วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 01:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 06:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ-หลวงปู่ขาว อนาลโย


จะให้ผมแบกกองฟืนกองไฟไปหาอะไรโดยเข้าใจว่าขันธ์นี้จะเอาของอัศจรรย์มาหยิบยื่นให้ ผมไม่สงสัยในขันธ์นี้ทั้งที่กำลังครองตัวอยู่ และสลายจากกันไป ผมเป็นผม ขันธ์เป็นขันธ์ จะให้คว้ายึดมาบวกกันหาอะไร การปล่อยขันธ์โดยสิ้นเชิงเท่านั้น อนาลโย จึงสมบูรณ์แบบ

การเมตตาสงสารหมู่เพื่อนและประชาชนนั้น ยอมรับว่าเต็มดวงใจไม่มีบกพร่อง การฝืนอยู่ทั้งที่รู้ว่าขันธ์นี้เป็นทุกข์ ก็ฝืนอยู่ เพราะความเล็งประโยชน์แก่ผู้ควรได้รับ ซึ่งมีอยู่จำนวนมากต่อมากนั้นแล ลำพังตัวผมเองพร้อมเสมอที่จะปล่อย ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ที่เคยเป็นบ่อแห่งน้ำตาของสัตว์โลกและของเราผู้เคยหึงหวงมัน เวลานี้เราไม่หวังไม่หวง และพร้อมที่จะปล่อยวางลงตามธาตุเดิมของเขา ไม่ขัดไม่ขืนไม่ฝืนความจริง เนื่องจากเคยฝืนมาแล้ว เจอแต่ทุกข์จนเข็ดหลาบอย่างถึงใจ มาบัดนี้จึงไม่ฝืน พลอยตามคติธรรมดาซึ่งเป็นทางเดินของธรรมคือความจริงอันตายตัว

ท่านผู้เคยรับผิดชอบกอบกู้ตัวเองมาโดยหลักธรรมชาติ ไม่มีใครบอก ไม่มีใครบังคับ แต่ความจำเป็นหากบังคับตัวเอง ให้จำต้องรับผิดชอบในตัวเองด้วยกันทุกตัวสัตว์ จงอย่าประมาท และจงถือจิตเป็นรากฐานสำคัญพาดำเนินทั้งการอาชีพและการบำเพ็ญความดีทั้งหลาย ตลอดความประพฤติอัธยาศัย การแสดงออกทุกอาการ จงแสดงออกด้วยการรับผิดชอบตัวเอง โดยทำความรู้สึกตัวอยู่เสมอว่า เราเป็นผู้ทำดีทำชั่ว เราเป็นผู้แสดงออกด้วยอาการต่างๆ ซึ่งมีเจ้าของเป็นผู้รับผิดชอบ คือเราเองเป็นผู้คอยรับผลดี-ชั่วของงานนั้นๆ ผลงานนั้นๆ ไม่สูญหายไปไหน จะไหลเข้าสู่ต้นเหตุคือเราซึ่งเป็นผู้ทำ ผู้แสดงออก

คำว่าเราอันเป็นหลักใหญ่ในตัวคนก็คือใจ ใจเป็นของไม่ตาย และไม่เคยตายมาแต่กาลไหนๆ นอกจากระเหเร่ร่อนไปเกิดในกำเนิดดี-ชั่วต่างๆ ตามอำนาจของวิบากกรรมดี-ชั่วที่ตนทำไว้พาให้เป็นไปเท่านั้น ยิ่งคำว่าตายแล้วสูญ นั่นไม่มีในใจดวงใดๆ เลยทั้งใจสัตว์ใจบุคคล แม้ใจพระพุทธเจ้าและใจพระอรหันต์ผู้สิ้นกิเลสตัวพาให้เกิด-ตายแล้วก็ไม่สูญ แต่ไม่เที่ยวแสวงหาที่เกิดต่อไปเหมือนใจที่มีกิเลสเป็นเชื้อพาให้เกิด-ตายเท่านั้น เพราะใจนั้นเป็นใจ อนุปาทิเสสนิพพานของผู้สิ้นกิเลสโดยสมบูรณ์แล้ว

อันคำว่า ตายแล้วสูญก็ดี คำว่าบาปไม่มีก็ดี คำว่าบุญไม่มีก็ดี คำว่านรกไม่มีก็ดี คำว่าสวรรค์ไม่มีก็ดี คำว่านิพพานไม่มีก็ดี เหล่านี้เป็นหลักวิชาในคัมภีร์ของกิเลสตัวครองไตรภพ มันเรียนจบวิชาเหล่านี้แล้วจึงครองหัวใจสัตว์โลก แม้มันจะโขกจะสับสัตว์โลกลงหนักเบามากน้อยเพียงไร ก็ทำได้ไม่หวาดหวั่นพรั่นพรึงและสะทกสะท้าน ต่อผู้พูดว่าจะมาหาญสู้กับมัน เพราะวิชามันดี ทันสมัย สัตว์โลกยอมรับอย่างหมอบราบไม่กล้าฝ่าฝืน ร้อยทั้งร้อย วิชาทุกแขนงจากคัมภีร์กิเลสที่เสี้ยมสอนไว้ ต้องเป็นวิชาลบล้างความจริงของธรรมที่แสดงไว้ทั้งสิ้น เช่น ความจริงแห่งธรรมแสดงไว้ว่า ตายแล้วเกิด วิชาจากคัมภีร์ของกิเลส ต้องสอนกลับกันว่า ตายแล้วสูญ เช่นธรรมว่า บาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี นิพพานมี วิชาของกิเลสจะปฏิเสธ หรือลบล้างทันทีว่า บาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี นิพพานไม่มี ดังนี้ ทุกคัมภีร์ไม่ก้าวก่ายกัน

ดังนั้น พวกเราชาวพุทธจำต้องได้พิจารณาเลือกเฟ้น ด้วยความละเอียดถี่ถ้วน ไม่ทั้งนี้ต้องโดนคัมภีร์ของกิเลสฉุดลากลงเหวลงบ่อ ลงนรกอเวจีเพราะความหลงเชื่อกลมัน ชนิดไม่มีใครช่วยได้ เพราะสายเกินแก้เสียแล้ว การแก้หรือการชำระล้างกิเลส และคัมภีร์ของกิเลส ที่ฝังจมอยู่ภายในใจเรา จึงควรแก้ควรล้างด้วยคัมภีร์พุทธธรรมเสียแต่บัดนี้ ที่ยังมีชีวิตและเป็นกาลอันควรอยู่ ตายแล้วหมดโอกาสจะทำได้ นอกจากเสวยผลดี-ชั่วที่ตนเคยทำไว้เมื่อคราวเป็นมนุษย์เท่านั้น

คำว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ นั้นท่านสอนให้พึ่งตัวเอง ไม่ให้หวังพึ่งใครในภพกำเนิดใดทั้งสิ้น ท่านสอนให้ทำความดีเพื่อตัวเองเสียแต่บัดนี้ จะอบอุ่นภายในใจทั้งยังมีวิตอยู่ และเวลาตายไป เนื่องจากความมีคุณธรรมคุ้มครองป้องกันตัว ผิดกับผู้ไม่มีบุญมีธรรมอยู่มาก ส่งไปถือกำเนิดเกิด ณ ที่สุดก็มีแต่กำเนิดที่เกิดที่อยู่อันเป็นฟืนเป็นไฟไปตามๆ กันหมด

ขึ้นชื่อว่ากิเลสตัวเป็นมารของธรรมแล้ว ต้องเป็นมารของสัตว์โลกไม่มีทางสงสัย การแสดงออกของมัน มีแต่การหลอกลวงสัตว์โลก ให้เข้าสู่หลุมถ่านเพลิง คือกองทุกข์ไม่มีประมาณ โดยถ่ายเดียว หาที่พอเชื่อถือและยึดเป็นที่อาศัยชั่วระยะเดียวก็ไม่ได้ ผลเต็มไปด้วยฟืนด้วยไฟทุกกิ่งทุกแขนง ไม่มีเกาะมีดอนพอให้หายใจด้วยมันได้ ปราชญ์ท่านจึงตำหนิติเตียนมาตลอดทุกยุคทุกสมัย ไม่เคยยกยอบ้างเลยว่า กิเลสก็ทำให้โลกร่มเย็น กิเลสก็เป็นธรรม ให้ความเสมอภาคยุติธรรมแก่โลกเป็นต้น นอกจากกลหลอกลวงเต็มตัวของมันมาทุกยุคทุกสมัย ไม่เคยทิ้งลวดลายแห่งการปลิ้นปล้อนหลอกลวงสัตว์โลกผู้โง่เขลาที่น่าสงสารบ้างเลย

สำหรับธรรมมีแต่ความอ่อนโยน เมตตาสงสาร กรุณาช่วยให้สัตว์โลก พ้นจากความโง่เขลาเบาปัญญา ให้พ้นจากความทุกข์ทรมานต่างๆ พึงส่งเสริมให้บรรเทาเบาบางจากทุกข์ ให้มีความสงบสุขโดยถ่ายเดียว ระหว่างกิเลสกับธรรมต่างกันมาก จนหาส่วนเทียบกันไม่ได้ เดินสวนทางกันร้อยเปอร์เซ็นต์ กิเลสหลอกลวงสัตว์ ผูกมัดสัตว์ให้จมอยู่ในวัฏทุกข์โดยถ่ายเดียว ส่วนธรรมพยุงส่งเสริมสัตว์ รื้อขนสัตว์ให้ขึ้นจากวัฏทุกข์โดยลำดับจนถึงวิมุตติหลุดพ้นไปได้โดยสิ้นเชิง ฉะนั้นระหว่างกิเลสกับธรรมจึงต่างกันมากดังที่กล่าวมาดังนี้

หลวงตาบัว ผู้เขียนกราบเรียนถามความรู้สึกของท่านที่มีต่อขันธ์เวลานั้น ท่านเทศน์เสียยกใหญ่ราวกับไม่มีโรคภัยไข้เจ็บอ่อนเพลียในธาตุขันธ์บ้างเลย พูดจนผู้ฟังสะดุ้งไปตามๆ กัน ทั้งสุ้มเสียง ทั้งกิริยาการแสดงออก ทั้งความเข้มข้นแห่งธรรมที่หลั่งไหลออกมาจากใจที่บริสุทธิ์ของท่านเวลานั้น ซึ่งไม่มีใครคาดฝันว่าท่านจะสามารถฝืนขันธ์แสดงได้อย่างถึงพริกถึงขิง ถึงกิเลสถึงธรรมขนาดนั้น ผู้ฟังทั้งหลายต่างยิ้มแย้มแจ่มใสหูตาสว่างไปตามๆ กัน

ในขณะนั้น ผู้เขียนมีนิสัยไม่พอดี จึงมักไม่มีความอิ่มพอในธรรมที่ท่านเมตตาอธิบายให้ฟัง ยังอยากฟังให้ยิ่งขึ้นไป แล้วสอดแนบปัญหาธรรมแถมพกถวายท่านตอนท้าย ต่อไปนี้ครูบาอาจารย์จะนับวันหายวันหายคืนไปโดยลำดับและหายขาดเป็นปกติในธาตุขันธ์ ไม่อาจสงสัยเลย เพราะธรรมที่ครูบาอาจารย์โปรดเมตตาครั้งนี้ เป็นธรรมประเภทเผาเกลี้ยงเตียนโล่งโรคในขันธ์ โรคต้องแตกกระจายไปหมด ไม่มีโรคชนิดใดจะหาญสู้ธรรมประเภทเผาเกลี้ยงนี้ได้ แม้แต่กิเลสที่เหนียวแน่นกว่าโรคชนิดต่างๆ มันยังต้องพินาศไปเพราะธรรมประเภทนี้สังหารทำลาย

ท่านตอบอย่างน่าฟังและฝังใจไม่มีวันลืมว่า ขันธ์เป็นขันธ์ โรคเป็นโรค กิเลสเป็นกิเลส ธรรมเป็นธรรม มันคนละอย่าง หยูกยาควรแก่การรักษาโรค ปราบโรค ธรรมควรแก่ทางแก้กิเลสปราบกิเลส จะนำมาปราบโรคบางชนิดมันไม่เหมาะสมกัน โรคที่ควรจะหายด้วยธรรมก็มี ที่ไม่อาจหายได้ด้วยธรรมก็มี ผู้ปฏิบัติควรทำความเข้าใจเอาไว้ อย่าให้ความรู้ ความเชื่อ การกระทำ เลยเถิดแห่งกรรมคือความพอดี

การแสดงวันนี้ เราแสดงเป็นธรรมล้วนๆ เพื่อความรื่นเริงในธรรมทั้งหลาย และเพื่อถอดถอนกิเลสในขณะฟัง มิได้เกี่ยวกับขันธ์จะหาย โรคจะพินาศดังที่เข้าใจนั้น ขันธ์จะหายหรือจะตายไม่สำคัญ แต่สำคัญที่ให้กิเลสตายจากใจ เพราะกรรมที่แสดงนี้เผาผลาญ นั่นเป็นความเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับพวกเรานักปฏิบัติธรรม ดังนั้นจงพากันพิจารณาไตร่ตรองด้วยปัญญาในธรรมที่กล่าวมา จะเป็นกำลังใจและส่งเสริมอุบายสติปัญญา ถอดถอนกิเลสภายในออกได้เป็นวรรคเป็นตอน

ครั้งพุทธกาลท่านฟังธรรมด้วย โอปนยิโก น้อมธรรมเข้าสู่ตนโดยลำดับที่ได้ยินได้ฟัง ไม่ยอมให้ธรรมนั้นรั่วไหลหลุดลอยผ่านหูผ่านใจไปเปล่าๆ ดังพวกเราส่วนมากฟังกัน ผลคือการแก้ การถอดถอนกิเลสในขณะฟัง จึงไม่ค่อยปรากฏเท่าที่ควร ดีไม่ดีคอยสั่งสมกิเลสในขณะฟังยังมีดาษดื่น เพียงแต่ไม่สนใจคิดกัน จึงไม่ทราบได้ว่าตนฟังเพื่อธรรม หรือฟังเพื่อกิเลสพอกพูนตัว หัวเราะธรรม

พระพุทธเจ้าแลสาวกท่านเทศน์ เทศน์จากธรรมของจริงภายในพระทัยและใจล้วนๆ มิได้เทศน์จากความจำของสัญญา ดังพวกเราเทศน์ ปฏิปทาเครื่องดำเนินทุกประเภท ทั้งหยาบ ทั้งกลาง ทั้งละเอียด ท่านบำเพ็ญมาอย่างเต็มกำลังและรู้อย่างเต็มพระทัยและเต็มหัวใจ ทั้งฝ่ายมรรคเป็นขั้นๆ ทั้งฝ่ายผลเป็นภูมิๆ นับแต่ภูมิต่ำจนถึงภูมิอันสูงสุดวิมุตติหลุดพ้น ท่านจึงเทศน์อย่างไม่อดไม่อั้น มีแต่ธรรมบริสุทธิ์ล้วนๆ หลั่งไหลออกมาจากกระแสแห่งใจ กลมกลืนกันออกมา กับกระแสเสียง ผู้ฟังด้วยความสนใจมุ่งต่อความจริงล้วนๆ จึงสามารถตักตวงเอาธรรมของจริงขึ้นมาอย่างเต็มหัวใจ ไม่ขาดทุนสูญดอกจากการฟังธรรมแต่ละครั้งๆ

กิเลสจะเป็นประเภทใดก็ตาม แม้ฝังลึกลงขั้วหัวใจ เมื่อสติปัญญาธรรมเป็นต้น เขย่าก่อกวนลวนลามอยู่ไม่หยุดยั้ง กิเลสย่อมโยกคลอนและถูกถอนขึ้นมาทีละชิ้นละอัน สุดท้ายใจก็เป็นเรือนร้างว่างเปล่าจากกิเลสทั้งปวง กลายเป็นใจที่สมบูรณ์ด้วยธรรมขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน

ด้วยเหตุผลดังกล่าวมานี้ จงพากันตั้งใจฟัง ตั้งใจปฏิบัติภาวนาให้ถึงใจทุกอย่าง ความจริงใจต่อธรรมเข้าถึงไหน ความโยกคลอนถอนตัวของกิเลสจะกระเทือนถึงนั้น โดยไม่ต้องสงสัย ทั้งครั้งนี้และครั้งพุทธกาล ผู้ปฏิบัติจริงสามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้เท่าเทียมกัน สมกับธรรมเป็นหลักธรรมชาติคงเส้นคงวา มัชฌิมาปฏิปทาเป็นธรรมเหมาะสมกับการฆ่ากิเลสให้หลุดลอยจากใจมาแล้วทุกยุคทุกสมัย ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่า จงระวังกิเลสอย่างเดียวที่เป็นคู่แข่งธรรม อย่าให้มันปีนขึ้นบนหัวได้ จะถ่ายรดลงทันที จงระวังให้ดี เอาละพูดพอเป็นคติเตือนใจท่านผู้มีความจงรักภักดีต่อครูอาจารย์ อุตส่าห์มาเยี่ยมเยียนตามจารีตประเพณีของคนผู้เคารพนับถือกัน

๐ อาการป่วยท่านค่อยทุเลาและหายเป็นปกติในที่สุด

นับแต่ท่านเริ่มป่วยดังที่เขียนผ่านมาแล้ว เป็นเวลา ๔ เดือนกว่า บรรดานายแพทย์ผู้พยาบาลรักษา มี ศ.นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ เป็นต้น ตลอดนายแพทย์และพยาบาลทางโรงพยาบาลอุดรธานี ต่างท่านมิได้นิ่งนอนใจช่วยกันพยาบาลรักษาท่านสุดกำลังความสามารถ เรื่อยมาแต่เริ่มแรกป่วย จนอาการกลับดีขึ้นเพราะคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพยาบาลรักษา และค่อยดีขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นปกติได้ นับว่าหลวงปู่ท่านชุบชีวิตใหม่ เป็นผู้ใหม่ขึ้นมาในหลวงปู่องค์เก่า ต้องขออภัยท่านผู้อ่านมากๆ ด้วยที่เรียนเล่าประวัติการป่วยของหลวงปู่ขาวเพียงย่อๆ ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่ายตามความเป็นมา ทั้งนี้เพราะหลวงตาผู้เขียนก็แก่มากแล้ว สุขภาพไม่อำนวย งานก็ยุ่งและสับสนราวกับตามรอยโคในคอกนั่นแล จึงหวังได้รับอภัยจากท่านผู้อ่านด้วยดี

(ตอนป่วยปี ๑๐ จบแค่นี้)


(มีต่อ ๑๔)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 06:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ที่แปลกอยู่อย่างหนึ่ง คือเวลาท่านนึกถึงอะไร สิ่งนั้นมักจะมาตามความรำพึงนึกคิดท่านเสมอ เช่น นึกถึงช้างว่าหายหน้าไปไหนเป็นปีๆ แล้วไม่เห็นผ่านมาทางนี้บ้างเลย หรือลกนายพรานยิงตายเสียแล้ว พอตกกลางคืนดึกๆ ช้างตัวนั้นก็มาหาจริงๆ และเดินตรงเข้ามายังกุฎีที่ท่านพักอยู่ มายืนลูบคลำสิ่งต่างๆ ในบริเวณกุฏีท่านพอให้ทราบว่าเขามาหา แล้วก็กลับเข้าป่าเข้าเขา และหายเงียบไปเลยไม่กลับมาอีก เวลารำพึงนึกถึงเสือก็เหมือนกัน ว่าเสือที่เคยเดินผ่านมาที่นี่บ่อยๆ บัดนี้หายหน้าไปไหนนานแล้วไม่เห็นมาอีก หรือถูกเขาฆ่าตายกันหมดแล้ว เพียงนึกถึงเสือตอนกลางวัน แต่พอตกตอนกลางคืน เสือก็มาเที่ยวเพ่นพ่านภายในวัด และบริเวณที่ท่านพักอยู่จริงๆ พอเป็นนิมิตให้ท่านทราบว่าเขายังอยู่ ยังไม่ตายดังที่วิตกถึง แล้วก็หนีไปไม่มาซ้ำๆ ซากๆ อีกเลย

ท่านเล่าว่าตอนนึกถึงสัตว์ต่างๆ รู้สึกแปลกอยู่มากผิดธรรมดา พอนึกถึงทีไร ถึงสัตว์ชนิดไร สัตว์ชนิดนั้นมักจะมาหาท่านแทบทุกครั้งที่นึกถึงเขา คล้ายกับมีอะไรไปบอกข่าวให้สัตว์นั้นๆ ทราบและให้มาหาท่าน

พระวิเศษทางภายในอย่างท่าน คงมีเทพาอารักษ์คอยให้อารักขา และคอยอำนวยความสะดวกตามความคิดเห็นต่างๆ อยู่เสมอ พอคิดอะไรขึ้นมา จึงมักมีเครื่องสนองตอบทางความคิดเสมอมา ถ้าไม่มี ทำไมจะมีอะไรมาหาท่านตรงตามความคิดเสียทุกครั้งเช่นนั้น อย่างเราๆ ท่านๆ คิดคนละกี่ร้อยกี่พันเรื่อง และกี่ร้อยกี่พันหนก็ไม่เห็นมีอะไรมาตอบสนองความนึกคิดความต้องการบ้างเลย พอให้ทราบว่า เราก็มีอะไรดีๆ พอตัวผู้หนึ่งที่ควรได้รับความเทิดทูนอย่างท่าน นอกจากคิดลมๆ แล้งๆ ไปพอให้กวนใจได้รับความลำบากทรมานเปล่าๆ เท่านั้น ไม่เห็นมีอะไรพอเป็นชิ้นดีแฝงมาบ้างเลย จึงน่าอับอายความคิดของตัว ที่ขนแต่กองทุกข์มาให้วันละกี่ร้อยกี่พันเรื่อง จนสมองทั้งหมดกำลังที่จะทำงานต่อไป

๐ ปฏิปทาการดำเนินของหลวงปู่ทั้งสมัยยังหนุ่มและชราภาพ

หลวงปู่ขาวท่านมีนิสัยใจเด็ดเดี่ยว ความเพียรกล้าทั้งสามอิริยาบถ คือเดินจงกรมก็เก่ง เดินแต่ฉันเสร็จแล้วถึงเที่ยง เข้าพักร่างกายพอบรรเทาขันธ์ แล้วเข้านั่งสมาธิพอประมาณราว ๑-๒ ชั่วโมง จากนั้นก็เข้าสู่ทางจงกรม ทำความเพียร ละหรือถอดถอนกิเลสประเภทต่างๆ ที่เคยฝังจมอยู่ภายในใจสัตว์โลกไม่เคยบกบางเหมือนสิ่งอื่นๆ กี่ชั่วโมงท่านไม่ค่อยกำหนด จนถึงเวลาปัดกวาดบริเวณที่อยู่ของพระองค์เดียว ที่ไม่ชอบกังวลกับสิ่งใดผู้ใด ท่านจึงออกมาปัดกวาด สรงน้ำ นั่งรำพึงไตร่ตรองอรรถธรรมในแง่ต่างๆ ตามอัธยาศัย หลังจากนั้นส่วนมากท่านมักเข้าทางจงกรมมากกว่าการเข้านั่งสมาธิภาวนา

ท่านเดินจงกรมแต่ละครั้งราว ๓-๔-๕ ชั่วโมง บางครั้งถึง ๖ ชั่วโมง จึงจะเข้าที่พัก ซึ่งส่วนมากมักเป็นเพิงบ้าง เป็นปะรำเล็กๆ บ้างในหน้าแล้งฝนไม่ตก ถ้าหน้าฝนก็อยู่กุฎี ซึ่งเป็นกระต๊อบพอหมกตัวอยู่ได้ ไม่หรูหราน่าอยู่อะไรเลย ยังน่าสังเวชด้วยซ้ำ ในสายตาของผู้เคยอยู่ด้วยความปรนปรือหรูหรามาก่อน เริ่มไหว้พระสวดมนต์ ก่อนนั่งสมาธิภาวนา ท่านชอบสวดมนต์นานด้วย กว่าจะหยุดเวลาเป็นชั่วโมงๆ หลังจากไหว้พระสวดมนต์ ก็เข้าที่ทำสมาธิภาวนาต่อไปเป็นหลายๆ ชั่วโมงกว่าจะพักผ่อนหลับนอน การเดินจงกรมของท่านก็นาน การนั่งภาวนาก็นานเป็นเวลาหลายๆ ชั่วโมง การยืนก็นาน เมื่อถึงวาระที่ควรยืนรำพึงอรรถธรรมภายในใจด้วยปัญญา ท่านยืนได้เป็นชั่วโมงๆ เช่นกัน จนกว่าจะหมดปัญหาจากข้อธรรมที่รำพึงไตร่ตรองนั้นๆ ท่านจึงก้าวเดินจงกรมในท่าเดิมต่อไป การนั่งสมาธิภาวนา ท่านนั่งจนตลอดรุ่งได้ในบางคืน ท่านเคยนั่งตลอดรุ่งอยู่บ่อยๆ สมัยยังหนุ่มอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับหนุ่มฟ้อดังพระเณรหนุ่มทั้งหลาย เพราะตอนท่านออกบวชอายุท่านก็ได้สามสิบกว่าปีแล้ว ท่านเป็นนักรบนักต่อสู้ในทางธรรมจริงๆ

ท่านเคยเทศน์ให้พระเณรฟังอย่างเด็ดๆ ก็มีในบางโอกาสว่า

ท่านทั้งหลายทราบไหมว่า สกุลของกิเลสที่ครองอำนาจบนหัวใจสัตว์โลกในไตรภพมานาน จนประมาณกาลเวลาของมันไม่ได้นั้น เป็นสกุลที่เหนียวหนับตับแข็งมาก มีกำลังมากฉลาดแหลมคมมากยิ่งกว่าน้ำซับน้ำซึมเป็นไหนๆ กลมารยามาก ร้อยสันพันคม คว่ำกิน หงายกิน ปลิ้นปล้อนหลอกลวง สัตว์โลก ไม่อาจพรรณนาวิชาการและลวดลายของมันให้จบสิ้นลงได้ เนื่องจากมันมีมากยิ่งกว่าท้องฟ้ามหาสมุทรสุดสาครเป็นไหนๆ ในสามแดนโลกธาตุนี้ อยู่ในข่ายแห่งวิชา และอำนาจของมันครอบงำทั้งสิ้น ไม่มีช่องว่างแม้เม็ดทรายหนึ่ง ที่วิชากลอุบายอันแยบคายของมันจะไม่เข้าไปเคลือบแฝงหรือซึมซาบอยู่ หากเป็นตุ่ม ก็เต็มตุ่มล้นตุ่ม เป็นยุ้งก็เต็มยุ้ง เป็นฉางก็เต็มฉาง เป็นบ้านก็เต็มบ้าน เป็นเมืองก็เต็มเมือง เป็นโลกก็เต็มโลก เป็นท้องฟ้ามหาสมุทร ก็เต็มท้องฟ้ามหาสมุทร เป็นโลกธาตุก็เต็มโลกธาตุ ไม่มีว่างเว้นจากมัน คือสกุลกิเลสที่ทรงพลังมหาศาลจะไม่ดักข่ายครอบไว้

ทั้งสามโลกธาตุนี้คือ อาณาจักรและขอบข่ายแห่งอำนาจของสกุลกิเลสทั้งมวล และแน่นหนามั่นคงมาก ยากที่สัตว์ทั้งหลายจะเล็ดลอด หรือทำลายออกมาได้ นอกจากพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เท่านั้น ถ้าท่านทั้งหลายยังไม่ทราบวิชาร่ายมนต์กล่อมสัตว์โลกของมัน ก็ขอนิมนต์ทราบแต่ขณะนี้ จะได้มีสติตื่นตัวตื่นใจไม่นิ่งนอนดังที่เป็นมาและเป็นอยู่เวลานี้

การพูดสกุลกิเลสให้ท่านทั้งหลายฟังนี้ ผมพูดออกมาจากความที่เคยเคียดแค้นต่อมันตามระยะเวลา และกำลังแห่งความเพียร ที่เคยต่อสู้ห้ำหั่นกับมัน ขั้นเริ่มแรกมีแต่แพ้มันอย่างหลดลุ่ย หมดทางต่อสู้เป็นพักๆ ฟิตใหม่สู้ใหม่ สู้ใหม่เป็นพักๆ และแพ้มันแบบล้มลุกคลุกคลานเป็นตอนๆ พอโงหัวขึ้นได้บ้างก็สู้ใหม่ๆ ด้วยใจของนักต่อสู้ โดยยึดเอาตาย กับชัยชนะมันเป็นเดิมพัน สู้ไม่ถอย นั่งอยู่ก็สู้ คือก็เพียร เดินอยู่ก็สู้ ยืนอยู่ก็เพียร นอนอยู่ถ้ายังไม่หลับก็สู้ ในท่าต่างๆ เป็นท่าต่อสู้ทั้งนั้น แม้จะแพ้แล้วแพ้เล่าก็ไม่ถอย เพราะยังไม่ถึงจุดที่ตั้งเอาไว้ดั้งเดิม คือตายและชนะอย่างเด็ดขาดเท่านั้น จึงเป็นจุดที่ยุติการต่อสู้ เมื่อสู้ไม่ถอย เพียรไม่ถอย กำลังและความคล่องตัวแห่งสติปัญญาก็ค่อยๆ ขยับตัวขึ้นมา ใจที่เคยคึกคะนอง เหมือนม้าตัวผาดโผน ก็ค่อยสงบลงได้

ใจที่เคยเรียน เคยจำได้แต่ชื่อแต่นามว่า สมาธิๆ ความสงบมั่นคงก็ค่อยปรากฏเป็นสมาธิ ความสงบมั่นคงขึ้นมาในตัวเองให้ได้เห็นได้ชม จนประจักษ์กับตัวเองว่า อ้อ คำว่าสมาธิๆ ที่ท่านจารึกไว้ในตำรานั้น ความจริง ความมี ความเป็น ความปรากฏแห่งสมาธิแท้นั้น ปรากฏขึ้นที่ใจนี้เองหรือ เออ บัดนี้เราหายสงสัยเรื่องสมาธิในตำราแล้ว เพราะได้มาปรากฏองค์สมาธิอยู่กับใจของเราเอง เวลานี้ ใจสงบ ใจสว่าง โล่งภายในใจที่เคยอัดอั้นตีบตันและปิดทางตัวเองมานานแสนนาน เริ่มลืมตาอ้าปาก พูดจาปราศรัยกับเพื่อนฝูงได้ ด้วยความโล่งใจ แน่ใจ และมั่นใจต่อมรรคผลนิพพาน ว่าจะไม่ตายเสียก่อนจะได้ชม แม้เพียงขั้นสมาธิความสงบ ก็นับว่าพอกินพอใช้ ไม่ฝืดเคืองสำหรับฐานะเรา คนจนมาตลอดภพชาติต่าง

ต้นทุนแห่งอัตสมบัติ คือ สายทางแห่งมรรคผลนิพพานที่เรามั่นใจว่าจะต้องถึงในวันเวลาข้างหน้า คือสมาธิสมบัติ ความสงบเย็นใจ เราได้เป็นต้นทุนประจักษ์แล้วเวลานี้ เรามีหวังในธรรมสมบัติขั้นสูงส่งขึ้นไปโดยลำดับด้วยความพากเพียรที่เป็นมาและเป็นอยู่ อิทธิบาทสี่นี้เริ่มปรากฏขึ้นมาบ้างแล้ว คือ ฉันทะ พอใจทั้งการบำเพ็ญเพียรภาวนา พอใจทั้งผลที่ปรากฏกับใจขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่ขาดวรรคขาดตอน ราวกับน้ำซับน้ำซึม จิตใจชุ่มเย็นโดยสม่ำเสมอในอิริยาบถต่างๆ วิริยะ เพียรไม่ถอย ทุกอิริยาบถเป็นไปด้วยความเพียร ปราบกิเลส ถอนกิเลสสกลมหิมา จิตตะ มีความฝักใฝ่ใคร่ต่อการบำรุงรักษาใจเพื่อธรรมรสอันโอชา พยายามระวังรักษาไม่ให้รสอันเป็นพิษภัยแทรกสิงใจ วิมังสา พิจารณาใคร่ครวญไตร่ตรองมองหาเหตุหาผลที่มาเกี่ยวข้องกับใจด้วยความไม่ประมาท พยายามฝึกจิตที่เคยโง่เพราะความปิดบังของกิเลส ให้คลี่คลายขยายตัวขึ้น สัจธรรมคือความฉลาดของสติปัญญา ใจไม่อับเฉาเมาหัวเหมือนแต่ก่อน อิทธิบาททั้งสี่ นับวันมีกำลังเข้มแข็งขึ้นตามๆ กัน ทั้งฉันทะ ทั้งวิริยะ ทั้งจิตตะ และวิมังสาธรรม กลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และมีกำลังกล้าพร้อมเผชิญหน้ากิเลส โดยไม่เลือกกาล สถานที่ และเหตุการณ์ใด มีจิตมุ่งมั่นจะหั่นแหลกกันโดยถ่ายเดียว

เมื่อสมาธิปรากฏเป็นปากเป็นทางพอตั้งตัวได้แล้ว ก็เร่งทางปัญญาออกพิจารณาธรรมทั้งหลาย ทั้งภายในภายนอกประสานกัน รวมลงในไตรลักษณ์คือ อนิจจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อิทธิบาททั้งสี่จึงเริ่มประสานงานกันอย่างสนิทติดพัน กลายเป็นอิทธิบาทอัตโนมัติไปตามสติปัญญาที่พาให้เป็นไป นับแต่บัดนั้นแล จะเรียกว่าเข้าสู่สงครามกับกิเลสชนิดต่างๆ แบบตลุมบอนก็ไม่ผิด เพราะความรู้สึกนึกคิดที่หนักไปในธรรมวิมุตติ นับวันเวลามีกำลังและสะกิดใจไม่หยุดหย่อน ในลักษณะสู้ไม่ถอย เอาให้หลุดพ้นโดยถ่ายเดียว แม้จะตายก็ขอให้ตายในสนามรบ คือตายในวงความเพียรท่าต่อสู้อย่างเดียวหากยังไม่ตายก็เอาให้กิเลสหมอบราบและตายเกลื่อนให้เห็นประจักษ์ใจทุกระยะแห่งการต่อสู้ด้วยสติปัญญาซึ่งเป็นธรรมาวุธอันทันสมัย

๐ ปฏิปทาที่ผาดโผนมากและเห็นผลประจักษ์

การทำความพากเพียรในขั้นเริ่มแรกและต่อมาจนจิตสงบลงเป็นสมาธิได้แม้จะเป็นความเพียรผาดโผน ด้วยการเอาชีวิตเข้าประกันก็ตาม แต่การเพียรการต่อสู้ในระยะนี้ เป็นการต่อสู้ที่บอบช้ำมาก แต่ผลปรากฏมีน้อยไม่สมดุลย์กัน ทั้งนี้เพราะยังไม่รู้วิธีการต่อสู้และพากเพียรเท่าที่ควร แต่นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายจำต้องยอมรับยอมโดนความบอบช้ำไปก่อน เพื่อทราบเหตุผลจากประสบการณ์ที่เคยผ่านมา แล้วปรับตัวปรับความเพียรให้เหมาะสมยิ่งขึ้นในอันดับต่อไปสำหรับผมเองเคยเป็นดังที่กล่าวมานี้ (หลวงปู่พูด) กว่าจะจับหลักเกณฑ์ได้ก็เกือบเป็นเกือบตาย

เมื่อการปฏิบัติทางด้านปัญญาแยกแยะร่างกายส่วนต่างๆ ออกคลี่คลายดูด้วยปัญหาจนปรากฏชัดทั้งอสุภะอสุภัง ทั้งทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตาในร่างกายโดยลำดับแล้วนั่นแลความเพียรจึงนับวันผาดโผนโจนทะยาน ทั้งประโยคพยายาม ทั้งสติปัญญาที่ก้าวออกสู่งานในวงกรรมฐานห้า มีเกสา โลมา เป็นต้น ตลอดสภาวธรรมทั่วๆ ไป ด้วยความเพลิดเพลินในการพิจารณา และความเห็นตามเป็นจริงในสกลกายส่วนต่างๆ จนตลอดทั่วถึง ประสานกับสภาพธรรมภาวนอกซึ่งมีอยู่ทั่วไปว่า มีลักษณะอย่างเดียวกัน หายสงสัยและปล่อยวางไปโดยลำดับ สติปัญญาขั้น พิจารณารูปขันธ์นี้ ผาดโผนมากผิดธรรมดาของความเพียรภาคทั่วๆ ไป แต่ก็เหมาะสมกับงาน ซึ่งเป็นงานหยาบ ที่จำต้องใช้สติปัญญาอันผาดโผนไปตามๆ กัน เช่นเดียวกับท่อนไม้ซึ่งอยู่ในขั้นที่ควรถากอย่างหนักมือ ก็จำต้องทำเช่นนั้น สติปัญญาที่ทำการพิจารณาร่างกาย ซึ่งเป็นขันธ์หยาบ ก็จำต้องดำเนินไปตามความเหมาะสมของงาน เมื่อสติปัญญารู้เท่าและปล่อยวางขันธ์นี้แล้ว ก็ลดการพิจารณาแบบนั้นลงไปเอง เช่นเดียวกับไม้ซึ่งนายช่างดัดแปลงลงถึงขั้นที่ควรลดจากการถากการฟันอย่างหนักมือแล้ว ก็ลดไปเองโดยไม่ต้องมีใครมาบอกฉะนั้น

ส่วนนามขันธ์ ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ นั้นเป็นขันธ์ละเอียด การพิจารณาทางด้านปัญหาก็ละเอียดไปตามๆ กัน สติปัญญาที่พิจารณาขันธ์ทั้งสี่นี้ย่อมเป็นไปอย่างละเอียดสุขุมราวกับน้ำซับน้ำซึมนั่นแหละ แต่การพิจารณาขันธ์ทั้งสี่นี้ พิจารณาลงในไตรลักษณ์ล้วนๆ จะเป็นไตรลักษณ์ใดก็ได้ตามแต่ความถนัดของการพิจารณา ไม่มีคำว่าอสุภะอสุภังเหมือนพิจารณาร่างกายอันเป็นขันธ์หยาบ

การพิจารณาขันธ์สี่นี้จะพิจารณาขันธ์ใดก็ได้ตามแต่ถนัด เช่น ทุกขเวทนาขันธ์ เป็นต้น ประสานกันกับกายกับจิตกับทุกขเวทนา โดยพิจารณาแยกแยะเทียบเคียง รูป ลักษณะ อาการความรู้สึก ว่าอะไรเป็นอะไร ทั้งสามอย่างนี้เป็นอันเดียวกันหรือเป็นคนละอย่าง แยกแยะดูให้ชัดเจนด้วยปัญญาจริงๆ อย่าสักแต่พิจารณาพอผ่านๆ ไป นั้นเป็นลักษณะของกิเลสทำงาน เอาความขี้เกียจอ่อนแอมาทับเราต่างหาก ซึ่งมิใช่ทางเดินของธรรมคือสติปัญญาอย่างแท้จริงดำเนิน จะไม่เห็นความจริงแต่อย่างใด ต้องพิจารณาแบบสติธรรม ปัญญาธรรม จนเป็นที่เข้าใจตามความจริงอย่างถึงใจทุกส่วน

อันความอยากหายจากทุกขเวทนานั้น อย่าอยากๆ อยากให้หายเท่าไร ยิ่งเพิ่มสมุทัย ตัวผลิตทุกข์มากขึ้นเท่านั้น แต่ให้อยากรู้ อยากเห็นความจริงของทุกขเวทนาที่แสดงอยู่กับกายกับใจเท่านั้น นั่นคือความอยากอันเป็นมรรคทางเหยียบย่ำกิเลส ซึ่งจะทำให้เกิดผล คือการเห็นแจ้งตามความจริงของกาย เวทนา จิต ที่กำลังพิจารณาอยู่ในขณะนั้น ความอยากรู้จริงเห็นจริงนี้มีมากเท่าไร ความเพียรพยายามทุกด้านยิ่งมีกำลังมากเท่านั้น

ฉะนั้น จงสนใจเฉพาะความอยากรู้จริง เห็นจริง ประเภทนี้อย่างเดียว และผลักความอยากให้ทุกข์หาย ออกจากวงการพิจารณาในเวลานั้นทันทีๆ อย่าให้โผล่หน้าขึ้นมาขัดขวางได้ จะมาทำลายความอยาก ประเภทมรรคเพื่อผล ให้จมหายไปโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่ต้องการจะไม่เจอ แต่จะไปเจอแต่ความกลัวตาย ความอ่อนเปียกเรียกหาคนอื่นมาช่วยเหลือ ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสสมุทัยทั้งมวลเข้าทำงานในวงความเพียร จึงรีบเตือนนักปฏิบัติจิตภาวนาไว้ เกรงจะเสียท่าให้มัน เพราะกิเลสมักรวดเร็วมากกว่าธรรมจะตามรู้ตามเห็นทันมัน นักปฏิบัติจิตภาวนาเท่านั้น จะรู้มารยาของกิเลสประเภทต่างๆ ดังกล่าวมาได้ดีประจักษ์ใจ และขับไล่ให้สิ้นซากไปได้ไม่สงสัย

การพิจารณาทุกขเวทนาในขันธ์มีรูปขันธ์เป็นสำคัญ จงอย่าคำนึงความเจ็บปวดรวดร้าวจะหาย ตัวจะเป็นจะตาย ยิ่งกว่าความอยากรู้อยากเห็นความจริงจากกาย จากเวทนา จากจิต ซึ่งพร้อมจะแสดงความจริงให้นักปฏิบัติผู้แกล้วกล้าหน้านักรบ เพื่อเรียนจบอริยสัจ รู้ประจักษ์ด้วยสติปัญญาอันคมกล้าของตนอยู่แล้ว อันความกลัวเป็นกลัวตายความอยากให้ทุกข์หายในเวลานั้น นั่นคือแม่ทัพใหญ่ของสกลกิเลส จะคอยทำลายบัลลังก์แห่งความเพียรทุกด้าน ให้ล้มละลายแบบไม่เป็นท่า จงพากันทราบไว้ทุกๆ องค์ อย่าหลงกลมัน ซึ่งดักรออยู่ปากคอก จะออกกีดขวางต้านทานทางเดินของธรรมอยู่ตลอดเวลาที่ได้ช่องได้โอกาส

กรุณาทราบไว้ด้วยว่า กิเลสทุกประเภทไม่เผลอเรออ่อนแอท้อแท้เหลวไหลเซ่อซ่าเซอะซะ เหมือนนักปฏิบัติภาวนาแต่กิริยา ส่วนใจปล่อยให้กิเลสฉุดลากไปถลุงหุงต้มกินเลี้ยงกันอย่างเอร็ดอร่อยพุงมันน่ะ ดังนั้นในเวลาที่เข้าด้ายเข้าเข็มระหว่างทุกขเวทนากล้ากับสติปัญญาพิจารณาแยกแยะกัน เพื่อหาความจริง จงขยับสติปัญญาเพื่อต่อยเพื่อสู้ท่าเดียว คือสติปัญญาหมุนติ้วเข้าสู่จุดที่ทุกขเวทนากล้าสาหัสปรากฏอยู่ในวงของกาย สติจดจ่อ ปัญญาคลี่คลายเวทนา กาย ใจ ที่กำลังคลุกเคล้ากันอยู่ ว่าทั้งสามนี้เป็นอันเดียวกันหรือเป็นคนละอัน แยกแยะดูให้ละเอียดถี่ถ้วน ย้อนหน้าย้อนหลัง ตลบทบทวนในระหว่างกาย เวทนา จิต ด้วยสติปัญญา อย่าสนใจกับเรื่องทุกข์จะหาย และการจะเป็นจะตาย ตลอดสถานที่เวล่ำเวลาใดๆ ทั้งสิ้นในขณะนั้น

จงสนใจแต่การพิจารณาเพื่อความรู้แจ้งในกาย ในเวทนา ในจิตอย่างเดียว สติปัญญาจงใช้เป็นปัจจุบัน จดจ่อต่องานอย่างใกล้ชิด ติดพัน อย่าหันเห อย่าคาดคะเน อย่าด้นอย่าเดา ทั้งสมุทัย ทุกข์ ทั้งมรรค - นิโรธ ว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ควรจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะทั้งนี้ล้วนเปิดช่องให้สมุทัยทำงานของมันในวงความเพียรและเพิ่มโทษเพิ่มทุกข์ให้แก่เราถ่ายเดียว ผู้ปฏิบัติจงระวังให้มาก เพราะเป็นกิเลสโดยแท้ที่ต้องระวังตั้งตัวอยู่เสมอ ไม่เผลอให้มัน ขณะเดียวกันก็ตั้งท่าพิจารณาดังกล่าวแล้ว จงพิจารณาแบบตลุมบอน ใครดีใครอยู่เป็นคู่เคียงของสัจธรรม วิมุติธรรม ใครไม่ดีจงพังไป แต่อย่าให้เราผู้ทรงความเพียรพังก็แล้วกัน ต้องสู้เพื่อให้กิเลสพังท่าเดียว ท่าอื่นไม่ถูก ไม่เหมาะสำหรับนักปฏิบัติผู้เป็นเหมือนนักรบในสงครามเพื่อชัยชนะโดยถ่ายเดียว

การพิจารณาทุกขเวทนาในกายประสานกันกับจิต แยกแยะทั้งสามอย่างนี้ ออกสู่ความจริงด้วยปัญญาไม่หยุดยั้ง ย่อมจะทราบความจริงของกาย ของเวทนา ของจิตได้อย่างชัดเจนหายสงสัย และได้ชัยชนะเป็นพักๆ ตอนๆ ได้ความอาจหาญในทุกขเวทนาตลอดความล้มความตายก็กลายเป็นความจริงขึ้นมาเช่นเดียวกับ กาย เวทนา จิต และหายจากความกลัวตาย ดังที่กิเลสเคยหลอกมาเป็นประจำ พอความจริงเข้าถึงกันแล้ว ต่างอันก็ต่างจริง กายก็จริงตามสภาพของกาย เวทนาก็จริงตามสภาพของเวทนา จิตก็จริงตามสภาพของจิต ต่างอันต่างจริงแล้วไม่กระทบกระเทือนกัน แม้ความตายก็เป็นสัจธรรมความจริงอันหนึ่งจะตื่นให้กิเลสหัวเราะทำไม


(มีต่อ ๑๕)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2009, 13:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เมื่อสติปัญญาพิจารณาไม่ถอยจนทราบความจริง กองกาย เวทนา จิต ประจักษ์ใจแล้ว

๑. ทุกขเวทนาดับวูบลงในขณะนั้น

๒. แม้ทุกขเวทนาไม่ดับก็ไม่ประสานกันกับจิตดังที่เคยเป็นมา

๓. จิตสงบตัวอย่างละเอียดลออและอัศจรรย์เกินคาด

๔. จิตที่สงบตัวนั้นปรากฏสักแต่ว่ารู้และอัศจรรย์เท่านั้น ไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง

๕. ขณะจิตสงบเต็มที่ กายหมดไปจากความรู้สึกโดยสิ้นเชิง

๖. ถ้าจิตพิจารณารอบตัวและตัดขาดจากเวทนาแล้ว แต่ไม่รวมลงเป็นเอกเทศ เป็นเพียงรู้ๆ อยู่ด้วยความรอบตัว ร่างกายก็สักแต่ปรากฏว่ามี แต่ไม่ประสานกันกับจิต

นี่คือผลแห่งการพิจารณาด้วยอุบายวิธีที่กล่าวมาเป็นดังนี้ในวงปฏิบัติ ถ้าอยากรู้อยากเห็นอยากชม จงปฏิบัติตามวิธีที่กล่าวมา ที่เคยได้อ่านในหนังสือซึ่งท่านอธิบายไว้จะมาปรากฏที่ใจของเราเอง โดยไม่อาจสงสัย นี่คือวิธีการพิจารณาทุกขเวทนา เวลาเกิดขึ้นกับร่างกาย จงพิจารณาอย่างนี้ จะรู้อย่างนี้จะเห็นอย่างนี้ไม่เป็นอื่น

ในนามขันธ์หรือนามธรรมทั้งสามคือ สัญญา สังขารและวิญญาณ เวลาพิจารณาก็เกี่ยวโยงกับกายเหมือนกันในบางกรณี ข้อนี้ยกให้เป็นข้อคิดข้อพิจารณาของผู้ปฏิบัติจะพึงรู้ และปฏิบัติต่อตัวเอง ตามเหตุการณ์ที่เกิดกับตน เพราะนามขันธ์ทั้งสามนี้ ท่านพิจารณาเป็นการเป็นงานอย่างแท้จริง หลังจากจิตรู้เท่า ปล่อยวางรูปขันธ์เรียบร้อยแล้ว เมื่อจิตยังไม่ปล่อยรูปขันธ์ การพิจารณาจำต้องประสานถึงรูปขันธ์อย่างแยกไม่ออก แต่ทั้งนี้เป็นหน้าที่ และเป็นกิจจำเป็นของนักปฏิบัติจิตภาวนาโดยเฉพาะเป็นรายๆ ไป หากรู้กับตัวเองว่าจะควรพิจารณาทั่วไปกับขันธ์ทั้งหลาย หรือจะพิจารณาขันธ์ใดในกาลเช่นไรโดยเฉพาะ ผู้ปฏิบัติจิตภาวนาเท่านั้นจะเข้าใจในการพิจารณาขันธ์ห้า ให้เหมาะสมกับการปล่อยวางเป็นวรรคเป็นตอนไป การพิจารณาอย่างกว้างขวางก็ในวงรูปขันธ์เท่านั้น

รูปขันธ์นี้พิสดารอยู่มาก การพิจารณาจึงไม่ขึ้นอยู่กับผู้ใด สุดแต่ถนัดต่อการพิจารณาจะแยกแยะร่างกายส่วนต่างๆ ออกเป็นชิ้นเป็นอัน จากคำว่าสัตว์ ว่าบุคคลก็ได้ จะพิจารณาเป็นอสุภะสิ่งปฏิกูลโสโครกหมดทั้งร่างก็ได้ จะพิจารณาไปทางไตรลักษณ์อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสามไตรลักษณ์ก็ได้ จนจิตมีความชำนิชำนาญทั้งภาคอสุภะและภาคไตรลักษณ์ จนหาที่ติดที่ข้องไม่ได้แล้วก็ปล่อยวางไปเอง

เมื่อจิตปล่อยวางรูปขันธ์แล้ว จิตจะหมุนเข้าสู่นามขันธ์ทั้งสาม คือ สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างเต็มสติปัญญาที่มีอยู่ต่อไป ไม่มีคำว่าท้อถอยลด-ละเลย สติปัญญาจะหมุนตัวไปเองโดยไม่ถูกบังคับใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นขั้นสติปัญญาคล่องตัวแล้ว เรื่องสติปัญญาคล่องตัวนี้ เริ่มเป็นมาแต่ขั้นพิจารณาอสุภะในรูปขันธ์คล่องตัวอยู่แล้ว จนถึงขั้นปล่อยวาง เมื่อก้าวเข้าสู่สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงคล่องตัวต่อการพิจารณาทุกแง่ทุกมุม ไม่มีคำว่าอืดอาดเนือยนายดังที่เคยเป็นมา นอกจากต้องรั้งเอาไว้เมื่อเห็นว่าจะเพลินต่อการพิจารณาจนเกินไป ไม่ยอมพักตัวในเรือนคือสมาธิ ที่เคยเห็นในตำราว่า มหาสติ มหาปัญญา นั่นจะปรากฏกับสติปัญญาของผู้ปฏิบัติ ที่หมุนตัวไปกับการพิจารณาไม่หยุดหย่อนผ่อนคลายในการทำงานไปเอง ไม่ต้องถามใคร

นับแต่ขั้นรู้เห็นอสุภะเด่นชัดด้วยการพิจารณาเรื่อยมา ความขี้เกียจ ความท้อแท้อ่อนแอ ความอิดหนาระอาใจ หายหน้าไปหมด ไม่ปรากฏในจิตดวงนั้นเลย ด้วยเหตุนี้แลจึงทำให้รู้ประจักษ์ใจว่า อันความขี้เกียจไม่เอาไหนเป็นต้น มันเป็นสกลกิเลสทั้งมวล เป็นตัวมัดแข้งมัดขามัดจิตมัดใจสัตว์โลกไว้ ให้ก้าวสู่ความดีงามไม่ออก พอถูกตปธรรม มีสติปัญญาเป็นต้นเผาผลาญให้พินาศไปแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่มีในจิตใจเลย มีแต่ความเข้มข้นแห่งความเพียรทุกๆ อิริยาบถเว้นแต่หลับเท่านั้น นอกนั้นเป็นท่าแห่งความเพียรทั้งสิ้น กิเลสเหล่านั้นไม่กล้ามาขัดขวาง แม้จะยังมีอยู่ภายในใจก็ตาม เพราะนับวันจะ กุสลา มนุษย์แล้วอย่างมั่นใจ เพราะฉะนั้นการพิจารณานามขันธ์ทั้งสาม ของท่านผู้มีสติปัญญาอันเกรียงไกรมาแต่รูปขันธ์แล้ว จึงคล่องตัวรวดเร็วไม่มีสติปัญญาใดในโลกสมมุติจะรวดเร็วเทียมเท่าได้

จิตที่ปล่อยรูปขันธ์แล้ว ยังต้องฝึกซ้อมสติปัญญาจากความคิดปรุงภาพแห่งขันธ์ให้ปรากฏขึ้นแล้วดับไป ปรากฏขึ้นแล้วดับไปๆ จนรูปขันธ์ที่ปรากฏขึ้นจากความปรุงดับอย่างรวดเร็วราวกับฟ้าแลบ จากนั้นก็เป็นจิตว่างจากรูป จากวัตถุต่างๆ ทั้งภายในภายนอก หมดความสนใจพิจารณาต่อไปอีก มีแต่หมุนเข้าสู่นามธรรมทั้งสาม อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสาม โดยถ่ายเดียว โดยถือจิตเป็นเป้าหมายแห่งการพิจารณา เนื่องจากอาการทั้งสามนี้ปรากฏขึ้นจากจิตและดับไปที่จิต สังเกตสอดรู้อาการเหล่านี้ขณะเกิดและดับ เมื่อสติปัญญารู้เท่าทัน ปัญญาก็ดี สังขารก็ดี วิญญาณก็ดี จะมีเพียงปรากฏขึ้นแล้วดับไปๆ ไม่สืบต่อกับอะไร

จิตขึ้นพิจารณานามธรรมนี้ เป็นจิตว่างจากสิ่งภายนอกทั้งปวง แต่ยังไม่ว่างจากจิตและนาม ธรรมทั้งสามนี้ จึงต้องพิจารณาจุดนี้โดยความเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ซ้ำๆ ซากๆ จนจิตพอกับขันธ์และหยั่งเข้าสู่จิตล้วนๆ อันเป็นเรือนรังของอวิชชาโดยเฉพาะ พิจารณากันในจุดนั้นกับนามขันธ์ประสานกัน จนสติปัญญาเห็นความเหลวไหลหลอกลวงของนามขันธ์พร้อมทั้งจิตอวิชชาประจักษ์ใจแล้ว อวิชชาภายในใจก็พังทลายหายซากลงไปในขณะนั้นด้วยสติปัญญาที่ทันสมัย

อวิชชาอันเป็นกิเลสโดยตรงนั้นดับ ส่วนขันธ์อันเป็นเครื่องมือของกิเลสอวิชชานั้นไม่ดับไม่หายซากไปกับอวิชชา แต่กลับมาเป็นเครื่องมือของจิตบริสุทธิ์และเป็นขันธ์ล้วนๆ ไม่มีกิเลสเข้าครองอำนาจเหมือนแต่ก่อน เพราะจิตบริสุทธิ์ธรรมบริสุทธิ์นั้นไม่บีบบังคับขันธ์เหมือนกิเลส และไม่ยึดเหมือนกิเลส เพียงอาศัยขันธ์เป็นเครื่องมือด้วยความยติธรรมเท่านั้น นี่คือการล้างป่าช้าความเกิด-ตายให้สิ้นซากไปจากใจ ปราชญ์ท่านล้างอย่างนี้แล จงพากันจำไว้ให้ตั้งใจและนำไปปฏิบัติให้ถึงธรรม จะเข้าถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ในขณะที่จิตเข้าถึงธรรมบริสุทธิ์เต็มดวงนั่นแล หายสงสัยในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์โดยประการทั้งปวง

สงครามระหว่างกิเลสกับธรรม ต่อสู้กันภายในวงความเพียรของนักปฏิบัติจิตภาวนา โดยยึดใจเป็นเวทีสนามรบ มาจบมายุติกันที่ใจดวงบริสุทธิ์ หลังจากกิเลสสิ้นซากไปหมดแล้ว ปัญหาทั้งมวลมาหมดกันที่นี่แล

ดังนั้น จึงขอนิมนต์พระลูกพระหลานทั้งหลาย รู้เนื้อรู้ตัวด้วยธรรมกระเทือนโลก ที่ปลุกสัตว์ทั้งหลายให้ตื่นจากความหลับของกิเลสแต่บัดนี้ ที่กำลังมีครูอาจารย์สั่งสอนอยู่ จะไม่เสียทีให้กิเลสชนิดต่างๆ อยู่ร่ำไป ดังที่เคยเป็นมา ซึ่งน่าทุเรศเอานักหนาในสายตาของนักปราชญ์ ผู้ฉลาดแหลมคมเหนือกิเลส โดยประการทั้งปวงแล้ว พวกเราที่ถูกกิเลสกล่อมใจให้หลับทั้งที่ตื่นอยู่ มักเห็นขี้ดีกว่าไส้ เห็นภัยว่าเป็นคุณ เห็นบุญว่าเป็นบาป เห็นหาบเห็นหามอันเป็นภาระหนัก ว่าเป็นเครื่องประดับตกแต่งที่สวยงามอร่ามตาแช่มชื่นใจ ทำอะไรที่เป็นสารคุณจึงมักทำแบบสุกเอาเผากิน แบบขอไปทีๆ ผลจึงลุ่มๆ ดอนๆ หาความสม่ำเสมอและหลักเกณฑ์ไม่ได้ ราวกับไม้ปักกองขี้ควาย คอยแต่จะหกล้มก้มกราบ หาความเป็นตัวของตัวไม่ได้ มีแต่ความไร้สาระเต็มตัวเต็มใจ กิริยาใดๆ แสดงออก มีแต่กิริยาอาการทำลายตัวเอง ทั้งนี้เพราะความเคยชินของนิสัยที่ไม่ได้รับการเหลียวแลจากเจ้าของในทางที่ถูกที่ดีเท่าที่ควร พระทั้งองค์ คนทั้งคนจึงกลายเป็นเศษพระเศษคนไปได้ และเกลื่อนกล่นอยู่ในท่ามกลางแห่งคนดี ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าประเภทเศษเดนระหว่างแห่งพระดี พระแท้ ด้วยสุปฏิบัติ คนดี คนแท้ ด้วยทาน ศีล ภาวนา สัมมาคารวะ กับพระเศษ พระเดน คนเศษ คนเดน

เราจะสมัครทางไหน จงรีบตัดสินใจจากการพิจารณาด้วยดีเสียแต่บัดนี้ เวลาตายแล้ว ความดีงามที่พึงหวังมิได้ขึ้นอยู่กับผ้าเหลืองที่ห่มคลุมและการนิมนต์พระมา กุสลา มาติกา บังสกุลอะไรนะ แต่มันขึ้นอยู่กับตัวเราฝึกเราให้มี กุสลาธรรม คือความฉลาด เปลื้องตนจากสิ่งไม่ดีทั้งหลาย ขณะที่มีชีวิตอยู่ต่างหาก จะว่าผมไม่บอกไม่เตือน นี่คือคำบอกคำเตือนท่านทั้งหลายโดยแท้จริงอย่างถึงใจเรื่อยมา ไม่มีเพียงครั้งนี้หนเดียว จงจดจำให้ตั้งใจและปฏิบัติตามตลอดไป ด้วย อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ พยายามทำตนให้เป็นเนื้อเป็นหนังของตนด้วยธรรมเครื่องดำเนินและส่องทาง จะไม่เป็นพระครึ เณรครึ พระล้าสมัย เณรล้าสมัย คนครึ คนล้าสมัยต่อความดีงามและมรรคผลนิพพานที่พระพุทธองค์ตรัสไว้อย่างสดๆ ร้อนๆ ด้วยพระเมตตาสุดส่วนไม่มีใครเสมอเหมือน

ผมเองก็นับวันแก่ลง การแนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อนก็ไม่สะดวก พระเณรก็นับวันหลั่งไหลมามากเพื่อรับการอบรมสั่งสอน ขณะมาอยู่และศึกษาอบรมก็จงตั้งใจจริง อย่านำความเหลาะๆ แหละๆ มาสังหารตนและทำลายเพื่อนฝูงผู้ตั้งใจปฏิบัติธรรม จะเสียไปทั้งเราและผู้อื่น ขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้วไม่ไว้หน้าใครมันทำลายทั้งสิ้น คำว่าพระๆ เณรๆ หรือความเข้าใจว่าเราเป็นพระเป็นเณรนั้น พึงทราบว่ากิเลสคือกิเลสที่เคยเป็นข้าศึกต่อเราเต็มตัว ไม่กลัวใคร อย่าเข้าใจว่ามันจะมาถวายตัวเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิ ถวายการอุปัฏฐากรักษา เพื่อเป็นความสะดวกปลอดภัยไร้สิ่งรบกวนในการประกอบความพากเพียรของพระ ที่ตนเข้าใจว่าเป็นอาจารย์ของมันเลย จงทราบว่าแม้เราบวชเป็นพระเป็นแน่แล้ว แต่กิเลสมันก็คือกิเลสอย่างเต็มตัว และขึ้นอยู่บนหัวคน หัวพระ หัวเณรเรื่อยมา แต่ก่อนบวชจนบัดนี้ไม่ยอมลงเลย ฉะนั้น มันจึงไม่กลัวพระกลัวเณรและกลัวคนกลัวสัตว์โลกใดๆ ทั้งสิ้น แต่มันเป็นนายและเป็นข้าศึกของคนของสัตว์ของพระเณรเรื่อยมาและยังจะเรื่อยไป ถ้าไม่รีบกำจัดมันเสียแต่บัดนี้ให้ฉิบหายสิ้นซากไปจากใจ

การเทศน์วันนี้ก็เทศน์อย่างหมดไว้หมดพุง ไม่มีอะไรหลงเหลือตกค้างอยู่ภายในใจเลย ทั้งเหตุ คือปฏิปทาเครื่องดำเนิน เผ็ดร้อนหนักเบาประการใดที่เคยต่อสู้กับกิเลสมา ทั้งผล ที่ปรากฏขึ้นจากการปฏิบัติมากน้อย หยาบละเอียด ก็ได้ขุดคุ้ยมาแสดงให้ฟัง อย่างหมดเปลือกหมดไส้หมดพุง ไม่มีลี้ลับปิดบังไว้แม้แต่น้อย

ดังนั้นจงนำอุบายวิธีเหล่านี้ไปฝึกหัดดัดสันดาน กิเลสตัวร้ายกาจแสนพยศของแต่ละท่าน อย่างเต็มกำลังความสามารถ แต่ระวังอย่าให้กิเลสฝึกหัดดัดสันดาน เอาเสียอย่างหมอบราบ แทนที่จะดัดมันก็แล้วกัน ข้อนี้ผมกลัวนักกลัวหนา ไม่อยากเห็นไม่อยากได้ยิน เพราะผมเองเคยโดนมันดัดสันดานมาแล้ว จึงเป็นบทเรียนอย่างดีที่สุดจะนำมาเตือนท่านทั้งหลายไม่ได้ ขอจบเสียที จงพากันสวัสดีมีชัยทั่วหน้ากัน

จบเทศน์เท่านี้

๐ หลวงปู่เริ่มป่วยจากโรคชรา

นับแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ย่างเข้ามา อาการเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ของหลวงปู่ก็เริ่มปรากฏมาพร้อมๆ กันราวกับได้นัดแนะกันไว้ ท่านมักเจ็บป่วยบ่อยๆ ทั้งที่ปกติโรคชราก็ทำงานประจำขันธ์อยู่แล้ว เริ่มลุกและเดินไปไหนมาไหนไม่ได้ ต้องนอนอยู่กับที่เป็นปีๆ อยู่แล้ว โรคที่เพิ่มความทรุดโทรมก็ปรากฏขึ้นเรื่อยๆ จนรู้เห็นได้ชัดในสายตาและความรู้สึกของบรรดาศิษย์และประชาชนที่เข้ากราบเยี่ยม ส่วนคณะนายแพทย์ที่คอยดูแลรักษาหลวงปู่เป็นประจำไม่ขาดตลอดมานั้น คือ คณะแพทย์ทางอำเภอหนองบัวลำภู และคณะแพทย์ทางโรงพยาบาลอุดรธานี ได้ควบคุมดูแลอาการของท่านเป็นประจำ

ศาสตราจารย์นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ นับว่าได้ดูแลท่านหลวงปู่อย่างใกล้ชิดท่านหนึ่ง ทั้งเวลาปกติและเวลาเจ็บป่วย มีการไปๆ มาๆ อยู่เสมอมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ทั้งหมอที่มาจากสำนักพระราชวังเป็นครั้งคราว ช่วยกันพยาบาลรักษาท่านอย่างใกล้ชิด ด้วยความสนิทใจและเคารพเลื่อมใสในหลวงปู่จริง แม้เช่นนั้น อาการต่างๆ ก็คอยแต่จะกำเริบอยู่เสมอ ท่านมีอาการเวียนศีรษะเป็นประจำ นั่งนานไม่ค่อยได้ นี่เป็นสาเหตุแห่งโรคชนิดอื่นจะตามมา เช่น โรคบวมตามหลังมือ หลังเท้า อ่อนเพลียมาก ฉันไม่ได้ เป็นต้น อาการเหล่านี้ค่อยทวีความรุนแรงขึ้นทุกวันเวลา จนกลายเป็นคนไข้หนัก ทั้งๆ ที่หาไข้จริงๆ ไม่เจอ เจอแต่อาการเหล่านี้ในองค์ท่าน ไม่ปรากฏมีโรคชนิดใดอย่างแท้จริงปรากฏเลย ในความรู้สึกของหมอและคนทั่วไปจึงรวมลงในจุดเดียวกันว่า ท่านมรณภาพด้วยโรคชราโดยแท้ การเขียนเรื่องอาการป่วยของท่าน เห็นว่าไม่มีอะไรแปลกและพิสดารผิดธรรมดา จึงเขียนเพียงย่อๆ พอท่านผู้อ่านทั้งหลายเข้าใจกัน

วันจันทร์ที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๒๖ เวลา ๐๕.๔๕ น. หลวงปู่ก็มรณภาพด้วยอาการอันสงบท่ามกลางสานุศิษย์ซึ่งมีจำนวนไม่มากนักในเวลานั้น เพราะเป็นตอนเช้าพระก็เริ่มออกบิณฑบาต ประชาชนก็ยังไม่มีมาก ที่กุฎีใหญ่ที่ท่านพักเป็นประจำในวัดถ้ำกลองเพล ตำบลโนนทัน อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู เมื่อข่าวมรณภาพของท่านแผ่กระจายออกไป ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน พระ เณร ทราบต่างก็หลั่งไหลมากราบเยี่ยมศพท่านเป็นจำนวนมากจนไม่อาจพรรณนา ทางจังหวัดได้รายงานเรื่องนี้ไปยังสำนักพระราชวังโดยด่วน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงรับเป็นศพในพระบรมราชานุเคราะห์โดยตลอด เวลา ๙.๐๐ น. ได้เคลื่อนย้ายศพหลวงปู่มาตั้งบำเพ็ญกุศลที่ “ศาลาเมตตาอนาลโย” โดยเปิดโอกาสให้คณะศรัทธาประชาชนทั่วไปเข้ากราบนมัสการรดน้ำศพ ในวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๒๖ เวลา ๑๔.๐๐ น. ถึง ๑๕.๐๐ น. เวลา ๑๖.๓๐ น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จมาพระราชทานน้ำอาบศพ และทรงเป็นประธานในงาน โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงรับไว้เป็นศพในพระบรมราชานุเคราะห์โดยตลอด และตั้งศพบำเพ็ญกุศลพระราชทาน ๗ วัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระราชทานโกศโถ ฉัตรเบญจา ตั้งประดับ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานเงินสี่แสนบาทเป็นค่าอาหารถวายพระและค่าใช้จ่ายต่างๆ ตลอด ๗ วันด้วย



.............................................................

คัดลอกมาจาก ::
หนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ขาว อนาลโย
โดยท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสมปนฺโน
http://www.dharma-gateway.com/

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2009, 14:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

เกร็ดประวัติในส่วนที่เกี่ยวกับท่านอาจารย์ขาว อนาลโย
โดย นพ.อวย เกตุสิงห์ (เรื่องที่ ๑)
จากหนังสือของคุณทองทิว สุวรรณทัต


ท่านศาสตราจารย์นายแพทย์อวย เกตุสิงห์เป็นนายแพทย์ผู้ทรงวุฒิเป็นเยี่ยมด้วยการจบวิชาเคมีชั้นสูงจากเยอรมัน ท่านเคยรักษาพยาบาลท่านอาจารย์ฝั้น อาจาโร และหลวงปู่ขาว อนาลโย อย่างใกล้ชิดจวบจนท่านถึงแก่มรณภาพ อย่างหาศิษย์ผู้ใดจะมีโอกาสได้รับใช้ปรนนิบัติพยาบาลพระอริยเจ้าเสมอเหมือนไม่ อันถือว่าเป็นมหาบุญมหากุศลอย่างที่สุดแล้ว

และด้วยความกรุณาที่ท่านเคยเล่าให้ผู้เขียนฟังถึงประสบการณ์ตอนหนึ่งที่ท่านพบเห็นมาจากปฏิปทาของ หลวงปู่ขาว อนาลโย ผู้เขียนจึงขอนำมาเผยแพร่ต่อ เพื่อเป็นที่ระลึกด้วยความเคารพรักและอาลัยจากผู้เขียนที่มีต่อ ท่านศาสตราจารย์นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ หรือพี่หมอของผู้เขียน ณ โอกาสนี้

ท่านเล่าให้ผู้เขียนฟัง ถึงการได้เข้านมัสการหลวงปู่ขาวครั้งแรกที่วัดถ้ำกลองเพล ว่าประทับใจเป็นอย่างมาก หน้าตาของหลวงปู่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา น่าเคารพกราบไหว้เหลือเกิน “เสียอย่างเดียวเราฟังหลวงปู่พูดไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ท่านพูดโอภาปราศรัยเป็นคำพื้นเมืองเสียมาก ไม่ค่อยพูดภาษากลาง”

พี่หมอบอกต่อมาอีก ๔-๕ ปี หลังจากพี่หมอกับคณะขึ้นไปเยี่ยมท่านเป็นครั้งที่สองแล้ว พี่หมอกับคณะได้จัดกฐินไปทอดที่วัดป่าบ้านตาด ในครั้งนี้มี ท่านเจ้าคุณธรรมจินดาภรณ์ (สมณศักดิ์ในสมัยนั้น) วัดราชบพิธฯ ท่านสนใจในธรรมและคุ้นเคยกับพี่หมอมากได้ขอไปด้วย ท่านอยากจะพบ ท่านอาจารย์ขาว เพราะได้ยินชื่อมานาน แต่ไม่เคยพบปะสนทนากัน พร้อมกันนั้นก็มีแหม่มชาวอังกฤษผู้หนึ่งซึ่งกำลังเรียนภาษาไทยที่ วาย.เอ็ม.ซี.เอ แต่พูดภาษาไทยไม่ได้เลย ขอติดตามไปด้วย

พี่หมอยินดีที่จะพา ท่านเจ้าคุณธรรมจินดาภรณ์ และแหม่มไปทอดกฐินที่วัดป่าบ้านตาดแล้วจะนำไปนมัสการ หลวงปู่ขาวตามความประสงค์ แต่ได้บอกกล่าวไว้ล่วงหน้าว่า หลวงปู่ท่านพูดภาษาพื้นเมือง ไม่ค่อยพูดภาษากลางเกรงจะฟังไม่รู้เรื่อง เมื่อคณะของพี่หมอทอดกฐินเรียบร้อย ได้ออกเดินทางไปยังวัดถ้ำกลองเพลทันที

และแล้วพี่หมอกับคณะก็ได้พบสิ่งมหัศจรรย์ไม่คาดฝันนั่นก็คือ หลวงปู่ขาว ได้ออกมาต้อนรับเป็นอันดีด้วยการพูดจาปราศรัยเป็นภาษาไทยภาคกลางอย่างชัดเจนไม่ผิดไม่เพี้ยนแม้แต่คำเดียวนอกจากนั้น หลวงปู่ยังได้แสดงธรรมสอนเรื่องสติเป็นเวลานานประมาณ ๒๐ นาที

ท่านเริ่มต้นว่า “โดยทำนองเดียวกันที่รอยเท้าของบรรดาสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้อาจจะรวมลงไปในรอยเท้าของช้าง พระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ก็อาจรวมลงได้ในธรรมข้อเดียวคือ สติ !”

จนพี่หมอกล่าวว่า “ธรรมนั้นช่างซาบซึ้งจนน้ำตาไหล มันกระจ่างไปหมด”

ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแหม่มชาวอังกฤษที่พูดไทยไม่ได้เลย บอกพี่หมออวยว่า เธอเข้าใจในธรรมที่หลวงปู่แสดงโดยตลอด!อยู่มาวันหนึ่งมีโทรศัพท์ทางไกลจากอุดรฯ แจ้งว่าหลวงปู่อาพาธหลายวันแล้ว ไม่มีใครรักษา พี่หมอทราบดังนั้นก็รีบโทรศัพท์ทางไกล ติดต่อหัวหน้าหน่วยแพทย์ศิริราชที่ไปปฏิบัติราชการที่หนองบัวลำภู ขอให้ช่วยไปดูอาการของหลวงปู่ด้วย และในตอนเย็นวันนั้น พี่หมอนึกสังหรณ์ใจอย่างไรไม่ทราบ จึงปุปปัปขึ้นรถไฟไปอุดรฯ ทันที

และความสังหรณ์ใจของพี่หมอในครั้งนั้นได้ช่วยชีวิตหลวงปู่ขาวไว้ได้อย่างหวุดหวิดเต็มที เพราะเมื่อไปถึงอุดรฯ ก็ปรากฏว่ามีลูกศิษย์ผู้มีฐานะมั่งคั่งคนหนึ่งของหลวงปู่ กำลังจะพาไปรักษาที่หนองคาย ซึ่งห่างออกไปถึง ๑๐๐ กิโลเมตร ทั้งเป็นระยะทางที่ขรุขระ เกินกว่าที่หลวงปู่จะทนทานได้และคงมรณภาพกลางทางเป็นแน่แท้

พี่หมอจึงคัดค้านและอาสาจะอยู่รักษาหลวงปู่ที่ถ้ำกลองเพลเอง

ในการรักษาหลวงปู่ขาวที่อาพาธหนักครั้งนี้ พี่หมออวยได้สละเลือดของท่านเป็นจำนวน ๓๕๐ ซีซี ให้หลวงปู่ทันที เพราะหลวงปู่กำลังซีดมาก ทั้งเลือดของท่านอยู่ในกรุ๊ปโอ ไม่สามารถจะรับการถ่ายเลือดจากกรุ๊ปอื่นๆ ได้นอกจากกรุ๊ปโอด้วยกัน และจำเพาะพี่หมอเองก็มีเลือดกรุ๊ปโอ เช่นเดียวกับหลวงปู่ ท่านจึงค่อยยังชั่วจากการอาพาธ แต่ก็ยังไม่หายทีเดียว

พี่หมอต้องเทียวไป-มาระหว่างกรุงเทพฯ-อุดรฯ มิได้ขาด จนอยู่มาวันหนึ่ง พี่หมอเดินไปเที่ยวบนภูเขาหลังวัด แล้วเผอิญเหลือบไปเห็นหินก้อนใหญ่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวก้อนหนึ่ง มีต้นไม้ปกคลุมอยู่ ท่านจึงบุกเข้าไปใกล้ๆ ให้ถนัดตา จึงเห็นหินก้อนบนชะเงื้อมออกมา ในใจนึกว่าจะทำพระฉาย และในที่สุดเมื่อตกลงใจจะทำพระฉายบนหินก้อนนั้นอย่างแน่นอนแล้ว พี่หมอจึงพนมมืออธิษฐานต่อเทพยดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ขอให้หลวงปู่ขาวหายจากอาพาธในครั้งนี้ แล้วจะมาสร้างพระฉายบนก้อนหินใหญ่ให้สำเร็จด้วยมือของตนเอง !

อีกไม่กี่วันต่อมาหลวงปู่ขาวก็หายจากอาพาธพอดีกับพี่หมอต้องไปประชุมที่ประเทศเยอรมัน จึงไปแวะหาเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นศิลปินจบการสลักหิน ได้ปรึกษาและขอให้เขาช่วยสอนให้ทั้งๆ ที่มีเวลาเหลือเพียงสามวันเท่านั้น เพื่อชาวเยอรมันผู้นั้น หยิบเอาดินเหนียวก้อนหนึ่งมาแผ่ให้เป็นแผ่น แล้วบอกให้พี่หมอลองทำรูปพระที่จะปั้นให้เขาดู พี่หมอก็เอาดินเหนียวมาทำรูปพระ

เขาดูๆ แล้วบอกว่า ได้ ! ทั้งสอนว่า ถ้าจะทำรูปอะไรให้ทำแบบเล็กๆ ไว้ก่อน แล้วขยายไปทำที่ก้อนหินและเพื่อนชาวเยอรมันยังได้ซื้อเครื่องมือสลักหินส่งมาให้ชุดหนึ่งในภายหลัง

ด้วยเจตนาอันแน่วแน่ที่จะสร้างพระฉายตามคำที่อธิษฐานไว้ พี่หมอได้ไปสมัครทำงานในหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของศิริราชที่หนองบัวลำภู มีกำหนดเวลาปฏิบัติราชการ ๑๕ วันครั้นใกล้วันวิสาขบูชา พี่หมอตั้งใจจะลงมือในวันนั้น จึงกราบเรียนหลวงปู่ขาว ขออนุญาตอีกครั้งหนึ่ง และพอวันวิสาขะมาถึง พี่หมอก็ลงมือโดยมีพระช่วยกันสร้างนั่งร้านให้เท่านั้น

ท่ามกลางแสงแดดที่แผดเผาในยามบ่าย สุภาพบุรุษผู้จบวิชาแพทย์ของประเทศไทย และวิชาเคมีชั้นสูงจากเยอรมันนีผู้ซึ่งไม่เคยมีความรู้ทางสลักหินมาก่อน ปืนขึ้นไปยืนบนนั่งร้านที่มีโครงสร้างประกอบด้วยไม้ไผ่ ลงมือตอกสลักบนเนื้อหินที่แข็งแกร่งตามหน้าผาแต่ละชิ้น ด้วยข้อลำของตนเองทุกวัน อย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า รวมเป็นเวลาทำงานทั้งหมด ๑๒๕ ชั่วโมง จึงได้พระฉายที่งดงาม สลักเสลาอยู่บนหินก้อนนั้นสมดังคำอธิษฐาน

พระลูกศิษย์ของหลวงปู่แอบมาเล่าให้พี่หมอฟังว่า ระหว่างที่พี่หมอกำลังดำเนินงานการสร้างพระได้ครึ่งๆ กลางๆ หลวงปู่ขาวจะออกมานั่งสมาธิเบื้องหน้าหินก้อนที่พี่หมอจะสลักเป็นประจำ !

ชีวิตของผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งอุทิศเวลาให้แก่ประเทศชาติศาสนามาค่อนชีวิต อันควรแก่การคารวะจากชนทุกชั้นได้จบสิ้นแล้วในคืนวันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๓ จึงไม่แปลกอะไรเลยที่เมื่อ ท่านศาสตราจารย์นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ ใกล้หมดลม ได้มีผู้ปฏิบัติธรรมท่านหนึ่งทำสมาธิแล้วเห็นพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร กับหลวงปู่ขาว อนาลโย มายืนใกล้ๆ เตียงคนไข้ ! พระอริยเจ้าทั้งสองท่านมาคอยรับลูกศิษย์ของท่านเพื่อพาไปสู่สรวงสวรรค์เบื้องบนนั่นเอง !


มีต่อ >>>>> เรื่องที่ ๒

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2009, 14:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

เกร็ดประวัติในส่วนที่เกี่ยวกับท่านอาจารย์ขาว อนาลโย
โดย นพ.อวย เกตุสิงห์ (เรื่องที่ ๒)
จากหนังสือของคุณทองทิว สุวรรณทัต


หนังสือ “อนาลโยวาท” อันเป็นหนังสือรวมคำสั่งสอนของหลวงปู่ขาว นั้นมีค่าที่สุด และที่หาอ่านได้ยากคือ ภาคผนวก ที่เขียนเป็นบทส่งท้ายโดยท่านศาสตราจารย์นายแพทย์อวย ผู้ล่วงลับไปแล้ว จากการที่พี่หมออวยได้ใกล้ชิดกับหลวงปู่เป็นพิเศษเนื่องจากเป็น “หมอประจำพระอาจารย์ขาว” ท่านจึงมีเรื่องของหลวงปู่ขาวที่ยังไม่มีใครทราบอยู่หลายเรื่องมาเล่าให้ฟัง ดังจะขอถ่ายทอดแก่ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ดังต่อไปนี้

พี่หมออวย (ขอเขียนตามสรรพนามที่ผู้เขียนเรียกท่าน) กับคณะได้เดินทางไปศึกษา “ชีวิตพระป่า” เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ และได้มีโอกาสไปนมัสการหลวงปู่ขาว ที่วัดถ้ำกลองเพล จังหวัดหนองบัวลำภู โดยคำแนะนำของคุณสิรี อึ้งตระกูล แล้วได้ฟังเทศน์เป็นธรรมะสั้นๆ จากหลวงปู่ แต่เพราะท่านพูดคำพื้นเมืองเป็นส่วนมาก พี่หมอกับคณะจึงฟังออกบ้างไม่ออกบ้างในครั้งแรก

หลังจากนั้น ถ้าพี่หมอไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าบ้านตาดก็จะต้องเลยไปนมัสการหลวงปู่ขาวด้วยทุกครั้ง และท่าน เทศน์โปรดพี่หมอกับคณะทุกครั้ง จนกระทั่งถึง พ.ศ. ๒๕๐๙ พี่หมอกับคณะไปทอดกฐินที่ วัดหนองแซงของพระอาจารย์บัว โดยมีท่านเจ้าคุณพระธรรมจินดาภรณ์ (สมณศักดิ์ในสมัยนั้น) ร่วมไปด้วย ท่านเจ้าคุณท่านอยากไป นมัสการหลวงปู่ขาวเพราะยังไม่เคยพบ จึงขอให้พี่หมอพาไปวัดถ้ำกลองเพล พี่หมอก็ตกลงไป ภายหลังที่ทอดกฐินแล้ว ทั้งนี้มีสุภาพสตรีชาวอังกฤษผู้หนึ่งอยู่ในคณะ

ในระหว่างเดินทาง พี่หมอได้กราบเรียนท่านเจ้าคุณว่า “ท่านอาจารย์ท่านมีเมตตามาก เราไปนมัสการท่านที่ไรท่านก็เทศน์ให้ฟังทุกครั้ง เสียแต่ท่านพูดภาษาอีสาน พวกเราฟังไม่ใคร่ออก”

พอคณะของพี่หมอไปถึง กราบเรียนเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่ก็ลงมือเทศน์เป็นภาษาไทยกลางอย่างชัดถ้อยชัดคำ

ท่านเริ่มต้นว่า

“โดยทำนองเดียวกับที่รอยเท้าของบรรดาสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้อาจจะรวมลงไปในรองเท้าของช้าง พระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ก็อาจรวมลงได้ในธรรมข้อเดียวคือ สติ !”

พี่หมออวยเล่าในหนังสือ “อนาลโยวาท” ว่าตัวพี่หมอเองถึงน้ำตาไหล ด้วยความปิติในความกระจ่ายแจ้งของ ธรรมะที่หลวงปู่แสดงในวันนั้น และที่น่าประหลาดก็คือสุภาพสตรีชาวอังกฤษซึ่งเพิ่งมาอยู่เมืองไทยได้ ๖ สัปดาห์ ก็พลอยเข้าใจในคำเทศน์ของหลวงปู่

ครั้งหนึ่งพี่หมอไปเยี่ยมหลวงปู่ตามปกติ โดยเข้าทางหลังกุฏิเผอิญเห็นถังน้ำมัน ๒๐๐ ลิตร ถังหนึ่งตั้งอยู่ริม กำแพงในสภาพบุบบิบ มีตัวหนังสือเขียนด้วยสีขาวว่า “ถังช้างเหยียบ” พี่หมอสงสัยเที่ยวสอบถามพระเณรดู ได้ความว่า ก่อนหน้านี้ไม่เท่าไหร่ หลวงปู่ขาวท่านระลึกถึงช้างพลายใหญ่เชือกหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าโขลงช้างอยู่ใน ป่าหลังเขาเคยเข้ามาเที่ยวในวัดประจำ หลวงปู่ว่าท่านคุ้นเคยกับช้างเชือกนั้น แต่ตอนหลังนี้ห่างไป ไม่ได้มาให้ เห็นอีก

ค่ำวันหนึ่ง หลวงปู่ปรารภดังๆ ว่า ช้างของเราหายไปไหนนะ ไม่เห็นมานานแล้ว จะถูกใครเขาฆ่าตายเสียแล้วกระมั้ง ตกดึกคืนนั้นหลวงปู่ก็ต้องตกใจตื่น เพราะกุฏิคลอน และมีเสียงใครเอาอะไรมาถูเสียดสีที่ข้างฝา ท่านร้องถามออกไปว่า ใคร ก็ไม่มีเสียงตอบ แล้วอะไรก็เงียบไป พอตื่นเข้ามีผู้เห็นถังน้ำมันใบนั้นตั้งอยู่ใกล้กุฏิในสภาพ บุบบู้บี้ ก็รู้กันว่าในตอนดึก “ช้างหลวงปู่” ได้มารายงานตัวให้ทราบว่ายังมีชีวิตอยู่ และเอาสีข้างถูผนังกุฏิ ให้รู้ว่ามา พร้อมทั้งเหยียบถังน้ำมันทิ้งไว้เป็นที่ระลึกด้วย

พี่หมอเล่าว่า หลวงปู่มีบารมีพิเศษเกี่ยวกับช้าง ในชีวประวัติของท่าน มีเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างท่านธุดงค์ไปกับ ท่านพระอาจารย์มั่นและสหธรรมิกบางรูป ในดินแดนของจังหวัดเชียงใหม่ ขณะไปถึงทางเลียบไหล่เขาแห่ง หนึ่ง บังเอิญพบช้างใหญ่ขวางอยู่ ท่านพระอาจารย์มั่นคงจะมีญาณทราบคุณธรรมอันพิเศษของหลวงปู่เกี่ยว กับช้าง จึงส่ง “ท่านขาว” ไปเจรจาขอทาง

หลวงปู่จึงเดินไปใกล้ช้างแล้วพูดเรียบๆ ว่า “อ้าย อ้ายตัวใหญ่โต ข้อยตัวเล็กน้อย พวกข้อยจะพากันไปปฏิบัติธรรม แต่ข้อยกลัว ขออ้ายเปิดทางให้ด้วย เถิด”

ช้างเชือกนั้นฟังแล้วก็หัวหน้าซุกกับก้อนหิน เปิดทางให้ผ่านแต่โดยดี

ผู้ที่ทราบเรื่องนี้ เชื่อกันว่าในชาติหนึ่งหลวงปู่เคยเป็นช้างชั้นผู้ใหญ่มาก่อน พระเณรที่วัดถ้ำกลองเพลบอกว่า หลวงปู่สามารถจะเรียกข้างมาได้ถ้าท่านต้องการ

คราวหนึ่ง มีคณะสุภาพสตรีจากกรุงเทพฯ ไปแวะนมัสการ และนำร่ม ๖ คัน ถวายหลวงปู่ ท่านรับประเคนแล้ว พูดหัวเราะๆ ว่า “ของเหลือมาซีนะ”

คณะทายิกาสะดุ้งไปตามๆ กัน ทำไมหลวงปู่รู้ว่าเป็นของเหลือ เพราะความจริงคณะได้ตระเวนไปตามวัดกรรมฐานมาแล้วหลายวัน และถวายร่มวัดละ ๑๒ คัน มาถึงวัดถ้ำกลองเพลยังเหลืออยู่เพียง ๖ คันจึงถวายท่าน เป็น ของเหลือจริงๆ

วันหนึ่งมีชายแปลกหน้าคนหนึ่ง เป็นคนวัยฉกรรจ์ ขอเข้านมัสการหลวงปู่ พอได้พบก็ตรงเข้าไปกราบที่เท้า แล้วเอ่ยปากขอบพระคุณท่านที่ช่วยเขาให้พ้นจากโทษมหันต์ ทุกคนงงงันไปหมด เพราะไม่เคยเห็นหน้าผู้นั้นมา ก่อน แต่หลวงปู่นั่งฟังโดยดุษฎีภาพ ชายผู้นั้นเล่าว่า เขาเป็นทหารไปรบที่ประเทศลาวอยู่นาน พอกลับบ้าน รู้เรื่องภรรยานอกใจ ก็เตรียมปืนจะไปยิงให้ตายทั้งชายชู้ด้วย ได้ไปแวะร้านเหล้าดื่มจนเมาหลับไป แล้วฝันว่า มีพระแก่รูปหนึ่งมาขอบิณฑบาตความอาฆาตโกรธแค้น และเทศนาให้ฟังถึงบาปกรรมของการฆ่า เขาตาย จนชายคนนั้นยอมยกความพยาบาทให้ และถามพระเถระนั้นว่าท่านชื่อว่าอะไร มาจากไหน พระบอกว่า “เราชื่อ ขาว มาแต่เมืองอุดรฯ” พอตื่น ชายคนนั้นก็ตัดสินใจออกเดินทางเสาะหาหลวงปู่จนได้พบวัด หลวงปู่ฟังจบแล้วอนุโมทนาและอบรมต่อไป จนชายผู้นั้นเกิดความซาบซึ้งในรสพระธรรม จนตัดสินใจออกบวชในเวลาต่อมา



.............................................................

คัดลอกมาจาก ::
http://www.dharma-gateway.com/

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2009, 03:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว




Lotus.gif
Lotus.gif [ 115.97 KiB | เปิดดู 5418 ครั้ง ]
...:b44: :b44: :b44:...

:b42: อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธฯ
นะโม ข้าจะไหว้พระพุทธเจ้าทุกพระองค์
เมื่อข้าดับจิตลง อย่าให้ใหลหลง ขอให้จิตจำนง ตรงทางพระนิพพาน
ขอให้พบดวงแก้ว ขอให้แคล้วหมู่มาร ขอให้ทันพระศรีอาริย์
ข้าจะไปนมัสการ พระเกษแก้ว พระจุฬามณี เจดีย์สถาน เป็นที่ไหว้ ที่สักการ กุศลสัมปันโน ฯ

:b42: อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธฯ
นะโม ข้าจะไหว้พระธรรมเจ้า ของพระพุทธองค์
เมื่อข้าดับจิตลง อย่าให้ใหลหลง ขอให้จิตจำนง ตรงทางพระนิพพาน
ขอให้พบดวงแก้ว ขอให้แคล้วหมู่มาร ขอให้ทันพระศรีอาริย์
ข้าจะไปนมัสการ พระเกษแก้ว พระจุฬามณี เจดีย์สถาน เป็นที่ไหว้ ที่สักการ กุศลสัมปันโน ฯ

:b42: อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธฯ
นะโม ข้าจะไหว้พระสังฆเจ้า ของพระพุทธองค์
เมื่อข้าดับจิตลง อย่าให้ใหลหลง ขอให้จิตจำนง ตรงทางพระนิพพาน
ขอให้พบดวงแก้ว ขอให้แคล้วหมู่มาร ขอให้ทันพระศรีอาริย์
ข้าจะไปนมัสการ พระเกษแก้ว พระจุฬามณี เจดีย์สถาน เป็นที่ไหว้ ที่สักการ กุศลสัมปันโนติ ฯ

สาธุ สาธุ สาธุ
กราบ กราบ กราบ
รูปภาพ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2011, 09:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ส.ค. 2011, 22:38
โพสต์: 4


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ สาธุ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 14:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ต.ค. 2009, 15:47
โพสต์: 417

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: วิปัสนา-กรรมฐาน เล่ม 1-2
ชื่อเล่น: นา
อายุ: 44
ที่อยู่: 140/19 ถ.อภัย อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
อย่าแก้ไขคนอื่น จงแก้ไขตัวเราเอง

....................................................

เจ้าเกิดมามีอะไรมาด้วยเล่า
เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉน
เจ้ามาเปล่าแล้วเจ้าจะเอาอะไร
เจ้าก็ไปตัวเปล่าเหมือนเจ้ามา

...................................................


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร