วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 03:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 130 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2010, 00:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เกิดเป็นพระราชาอยากได้ก็ได้อย่างใจ
อยากมีแต่สุขไม่ทุกข์ใจแต่หาไม่เจอซักที
ให้โหรช่วยทำนายโหรบอกให้ทำอย่างนี้
ก็ใส่เสื้อของผู้วิเศษที่เค้าไม่มีความทุกข์ใดๆ

ทหารของพระราชาออกตามหาแทบพลิกแผ่นดิน
ไม่พบไม่เจอไม่ได้ยินคนที่ไม่ มีทุกข์ใจ
เสาะหานับแรมปีผู้วิเศษคนนั้นอยู่ไหน
ไม่ว่าจะหญิงจะชายก็ล้วนแต่มีความทุกข์ทุกคน

หาเท่าไรหาไม่เจอเสื้อแห่งความสุขนั้นอยู่ไหน
จะค้นจะหาเท่าไรก็ยังไม่พบไม่เจอสักที
หาเท่าไรหาไม่เจอคนๆ นั้นเค้าอยู่ที่ใด
คนที่ไม่เคยทุกข์ใจไม่มี

ก่อนตะวันจะลับปลายนาที่หน้ากระท่อมหลังหนึ่ง
แว่วเสียงถ้อยคำพร่ำรำพึงขอบคุณชีวิตแสนดี
เมื่อหิวก็แค่มีกินเมื่อหลับก็นอนฝันดี
แค่นี้ก็มีความสุขวันนี้ไม่มีความทุกข์ใดๆ

ทหารของพระราชาเสาะหามาทั้งแผ่นดิน
เพิ่งพบเพิ่งเจอเพิ่งได้ยินคนที่ไม่มีทุกข์ใจ
เหล่าทหารของพระราชาจึงกระแทกประตูเข้าไป
ได้พบเพียงชายยากไร้ไม่มีแม้เสื้อติดกายสักตัว

หาเท่าไรหาไม่เจอเสื้อแห่งความสุขนั้นอยู่ไหน
จะค้นจะหาเท่าไรก็ยังไม่พบไม่เจอสักที
หาเท่าไรหาไม่เจอความสุขนั้นมันอยู่ที่ใด
ลืมว่ามันอยู่ที่ใจตรองให้ดี

http://solno07.exteen.com/20100804/entry




เสื้อแห่งความสุข อยู่ในกายและจิตของเรานี่เอง




ไม่ว่าจะเพลงที่แต่งขึ้นมา ไม่ว่าจะภาพยนตร์หรือละครที่ถูกสร้างขึ้นมา
ล้วนแสดงออกถึง คนเรามักจะพึ่งพาสิ่งภายนอก มองหาสิ่งที่คิดว่า " ความสุข "

แต่ลืมย้อนกลับมามองตัวเองว่า ที่คิดว่า สุขและทุกข์ นั้นเกิดจากใครทำให้
ตัวเราเองนั่นแหละที่สร้างวัฏฏะหรือห่วงตรงนี้ขึ้นมากันเอง สร้างขึ้นเพราะความไม่รู้

เมื่อยังไม่รู้ ก็จึงมีการสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้นเนืองๆ ตามสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้อง
คราใดที่เกิดการกระทบ ทั้งพอใจและไม่พอใจ ทำให้ต้องตอบสนองในสิ่งๆนั้น
ที่ล้วนเกิดจากอุปทานทั้งสิ้น อุปทานที่เกิดจากความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตนที่มีอยู่

นี่แหละชีวิตมีแค่นี้เอง เมื่อไม่รู้ ย่อมก่อเหตุไปด้วยความไม่รู้
เมื่อเห็นตามความเป็นจริงได้เมื่อไหร่ จึงหยุดขบวนการนั้นๆได้

อุปทาน อุปทาน ถูกหรือผิด ล้วนเกิดจากอุปทาน
อุปทาน อุปทาน นั่นก็ของเรา นี่ก็ของเรา แม้แต่กิเลสเขา กิเลสภายนอกแท้ๆ
ก็ยังเกิดอุปทาน ยึดมั่นถือมั่น เอากิเลสตัวเองลงไปผสมผสาน เลยกลายเป็นเหตุที่ทำให้
ก่อให้เกิดภพชาติใหม่ไม่รู้จักจบสิ้น เพราะอุปทานนี่แหละ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2010, 04:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
เขียนได้ แต่ดูเหมือนจะทำใจตามได้ยากนะครับ
คงเพราะจิตเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้กระมังครับ

ผิดถูกอย่างไร น้อมรับคำแนะนำที่มีพื้นฐานบนความกรุณาครับ

เจริญในธรรมครับ


ชัดเจน อ่านแล้วเข้าใจได้ง่ายๆ

ส่วนจะทำได้หรือไม่....ควรพยายามกันต่อไป

อนุโมทนาค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2010, 17:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 13:34
โพสต์: 1654

งานอดิเรก: ฟังเพลง และฟังธรรมตามกาลเวลา
สิ่งที่ชื่นชอบ: อภัยทาน
อายุ: 39
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว




Lotus261.jpg
Lotus261.jpg [ 32.98 KiB | เปิดดู 7786 ครั้ง ]
ที่ใดมีรัก >> ที่นั่นมีทุกข์

ที่ใดมีทุกข์ >> ที่นั้นมีธรรม


กราบอนุโมทนาบุญกับผู้เจริญในธรรมและกัลยาณมิตรอย่างสูงทุกท่านค่ะ tongue tongue tongue

.....................................................
ธรรมอำนวยพร
ขอให้.....มีจิตที่รู้ ที่ตื่น ที่เบิกบาน (พุทธะ)
ขอให้.....ทำการงานด้วยความสุข (อิทธิบาทสี่)
ขอให้.....ขจัดทุกข์ได้ด้วยปัญญา (อริยสัจสี่)
ขอให้.....มีดวงตาที่เห็นความจริง (ไตรลักษณ์)
ขอให้.....เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยไตรสิกขา (ศีล, สมาธิ, ปัญญา)


แก้ไขล่าสุดโดย ฟ้าใสใส เมื่อ 17 พ.ค. 2011, 21:44, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2010, 13:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ธ.ค. 2010, 17:25
โพสต์: 9


 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านแล้วเริ่มปลงแล้วค่ะ รักผูกพันทำให้คนยึดติด ท่านจึงออกบวชสละความเป็นฆราวาสนี่เอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2011, 17:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว





http://music.gmember.com/Too-Much-So-Much-Very-Much-เบิร์ด-ธงไชย/Song-1004596601

หมั่นสร้างเหตุดี คือ การเจริญสติ ไม่ต้องไปวิ่งหาอะไรนอกกาย แค่รู้อยู่ในกายให้มากๆ แล้วสิ่งดีๆจะวิ่งมาหาเราเอง เพราะทุกสรรพสิ่ง ล้วนเป็นที่พึ่งพาในด้านการขัดเกลากิเลสซึ่งกันและกัน เรื่องของคู่หรือเรื่องของความรักก็เช่นกัน

เราจะพบคู่ของเรา ที่มีอะไรๆคล้ายคลึงกันหรือเหมือนๆกัน ไม่ว่าจะชีวิตส่วนตัว อาชีพถึงแม้จะแตกต่าง แต่เวลาไม่แตกต่าง ใช้ชีวิตคู่แบบเป็นอิสระ ต่างคนต่างเป็นตัวของตัวเอง เป็นอิสระ

ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่ต้องไปคิดทำอะไรเพื่อหวังผลตอบแทนกลับคืนมา เมื่อไม่หวัง จึงไม่มีทั้งความสมหวังและความผิดหวัง มีแต่รับผลไปตามเหตุที่กระทำ ต่างคนต่างขัดเกลากิเลสของตัวเอง เป็นเพื่อนพึ่งพาซึ่งกันและกัน แล้วก้าวเดินไปด้วยกัน ซึ่งแล้วแต่เหตุที่ทำมาของแต่ละคนด้วย

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2011, 18:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว







ผู้ที่เจริญสติ ไม่ว่าจะใช้ชีวิตคู่หรือใช้ชีวิตอยู่คนเดียว ก็ล้วนแต่มีความสุข เพราะสามารถรู้อยู่ในกายและจิตได้เนืองๆ

ที่ใช้ชีวิตคู่ก็เพราะมีเหตุ

ที่อยู่คนเดียวก็เพราะมีเหตุ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2011, 20:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีใครบ้างที่อยู่คนเดียว
อย่างน้อยก็มีกิเลสเป็นเพื่อนสอง


ที่ใดมีรัก ที่นั่นไม่มีการ รังเกียจ

:b41: :b41: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ค. 2011, 00:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ส.ค. 2010, 23:17
โพสต์: 30

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอตอบอย่างคนไม่รู้
ความรัก
เมื่อมีรักแล้ว เมื่อไม่สมหวังความรัก ความทุกข์ก็จะตามมา
ทุกข์จากความพลัดพรากจากสิ่งทีตนรัก
ความทุกข์
ความทุกข์เกิดจากอวิชชา ความรู้ไม่เท่าทันกิเลส ความรู้ไม่เท่าทันจิตของตน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2012, 09:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


หากฉันเก็บเวลาในขวดแก้ว
สิ่งที่ฉันจะทำคือสะสมคืนและวัน
ที่ล่วงเลยมานิรันดร์
เพียงรอวันจะมอบมันแก่เธอ

หากฉันทำให้คืนวันเป็นนิรันดร์
ที่จะทำให้ความหวังกลับเป็นจริงขึ้นมา
ฉันจะเก็บทุกโมงยามราวสมบัติอันล้ำค่า
จะนำมาให้แก่เธอ

หากฉันมีกล่องสักใบ ฉันจะใส่แต่ความหวัง
หากฉันมีกล่องอีกใบ ฉันจะใส่แต่ความฝัน
ที่ไม่เคยเป็นจริง กล่องนั้นคงว่างเปล่า
หากเปี่ยมด้วยความทรงจำ ที่วันนั้นมีเธออยู่

หากฉันมีกล่องสักใบ ฉันจะใส่แต่ความหวัง
หากฉันมีกล่องอีกใบ ฉันจะใส่แต่ความฝัน
ที่ไม่เคยเป็นจริง กล่องนั้นคงว่างเปล่า
หากเปี่ยมด้วยความทรงจำ

ถ้าวันนี้เพียงแค่ฉัน
มีกล่องสักใบ ฉันจะใส่แต่ความหวัง
หากฉันมีกล่องอีกใบ ฉันจะใส่แต่ความฝัน
ที่ไม่เคยเป็นจริง กล่องนั้นคงว่างเปล่า
หากเปี่ยมด้วยความทรงจำ ที่วันนั้นมีเธออยู่



http://www.youtube.com/watch?v=-skyxDbiGXY


ในดีมีเสีย ในเสียมีดี ล้วนเกิดจากความยินดี ยินร้าย ที่ยังมีอยู่

นี่แหละโลกแห่งความจริง "โลกธรรม ๘" :b38:



กรรม ได้แก่ การกระทำ เป็นเรื่องของเหตุที่กระทำ

วิบากกรรม ได้แก่ ผลของการกระทำ เป็นเรื่องผลที่ได้รับจากการกระทำตามความเป็นจริง ที่เกิดจากมโนกรรม (เจตนา) เป็นหลัก

กฏแห่งกรรม คือ กฏแห่งการกระทำ ทำอย่างไร ย่อมได้รับผล ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ตามความคิด ที่มีความเป็นตัวตน เขา, เรา ที่ยังมีอุปทานในขันธ์ ๕ เข้าไปเกี่ยวข้องกับสภาวะหรือสิ่งที่เกิดขึ้น เช่น ถูก, ผิด, ดี, ชั่ว, บาป, บุญฯลฯ

ถูก, ผิด, ดี, ชั่ว, บาป, บุญฯลฯ คำเรียกต่างๆเหล่านี้ แตกต่างเพียงเปลือกหรือชื่อที่เรียก แต่สภาวะที่เกิดขึ้น ไม่แตกต่าง ล้วนเป็นเรื่องของเหตุที่กระทำและผลที่ได้รับ


มโนกรรม เป็นด่านแรก

เปลือกนอกที่มองเห็นของแต่ละคน ย่อมมีแต่การคาดเดา ที่เกิดจากเหตุปัจจัยที่มีกับสิ่งที่มากระทบ

ดี, ชั่ว, ถูก, ผิด, บาป, บุญฯลฯ จึงมีเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้ แต่ไม่ใช่ตามความเป็นจริงของสภาวะที่กำลังเกิดขึ้น


เหตุทางมโนกรรม

เหตุทางมโนกรรม มีหลายระดับ เหตุของการเกิดภพชาติไม่ว่าจะปัจจุบันและเหตุของการเวียนว่ายในวัฏสงสาร

มโนกรรม (ความคิด) เป็นตัวส่งผลเป็นด่านแรก จึงมีคำกล่าวว่า กรรมนั้นๆจะส่งผลมากน้อยแค่ไหน “อยู่ที่เจตนา”


คือ ตามความเป็นจริง ไม่ใช่เรื่องบาป, บุญ, ถูก, ผิด, ดี,ชั่ว ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นของแต่ละบุคคล


ความโกรธ ความเกลียด

ความโกรธโดยทั่วๆไป อันนี้แค่โกรธธรรมดา
ถ้ามีมาก จากความโกรธ จะเปลี่ยนเป็นความเกลียด

สภาวะตรงนี้ หากยังยอมรับไม่ได้ ให้มนสิการไว้ในใจ คือ เก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจ อย่าปล่อยให้เกิดการกระทำใดๆให้เป็นวจีกรรมหรือกายกรรมออกมา

รู้สึกอะไรอย่างไร ยอมรับไปตามนั้น รู้ไปตามนั้น นี่คือดับต้นเหตุของการเกิด ในภพชาติปัจจุบัน

อันดับต่อมา ยอมรับได้ แต่มีการปรุงแต่งต่อตามความหนาแน่นของความรู้สึกที่เกิดขึ้น ทางมโนกรรม

หากโกรธมาก เกลียดมาก อยากพูด อยากว่า อยากด่าอะไร ด่าไปเลย แต่ทำไว้แค่ในใจ อย่าปล่อยออกมาทางวจีกรรมและกายกรรม ไม่งั้นเหตุไม่จบแน่นอน ภพชาติยืดยาวเกิดต่อไปอีก เพราะอีกฝ่ายคงไม่ยอมเช่นกัน


การที่ไม่ปล่อยให้เกิดทางวจีกรรมและกายกรรม แค่กระทำให้เกิดขึ้นเพียงในใจ ถ้าถามว่ากรรมนี้จะส่งผลไหม


ตอกย้ำชัดๆเลยว่า ส่งผลอย่างแน่นอน

เพียงแต่ ถ้าไม่ต่อยอดหรือตอบโต้ออกไป เหตุย่อมจบลงโดยตัวสภาวะของเหตุนั้นๆเอง นี่เป็นการสร้างเหตุของเกิดภพชาติให้เกิดขึ้นมาใหม่ในปัจจุบันชาติ ที่เกิดจากการเพ่งโทษต่อผู้อื่นในใจ


ความพยาบาท

ความโกรธ ความเกลียดที่มีอารมณ์แรงมากขึ้น ที่เกิดจากการผูกใจเจ็บร่วมด้วย ทำให้กลายเป็นความพยาบาท ซึ่งเป็นการสร้างเหตุของของการเกิดเวียนว่ายในวัฏสงสาร ไม่ใช่แค่การสร้างเหตุของการเกิดภพชาติใหม่ในปัจจุบันเพียงอย่างเดียว


ลักษณะของความพยาบาท

ความพยาบาท มีลักษณะการแสดงออกที่ชัดเจน ได้แก่ การคิดขอให้ผู้ที่มีเหตุปัจจัยร่วม ขอให้เขาโดนอย่างที่ตนเองโดน อยากให้เขารู้สึกอย่างที่ตนเองรู้สึก อยากให้เขาเป็นอย่างที่ตนเองเป็นฯลฯ คือเป็นความอยากไปทางเพ่งโทษ มุ่งร้ายต่อผู้อื่น

ถ้าเพียงแค่คิด ยังไม่กระทำออกไป ผลที่ได้รับทันตา คือ ความทุกข์ ความขมขื่น ความคับแค้นใจยากที่จะทนได้ เหตุเพราะความผูกใจเจ็บ พยาบาทต่อผู้มีเหตุร่วม กลายเป็นความอาฆาตจองเวรไปโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นเหตุของการเกิดในภพชาติปัจจุบัน


นอกจากความทุกข์ใจต่างๆที่ส่งผลให้ได้รับทันที เมื่อเหตุยังไม่จบ เหตุทางมโนกรรมยังมีอยู่ ผลย่อมให้ได้รับอย่างแน่นอน กรรมที่ส่งผล จะมาในรูปของเหตุที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน สิ่งที่คิดเอาไว้ทั้งหมด ส่งย้อนกลับมาหาในรูปของเหตุ

เพียงแต่จะรู้ไหม หากรู้ ย่อมหยุดตอบโต้ ยอมเจ็บใจ แต่ไม่สานต่อ จิตที่มีความพยาบาทจะลดลง เพราะรู้แล้วว่า แค่คิด ก็ส่งผลเหมือนกัน


หลังจากเหตุนั้นจบ จะมีผู้ที่มีเหตุร่วมที่ยังมีอยู่ ส่งผลวิบากใหม่มาอีก เกิดเดิมๆซ้ำๆ จนกว่าจะยอมรับตามความเป็นจริงได้ เพียงดูสิ่งที่เกิดขึ้นไปตามความเป็นจริง รู้สึกอย่างไร รู้ไปตามนั้น สุดท้ายสิ่งที่เกิดขึ้น ดับลงไปตามเหตุปัจจัยเอง

เมื่อจิตรู้เช่นนั้นบ่อยๆ จิตจะเกิดสภาวะปล่อยวางโดยตัวของจิตเอง สุดท้าย เหตุย่อมจบลงไปด้วยเหตุปัจจัยของเหตุนั้นๆเอง โดยไม่ต้องไปแก้ไขอะไรทั้งสิ้น

ทั้งหมดนี้ เป็นทั้งการสร้างเหตุของการเกิดภพชาติขึ้นมาใหม่ในปัจจุบัน พร้อมทั้งสามารถดับภพชาติที่กำลังจะเกิดขึ้นมาใหม่





ความพยาบาทที่ส่งผลเป็นเหตุของการเวียนว่ายในวัฏสงสาร ได้แก่ การปล่อยให้เกิดกระทำออกไป ไม่ว่าจะทางวจีกรรมหรือกายกรรม เพราะ เมื่อตอบโต้ออกไป ไม่ว่าจะถูกหรือผิดตามความเป็นจริงก็ตาม

เหตุนั้นย่อมไม่จบ เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ยอม หรือถ้าอีกฝ่ายยอมจบเอง ไม่ต่อยอด ไม่ตอบโต้ ยังไงๆเหตุนั้นๆก็ยังผลอย่างแน่นอน เพียงแต่เป็นคนใหม่ที่มีเหตุร่วมกัน


การตัดภพตัดชาติในปัจจุบัน

ได้แก่ การดับเหตุทั้งหมดที่ตนเอง



การตัดภพชาติของการเวียนว่ายในวัฏสงสาร

ได้แก่ การละความพยาบท ความอาฆาต การจองเวรไม่ยอมเลิกลา

ความพยาบาท เกิดจากกิเลสที่นองเนืองในขันธสันดาน ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ ตัณหาความทะยานอยากทั้งหลาย

เมื่อไม่ได้ดั่งใจหรือแม้กระทั่งได้ดั่งใจก็ตาม ความมีอัตตาตัวตนที่มีอยู่ จิตที่มีการยึดมั่นถือมั่น เป็นเหตุให้ สร้างเหตุตามความรู้สึกนึกคิด ที่เป็นเหตุให้เกิดการเวียนว่ายในวัฏสงสารต่อไป



วิธีการตัดภพชาติในวัฏสงสาร

มีวิธีเดียวเท่านั้น คือ การทำลายอนุสัยกิเลสหรือสังโยชน์ ๑๐ ที่มีอยู่ ที่เป็นสภาวะสมุทเฉจประหาน ได้แก่ สมถะ -วิปัสสนา ในสติปัฏฐาน ๔

ซึ่งเกิดจากการฝึกจิตให้ตั้งมั่น ได้แก่ การเจริญอิทธิบาท ๔ สมาธิ (สมถะ) แล้วจึงปรับอินทรีย์ระะหว่างสมาธิกับสติ ให้เกิดความสมดุลย์ เป็นเหตุให้ สภาวะสัมปชัญญะ (ปัญญา) เกิด (สัมมาสมาธิ) ส่วนวิริยะเกิดขึ้นเองตามเหตุปัจจัย

เมื่อสภาวะสัมมาสมาธิ (ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ขณะจิตเป็นสมาธิ)เกิด เป็นเหตุให้สภาวะสัมมาทิฏฐิเกิด ได้แก่ การรู้ชัดอยู่ภายในกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม (วิปัสสนาในสติปัฏฐาน ๔ หรือที่นำมาเรียกว่าวิปัสสนาญาณในปัจจุบัน ซึ่งได้แก่ สภาวะญาณ ๑๖ )


สภาวะทุกๆสภาวะจะดำเนินไปตามเหตุปัจจัยเอง โดยไม่ต้องทำความเพียรเพราะความทะยานอยากมี อยากได้ หรือแม้กระทั่งอยากเป็นอะไรๆในบัญญัติที่นำมาเรียกๆกัน

เหตุเพราะ เมื่อรู้ชัดตามความเป็นจริงภายในกายและจิต (สมถะ-วิปัสสนาในสติปัฏฐาน ๔) เป็นเหตุให้รู้ว่าสภาวะสมถะ/การเจริญอิทธิบาท ๔ สมาธิ -วิปัสสนาในสติปัฏฐาน ๔ มีอยู่จริง

ผลที่ได้รับ คือ ความทะยานอยากที่มีอยู่จะลดน้อยลงไปเองตามเหตุปัจจัย เหตุมี ผลย่อมมี



สภาวะทั้งหมดจบลงที่

หยุดสร้างเหตุภายนอก (ทำตามความรู้สึก/กิเลสที่เกิดขึ้นในจิต เพราะผัสสะเป็นเหตุปัจจัย)

หมั่นรู้ชัดอยู่ภายในกายและจิตเนืองๆ (สมถะ/เจริญอิทธิบาท ๔ สมาธิ-วิปัสสนา ในสติปัฏฐาน ๔)

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2019, 18:59 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b47: :b39: กระทู้เก่าที่ยังมีคุณค่าถึงทุกวันนี้ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 130 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 20 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร