วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 19:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2011, 09:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ย. 2010, 12:12
โพสต์: 45

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนสี่เหล่า
พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสฺรํสี)
แสดงธรรม ณ วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๕


รูปภาพ

ตั้งใจฟังพระธรรมเทศนาต่อไป ธรรมะเป็นของสงบ เราไม่สงบรับธรรมะไม่ได้
เราต้องทำความสงบกาย วาจาและใจ
กายสงบ คือไม่ไปหยิบนั่นฉวยนี่ ไม่ต้องกระดุกกระดิก
หากว่าจำเป็นจำต้องพลิกไหวบ้างก็ไม่เป็นไร
วาจาสงบ คือไม่ต้องพูดต้องคุยกัน
ใจสงบ คือให้ตั้งใจฟังพระธรรมเทศนาอยู่ในอารมณ์อันเดียว
เป็นสมาธิอยู่ในตัว เรียกว่าใจสงบ การฟังเทศน์ก็ต้องการให้ใจสงบนั่นเอง
ถ้าหากว่าใจสงบจนกระทั่งฟังเทศน์ไม่ได้ยินอะไรเลย นั่นเหละถูกต้องแล้ว
ฟังเทศน์ในที่ใดๆ หรือในอุบายอันใดก็เพื่อสงบแห่งใจนี่เอง
พระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าเทศน์ให้พระภิกษุสงฆ์ฟัง
ก็ต้องการให้ใจสงบเป็นสมาธินั่นเอง
เราทำใจให้สงบน่ะถูกแล้ว ไม่ต้องไปพูดมาก
มันถูกใจของเราแล้ว ใจมันสงบแน่วแน่เต็มที่เลย
มันก็ถูกแล้ว ฟังมากไปสักเท่าไรใจไม่สงบก็ไม่ได้ผลเท่าที่ควร
การฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าที่พระท่านเทศน์ให้ฟังนั้น
ถ้าตัวของเราไม่สงบ ธรรมะเป็นของสงบ
มันก็เข้ากันกับความสงบแห่งธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ได้
อย่างพระท่านบอกว่าก่อนที่จะฟังพระธรรมเทศนา
จงตั้งโสตประสาท คือหูทั้งสองไว้สำหรับรับรองซึ่งพระสัจธรรมเทศนา
ดังอาตมาจะได้วิสัชนาไปในกาลบัดนี้
จึงขอให้ตั้งใจฟังพระธรรมเทศนาและทำความสงบในใจให้ได้


วันนี้จะเทศนาเรื่อง “คนสี่เหล่า”
คนเราเกิดขึ้นมาในโลกนี้ ต้องตกอยู่ในจำพวกสี่เหล่านี้ทั้งนั้น
ไม่นอกเหนือไปจากคนจำพวกสี่เหล่านี้ไปได้ คือ

๑. ตโม ตม ปรายโน คนมืดมาแต่เบื้องต้นแล้วก็มืดต่อไปอีก จำพวกนี้ใช้ไม่ได้
๒. ตโม โชติ ปรายโน มืดมาแล้วสว่างไปนั้น ก็ยังดีหน่อย
๓. โชติ ตโม ปรายโน สว่างเบื้องต้นแล้วมืดเบื้องปลาย พวกนี้ใช้ไม่ได้เหมือนกัน
๔. โชติ โชติ ปรายโน สว่างมาแล้วก็สว่างไป นั้นดีมาก


บางคนเกิดมาไม่รู้เดียงสาอะไรเลย
เหมือนกับมดกับปลวกมืดตื้อไปหมด พูดอะไรก็ไม่รู้เรื่องรู้ราว
เรื่องศีลเรื่องธรรมแล้วไม่ต้องกล่าว เข้าใจว่าตัวเองโง่เง่าเต่าตุ่นไม่มีสติปัญญา
แล้วก็เลยไม่ทำความดีต่อไป เห็นว่าหมดวิสัยของตัวแล้ว
ซ้ำเติมให้โง่ให้ทึบ ให้ตื้อเข้าไปอีก เรียกว่ามืดมาแต่ต้น แล้วก็มืดต่อไปอีก
ขอให้คิดดู คนเราเกิดขึ้นมาถ้าไม่มีการศึกษาเล่าเรียนจะเอาความรู้มาแต่ไหน
เรียนอย่างน้อยที่สุดมันก็ได้ความรู้
ถ้าถือว่าตนโง่แล้วก็ไม่ศึกษาเล่าเรียนและไม่ปฏิบัติ มันก็ยิ่งโง่ขึ้นไปกว่าเก่า
คนที่เข้าใจผิดเช่นว่านั้น ทำผิดพลาดจากการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เลยทีเดียว
แทนที่จะคิดว่าความมืด ความโง่ของเรานั้น
เราจะต้องแสวงหาเครื่องสว่างเป็นเครื่องส่องทางของเรา
ถึงไม่ได้มากสักนิดเดียวก็เอา จึงจะเป็นการดี
คนนั้นเรียกว่าค่อยสว่างขึ้นหน่อย นับว่าดี
อย่าไปถือว่านิสัยบุญวาสนาเราไม่ให้หรือไม่ส่งเสริม
บุญวาสนานิสัยใจคอของเรามันต่ำต้อย
ไม่สามารถที่จะเจริญภาวนาทำสมาธิได้ เลยทอดอาลัยเพียงแค่นั้น
บุญวาสนานิสัยของเรา เรารู้แล้วหรือ เราเห็นแล้วหรือภพก่อนชาติก่อนเราทำอะไรไว้
มันจึงโง่เง่า เต่าตุ่น ทื้อ ทำอะไรก็ไม่เป็น เราไม่เห็นไม่รู้เรื่องเหล่านี้หรอก
แต่โดยเหตุที่เราไม่มีปัญญาก็เลยถือเอาเฉยๆ นี่แหละว่าบุญวาสนาแต่ก่อนเราไม่มี
จะให้บุญนั้นส่งเสริมเราเอง เมื่อไรบุญวาสนามันจึงจะส่งเสริมให้เรา
เราต้องขวนขวาย ต้องแสวงหา ต้องอบรมเอาเองซี
ถ้าไม่อบรมมันจะเกิดจะเป็นหรือ บุญวาสนามันจะส่งเสริมอะไรให้เรา
เกิดขึ้นมาก็นอนแปะก้นเพียงแค่นี้แหละ บุญวาสนาไม่มีอะไรให้เรา
เรานี่แหละจำเป็นจะต้องทำ บุญก็ตัวของเรา วาสนาก็ตัวของเรา นิสัยก็ตัวของเรา
เราทำให้มันเกิดขึ้นมาซี ทำแล้วมันต้องได้ ถ้าไม่ทำมันจะได้อะไร
ให้เข้าใจอย่างนั้นให้ปฏิบัติอย่างนั้น มันจึงจะเจริญต่อไป

พวกที่มืดมาแล้วสว่างไปนั้นดี บุคคลผู้แสวงหาประโยชน์ต้องเป็นอย่างนั้น
ต้องแสวงหาทางพ้นทุกข์ แสวงหาความดี
เกิดขึ้นมาไม่มีใครจะเป็นนักปราชญ์มาตั้งแต่เกิด
จะเป็นผู้รู้ ฉลาดเฉลียวมาตั้งแต่ต้นไม่มีทั้งนั้น มันต้องอาศัยการศึกษาเล่าเรียน
การฝึกฝนอบรมเป็นสิบๆ ปีกว่าจะเป็นศาสดาจารย์อาจารย์เขาได้
นั่นเรียกว่ามืดมาแต่ต้น ค่อยสว่างตอนปลาย อันนั้นดีมาก
ถ้าเป็นได้อย่างนั้น บุญวาสนาบารมีมันต้องเป็นพื้นฐานของบุคคล
สำหรับให้คนบำเพ็ญต่อไป

พวกสว่างเบื้องต้นแล้วมืดบั้นปลาย อันนี้ไม่ดีเลย
เกิดขึ้นมาเป็นผู้ฉลาดเฉียบแหลมเกิดในตระกูลผู้ดี
มั่งคั่งบริบูรณ์สมบูรณ์ทุกประการ มีเกียรติยศชื่อเสียงอะไรต่างๆ
แต่กลับทำตัวเป็นคนเลว ทำชั่วยิ่งร้ายไปกว่าเก่า
เราสามารถที่จะทำอะไรได้ทุกอย่างเพราะมีเงินมีทอง
มีชื่อเสียง มีตระกูล พ่อแม่ของเราร่ำรวย มีอำนาจวาสนา
ทำดีก็ได้ ไม่ทำ กลับมาทำชั่ว เมื่อทำไปแล้วยากที่จะกลับคืนมาหาความดีได้
คือมันเลวทรามมาแล้ว นิสัยชั่วช้าติดสันดานของตนเข้าไปแล้ว
จะกลับคืนมาเป็นคนทำดีก็อับอายขายขี้หน้าเขา
นั่นทำให้สังคมเสื่อม ทำให้สังคมเดือดร้อน ทำให้คนอื่นวุ่นวาย
เพราะเหตุเราคนเดียวเท่านั้น เรียกว่า “สว่างมา แล้วกลับมืดไปอีก”
ร้ายกาจกว่าเพื่อน ร้ายกว่าที่ว่า “มืดมา แล้วกลับมืดไปอีก”
สว่างมาแล้วมืดกลับไปร้ายกว่าพวกอื่นๆ ทุกพวก เรียกว่ารู้แล้วแกล้งทำไม่รู้

โชติ โชติ ปรายโน พวกสว่างมาแล้วก็สว่างต่อไป นั้นดีมาก
เราเกิดมาในตระกูลที่มั่งคั่ง สมบูรณ์บริบูรณ์
มีเกียรติยศชื่อเสียง มีเงินมีทองมากมาย
มาคิดถึงตัวเราว่าอุดมสมบูรณ์ เพราะบุญวาสนาบารมีแต่เก่า
อันนั้นเห็นได้ชัด ไม่ต้องเกิดอดีตญาณหรอก เห็นได้ในปัจจุบัน
คนที่มีเมตตาปรานี เอ็นดูสงเคราะห์คนอื่น
ตัวเองก็อยู่ในศีลธรรม แล้วก็แนะนำคนอื่นให้ตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรม
ให้ประพฤติดีประพฤติชอบ ประกอบแต่การกุศล
เจริญรุ่งเรืองด้วยตนเอง แล้วสอนให้คนอื่นเจริญรุ่งเรืองไปด้วย
ตัวของเราก็ยิ่งได้รับความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปอีกกว่าปกติธรรมดา
เขาได้รับคุณงามความดี เขาก็นิยมนับถือยกย่องสรรเสริญผู้ที่สอนเขา
นั่นแหละการทำคุณงามความดีก็เป็นอย่างนี้
ไม่ใช่ว่าเรารวยแล้วมีเกียรติยศชื่อเสียงแล้วก็ข่มเหงคนอื่น
กลับเป็นความชั่วมืดต่อไปอีก
นิสัยคนมีจริยธรรม คนทำความดีได้ความปลื้มปีติอิ่มใจแล้ว
อยากสอนคนอื่นๆ ให้ทำตามเป็นธรรมดา

ธรรมที่ควรปฏิบัติสำหรับคนสี่จำพวกนี้ก็คือ
พวกแรก พวก ตโม ตม ปรายโน เราเป็นคนทุกข์ คนจน ไม่มีสติปัญญา
เลยไม่คิดจะทำสมาธิภาวนา คุณงามความดีอะไรทั้งหมด
เลยหมดหนทางที่จะทำคุณงามความดีต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ทางที่ถูกก็คือควรจะหัดสมาธิภาวนาเพื่อแก้นิสัยบุญบารมีเดิมของตน
นอกจากการภาวนาทำสมาธิแล้ว ไม่มีทางอื่นใดที่จะช่วยแก้ได้
ขอให้มีความอดทนพยายามอย่างเต็มที่ ก็จะสำเร็จตามความประสงค์


พวก ตโม โชติ ปรายโน
คนเราเกิดมาทุกคนต้องมืดมนด้วยกันทั้งนั้น ไม่ใช่สว่างมาแต่เบื้องต้น
ใครเกิดมาจะรู้จักดี ชั่ว ฉลาดเฉลียวมาแต่เบื้องต้น ไม่มีหรอก
ถึงชาติก่อนจะเรียนรู้มาแล้วก็ตาม กลับมาเกิดใหม่ก็ต้องมาเรียนใหม่
แต่นิสัยเป็นเหตุให้เรียนได้ดีกว่าคนไม่มีนิสัย
พระพุทธเจ้าท่านก็เกิดมาเป็นปุถุชนเสียก่อน แต่เป็นอัจฉริยะบุคคลคนหนึ่งเท่านั้น
พระโสดาบันพระสกิทาคามีในชาติก่อน เมื่อกลับมาเกิดก็ต้องเป็นคนธรรมดานี่แหละ
ในกามโลกไม่มีที่เกิดของเสขะบุคคล พระอนาคามีก็ไปเกิดชั้นสุทธาวาสเสียแล้ว
แปลว่าเกิดเป็นคนธรรมดา แล้วนิสัยวาสนาแต่ต้นนั้นมันหากมาดลบันดาล
และได้ยินได้ฟังธรรมเกิดความรู้ความฉลาดเฉียบแหลมยิ่งกว่าหมู่เพื่อน
สามารถกลับตัวให้เป็นคนดี เป็นพระโสดา สกิทาคามีหรือพระอรหันต์ต่อไปได้
นั่นแหละบุญวาสนาแท้ ไม่ใช่เอาโสดาแต่ก่อนมาเป็นโสดาเดี๋ยวนี้
จะเอาสกิทาคามีแต่ก่อนมาเป็นสกิทาคามีเดี๋ยวนี้ไม่ได้
จึงว่าเราเกิดมาแล้วเป็นคนมืดมาก่อนทุกคน
แต่คนมืดนั้นพยายามตั้งใจที่จะเป็นคนสว่าง เห็นเขาทำดิบทำดีก็อยากทำดีอย่างเขา
ก็ตั้งใจพยายามทำดี ความพยายามทำให้ได้รับผลสำเร็จ
ศาสนานี้สอนให้ทำ ไม่ใช่ให้อยู่เฉยๆ พระพุทธเจ้าสอนให้ทำทั้งนั้น
ต้องพยายามทำจริงๆ จังๆ จึงจะดีต่อไป
เราจะไปอ้างกาลเวลา อ้างธุระกิจการงานต่างๆ นั้นไม่ได้
นั่นมันเป็นเพียงเครื่องประกอบอาชีพของคนเราเท่านั้น มันไม่ใช่ของเรา
ของเราแท้ก็คือการกระทำคุณงามความดี
หัดสมาธิภาวนา ตั้งสติกำหนดจิต นี่แหละเป็นของเราแท้ๆ ทีเดียว
คนอื่นมาแย่งเราไม่ได้ เราทำแล้วก็เป็นของเรา

การหาเงินหาทองข้าวของสมบัติต่างๆ มันเป็นของภายนอก ไม่ใช่ของเรา
เราใช้เมื่อยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วไม่เห็นเอาไปได้สักคนเดียว
ให้คิดเสียอย่างนั้น ให้ทำสมาธิภาวนาทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน
อันนี้เป็นของเราแท้ๆ ควรทำ

โชติ ตโม ปรายโน สว่างแล้วกลับมืด
เรื่องพรรค์นี้มีมากทีเดียว เมื่อหัดสมาธิภาวนาเกิดความรู้ความฉลาด
พูดจาพาทีคล่องแคล่ว เพราะเป็นของเกิดขึ้นมาในใจของตนเอง
ต่อมาเกิดความประมาทในกิจวัตรและข้อวัตรต่างๆ ในการทำสมาธิ
สมาธิภาวนาเลยเสื่อม เสื่อมแล้วคราวนี้ทำไม่ถูก ทำอย่างไรๆ ก็ทำไม่ได้
เลยเบื่อหน่ายขี้เกียจ ในผลที่สุดเป็นพระก็สึก
เป็นชีก็สละชีเสีย เป็นฆราวาสก็สละวัดเสีย
เลยไปหากินตามปกติธรรมดา เลยกลับเสื่อมเสียแทนที่จะเจริญต่อไป
อันนี้แหละน่าเสียดายด้วยน่าสงสารด้วย ของดีๆ ทำมาแล้วกลับทิ้งทอดธุระเสีย
มิหนำซ้ำบางคนยังพูดหยาบหยามดูถูกอีกว่า ศาสนานี้ทำเท่าไรก็ทำเถิด
ข้าพเจ้าทำมากแล้วถึงขนาดนั้นยังไม่เป็นไป ยังเสื่อมเสียได้
จึงเป็นที่น่าเสียดายมากที่มาเหยียดหยามดูถูกการบวชการเรียน
การเข้าวัดฟังธรรมและศาสนา

ผู้เขียนขอนำเรื่องชายคนหนึ่งมาเล่าสู่ฟังว่า
เธอเคยแลเคยได้ฐานันดรเป็นใบฎีกามาแล้ว เธออยู่ไม่ได้จึงสึกออกไป
ดื่มสุราเป็นเยี่ยม แลภรรยาก็นักดื่มยิ่งกว่าสามีอีกด้วย
เที่ยวประกาศหมู่เพื่อนว่าเข้าวัดฟังธรรม จำศีลไม่เห็นได้อะไรเลย
ถ้ามรรคผลนิพพานมีจริง ฉันทำมามากคงสำเร็จแล้ว
ต่อมาเธอเกิดเป็นโรคไปโรงพยาบาลหมอรักษาไม่ได้ เงินค่ายาก็ไม่มี
หมอเขาถามถึงที่อยู่ เธออ้างเอาวัดแห่งหนึ่งว่าเธอปลูกบ้านอยู่ใกล้วัดนั้น
หมอเขาสงสารเขาเลยไม่เอาค่ายา แถมยังให้ค่ารถเดินทางกลับอีกด้วย
เธอกลับมาแล้วมาเล่าให้พระฟังตลอดหมด แต่โรคนั้นก็ยังไม่หาย
พอเป็นหนักเข้า เธอได้นิมิตว่าเธอได้พูดคำหยาบคายแก่พระ
เธอได้เอาดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมาโทษพระ พระท่านก็ให้อโหสิกรรม
แต่กว่าเธอจะรู้ตัวมันสายเสียแล้ว
นี่แหละบาปบุญคุณโทษเป็นของมีจริง จึงไม่ควรประมาท
เราประมาทแล้วยังสอนให้คนอื่นประมาทอีกด้วย
กรรมใดๆ ก็ตามเมื่อมันยังไม่ให้ผลก็ดูเหมือนไม่มี
ต่อเมื่อมันให้ผลก็หมดหนทางแก้ไข นี้เรียกว่าสว่างแล้วกลับมืดบอดอีก

พวกสว่างแล้วสว่างต่อไปนั้นไม่มีที่ติ โชติช่วงตลอดเวลาเลย

สรุปได้รวมใจความแล้วว่า ศาสนานี้สอนให้กระทำ ได้น้อยได้มากก็ทำ
ถึงจะได้น้อยก็ยินดีพอใจกับการกระทำของตน
เรามีมือน้อยก็รับเอาแต่ของน้อยๆ รับเอามากเกินไปก็ไม่ได้
เรากำลังน้อยเราก็แบกก็หามเอาเท่าที่มันแบกไหวนั่นแหละ
เอามากกว่านั้นก็แบกไม่ไหว หลังหัก
ความยินดีตามมีตามได้ ท่านบอกว่าเป็นสมบัติอันล้ำค่าหาประมาณมิได้
อะไรทั้งหมดก็เหมือนกัน ไม่ว่าธรรมไม่ว่าของภายนอก
มีน้อยแล้วไม่พอใจมักจะเสียหาย
พอใจกับธรรมที่มีอยู่เป็นอยู่ในตัวของเรา เช่น เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
เห็นมนุษย์สัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาเป็นทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น
แล้วเอาทุกข์นั้นมาเทียบกับทุกข์หรือสุขของเรา
แล้วจะเห็นว่าทุกข์หรือสุขของเขานั้นจะเทียบกันไม่ได้
ในเมื่อเรามีความสุข เอาทุกข์ของเขามาเทียบกับของเรา
หรือในเมื่อเรามีความทุกข์ก็ดี
จะเอาความทุกข์ของเขามาเทียบกับของเรา ก็ไม่ได้เหมือนกัน
ความสุขและความทุกข์ของสัตว์ที่เกิดมาย่อมมีเหมือนกัน
แต่ทุกข์มากและทุกข์น้อยเพราะความเข้าไปยึดถือต่างหาก

เราเกิดมาอยู่ในโลกอันนี้ ทุกๆ คนจำเป็นจะต้องได้ประสบด้วยกันทั้งนั้น

ผู้คิดเห็นเช่นนั้น จิตย่อมไม่มีอคติใดๆ ในสัตว์มนุษย์ทั่วไป
มีแต่ความเมตตาปรารถนาอยากจะให้เขาเหล่านั้นได้รับแต่ความสุขถ่ายเดียว
เมื่อเขาเหล่านั้นได้รับความสุขพ้นจากทุกข์แล้ว
ก็พอใจ อิ่มเอิบใจ เบิกบาน หรรษา หน้าตาผ่องแผ้วอยู่เป็นสุข
มันเลยกายเป็นพรหมวิหารฌานไปในตัว
นี่แหละความพอใจในธรรมที่มีอยู่ในตัว ย่อมเกิดผลประโยชน์อย่างนี้
ฉะนั้นจึงไม่ควรดูถูกว่าเป็นสิ่งเล็กน้อย



:b8: :b8: :b8: ที่มา : พระธรรมเทศนาหัวข้อ คนสี่เหล่า
http://www.thewayofdhamma.org/page3_2/94.html

:b50: ประวัติและปฏิปทา “หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=35963

:b50: รวมคำสอน “หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43000

:b50: ประมวลภาพ “หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี” วัดหินหมากเป้ง
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=42782


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2011, 03:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2010, 09:11
โพสต์: 597


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss อนุโมทนาสาธุๆค่ะ ขอบพระคุณค่ะ :b8: :b8: :b8:

:b39: ธมฺมกาโม ภวํ โหติ
ผู้ฝักใฝ่ในธรรมเป็นผู้เจริญ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 22 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร