วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 06:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 95, 96, 97, 98, 99, 100, 101, 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2010, 04:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมได้ติดตามเทปบรรยายและหนังสือขออาจารย์มาหลายปีและได้พิมพ์แจกเป็น ธรรมทานไปหลายครั้ง
ตอนนี้ผมมีปัญหาอยากจะรบกวนสอบถามอาจารย์ดังนี้
1) ถ้าผมจะบวชในระหว่างเข้าพรรษานี้จะได้หรือไม่ (เพราะเคยได้ยินได้ฟังมาเขาว่าไม่ดี)
เพราะว่าช่วงนี้ผมมีเวลาว่างพอดีนะครับ (กย.-ตค. 53)
2) จากข้อ 1 ถ้าบวชได้ผมอยากไปบวชกับวัดที่สอนกรรมฐานด้วยและอยู่บริเวณใกล้ๆบ้านเกิดที่ จ.เชียงราย
ขอรบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำวัดดังกล่าวให้ด้วยครับ

ขอขอบคุณอาจารย์สนองมากครับ

คำตอบ

(๑). พุทธศาสนามิได้สอนให้เชื่อฤกษ์ยาม และการทำความดีไม่ขึ้นกับวันเวลา ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหามีโอกาสเปิดให้บวชเป็นภิกษุได้เมื่อใด จงบวชตามวันเวลาที่สะดวกเถิด พระพุทธโคดมมิได้กำหนดว่า บุคคลจะบวชเป็นภิกษุในระหว่างพรรษาไม่ได้

(๒). วัดแพร่ธรรมาราม อยู่ไม่ห่างจากสถานีรถไฟเด่นชัยเท่าใดนัก ที่นั่นเหมาะที่จะบวชและปฏิบัติธรรม ในรูปแบบของวัดหนองป่าพง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2010, 04:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรียน อาจารย์ที่เคารพ

หนูรบกวนเรียนถามดังนี้ค่ะ

หนูได้เข้ารับกรรมฐานจากวัดมหาธาตุ เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2551 และได้ไปปฎิบัติธรรมเป็นระยะๆ ในช่วงแรก 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ 2 ปีหลังก็เริ่มลดน้อยลง ปัญหาก็คือ หนูไม่เคยได้สัมผัสถึงสมาธิเลยสักครั้ง เพราะทุกครั้งที่ไปปฎิบัติ ไม่ว่าจะเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิทุกวินาทีที่หลับตาและก้าวย่าง ความคิดต่างๆ ทั้งเรื่องครอบครัว เรื่องที่ทำงานมันพุ่งเข้ามาในความคิดหนูเหมือนลูกธนูที่ยิงมาจากกองทัพทหาร แม้แต่สวดมนต์ สมองส่วนหนึ่งและปากก็สวดมนต์ แต่สมองอีกหลายๆ ส่วนก็คิดอีกหลายเรื่อง อาจารย์ค่ะหนูอยากมีสมาธิ อยากมีสติ หนูควรปฎิบัติอย่างไรค่ะ รบกวนอาจารย์แนะนำหนูด้วยนะคะ

กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ

ผู้ที่ศึกษามาทางโลกเข้าใจว่า สมองมีหน้าที่คิด แต่ผู้ที่เข้าถึงธรรมในพุทธศาสนา รู้ว่าจิตหรือใจเป็นสิ่งที่มีหน้าที่รู้ คิด นึก ดังนั้นการพัฒนาจิตให้มีสติ เท่ากับเป็นการจำกัดการรู้ คิด นึก ของจิต ให้อยู่กับปัจจุบันขณะ เมื่อใดที่จิตจดจ่ออยู่กับอิริยาบถที่เป็นปัจจุบัน จิตย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิโดยอัตโนมัติ จิตจะจดจ่อ (สติ) อยู่กับปัจจุบันได้ ต้องมีศีลบริสุทธิ์ มีศีลอยู่ครบ คุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น แล้วจิตจึงจะตั้งมั่นเป็นสมาธิ นี่คือสิ่งที่ผู้มีประสบการณ์ชี้แนะให้ทำ เมื่อใดผู้ถามปัญหาเอาศีลในลักษณะดังกล่าว คุมใจได้แล้ว สมาธิย่อมเกิดขึ้นแน่นอน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2010, 04:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้ฟ้าอายุ 20 ปี แต่ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อยากจะให้อาจารย์ช่วยบอกวิธีการเลิกรับขันธ์
ช่วงวัยเด็กๆจนเติบโตมาเรื่อยๆ ก็ชอบแนวๆนี้ ชอบอ่านหนังสือธรรมะ ทำบุญ
แต่ด้วยความที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ มีคนแนะนำว่ารับขันธ์จากเทพพระอุมา แล้วจะประสบผลสำเร็จ
พอ 19-20 ปี ฟ้าก้อมานั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรมภาวนา และอ่านหนังสือของอ.สนอง

โลกของฟ้าก้อค่อยๆเปลี่ยนไป

ฟ้าจะเอาขันธ์ที่รับมาบูชาไปไว้ที่ไหน ? ต้องบอกกล่าวอะไร ทำอะไร ก่อนหลังหรือไม่ค่ะ ?
เพราะบางคนบอกว่าถ้าจู่ๆ เอาขันธ์ไปลอยน้ำ หรือฝากไว้กับเจ้าอาวาสทันทีที่ยังไม่ได้ทำบุญ
เขา/วิญญาณจะโกรธเรามาก..จริงหรือค่ะ ????

ปล.เดือนหน้า(ตุลาคม ' 53) ไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าสุนันฯ ยังไงอยากทำเรื่องนี้ให้เสร็จก่อนจะไปถือศีล ภาวนาค่ะ

คำตอบ

เมื่อบอกรับขัน (ขันใส่ดอกไม้) ได้ ก็บอกเลิกได้ ด้วยการสวดมนต์บทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วบอกยกเลิกขันที่รับมาแล้ว กับเทวดาที่คุ้มรักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นนำขันไปวางไว้ที่โคนไม้ แล้วหันมาปฏิบัติธรรม ด้วยการเอาศีล เอาสัจจะ มาคุมใจ เร่งความเพียรปฏิบัติธรรม โอกาสที่จิตจะตั้งมั่นเป็นสมาธิและเกิดปัญญาเห็นแจ้ง ย่อมเกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2010, 04:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ใดทำผิดศีล แม้เพียงข้อเดียว หรือ เผลอไป มีโอกาสเข้าสมาธิ ระดับ 3 ได้หรือไม่อย่างไรครับ

ขอบคุณครับ

คำตอบ

เคยประพฤติทุศีล แล้วระลึกได้ว่าเป็นการกระทำไม่ดี ควรไปสารภาพผิดต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วหยุดประพฤติผิดศีลอีกต่อไป จากนั้นลงมือปฏิบัติสมถภาวนา โดยมีสัจจะและความเพียรสนับสนุน จิตจึงจะมีโอกาสพัฒนาให้เข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ (อัปปนาสมาธิ) ได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2010, 04:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันขอรบกวนเรียนถามเรื่องเกี่ยวกับการรับพระราหู ว่าเกี่ยวข้องกับดวงชะตาของเราหรือไม่ คือมีเพื่อนที่ทำงานได้ดูดวงลูกสาว แล้วบอกว่าต้องทำพิธีรับพระราหูในเดือนเกิด ถ้าไม่ทำจะมีเรื่องร้ายๆ เข้ามาหาลูก( ลูกสาวนับถือคริสต์) ดิฉันก็วิตกกังวลมาก แต่ดิฉันได้เคยเข้าปฎิบัติธรรม ที่บ้านคุณแม่สิริ มาแล้ว 3 ครั้ง ดิฉันได้สวดมนต์และนั่งสมาธิก่อนนอนทุกคืน และได้แผ่เมตตาให้ลูกทุกครั้ง พอมีเรื่องพระราหู ดิฉันก็ตั้งจิตอธิฐาน ขอให้บุญกุศลที่ดิฉันได้เข้าปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จงปกป้องคุ้มครองลูกให้แคล้วคลาดจากสิ่งชั่วร้าย และอันตรายทั้งปวง ซึ่งดิฉันเชื่อว่าความรัก ความปราถนาดีของแม่ จะต้องปกป้องคุ้มครองลูกได้

ดิฉันขอเรียนถามว่า
1 พระราหูเกียวข้องกับพระพุทธศาสนาหรือไม่

2 ดิฉันควรจะเชื่อในเรื่องพระราหูหรือไม่

3 เราควรต้องเชื่อคำทำนายทางโหราศาสตร์หรือไม่(ดูดวงตามตำรา)

4 ลูกสาวเป็นคนที่อัตตาสูง จนถึงดื้อรั้น(เรียนมหาวิทยาลัย ป.ตรี) เรียนเก่ง ทำอย่างไร
จะทำให้ลูกมีอารมณ์ที่อ่อนโยน ลดอัตตาลง

5 ดิฉันปรารถนาให้ทุกคนในครอบครัวดิฉัน(สามีและบุตร)ได้เข้าปฎิบัติธรรม เหมือนดิฉันเพื่อสร้างบุญกุศล เป็นการเตรียมเสบียงเพื่อการ เดินทางไปภพหน้าที่เราไม่รู้ว่าจะไปที่ใด

ขอขอบพระคุณอาจารย์มากที่สุด ตั้งแต่กลับจากไปปฎิบัติธรรมดิฉันจะชอบฟังธรรมะ บรรยายมาก โดยเฉพาะของอาจารย์ เปิดฟังทางอินเทอร์เนต สามีและลูกๆก็ฟังด้วย ทีวีเลิกดูแล้วคะ จิตใจเยือกเย็นมากเลยคะ สามีก็ชอบฟังธรรมะ บางครั้งดิฉันก็จะอ่านหนังสือธรรมะให้ฟังคิดว่าสามีคงได้บุญ กุศลมากเช่นกัน
กราบขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ


คำตอบ

(๑). หากคำว่า “ พระราหู ” หมายถึง เทวดาที่เป็นยักษ์ ยังมีความข้องเกี่ยวกับพุทธศาสนาได้ แต่ไม่มีอำนาจเหนือจิตของผู้มีธรรมวินัยในพุทธศาสนา พระพุทธโคดมจึงไม่แนะนำให้พุทธบริษัท เอาพระราหูมาเป็นที่พึ่งที่เคารพกราบไหว้บูชา

(๒). จะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องพระราหู เป็นสิทธิ์ของผู้ถามปัญหา แต่หากผู้ใดพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเข้าถึงสมาธิระดับฌานได้แล้ว ถอนจิตออกฌาน แล้วอธิษฐานขอเห็นเทวดาที่มีชื่อสมมุติว่าพระราหู ความสมปรารถนาจึงมีโอกาสเกิดขึ้น

(๓). พระพุทธโคดม มิได้สอนให้ภิกษุเอาจิตเข้าไปข้องเกี่ยวอยู่กับเดรัจฉานวิชา (โหราศาสตร์) ผู้ใดเชื่อพระพุทธะ แล้วปฏิบัติธรรมให้ถูกตรง ผู้นั้นมีโอกาสเข้าถึงอริยธรรมได้

(๔). การศึกษาเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ทางโลก (สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา) เป็นเหตุให้อัตตา หรือตัวตน หรือความเห็นแก่ตัวเกิดขึ้น ยิ่งมีความรู้ทางโลกสูงขึ้น ความเห็นแก่ตัวย่อมใหญ่ขึ้นเป็นเงาตามความรู้ที่เพิ่ม ผู้ใดประสงค์ลดความเห็นแก่ตัว ต้องประพฤติจริยธรรมที่ตนเกี่ยวข้อง อาทิ จริยธรรมการเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ จริยธรรมการเป็นศิษย์ที่ดีของครู จริยธรรมการเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ ฯลฯ เมื่อประพฤติได้แล้ว สิ่งดีงามในจริยธรรมย่อมกลบฝังอัตตา หรือความเห็นแก่ตัวไว้ในจิตใต้สำนึก มิให้แสดงออกเป็นพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนาของผู้อยู่รอบข้าง

(๕). เมื่อใดที่ผู้ถามปัญหาพัฒนาตนเอง จนกระทั่งการคิด การพูด และการกระทำ แสดงออกเป็นพฤติกรรมดีงามได้แล้ว สมาชิกในครอบครัวย่อมศรัทธา นำตัวเข้าใกล้พูดคุยไต่ถาม และขอคำชี้แนะได้ก่อนแล้ว เมื่อนั้นผู้ถามปัญหา จึงจะสามารถสอนหรือบอกกล่าวให้คนในครอบครัวประพฤติตามที่ตนปรารถนาได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2010, 04:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตใช้เรียกแทนตัวเองว่าหนูนะคะ ในความเกรี้ยวกราดที่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียว ทำไห้ลูกฝังใจ และปฎิกริยาที่ทำกลับมามันช่างรุนแรงในจิตใจ และอยากจะตาย เผื่อให้ลูกของหนูได้พ้นทุกข์ที่มีแม่แบบนี้ที่ผ่านมา

ณ ปัจจุบันหนูพยามแก้ไข แต่ไม่รู้ว่า ทำกรรมอะไรไว้กับลูกรุนแรงขนาดไหน ดูแล้วมันช่างอยากที่จะประสานรอยร้าวระหว่างแม่กับลูก ลูกหนูเป็นคนดีนะค่ะ ส่วนตัวหนูก็เป็นดีค่ะ แต่ไม่รู้ทำไมหนูกับลูกพูดคุยกันทีไร เหมือนรถแกส กับ รถน้ำมันมาประสานงากัน แล้วลุกเป็นไฟเผาผลาญ จิตใจทั้งหนูและลูก ลูกไม่เคยบอก แต่หนูก็รู้ว่าลูกก็คงมีความรู้สึกไม่แตกต่างกัน คือไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้ ทั้งหนูและลูกจิตใจกำลังย่ำแย่ แต่หนูยังมีวุฒิภาวะและสภาวจิตที่ยังรับมือกับสภาพที่หัวใจแตกสลาย แต่ลูกของหนูเค้าคงทุกข์ใจแสนสาหัสกว่าหนูหลายร้อยเท่า ที่เค้าทำให้หนูร้องให้ โดยการใช้คำที่รุนแรง ซึ่งเค้าเองไม่ได้ต้องการให้เป็นอย่างนี้ เพราะมนุษย์เราในโลกนื้ มีแต่แม่เท่านั้นที่จะเป็นมิตรแท้ และเป็นผู้ปกป้อง คุ้มครองให้ลูกปลอดภัย แต่หนูกับลูกกลับเป็นศัตรูกันโดยไม่ได้เจตนา และหนูก็เชือ่ว่าลูกคงรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน เมื่อหลายครั้งที่ผ่านมา หนูและลูกมีโอกาสปรับสภาวจิตได้พูดคุยกันหนูได้พูดอ้อมๆ ให้เค้าได้เข้ามาคุยกับท่านอาจารย์ เค้าก็เคยเข้ามาในเว็บของชมรม และเคยพูดว่าถ้าเค้าได้กลับเมืองไทยเค้าจะไปช่วยร่วมทำกิจกรรมของชมรม และเค้าคิดจะเรียนทางด้านจิตวิทยา และถ้าเค้ามาศึกษาทางด้านพุธศาสนาควบคู่ไปด้วย หนูคิดว่า เค้าคงสามารถรักษาบาดแผลในจิตใจในชาติปัจจุบันได้เอง หรือหลุดพ้นจากกรรมเก่าที่หนูและลูกทำกันมาแต่ปางก่อน นั้นก็คือ การดับทุกข์ด้วยตัวเองใช่ไหมค่ะ แต่ในขณะนี้ลูกหนูไม่มีที่สิ่งนำทาง ไม่มีกำลังใจ ไม่มีใครที่เค้าจะเปิดอกคุยด้วย หรือแม้แต่หนูก็ไม่มีบุญบารมีที่จะเป็นกัลยาณมิตรให้เค้าได้ เพราะวันนี้หนูกับลูกได้ประสานงากันอย่างแรง หนูจึงส่งข้อความมา ขอทานบารมีจากท่านอาจารย์ ให้ช่วยชี้แนะ และวิเคราะห์ชี้ทางสว่าง ให้สภาวจิตลูกของหนูฟื้นตัว กอ่นที่สีขาวขุ่นๆจะกลายเป็นดำสนิทเกินกว่าจะแก้ไข

เค้าเคยอ่านหนังสือของท่านอาจารย์ เรื่องตายแล้วไปไหน และเล่มอื่นๆอีกหลายเล่ม และเค้าเคยบอกว่าเค้าหัดนั่งทำสมาธิด้วย แต่ก็ทำไม่เป็นไม่เข้าใจในขั้นตอน และตอนนี้หนูไม่รู้เค้ายังพยายามทำอยู่หรือเปล่า หนูไม่รู้ว่าจะจบข้อความนี้อย่างไร ถ้าส่วนไหนหนูเขียนไม่เหมาะสม หนูกราบขออภัยด้วยนะค่ะและรอการชี้แนะจากการวิเคาะห์ของท่านอาจารย์ค่ะ
หนูขอให้ท่านอาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงยิ่งๆขึ้นนะค่ะ
ด้วยความเคารพอย่างสูง


คำตอบ

คนดี คือ คนที่มีศีล มีธรรม คุ้มครองใจ คนดีมีพฤติกรรม คิด พูด ทำ ไม่ทำร้ายตนเองและผู้อื่น คนดีมีอารมณ์สงบเย็น คือให้อภัยในทุกสิ่งที่เป็นเหตุขัดใจ ฯลฯ เหล่านี้เรียกว่า คนดี ฉะนั้นถึงถามตนเองว่า เรามีลักษณะดังที่กล่าวไว้หรือไม่ หากมีพฤติกรรมตรงกันข้าม เมื่อรถแกสกับรถน้ำมันโคจรมาพบกัน ย่อมมีโอกาสประสานงากัน ดังนั้นหากผู้ถามปัญหา ปรารถนามิให้การโต้แย้งโต้เถียงระหว่างแม่กับลูกเกิดขึ้น ทุกครั้งที่มีเหตุขัดใจเกิดขึ้น ต้องอดทน และสงบกาย วาจา ใจ ด้วยการให้อภัยเป็นทาน แล้วคุณธรรมตัวที่เรียกว่า เมตตา จะเกิดขึ้น และถูกเก็บสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณของผู้ถามปัญหา เป็นเมตตาบารมี เมื่อใดควบคุมพฤติกรรมได้เช่นนี้ ก็เป็นที่หวังได้ว่า ชีวิตหน้าไม่ต้องลงไปเกิดในอบายภูมิ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2010, 04:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมได้ติดตามผลงานของท่าน ดร สนอง มาตั้งแต่ปี พศ 2549 ทั้งทางหนังสือ และทางเวปไซด์ชื่นชอบและมีความศรัทธามากครับ ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวเองก่อนครับ

ชื่อ นายไกรสีห์ อายุ 44 ปี
สถานะ หย่า
(ภรรยาผมติดเชื้อ เอช ไอ วี แต่ผมกับลูกไม่ติดครับ)
การศึกษา ปริญญาตรี ส่งเสริมการเกษตร ปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตร์
(เรียนไม่จบเพราะเรียนไปด้วย และต้องเลี้ยงดูบุตรและแม่ด้วยครับ)
อาชีพ ว่างงาน
(ก่อนหน้านี้เคยเป็นผู้จัดการทรัพยากรบุคคลของโรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัด ภูเก็ต)

หลังจากที่ถูกเลิกจ้าง ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2553 และได้กลายสถานะเป็นผู้ตกงานทันที ลำบากมากครับ มีภาระต้องเลี้ยงดูบุตรชาย อายุ 6 ขวบหนึ่งคนและแม่อายุ 70 ปี บ้านก็ต้องเช่าเพราะไม่มีทรัพย์สินอะไรครับ พยายามหางานใหม่ก็หายากมากครับเพราะอายุมากแล้ว มีหลายที่เรียกไปสัมภาษณ์แต่ก็เงียบไปหลังสัมภาษณ์ คิดจะลงทุนค้าขายแต่ก็ต้องคิดหนักและต้องคิดหลายรอบมากเพราะของขายยากมาก และถ้าลงทุนไปแล้วขายไม่ได้ เงินเก็บก็หมด ยิ่งทำให้ยากลำบากกว่าเดิม เห็นตัวอย่างห้องที่อยู่ติดกันเขาขายของกิน ชากาแฟ ขายยากมากครับได้วันละไม่เกิน 500 บาท ค่าเช่าตึกเดือนละ 8,000 บาทเลยทีเดียว

ผมมีคำถามอยากถามท่าน อาจารย์ ดร สนอง ดังนี้ครับ
1) ชาติก่อนกระผมคงไม่ได้ทำบุญสะสมมามากเท่าไหร่ใช่ไหม๊ครับ ชาตินี้จึงต้องลำบากมากขาดเงินทองที่จะเลี้ยงกาย แถมต้องทำให้คนที่เรารักพลอยลำบากไปอีกด้วยอีก รวมถึงการศึกษาด้วยครับพยายามแล้วแต่เจอแต่อุปสรรคมากครับ กระผมจะต้องทำอย่างไรบ้างครับจึงพอจะเพิ่มบุญและลดความทุกข์ลงไปได้บ้างครับ

2) ถ้าผมจะบวชได้ไหม๊ครับ (ผมเคยบวชมาแล้วตอนอายุ ยี่สิบสอง)โดยส่งลูกชายกลับไปอยู่กับแม่เขา ซึ่งแต่งงานใหม่ไปแล้ว (เขามีทรัพย์สมบัติรวมทั้งสวนยางพาราพอสมควรและผมแน่ใจได้ว่าลูกไม่อดแน่) และส่งแม่กลับไปอยู่กับน้องสาวโดยกระผมจะเอาเงินเก็บที่มีอยู่บ้างไม่มากให้ เขาไว้ใช้ ส่วนตัวผมไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ แต่ก็อดเป็นห่วงลูกชายซึ่งต้องไปอยู่กับพ่อเลี้ยงไม่ได้

3) ข้อสุดท้ายครับท่านอาจารย์ พอจะแนะนำอะไรไห้ผมได้บ้างครับ เพื่อให้ทุกอย่างมีทางออกโดยแม่และลูกชายไม่ต้องพลัดพรากจากกันครับ

ขอแสดงความนับถืออย่างสูง


คำตอบ

(๑). คนรวยทรัพย์ได้ ต้องให้ทรัพย์เป็นทาน คนมีศีล ๕ คุมใจย่อมมีโภคทรัพย์ คนมีดวงดีไม่ตกงาน ต้องประพฤติทาน ศีล ภาวนา อยู่เสมอ คนมีเงินเก็บต้องบริโภคใช้สอยมักน้อย บริโภคใช้สอยแต่สิ่งที่เป็นสาระกับชีวิต

(๒). สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม บุคคลมีชีวิตเป็นของตัวเอง ผู้รู้ไม่มีสิทธิ์เข้าไปก้าวล่วง ฉะนั้นผู้ถามปัญหาต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2010, 04:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเพิ่งเริ่มสนใจปฏิบัติธรรม เช่น สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม ฟังธรรมจาก ผู้รู้ธรรม จากพระสงฆ์ แต่ส่วนใหญ่ จะฟังจาก ซีดี เพราะฟังขณะขับรถ ผมมีความเชื่อว่า บุญ บาปมีจริง เวร กรรมมีจริง ผมได้ตั้งปณิธานไว้กับตัวเองและเพื่อนร่วมงาน ว่า ผมจะนำ ศีล ห้า มาปฏิบัติในชีวิตประจำวันให้ครบ จากการฟังธรรม ทราบว่าถ้ารักษาศีล ห้า ไม่บกพร่อง ไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต มีโอกาสจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์

อาจารย์ฯครับถึงแม้ความทุกข์จะมีมากเหลือเกินในโลกมนุษย์ แต่ผมก็อยากเกิดมาเป็นมนุษย์ และต้องการบวชเรียนตั้งแต่เป็นเณร ศึกษาพระธรรม ตามหลักพระพุทธศาสนา เพื่อถ่ายทอดให้กับเพื่อนมนุษย์ อาจารย์ฯครับชาติหน้าผมก็ไม่แน่ใจว่าจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์อีก ผมก็เลยต้องรีบทำบุญ ทำทาน ถือศีล ภาวนา เพราะผมเคยทำให้ แม่ และ พ่อ เสียใจ เมื่อครั้งที่ผมเป็นวัยรุ่น แม่ผมร้องไห้เสียใจเพราะผมแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว เช่น โยนถ้วยจานข้าวทิ้งต่อหน้าแม่ โยนวิทยุทิ้งต่อหน้าแม่ ตั้งแต่ผมเรียนจบปริญญาตรีจนถึงปัจจุบัน ผมปฏิบัติตัวเป็นลูกที่ดีมีความกตัญญู มาตลอด ผมมีความรู้สึกได้ว่า แม่และพ่อ มีความภูมิใจในตัวผมพอสมควร ที่ไม่เกเร มีหน้าที่การงานที่มั่นคง แต่พ่อผมเสียชีวิตแล้วตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย 49

ขออภัยนะครับอาจารย์ฯที่เล่ายาวไปหน่อย ผมมีคำถามดังนี้ครับ

1. อายุประมาณชั้นประถมฯ ผมเคยเห็นวิญญาน และเห็นพร้อมกับน้องสาว เวลากลางคืน ลักษณะคือไม่มีท้าว เคลื่อนไหวลักษณะลอย ไม่ได้เดินเหมือนมนุษย์เรา รูปร่างการแต่งกายเห็นชัดเจน เวลานั้น ผมและน้อง ตะโกนเรียกพ่อว่ามีคนเข้ามาในห้อง ผมและน้องเล่าลักษณะการแต่งกาย คนที่เราเห็นให้พ่อฟัง พ่อก็นิ่งไปชั่วขณะ แล้วก็บอก ผมกับน้อง ว่าเป็นการแต่งกายของย่า (แม่ของพ่อ) แล้วพ่อก็มองขึ้นไปที่ขื่อบ้าน บนขื่อมีกระดูกของย่าที่พ่อไปนำมาจากวัดเก็บไว้ เพื่อรอวันจะทำบุญให้ย่า ลักษณะเช่นนี้ย่าผมน่าจะรับผลบุญได้แล้วใช่ไหมครับ

2. หลังจากพ่อผมเสียชีวิตเดือน พ.ย .49 เดือน ธ.ค 49 ผมจุดธูปกลางแจ้งเวลากลางคืน บอกพ่อว่า คืนนี้ผมจะสวดมนต์ ให้พ่อมานั่งสวดมนต์ด้วยกัน ประมาณเที่ยงคืนผมมีความรู้สึกว่ามีคนมานั่งอยู่ข้างๆผม ทางขวา แต่ก็ไม่กล้าหันไปมอง ช่วงนั้นผมขนหัวลุก ขนลุกไปทั้งตัว ผมกลัวก็เลยต้องสวดมนต์เสียงดังๆ สวดจนเกือบหมดเล่ม ประมาณตีสอง ผมเหนื่อย และง่วง ผมล้มตัวนอนตรงที่สวดมนต์ แต่ไม่กล้าปิดไฟ ไม่ถึง ห้านาที

บ้านไหว เหมือนคนเดินด้วยปลายท้าว เดินสองรอบ ต่อจากนั้นผมได้ยินเสียงการปูเสื่อ สองครั้ง ในห้องนอนของพ่อ ซึ่งไม่มีใครนอน ผมรู้เลยว่าพ่อมาจริง ผมนอนไม่หลับ เลยต้องนอนนับ หนึ่ง สอง...ไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าหลับไปช่วงใด บ้านผมเป็นบ้านไม้สองชั้น ผมนั่งสวดมนต์อยู่ชั้นสองคนเดียว พ่อผมเคยสอนว่า เดินบนบ้านอย่าเดินลงส้นท้าว และการเดินของพ่อผมบนพื้นบ้านทุกครั้ง เมื่อครั้งมีชีวิต บ้านก็จะไหว

เวลากลางคืน วันทำบุญครบ 100 วัน ผมตั้งกองผ้าป่าได้เงินถวายวัด แสนกว่าบาท และสร้างพระพุทธรูปปางประทานพร หน้าตัก 49 นิ้ว ถวายวัด มีคนเห็นพ่อผมยืนยิ้มอยู่บนบ้านหันหน้ามายังบริเวณงาน ลักษณะเช่นนี้พ่อผมได้รับผลบุญแล้วหรือไม่ครับอาจารย์

3. ช่วงวัยรุ่นผมเคยไป หาปลา จับกบจับเขียด การจับเขียดผมจะมีความชำนาญมากไม่ค่อยพลาด จับได้ผมก็จะหักขาใส้ข้องไว้ ทุกวันนี้ผมมีปัญหาที่ข้อท้าวและข้อเข่า วิ่งไม่ได้ การหาปลาครั้งหนึ่งผมกับพ่อช่วยกัน คือ พ่อผมทอดแห ในลำคลอง ผมกับพ่อดำน้ำลงไปกดตีนแหไว้ ป้องกันไมให้ปลาออก และก็คลำๆหาปลา ถ้าจับปลาได้ก็หักคอ แล้วก็โยนขึ้นบนบก จำได้ว่าประมาณ 100 ตัว ที่ผมหักคอ อาจารย์ครับ ทุกวันนี้ผมมีอาการปวดคอ ปวดหัว ปวดไหล่ ปวดเอว ไปหาหมอรักษาก็ไม่หาย เวลาปวดที่ไรนึกเห็นภาพที่ผมหักคอปลาทุกที กรรมตามทันใช่ไหมครับ ผมจะชดใช้กรรมไปอีกนานไหมครับอาจารย์

อาจารย์จะตอบหรือไม่ก็ไม่เป็นไร ผมก็จะฟังธรรมที่อาจารย์บรรยาย จากซีดี

กราบขอบพระคุณอาจารย์มากครับ



คำตอบ

(๑). ย่าจะรับผลบุญได้ ต้องมีผู้อุทิศบุญให้ และท่านต้องมาอนุโมทนาบุญ

(๒). พ่อได้รับผลบุญได้ต่อเมื่อ มีญาติอุทิศบุญให้ท่าน

(๓). ผู้ใดประพฤติเหตุที่เป็นอกุศลกรรมไว้ก่อน เมื่อกรรมให้ผลเป็นอกุศลวิบาก ผู้ทำเหตุไว้ก่อนเสวยอาการปวดต่างๆเหล่านั้น จนกว่าเจ้ากรรมนายเวรเลิกจองเวร ผู้ใดประสงค์ให้หนี้เวรกรรมหมดไป ต้องประพฤติบุญใหญ่ (ปฏิบัติธรรม) แล้วอุทิศบุญใหญ่ใช้หนี้ เมื่อเขาเลิกจองเวร อาการปวดดังกล่าวจึงจะหายไปได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2010, 04:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้ผมมีคำถามจะมาถามท่านอาจารย์ครับ ผมยังค้างคาใจเรื่องเพศที่สามครับ จึงอยากถามคำถามดังนี้ครับ

1. ที่อาจารย์บอกว่า ไม่สามารถบรรลุโลกุตรธรรมได้ แต่การที่ต้องได้เกิดมาเป็นเพศที่สาม ก็เพราะทุศีลข้อที่สาม แล้วถ้ากรณีเช่นนี้ บุคคลที่เคยทุศีลข้ออื่นๆ ก็ต้องไม่สามารถบรรลุโลกุตรธรรมได้เช่นกันสิครับ

2. ที่อาจารย์บอกว่า สามารถบบรลุได้แต่โลกิยธรรม นั้น หมายถึง ยังสามารถเข้าฌานได้ ยังสามารถมีคุณวิเศษห้าอย่างได้ รวมไปถึงไปเกิดสูงสุดในพรหมได้ ใช่ไหมครับ

3. แล้วการที่คนเพศที่สาม อย่างเกย์ กระเทย จะไปปฏิบัติธรรมด้วยการบวชเป็นพระ จะสมควรไหมครับ หรือทำได้มากแค่บวชพราหมณ์ นุ่งขาวห่มขาว

4. เราไม่มีวิธีอื่นๆที่จะแก้ไข ข้อที่ไม่สามารถบรรลุโลกุตรธรรมได้จริงเหรอครับ หากบุคคลเพศที่สามไม่ปรารถนาจะมารับทุกข์อีก อย่างการเกิดมาเป็นมนุษย์อีกแล้ว กรณีศึกษาในสมัยพุทธกาลยังจะพอมีไหมครับ

5. แล้วกรณีที่เพศที่สาม ที่เข้ารับการบำบัดรักษาทางจิตวิทยาให้หายแล้ว สามารถกลับมาบรรลุโลกุตรธรรมได้ไหมครับ

รบกวนอาจารย์ด้วยนะครับ ตอนนี้รู้สึกทุกข์ใจมาก ไม่รู้จะทำเช่นไรดี

ขอบคุณล่วงหน้าครับ

คำตอบ

(๑). ผู้ใดประพฤติทุศีล และชดใช้หนี้เวรกรรมจนหมดแล้วเมื่อใด ผู้นั้นจึงจะสามารถพัฒนาจิตจนเข้าถึงโลกุตตรธรรมได้

(๒). บรรลุโลกิยธรรมเบื้องต้นได้ แต่ไม่สามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงความทรงฌานได้

(๓). ถ้าถือเคร่งครัดตามวินัยที่พระพุทธโคดมบัญญัติไว้ กระเทยไม่สามารถบวชเป็นภิกษุได้

(๔). สิริมาและอัมพปาลี หยุดประกอบอาชีพโสเภณีอย่างเด็ดขาด แล้วหันมาประพฤติทาน ศีล ภาวนา ยังสามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงความเป็นอริยบุคคลได้

(๕). ผู้ที่บำบัดอาการวิปริตทางจิตจนหายเด็ดขาดแล้ว สามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงอริยธรรมได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2010, 04:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ด้วยความเคารพเลื่อมใสในตัวของคุณพ่อ ในคำสอนของคุณพ่อ ลูกจึงขอเรียกแทนตัวเองว่าลูกนะครับ คุณพ่อครับ ตอนนี้ลูกอายุ 23 ปีมีหน้าที่การงานดี ชีวิตที่ผ่านมาของลูก เต็มไปด้วยบาป
ลูกไม่มีหิริโอตัปปะ เพราะลูกสงสัยในโลกหลังความตาย กล่าวคือลูกไม่แน่ใจว่ามีจริงหรือไม่
ลูกจึงนึกถึงแต่ความสุขที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น (แต่ก็ไม่ได้เป็นคนเลวเสียทีเดียว)

แต่ตอนนี้ จากคำสอนของคุณพ่อ ทำให้ลูกเชื่อว่าโลกหลังความตายมีจริง และ ลูกกำลังจะหาทางพิสูจน์ให้เห็นจริง ด้วยตัวของลูกเอง ผ่านคำสอนของคุณพ่อ และการบรรยายของคุณพ่อ

คุณพ่อครับ ลูกทำผิดศีลข้อ กาเมฯ กับหญิงคนหนึ่ง เธอมีสามี และ ลูกแล้ว เพราะสามีของเธอทำเหมือนไม่ได้รักเธอแล้ว คือเขาไปมีหญิงอื่น ลูกไม่เคยกลัวบาป เพราะคิดว่าได้ทำให้เธอมีความสุข จนกระทั่งตอนนี้เธอเสียชีวิตแล้ว ลูกจึงได้เข้าใจหัวใจของตนเองว่า แท้ที่จริงแล้ว ลูกรักเธอเพียงใด การสูญเสียครั้งนี้ ทำให้ลูกกลัวกับการที่จะต้องมีความรัก และ สูญเสียคนที่รักไปอีก ลูกไม่อยากเสียใจอีกแล้ว ลูกอยากช่วยเธอผู้ล่วงลับให้พ้นทุกข์ จะเป็นไปได้หรือไม่ครับ

ทุกวันนี้ จากที่ไม่เคยสวดมนต์ก่อนนอน ลูกทำทุกวัน จากที่ไม่เคยทำบุญ ลูกทำเมื่อมีโอกาสเสมอ
เพราะเป็นห่วงเธอ คุณแม่ของเธอก็แนะนำให้ลูกหาการบรรยายของคุณพ่อมาฟัง
ลูกอยากถามในกรณีส่วนตัวของลูกด้วยครับ

1. กรรมของเธอที่ลูกเป็นผู้ร่วมก่อ ลูกขอรับไว้เองทั้งหมดได้หรือไม่ ถ้าได้ต้องทำอย่างไรครับ

2. เรื่องปิดอบายภูมิ ถ้าหากลูกมีบุญพอที่จะทำได้ ลูกจะช่วยให้เธอ บิดา มารดาของลูก และคนอื่นๆ ปิดอบายภูมิได้หรือไม่ อย่างไรครับ ( ทั้งที่ได้ล่วงลับไปแล้ว และ ยังมีชีวิตอยู่)

ลูกพอมีคำตอบในใจบ้างแล้ว แต่อยากกราบขอคุณพ่อ ช่วยไขข้อข้องใจเพื่อให้ลูกสิ้นสงสัยด้วยครับ ยิ่งลูกศึกษาจากคำสอนผ่านการสนทนาธรรมของคุณพ่อเท่าไหร่ ลูกยิ่งเห็นว่าสิ่งที่ลูกพึงกระทำคือ ปล่อยวาง และเข้าใจว่าสัตว์โลกเป็นไปตามกรรม ลูกจึงมาคิดต่อว่า นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ชีวิตของลูก ได้เข้ามาพยายามศึกษาธรรมะ ทั้งที่ ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ไม่มีเคยมีความคิดเหล่านี้เลย

สุดท้ายนี้ ขอคุณพ่อ และ ทีมงานกัลยาณธรรม จงมีแต่ความสุขความเจริญ มีสุขภาพแข็งแรง เพื่อจะได้ช่วยให้ผู้ที่หลงทางได้พบกับสิ่งที่ เป็นความสุข ความสงบอย่างแท้จริง

ด้วยความเคารพ

คำตอบ

ผู้ใดปฏิบัติสมถภาวนา จนจิตเข้าถึงความทรงฌานได้แล้ว เมื่อถอนจิตออกจากความทรงฌาน ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ย่อมรู้ เห็น เข้าใจว่าชีวิตดำเนินเวียนตาย-เวียนเกิด มานับภพชาติไม่รู้จบ

ผู้ที่อยู่หลัง ประพฤติตนให้มีบุญ แล้วอุทิศบุญให้ผู้ล่วงลับ หากเขามาอนุโมทนาบุญได้ เขาย่อมได้รับบุญนั้น

(๑). เป็นกรรมที่สองคนต้องรับผลของกรรมร่วมกัน

(๒). ไม่มีใครช่วยใครได้ เขาต้องช่วยตัวเอง ดังที่พระพุทธโคดมได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง พระพุทธะไม่สามารถช่วยพระเทวฑัต (พี่ภรรยา) ไม่สามารถช่วยพระเจ้าสุปปพุทธะ (พ่อตา) ให้พ้นจากนรกได้ จึงปล่อยวางเป็นอุเบกขา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2010, 13:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมขอกราบเรียนขออภัยท่านอาจารย์ก่อนทีจะถามคำถามนี้ เพราะผมไม่เคยเห็นมีใครจะสนใจถามคำถามนี้ในที่อื่นใดเลย ผมเกรงว่าผมจะเป็นเหมือนคนโง่หรือคนที่มาลองภูมิท่านอาจารย์ แต่หามิได้ผมไม่เคยคิดจะลบหลู่ท่านอาจารย์แต่ประการใดเลย หากเป็นคำถามที่ไร้สาระท่านอาจารย์งดที่จะไม่ตอบก็ได้นะครับ ผมได้ยินชื่อเสียงท่านอาจารย์มาก่อนแต่เพื่งจะไปฟังการบรรยายธรรมของท่าน เมื่อเสาร์ที่ 18 กันยายน นี้ ที่โรงปูนซิเมนท์ไทย บางซื่อ

ผมก็นึกอยากจะถามคำถามนี้กับอาจารย์ ณ ที่ประชุมนั้น แต่ผมไม่กล้า ผมจึงแอบเก็บมาถามในวันนี้ คำถามของผมมีอยู่ว่า อันว่าดวงวิญญานที่อยู่ในกายมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายนี้ เกิดมาแต่ไหน และเกิดมาได้อย่างไร ? และผมเคยได้ยินหรืออ่านพบมาว่า มนุษย์ทุกคนในที่สุดก็จะได้เข้านิพพานหมดทุกคน อาจารย์พอจะเห็นด้วยไหมครับ ผมขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง มา ณ ที่นี้ด้วย ขอให้ท่านอาจารย์จงมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและอายุยืนยาวที่ช่วยเหลือตนเอง ได้ตลอดไปนะครับ

ขอแสดงความเคารพอย่างสูง
ทองใหญ่

คำตอบ

สิ่งที่ไม่ควรคิด (อจินไตย) ที่พระพุทธโคดมไม่ทรงตอบสี่อย่าง ได้แก่
๑. วิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย (พุทธวิสัย)
๒. วิสัยแห่งฌาน (ฌานวิสัย)
๓. วิบากของกรรม (กรรมวิบาก)
๔. ความคิดเรื่องโลก (โลกจินตา)

ดังนั้นสิ่งที่ถามไป คือ ดวงวิญญาณของมนุษย์และสัตว์เกิดมาแต่ไหน เป็นอจินไตย ขออภัยไม่ตอบ
ที่ถามไปว่า เกิดได้อย่างไร
ตอบว่า : เกิดได้เพราะแรงผลักของกรรมที่ทำสั่งสมไว้ในดวงจิตเป็นต้นเหตุ อาทิ
ความหลง เป็นเหตุผลักดันจิตวิญญาณให้ไปเกิดเป็น สัตว์เดรัจฉาน
ความโลภ เป็นเหตุผลักดันจิตวิญญาณให้ไปเกิดเป็น สัตว์อสุรกาย
ความโกรธ เป็นเหตุผลักดันจิตวิญญาณให้ไปเกิดเป็น สัตว์นรก

ศีล ๕ เป็นเหตุผลักดันจิตวิญญาณให้ไปเกิดเป็น สัตว์มนุษย์

ทานและศีล หรือ กุศลกรรมบท ๑๐ เป็นเหตุผลักดันจิตวิญญาณให้ไปเกิดเป็น สัตว์เทวดาในสวรรค์

ฌาน เป็นเหตุผลักดันจิตวิญญาณให้ไปเกิดเป็น สัตว์พรหม อยู่ในพรหมโลก

อ่านหนังสือแล้วพบว่า “ มนุษย์ทุกคน ในที่สุดจะได้เข้านิพพานทุกคน ” เป็นความเห็นของผู้เขียนหนังสือ แต่ผู้ทรงความสัพพัญญูรู้ว่า มนุษย์เปรียบได้กับบัว ๔ เหล่า บัวเหล่าที่ ๑-๓ เท่านั้นที่สามารถพัฒนาจิตจนเข้าถึงพระนิพพานได้ ผู้ตอบปัญหามิได้ปลงใจเชื่อตามหลักกาลามสูตร แต่ได้ไปพัฒนาจิตตามแนวสติปัฏฐาน ๔ จึงรู้ว่า มนุษย์ทุกคนไม่สามารถเข้านิพพานได้ เว้นไว้แต่บัวเหล่าที่ ๑-๓ เท่านั้น ที่พัฒนาจิตแล้วสามารถเข้าสู่พระนิพพานได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2010, 13:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเรียนถามปัญหาดังนี้

ทุกวันนี้ได้พัฒนาจิต ด้วยการปฏิบัติวิปัสนา ตามที่ได้รับการอบรมสั่งสอน จากพระอาจารย์วีระนนท์ วีระนันโท เจ้าอาวาสวัดป่าเจริญราช คลอง 11 ปทุมธานี ด้วยการเดินและนั่งสลับกันตามเวลาและโอกาสจะอำนวย แต่พยายามรักษาสมดุลของการนั่งและการเดิน ถ้านั่งจะนั่งขัดเพชรสูงสุดได้ 1 ชั่วโมง มองเห็นพองยุบชัดเจน ถ้าเผลอก็จะสามารถเรียนสติกลับมาได้เร็วขึ้น เวลาเดินสติก็จะอยู่ที่เท้ามองเห็นการยก การย่าง การเหยียบ ถ้าเผลอก็จะเรียนสติกลับมาได้เช่นกัน แต่มีปัญหาว่าบางครั้งรู้สึกได้ว่าจิตเกิดดับ ๆ ๆ เร็วและมากมาย ตลอดเวลา จึงอยากจะทราบว่ามีวิธีตรวจสอบได้อย่างไรว่าสิ่งที่เรารู้เกิดจากปัญญา หรือเกิดจาก
ความรู้ที่ได้ยินได้ฟังครูบาอาจารย์สอนมากันแน่

ขอกราบขอบพระคุณในความเมตตา


คำตอบ

ผู้ใดปฏิบัติสมถภาวนา แล้วจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) แล้วนำจิตไปพัฒนา (วิปัสสนาภาวนา) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ย่อมรู้เห็นเข้าคำสอนของผู้อื่นได้ว่า ถูกหรือผิดไปจากธรรมวินัยในพุทธศาสนา .... สัจจธรรมพิสูจน์ได้ตามแนวนี้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2010, 13:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผี คือ อะไร
หนูมีอวิชชาอยู่มากค่ะเกี่ยวกับความเข้าใจเรื่องผี คือเมื่อใดถ้าหนูต้องอยู่ในที่มืดแล้ว จะมีมโนภาพเห็นแต่สิ่งหน้ากลัวคนตาย

หนูอยากถามว่า ผี ที่แท้คืออะไร (ความหมายทางธรรม) หนูอยากเข้าใจให้ถูก และจะได้เลิกกลัวหากรู้ว่าแท้จริงแล้ว ผี คืออะไร มีความสามารถแค่ไหน และเราควรทำอย่างไรหากเผชิญในขณะที่สติยังไม่เข้มแข็งพอ หนูปฏิบัติแนวอานานปานสติ ของท่านพุทธทาสท่านไม่เอ่ยถึงเรื่องแนวนี้เลย เราเลยไม่ได้คำตอบที่แท้ เลยจัดการกับใจไม่ถูกบอกความจริงให้จิตรู้ในสิ่งแท้จริงไม่ได้เลย ยังกลัวมาก

อยากรบกวนถามเป็นข้อนะคะเพื่อจะได้ตอบง่าย
1. ผี มีจริง หรือไม่
2. ถ้ามี ผีทำร้ายคนได้หรือไม่
3. ถ้าเราเผชิญหน้ากับผีเราจะต้องทำอย่างไร หากสติเรายังอ่อนอยู่
4. มีวิธีฝึกให้เลิกกลัวได้หรือไม่ หนูไม่อยากกลัว เพราะดูเหมือนเรื่องไร้สาระที่ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติ แต่จิตมันฝังใจมากเมื่ออยู่ในที่มืดแล้วเป็นทุกครั้ง ฝึกสู้กับความรู้สึกนี้แล้วนอนคนเดียวตอนไปปฏิบัติธรรม ยังไม่มีคำตอบให้จิตเลยยังกลัวอยู่มากค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ


คำตอบ

คำว่า “ ผี ” หมายถึง สภาวะของจิตวิญญาณที่มองไม่เห็น แต่เชื่อกันว่าอาจปรากฏเป็นรูปนามหยาบให้ระบบประสาทสัมผัสได้ และให้คุณให้โทษกับมนุษย์ได้

ในทางธรรม “ ผี ” หมายถึง สัมภเวสี ที่ยังไม่ไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในภพใดๆของวัฏฏะ เมื่อใดที่ผู้ถามปัญหาพัฒนาจิตให้มีกำลังของสติกล้าแข็ง และมีปัญญาเห็นถูกตามธรรมได้แล้ว จะไม่กลัวผีอีกต่อไป (หากมีโอกาสโปรดอ่าน ทางสายเอก ของผู้เขียน)

(๑). ผี (สัมภเวสี) มีจริง

(๒). ผู้ใดสติกล้าแข็งและรู้จริงเรื่องผี ย่อมไม่ถูกผีทำร้าย

(๓). ผู้มีสติอ่อนแก้ปัญหากลัวผี ด้วยการเปิดไฟฟ้าให้มีแสงสว่างแล้ว ผีย่อมหายไป

(๔). ต้องฝึกปฏิบัติธรรม ให้ได้ผลตามแบบที่ผู้ตอบปัญหาเขียนไว้ในหนังสือ ทางสายเอก

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2010, 13:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อาจารย์ค่ะ คุณพ่อหนู ได้ถูกรถชนที่หน้าร้านดาวคะนอง จ.ลำพูน เมื่อ 28 ส.ค. 53 และท่านได้เสียชีวิตลงที่ รพ.ลำพูน 29 ส.ค. 53 หนูมีคำถามมาปรึกษาอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1. คุณพ่อหนู เป็นสัมภเวสี ใช่ไหมค่ะ แล้ว หนูจะทำอย่างที่พอจะช่วยท่านได้บ้าง แล้วเราจะทราบได้อย่างไร ว่าท่านจะหมดอายุขัยเมื่อใด (ปัจจุบันหนู ปฏิบัติธรรมอยู่ที่บ้าน และจะลาพักร้อนไปปฏิบัติที่วัดตาลเอน วัดอัมพวันหรือ ยุวพุทธฯ ตามแต่โอกาสจะเอื้ออำนวยค่ะ) ไม่นานมานี้ รุ่นน้องมาค้างเป็นเพื่อนที่บ้าน ได้เห็น ลักษณะคล้ายคุณพ่อมายืนที่หน้าบ้านค่ะ น้องเขามั่นใจว่าไม่ใช่คนแน่ๆ หนูเลยอธิฐานบอกเจ้าที่หรือเทวดาที่ปกปักษ์รักษาบ้านหนูอยู่ หากเป็นคุณพ่อจริงๆให้คุณพ่อเข้ามาอยู่ในบ้านได้ จะได้ ไม่ร้อน หนาวหรือเปียก หนูทำถูกไหมค่ะ แต่แล้วก็ทำให้หนู กลัว ไม่กล้าอยู่บ้านคนเดียวอีกค่ะ

2. นอกจากการเสียชีวิตด้วย อุบัติเหตุแล้ว การเสียชีวิต อย่างใดอีกที่จะทำให้เป็น สัมภเวสีค่ะ

3. ได้อ่านที่อาจารย์ตอบคำถามหลายท่านในเรื่อง สัมภเวสีแล้ว แต่ยังสงสัย(กลัว) ว่า สัมภเวสี สามารถปรากฏให้เห็นหรือสื่อสารกับเราได้หรือไหมค่ะ คือ ขณะนี้หนู กลัวจนจิตไม่เป็นสมาธิ ปฏิบัติธรรมได้บ้างไม่ได้บ้าง หนูกำหนด กลัวหนอๆๆๆ คิดหนอๆๆ ก็ยังไม่นิ่งค่ะ จึงลืมตาแล้ว เดินจงกรม บางครั้งก็กังวลใจ วุ่นวายใจ หนูจะแก้ไข อย่างไรดีค่ะ

ขอบคุณอาจารย์ดร. สนอง ที่เมตตาตอบคำถามหนูค่ะ



คำตอบ

(๑). ผู้ที่ตายก่อนครบอายุขัย ต้องเปรียบสภาพจากรูปกายหยาบ ไปเป็นรูปนามละเอียดที่เรียกว่า สัมภเวสี ตรงกันข้ามผู้ที่ตายตามอายุขัยกำหนด ต้องไปเกิดในรูปใหม่เป็นสัตว์ (รูปนาม) อยู่ในภพใดภพหนึ่งของวัฏฏะ ตามกรรมที่ทำไว้เป็นเหตุ

ขออนุญาตเจ้าที่ให้สัมภเวสีเข้าบริเวณบ้านได้ เป็นการกระทำที่สมควร แต่สมควรยิ่งกว่า หากได้ทำบุญ (บุญกิริยาวัตถุ ๑๐) แล้วอุทิศบุญให้กับสัมภเวสี

(๒). คำว่า “ อุบัติเหตุ ” หมายถึง เหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด ซึ่งเป็นผลมาจากอดีตของผู้ตาย ประพฤติกรรมตัดรอนมาก่อน เช่น ฆ่าสัตว์ สร้างเครื่องมือทำลายชีวิตของผู้อื่น ดื่มสุรา ฯลฯ

(๓). ผู้ใดปฏิบัติสมถภาวนา แล้วปรารถนาให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ต้องเอาศีลที่ ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย ลงคุมให้ถึงใจ แล้วจึงนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรมข้างต้น โดยมีสัจจะ มีความเพียร และไม่สงสัยในคำชี้แนะของครูบาอาจารย์ผู้เข้าถึงธรรมมาก่อน โอกาสจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิและเกิดความรู้แจ้งในสรรพสิ่ง เช่น กลัวผี กลัวตาย กลัวยากจน กลัวไม่สบาย ฯลฯ จะไม่เกิดขึ้น .... พิสูจน์ไหม?

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2010, 13:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กราบเรียนท่านอาจารย์สนองที่เคารพ ผมมีปัญหาซึ่งเป็นความทุกข์ทางใจ ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยผมด้วยครับ ความทุกข์ของผมก็คือ เมื่อปีเศษมานี้แม่ผมได้ถึงแก่ความตายลง ขณะนั้นท่านอายุ ๙๑ ปี หลายท่านอาจเห็นว่าท่านอายุมากแล้วคงจะหมดอายุ แต่มันมีเหตุให้ผมเสียใจและจิตใจเศร้าหมองมาตลอดว่าผมทำให้แม่ตายหรือไม่ กล่าวคือ ก่อนตายแม่มีอาการเจ็บปวดจากการมีแผลกดทับ แต่ผมและพี่ๆไม่ได้เอาแม่ไปโรงพยาบาล เพราะผมไปเชื่อหมอที่รับมาดูและรักษาอาการว่าไม่ต้องเอาไปโรงพยาบาลหรอก เพราะแม่อาการหนักคงอยู่ได้ไม่นาน และหากเอาไปโรงพยาบาลหมอจะขูดแผลกดทับทำให้เจ็บปวดมาก และจะมีการใส่สายยางต่างๆทำให้ได้รับความทรมานแสนสาหัส ควรปล่อยให้แม่จากไปเองที่บ้าน ซึ่งผมก็เชื่อ แต่แม่มีอาการทรุดลงเรื่อยๆ พี่สาวและพี่สะใภ้จึงไปรับหมออนามัยมาดูอาการ หมอให้รีบเอาไปโรงพยาบาล พี่สาวและพี่สะใภ้จะเอาไปโรงพยาบาล แต่พี่ๆอีกหลายคนก็คัดค้าน บอกว่าอยากให้แม่ตายที่บ้าน ไม่ใช่ที่โรงพยาบาล ผมกลับมาบ้านตอนเย็น พี่สาวให้ผมตัดสินใจ ผมก็ตกลงให้เอาไปโรงพยาบาล แต่พี่ๆบางคนยังคงคัดค้าน และแสดงความเบื่อหน่ายที่จะต้องไปนอนเฝ้าแม่ ต่างอยากให้แม่ไปเสียเร็วๆ ผมเลยใจเขว ได้โทรศัพท์ไปถามหมอคนเดิมอีกครั้ง หมอยังคงยืนยันอย่างเดิมว่าไม่ควรเอาไป ผมเห็นว่าหมอคนนี้เป็นแพทย์ที่ใหญ่กว่าหมออนามัย น่าเชื่อถือกว่า เลยตัดสินใจไม่เอาแม่ไปโรงพยาบาล และนึกดีใจที่จะได้ไม่ต้องขัดแย้งกับพี่ๆอีกหลายคน แต่นั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด เพราะแม่อาการทรุดลงเรื่อยๆ ผมเปิดอินเตอร์เน็ตดูวิธีดูแลผู้ป่วยแผลกดทับ เขาบอกให้พลิกตัวบ่อยๆ เลยตกลงกับพี่สาวที่ดูแลแม่ว่าให้พลิกตัวแม่ตอนเที่ยงคืน แต่การณ์กลับเลวร้ายลง เพราะการพลิกตัวทำให้แม่หายใจไม่ออก ซึ่งผมก็ไม่ทราบ คิดว่าแม่ใกล้จะตายเอง พี่สาวเรียกผมไปนั่งดูใจ ผมดูจนกระทั่งแม่หมดลมต่อหน้าต่อตาผม ทำให้ผมรู้สึกผิด และเศร้าหมองใจเสียใจมาโดยตลอด เพราะผมรักแม่มากแต่กลับไม่ได้ปฏิบัติต่อแม่ให้ดีที่สุด ผมจึงขอถามดังนี้

๑. แม่ตายเพราะความผิดของผม หรือว่าแม่ถึงคราวจะต้องตายเอง แล้วผมมีความผิดบาปมากน้อยแค่ไหนครับ จะไถ่โทษได้อย่างไร (จนถึงทุกวันนี้ผมยังคงทำบุญอุทิศให้แม่เสมอมา)

๒. การที่คนเราทุกคนถึงแก่ความตายเพราะผู้นั้นถึงคราวจะต้องตายหรือไม่ อย่างกรณีของแม่ ถึงผมจะพาแม่ไปโรงพยาบาล แม่ก็ยังคงถึงแก่ความตายอยู่ดี เป็นเช่นนั้นหรือไม่

๓. ทำอย่างไรจิตใจผมจึงจะหายหม่นหมองครับ

ขอให้อาจารย์ตอบและให้กำลังใจด้วยครับ

คำตอบ

กมฺมุนา วตฺตตีโลโก แปลว่า สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม

(๑). เกิด-แก่-ตาย เป็นกฎธรรมชาติที่ไม่มีใครผู้ใดแม้แต่พระพุทธเจ้า ยังไม่สามารถเลี่ยงกฎนี้ได้ ดังนั้นเมื่อพระอัญญาโกณฑัญญะ (ปฐมสาวก) พระมหาโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้าย) มาทูลขออนุญาตเข้านิพพาน พระพุทธเจ้ามิได้ทรงทักท้วง แต่ทรงอนุญาตให้เข้านิพพานได้ ส่วนพระมหาปชาบดีภิกษุณี (ผู้เลี้ยงดูเจ้าชายสิทธัตถะ) มาทูลลาเข้านิพพาน พระพุทธเจ้าตรัสว่า กาลฺชานาหิ โคตมี (จงรู้เวลาเถิดท่านโคตมี) แล้วมีบัญชาให้แสดงฤทธิ์ให้มวลชนดู เพื่อเป็นการบอกให้รู้ว่า สตรีเพศสามารถพัฒนาจิตจนมีฤทธิ์ได้ พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวา) มาทูลลาเข้านิพพาน พระพุทธเจ้ามิได้ทรงทักท้วง แต่ทรงตรัสถามว่า แล้วเธอจะไปนิพพานที่ไหน พระสารีบุตรกล่าวตอบว่า “ ที่บ้านเกิด ” หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้เข้านิพพานได้

(๒). เป็นเช่นนั้นครับ

(๓). ผู้ใดประสงค์มิให้จิตเศร้าหมอง พึงดูพระอริยสาวกเป็นตัวอย่าง แล้วพัฒนาจิตให้เข้าถึงธรรมแม้เพียงขั้นต้น เป็นพระโสดาบันที่ตายเกิดอีกไม่เกินเจ็ดชาติ ยังมีความทุกข์เหลือน้อยเท่าขี้ฝุ่นติดปลายเล็บ เมื่อเทียบกับความทุกข์ที่กำจัดได้แล้ว เหมือนขี้ฝุ่นที่หลงเหลืออยู่ในพื้นปฐพี .... พิสูจน์แล้วจริงครับ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 95, 96, 97, 98, 99, 100, 101, 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 22 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร