วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 10:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 52 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2011, 10:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 13:20
โพสต์: 821


 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงพ่อปราโมทย์ : เนี่ยเราหัดภาวนานะ เราอย่าไปวาดภาพการภาวนาอะไรลึกลับซับซ้อนมากมาย การ ภาวนาก็คือการหัดมาเห็นไตรลักษณ์ของสิ่งซึ่งเป็นคู่ๆ ทีนี้สิ่งที่เป็นคู่ๆมันมีสองส่วน ส่วนภายนอกกับส่วนภายใน พยายามน้อมกลับเข้ามาเรียนส่วนภายใน โอปนยิโก น้อมกลับเข้ามาหาตัวเอง มาเรียนรู้ตัวเอง

ของเรามีเป็นคู่ๆนะ อันแรกเลย คู่แรกเลย มีรูปกับนาม มีกายกับใจ หรือมีสิ่งที่ถูกรู้ กับมีผู้รู้ จิตนั้นแหละเป็นผู้รู้ อันอื่นๆนอกจากจิตเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่จิต จิตเป็นธรรมชาติรู้ ในตัวเรามีธรรมชาติรู้ รู้สึกมั้ย ในนี้มีคนรู้อยู่คนหนึ่งคอยรู้เรื่องโน้นคอยรู้เรื่องนี้ แถมไม่รู้เปล่าๆนะ รู้แล้วคิดด้วย เป็นผู้รู้สึกนึกคิด

เนี่ยเราค่อยๆหัดแยกนะ หัดแยกไป เรียนจากสิ่งที่เป็นคู่ๆนี้แหละ อันแรกคู่แรกที่อยากแนะนำให้พวกเราหัดแยกออกไปนะ ก็คือ กายกับใจ หัดแยกรูปกับนามก่อน คำว่ากายกับใจ กับ รูปกับนาม เนี่ย ไม่ตรงกันทีเดียวหรอกนะ เรียกโดยอนุโลมเพื่อให้พวกเราที่ไม่ได้เรียนอภิธรรมได้ฟังรู้เรื่อง กายกับรูปคนละอันกัน แต่ว่าถ้าพูดคำว่ารูปจะฟังแล้วงง คำว่านามฟังแล้วก็งง เอาภาษาไทยง่ายๆก่อนนะ คอยรู้แยกกายกับใจก่อน

ต่อไปค่อยเรียน พอเห็นสภาวะอย่างแท้จริง จะพบว่ากายไม่มีจริงหรอก กายเป็นรูป ส่วนที่เราว่าใจ ใจไม่ใช่ใจอันเดียว ประกอบด้วยธรรมะจำนวนมากเลย มาทำงานร่วมกัน เรียกว่าจิต กับเจตสิก มาทำงานด้วยกัน ตอนนี้เอากายกับใจก่อน

วิธีที่จะหัดแยกนะ ขั้นแรกเลย เรารู้อารมณ์อันเดียว รู้กายนี้แหละ ง่ายๆ นั่งอยู่ก็ได้ นั่งสมาธินะ หรือนั่งพัดไปเนี่ย หลายคนนั่งพัด ไม่ว่านะ พัดได้ เนี่ยหลวงพ่อยังมีพัดเลย เอาไว้ไล่แมลงวัน แมลงหวี่เยอะ เราเคลื่อนไหวไป พยายามเคลื่อนไหว บางคนไม่มีพัด มีอะไรที่เคลื่อนไหวในตัวเอง มีการหายใจ ใช่มั้ย ร่างกายนี้หายใจอยู่ ท้องนี้พองยุบอยู่ เนี่ยเบื้องต้นดูอย่างนี้ก่อน ดูร่างกายของตัวเองนะ ร่างกายนั่งอยู่ ร่างกายหายใจอยู่ ร่างกายพองยุบอยู่ ร่างกายเคลื่อนไหวอยู่ ดูกาย

แล้วค่อยๆสังเกตว่า ร่างกายเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า รู้สึกมั้ย เราไม่ได้พัดเฉยๆนะ มันมีคนหนึ่งเหมือนเป็นคนดูอยู่ แต่ไอ้คนดูอยู่จะอยู่ตรงไหนเราไม่รู้หรอก รู้สึกว่ามันอยู่ข้างในนี้ บางคนก็ว่าคงอยู่ที่หัว บางคนว่าอยู่ตรงนี้ จริงๆจิตอยู่ที่ไหนก็ได้นะ จิตไม่มีที่ตั้งหรอก จิตอยู่ตรงไหนก็ได้ จิตเกิดร่วมกับอารมณ์

ค่อยๆสังเกตไป ร่างกายที่เคลื่อนไหวเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า หัดอย่างนี้เรื่อยๆ ดูเหมือนดูคนอื่น ถ้าดูตัวเองยังไม่ออก ลองดูคนอื่นก่อน ดูคนที่นั่งข้างๆเรา เราเห็นมั้ย คนที่นั่งข้างๆเราเนี่ย เป็นสิ่งที่จิตของเราไปรู้เข้า เป็นสิ่งถูกรู้ ไม่ใช่ตัวเรา ดูคนข้างๆแล้วลองย้อนมาดูร่างกายของตนเอง ดูเหมือนดูคนอื่นน่ะ ดูเหมือนมันเป็นคนอื่น เป็นวัตถุ เป็นก้อนธาตุ เหมือนเป็นคนอื่น ใจเราเป็นคนดู ค่อยๆหัดอย่างนี้เรื่อยๆ

ต่อไปมันจะเห็นนะ ร่างกายที่หายใจอยู่ ร่างกายที่ ยืน เดิน นั่ง นอน อยู่ ร่างกายที่เคลื่อนไหว ร่างกายที่หยุดนิ่ง เป็นสิ่งที่ถูกรู้ถูกดู ไม่ใช่จิตหรอก จิตเป็นผู้รู้ผู้ดู ร่างกายไม่ใช่จิตหรอก ค่อยๆฝึกอย่างนี้นะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๓

ที่มาhttp://www.dhammada.net/page/48/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2011, 09:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


wincha เขียน:

วิธีที่จะหัดแยกนะ ขั้นแรกเลย เรารู้อารมณ์อันเดียว รู้กายนี้แหละ ง่ายๆ นั่งอยู่ก็ได้ นั่งสมาธินะ หรือนั่งพัดไปเนี่ย หลายคนนั่งพัด ไม่ว่านะ พัดได้ เนี่ยหลวงพ่อยังมีพัดเลย เอาไว้ไล่แมลงวัน แมลงหวี่เยอะ เราเคลื่อนไหวไป พยายามเคลื่อนไหว บางคนไม่มีพัด มีอะไรที่เคลื่อนไหวในตัวเอง มีการหายใจ ใช่มั้ย ร่างกายนี้หายใจอยู่ ท้องนี้พองยุบอยู่ เนี่ยเบื้องต้นดูอย่างนี้ก่อน ดูร่างกายของตัวเองนะ ร่างกายนั่งอยู่ ร่างกายหายใจอยู่ ร่างกายพองยุบอยู่ ร่างกายเคลื่อนไหวอยู่ ดูกาย

แล้วค่อยๆสังเกตว่า ร่างกายเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า รู้สึกมั้ย เราไม่ได้พัดเฉยๆนะ มันมีคนหนึ่งเหมือนเป็นคนดูอยู่ แต่ไอ้คนดูอยู่จะอยู่ตรงไหนเราไม่รู้หรอก รู้สึกว่ามันอยู่ข้างในนี้ บางคนก็ว่าคงอยู่ที่หัว บางคนว่าอยู่ตรงนี้ จริงๆจิตอยู่ที่ไหนก็ได้นะ จิตไม่มีที่ตั้งหรอก จิตอยู่ตรงไหนก็ได้ จิตเกิดร่วมกับอารมณ์

ค่อยๆสังเกตไป ร่างกายที่เคลื่อนไหวเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า หัดอย่างนี้เรื่อยๆ ดูเหมือนดูคนอื่น ถ้าดูตัวเองยังไม่ออก ลองดูคนอื่นก่อน ดูคนที่นั่งข้างๆเรา เราเห็นมั้ย คนที่นั่งข้างๆเราเนี่ย เป็นสิ่งที่จิตของเราไปรู้เข้า เป็นสิ่งถูกรู้ ไม่ใช่ตัวเรา ดูคนข้างๆแล้วลองย้อนมาดูร่างกายของตนเอง ดูเหมือนดูคนอื่นน่ะ ดูเหมือนมันเป็นคนอื่น เป็นวัตถุ เป็นก้อนธาตุ เหมือนเป็นคนอื่น ใจเราเป็นคนดู ค่อยๆหัดอย่างนี้เรื่อยๆ

ต่อไปมันจะเห็นนะ ร่างกายที่หายใจอยู่ ร่างกายที่ ยืน เดิน นั่ง นอน อยู่ ร่างกายที่เคลื่อนไหว ร่างกายที่หยุดนิ่ง เป็นสิ่งที่ถูกรู้ถูกดู ไม่ใช่จิตหรอก จิตเป็นผู้รู้ผู้ดู ร่างกายไม่ใช่จิตหรอก ค่อยๆฝึกอย่างนี้นะ




เรียกว่าวิปัสสนึกได้บ่ครับ ไอ้วิธีอย่างนี้เนี่ย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2011, 18:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2008, 09:18
โพสต์: 635

อายุ: 0
ที่อยู่: กองทุกข์

 ข้อมูลส่วนตัว www


ผมก็เคยนึกเช่นนั้นแต่เท่าที่ผมทราบเราก็สามารถนึกๆช่วยได้นิครับ :b12:

.....................................................
"ผู้ที่ฝึกจิต ย่อมนำความสุขมาให้"
คิดเท่าไหรก็ไม่รู้ หยุดคิดจึงจะรู้

http://www.luangta.com
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2011, 20:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


มันก็แปลกนะ...
พ่อยังดื่มเหล้าอยู่แต่ห้ามลูกไม่ให้ดื่มเหล้า...

แต่ลูกก็ไม่เชื่อฟัง....

พ่อก็กลุ้มใจเน๊าะว่า..ทำไมนะ..สิ่งที่ฉันพูดมันเป็นเรื่องจริงนะ..และก็พูดถูกต้องทุกอย่างด้วย..ทำม่าย..ทำไมลูก ๆ มันไม่เชื่อ..วะ :b7: :b7:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2011, 10:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เนี่ยเราค่อยๆหัดแยกนะ หัดแยกไป เรียนจากสิ่งที่เป็นคู่ๆนี้แหละ อันแรกคู่แรกที่อยากแนะนำให้พวกเราหัดแยกออกไปนะ ก็คือ กายกับใจ หัดแยกรูปกับนามก่อน คำว่ากายกับใจ กับ รูปกับนาม เนี่ย ไม่ตรงกันทีเดียวหรอกนะ เรียกโดยอนุโลมเพื่อให้พวกเราที่ไม่ได้เรียนอภิธรรมได้ฟังรู้เรื่อง กายกับรูปคนละอันกัน แต่ว่าถ้าพูดคำว่ารูปจะฟังแล้วงง คำว่านามฟังแล้วก็งง เอาภาษาไทยง่ายๆก่อนนะ คอยรู้แยกกายกับใจก่อน




แค่คิด ก็แยกรูปกับนามได้แล้ว ทำมะ ลัดสั้น คนเมือง
หลวงปู่ หลวงตาทั้งหลาย เดิน จนเท้าบวม นั่งจนก้นปริ

ถ้าแยกได้จริง ลองแยก ลพ กับ ภรรยา เอาให้ไกลกันซัก 1000 เมตร ได้บ่ครับ
เอาที่ตอนกลางคืนเดินไปหาไม่ได้ นะครับ

รึว่าท่าน กบ เห็นว่า ไอ้วิธีการที่ ลพ กล่าวนั้นมันถูก ลองอธิบายให้ฟังบ้างเด้อครับ


อ้างคำพูด:
เรียกว่าวิปัสสนึกได้บ่ครับ ไอ้วิธีอย่างนี้เนี่ย


ขอแก้เป็น นึก อย่างเดียวดีกว่าครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2011, 21:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
มันก็แปลกนะ...
พ่อยังดื่มเหล้าอยู่แต่ห้ามลูกไม่ให้ดื่มเหล้า...

แต่ลูกก็ไม่เชื่อฟัง....

พ่อก็กลุ้มใจเน๊าะว่า..ทำไมนะ..สิ่งที่ฉันพูดมันเป็นเรื่องจริงนะ..และก็พูดถูกต้องทุกอย่างด้วย..ทำม่าย..ทำไมลูก ๆ มันไม่เชื่อ..วะ :b7: :b7:


เพราะ..พ่อมันยังผิดอยู่...ลูกมันถึงเชื่อไม่ลง

แต่..พ่อมันก็งง ๆ อยู่อย่างนั้นแหละ...ไม่รู้สักทีว่า..ที่ลูกไม่เชื่อเป็นเพราะตัวเอง.. :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2011, 21:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
รึว่าท่าน กบ เห็นว่า ไอ้วิธีการที่ ลพ กล่าวนั้นมันถูก ลองอธิบายให้ฟังบ้างเด้อครับ


ขี้เกียจ... :b16: :b16:

กระผมนึกไปถึงหลวงปู่มั่น...ที่สอนว่า...ธรรมะอยู่กับคนปลอม..ก็เป็นธรรมะปลอม :b8: :b8:
ผมซึ้งกับคำสอนนี้นะ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2011, 22:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ขี้เกียจ... :b16: :b16:


จำไว้ เด้อ ท่านกบ :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2011, 22:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


นึกก้มีอยู่ 2 อย่างนะ คือนึกถึงอารมณที่ตัวเองภาวนา กับ นึกถึงเรื่องอื่นที่ไม่เกียวกับภาวนา หรือนึกไปก่อนคิดล่วงหน้าไปเอง ไอ้ที่คิดไปก่อนหรือนึกไปเองนี่แหละ เรียก "วิปัสสนึก" ยังไม่ได้เหนของจริง

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 07:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อายะ เขียน:
รึว่าท่าน กบ เห็นว่า ไอ้วิธีการที่ ลพ กล่าวนั้นมันถูก ลองอธิบายให้ฟังบ้างเด้อครับ


ขี้เกียจ... :b16: :b16:

กระผมนึกไปถึงหลวงปู่มั่น...ที่สอนว่า...ธรรมะอยู่กับคนปลอม..ก็เป็นธรรมะปลอม :b8: :b8:
ผมซึ้งกับคำสอนนี้นะ...


สุดยอดครับ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 08:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เวลาเกิดกิเลสตัญหาก็ตามดูไป ละหรือ

ตามดูไปจนกว่าจะสำเร็จความอยากความใคร่ อย่างนั้นใช่ไหม

จิตใจคนมันโน้มไปในทางต่ำคือกิเลสตัญหาได้ง่ายอยู่แล้ว จึงอย่าหวังเลยว่าวิธีการตามไปดู หรือดูจิต หรือ นึก จะ ลด ละ กิเลสได้ กว่าจะรู้ตัวกิเลสก็ครอบงำแล้ว


สมาธิ สมถะ และ ปัญญาหรือวิชชาเท่านั้น จะละกิเลสได้

ตามหลักศีลสมาธิปัญญา

ต้องฝึกสมาธิที่ไม่ใช้เรื่องง่ายๆ ให้ข่มกิเลสได้

ให้พยายามระวังให้กิเลสเกิดน้อยลงไป

คือเมื่ออยู่ในสมาธิจะไม่ผิดศีล กิเลสก็ไม่เกิด

การไม่มีกิเลสคือ วิชชาเช่นกัน

เมื่อวิชชาเกิด หมายถึงปัญญาเกิด

ปัญญาที่หมายถึงการหลุดพ้นจากกิเลส


ใครจะไปแยกรูปกับจิตได้ นอกจากจินตนาการ นึกเอา

น้ำแข็ง ใครแยกน้ำออกจากความแข็งได้

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 08:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กิเลส..ตัณหา..อาสวะ...ต้องตักออกด้วยความเพียรชอบ 2 สถาน

สังวรปธาน...กิเลสเกิดใหม่ก็ให้ปัดทิ้ง...ปัดไม่ทันก็ให้รีบตักออกก่อนที่จะตกตะกอนเป็นอาสวะ

ปหารปธาน...กิเลสเก่าที่ตกตะกอนเป็นอาสวะ...เมื่อมันฟุ้งขึ้นมาเป็นนิวรณ์เครื่องกวนใจก็ให้รีบตักออก..อย่าปล่อยให้ล่องลอยแล้วจมลงไปอีกเดียวจะหามันลำบาก

หากมองดูมันเฉย ๆ ...มันจะได้งานอะไร... :b6: :b6: :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 17:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เนี่ยเราค่อยๆหัดแยกนะ หัดแยกไป เรียนจากสิ่งที่เป็นคู่ๆนี้แหละ อันแรกคู่แรกที่อยากแนะนำให้พวกเราหัดแยกออกไปนะ ก็คือ กายกับใจ หัดแยกรูปกับนามก่อน คำว่ากายกับใจ กับ รูปกับนาม เนี่ย ไม่ตรงกันทีเดียวหรอกนะ เรียกโดยอนุโลมเพื่อให้พวกเราที่ไม่ได้เรียนอภิธรรมได้ฟังรู้เรื่อง กายกับรูปคนละอันกัน แต่ว่าถ้าพูดคำว่ารูปจะฟังแล้วงง คำว่านามฟังแล้วก็งง เอาภาษาไทยง่ายๆก่อนนะ คอยรู้แยกกายกับใจก่อน



นี่เขาเรียกว่า " อุบายในการสอน " นะ

ใครปฏิบัติได้แบบไหน ย่อมนำวิธีนั้นๆมาแนะนำกับผู้อื่น เรื่องปกติมากๆเลยนะ

แต่ที่ทำให้ดูแล้วไม่ปกติ เพราะเกิดจากความคิดที่ให้ค่าตามเหตุที่มีอยู่

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 17:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
ใครจะไปแยกรูปกับจิตได้



คุณ mes cool


คุณmes ก็สามารถทำได้นะคะ ถ้าหมั่นรู้ในกายและจิตให้ได้บ่อยๆ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 17:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
เวลาเกิดกิเลสตัญหาก็ตามดูไป ละหรือ

ตามดูไปจนกว่าจะสำเร็จความอยากความใคร่ อย่างนั้นใช่ไหม

จิตใจคนมันโน้มไปในทางต่ำคือกิเลสตัญหาได้ง่ายอยู่แล้ว จึงอย่าหวังเลยว่าวิธีการตามไปดู หรือดูจิต หรือ นึก จะ ลด ละ กิเลสได้ กว่าจะรู้ตัวกิเลสก็ครอบงำแล้ว


สมาธิ สมถะ และ ปัญญาหรือวิชชาเท่านั้น จะละกิเลสได้

ตามหลักศีลสมาธิปัญญา

ต้องฝึกสมาธิที่ไม่ใช้เรื่องง่ายๆ ให้ข่มกิเลสได้

ให้พยายามระวังให้กิเลสเกิดน้อยลงไป

คือเมื่ออยู่ในสมาธิจะไม่ผิดศีล กิเลสก็ไม่เกิด

การไม่มีกิเลสคือ วิชชาเช่นกัน

เมื่อวิชชาเกิด หมายถึงปัญญาเกิด

ปัญญาที่หมายถึงการหลุดพ้นจากกิเลส


ใครจะไปแยกรูปกับจิตได้ นอกจากจินตนาการ นึกเอา

น้ำแข็ง ใครแยกน้ำออกจากความแข็งได้




คุณ mes รู้จักคำว่า " สติรู้เท่าทันจิต " มั๊ยคะ?

แล้วรู้จักคำว่า " สิ้นอาสวะ " มั๊ยคะ?

แล้วทราบมั๊ยว่าหมายถึงอะไร?

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 52 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 16 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร