วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 07:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2010, 10:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ย. 2010, 14:07
โพสต์: 27


 ข้อมูลส่วนตัว




อนีโฆ 19 ก.ย. 2553.jpg
อนีโฆ 19 ก.ย. 2553.jpg [ 35.25 KiB | เปิดดู 1921 ครั้ง ]
s001

นิวรณ์ สภาวะที่ขัดขวางความดี
โดย หลวงปู่ทองดี อนีโฆ


วันนี้ หลวงปู่จะขอพูดให้ลูกหลานฟัง เพราะบางคนก็เข้าใจดีแล้ว บางคนก็ยังไม่รู้จักเสียด้วยซ้ำไป หรือบางคนก็พอรู้จัก อุปสรรคที่มันขวางกั้นจิตใจไว้ หรือที่เราเรียกว่าตัวนิวรณ์

นิวรณ์นี่ ถ้าเราแปลโดยหลักธรรม ก็จะแปลว่า สภาวะที่ขัดขวางความดี ความงาม ความก้าวหน้า ความเจริญในทางธรรม นิวรณ์นี่ ลูกเอ๊ยหลานเอย มันเป็นกิเลสขั้นละเอียดที่มันนอนเนื่องอยู่ในสันดาน มันเป็นกิเลสที่ปิดกั้นดวงจิตดวงใจของเราเอาไว้ ไม่ให้ดวงจิตดวงใจดวงนี้มันสะอาด มันสว่าง มันสงบ เกิดขึ้น ทำให้จิตใจของเราเศร้าหมอง มืดมัว เร่าร้อน เป็นความกลุ้มอกกลุ้มใจ บางทีนี่ลูกหลานทั้งหลายรู้จักตัวนิวรณ์ แต่ยังไม่เข้าใจถึงตัวนิวรณ์

นิวรณ์นั้นคืออะไร นิวรณ์คือ กามฉันทะ 1 พยาบาท 1 ถีนมิทธะ 1 อุทธัจจะกุกกุจจะ 1 วิจิกิจฉา 1 หลวงปู่ก็จะขอพูดถึงเรื่อง กามฉันทะ คือความรู้สึกพึงพอใจในกามคุณทั้งหลาย หรือตัณหาทั้งหลาย ที่มันพยายามเป็นเครื่องร้อยรัด ผูกมัด อยู่ในจิตในใจ ถ้าเราจะมาแปลกามฉันทะคือความพอใจในกามคุณทั้งหลาย กามก็คือความใคร่ ความยินดีในรสชาติ ในความรู้สึกของอารมณ์ใจอันเป็นสุข กามตัณหานั้นคือความใคร่ ที่อยากได้วัตถุธรรม ที่สนองทางอารมณ์ อันมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ผู้เสพกามเป็นเนืองนิตย์ จะเหมือนกับว่ามันผูกติดกับเครื่องร้อยรัด และก็จะเป็นอุปสรรคต่อการเจริญพระกรรมฐาน ส่วนกามฉันทะ ไม่ว่าสัตว์หรืออะไรก็แล้วแต่ หรือจะเป็นคนก็ดี เมื่อบุคคลใดได้เสพซึ่งกามฉันทะ มันจะสามารถสนองตัณหาได้ครบ ทั้ง ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และก็ใจ เช่น การมีเสพต้องเมถุน เป็นต้น การเสพต้องเมถุนนั้นเพื่ออะไร เพื่อการแพร่เผ่าพันธุ์ให้มีมนุษย์เกิดขึ้น แต่บางคนมันก็บ้า ไอ้ฉิบหายจังไรทั้งหลาย ไอ้พวกนี้บ้าจนเกินความพอดี อย่างไม่รู้จักคำว่าพอดีในกามทั้งหลาย กามฉันทะนี่ที่มันให้โทษอย่างมากมาย บางคนนี่ติดหวย ติดการพนัน ติดละคร ติดหนัง ติดลิเก เมื่อเห็นที่ไหนไม่ได้ อย่างพวกชอบลิเกนี่ มีลิเกที่ไหนไม่ได้กูต้องไป บางคนก็ติดเหล้า ติดยา เมามาย พอใจในกามทั้งหลาย บางคนก็ชอบสะสมเครื่องอันเป็นกิเลสให้แก่ตัวเอง คือชอบสะสมแก้วแหวนเงินทองทั้งหลาย บางคนก็บ้า ไอ้พวกนี้บ้าเห่อยศเห่อตำแหน่ง ไม่รู้จักคำว่าพอดี มียศถาบรรดาศักดิ์หน่อยก็บ้า นี่เรียกว่าไอ้พวกบ้าในกามทั้งหลาย เพราะว่าคนเรานั้นอวิชชาเป็นรากแก้ว โดยที่กามฉันทะนำไปซึ่งความโง่ นำไปสู่ตัวเวทนา ตัณหา และอุปปาทานทั้งหลาย เป็นบ่อเกิดแห่งราคะ โทสะ โมหะ ถ้าเรามาพิจารณาแล้วนี่ บางคนก็บ้าสวยบ้างาม เกิดมาโดยธรรมชาติ ตกแต่งโดยธรรมชาติไม่พอ พวกนี้ต้องทำทุกวิถีทาง คือไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ บางคนก็บ้าไปแต่งสวยแต่งงาม หมดกันเป็นแสนสองแสนสามแสนสี่แสน แล้วแต่ความพึงพอใจ แล้วก็รู้สึกว่ามีความชอบใจในสิ่งที่ตัวเองตกแต่ง นั่นอีพวกบ้า พวกเปรตนรกทั้งหลาย พวกควายใต้ถุนทั้งหลาย

2. พยาบาท พยาบาทนั้นหมายถึงปองร้าย มุ่งกระทำร้ายโดยเจตนา เจตนาร้ายโดยตรง พยาบาทคือความกระทบกระทั่งของจิต รู้สึกมันหงุดหงิดเอนเอียงไปในทางที่จะเบียดเบียนผู้อื่น โกรธเขาพยาบาทเขา อิจฉาริษยาเขา ความรู้สึกชั่วมันเกิดขึ้นในใจตลอดเวลา เป็นคนมักโกรธ เป็นคนมักอาฆาต ปกติคนเรานี่จะไม่อาฆาตพยาบาทใครบ่อยนัก ยกเว้นคนที่ยึดมั่นถือมั่นในตัวเองมากจนเกินไป ในยามที่กำลังเกิดตัณหา อวิชชามันครอบงำเอาไว้นี่ ไอ้พวกนี้นี่ใครทำตามอารมณ์ใจมันก็ว่าดี ใครไม่ทำตามอารมณ์ใจมันก็ว่า โกรธเคืองเขาขึ้นมา คนที่ชอบตามใจตัวเอง เห็นแก่ตัว เห็นแก่จิตแก่ใจ เป็นคนคับแค้น และเป็นคนโกรธง่าย คนพวกนี้เป็นคนชอบผูกพยาบาทผู้อื่น คนมีนิสัย พยาบาทนี่หน้าตาผิวพรรณไม่ผ่องใส เพราะพยาบาทนอกจาเป็นอุปสรรคหรือศัตรูตัวฉกาจของการเจริญสมาธิกรรมฐานแล้ว ยังเป็นสันดานเลวร้ายที่ตัดมิตรไม่เป็นการสร้างมิตร แต่เป็นการสร้างศัตรูไม่มีใครอยากอยู่ใกล้สักคนเดียว ถ้าใครอยู่ใกล้แล้วนี่ กลัว กลัวในความบ้าของคนเหล่านี้ พยายามทำตัวหลีกหนีจากคนเหล่านี้ให้ห่างไกล มันเป็นตัวขวางกั้นสวรรค์และนิพพาน แต่มันจะส่งเสริมให้คนเหล่านี้ไปนรก ไปอบายภูมิอย่างง่าย ๆ

3. ถีนมิทธะ เป็นนิวรณ์ตัวที่ 3 คือความง่วงเหงาหาวนอน หดหู่ ละเหี่ยใจ ถีนมิทธะนี่แปลว่าจิตใจเศร้าโดยไม่มีเหตุไม่มีผล หดหู่ละเหี่ยใจ มึนชาง่วงซึมทั้ง ๆ ที่นอนเต็มอิ่มแล้ว ถ้าภาษาพูด พูดง่ายๆ ว่า ไอ้พวกที่ใจเสื่อม คนเราเวลานั่งคุยกัน นั่งอ่านหนังสือ หรือนั่งดูหนัง ดูละคร อะไรก็แล้วแต่ จะไม่ง่วงนอน แต่พอเริ่มจะอ่านตำราเรียนบ้าง หนังสือธรรมะบ้าง จะเริ่มง่วงนอน ไม่รู้ว่านิวรณ์ตัวนี้นี่มันก่อให้เกิดกิเลสได้อย่างไร มันจะเริ่มหาวเริ่มง่วงนอนทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บางคนเวลาเจริญพระกรรมฐานด้วยแล้วนี่ บางคนสัปหงกเลย หรืออาจจะเผลอหลับไปในระหว่างเจริญพระกรรมฐาน ผู้ใดก็แล้วแต่ที่ไม่สร้างสติให้เข้มแข็ง ไม่ติดตามลมหายใจหรือดูอารมณ์ใจตัวเองแล้ว จะหลงหลับในขณะที่เจริญกรรมฐานง่าย ๆ ซึ่งจะติดเป็นนิสัย และจะถูกถีนมิทธะครอบงำได้ตลอดเวลา

ความง่วงเหงาหาวนอนนี่มักจะเกิดขึ้นได้ง่าย เมื่ออารมณ์ใจเราว่างเกิดขึ้น มักจะเกิดความง่วงเหงาหาวนอนได้ง่าย ๆ ขึ้น มันน่าแปลก ไอ้ที่เป็นอกุศลกรรม พอจะปฏิบัติธรรมหรือฟังธรรมอยู่ก็ดี หรืออ่านหนังสือธรรมะก็ดี มันชอบง่วงเหงาหาวนอน แต่ถ้ามันเลินเล่อไปตามอารมณ์ของกิเลส แหม..มันสามารถนั่งอยู่ได้เป็นวัน ๆ นี่คือตัวถีนมิทธะ

4. อุทธัจจะกุกกุจจะ แปลว่าความฟุ้งขึ้น โดยความหมายได้แก่ ความตื่นเต้นหรือความทึ่ง โดยทั่วไปคนเราย่อมจะมีความตื่นเต้นในสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มากระทบกับความอยาก ความหวัง ความยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวเป็นตนของตนเอง บางทีอารมณ์มันก็ฟุ้งไปตามกระแสความคิดของมัน คนที่จะมุ่งเจริญกรรมฐานเพื่อหวังสัมผัสทางจิต เห็นเทวดา นางฟ้า เห็นสวรรค์ เห็นนรก เพื่ออะไร เพื่อความตื่นเต้น บางคนหวังมีฤทธิ์มีเดช มีความอยู่ยงคงกะพัน ความหวังต่าง ๆ เหล่านี้ หากเราได้สัมผัสได้เห็นเข้าจริง ๆ เราก็จะรู้ว่าอะไร บางคนได้สัมผัสจริงบ้าง โกหกบ้าง บางทีก็จะเกิดความฟุ้งขึ้นทันที หากเกิดความฟุ้งขึ้นบ่อย และหวังมากขึ้น อาการฟุ้งซ่านทั้งหลายก็จะครอบงำจิตใจ เป็นผลให้การเจริญพระกรรมฐานไม่ก้าวหน้า และอาจจะหลงทางได้ เจตนาความต้องการ คือต้องการเห็นนรก เห็นสวรรค์ เพื่อให้จิตเกิดมีหิริมีโอตัปปะ เป็นเรื่องน่ายินดี แต่หากมีเจตนาเพื่อความตื่นเต้น ก็เป็นทางนำไปสู่ความฟุ้งซ่านรำคาญใจครอบงำได้ง่าย ความฟุ้งซ่านรำคาญใจเกิดขึ้นทางจิต บางครั้งก็นำก่อให้เกิดเป็นความหงุดหงิดและรำคาญใจ กลายเป็นความไม่มั่นคงในจิตในใจ เพราะบางคนนั้นปฏิบัตินั้นมีความหวังมากเกินไป ว่ากูจะต้องนั่งไปแล้วนี่ จะต้องเห็นนรก เห็นสวรรค์ กูจะต้องเห็นกายในของตัวกูเอง ก็จะต้องไปนั่งเพื่อไปเที่ยว พระจุฬามณี ไปกราบองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปไหว้พระจุฬามณี หรือจะไปเที่ยวที่ไหนก็แล้วแต่ พอปฏิบัติไปแล้ว ไม่ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการเห็น ก็เกิดความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ว่า เอ๊..เบื่อหน่ายต่อการปฏิบัติ ไม่รู้ว่ากูจะปฏิบัติไปเพื่ออะไร ปฏิบัติเท่าไรกูไม่เห็นสักทีนึง กูปฏิบัติเท่าไร อู๊ย..มันเบื่อมันรำคาญเสียเหลือเกิน มันไม่อยากปฏิบัติแล้ว กูปฏิบัติไปไม่เห็นเกิดมรรคเกิดผล ไม่เห็นอะไรเกิดขึ้นกับจิตกับใจของตัวกูเอง แต่โธ่เอ๋ย ลูกหลานผู้น่าสงสารทั้งหลาย ขณะที่มึงคิดอยากเห็น ขณะที่มึงฟุ้งซ่าน มึงเบื่อหน่าย มึงยังไม่เห็นตัวเห็นตนเห็นกาย เห็นจิต ของมึงเลย นั่นยังโง่อยู่ลูกเอ๋ย มึงปฏิบัติกรรมฐานเพื่ออะไร เราต้องถามใจตัวเราเองไม่ใช่พอปฏิบัติไป ไม่ได้ตามอารมณ์ใจที่ตัวเองปรารถนาก็เกิดความรำคาญ เกิดความหงุดหงิด เกิดความเบื่อหน่ายในการปฏิบัติกรรมฐานขึ้นมา นี่เขาเรียกว่าอยากตั้งแต่ก่อนที่จะทำ เราทำอย่าไปอยาก มันจะเห็นก็ช่างไม่เห็นก็ช่าง อย่าให้อารมณ์ฟุ้งซ่าน อย่าให้อารมณ์หงุดหงินทั้งหลายมันพึงบังเกิดขึ้นมีกับจิตกับใจของตัวเราเอง

และประการที่ 5 คือวิจิกิจฉา วิจิกิจฉานั้นคือความลังเลของจิตของใจ มีคนไม่ใช่น้อยมักสงสัยในพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า บางคนสงสัยในการเจริญพระกรรมฐานว่าจะทำให้บ้า ขอรับรองว่า ถ้าคนเจริญกรรมการที่ถูกต้องแล้ว ความบ้าทั้งหลายย่อมไม่เกิดขึ้นแน่ ถ้ามีเจตนาบริสุทธิ์ และปฏิบัติตามคำสั่งคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว คำว่าบ้าย่อมไม่เกิดขึ้นแก่พวกเราอย่างแน่นอน คนเราโดยส่วนรวม จะถูกกรรมทั้งหลายมันหลอกลวง มันบังตาเอาไว้ เวลาทำสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่ถูกห้ามมักชอบลองทำ เข้าทำนองว่าขาดสติยั้งคิด แต่เวลาให้ทำบุญสร้างคุณงามความดี มักจะลังเลสงสัย มีข้อสงสัยอย่างมาก หลาย ๆ คนชอบพูดกันว่า คนเราเกิดชาติเดียวตายหนเดียว ทำบุญไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเชื่อว่านรกสวรรค์ นั่นไม่มีจริง คำพูดเพียงประโยคเดียวมีข้อสงสัยอยู่ตั้งหลายข้อด้วยกัน

อย่างข้อแรก คนสงสัยในเรื่องเวียนว่ายตายเกิด เลยกำหนดหลอกตัวเองว่าเกิดชาติเดียวตายชาติเดียว คนที่พูดน่าจะถามตัวเองต่อไปว่า ตัวมันที่พูดอยู่นั่น มันมั่นใจได้อย่างไรว่า เกิดชาติเดียวตายหนเดียว

ข้อที่ 2 สงสัยว่าทำบุญจะไม่มีประโยชน์ ความที่เป็นคนไม่ชอบทำบุญ จึงกำหนดลงไปเองว่า ทำบุญไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะมันไม่คิดที่จะทำบุญ มันก็เลยคิดว่าการทำบุญนั้นไม่มีปะโยชน์

ข้อที่ 3 ที่ว่าเชื่อหรือว่านรกสวรรค์มีจริง คำพูดก็แสดงความลังเลใจสงสัยอยู่แล้วในตัว คนประเภทนี้เป็นคนขี้สงสัยเป็นคนที่น่ารำคาญ ชอบตั้งคำถามประเภทอวดฉลาดแต่โง่ ไอ้ควายทั้งหลาย เป็นคนประเภทไม่มีความคิดเสริมสร้าง เป็นคนพวกถ่วงความเจริญ โดยเฉพาะถ่วงตัวเอง ตัวเองก็เป็นคนที่แย่อยู่แล้ว ยังให้จิตใจตัวของตัวเองย่ำแย่หรือเสื่อมถอยลงไป คนประเภทนี้ชอบถามเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติพระกรรมฐานสมาธิ แต่ไม่เคยคิดและไม่เคยลองปฏิบัติ หรือไม่ก็ปฏิเสธการปฏิบัติสมาธิไปเลย คนประเภทนี้มักจะชอบพูดว่า ทำดีไม่เห็นได้ดี คนทำชั่วได้ดีมีถมไปคนประเภทแบบนี้มักจะไปติดอยู่ในอบายภูมิกันอย่างมาก

ความลังเลสงสัยในพระพุทธเจ้า ในพระธรรมเจ้า ในพระสังฆเจ้า ในผลสมาธิก็ดี ในผลของบุญกุศลก็ดี ที่ยกมาเปรียบเทียบให้ลูกหลานเข้าใจนั้น ก็เพื่อจะได้ตัดความลังเลสงสัยในคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรมเจ้า คุณพระสังฆเจ้า ถ้าเรามัวแต่ลังเลและสงสัยว่า พระพุทธเจ้ามีจริงไหม พระธรรมเจ้ามีจริงไหม พระอริยเจ้าทั้งหลายมีจริงไหม เรามามัวมานั่งสงสัยอย่างเดียว เราไม่ได้ทำตามในพระธรรมที่พระองค์ทรงสอน ทรงบอกเอาไว้ แล้วเมื่อไรเราจะหายสงสัยสักทีเล่า ลูกเอ๊ยหลานเอย เพราะฉะนั้นแล้ว จึงอยากให้ลูกหลานทั้งหลายได้ไตร่ตรองว่า เราอย่าเป็นผู้สงสัย เราจะเป็นผู้ปฏิบัติในสิ่งที่เราสงสัยเพื่อให้มันละให้มันคลายจากความสงสัย เมื่อเราปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง เราปฏิบัติเพื่อให้ความรู้เห็นมันแจ้ง มันเกิดขึ้นในจิตในใจของเราแล้ว เราจะได้สิ้นความสงสัยในเรื่องภพเรื่องชาติ เรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าฉันใดเราเป็นแต่ผู้สงสัย เราไม่เป็นผู้ใคร่ที่จะปฏิบัติให้รู้ให้เห็นเพื่อละออกจากความสงสัยได้แล้ว เราก็จะรู้ได้อย่างไรว่า เราจะเห็นในคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณของพระสงฆ์ทั้งหลาย

ลูกเอ๊ยหลานเอยอันเป็นที่รัก นี่แหละนิวรณ์ทั้ง 5 ที่เป็นตัวสกัดกั้นถ่วงความเจริญในจิตในใจของเราเอาไว้ ลูกเอ๊ย กามฉันทะเกิดขึ้น ให้แก้โดยตัวปัญญา พิจารณาถึงความหลง พยาบาทเกิดขึ้น ให้แก้ด้วยเมตตา อภัยทาน ถีนมิทธะเกิดขึ้น ให้แก้ด้วยการเจริญสติมาก ๆ อุทธัจจะกุกกุจจะเกิดขึ้น ขอให้สวดมนต์มาก ๆ และให้เอาจริงเอาจังในการปฏิบัติ วิจิกิจฉาเกิดขึ้น ขอให้ประพฤติเพื่อความรู้ ให้มันเกิดขึ้นในจิตในใจ อย่าเป็นไอ้พวกขี้สงสัย ไอ้พวกจังไรหนักแผ่นดิน นะลูกเอ๊ยหลานเอย

= รวมคำสอน “หลวงปู่ทองดี อนีโฆ” (พระพิศาลญาณวงศ์)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=49194

= ประวัติและปฏิปทา “หลวงปู่ทองดี อนีโฆ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=45116

= ประมวลภาพ “หลวงปู่ทองดี อนีโฆ” วัดใหม่ปลายห้วย
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=49172
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 36 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร