสนธิจิต เป็นต้น นี่คือ วิปากวิญญาณ

เพราะว่า วิญญาณ มี 4 ประเภท คือ

กุศล อกุศล วิบาก กิริยา

ผู้ที่ยังมีอวิชชาอยู่ ยังมีวิญญาณประเภทกุศล อกุศล เกิดขึ้นกระทำกรรมใหม่
มีวิญญาณประเภทวิบาก เพราะผลแห่งกรรมเก่า ที่ได้เคยกระทำแล้วในอดีต
และมีวิญญาณประเภท กิริยา อันเป็นวิญญาณอัตโนมัติ

พระอรหันต์ หมดอวิชชาแล้ว เหลือวิญญาณ แค่สองประเภทเท่านั้นคือ วิบาก และกิริยา

พระอรหันต์ ยังต้องรับผลแห่งกรรม ที่ได้เคยกระทำแล้วในอดีต โดยเกิดวิบากจิต ขึ้นสลับกับกิริยาจิต
ตลอดวัน ตลอดคืน

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2011, 14:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ถึก...จ้า เขียน:
Kiss s002 s002
ตั้งคำถามอะไรกันเนี่ย ....

:b3: :b3: :b3:
ถึก ขอแสดงความเห็นส่วนตัวได้เท่านี้อ่ะคร๊าบบบบบบบบบบบบบบบบ :b8: :b8: :b8:


smiley smiley smiley
ถึกมาอีกน๊าาาาาา
มีอะไรเพิ่มเติม ก็เข้ามาเพิ่มเติม

อิอิ ถึกว่า "คำถามอะไรไม่รู้..." :b9:

คือ ไม่รู้จิ่ ปัญหาธรรม เป็นปัญหาใกล้ตัว หง่ะ :b9: :b9:
พอตั้งไว้ไกลตัว การแลกเปลี่ยนความเห็นก็ออกไปในแนววิชาการ
ความขัดแย้งทางความเห็น ความเห็นสอดคล้องทางความเห็น
มันก็เลยเป็นเรื่องวิชาการ ถกกันอยู่บนวิชาการ
ก็เลยเอามาไว้กับตัวติ๊ต่างซะเลยยยยย :b12:
การถกจะได้ เห็นก้อนตัวตน ควบคู่กันไปกับวิชาการ :b16: :b16:
ซึ่งอาจจะได้แง่ที่จะนำไปใช้ได้จริงกับ ตัวตน ในการ ชำระอวิชา

ท่านผู้จะมาร่วมสนทนา
สามารถสร้างเอกอนตัวนี้ให้เป็นในแบบที่ต้องการนำเสนอความเห็นได้นะ
ได้ตั้งแต่เอกอนเริ่มตั้งไข่ เต็มไปด้วยอวิชาในแง่ต่าง ๆ จึงเป็นไป
หรือจะเป็นเอกอนตอนเฒ่าแล้วก็ได้
หรือจะเป็นการหยิบเรื่องจริงพฤติกรรมอันยังเป็นมิจฉาทิฐิ ก็ได้ ได้เลย ได้เลย
แล้วเอกอนเป็น มิจฉาทิฐิ อย่างไร ก็ยกมาเป็นตัวอย่างไปได้เลย :b12:
เอกอนจะได้เห็นแง่มุมหลาย ๆ แง่ ในอันที่ว่า อวิชาเป็นปัจจัย จึงเกิดสังขาร ไง

ในที่นี้ เอกอนเป็นเพียงนามสมมุตินามหนึ่ง
ดังนั้น จะเอาหัวโขนอะไรมาใส่ก็ได้ แค่ให้โขนตัวนั้นแสดงธรรม

และอีกแง่หนึ่ง
เอกอนจะได้ เห็นแง่ที่จะไม่ยึดติดใน อวตารชื่อนี้ไง
จริง ๆ นะ บางครั้งใช้ชื่อนี้มาก ๆ
กลายเป็น หวงชื่อจริง แล้ว ยังมาหวงชื่อ อวตาร
เรากลายเป็น มีร่างจริง สองร่าง ยึดติดทั้งสองร่าง
ทั้ง ๆ ที่ ร่างจริงมันยังไม่เที่ยง ยังแก้ไม่จบ ยังพลอยมาติดร่างอวตาร อีก :b5:
ก็เลยคิดว่า เราใช้ชื่อให้เป็นโอกาสในการชำแหละตัวตนดีกว่า
ที่จะมานั่งยึดมั่นว่าเป็นเราไปอีกตนในโลกไซเบอร์

เกิดตายไปตอนนี้ เกรงจะลำบากต้องมาเข้าฝันคนอยู่
ให้ "เผาคอมพิวเตอร์กงเต็ก...ปายห้ายยยด้วยยยย...แบบว่า...อยากกกกแช๊ททททท"
:b31: :b31: :b14:

:b32: :b32: :b32:

:b16: :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2011, 17:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


มีอยู่อย่างนะ จริง ๆ
ตอนสมัยที่เริ่มนั่งสมาธิใหม่ ๆ
ขอบอก "มั่ว" มั่วจริง ๆ
แต่ขอบอก ถ้าตอนนั้นใครมากล่าวสบประมาทเราว่า "โหย ปฏิบัติมั่ว"
ป๊าดดดด มันจะมีไอ้ตัวที่อยากเถียงเหน๋อหน้าออกมาเลยนะ
ไอ้ตัวนั้น มันไม่รู้ไปขุดคุ้ยเหตุผลมาจากไหนด้วย
เพื่อที่จะเถียงกลับไปว่า "ไม่มั่ว" และมันก็ร่ายเหตุผลร้อยแปดพันเก้าหนับหนุนความ "ไม่มั่ว"

ก็ s006 มัน "ไม่มั่ว" หรือ มัน "มั่ว"
ก็ s006 มัน ทำไปเพื่ออะไร ทำไปแล้วได้อะไร

จนทุกวันนี้ ก็ยังมีนะ
จนกระทั่งช่วงหลัง ๆ เจอป๊ะป๋าจารย์
ที่คอยตามประกบแทบทุกฝีก้าว หาจุดแทะ
ซึ่งเมื่อโดนแทะมาก ๆ ถ้าเราเผลอ "หลุด" เจ้านู๋ "ไม่ใช่...อย่างนั้น"
"ไม่ใช่...อย่างนี้" ออกมาเมื่อไร ป๊ะป๋าจารย์ก็จะกระโดดตบทันที :b5: :b5:
ต้องยอมรับว่า ยิ่งโดนป๊ะป๋าจารย์ตบทุกครั้งที่เผลอ อาการนี้ถูกสังเกตเห็นได้ไว
และหดไปได้มาก

และได้เห็นสภาวะ ความมีตัวตนที่คอยไปรับ ความมีตัวตนที่คอยรักษา
ความมีตัวตนที่เป็นภาระ ความมีตัวตนที่ต้องคอยปกป้อง น่ะ

อืมมม จริง ๆ แต่ก่อนเราก็มักกล่าวธรรมในลักษณะ ละอัตตา ไว้มากนะ
แต่มันก็แอบแฝงไปด้วย "เรามีตัวเราที่กล่าวธรรมนั้น ๆ"
กลายเป็นเหมือน "เรามีตัวตนอีกตัวตนเป็นประหนึ่งที่ประดับธรรม"
และเราก็มองไม่เห็น ไอ้อาการที่หลงไปในไม้ประดับ(ธรรม)อันนั้น
และตัวตนนั้นก็จะเป็นตัวที่มันจะทำท่าเดินไปเหมือนคน
"ท้องผูกแล้วอุนจิจับตัวเป็นก้อนแข็งคาอยู่ตรงช่องทวาร" :b5: :b14:
:b9: :b9:
อิอิ ก็เคยรู้สึกถึงความเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
เรามีธรรมที่ดูเหมือนเราจะรู้ เราจะเข้าใจมากมาย แต่เราก็ยังทำท่าเดิน
เหมือนคนที่มี "อุนจิจุกตูดดดด" :b14: :b14:

ในโลกแห่งผู้ที่ป่วยด้วยอาการเช่นนี้
อะไร ๆ มันก็ไม่สำคัญแล้ว ขอแค่ให้เอาไอ้ก้อนนั้นออกไปให้พ้นรูทวาร :b14: :b14: :b32:

ซึ่งมันไม่น่าจะใช่ด้วยวิธีในแบบความเคยชินเดิม ๆ ที่ผ่านมา
:b29: :b29: :b29:


:b14: :b14:
เอาแล้วซิ 5555 จางบาง
เอกอนนึกขึ้นได้ว่าเจอจางบางแรก ๆ เอกอนก็ร่ายธรรมว่าด้วยเรื่อง อุนจิ 5555
:b32: :b32: :b32:
อิอิ วัฏฏะ อุนจิ ได้หมุนวนกลับมาอีกรอบ :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2011, 20:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


อวิชชาคือ "การไม่รู้ทุกข์" อย่างถ่องแท้
จะดับความไม่รุ้ทุกข์ได้ ต้องละ "ตัวตน" จะละตัวตนได้
ก็ต้องไม่มีภาวะทางใจ จะไม่ให้มีภาวะทางใจ ก็ต้องเลิกยึดติดในสิ่งต่างๆ
จะเลิกยึดติดในสิ่งต่างๆได้ก็ต้องตัดความอยาก
จะตัดความอยาก ก็ต้องดับความรู้สึกไม่ว่าทุกข์ สุข ไม่ทุกข์ไม่สุข
จะละความรุ้สึกให้ได้ ก็ต้องระมัดระวังประสาทสัมผัสทั้งห้า
เมื่อละประสาทสัมผัสได้กายและใจก็จะไม่มี เมื่อกายใจไม่มี
การรับรุ้ทางประสาทก็จะไม่มี เมื่อไม่รับรุ้ทางประสาทสัมผัส
การปรุงแต่ง ความนึกคิดก็จะหมดไป เมื่อการปรุงแต่งและนึกคิดหมดไป
ความทุกข์ก็จะไม่เกิด.......

กำลังศึกษาเรื่องนี้อยู่ ไม่ทราบว่า ที่ว่ามาทั้งหมด เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง
หรือเปล่า?....แค่อยากสนทนาด้วยค่ะ :b12:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2011, 22:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมก็จะเข้าใจได้
ปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องละเอียด เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2011, 00:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เอรากอนเขียน
เพราะ เอกอนเห็นเอกอนท่องไป....พบปะกับธรรมต่าง ๆ มากมาย
เพราะ เอกอนมี... จึงปรากฎเอกอนท่องไป
และถ้า เอกอนไม่มี... จะปรากฎ...อะไร
และ ปัจจัยใด... ทำให้เอกอน ไม่ปรากฎ


เป็นคำถามที่เข้ากับหลักการสอนของพระพุทธเจ้ามากเลยครับ เพราะมีเหตุปัจจัยอะไรจึงทำให้สิ่งนี้มี เป็นคำถามที่ก่อประโยชน์


บางคำถามเช่น คนเรามาจากที่ไหน ใครเป็นคนสร้าง เมื่อตายไปแล้วจะไปที่แห่งใด เป็นคำถามที่พระพุทธเจ้าท่านเห็นเป็นคำถามที่ไม่ก่อประโยชน์ไม่เป็นทางพ้นทุกข์

อวิชชาเป็นความไม่รู้ที่สืบเนื่องมาจากอดีตมาจนถึงปัจจุบันเป็นเหตุปัจจัยของการใช้ชีวิตด้วยการทำดีบ้างชั่วบ้างหรือไม่ดีไม่ชั่ว นั่นคือสังขาร สังขารในที่นี้แม้จะเป็นวงจรล้อของปฏิจจสมุปบาท แต่ก็อยู่ภายใต้กฎของพระไตรลักษณ์ คือเกิดขึ้นตั้งอยู่เสื่อมไป สังขารในความหมายของพระไตรลักษณ์คือ สังขารที่มีใจครองและไม่มีใจครองเป็นทั้งนามและรูป ยกตัวอย่างเช่นเสียงมีเหตุทำให้เกิดและมีปัจจัยทำให้ดับลง เป็นต้น เก้าอี้ตั้งอยู่เฉยๆไม่ไปจับต้อง ไม่เกินกี่ร้อยปีก็ผุพังเสื่อมสลายไปเอง

สังขารในปฏิจจสมุปบาทจึงหมายถึงบุญและบาปเป็นผลสืบเนื่องมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2011, 04:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งสำคัญที่ชาวพุทธควรกระทำธรรมเป็นอันดับแรก ก็คือ การปฏิบัติในเรื่องของ
ทาน ศีลและภาวนา สิ่งนี้เป็นขั้นต้นของการปฏิบัติเพื่อนำไปสู่ปัญญา
ปัญญาที่ว่าไม่ใช่ปัญญาทางโลกหรือโลกียะ แต่เป็นปัญญาทางธรรมหรือโลกุตตระ

ปัญญาโลกุตตระหรือที่เรียกว่า สัมมาทิฐิ มันเป็นการเข้าไปรู้สภาวะที่จริงแท้ของไตรลักษณ์
เมื่อรู้แล้วเราจึงจะสามารถนำสภาวะนี้ มาใช้อธิบายหรือตีความในพระไตรปิฎกหรือพระธรรมได้
ผู้ที่ยังไม่ได้ปัญญาโลกุตตระ ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องอ่านหรือจำเนื้อหาในพระไตรปิฎกได้มากๆ
เพราะความสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่ความจำ แต่มันเป็นความเข้าใจต่างหาก

ถ้าเราสังเกตุดูให้ดีในพระไตรปิฎกยิ่งในพระสุตฯด้วยแล้วล่ะก็ จะเป็นการบอกเล่า
ถึงเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าได้ประสบและทรงแก้ไขสั่งสอน ในแต่ละบทจะมีแก่นธรรม
อยู่ในนั้น ความหมายของแก่นธรรมจะเป็นเช่นไรมันขึ้นอยู่กับ บุคคลสถานที่และเวลา
ดังนั้นการจะนำพระไตรปิฎกมาใช้ เราต้องคำนึงถึงแก่นของธรรม ไม่ใช่เนื้อหาที่ซ้ำๆ
หรือรายละเอียดปลีกย่อย

เท่าที่สังเกตุมาส่วนใหญ่มักจะเอาพระไตรปิฎกมาอ้างอิง เพราะเห็นว่า
เนื้อหารายละเอียดมันคล้ายกัน ผลที่ออกมามันเลยทำให้เกิดความสับสน
ผู้ฟังที่ไม่รู้ไม่เข้าใจก็ต้องหยุดการสนทนา เพราะต่างคนต่างไม่เข้าใจ
ทั้งผู้พูดและผู้ฟัง
ก่อนอื่นอยากแนะนำครับ อยากให้ไปทำความเข้าใจกับสมมุติบัญญัติ
ที่เรียกว่า"สังขาร" ให้ดีเสียก่อนว่ามันมีความหมายอะไร เห็นว่าผู้แสดงความเห็น
ยังขาดความเข้าใจในเรื่องบัญญัติกับคำว่า"สังขาร"อยู่นะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2011, 04:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


โค้ด:
และถ้า เอกอนไม่มี... จะปรากฎ...อะไร
และ ปัจจัยใด... ทำให้เอกอน ไม่ปรากฎ


ผมเองก็สนใจเรื่องนี้อยู่ครับ ขอแสดงความเห็นตามความเข้าใจนะครับ ท่านอื่นคิดเห็นอย่างไรแนะนำด้วยครับ

กายเรานี้ใจเรานี้เกิดจากการรวมกันของขันธ์ทั้ง 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ในคนที่ยังไม่สิ้นกิเลส ขันธ์ทั้ง 5 ถูกห่อหุ้มด้วยอวิชชา คือความไม่รู้ ไม่รู้ในอะไร ไม่รู้ในสภาพที่แท้จริงของขันธ์ทั้ง 5 ไม่รู้ว่ามันไม่เที่ยง มันไม่คงตัว มันอยู่เหนือการบังคับบัญชา พอไม่รู้สภาพที่แท้จริงของขันธ์ทั้ง 5 อย่างนั้น ก็ทำให้เกิดความคิดว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยง คงที่ บังคับให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ ก็จะเกิดความอยาก พยายามบังคับให้ขันธ์ 5 เป็นไปตามที่ใจต้องการ อยากเสพความสุข ไม่อยากเสพความทุกข์ หรืออารมณ์ไม่สุขไม่ทุกข์เกิดขึ้นก็ไม่สนใจไม่รับรู้ บ่อยเข้าความอยากความไม่อยากความลืมตัวเหล่านี้ก็จะกลายเป็นนิสัย เป็นความเคยชิน ผสมปรุงแต่งจนรวมกันเกิดเป็นตัวตนของบุคคลที่ต้องทำตามกิเลสความเคยตัวเคยใจอยู่เรื่อยไป

ทีนี้ ปัจจัยที่จะทำให้ตัวตนไม่ปรากฏ ตัวหลักผมเข้าใจว่าก็คือสติ เมื่อมีสติ รับรู้อารมณ์ต่างๆที่ผ่านเข้ามาในประสาทสัมผัสทั้ง 6 อย่างเป็นกลาง คือรู้เฉยๆ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ที่ทำให้มีความสุข อารมณ์ที่ทำให้มีทุกข์ หรืออารมณ์ที่ทำให้รู้สึกเฉยๆ รู้อย่างเดียว ไม่เข้าหา ไม่ผลักไสอารมณ์อะไรทั้งนั้น เมื่อนั้นก็จะเห็นขันธ์ 5 ตามที่เป็นจริง ขันธ์ 5 ก็จะเป็นแค่ขันธ์5 คงเหลืออยู่เพียงความรู้อย่างเป็นกลาง ไม่มีผู้เสพ ไม่มีตัวตนผู้เสวยอารมณ์

เมื่อรู้ขันธ์ 5 อย่างเป็นกลาง เมื่อนั้นก็ไม่มีตัวตนผู้เสพขันธ์5 สิ่งที่ปรากฏก็คือขันธ์ 5 ซึ่งมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ มีอยู่มาตลอด เปลี่ยนถ่ายสลับไปมาเหนืออำนาจบังคับบัญชาอยู่ตลอดเวลา และปรากฏสภาพจิตเดิมที่ทำได้แต่ "รู้เขา" อย่างเดียว

สรุปว่าเมื่อไรสติขาด ก็จะเกิดตัวตนขึ้นมาเสพขันธ์ 5 ทุกครั้ง แต่เมื่อมีสติ ตัวตนก็ไม่มี ขันธ์ 5 มีอยู่เหมือนเดิมจนกว่าขันธ์จะแตกสลายแยกคืนธรรมชาติไป และมีสภาพจิตที่ทำหน้าที่รู้ขันธ์ 5 แต่แยกขาดจากขันธ์ 5 จิตนั้นก็จะเหมือนใบบัวไม่เปียกน้ำ รับรู้ทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามา แต่ไม่ถูกเจือปนด้วยสิ่งๆต่างๆเหล่านั้น อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


แก้ไขล่าสุดโดย คนธรรมดาๆ เมื่อ 13 ก.ย. 2011, 12:50, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2011, 07:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ก.ย. 2011, 10:31
โพสต์: 36


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าอวิชชาไม่เป็นปัจจัยให้เิกิดสังขาร พวกเราคงไม่มานั่งพิมพ์ ปรุงแต่งให้ได้อ่านกันซีนะครับ :b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 207 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 14  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 55 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร