วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 23:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 83 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2010, 12:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตผู้ที่ส่งเรื่อง
ท่องแดนสุขาวดีมาให้เราอ่านนี้
เราขอนำมาให้
เพื่อนๆในเว็บนี้ได้อ่านด้วยน่ะค่ะ
และหวังว่าพวกเราทุกๆคน ที่เป็นสมาชิกหรือไม่ใช่สมาชิก
พอถึงวันที่พวกเราหมดลมหายใจแล้ว
ขอบุญกุศลทั้งหลาย ช่วยพาพวก เราไปสู่ แดนสุขาวดี แห่งนี้ด้วยเทอญ.
รูปภาพ

อารัมบท


สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้คือ แนะนำเรื่องราวของ ท่านควนจิ้ง พระมหาธรรมาจารย์ซึ่งขณะนั่งเข้าฌาน ณ ถ้ำหมีเล่อ ภูเขาจิ่วเซียน กองการผลิตใหญ่กุ้ยเก๋อ คอมมูนซั่งหย่ง


พระมหาธรรมาจารย์ซึ่งขณะนั่งเข้าฌาน ณ ถ้ำหมีเล่อ ภูเขาจิ่วเซียน
กองการผลิตใหญ่กุ้ยเก๋อ คอมมูนซั่งหย่ง อำเภอเต๋อฮั่ว มณฑลฝูเจี้ยน
ในวันที่ 25 ตุลาคม 2510 อยู่นั้น

พลันถูกพาตัวโดยพระโพธิสัตว์ กวนอิมจน “สาบสูญร่องรอย” ไปจากโลก
ยามนั้น พระมหาธรรมาจารย์ ถูกพาตัวไปยังแดนสุขาวดีทิศประจิม
ได้ทัศนาจรอาณาจักรชั้นต่างๆ ของบัว 9 ชั้น
กาลเวลาในความรู้สึกเพียงชั่วหนึ่งวันหนึ่งคืนเท่านั้น

ครั้นกลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง จึงได้พบว่าเป็นวันที่ 8 เดือนเมษายนของปี 2517
ซึ่งหมายความว่าเวลาได้ผ่านพ้นไป 6 ปีกับ 5 เดือนเศษแล้ว


ปรากฎการณ์ดังกล่าว ฟังเผินๆแล้วออกจะเหลือเชื่อ
ถ้าเข้าใจจากความรู้สึกทั่วไป แต่ว่าก็มีสิ่งที่กล่าวกันว่า
หนึ่งวันในแดนสุขาวดีหลายปีในโลกมนุษย์”

เนื่องด้วยความแตกต่างของเทศะ เอกภพจินตภาพ
เกี่ยวกับกาละก็ย่อมแตกต่างตามไปด้วย
ขอเพียงคนที่มีความรู้ เรื่องพุทธศาสตร์อยู่บ้าง ล้วนสามารถเข้าใจได้


ขณะนั้นที่โลกมนุษย์เรา ดูเหมือนว่า ท่านธรรมาจารย์ได้ “หายสาบสูญจนไร้ร่องรอย”
พระเณรและฆารวาสทั้งวัด ได้ออกติดตามค้นหาทั่วทั้งลูกเขา (เขาหยุนจวี)
ซึ่งมีถ้ำใหญ่น้อยบรรดามี 100 กว่าถ้ำ
ก็ไม่พบร่องรอยของพระธรรมาจารย์ กระทั่งระดมหน่วยประดาน้ำ

ไปงมหาในอ่างน้ำ และวังลึก ซึ่งมีอยู่ในระแวกใกล้เคียง
ก็ไม่ได้ผลคืบหน้า สาวกผู้มีจิตเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่าน
ยังเดินทางไปค้นหาที่ตัวอำเภอ จนถึงนครเฉวียนโจว นครเซี่ยเหมิน นครฝูโจว
และนครหนานผิงเป็นต้น

อีกทั้งส่งจดหมายเวียนว่าย วานผู้คนช่วยสืบหาในอำเภอใกล้เคียง
เช่น อำเภอหย่งไท่ หย่งชุน เต๋อฮั่ว ฝูชิง เป็นต้น
ใช้เวลาค้นหาติดต่ออยู่หลายปี ก็ไม่ได้ข่าวคราว
ผู้คนทั้งหลายเข้าใจว่า พระธรรมาจารย์ได้ไปเกิดยังสุคติภพแล้ว
ต่างก็โศกเศร้าเสียใจอาลัยรักเป็นกำลัง
แต่จริงๆแล้ว

ท่านอาจารย์จะได้ออกจากถ้ำหมีเล่อ แม้แต่ก้าวเดียวก็หาไม่
เนื่องด้วยมีพุทธรักษา พระธรรมกายของท่านตั้งอยู่ในถ้ำ 6-7 ปี
ก็หาได้ถูกผู้คนค้นพบไม่ ไม่ทราบว่า “เร้น” อยู่ ณ แห่งใด
(อาจ “เร้น” อยู่ในเทศะของอีกกาละหนึ่งก็เป็นได้)

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ประสกเจิ้งซิ่วเจียนเป็นต้น ซึ่งเป็นคนในท้องที่
สามารถให้การยืนยันพิสูจน์ได้
กระบวนการทั้งหมด

ที่ท่านธรรมมาจารย์ ท่องเที่ยวไปในแดนสุขาวดี ภพประจิมด้วยตัวท่านเองนั้น
ไม่อาจเปรียบได้กับ ความฝันโดยทั่วไป

ท่านเป็นพระเถระชั้นสูงผู้ทรงศีล ย่อมไม่กล่าวมุสามวาท อย่างเด็ดขาด
และก็ไม่มีเหตุผลกลใดที่ต้องกล่าวมุสาวาท
นอกจากนี้อาณาจักรที่ท่านธรรมาจารย์พบเห็น

ก็ต่างกับสภาพที่พบเห็น ในระหว่างเข้าฌาน
ถ้าเป็นสภาพที่พบเห็น ในระหว่างเข้า จะนำมาแพร่งพรายไม่ได้เลย
เพราะถ้าขืนทำอย่างนั้น เทวดานาคา 8 ภาค
และเทวมารก็จะมาตอแยกับท่านได้

ความจริงก็คือ ท่านธรรมาจารย์ได้รับโองการจาก
พระอมิตายัสพุทธะ(พระอมิตาภะพุทธเจ้า) และพระโพธิสัตว์กวนอิม

จึงกล้าเปิดเผยเรื่องราวที่ได้พบ ได้เห็น
ในอาณาจักรชั้นต่างๆของแดนสุขาวดี
ผู้เคยศึกษาพุทธมาล้วนรู้ดีว่า ผุ้กล่าวมุสาวาทจะตกนรกหมกไหม้
ไม่มีวันได้ผุดได้เกิด ฉะนั้นคำบอกเล่า
จากประสบการณ์ ในการท่องเที่ยวไปในแดนสุขาวดีประจิม

ของท่านธรรมาจารย์ จึงเป็นเรื่อง “จริงแท้แน่นอน”
มีเทพารักษ์ 3 ทิศและเทวนาคา 8 ภาคเป็นพยานยืนยันได้


แก้ไขล่าสุดโดย อมิตาพุทธ เมื่อ 27 มิ.ย. 2010, 03:23, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2010, 12:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
นอกจากโลกมนุษย์แล้ว ยังมีโลกสุขาวดีอยู่อีกโลกหนึ่ง พระพุทธองค์ที่กล่าวถึงในอมิตาสูตร หรือ สักวาเวติเวยูฮาสูตร นั้น ล้วนมีอยู่จริง พระธรรมจารย์ควนจิ้งก็คือพยานบุคคล ผู้เรียบเรียงอาศัยคำบอกเล่าของท่านนำมาเรียบเรียงเปิดเผยสู่สายตาชาวโลก จุดมุ่งหมายประการหนึ่งก็เผื่อเผยแพร่พุทธธรรมอีกประการหนึ่งก็วาดหวังว่าท่านผู้อ่านจะได้ยึดมั่นในพุทธรรม สวดพุทธมนต์ไหว้พระด้วยใจศรัทธาประสาทะ ประกอบแต่กุศลกรรม เพื่อมุ่งสู่แดนสุขาวดีพร้อมกัน



สวด นามอ อาหมีถัวฝอ (นะโม พระอมิตาภะพุทธเจ้า)
นำพาสู่แดนสุขาวดี


แก้ไขล่าสุดโดย อมิตาพุทธ เมื่อ 27 มิ.ย. 2010, 03:24, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2010, 12:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
ปาฐกถาธรรม ณ วัดโปตละคีรีทะเลใต้
สิงคโปร์ เดือนเมษายน 2530

เจริญพร ธรรมาจารย์ท่าน เจ้าประคุณท่าน ประสกท่านทั้งหลาย

วันนี้ เรามีวาสนาผูกพันได้มาชุมนุมอยู่ด้วยกัน
เป็นเพราะชาติก่อนหรือชาติก่อน ๆ ได้ทำบุญร่วมกัน
ฉะนั้น วันนี้จึงได้พบหน้ากันที่นี่

สิ่งที่อาตมาจะกล่าวถึงในวันนี้ คือประสบการณ์
ในการท่องเที่ยวแดนสุขาวดีประจิม
อาตมาจะขอนำสภาพ ที่ได้พบได้เห็นในแดนสุขาวดี
มารายงานต่อที่ประชุม

ที่อาตมาจะกล่าวถึงนั้นมี 5 ประการด้วยกันคือ

1. อาตมาไปแดนสุขวดีได้อย่างไร ด้วยบุญวาสนาอันใด
จึงได้ไปถึงที่นั่น สภาพที่เป็นจริงของที่นั่นเป็นอย่างไร
อาตมาท่องเที่ยว ไปในแดนสุขาวดี
รวมเวลาประมาณ 20 กว่าชั่วโมง (ในความรู้สึก)
แต่ครั้นกลับถึงโลกมนุษย์ เวลาได้ล่วงเลยไป 6 ปี กับอีก 5 เดือนเศษแล้ว


2. ระหว่างทาง ไปยังแดนสุขาวดีประจิม
สถานที่ซึ่งอาตมาได้ไปมานั้น มีอาทิ ถ้ำหมีเล่อ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ สวรรค์ชั้นดุสิต
ต่อจากนั้น ยังไปสถานที่อีก 3 แห่ง

ของแดนสุขาวดีคือ บัวชั้นล่าง บัวชั้นกลาง และบัวชั้นสูง
(บัวแต่ละชั้นยังแบ่งเป็นระดับล่าง ระดับกลางและระดับบนอีก จึงเรียกรวมกันว่าบัว 9 ชั้น)
อาตมาจะบอกต่อท่านทั้งหลายว่า
อาณาจักรของสถานที่ 3 แห่งนี้เป็นฉันใดกันแน่

3. จะกล่าวถึงสภาพความเป็นจริง ของการไปเกิดในบัว 9 ชั้น
นัยหนึ่ง กล่าวถึงผลพวง จากการบำเพ็ญศีลภาวนา
ของเวไนยสัตว์ในสัพพะโลก1 เป็นสิ่งกำหนดว่า
เขาจะได้ไปเกิดที่บัวชั้นไหน
และสภาพชีวิตที่เป็นจริง ของผู้คนในบัวแต่ละชั้น
เป็นต้นว่ารูปร่างลักษณะ การแต่งกาย การกินการอยู่
ความสูงต่ำ ใหญ่เล็กของดอกบัว แต่ละดอกว่าเป็นอย่างไร


4. กล่าวถึงวิธี บำเพ็ญศีลภาวนา ของเวไนยสัตว์ในแดนสุขาวดี
นัยหนึ่ง ผู้ไปเกิดที่นั่น ใช้วิธีบำเพ็ญตนอย่างไร
ในการก้าวจากบัวแต่ละชั้น จากชั้นล่าง ขึ้นไปจนบรรลุพุทธธรรม


5. ผู้ไปเกิดที่นั่น บางคน ซึ่งเคยรู้จักกับอาตมามาก่อน
ได้ฝากอาตมา ถามไถ่ทุกข์สุขของญาติโยม
ในโลกมนุษย์ ภายหลังที่อาตมากลับมาแล้ว


แก้ไขล่าสุดโดย อมิตาพุทธ เมื่อ 27 มิ.ย. 2010, 03:37, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2010, 12:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


พบเหตุการณ์ประหลาดระหว่างทาง
(พระโพธิสัตว์กวนอิม นำพาสู่แดนศักสิทธิ์)


เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2510

วันนั้น อาตมานั่งเข้าฌานที่วัดม่ายเสียเอี๋ยน (ท่านธรรมาจารย์เป็นเจ้าอาวาสวัดดังกล่าว-ผู้เรียบเรียง) ทันใดนั้น ฟังคลับคล้ายคลับคลาว่ามีคนเรียกหาอาตมา
พร้อมกับดันตัวอาตมาให้เดินไปข้างหน้า
ตอนนั้น อาตมาเหมือนคนกินเหล้าเมา สะลึมสะลือ
โดยไม่ถามสาเหตุก็เดินออกจากวัด แต่ในใจของอาตมารู้แต่ว่า


ขณะนี้ตนเองกำลังจะไปจาริกที่อำเภอเต๋อฮั่ว มณฑลฝูเจี้ยน (จากวัดม่ายเสียเอี๋ยนไปภูเขาจิ่วเซียน อำเภอเต๋อฮั่ว ระยะทางประมาณ 200 ลี้จีน-ผู้เรียบเรียง)
เดินไปๆ ตลอดทางไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยและไม่รู้สึกหิวเลย
เวลากระหายน้ำก็วักน้ำในลำห้วยขึ้นดื่ม
ก็ไม่รู้ว่าเดินไปกี่วันกี่คืนอย่างไรก็ดี
ตลอดทางไม่ต้องพักผ่อนหลับนอนเลย เพียงจำได้ว่า

ตอนนั้นเป็นเวลากลางวันและท้องฟ้าแจ่มใส
ช่วงนั้นประจวบกับช่วงปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรมของจีน
ขณะที่อาตมาเดินถึงท้องที่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเขาจิ่วเซียนคอมมูนซั่งหย่ง อำเภอเต๋อฮั่วนั้น
รู้สึกสติพลันแจ่มใสขึ้น ยามนั้นอาตมาได้ยินคนเดินทางพูดกันว่า

วันนี้เป็นวันที่ 25 ตุลาคม ช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม ท้องที่ต่างๆสับสนวุ่นวายมาก
ฉะนั้น คนเดินทางจึงมักเลือกเดินทางเป็นเวลากลางคืน
อาตมาก็ไม่ยกเว้น จำได้ว่าเป็นเวลาตี 3 ย่ำรุ่งของวันใหม่
ระหว่างทาง อาตมาได้พบภิกษุเฒ่ารูปหนึ่ง(ทราบภายหลังว่าเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิมแปลงกายมา)

การแต่งกายของท่านคล้ายคลึงกับอาตมา เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
การได้พบปะกับสมณเพศเดียวกันในระหว่างทาง
ย่อมเป็นธรรมดาอยู่เอง ที่เราต่างก็พนมมือนมัสการซึ่งกันและกัน
พร้อมกันโดยมิได้นัดแนะกันไว้
เราต่างก็แนะนำตัวเอง

ภิกษุเฒ่าผู้นั้นแนะนำตัวเองว่า “อาตมานามหยวนกวน วันนี้มีวาสนาได้พบพาน มิสู้ไปเที่ยวภูเขาจิ่วเซียนด้วยกันดีมั๊ยครับ”

เนื่องจากเป็นเส้นทาง ที่อาตมาจะไปอยู่แล้ว อาตมาจึงผงกศรีษะ
เห็นพ้องด้วย ดังนั้นเราจึงเดินไปพลางสนทนาไปพลาง ตลอดทาง
ดูเหมือนท่านจะล่วงรู้ ภูมิหลังของอาตมาอย่างทะลุปรุโปร่ง
พูดเรื่องกฎแห่งกรรมเป็นอันมาก

อีกทั้งกล่าวถึงชาติก่อน และชาติของอาตมา
เหมือนอย่างเล่าเทพนิยายว่า ชาตินั้นๆของอาตมาเกิดอยู่ที่ไหน


แก้ไขล่าสุดโดย bbby เมื่อ 17 มิ.ย. 2010, 13:06, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2010, 13:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


อยู่แห่งหนตำบลใดวันเวลาใด ท่านจะชี้ออกมาอย่างหมดเปลือก
แปลกจริงแฮะ วาจาแต่ละประโยคของท่าน
อาตมาล้วนจดจำได้แม่นยำ


เราเดินสนทนาไปตลอดทาง เผลอประเดี๋ยวเดียว ก็มาถึงเขาจิ่วเซียน(เขาสูงที่สุดของมณฑลฝูเจี้ยน) บนเขาลูกนี้ มีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่ง เรียกว่าถ้ำหมีเล่อ

นั่นคือจุดหมายปลายทาง ที่เราตั้งใจไว้แต่แรกว่า จะไปให้ถึง
ถ้ำนี้มีความกว้างแค่ห้องๆหนึ่งเท่านั้น ภายในถ้ำมีพระพุทธรูปหมีเล่อ (พระศรีอาริยเมตไตรย) ประดิษฐานอยู่ จึงได้ชื่อว่าถ้ำหมีเล่อ

แต่ว่า ครั้นเราไปถึงเขาจิ่วเซียน ขณะเดินขึ้นมาได้ครึ่งทางเท่านั้น
ภาพอันแปลกประหลาดพิสดาร
ก็ได้ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเรา ภาพที่เห็นก็คือ


ทางเดินขึ้นเขา เบื้องหน้าพลันเปลี่ยนไป ไม่ใช่ทางขึ้นเขาสายเดิมอีกแล้ว
ทางที่เรากำลังจะเดินไป กลับเป็นทางที่ตั้งซ้อนด้วยก้อนหิน
ดูเหมือนจะเรืองแสงได้ด้วย พิสดารมาก
ครั้นขึ้นไปหลังเขา พบว่าไม่ใช่ถ้ำลูกเก่า
คือถ้ำหมีเล่ออีกต่อไปแล้ว

แต่กลับเป็นโลกอีกโลกหนึ่ง ที่ปรากฏให้เห็น
เบื้องหน้านั้นคือ พระอารามหลังใหญ่ อย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย
โอ่อ่าโอฬารยิ่ง เปรียบกับวังโบราณของปักกิ่งแล้ว

ยังมโหราฬพันลึก ยิ่งกว่าหลายเท่า สองข้างพระอาราม
มีรัตนเจดีย์ 2 องค์ เดินอีกไม่นานเราก็ไปถึงประตูเขา

เห็นประตูเขา ซึ่งก่อด้วยหินสีขาว สร้างอย่างใหญ่โตสง่างาม
บนซุ้มประตูมีแผ่นป้ายมหึมา
ส่งประกายสีทองระยิบระยับ บนแผ่นป้ายมีตัวอักษรสีทองติดอยู่

ซึ่งอาตมาอ่านไม่ออก ที่หน้าประตูมีพระภิกษุ 4 รูปยืนอยู่
ห่มกายด้วยจีวรสีแดง
สายคาดเอวสีทองธรรมลักษณ์ ดูเคร่งขรึม

ครั้นเห็นเรา 2 คนมาถึง ต่างก็ย่อตัวลงกราบ นมัสการต้อนรับพวกเราพร้อมกัน
เรารีบคารวะตอบ อาตมาชักสงสัยตะหงิดๆ

การแต่งกายของพระภิกษุที่นี่ อาตมาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
ดูไปเหมือนพระลามะมากกว่า พวกเขาต่างเผยอยิ้ม และเอื้อนเอ่ยวาจา
กล่าวว่า “ มาแล้วๆยินดีๆ ”

พร้อมกับเชิญเราเข้าข้างใน เราก้าวเข้าประตู


แก้ไขล่าสุดโดย bbby เมื่อ 17 มิ.ย. 2010, 13:27, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2010, 16:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ผ่านพระวิหารหอพระอีกหลายแห่ง ประหลาดแท้
สิ่งปลูกสร้างของที่นี่ล้วนมีแสงในตัว

แต่ละหลัง ล้วนแล้วแต่โอ่อ่าน่าชม ครั้นเราเดินต่อไปอีก
ก็เห็นระเบียงทอดยาวออกไป ข้างหน้าสองข้างระเบียง
ปลูกเต็มไปด้วย ไม้ต้นไม้ดอกพิเศษ พิสดารหลากสีหลากชนิด
ไม่รู้ว่าเป็นต้นอะไร มองออกไปทางหน้าต่างระเบียง
จะเห็นแต่สิ่งปลูกสร้าง จำพวกโบสถ์วิหาร และรัตนเจดีย์เป็นต้น

ครู่เดียวเราก็มาถึงมหาวิหารเอก บนมหาวิหารมีอักษรตัวโตติด อยู่ 4 ตัว
ส่งประกายวาววับ ไม่ใช่ตัวอักษรภาษาจีน และก็ไม่ใช่ตัวอักษรภาษาอังกฤษ
อาตมาอ่านไม่ออก จึงถามภิกษุเฒ่าหยวนกวนว่า
ตัวอักษร 4 ตัวนั้น เขาหมายความว่าอย่างไร
ท่านตอบว่า นั่นคือ “ อรหันต์ภพกลาง ”

เมื่อเป็น “อรหันต์ ” อาตมารำพึงในใจ นั่นคงเป็นสำนักบำเพ็ญศีลภาวนา
ของอรหันต์เป็นแน่แท้ ถึงตอนนี้อาตมาเริ่มรู้สึกเป็นรางๆแล้วว่า
ที่นี่มิใช่โลกมนุษย์เราแล้ว จนถึงบัดนี้อาตมา
ยังจำรูปตัวอักษรหนึ่งใน 4 ตัว นั้นได้ดี
คือ.................. อีก 3 ตัวจำไม่ได้แล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2010, 16:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนที่อาตมาพบ กับภิกษุเฒ่าหยวนกวนนั้น
เป็นเวลาเช้าตรู่ตี 3 เข้าใจว่าตอนนี้จวนสว่างแล้ว
เห็นคนมากมาย เดินเข้าๆ ออกๆ ทั้งในและนอกพระวิหาร
มีคนทุกผิวสี เช่นผิวเหลือง ผิวขาว ผิวแดง ผิวดำ เป็นต้น

แต่ที่มากที่สุดคือผิวเหลือง มีทั้งเพศหญิงเพศชาย ทั้งคนเฒ่าและเด็ก
การแต่งกายของพวกเขา ล้วนแต่พิสดาร มีแสงในตัวทุกคน
อยู่เป็นกลุ่มๆ กลุ่มละ 3 คนบ้าง 5 คนบ้าง

บ้างกำลังฝึกวิทยายุทธ บ้างร่ายรำ บ้างเล่นหมากรุก บ้างพักผ่อนทำสมาธิ
แต่ละคน ล้วนมีสีหน้าสุขเกษมเปรมปรีดา
เห็นพวกเรามาถึง ต่างก็ผงกศรีษะยิ้มระรื่น อย่างสนิทสนมเป็นกันเอง
แสดงการต้อนรับ แต่ไม่ได้เข้ามาพูดจาด้วย

เดินเข้าไปภายในมหาวิหาร อาตมาเห็นตัวอักษรใหญ่ 4 ตัว
ภิกษุเฒ่าหยวนกวน บอกอาตมาว่า นั่นคือ “ ต้าสงเป่าเตี้ยน ”
(รัตนบัลลังก์มหาชาตรี)

มีภิกษุเฒ่า 2 รูป เดินมาต้อนรับ อาตมามองสำรวจพวกเขา
เห็นภิกษุเฒ่ารูปหนึ่ง มีหนวดขาวโพลง ยาวมาก อีกรูปหนึ่งไม่มีหนวด
ครั้นพวกเขาเห็น พระธรรมาจารย์หยวนกวนมา
ถึงก็ย่อตัวกราบกราน อย่างพินอบพิเทา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2010, 16:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


อาตมารำพึงในใจ พระธรรมาจารย์หยวนกวนผู้นี้
ขนาดอรหันต์ภพกลาง ยังกราบไหว้อย่างอ่อนน้อม
แสดงว่าไม่ใช่ ชนชั้นธรรมดาแน่ๆ

ขณะที่พวกเขานำเรา ไปที่ห้องรับแขกนั้น อาตมากวาดสายตาดู
รอบๆห้องโถง เห็นควันธูปลอยวนเวียน กลิ่นหอมเตะจมูก
พื้นห้องล้วนปูด้วยหินขาว ที่เปล่งประกายได้ ที่น่าประหลาดก็คือ

ภายในพระวิหาร ไม่มีพระพุทธรูปแม้แต่องค์เดียว แต่มีเคื่องถวายมากมาย
ดอกไม้แต่ละดอก ใหญ่เท่าลูกฟุตบอล กลมดิก
ยังมีโคมไฟ ประดับหลากรูปหลายแบบ
เปล่งเบญจรังสีงามระยับ


เข้าถึงห้องรับแขก ภิกษุเฒ่าส่งน้ำดื่ม 2 แก้ว ซึ่งรับมาจากเด็กรับใช้
ให้คนละแก้ว เด็กรับใช้คนนั้นไว้ผมแกละ 2 แกละ
แต่งกายด้วยชุดสีเขียว เอวคาดสายสีทอง ดูสวยงามมาก

น้ำในแก้ว สีขาวบริสุทธิ์ หวานเย็นชุ่มฉ่ำดั่งอมฤต
อาตมาดื่มไปครึ่งแก้วกว่า ท่านธรรมาจารย์เฒ่าหยวนกวน ก็ดื่มด้วย
ดื่มน้ำนี้แล้ว รู้สึกจิตใจแจ่มใส กระปรี้กระเปร่า
ทั้งตัวโล่งสบาย ไม่รู้สึกเหนื่อยเพลียแม้แต่น้อย


ท่านธรรมาจารย์เฒ่าหยวนกวน ได้พูดจากระซิบกระซาบ
กับภิกษุเฒ่าพักหนึ่ง ภิกษุเฒ่าก็สั่งเด็กรับใช้ พาอาตมาไปอาบน้ำชำระกาย

อาตมาเห็นกะละมังทองเหลือง สีขาวลูกหนึ่งใส่น้ำจนล้นปรี่
ตั้งอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว อาตมาจึงลงมือล้างหน้าเช็ดตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2010, 20:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


จากนั้นจึงห่มจีวรสีเทา ที่เตรียมไว้สำหรับอาตมา
หลังอาบน้ำแล้ว ยิ่งรู้สึกสบายทั้งกายใจ อาตมารำพึงในใจ
เห็นทีวันนี้ อาตมาได้มาถึงแดนศักดิ์สิทธิ์ เป็นแน่แท้แล้ว
ความชื่นชมโสมนัสในใจนั้น ยากจะบรรยายได้


ครั้นกลับถึงห้องรับแขก อาตมาก็คุกเข่าลงเบื้องหน้าภิกษุเฒ่าผู้น้น
ก้มกราบ 3 ที ขอให้ช่วยชี้แนะทางสว่าง ถามท่านว่า
อนาคตของพุทธศาสนาจะเป็นฉันใด ภิกษุเฒ่าไม่เอื้อนเอ่ยวาจา
แต่จับพู่กัน ขึ้นเขียนตัวอักษร 8 ตัว
ลงบนแผ่นกระดาษเป็นปริศนาธรรมว่า .

พุทธ... โดย ....ใจ.... สร้าง.... ศาสน์.... จาก.... มาร.... ครอง
รูปภาพ


ภิกษุเฒ่าเขียนเสร็จ ยื่นส่งให้อาตมา อาตมายื่น 2 มือน้อมรับ
ขณะที่ขบคิด ตีความตัวอักษร 8 ตัวนี้อยู่นั้น ภิกษุเฒ่าอีกรูปหนึ่ง
ได้อธิบายต่ออาตมาว่า " หนังสือ 8 ตัวนี้ ท่านจะอ่านแบบขวางตั้ง
ตั้งขวาง ซ้ายขวา ขวาซ้าย บนล่าง ล่างบน
จนอ่านครบ 36 ประโยค ก็จะเข้าใจสภาพของพุทธศาสนาภายใน 100 ปี

ต่อจากนี้ไป ถ้านำประโยค 36 ประโยคนี้ ไปอนุมานจนได้ครบ 840 ประโยค
ก็จะทราบ สภาพการพัฒนาในอนาคต ของพุทธศาสนา
ในขอบเขตทั่วโลก จนถึงสิ้นพุทธกาลโน่นแหละ "


แก้ไขล่าสุดโดย อมิตาพุทธ เมื่อ 27 มิ.ย. 2010, 03:41, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2010, 20:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


สนทนากันพักหนึ่ง ภิกษุเฒ่า ก็ให้อาตมาไปพักผ่อน
ในห้องนอน เด็กรับใช้ พาอาตมาเข้าไปในห้องนอน

เห็นภายในห้องนอน ไม่มีเตียงนอน มีแต่ม้ายาวรูปสวยงามหลายตัว
ตั้งเรียงรายอยู่ บนม้ายาวปูด้วยผ้าแพรต่วนนุ่มนิ่ม
อาตมาจึงเลือกม้านั่งตัวใหญ่ ตัวหนึ่งจากบรรดาม้านั่งทั้งหลาย

นั่งทำสมาธิเป็นการพักผ่อน พอนั่งลงเท่านั้น ก็รู้สึกทั้งตัวโล่ง
สบายอย่างบอกไม่ถูก ตัวเบาหวิว ไม่รู้ก้นตัวเองวางอยู่ที่ใด
ให้หลังไม่นาน ก็ได้ยินเสียง ท่านธรรมาจารย์หยวนกวน
ร้องเรียกอาตมา

อาตมารีบลงจากม้านั่ง เดินออกจากห้องนอน ท่านธรรมาจารย์หยวนกวน
กล่าวกับอาตมาว่า " ตอนนี้อาตมา จะพาท่านไปที่สวรรค์ชั้นดุสิต
เพื่อนมัสการพระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรย
รวมทั้ง พระภิกษุซวีหยุนพระอาจารย์ของท่านด้วย "

อาตมาตอบว่า " ประเสริฐมากครับ ขอบคุณที่กรุณา "
ขณะจะออกจากมหาวิหาร ความจริง อาตมาคิดจะไปกราบอำลาภิกษุเฒ่า
แต่ท่านธรรมาจารย์หยวนกวน กลับยืนกรานว่า " อย่าเลย เวลามีไม่มาก "
จุดหมายปลายทาง ที่เราจะไปตอนนี้คือ สวรรค์ชั้นดุสิต .

พบพระภิกษุเฒ่า ซวีหยุนที่สวรรค์ชั้นดุสิต

ตลอดทาง อาตมาเห็นสุวรรณวิหาร และรัตนเจดีย์
อันใหญ่โตมโหฬารมากมาย ล้วนมีแสงในตัว แลดูลานตาไปหมด
แต่ว่า ท่านธรรมาจารย์หยวนกวน
กลับเร่งรัด ให้อาตารีบเดินทาง
บอกเวลามีจำกัด (ภายหลังอาตมาจึงทราบว่า เวลาในแดนสวรรค์นั้น
ต่างกับเวลาในโลกมนุษย์ ไม่เหมาะอยู่นานเกินไป)


แก้ไขล่าสุดโดย อมิตาพุทธ เมื่อ 27 มิ.ย. 2010, 03:46, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2010, 21:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ขืนชักช้าโอ้เอ้ วิหารลาย กลับไปยังโลกมนุษย์อีกที
อาจเป็นเวลาหลายร้อยปี กระทั่งหลายพันปีแล้วก็ได้ )

เส้นทางที่เราเดินไป ล้วนปูด้วยหินขาว ก้อนหินแต่ละก้อน
เปล่งประกายวาววับ กลิ่นดอกไม้ใบหญ้า พิสดาร
บนภูเขา โชยมาตามลม หอมละมุนเตะจมูก
ทำให้จิตใจชื่นบาน เคลิบเคลิ้ม
เดินเลี้ยวโค้งหลายโค้ง ระยะทางประมาณกิโลเมตรเศษ
เบื้องหน้า ก็ปรากฏสะพานใหญ่แห่งหนึ่ง แต่ว่าประหลาดแท้
สะพานแห่งนี้มีแต่ช่วงกลาง ลอยอยู่กลางอากาศ
หามีทางขึ้นและทางลงไม่


ดูไม่น่าจะเดินขึ้นไป บนสะพานนั้นได้เลย ครั้นมองดูใต้สะพาน
ก็ปรากฏเป็นเหวลึก มองไม่เห็นก้น " เอ๊ะ .. สะพานนี้จะเดินข้ามไปได้อย่างไร "
อาตมาพึมพำ

ขณะที่อาตมา รู้สึกลังเล ก้าวท้าวไม่ออกอยู่นั้น ท่านธรรมาจารย์หยวนกวนไ
ด้เอ่ยถามอาตมาว่า " ปกติท่านสวดมนต์อะไร ท่องคาถาบทไหน "
อาตมาตอบว่า " ปกติอาตมา สวดสัทธรรมปุณฑริกสูตร กับปรมัตถ์ธรรมคาถา "
ท่านกล่าวว่า " เออ .. ดีแล้ว ก็สวดซี "


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2010, 21:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


อาตมาจึงเริ่มบทสวด ปรมัตถ์ธรรมคาถา ทั้งบทมี 3,000 กว่าคำ
ทว่าอาตมาสวดไปได้แค่ 20-30 คำเท่านั้น

สภาพเบื้องหน้า พลันเกิดการเปลี่ยนแปลง เห็นสะพานาแห่งนั้น
พลันยื่นหัว ยื่นท้ายออกไป ต่อติดทั้งสองข้าง
ตัวสะพานเป็นสีทองเหลืองอร่าม ส่งประกายวาววาม
เห็นได้ว่า ประกอบขึ้นจากรัตนะ 7 ประหนึ่ง
สายรุ้ง 7 สีสายหนึ่ง แขวนอยู่กลางอากาศ
งามวิจิตรตระการตา หาที่เปรียบมิได้ ราวสะพานทั้งสองข้าง
ประดับด้วยโคมไฟไข่มุข ส่องแสงสีต่างๆ ที่หัวสะพาน
ติดตัวอักษรตัวโต 5 ตัว รูปอักษร คล้ายคลึงกับที่เห็นในมหาวิหาร
อาตมาจึงเดาเอาว่า คงจะอ่านว่า “สะพานอรหันต์ภพกลาง” เป็นแน่แท้

ข้างสะพานไปแล้ว เรานั่งพัก ที่ศาลาเชิงสะพาน
อาตมา จึงถือโอกาสเรียนถาม ท่านธรรมาจารย์หยวนกวน
ว่า “เหตุใดเมื่อกี้นี้ เราไม่เห็นหัวท้ายสะพาน
ครั้นท่องปรมัตถ์ธรรมคาถาแล้ว ถึงได้มองเห็น”

ท่านตอบว่า “ก่อนท่องคาถา ธาตุแท้ของท่าน (โฉมหน้าที่แท้จริง)
ถูกกรรมกีดขวาง ของตัวเองกั้นไว้หลายชั้น บดบังทรรศนบถไว้
จึงไม่อาจมองเห็น แดงศักดิ์สิทธิ์ได้
ต่อเมื่อท่องคาถาแล้ว ด้วยการสะกดของคาถานุภาพ
กรรมกีดขวางจึงอันตรธาน เมื่อสิ่งกีดขวางไม่มี
ธาตุแท้จัวเองบริษุทธิ์ จึงได้ปรากฏ อาณาจักรทั้งปวง
ที่มีอยู่แต่เดิมออกมา

จากหลับเป็นตื่น จึงได้เห็นทุกสิ่งที่อย่าง ที่เรียกว่า
ไร้เมฆาหมื่นโยชน์ เห็นท้องนภาหมื่นโยชน์ ก็คือเหตุผลนี้แหละ
พักหายเหนื่อยแล้ว เราก็เดินทางต่อ อาตมาเดินพลาง
ท่องคาถาพลาง ทันใด ใต้ฝ่าเท่าพลันปรากฏดอกบัว
เป็นกลีบๆ เปล่งประกายมรกต ประหนึ่งแก้วผลึก
ใบบัวก็เปล่งแสงสีสันพันลาย เหยียบบนดอกบัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2010, 22:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




f_3206227_1.jpg
f_3206227_1.jpg [ 48.17 KiB | เปิดดู 7795 ครั้ง ]
amitapa.gif
amitapa.gif [ 62.54 KiB | เปิดดู 7794 ครั้ง ]
อนุโมทนากับจิตที่ใฝ่กุศลค่ะ :b8:
นำภาพมาฝากค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 17 มิ.ย. 2010, 22:29, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2010, 22:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ม.ค. 2010, 20:24
โพสต์: 43

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: อนุโมทนานะ ที่แท้ มหายานนี่เอง :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2010, 23:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สติสัมปันน์ เขียน:
:b12: อนุโมทนานะ ที่แท้ มหายานนี่เอง :b6:





ท่านอาจารย์ :b8:
เคารพในความคิดเห็น ... แต่อยากจะบอกว่า

ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยจิต ที่ไม่อาจจะสำเร็จได้ เพราะมัวหลงไปให้ค่าต่อสิ่งที่มากระทบ
การให้ค่าใดๆต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนเกิดจากอุปทานที่เกิดจากจิตทั้งสิ้น จิตที่ยังมีอวิชชา
อวิชชาก็คือกิเลสนี่เอง ที่บดบังปัญญา ทำให้ไม่สามารถมองเห็นตามความเป็นจริงได้
จึงหลงก่อเหตุที่เป็นการสร้างภพสร้างชาติใหม่ให้เกิดขึ้นไปเรื่อยๆ

ธรรมะที่แท้จริงปราศจากรูปแบบ ไม่มีคำเรียก ไม่มีตัวตน ไม่มีใดๆ
มีแต่สิ่งที่ถูกรู้ และสิ่งที่รู้ มีแค่นั้นเอง

ไม่ว่าจะลัทธิไหนๆก็สามารถไปถึงฝั่งได้ ถ้ารู้จักทางที่แท้จริง
การเจริญสติปัฏฐาน ทุกๆลัทธิสามารถนำไปใช้ได้ ถ้าจับจุดได้ถูกต้อง

ทำไมเส้นทางของทุกคนจึงแตกต่างกันไป
ที่แตกต่างไปนั้น ล้วนเกิดจากเหตุที่กระทำมากันเองทั้งสิ้น หาใครเป็นผู้สร้างเหตุให้เกิดขึ้นมาไม่
เหตุมี ผลย่อมมี สร้างเหตุอย่างใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น
เราจึงต้องมาเจริญสติกันเพราะเหตุนี้
เพื่อจะได้เห็นตามความเป็นจริง

อย่าได้ให้ค่ากันเลยว่าเป็นลัทธิไหนๆ ถ้าเหตุที่เขากระทำนั้นเป็นกุศล :b8:


.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 17 มิ.ย. 2010, 23:31, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 83 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 32 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร