วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 05:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2011, 23:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 23:17
โพสต์: 257

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประเภทธรรมะ
ชื่อเล่น: หยุย
อายุ: 0
ที่อยู่: ห้วยขวาง

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเข้าใจในการศึกษาธรรมะ

ก่อนอื่นอยากให้ผู้ที่สนใจและที่กำลังศึกษาธรรมะอยู่ได้เข้าใจว่าทำไมเราต้องศึกษาและทำความเข้าใจให้ในจิตเห็นตามความเป็นจริงในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ธรรมะคืออะไร ธรรมะเป็นสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเรานั่นแหละก็คือธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีก็ตาม เพียงเราทำความเข้าใจและให้จิตเกิดเห็นความเป็นจริงในธรรมชาติว่ามันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาไม่คงที่อยู่ มีเกิดขึ้นและตั้งอยู่และดับไปทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต ซึ่งหลายๆคนคิดว่าธรรมะเป็นของพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์หรือเป็นของคนที่ละจากทางโลกออกมาแสวงหาความสงบ ซึ่งนั่นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของคนที่ละออกมาเต็มๆตัวเพื่อจะดับทุกข์ที่อยู่ในใจของตัวเราเอง แต่สำหรับคนที่ยังมีภาระกิจที่ยังต้องรับผิดชอบหลายๆเรื่องในทางโลกไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว,เรื่องการงานและอีกหลายๆเรื่องของแต่ละบุคคล จึงจำเป็นต้องศึกษาธรรมะเพื่อที่จะดำเนินชีวิตไปอย่างราบรื่นและมีความสุข จริงๆแล้วธรรมะมีมาก่อนที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาบนโลกมนุษย์นี้ เพียงแต่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบก็คือตรัสรู้นั่นเอง เหตุเป็นเพราะพระองค์บำเพ็ญบารมีมาตั้งแต่ชาติที่1-ชาติที่เป็นพระเวสสันดรรวมๆแล้วก็ประมาณ 500 กว่าชาติซึ่งแต่ละชาติพระองค์ได้บำเพ็ญบารมีมาทุกชาติ ไม่ว่าจะกำเนิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉานก็ตาม และถ้าใครได้ศึกษาประวัติของพระพุทธเจ้า 10 พระชาติสุดท้ายซึ่งพระองค์ได้บำเพ็ญบารมีขั้นสูงสุดซึ่งไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะทำได้ แต่พระองค์ทำได้ก็เพราะพระองค์ได้สั่งสมบารมีมาเป็นเวลายาวนานถึง 4 อสงไขยกับอีก 1 แสนมหากับป์ ดังนั้นการที่พระองค์เสด็จอุบัติขึ้นมาในชาติที่ทรงเป็นเจ้าชายสิทธัตธะเพราะทรงมีพระทัยที่อยากจะหาทางดับทุกข์ให้กับสัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นจากภัยในวัฎฎสงสาร( เกิด แก่ เจ็บ ตาย )นั่นก็คือการสละทรัพย์สมบัติทั้งหมด สละความสุขส่วนพระองค์เพื่อออกมาแสวงหาโมกขธรรมด้วยการถือครองเพศบรรพชิต ปฎิบัติธรรมอยู่ภายใต้ธรรมชาติทั้งหมดและสุดท้ายก็ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าและนำธรรมะมาเผยแผ่กับมนุษย์ที่ยังมีกิเลสอยู่เพราะถ้าได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าก็จะทำให้กิเลสที่อยู่ในจิตใจนั้นลดน้อยลงไปจนเข้าสู่สภาวะธรรม(นิพพาน)เพราะฉะนั้นธรรมะจึงเป็นของธรรมชาติซึ่งเราทุกๆคนรวมทั้งสัตว์เดรัจฉานก็มาจากธรรมชาติด้วยกันทั้งหมด เพียงแต่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้และเข้าใจธรรมชาติที่อยู่ในสรรพสิ่งในโลกนี้ จิตของพระองค์ก็เลยปล่อยวางเข้าสู่หลักธรรมที่เราเรียกว่านิพพานนั่นเอง
ทำไมเราต้องมาศึกษาธรรมะ เพราะถ้าเราศึกษาธรรมะก็จะทำให้เราอยู่ในสังคมอย่างมีสติอยู่ตลอดเวลา ทำให้เราเข้าใจปัญหาที่จะรุมเร้าเข้ามาหาเราทุกๆวัน ลองคิดดูว่าที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นใคร ฐานะอะไรจะเด่นจะดังหรือคนทั่วไปทุกคนก็มีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น ปัญหาก็คือตัวทุกข์และจะมีทุกข์อยู่ 2 อย่างก็คือ ทุกข์ทางกายและทุกข์ทางใจ ทุกข์ทางกายก็เช่นเป็นโรคนั้นโรคนี้ วิธีรักษาก็แค่ไปหาหมอให้หมอจัดยามาให้กินเดี๋ยวก็หาย แต่ถ้าเป็นทุกข์ทางจิตใจวิธีรักษาก็ไปเข้าวัด ทำบุญตักบาตร ฟังธรรม และถ้าจะให้ดีกว่านี้ก็ควรที่จะศึกษาธรรมให้เข้าใจลึกๆว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอะไรไว้ให้แก่สัตว์โลก เพราะตัวกิเลสทั้งหลายได้ติดตามข้ามภพข้ามชาติมาตลอด ต้อง เวียน ว่าย ตาย เกิด กันมาไม่รู้จะกี่ร้อยกี่พันชาติ ในครั้งพุทธกาล พระองค์ทรงมีพระทัยที่แน่วแน่ว่าจะเที่ยวจาริกไปทุกหนทุกแห่งเพื่อโปรดสัตว์โลกทั้งหลายเพื่อการหลุดพ้นจากวัฎฎสงสารนี้ไม่ต้อง เวียน ว่าย ตาย เกิด อีก และคำสอนที่เป็นหัวใจของพระพุทธเจ้าก็คือ โอวาทปาฎิโมกข์ซึ่งมีอยู่ 3 ข้อนั่นก็คือ 1.ละเว้นการกระทำชั่ว 2.ทำกุศลให้ถึงพร้อม 3.ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ผ่องใส และวิธีที่จะทำให้เราหลุดพ้นได้ก็คือการฝึกจิตให้เห็นตามความเป็นจริงของธรรมชาติว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนโลกนี้มีความไม่เที่ยงก็คือไม่แน่นอน เช่น มีเกิด-มีตาย, มีทุกข์-มีสุข, มีสูง-มีต่ำ, มีมาก-มีน้อย, มีแพ้-มีชนะ, มีรวย-มีจน, มีดี-มีชั่ว, มีสรรเสริญ-มีนินทา และอีกหลายๆอย่าง เพราะถ้าจิตของเราเข้าใจธรรมชาติจริงๆจิตเราก็จะปล่อยวางไม่ไปยึดติดกับสิ่งใดซึ่งนั่นก็จะทำให้เราไม่เกิดทุกข์เพราะจิตของเราเห็นตามความเป็นจริงว่าถ้าเราไปยึดก็จะทำให้เกิดทุกข์ และทุกข์ตัวนี้แหละก็จะเป็นตัวที่สร้างภพสร้างชาติใหม่ให้กับเราในโลกหน้า แต่การที่จะให้จิตเห็นตามความเป็นจริงได้นั้นก็ต้องอาศัยความเพียรที่จะศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้าให้ลึกซึ้งถึงแก่นธรรม และก็นำมาปฎิบัติให้เกิดผล แต่จะเร็วหรือช้านั้นก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเราเท่านั้น ส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าธรรมะก็แค่สอนให้เราเป็นคนดีมีเมตตา,กรุณาต่อสัตว์และคนทั้งหลาย ทำความดีไม่ทำให้ผู้อื่นเดื่อดร้อนก็เพียงพอแล้วเท่านั้น แต่นั่นเป็นเพียงเครื่องช่วยส่งพาให้จิตใจเราอ่อนโยนมากขึ้น คิดถึงใจเขาใจเราด้วยความรู้สึกจริงๆว่าทุกๆสรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนอยากจะมีแต่สุขไม่อยากจะมีทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น แต่เป็นเพียงความสุขแค่ชั่วคราวเท่านั้นยังไม่ใช่การหลุดพ้นจากสังสารวัฎนี้ แต่ถ้าใครมีจิตแบบนี้อยู่แล้วเป็นนิสัยถ้าได้ศึกษาพระธรรมพระพุทธเจ้าก็จะเข้าถึงได้โดยง่าย เพราะคนที่เข้าถึงธรรมของพระพุทธเจ้าพื้นฐานจะต้องเป็นคนที่มีศีลและมีพรหมวิหารสี่อยู่บ้างเพียงแต่ยังไม่เห็นอริยสัจสี่เท่านั้น ( ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ) ความหมายรวมๆแล้วก็คือเมื่อเราเกิดทุกข์ก็ให้ใช้สติหาดูว่าทุกข์ที่เราเป็นอยู่นั้นเกิดขึ้นมาจากไหน ถ้ารู้ทุกข์ว่าเกิดจากที่ไหนก็ให้ดับที่ตรงนั้น เพียงแค่เราเข้าใจในสรรพสิ่งทั้งหลายว่ามันก็เป็นของมันแบบนี้เป็นธรรมดาไม่เห็นจะต้องไปยึดมั่นถือมั่นไว้เลยยึ่งยึดก็ยิ่งทุกข์ เพราะความสุขที่แท้จริงคือการที่เราไม่ไปยึดติดกับสิ่งใดๆในโลกนั่นเอง การทำจิตให้บริสุทธิ์ไม่ปรุงแต่งความรู้สึกทั้งหลายที่มากระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ แค่รับรู้ว่าสิ่งนี้คืออะไรเท่านั้นไม่ต้องไปปรุงแต่งต่อว่า อยาก,โกรธ,โมโห,อิจฉา,ชอบหรือไม่ชอบ,รักหรือไม่รัก,สวยหรือไม่สวย เพราะถ้าเราปรุงแต่งต่อก็จะทำให้เราเกิดอารมณ์ที่บอกมาเมื่อกี้และชักพาให้เราได้ทำบาปกรรมได้โดยไม่รู้ตัวเพราะกิเลสครอบงำจิตใจอยู่ ถ้าคนไหนไม่ศึกษาธรรมะก็จะปล่อยไปตามกระแสของอารมณ์กิเลสได้โดยง่ายกระทำบาปอกุศลได้ทั้งหมด แต่ถ้าคนไหนศึกษาธรรมะมาบ้างก็จะมีสติควบคุมจิตใจเราไม่ให้กิเลสมาครอบงำได้โดยง่าย พอเรามีสติก็จะเกิดรู้ขึนมาว่าเรารู้สึกอย่างไรและก็จะมีปัญญาเห็นต่อไปว่าเราต้องไม่ทำบาปอกุศล และถ้าใครฝึกใช้สติได้แบบนี้บ่อยๆเข้าต่อไปจิตก็จะเกิดการเรียนรู้ว่าต้องจัดการอย่างไรเมื่อมีสิ่งยั่วเข้ามากระทบทางอินทรียสังวร ( ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ ) และจะทำให้จิตเราเข้ากระแสของภาวะนิพพานทำกรรมฐานเข้าถึงสมาธิฌานได้โดยง่าย ก็เพราะเรายังต้องเวียน ว่าย ตาย เกิดอีกและยังเจอปัญหาเข้ามาทุกๆวันเราจึงต้องศึกษาพระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ถึงแก่นธรรม เพราะธรรมะช่วยแก้ไขการดำเนินชีวิตของเราในสังคมให้เดินถูกทาง แต่ไม่ได้หมายถึงว่าพอศึกษาธรรมะแล้วก็จะต้องเข้าใจเลย มันต้องมีการปฎิบัติด้วยและการปฎิบัติในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องไปนั่งสมาธิหรือทำกรรมฐานเลยนะ เพราะการฝึกจิตให้เห็นตามความเป็นจริงนั้นต้องอาศัยปัจจัยภายนอกมากระทบและเมื่อมากระทบเราก็แค่ตามรู้จิตของเราว่าตอนนี้เป็นอย่างไรและเมื่อรู้แล้วว่าเป็นอย่างไรก็ไม่ปรุงแต่งให้เกิดอารมณ์ความรู้สึก(กิเลส) ครั้งแรกๆอาจจะทำยากแต่ถ้าเรามีความเพียรมากเราก็ทำได้แต่อาจจะใช้เวลาพอสมควร เช่นมีคนมาว่าเราทั้งๆที่เราก็อยู่ของเราดีๆไม่ได้ไปว่าก่อนแต่เขามาว่าเราถ้าคนที่ศึกษาครั้งแรกก็อาจจะทำสีหน้าโกรธไม่พอใจแต่ไม่ด่าหรือว่าตอบหรือทำร้ายร่างกาย นั่นแหละคุณมีความเพียรที่จะชนะกิเลสโทสะได้แล้ว 1 ครั้งและถ้าคุณทำแบบนี้บ่อยๆเข้าก็จะเกิดการรู้ของจิตว่าจะจัดการอย่างไรต่อไป เช่น จิตอาจจะมองลึกเข้าไปว่าที่เขามาด่าเราก็อาจเป็นเพราะกรรมเก่าของเราที่จะต้องมาชดใช้เพราะมีคนตั้งหลายคนที่อยู่รอบๆข้างเขาแต่เขาไม่คิดจะว่าแต่กลับมาว่าเราคนเดียว และถ้าจิตสภาวะธรรมเกิดขึ้นก็จะแผ่เมตตาให้เขาแทนที่เราจะรู้สึกโกรธเหมือนครั้งแรกกลับต้องการแผ่เมตตาให้เขาในจิตเราเพราะต่อไปเขาคนนั้นที่ว่าเราสักวันไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้าเขาก็จะต้องเจอแบบนี้เหมือนกัน และถ้าลึกไปอีกจิตก็จะพัฒนาต่อไปว่า ที่เขามาว่าเราก็เพราะเขาไม่ได้ศึกษาธรรมะเหมือนเราก็เลยไม่มีสติรู้ว่ากำลังสร้างกรรมใหม่อยู่ เราไม่ควรจะไปโกรธหรือว่าตอบเพราะถ้าเราว่าเขาตอบก็เท่ากับว่าเขากับเราก็ไม่แตกต่างกันทั้งๆที่เราศึกษาธรรมะรู้ธรรมะมาบ้างแล้ว แต่เขาสิไม่ได้ศึกษาไม่รู้เลยในเรื่องธรรมะ ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะแสดงออกแบบนี้ นอกจากเราจะไม่โกรธแล้วเราก็ยังมีจิตเมตตาที่จะช่วยให้เขาได้พ้นทุกข์จากตรงนี้ด้วยการบอกเรื่องราวและข้อดีของธรรมะให้เขาฟัง พอเขาได้ฟังธรรมะแล้วจิตใจก็อาจจะดีขึ้นมีมุมมองใหม่ๆที่ดีๆตามมาในจิตใจของเขาเองและนั่นก็คือคุณได้ชนะใจจากกิเลสโทสะได้แล้วและยังเข้าไปชนะกิเลสที่อยู่ในใจของคนอื่นอีกด้วย อานิสงส์ของการฝึกจิตแบบนี้มีมากมายมหาศาลเลยซึ่งเห็นได้ชัดจากตอนนี้และเดี๋ยวนี้และจิตตัวนี้จะตามข้ามภพข้ามชาติติดไปตลอดจนกว่าจะนิพพาน และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องมาศึกษาธรรมะ เพราะถ้าเราไม่ศึกษาไม่เริ่มปฎิบัติเราก็จะต้องเป็นทุกข์ตกอยู่ในสังสารวัฎนี้อีกไม่รู้กี่ภพกี่ชาติกัน ถามตัวเราเองว่าเรายังยินดีที่จะเกิดมาอีกไหม ถ้าเราไม่อยากจะเกิดมาอีกเราก็อย่าไปหลงยึดติดสิ่งใดๆในโลกนี้เพราะว่ามันไม่ใช่ของเรา เราเพียงแค่มาอาศัยธรรมชาติเป็นตัวตนแล้วสุดท้ายก็ต้องคืนตัวตนให้กับธรรมชาติต่อไปตามเดิม แต่สิ่งที่จะติดตามไปกับเรานั่นก็คือจิตของเราถ้าจิตที่ไม่ผ่องใสมีความทุกข์เศร้าหมองจิตนั้นก็จะพาเราไปยังที่ๆไม่ดีไม่มีความสุขทั้งกายและใจ แต่ถ้าจิตผ่องใสจิตก็จะพาเราไปที่ที่มีแต่ความสุขน่ารื่นรมย์ เพราะฉะนั้นเพื่อการหลุดพ้นเราทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์มีโอกาสได้ฟังพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็ขอให้จงฟังเถิดอย่าให้เสียชาติที่ได้เกิดมาในอัตภาพมนุษย์เพราะถ้าเราเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็หมดโอกาสที่จะฟังธรรมของพระพุทธเจ้าต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฎนี้ไปอีกไม่รู้กี่ร้อยกี่พันชาติ ฟังไปๆถึงจะไม่เข้าใจก็ขอให้ฟังก่อน อย่างน้อยถ้าได้ฟังแล้วจิตของเราก็จะเริ่มมีการคิดเพียงแต่แต่อาจจะยังไม่เข้าใจเท่านั้น เพราะฉะนั้นขอให้ฟังด้วยความตั้งใจก่อนแต่อย่าไปคิดว่ามันต้องรู้ต้องเข้าใจเดี๋ยวนั้นทันที เพราะถ้าเราได้ฟังบ่อยจิตของเราก็จะสอนของมันไปเอง เกิดการเรียนรู้ไปเอง เพราะธรรมให้สติกับเราไม่ให้เราหลงเพลินไปอยู่ในโลกของกิเลสซึ่งมีแต่ความทุกข์ ธรรมะสอนให้เรามองดูตัวเราเองมากกว่าการมองดูคนอื่น เพราะการมองดูตัวเองนั้นจะเกิดการปรับปรุงตัวเราเองไม่ให้สร้างกรรมต่อไปให้กับตัวเองและคนอื่น

***คนที่พิมพ์นี้ก็ศึกษาธรรมะอยู่แต่ยังไม่ได้บรรลุ แต่เพียงกำลังปฎิบัติตามธรรมที่ได้ศึกษามาและก็ทำได้บางอย่างจนนิสัยบางอย่างที่ไม่ดีถูกธรรมะเข้าแทนที่จนกลายเป็นคนที่จัดการกับความทุกข์ได้แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้หมายถึงว่าจะทำได้เลยเพราะเราต้องมีความเพียรเอาชนะกิเลสที่ครอบงำจิตใจออกไปแล้วเอาธรรมะเข้ามาแทนที่ เช่นนิสัยที่เคยเป็นคนโกรธและโมโหรุนแรงไม่ยอมใครถ้าไม่ผิดแต่พอได้ศึกษาธรรมะจิตก็เปลี่ยนความคิดใหม่ในทางที่ดีขึ้นกลายเป็นคนที่โกรธและโมโหยากไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็ตาม แค่พยายามตามรู้จิตของตัวเองว่าเป็นอย่างไรเพื่อที่จะไม่ปล่อยไปตามอารมย์ของกิเลสที่มายั่ยุและตัวเองก็มีความศรัทธาและเชื่อในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพราะธรรมะทำให้เราได้มีสติทุกครั้งก่อนที่เราจะตกให้กิเลสครอบงำจิตของเรา ถ้าใครอ่านแล้วไม่ว่าท่านจะรู้สึกอย่างไรก็ตามแต่อย่างน้อยท่านก็ได้สนใจบ้างในเรื่องของธรรมะแล้ว ขอให้อานิสงส์จากการสนใจในธรรมของท่านจงส่งผลให้ท่านเป็นผู้ที่มีจิตหลุดพ้นจากกิเลสทั้งหลายเข้าถึงสภาวะธรรมแห่งนิพพานด้วยเทอญ***
กลัวตาย กลัวอด กลัวโดนด่า กลัวไม่สวย กลัวไม่หล่อ กลัวทุกข์ กลัวนินทา ฯลฯ ยังไม่สู้เท่ากับ กลัวบาป กลัวกรรม
คิดสักนิดก่อนจะทำ มีเพียงสติเท่านั้นที่ช่วยเราได้ เราต้องมีสติเป็นเพื่อนอยู่ตลอดเวลา
สพฺพานาลํ อภินิเวสาย แปลว่า ทุกอย่างไม่ควรยึดถือ
สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ แปลว่า การให้ธรรมทาน ชนะการให้ทั้งปวง
สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย แปลว่า การสั่งสมบุญ นำสุขมาให้

อันตัวเราเกิดมาทำไมหนอ หรือมาก่อบาปกรรมนำสงสาร
เสวยทุกข์สุขห่างหายใจร้าวราน ติดกับมารเพราะตัวอวิชชา
หยุดเถิดเจ้าจิตเอ๋ยไม่เคยนิ่ง คอยวุ่นวิ่งตามกิเลสตัวตัณหา
ควรสงบระงับด้วยวิปัสสนา หันหน้ามาค้นหาพระสัทธรรม

.....................................................
สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรม
ทุกอย่างไม่ควรยึดถือ
อกุศลน้อยนิด อย่าคิดทำ
กุศลน้อยนิด ให้คิดทำ
ทำกุศลวันละนิด ดีกว่าคิดที่จะทำ

พระพุทธองค์ยังถูกนินทา
ประชาชนธรรมดามีหรือจะหนีพ้น

ไม่อยากทุกข์แต่ก็เป็นทุกข์ ถ้าไม่เรียนรู้ทุกข์ จะพ้นทุกข์ได้อย่างไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2011, 00:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: อนุโมทนาด้วยค่ะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2011, 02:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


อนุโมทนาค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 60 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร