วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 19:15  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2010, 19:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 13:20
โพสต์: 821


 ข้อมูลส่วนตัว


"ท่านพ่อคร่ำ" ตามทีชาวบ้านย่านชายฝั่งทะเลตะวันออก เรียกขานกันนั้นท่านเป็นพระคณาจารย์ที่ได้รับความเคารพศรัทธาอย่างสูงจากสาธุชนทั่วๆ ไปมานานเต็มทีแล้ว และยังเป็นท่านพ่อของบรรดาชาวเรือตังเกในย่านนี้ด้วยบางท่านที่เข้าถึงกระแสแห่งรสพระธรรม เชื่อกันว่าหลวงปู่เป็นผู้ที่ล่วงพ้นแล้วจากกิเลสทั้งปวง

รูปภาพ

หลวงปู่คร่ำ หรือ พระมงคลศีลาจารย์ มีนามว่า คร่ำ อรัญวงศ์ เกิดที่บ้านตำบลวังหว้า อ.แกลง เมื่อวันพุธ แรม 10 ค่ำ
เดือน 11 ปีระกา ตรงกับวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2440 โยมบิดา ชื่อครวญ โยมมารดาชื่อ ต้อย ท่านเป็นบุตรคนโตในจำนวน
พี่น้องทั้งหมด 4 คน หลวงปู่เป็นชาวเมืองแกลงโดยกำเนิด ซึ่งบรรพบุรุษได้ตั้งรกรากอยู่ที่บ้านวังหว้ามานานหลายชั่วอายุคน
ครอบครัวของท่านประกอบอาชีพในทางกสิกรรมเฉกเช่นเดียวกับประชากรส่วนใหญ่ในชนบทที่ไม่ทำสวนก็ทำนาเป็นหลักคือ
การทำสวนพริกไทย อันเป็นอาชีพหนึ่งที่ทำกันแพร่หลายไม่แพ้ในเขตจังหวัดจันทบุรี เมื่อวัยเจริญขึ้นควรที่จะได้รับการศึกษา
โยมบิดามารดา ได้พาไปฝากให้เล่าเรียนหนังสือ กับท่านเจ้าอาวาสวัดวังหว้า ซึ่งเวลานั้นหลวงปู่มีอายุราว 11-12 ปี เล่าเรียน
และปรนนิบัติรับใช้อาจารย์อยู่ประมาณปีเศษจึงย้ายมาเรียนหนังสือที่วัดพลงช้างเผือกและพำนักอยู่ที่นั่น จนอายุได้ราว 15 ปี
ก็กลับมาบ้าน เพื่อช่วยเหลือเป็นกำลังของครอบครัวในการทำสวนพริกไทย แต่แล้วในปีนั้นเองได้เกิดอาเพทขึ้นบรรดาสวนพริก
ไทยในละแวกนั้น เกิดเ:P่ยวเฉาตายเรียบทุกสวนสร้างความเดือดร้อนกันทั่วทุกครัวเรือนจนทำให้ทางบ้านของท่านเลิกการทำ
สวนพริกไทยหันไปประกอบอาชีพอื่นตั้งแต่นั้นกระทั่งหลวงปู่อายุครบ 20 ปี จึงคิดที่จะบวชเพื่อทดแทนพระคุณ อันเป็นขนบ
ธรรมเนียมประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติกันมาช้านานของชายไทยทั่วๆ ไปที่นับถือพระพุทธศาสนา คนที่ยังไม่เคยบวชเรียน สังคม
ชาวบ้านถือกันว่าเป็นคนดิบ ชนบทบางพื้นที่มีคำเรียกอันเป็นการแยกสถานภาพ ระหว่างผู้ที่ผ่านการบวชเรียนแล้ว กับผู้ที่ยัง
ไม่ใด้บวช เช่นคำว่า ทิด ซึ่งมาจากคำว่า บัณฑิต แปลว่า ผู้มีปัญญา หรือนักปราชญ์ คำเรียกดังกล่าวนี้แตกต่างกันไปตามท้อง
ถิ่น ทางภาคเหนือและอีสานก็มีเช่นกัน

พอถึงวันจันทร์แรม 14 ค่ำเดือน 7 ปีมะเส็ง จ.ศ. 1279 ตรงกับวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2460 จึงได้รับการอุปสมบท
เป็นพระภิกษุ โดยมีพระครูสังฆการบูรพาทิพย์ (ปั้น) วัดทะเลน้อย เป็นพระอุปัชฌาย์พระอาจารย์เผือกวัดวังหว้า เป็นพระกรรม
วาจาจารย์ ได้นามฉายาว่า ยโสธโร หลวงปู่ได้ปฏิบัติเหมือนกับพระนวกะทั่วๆ ไป และตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัยจนสอบได้
ประโยคนักธรรมโท กับค้นคว้าตำรับตำราวิชาการต่างๆ จากนั้นจึงเดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อเล่าเรียนพระกรรมฐานและ
วิทยาคุณจากหลวงพ่อโต วัดเขาบ่อทอง หรือวัดเขาชากโดนซึ่งเชี่ยวชาญในด้านสมถะและวิปัสสนากรรมญานเป็นพระอาจารย์
บอกกรรมฐาน มีจิตตานุภาพและวิทยาคมขลัง เป็นที่เลื่องลือมากในสมัยนั้น หลังจากได้ฝากตนเป็นศิษย์แล้วก็ตั้งหน้าศึกษาเล่า
เรียนอย่างจริงจัง จนบังเกิดความเชื่อมั่นในตนเองกับวิชาที่เรียนและเป็นที่พอใจของผู้เป็นอาจารย์

ท่านจึงกราบลาพระอาจารย์ ออกจาริกธุดงค์เพื่อเป็นการทดสอบกำลังใจและฝึกฝนจิตให้เกิดสมาธิเข้าสู่วิปัสสนา
ญาณต่อไปได้เดินธุดงค์เพียรปฏิบัติอยู่เป็นเวลาพอสมควรจึงกลับสู่วัดวังหว้า นับตั้งแต่หลวงปู่คร่ำอุปสมบท ในเพศบรรพชิต
สืบทอดหลักพระธรรมคำสอนขององค์พระบรมศาสดาถึงขณะนี้ได้ 76 ปี แล้ว ได้ใช้พระธรรมคำสอนอบรมบรรดาลัทธิหาริก
และสาธุชนผู้มีใจฝักใฝ่ในธรรมให้ยึดมั่นถือมั่นในหลักคุณธรรมแห่งความดี ตลอดระยะเวลาที่หลวงปู่ ได้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ร่ม
กาสาวพัสตร์ก็ปฏิบัติตนเป็นผู้สำรวมในศีลอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่เหล่าบรรดาศิษย์ จะได้จดจำและปฏิบัติตน
ตามเยี่ยงของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นครูบาจารย์ในส่วนที่ดี ด้านลูกศิษย์ของท่านมีมากมายหลายอาชีพ ตั้งแต่ข้าราชการระดับบริหาร
เศรษฐีตลอดจน กระทั่งผู้ใช้แรงงาน แต่ท่านก็ให้ความเมตตาโดยเสมอภาคกัน มิได้มีการแยกหรือแบ่งชั้นวรรณะซึ่งก็ได้สร้าง
ปิติและศรัทธาต่อบรรดาสาธุชนเหล่านั้น ที่มีอยู่ทุกภาคของประเทศ

เมื่อราวปลายเดือนกันยายน พ.ศ. 2536 ที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีพระราชบัญญัติจัดตั้งกระทรวงแรงงานและสวัสดิการ
สังคมเมื่อมีกระทรวงใหม่เกิดก็ย่อมจะต้องมีเจ้ากระทรวงหรือรัฐมนตรีว่าการ บรรดา ส.ส.ผู้ทรงเกียรติต่างก็หมายมั่นปั้นมือ
เพื่อจะได้เป็นเสนาบดีกันสักครั้งหนึ่ง และก่อนหน้าที่จะมีการประกาศรายชื่อผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวง
แรงงานไม่กี่วัน นายเสริมศักดิ์ การุณ ส.ส.ระยอง กับ นายไพฑูรย์ แก้วทอง ส.ส.พิจิตร ได้พากันไปกราบหลวงปู่คร่ำให้หลวงปู่
เจิมหน้าผาก รดน้ำมนต์ เป่ากระหม่อมให้หลังจากนั้นไม่กี่วัน หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ ไทยรัฐ พาดหัวข่าวหน้าหนึ่งเลยว่า "มนต์
หลวงปู่เฮี้ยน..." ปรากฏว่าท่าน ส.ส. ทั้งคู่ได้เป็นรัฐมนตรีเรียบร้อย

จนกระทั่งมาอีกครั้งหนึ่งก็การแต่งตั้งอธิบดีตำรวจที่ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ กระเด้งกระดอนออกมาจากมติ
กตร. 2 ระรอกแล้ว ครั้งสุดท้ายก่อนที่จะมีการลงมติกันอีกครั้งวัดวังหว้าก็ปรากฏกายของท่าน พล.ต.อ. ประทินว่าที่อธิบดี
ตำรวจ เพื่อขอให้หลวงปู่คร่ำรอดน้ำมนต์ และเป่ากระหม่อมให้ เมื่อผลการแต่งตั้งออกมา ชื่อของ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ
คือนัมเบอร์วันของกรมตำรวจจริงๆ ชื่อของลป.คร่ำ ก็ยิ่งตอกย้ำถึงบุญบารมี เพราะความศักดิ์สิทธิ์อย่างเหลือเชื่อ

ลป.คร่ำท่านเป็นพระที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตาอย่างไร้ขอบเขตจริงๆ ใครไปกราบไหว้ท่าน ท่านก็เมตตาเป่าหัว
ให้ ทำให้สารพัดผู้ที่ไปกราบท่านมีแต่ความปลื้มปิติซาบซึ้งในความเมตตาของหลวงปู่เป็นทวีคูณ ปัจจุบันนี้ด้วยวัยกว่า 97 ปี
ของหลวงปู่ จึงทำให้การต้อนรับหรือการเข้าไปพบท่าน ค่อนข้างจะต่างจากในอดีตเพราะสังขารท่านนั้นย่อมต้องการพักผ่อน
ก่อน แม้ว่าคนรอบข้างบอกว่าเดี๋ยว หลวงปู่เหนื่อยๆ แต่หลวงปู่ก็ยังเสมอภาคกับทุกคน

ในด้านวัตถุมงคลของลป.คร่ำนั้นก็มีสร้างกันมาร่วม 30 ปีแล้ว สุดท้ายนี้ ขอเชิญชวนทุกท่านได้ไปกราบไหว้ลป.คร่ำ
วัดวังหว้า สุดยอดมหาเมตตาบารมีแห่งยุค เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ท่านและครอบครัว เทพเจ้าของชาวระยอง

ที่มาhttp://www.buddhakhun.org/main//index.php?topic=458.0


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 9 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร