วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 05:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 42 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 05:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2009, 05:07
โพสต์: 372


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คุณหลับอยู่ เขียน
อายตนนั้นมีอยู่ ....

มึงไปเรียนพระอภิธรรมมา นี่เปลืองข้าวน้ำ พ่อแม่มึงว่ะ


คุณหลับอยู่ครับ ในอดีตผม เชื่อว่านิพพานเป็นดินแดน, มีแต่ความสุขสบาย ไม่แก่ ไม่ตาย เป็นอมตะ

หลวงพ่อ ที่ได้ให้การศึกษาพระอภิธรรม เบื้องต้นกับผม ได้แสดงธรรมไว้ว่า

นิพพาน แปลว่าพ้นจากเครื่องร้อยรัดพันธนาการ คือพ้นจากตัณหานั่นเอง ตัณหาคือเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ทุกข์คือสิ่งที่มีจริงอยู่ทุกวัน สมุทัยคือตัณหานั่นเอง สมุทัยคือตัวที่ทำให้เกิดทุกข์ ตราบใดที่ยังมีความต้องการอยู่ ตราบนั้นชีวิตต้องเปลี่ยนไปอย่างนั้น ไปอย่างนี้ ไปอย่างโน้นตลอดเวลา นิพพานเป็นการสิ้นสุดตัณหา ความหมายของพระนิพพานมี ๕ ประการคือ

๑. เป็นพระปรมัตถ์อย่างหนึ่งที่เข้าถึงได้ทุกคน มีอยู่โดยเฉพาะ ไม่มีการเสริมแต่งได้อีกต่อไป
๒. เป็นธรรมที่ไม่ตาย คือไม่มีทั้งการเกิดและการตาย
๓. เป็นธรรมที่เที่ยงแล้ว คือพ้นจากความเป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
๔. เป็นธรรมที่ไม่ถูกปรุงแต่งด้วยปัจจัยใด ๆ ทั้งสิ้น
๕. เป็นธรรมที่ประเสริฐยิ่ง หาธรรมอื่นเสมอเหมือนไม่ได้
คุณลักษณะของพระนิพพานมี ๓ อย่าง คือ
๑. มีความสงบจากกิเลสและขันธ์ เป็นลักษณะ
๒. มีความไม่แตกดับ เป็นกิจ
๓. ไม่มีนิมิตเครื่องหมายใด ๆ ที่จะไปถึง เป็นผลปรากฏ

ผู้ที่ถึงมรรคผลนิพพานนั้นไม่มีโอกาสกลับมาเล่าอีกแล้วเพราะว่าไม่เกิด ทวารดับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่มีอีกแล้ว ฉะนั้นคนที่นั่งสมาธิไปนี้ไปแค่ไหน ไม่ใช่นิพพานไปแค่สะพานแล้วกลับมาเล่าเท่านั้น

.....................................................
สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21049

ผู้บรรลุธรรม จากสมถะ มีจำนวนน้อยกว่าผู้ไม่มี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21062

การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=29201

ควรศึกษาอัตตโนมติ ของท่านพุทธทาสหรือไม่ ?
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17187


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 05:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


ที..กับพระพทธเจ้า..นิพพาน..ท่านยังอยากให้ใครที่เขาเชื่อ..เอาภาพมาให้ท่านดูเลยนิ..

แล้วที่ท่านเชื่อเรื่องนรกสวรรค์..กบฯก็อยากรู้ว่าท่านจะเอามาให้คนอื่นดูได้ยังงัย??

..อยากรู้..

และก็อยากรู้อีกว่า..ที่ท่านเชื่อเรื่อง..นรกสวรรค์นี้นะ..ท่านไปเห็นมาแล้วรึ..จึงเชื่อ??

ไม่เคยเห็นแล้วเชื่อ...อย่างไรจึงจะเรียกว่าเชื่อแบบไม่งมงาย???

รึ..ท่านเชื่อเพราะมีในพระไตรปิฎก???..ไม่มีในพระไตรปิฎก..ท่านเลยไม่เชื่อ???

E=mC2...เป็นปรากฎการณ์ที่มีอยู่จริง..โรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์เกิดขึ้นได้ก็เพราะสิ่งนี้..เมื่อเป็นจริง..ก็เป็นธรรม..แล้วธรรมชนิดนี้ไม่มีอยู่ใน 8400 พระธรรมขันธ์นะ..แล้วท่านจะเชื่อหรือไม่??

ลองถามตัวเอง..ดู..ตัดคติว่าชอบไม่ชอบ..ถูกใจไม่ถูกใจออกไป...แล้วค่อยตอบตัวเองอย่างเป็นธรรมดูนะ

แล้วท่านจะรู้ว่า..มีอะไรอีกหลายอย่าง..ที่ไม่ควรเชื่อหรือเชื่อ..ทันทีทันใด..

เพราะนั้นอาจจะกลายเป็นความงมงาย..ทันที


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 16 มิ.ย. 2010, 05:49, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 05:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


chalermsak เขียน:

หลวงพ่อ ที่ได้ให้การศึกษาพระอภิธรรม เบื้องต้นกับผม ได้แสดงธรรมไว้ว่า


.................

ผู้ที่ถึงมรรคผลนิพพานนั้นไม่มีโอกาสกลับมาเล่าอีกแล้วเพราะว่าไม่เกิด ทวารดับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่มีอีกแล้ว ฉะนั้นคนที่นั่งสมาธิไปนี้ไปแค่ไหน ไม่ใช่นิพพานไปแค่สะพานแล้วกลับมาเล่าเท่านั้น


มันก็ถูกของหลวงพ่อท่านนะ...แค่สะพาน

แต่กับคนที่หัวสะพาน..ก็ยังไม่เคยเห็น..

คนที่ไปสะพานมาแล้ว..น่าเชื่อถือกว่านะ..กบฯว่า :b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 06:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
หลาย ๆ ท่านที่ศึกษาพระไตรปิฏก อรรถกถา ไม่ดีพอ และไม่มีอภิญญาจิต เช่น ท่านพุทธทาส

มักจะเดาเอาว่า เขาสิเนรุ คือ ภูเขาหิมาลัย ในโลกมนุษย์แห่งนี้

อุตตรกุรุทวีป ก็คือ ประเทศแถบรัสเซีย

ท่านจึงได้แสดงทิฏฐิ ในหนังสือ อภิธรรมคืออะไร ว่า


รวมทั้งแนบ

บุญมี หลวงพ่อเสือ

และเหลิมปากอะไรดี

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 06:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เหลิมนี่เก่งจริงๆ

เรื่องแขวะธรรม

ไปได้ทุกเวป

แขวะได้กับทุกคน

อย่างนี้มั้งลูกเมียถึงขออย่า

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 07:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เหลิมเก่งอภิธรรมแบบนี้มีคนมาเชิญไปบรรยายเยอะไหม

:b35: :b35: :b35:

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 07:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
หลาย ๆ ท่านที่ศึกษาพระไตรปิฏก อรรถกถา ไม่ดีพอ และไม่มีอภิญญาจิต เช่น ท่านพุทธทาส

มักจะเดาเอาว่า เขาสิเนรุ คือ ภูเขาหิมาลัย ในโลกมนุษย์แห่งนี้

อุตตรกุรุทวีป ก็คือ ประเทศแถบรัสเซีย

ท่านจึงได้แสดงทิฏฐิ ในหนังสือ อภิธรรมคืออะไร ว่า


ต้องเหลิมถึงจะรู้จริง

อ้าว

ใครรีบcopyไปเก็บไว้บนหิ้งบูชาเร็ว

อริเยอะบุคคลท่านมาโปรดถึงหน้าบ้านท่านแย้ว

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 07:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เหลิมเก่งจริง

รู้แจ้งแทงตลอดธรรมะทุกข้อ

เชี่ยวชาญพระอภิธรรมเป็นเลิศ

แต่ใครบุญไม่ถึงจะถูกบันดาลให้อ่านไม่รู้เรื่องนะจะบอกไห้

:b4: :b4: :b4:

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 07:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณเฉลิมศักดิ์

ได้โปรดโพสต์ธรรมะดีๆให้เราอ่านอีกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


ได้โปรดสั่งสอนผู้โง่เขลาพระอภิธรรมอย่างพวกเราด้วยเทอญ

เราอยากอ่านธรรมะของท่าน

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 07:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านเฉลิมศักดิ์คือผู้ผดุงศาสนาพุทธในยุคกึ่งพุทธกาล

เราศรัทธาธรรมะที่ท่านโพสต์

smiley smiley smiley

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 07:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2009, 05:07
โพสต์: 372


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คุณกบ เขียน
และก็อยากรู้อีกว่า..ที่ท่านเชื่อเรื่อง..นรกสวรรค์นี้นะ..ท่านไปเห็นมาแล้วรึ..จึงเชื่อ??

ไม่เคยเห็นแล้วเชื่อ...อย่างไรจึงจะเรียกว่าเชื่อแบบไม่งมงาย???


ในพระสูตร,อรรถกถา, พระอภิธัมมัตถสังคหะ มีอธิบายไว้

อีกอย่าง เชื่อ พระพุทธองค์แล้ว อุ่นใจครับ

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=16994

ในกรณีที่ผู้ฟังยังไม่รู้ไม่เข้าใจและยังไม่มีความเชื่อในเรื่องใดๆ ก็ไม่
ทรงชักจูงความเชื่อ เป็นแต่ทรงสอนให้พิจารณาตัดสินเอาตามเหตุผลที่เขา
เห็นได้ด้วยตนเอง เช่น ในเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับชาตินี้ชาติหน้าในแง่จริย-
ธรรม ก็มีความในตอนท้ายของสูตรเดียวกันนั้นว่า

กาลามชนทั้งหลาย อริยสาวกนั้น ผู้มีจิตปราศจากเวรอย่างนี้ มีจิต
ปราศจากความเบียดเบียนอย่างนี้ มีจิตไม่เศร้าหมองอย่างนี้ มีจิต
บริสุทธิ์อย่างนี้ ย่อมได้ประสบความอุ่นใจถึง ๔ ประการ ตั้งแต่ใน
ปัจจุบันนี้แล้ว คือ
ถ้าปรโลกมีจริง ผลวิบากของกรรมที่ทำไว้ดีทำไว้ชั่วมีจริง การที่ว่า
เมื่อเราแตกกายทำลายขันธ์ไปแล้ว จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ก็ย่อมเป็น
สิ่งที่เป็นไปได้ นี้เป็นความอุ่นใจประการที่ ๑ ที่เขาได้รับ
ก็ถ้าปรโลกไม่มี ผลวิบากของกรรมที่ทำไว้ดีทำไว้ชั่วไม่มี เราก็ครอง
ตนอยู่ โดยไม่มีทุกข์ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน เป็นสุขอยู่แต่ในชาติ
ปัจจุบันนี้แล้ว นี้เป็นความอุ่นใจประการที่ ๒ ที่เขาได้รับ
ก็ถ้าเมื่อคนทำความชั่วก็เป็นอันทำไซร้ เรามิได้คิดการชั่วร้ายต่อ
ใครๆ ที่ไหนทุกข์จักมาถูกต้องเราผู้มิได้ทำบาปกรรมเล่า นี้เป็นความอุ่น
ใจประการที่ ๓ ที่เขาได้รับ
ก็ถ้าเมื่อคนทำความชั่ว ก็ไม่ชื่อว่าเป็นอันทำไซร้ ในกรณีนี้ เราก็มอง
เห็นตนเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งสองด้าน นี้เป็นความอุ่นใจประการที่ ๔ ที่เขาได้รับ


สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้นับถือในลัทธิศาสนาหรือหลักคำสอนใดๆ พระองค์
จะตรัสธรรมเป็นกลางๆ เป็นการเสนอแนะความจริงให้เขาคิด ด้วยความ
ปรารถนาดี เพื่อประโยชน์แก่ตัวเขาเอง โดยมิต้องคำนึงว่าหลักธรรมนั้นเป็น
ของผู้ใด โดยให้เขาเป็นตัวของเขาเอง ไม่มีการชักจูงให้เขาเชื่อหรือเลื่อมใส
ต่อพระองค์ หรือเข้ามาสู่อะไรสักอย่างที่อาจจะเรียกว่าศาสนาของพระองค์

.....................................................
สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21049

ผู้บรรลุธรรม จากสมถะ มีจำนวนน้อยกว่าผู้ไม่มี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21062

การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=29201

ควรศึกษาอัตตโนมติ ของท่านพุทธทาสหรือไม่ ?
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17187


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 08:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


chalermsak เขียน:
อ้างคำพูด:
คุณหลับอยู่ เขียน
อายตนนั้นมีอยู่ ....

มึงไปเรียนพระอภิธรรมมา นี่เปลืองข้าวน้ำ พ่อแม่มึงว่ะ


คุณหลับอยู่ครับ ในอดีตผม เชื่อว่านิพพานเป็นดินแดน, มีแต่ความสุขสบาย ไม่แก่ ไม่ตาย เป็นอมตะ

หลวงพ่อ ที่ได้ให้การศึกษาพระอภิธรรม เบื้องต้นกับผม ได้แสดงธรรมไว้ว่า



ไปคุย เรื่องหูตา จมูก ลิ้น กับ กรัชกาย ให้เคลียร์ในกระทู้เก่าก่อนดีไหม หนีตลอด....ใครมีลิงค์ที่เหลิมหนี กรัชกาย เอามาหน่อย :b32: :b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 16 มิ.ย. 2010, 08:12, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 08:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


chalermsak เขียน:
อ้างคำพูด:
คุณกบ เขียน
ไหน ๆ คุณเหลิมก็เชื่อว่าภพภูมิ นรก สวรรค์ พรหม มีจริง..
แล้วเหลิมเอาภาพมาให้ดูหน่อย..ดิ



กระทู้นี้ คุยเรื่องการฝึกมโนมยิทธิ ตามแนวสำนักหนึ่ง ที่สะกดจิตกันไปเห็นนิมิตแปลก

กลายมาเป็นการคุยเรื่อง ภพภูมิ เสียแล้ว

---------------------------------------------------
จากภาพวาด ภพภูมิต่าง ๆ ทั้ง ๓๑ ภูมิ

หากเป็น สำนักวิชามโนมยิทธิ+ธรรมกาย วาดออกมา

เชื่อว่า ต้องมีแดนพระนิพพาน อยู่ด้านบนสุด เป็นแน่


แล้วทำไมเหลิมเชื่อล่ะ แต่ปฏิเสธพระสูตรหลายๆสูตร เห็นอ้างองค์หลวงปู่มั่น ด้วย

ประวัติหลวงปู่มั่น ตอนที35พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์เสด็จมาอนุโมทนาหลวงปู่มั่น

--------------------------------------------------------------------------------

พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์เสด็จมาอนุโมทนา







หลังจากท่านเดินทางถึงแดนแห่งวิมุตติแล้ว คืนต่อ ๆ มามีพระพุทธเจ้าพร้อมพระสาวกจำนวนมากเสด็จมาอนุโมทนาวิมุตติธรรมกับท่านเสมอมิได้ขาด

คืนนั้นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นกับพระสาวกบริวารเป็นจำนวนหมื่นเสด็จมาเยี่ยม

คืนนั้นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นกับสาวกบริวารจำนวนแสนเสด็จมาเยี่ยม

คืนนั้นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นมีสาวกเท่านั้นเสด็จมาเยี่ยมอนุโมทนา

จำนวนพระสาวกที่ตามเสด็จพระพุทธเจ้ามาแต่ละพระองค์นั้นมีจำนวนไม่เท่ากัน ทั้งนี้ท่านว่าขึ้นอยู่กับวาสนาของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ไม่เหมือนกัน ที่พระสาวกตามเสด็จมาด้วยแต่ละพระองค์นั้น มิได้ตามเสด็จมาทั้งหมดในบรรดาพระสาวกของแต่ละพระองค์ที่มีอยู่ แต่ที่ตามเสด็จมามากน้อยต่างกันนั้น พอแสดงให้เห็นภูมิพระวาสนาบารมีของแต่ละพระองค์นั้นต่างกันเท่านั้น

บรรดาพระสาวกจำนวนมากของแต่ละพระองค์ที่ตามเสด็จมานั้น มีสามเณรติดตามมาด้วยครั้งละไม่น้อยเลย ท่านสงสัยจึงพิจารณาก็ทราบว่า คำว่าพระอรหันต์ในนามธรรมนั้นมิได้หมายเฉพาะพระ แต่สามเณรที่มีจิตบริสุทธิ์หมดจดก็นับเข้าในจำนวนสาวกอรหันต์ด้วย ฉะนั้นที่สามเณรติดตามมาด้วยจึงไม่ขัดกัน



ในพระโอวาทของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ประทานอนุโมทนาแก่พระอาจารย์มั่นนั้น ส่วนใหญ่มีว่า



อ้างอิงคำพูด:
เราตถาคตทราบว่าเธอพ้นโทษจากอนันตรทุกข์ในที่คุมขังแห่งเรือนจำของวัฏทุกข์ จึงได้มาเยี่ยมอนุโมทนา ที่คุมขังแหล่งนี้ใหญ่โตมโหฬารและแน่นหนามั่นคงมาก และมีเครื่องยั่วยวนชวนให้เผลอตัวและติดอยู่รอบตัวไม่มีช่องว่าง จึงยากที่จะมีผู้แหวกว่ายออกมาได้ เพราะสัตว์โลกจำนวนมากไม่ค่อยมีผู้สนใจกับทุกข์ที่เป็นอยู่กับตัวตลอดมา ว่าเป็นสิ่งที่ทรมานและเสียดแทงร่างกายจิตใจเพียงใด พอจะคิดเสาะแสวงหาทางออกด้วยวิธีต่าง ๆ เหมือนคนเป็นโรคแต่มิได้สนใจกับยา ยาแม้มีมากจึงไม่มีประโยชน์สำหรับคนประเภทนั้น ธรรมของเราตถาคตก็เช่นเดียวกับยา สัตว์โลกอาภัพเพราะโรคกิเลสตัณหาภายในใจเบียดเบียนเสียดแทง ทำให้เป็นทุกข์แบบไม่มีจุดหมายว่าจะหายได้เมื่อไร



สิ่งตายตัวก็คือโรคพรรค์นี้ ถ้าไม่รับยาคือธรรมจะไม่มีวันหายได้ ต้องฉุดลากสัตว์โลกให้ตายเกิดคละเคล้าไปกับความทุกข์กายทุกข์ใจ และเกี่ยวโยงกันเหมือนลูกโซ่ตลอดอนันตกาล ธรรมแม้จะมีเต็มไปทั้งโลกธาตุ ก็ไม่สามารถอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้ไม่สนใจนำไปปฏิบัติรักษาตัวเท่าที่ควรจะได้รับจากธรรม ธรรมก็อยู่แบบธรรม สัตว์โลกก็หมุนตัวเป็นกงจักรไปกับทุกข์ในภพน้อยภพใหญ่แบบสัตว์โลก โดยไม่มีจุดหมายปลายทางว่าจะสิ้นสุดทุกข์กันลงได้เมื่อใด ไม่มีทางช่วยได้ ถ้าไม่สนใจช่วยตัวเองโดยยึดธรรมมาเป็นหลักใจและพยายามปฏิบัติตาม


พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้เพิ่มจำนวนองค์และสั่งสอนมากมายเพียงไร ผลที่ได้รับก็เท่าที่โรคประเภทคอยรับยามีอยู่เท่านั้น ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ว่าพระองค์ใด มีแบบตายตัวอยู่อย่างเดียวกัน คือสอนให้ละชั่วทำดีทั้งนั้น ไม่มีธรรมพิเศษและแบบสอนพิเศษไปกว่านี้ เพราะไม่มีกิเลสตัณหาพิเศษในใจสัตว์โลกที่พิเศษเหนือธรรมซึ่งประกาศสอนไว้ เท่าที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายประทานไว้แล้วเป็นธรรมที่ควรแก่การรื้อถอนกิเลสทุกประเภทของมวลสัตว์อยู่แล้ว นอกจากผู้รับฟังและปฏิบัติตามจะยอมแพ้ต่อเรื่องกิเลสตัณหาของตัวเสียเอง แล้วเห็นธรรมเป็นของไร้สาระไปเสียเท่านั้น


ตามธรรมดาแล้วกิเลสทุกประเภทต้องฝืนธรรมดาดั้งเดิม คนที่คล้อยตามมันจึงเป็นผู้ลืมธรรมไม่อยากเชื่อฟังและทำตาม โดยเห็นว่าลำบากและเสียเวลาทำในสิ่งที่ตนชอบ ทั้งที่สิ่งนั้นให้โทษ ประเพณีของนักปราชญ์ผู้ฉลาดมองเห็นการณ์ไกล ย่อมไม่หดตัวมั่วสุมอยู่เปล่า ๆ เหมือนเต่าถูกน้ำร้อนไม่มีทางออก ต้องยอมตายในหม้อที่กำลังเดือดพล่าน โลกเดือดพล่านอยู่ด้วยกิเลสตัณหาความแผดเผา ไม่มีกาลสถานที่ที่พอจะปลงวางลงได้ จำต้องยอมทนทุกข์ทรมานไปตาม ๆ กัน โดยไม่นิยมสัตว์น้ำ สัตว์บก สัตว์อยู่บนอากาศและใต้ดิน เพราะสิ่งแผดเผาเร่าร้อนอยู่กับใจ ความทุกข์จึงอยู่ที่นั่น


ที่นี่เธอเห็นพระตถาคตอย่างแท้จริงแล้วมิใช่หรือ?


พระตถาคตแท้คืออะไร คือความบริสุทธิ์แห่งใจที่เธอเห็นแล้วนั้นแล ที่พระตถาคตมาในร่างนี้ มาในร่างแห่งสมมุติต่างหาก เพราะพระตถาคตและพระอรหันต์อันแท้จริงมิใช่ร่างแบบที่มากันนี้ นี่เป็นเพียงเรือนร่างของตถาคตโดยทางสมมุติต่างหาก






อ้างอิงคำพูด:
ท่านพระอาจารย์กราบทูลว่า
ข้าพระองค์ทราบพระตถาคตและพระสาวกอรหันต์อันแท้จริงไม่สงสัย ที่สงสัยก็คือ พระองค์ทั้งหลายกับพระสาวกท่านที่เสด็จไปด้วยอนุปาทิเสสนิพพานไม่มีส่วนสมมุติยังเหลืออยู่เลย แล้วเสด็จมาในร่างนี้ได้อย่างไร?



อ้างอิงคำพูด:
พระพุทธเจ้าตรัสว่า



ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งแม้มีความบริสุทธิ์ทางใจด้วยดีแล้ว แต่ยังครองร่างอันเป็นส่วนสมมุติอยู่ ฝ่ายอนุปาทิเสสนิพพานก็ต้องแสดงสมมุติตอบรับกัน คือต้องมาในร่างสมมุติซึ่งเป็นเครื่องใช้ชั่วคราวได้ ถ้าต่างฝ่ายต่างเป็นอนุปาทิเสสนิพพานด้วยกันแล้วไม่มีส่วนสมมุติยังเหลืออยู่ ตถาคตก็ไม่มีสมมุติอันใดมาแสดงเพื่ออะไรอีก ฉะนั้นการมาในร่างสมมุตินี้จึงเพื่อสมมุติเท่านั้น ถ้าไม่มีสมมุติเสียอย่างเดียวก็หมดปัญหา



พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงทราบเรื่องอดีตอนาคตก็ทรงถือเอานิมิต คือสมมุติอันดั้งเดิมของเรื่องนั้น ๆ เป็นเครื่องหมายให้ทราบ เช่น ทรงทราบอดีตของพระพุทธเจ้าทั้งหลายว่าทรงเป็นมาอย่างไรเป็นต้น ก็ต้องถือเอานิมิตของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น และพระอาการนั้น ๆ เป็นเครื่องหมายพิจารณาให้รู้ ถ้าไม่มีสมมุติของสิ่งนั้น ๆ เป็นเครื่องหมาย ก็ไม่มีทางทราบได้ในทางสมมุติ เพราะวิมุตติล้วน ๆ ไม่มีทางแสดงได้ ฉะนั้นการพิจารณาและทราบได้ ต้องอาศัยสมมุติเป็นหลักพิจารณา


ดังที่เราตถาคตนำสาวกมาเยี่ยมเวลานี้ ก็จำต้องมาในรูปลักษณะอันเป็นสมมุติดั้งเดิม เพื่อผู้อื่นจะพอมีทางทราบได้ว่า พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ๆ และพระอรหันต์องค์นั้น ๆ มีรูปลักษณะอย่างนั้น ๆ ถ้าไม่มาในรูปลักษณะนี้แล้ว ผู้อื่นก็ไม่มีทางทราบได้


เมื่อยังต้องเกี่ยวกับสมมุติในเวลาต้องการอยู่ วิมุตติก็จำต้องแยกแสดงออกโดยทางสมมุติเพื่อความเหมาะสมกัน


ถ้าเป็นวิมุตติล้วน ๆ เช่นจิตที่บริสุทธิ์รู้เห็นจิตที่บริสุทธิ์ด้วยกัน ก็เพียงแต่รู้อยู่เห็นอยู่เท่านั้น ไม่มีทางแสดงให้รู้ยิ่งกว่านั้นไปได้ เมื่อต้องการทราบลักษณะอาการของความบริสุทธิ์ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ก็จำต้องนำสมมุติเข้ามาช่วยเสริมให้วิมุตติเด่นขึ้น พอมีทางทราบกันได้ว่าวิมุตติมีลักษณะว่างเปล่าจากนิมิตทั้งปวง มีความสว่างไสวประจำตัว มีความสงบสุขเหนือสิ่งใด ๆ เป็นต้น พอเป็นเครื่องหมายให้ทราบได้โดยทางสมมุติทั่ว ๆ ไป ผู้ทราบวิมุตติอย่างประจักษ์ใจแล้ว จึงไม่มีทางสงสัยทั้งเรื่องวิมุตติแสดงตัวออกต่อสมมุติในบางคราวที่ควรแก่กรณี และทรงตัวอยู่ตามสภาพเดิมของวิมุตติ ไม่แสดงอาการ


ที่เธอถามเราตถาคตนั้น ถามด้วยความสงสัย หรือถามพอเป็นกิริยาแห่งการสนทนากัน






อ้างอิงคำพูด:
ท่านกราบทูลว่า


ข้าพระองค์มิได้มีความสงสัยทั้งสมมุติและวิมุตติของพระองค์ทั้งหลาย แต่ที่กราบทูลนั้นก็เพื่อถวายความเคารพไปตามกิริยาแห่งสมมุติเท่านั้น แม้พระองค์กับพระสาวกจะเสด็จมาหรือไม่ก็มิได้สงสัยว่าพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์อันแท้จริงมีอยู่ ณ ที่แห่งใด แต่เป็นความเชื่อประจักษ์ใจอยู่เสมอว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต อันแสดงว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ มีใช่ธรรมชาติอื่นใดจากที่บริสุทธิ์หมดจดจากสมมุติในลักษณะเดียวกันกับพระรัตนตรัย





อ้างอิงคำพูด:
พระพุทธเจ้าตรัสว่า




การที่เราตถาคตถามเธอ ก็มิได้ถามด้วยความเข้าใจว่าเธอมีความสงสัย แต่ถามเพื่อเป็นสัมโมทนียธรรมต่อกันเท่านั้น




บรรดาพระสาวกที่ตามเสด็จพระพุทธเจ้ามาแต่ละพระองค์และแต่ละครั้งนั้น มิได้กล่าวปราศรัยอะไรกับท่านพระอาจารย์มั่นเลย มีพระพุทธเจ้าประทานพระโอวาทพระองค์เดียว ส่วนพระสาวกทั้งหลายเป็นเพียงนั่งฟังอยู่อย่างสงบเสงี่ยม น่าเคารพเลื่อมใสมากเท่านั้น แม้สามเณรองค์เล็ก ๆ ที่น่ารักมากกว่าจะน่าเคารพเลื่อมใส ก็นั่งฟังอยู่อย่างสงบเสงี่ยม เช่นเดียวกับพระสาวกทั้งหลาย อันเป็นที่น่าเคารพเลื่อมใสมากและน่ารักมากด้วย ซึ่งยังอยู่ในวัยเล็กมากก็มี อายุราว ๙ ขวบ ๑๐ ขวบ ๑๑
__________________




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 08:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
เหลิมเก่งอภิธรรมแบบนี้มีคนมาเชิญไปบรรยายเยอะไหม

:b35: :b35: :b35:



สัทธรรมปฏิรูปแท้ ๆ ไม่รู้ว่ามันเข้าใจ หรือเปล่า สมถวิปัสสนาเกิดในจิตดวงเดียวกันเป็นธรรมไม่ล่วงกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 08:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
chalermsak เขียน:

หลวงพ่อ ที่ได้ให้การศึกษาพระอภิธรรม เบื้องต้นกับผม ได้แสดงธรรมไว้ว่า


.................

ผู้ที่ถึงมรรคผลนิพพานนั้นไม่มีโอกาสกลับมาเล่าอีกแล้วเพราะว่าไม่เกิด ทวารดับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่มีอีกแล้ว ฉะนั้นคนที่นั่งสมาธิไปนี้ไปแค่ไหน ไม่ใช่นิพพานไปแค่สะพานแล้วกลับมาเล่าเท่านั้น

แน่ใจหรือ เหอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
มันก็ถูกของหลวงพ่อท่านนะ...แค่สะพาน

แต่กับคนที่หัวสะพาน..ก็ยังไม่เคยเห็น..

คนที่ไปสะพานมาแล้ว..น่าเชื่อถือกว่านะ..กบฯว่า :b32: :b32: :b32:



มัน เกลียดการ ฝึกสมาธิอย่างแรง ปริพาชกเดียรถีย์แท้ๆ กลัวกิเลสมันจะหมดไป หน่ะกบน้อย

แนวคิดของปริพาชกเดียรถีย์ ที่ ขัดแย้ง มรรค8 มรรค4 และไตรสิกขา หน่ะกบน้อย


จะเล่านิยายแต่งเอง ให้กบฟัง

นานแสนนานมาแล้ว มีเดียรถีย์ปริพาชก(มีมาก) ได้ถูก กิเลสครอบงำ โจมตีผู้มีตบะบารมีมาก ตายไปตกนรกอยู่นานแสนนาน พอแหกด่าน นรกสัตว์เดรัจฉานมาได้ ด้วยความที่อนุสัยสันดานอาฆาตยังมีอยู่ในใจแต่ปางก่อน หาสำนึกตัวไม่
ก็ตั้งใจไว้ว่า เราจะหาความรู้มาย่ำยีผู้บำเพ็ญสมาธิต่างๆ(ซึ่งจริงๆแล้วค้านได้เลย) แล้วอนาคต สัตว์ตัวนี้ก็จักกลับไปที่ต่ำๆคราวนี้ขังอยู่ยาวยิ่งกว่าเดิม (มีหลายตัวเป็นหญิงบ้างชายบ้าง)
หมูหลายตัว ตอนนี้ ได้น้ำหนักแล้ว


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 16 มิ.ย. 2010, 08:38, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 42 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 13 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร