วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 22:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2010, 20:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ส.ค. 2010, 10:40
โพสต์: 3

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: เราเคยได้อ่านว่าศีล5 เป็นศีลของมนุษ์ ถ้าอยากเกิดเป็นมนุษย์อีก ต้องรักษา ศีล5ไว้ และได้อ่านอุปไมยของพุทธองค์ ที่ว่ามีมหาสมุทรกว้างใหญ่สุดประมาณ ในมหาสมุทรนั้นยังมีเต่าตาบอดอยู่ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ทุกกีปีก็จำไม่ได้ เต่าตัวนั้นจะโผล่หัวขึ้นมาหายใจสักครั้งหนึ้ง ถ้าเราโยนห่วงขนาดไม่ใหญ่นักลงไปห่วงหนึงบนผิวน้ำ ห่วงนั้นถูกลมใต้พัดให้ลอยไปทางทิศเหนือ ถูกลมเหนือพัดให้ลอยกลับมาทางทิศใต้ สลับกันไปมา โอกาสที่เต่าตัวนั้นโผล่ขึ้นมาหายใจ โดยที่หัวโผล่ขึ้นมากลางห่วง โอกาสที่เกิดขึ้นแสนยากนี้ คือโอกาสที่สัตว์จะกลับมาจุติเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง
.......ได้ฟังอย่างนี้ก็ชื่นชมมนุษย์มีศีล แต่มีข้อสงสัยอยู่ว่าปัจจุบันมนุษย์มีศีลธรรมกันน้อยลง แต่ทำไมมนุษย์ยังเกิดมากกว่าตาย และประชากรโลกก็ยังคงเพิ่มขึ้นทุกปี....เจริญในธรรม/ธรรมทาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2010, 21:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1010

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มนุษย์ = มนะ + อุษย์

มนุษย์ มาจากคำว่า มนะ หรือ มโน ซึ่งแปลว่า ใจ นำไปสนธิกับคำว่า อุษย์ อุษา ซึ่งแปลว่า สูง สว่าง เหมือนแสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ :b39: :b46: :b53: :b41:

มนุษย์ จึงแปลว่า ผู้มีใจสูง ใจสว่าง คือผู้รักษาศีล ๕ (มนุษย์มนุษโส)

ข้อสงสัยของคุณธรรมทาน จึงมีคำตอบอยู่แล้วในความหมายของคำว่ามนุษย์ครับ เนื่องเพราะสิ่งที่เกิดมามากกว่าตาย และยังเพิ่มขึ้นมากทุกปีนั้น ส่วนหนึ่ง (ซึ่งเข้าใจว่ามีจำนวนมากทีเดียว) นั้นเรียกว่าคน ยังไม่เรียกว่ามนุษย์นะครับ

จะสังเกตเห็นว่า คนมากขึ้นทุกปี แต่มนุษย์น้อยลงทุกวัน อาจจะเป็นเพราะปัจจุบันเราฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารมากขึ้น สัตว์เหล่านั้นเลยเกิดมาเป็นคนมากขึ้น และยังติดความคุ้นชินเดิมๆของภพภูมิเดรัจฉานผู้มีอกขนานพื้น คือ มีความเผลอเหม่อ สมาธิสั้น ซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นมากในเด็กยุคนี้

เจริญในธรรมครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2010, 22:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1010

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อยครับ

ในคติทางพุทธ เราแบ่งภพภูมิเป็น ๓๑ ภพภูมิ {อบายภูมิ ๔ (สัตว์นรก (นิรยภูมิ), เปรต (เปตติวิสยภูมิ) , อสุรกาย (อสุรกายภูมิ), สัตว์เดียรัจฉาน (ติรัจฉานภูมิ)) มนุษยภูมิ ๑, เทวภูมิ ๖, รูปาวาจรภูมิ (รูปพรหม) ๑๖, และอรูปาวาจรภูมิ (อรูปพรหม) ๔} ไม่นับรวมโลกุตรภูมิอีก ๔ (โสดาบัน, สกทาคามี, อนาคามี, อรหันต์) เนื่องจากเป็นภูมิที่พ้นโลกไปแล้ว :b53: :b51: :b46:

ถ้าเทียบกันแล้ว ภพภูมิต่างๆก็คือระดับขั้นของการพัฒนาการทางจิตนะครับ และเป็นระดับขั้นของการพัฒนาการทางความสุขด้วย เริ่มตั้งแต่สุขติดลบ คือทุกข์ในนรก จนถึงสุขติดบวกในสวรรค์และพรหม และสูงสุดที่ความสุขขั้นสมบูรณ์คือ โลกุตรสุข ซึ่งในทางพุทธศาสนานั้น มีคำอธิบายถึงภพภูมิต่างๆหลังการจุติ (ตาย) และปฏิสนธิ (ไปเกิด) ในภพภูมินั้นๆ ที่ปรากฏในพระไตรปิฎกและตำรารุ่นหลังเช่นอรรถกาถาหรือวิสุทธิมรรคอย่างพิสดาร เช่น มีสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร น่ากลัวหรือสวยงามเพียงไหน ซึ่งผมเองก็จนด้วยเกล้าและจนด้วยปัญญาหรืออิทธิฤทธิ์ที่จะไปรู้ไปเห็นเพื่อมาเล่าสู่กันฟังได้

แต่เราๆท่านๆเองก็สามารถมีอิทฤทธิ์เข้าไปรู้เห็นและรู้สึกถึงสภาพภพภูมิต่างๆ โดยการสังเกตประสบการณ์ที่ปรากฏในชีวิตประจำวันได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ของเราโดยตรงทั้งๆที่ยังเป็นคนอยู่นี่แหละครับ ซึ่งแต่ละภพภูมิที่เราเข้าไปอยู่นั้น จะมีระดับของความสุขความทุกข์เช่นเดียวกับภพภูมิที่กล่าวมา โดยเราแบ่งภพภูมิอื่นๆที่สามารถพบในภาวะที่เป็นคนได้ดังนี้ครับ :b41: :b39:

1. บางวันทำความชั่วผิดศีลข้อ ๑ เช่น โดนขับรถปาดหน้า หงุดหงิด โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง จิตใจรุ่มร้อน :b33: :b33: อยากจะเข้าไปปาดหน้าคืน หรือทำร้ายเขา หรือยิงเขาตาย :b34: :b34: จิตที่ร้อนรุ่มด้วยพยาบาททำให้กลายเป็นสัตว์นรก หรือมนุษยสัตวนรก (มนุสสนิรยิโก) ไป :b33:

2. บางวันทำชั่วผิดศีลข้อ ๒ หรือข้อ ๓ มีความโลภครอบงำจิตใจ เห็นของคนอื่นหรือภรรยาสามีผู้อื่นแล้วอยากได้ ไม่อิ่มไม่พอในความต้องการ จิตที่อยากได้ในขณะนั้นจะร้อนรุ่ม กระวนกระวาย จ้องโขมยของของเขากลายเป็นจิตของอสุรกายไป :b22: :b23:

หรือบางวันมีจิตที่คิดกลัวคนอื่นจะมาแย่งของๆเรา เช่น เห็นเพื่อนบ้านลำบากแล้วกลัวเขาจะมาขอความช่วยเหลือ ก็อาจจะต้องทนลำบากในอนาคตเมื่อเพื่อนรู้นิสัยและไม่ช่วยเหลือเราบ้างในยามเมื่อเราขาดแคลน กลายเป็นเปรตขอส่วนบุญไปทั้งๆที่ร่างกายยังเป็นมนุษย์ เป็น มนุษย์เปรต (มนุสสเปโต) ไป :b6: :b6:

(มีต่อครับ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2010, 22:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1010

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


3. บางวันความโง่เข้าครอบงำ เกิดโมหะในจิต คิดแต่จะเบียดเบียนผู้อื่น ทำอะไรไม่คิดถึงความเดือดร้อนของคนรอบข้างเหมือนสัตว์เดรัจฉาน ซักวันก็จะต้องถูกผู้ที่ไม่ชอบใจตะเพิดไล่หรือทุบตีทำร้ายเหมือนสุนัขข้างถนนตัวหนึ่งทั้งๆที่กายยังเป็นคน หรือเหม่อลอย ขาดสติ สมาธิสั้น หลงไปวันๆ หรือผิดศีลข้อ ๕ จนขาดสติ เมาเหมือน xxx จนต้องคลานเอาอกขนานพื้น กลายร่างไปเป็นมนุษย์สัตว์เดรัจฉาน (มนุสสติรัจฉาโน) :b23: :b10: :b6: :b30:

4. บางวัน ไม่ทำผิดศีล มีสติแจ่มใส ปัญญาสมบูรณ์ ไม่อิจฉาพยาบาท ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่โง่ ไม่หลง มีน้ำใจยิ้มแย้มแจ่มใสกับผู้คนรอบข้าง เป็นผู้มีใจสว่าง ใจสูง ใจงาม สมกับเป็นมนุษย์แท้ (มนุสสมนุสโส) :b39: :b46: :b53: :b41:

5. บางวัน จิตมีความละอายใจและเกรงกลัวต่อบาป (หิริ - โอตตัปปะ) ทำบุณทำทาน รักษาศีลภาวนา จิตที่เป็นกุศลทั้งๆที่ร่างกายยังเป็นมนุษย์นี้ เรียกว่า มนุษย์เทวดา (มนุสสเทโว) :b12:

6. บางวันถือศีลทำสมาธิ จนจิตตั้งมั่นสงบสุขจนถึงฌานขั้นต่างๆ กลายเป็นพรหมทั้งๆที่ร่างกายยังเป็นมนุษย์ เรียกว่า มนุษย์พรหม (มนุสสพรหมา) :b1:

7. หรือถ้าปฏิบัติธรรมจนบรรลุมรรคผล ดับกิเลส ตัณหา ราคะ โทสะ โมหะ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นในระดับขั้นแรก คือโสดาบัน หรือขั้นต่อๆมาจนถึงอรหันต์ ถ้ายังไม่ดับขันธ์ไป ก็จะมีกายเป็นมนุษย์ แต่ใจเป็นอริยะ เรียกว่า มนุษย์อริยะ (มนุสสอริยโก) :b8:

(มีต่ออีกหน่อยครับ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2010, 23:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1010

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นมั้ยครับ เรามีอิทฤทธิ์ที่สามารถข้ามภพภูมิในชาตินี้โดยให้เป็นเทวดาก็ได้ เป็นเปรตอสุรกายก็ได้ แล้วแต่สภาพจิตในขณะนั้นๆว่าเป็นอย่างไร :b33: :b2: :b6: :b5: :b1: :b16: :b12:

โดยการเปลี่ยนภพภูมิของเรานั้น บางทีไม่จำเป็นต้องกลับมาเป็นมนุษย์ก่อนเพื่อเปลี่ยนภพภูมิ เช่น ถ้าผิดลูกผิดเมียเขา ตอนแรกอาจจะเป็นเทวดาขึ้นสวรรค์ชั้นนิมานรดี ซึ่งเป็นภูมิแห่งเทพผู้ยินดีในการนิรมิต โดยเฉพาะกามราคะ :b22: แต่แล้วก็อาจจะตกนรกทันทีถ้าถูกจับได้คาเตียง :b34:

หรือบางครั้งซื้อหุ้นแล้วหุ้นขึ้นเอา ขึ้นเอา กลายเป็นเทวดาอยู่ชั้นดุสิต ซึ่งเป็นภูมิแห่งเทพผู้เอิบอิ่มด้วยสิริสมบัติของตน :b36: :b37: :b4: แต่แล้วเกิดข่าวลือปล่อยในตลาด ทำให้หุ้นตกระเนระนาด จากเทวดาในชั้นดุสิต จิตดิ่งลงตามดัชนีหุ้นตกลงมาอยู่ในภูมิของเปรต คือเกิดความหวงแหนทรัพย์ที่กำลังสูญสียไป :b5: :b10: จากเทวดากลายเป็นเปรตในชั่วข้ามชั่วโมง อย่างนี้เป็นต้นนะครับ

ยกเว้นอยู่ภพภูมิเดียว ที่ในทางพุทธไม่นิยมนับเข้ามารวมกับกามาวาจรภูมิ (คือภูมิที่ยังบริโภคกามอยู่ ได้แก่ อบายภูมิ มนุษย์ภูมิ และเทวภูมิ) รูปาวาจรภูมิ และอรูปาวาจรภูมิ นั่นคือ โลกุตรภูมิ ที่เป็นเหมือนการเดินหน้าทางเดียว ไม่เหลียววกกลับมาในภูมิที่ต่ำกว่าแล้ว เพราะเป็นภูมิที่พ้นโลก เข้าสู่ภาวะสุดท้ายคือ จิตเป็นอิสระและสุขอย่างสมบูรณ์เนื่องจากไม่ถูกผูกมัดด้วยกิเลสใดๆ จนสุดท้ายไม่เหลือแม้กระทั่งตัวจิตเองให้วกไปภูมิไหนได้อีก :b8: :b41:

ดังนั้น ท่านถึงกล่าวว่า การเกิดมาในภูมิมนุษย์นั้นประเสริฐที่สุด เพราะมีหลากหลายสภาวะที่เกิดขึ้นในจิตใจให้ได้เรียนรู้จากของจริงจนสามารถหลุดพ้นได้

แต่ถึงแม้การได้เกิดมาในภูมิมนุษย์นั้นว่ายากแล้ว การเกิดมาในที่ๆมีพุทธศาสนาดำรงอยู่นั้นยิ่งยากขึ้นไปอีก เปรียบเสมือนการโผล่ขึ้นมาหายใจกลางมหาสมุทรของเต่าลงในกลางวงห่วงพอดีตามที่คุณธรรมทานโพสมา ซึ่งโดยมากเราๆท่านๆน่าจะโผล่มาในภพภูมิอื่น หรือโผล่มาในช่วงพุทธันดร คือว่างจากศาสนาพุทธ อีกนับพันนับแสนชาติ กว่าจะได้โอกาสอันดีในชาติปัจจุบัน

ดังนั้น ไม่ควรปล่อยเวลาในชาติปัจจุบันนี้ให้เสียเปล่าไปโดยไม่ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่ ปัจฉิมพุทธพจน์จึงทรงตรัสถึงเรื่องความไม่ประมาทไว้เป็นบทสุดท้าย เพราะชาติหน้าหรืออีกเมื่อไหร่ไม่มีใครทราบว่า เราๆท่านๆจะได้เกิดมาในภูมิมนุษย์ที่มีพระพุทธศาสนาดำรงอยู่อีกหรือไม่ อาจจะต้องเวียนว่ายกันอีกนานกว่าจะได้โอกาสอันดีเช่นนี้อีก ซึ่งอาจจะไม่ใช่ในอีก ๒๕๐๐ ปีที่เหลือนี้ก็ได้นะครับ

เจริญในธรรมครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2010, 00:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


อนุโมทนาค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2010, 22:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ส.ค. 2010, 10:40
โพสต์: 3

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณครับ ปัญหานี้เป็นปัญหาที่ผมตอบผู้ใต้บังคับบัญชาได้ไม่ชัดเจน ซึงไม่บ่อยนักที่เราจนต่อคำถามประเภทนี่ ถ้าเราตีความว่ามนุษย์คือคนทีมีจิตใจสูงและมีศีลธรรมทเท่านั้น คำตอบของคุณทำให้ผมเข้าใจ และหาทางออกได้แล้ว /ขอบคูรอีกครั้ง...ธรรมทาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2010, 21:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ส.ค. 2010, 17:46
โพสต์: 9

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue อนุโมทนาค่ะ อ่านแล้วคิดได้เยอะเลย

.....................................................
...ชีวิตนี้น้อยนัก...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2010, 19:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขอเสริมคุณวิสุทธิปาละ ครับ

ผัสสะ> เวทนา> ตัณหา> อุปาทาน> ภพ
เมื่อมีผัสสะ ทุกคราว จะเห็นว่า เรามีภพในใจทันที (ใจมันสร้างภพขึ้นมา)
ภพนี้อาจจะเป็น เทวดา เปรต อสุรกาย มนุษย์ เปลี่ยนไปเรื่อยตลอดวัน ตลอดเวลา เอาแน่ไม่ได้
ภพเราเปลี่ยนไปทุกครั้งที่ผัสสะ
เพราะฉะนั้น คนที่จะตายไป ย่อมบอกไม่ได้ว่าคนผู้นี้จะไปไหน นอกจากช่วงจิตสุดท้ายขณะตาย
ว่าสร้างภพอะไรขึ้น
คนที่สร้างความดีมาตลอดชีวิต ถ้าตอนตายจิตไปสร้างภพนรกขึ้น ตายไปขณะนั้นย่อมต้องตกนรก
เป็นไปได้

พระอรหันต์ ไม่มีตัณหา อุปาทาน จึงไม่มีภพ (ภพสิ้นแล้ว)
จึงรับ เฉพาะ ผัสสะ และเวทนา
ผัสสะ แล้วเวทนา ตลอดวัน ไม่มีภพ สำหรับพระอรหันต์อีกต่อไป
พระอรหันต์เสียชีวิต จึงไม่มีภพ ที่จะไปเกิดอีกต่อไป

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2010, 13:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2010, 16:40
โพสต์: 22

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตามความเข้าใจของผมที่ได้อ่านจากท่าน วิสุทธิปาละ,govit2552
ขอเสริมเรื่องการเกิด ว่าทำไมถึงเกิดได้เยอะนัก
ผู้ที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้นั้น ต้องประกอบด้วยบุญมากพอสมควร กับ ผู้ที่ว่างแล้วซึ่งบุญและบาป
จุดมุ่งหมายของการเกิดนั้นมีอยู่แล้วตามแรงกำหนดของจิต ยกตัวอย่าง

ผู้ที่สำเร็จโทษหมดสิ้นแล้วจากนรก เพื่อเกิดเป็นมนุษย์ มาสร้างกรรมดีและกรรมชั่วใหม่
ผู้ที่ใช้บุญจากสวรรค์หมดสิ้นแล้ว เพื่อเกิดเป็นมนุษย์ มาสร้างกรรมดีและกรรมชั่วใหม่
ผู้ที่บุญพร้อมและตั้งปณิธาน จากมหาบุรุษ มหาสตรี มาจุติเพื่อจุดประสงค์ ตอนรับบุคคลสำคัญ
ข้อนี้สมัยนี้จะลงมาจุติเยอะมาก

จาก 3 ตัวอย่างที่ยกมานั้น การเกิดขึ้น ผู้ที่เกิดมาย่อมระลึกชาติเดิมของตนเองไม่ได้(ส่วนน้อยที่ระลึกได้)
จะต้องผ่านด่านของกิเลสนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเกิดจาก นรก สวรรค์ เทพบุตร เทพธิดา
ผู้ที่หลง อยู่ซึ่งความสุข ต่างๆ มีกิเลสต่างๆ ย่อม ไปในทางนั้น หรือเรียกว่าลืม ภาระกิจทั้งตั้งมั่นแต่ก่อนจะเกิด บางคนคิดว่า ต่อไปจะไม่ทำแล้วบาป หลุดจากขุมนรกแล้ว
แต่มาเกิดใหม่ มันไม่สามารถระลึกชาติได้สิว่าได้เกิดมาแล้วจะไม่ทำบาปอีก จำไม่ได้แล้วว่าทุกข์คืออะไร
ได้แต่หลงมัวเมาอยู่แต่กับกิเลส ตัณหา ราคะ สุดท้ายก็ลงไปจุดเดิม แต่ผู้ที่คิดได้ ก็จะได้ไปจุดใหม่ตามแรงของการกระทำนั้นๆ
ขอย้ำว่า ไม่ว่าจะเกิดมาจากภพภูมิไหน มีสิทธิ์หลง ซึ่งกิเลสทั้งสิ้น
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ที่กล่าวว่าเกิดมากกว่าตาย ขอตอบว่า ผู้ที่รอพร้อมจะเกิดมีมากนัก ชดใช้กรรมหมดสิ้นก็ต้องมาเกิด ใช้บุญหมดสิ้นก็รอมาเกิด
และ ผู้ที่ต้องมาชดใช้กรรมตามแรงที่ได้จองเวรอีกนับไม่ถ้วน เหล่านี้ต้องอาศัยโลกมนุษย์ในการทำภารกิจกรรม

เหมือนที่ท่าน วิสุทธิปาละ ได้กล่าวไว้ โลกมนุษย์นี้ เปรียบเหมือน นรก สวรรค์ เป็นทั้งภพภูมิต่างๆ กำหนดแล้วด้วยใจของมนุษย์เอง

(ข้อคิดเห็นส่วนตัวครับ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2010, 14:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2009, 17:12
โพสต์: 246

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: อนุโมทนาสาธุ ผู้รู้ทุกท่านค่ะ
ได้ความรู้เยอะเลยค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2010, 21:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 13:34
โพสต์: 1654

งานอดิเรก: ฟังเพลง และฟังธรรมตามกาลเวลา
สิ่งที่ชื่นชอบ: อภัยทาน
อายุ: 39
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว




lotus272.jpg
lotus272.jpg [ 56.14 KiB | เปิดดู 6392 ครั้ง ]
เกิดเป็นมนุษย์นี้ยาก (พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร)


การเกิดเป็นมนุษย์นี้ ท่านว่ายากเย็นเหลือเกิน เหมือนกับ เต่าตนุตาบอดซึ่งจมอยู่ในท้องมหาสมุทร กว่าจะโผล่ขึ้นมาจากท้องมหาสมุทรนั้นมันแสนยากทั้งตาบอดเสียด้วย ไม่ทราบว่ากิ่งไม้หรือต้นขอนต่างๆ มันอยู่ที่ไหน เมื่อโผล่ขึ้นมาได้ ทั้งได้เกาะได้อาศัยไม้นับเป็นโชคลาภ

การเกิดเป็นมนุษย์นี้ยากแสนยากลำบากเหลือเกินเพราะกว่าจะเกิดได้ ภพชาติอื่นๆ มันมีมาก สัตว์น้ำก็นับอย่างไม่ได้ สัตว์ก็นับอย่างไม่ได้และเกิดง่ายสะดวกสบาย ไม่เหมือนมนุษย์เรา

มนุษย์จึงเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ ไม่ใช่สัตว์ธรรมดา เหตุใดจึงว่าประเสริฐ

พระพุทธเจ้าหรือเหล่าพระอรหันต์ปัจเจกพุทธเจ้าก็เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งนั้น ไม่ใช่เกิดเป็นอันอื่น ฉะนั้นจึงเรียกว่าเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ ควรชำระจิตใจของตัวให้ประเสริฐ ตามเยี่ยงอย่างที่พระพุทธเจ้าของเรา เคยกระทำบำเพ็ญมา ไมอย่างนั้นการเกิดของเราก็จะเป็นหมัน เป็นโมฆะ หาสาระอะไรไม่ได้

สัตว์เขาเกิดเขาตายเหมือนกับเรา แต่เขาไม่ประเสริฐก็เพราะเขาไม่ได้คิดในทางดีของเขา ตื่นมาก็หากิน อิ่มแล้วก็หลับนอน นี่เรื่องของสัตว์

ไม่ว่าสัตว์บ้าน สัตว์ป่าเป็นอย่างนั้น จะจำศีลอย่างไร จะภาวนาอย่างไร จิตใจของสัตว์ไม่เคยนึกคิดเรื่องเหล่านี้

แต่มนุษย์เราคนที่ประมาทเมินเฉย ก็ทำนองเดียวกับสัตว์ เพียงแต่กินแต่อยู่เท่านั้น ไม่ได้คิดกำจัดกิเลสตัณหา มานะ ทิฐิละชั่ว บำเพ็ญดี มีแต่แสวงหามาใส่ปากใส่ท้องของตัว แล้วก็หลับนอน ก็เพลิดเพลินกันไปตามเรื่องของกิเลสตัณหา

ไม่ได้คิดว่าการเกิดของตัวมันยากมันลำบาก กว่าจะได้เกิดแต่ละครั้งแต่ละหน เมื่อไม่คิดอย่างนี้ การสะสมคุณงามความดีอะไรมันก็ไม่อยากกระทำบำเพ็ญ เพราะเห็นว่าการเกิดไม่ยุ่งยากลำบากอะไร เพราะไม่ได้คิดถึงเหตุผลต้นปลายอะไร เพียงเกิดได้ก็ว่าตัวเกิด ตัวดีเท่านั้น ผลที่สุดตายไป

เมื่อไมได้ทำบุญสุนทาน เมื่อไมได้สร้างคุณงามความดีอะไรไว้ จิตใจเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา เต็มไปด้วยมานะทิฐิต่างๆ ไม่มีบุญกุศลส่วนใดที่จะสนับสนุนให้ไปเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทพบุตร เทพธิดาหรืออินทร์พรหมได้

มันก็ไปสู่อบาย คือทางชั่วทางเสีย อบายนั้นพวกเราท่านก็ได้ยินแต่ในตำรับตำราว่า มันทุกข์ มันยาก มันลำบาก มันรำคาญขนาดไหน อบายนั้นไม่ได้หมายถึงนรกถ่ายเดียว เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานก็หมายถึงอบายด้วย


กราบอนุโมทนาบุญกับท่านผู้เจริญในธรรมและกัลยาณมิตรทุกท่านค่ะ tongue tongue tongue

.....................................................
ธรรมอำนวยพร
ขอให้.....มีจิตที่รู้ ที่ตื่น ที่เบิกบาน (พุทธะ)
ขอให้.....ทำการงานด้วยความสุข (อิทธิบาทสี่)
ขอให้.....ขจัดทุกข์ได้ด้วยปัญญา (อริยสัจสี่)
ขอให้.....มีดวงตาที่เห็นความจริง (ไตรลักษณ์)
ขอให้.....เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยไตรสิกขา (ศีล, สมาธิ, ปัญญา)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2010, 11:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะ กัลยาณมิตร ทุกท่าน tongue

อยากขอเสริมนิดนึงค่ะ คำว่า วัฏสงสาร คือการเวียนตายเวียนเกิด ถ้ามองแต่ด้านการเกิดอย่างเดียว
ก็จะเห็นว่าเกิดกันมาก มาจากไหนกันนักหนา แต่จริงๆ แล้ว มนุษย์เกิดมาก ก็ตายมากด้วยเช่นกัน
การเกิดเป็นมนุษย์ส่วนใหญ่ก็แค่ 1 คน/การเกิด 1 ครั้ง (ไม่รวมเด็กแฝด) แต่การตายมากกว่าเกิด
ในปัจจุบันจะสังเกตได้ว่า การ "ตายหมู่" มีมากขึ้นในโลกนี้ ดังนั้นอัตราการเกิดและการตายนั้นต่างกันมาก.......
เมื่อตายแล้วก็ต้องเกิดทันที แต่จะเกิดในภพภูมิใดเท่านั้นเอง...ก็จะวนเวียนกันอยู่ในภพภูมิต่างๆ คือ ตายจากภูมินี้ก็ไปเกิดอีกภูมินึง วนเวียนกันไปอยู่อย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และถ้าเราระลึกชาติได้เหมือน พระพุทธเจ้า เราก็คงจะกลัวการเกิดและการตายอย่างเด็ดขาด ชนิดต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันหนีเข้านิพพานกันเป็นแถว และมนุษย์ก็เป็นเพียงแค่ภูมินึงใน วัฏสงสาร เท่านั้นเอง จึงจะเห็นได้ว่า สัตว์นั้นเวียนตายเวียนเกิดอยู่ในภพภูมิต่าง ๆ มากมาย เพียงแต่เรารู้เห็นแต่ภูมิมนุษย์เท่านั้นเอง

ธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรม :b8:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร