วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 13:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2010, 10:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




drsnong1.jpg
drsnong1.jpg [ 42.81 KiB | เปิดดู 4135 ครั้ง ]
กราบเรียนท่านอาจารย์สนองที่เคารพอย่างสูง
ดิฉันมีเรื่องขอคำปรึกษา รบกวนท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิต ให้แก่ดิฉันเพื่อการดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกที่ควรด้วยคะ
1 การที่เรามีสามีที่โกหกและปิดบังเรื่องเงิน ไม่บอกแก่ดิฉันแล้วดิฉันต้องทำอย่างไรดีคะ ถ้าคนใกล้ชิดเราชอบพูดโกหกเราจะทำอย่างไร เพื่อที่เราจะไม่เป็นเหมือนเขาผูกเวรจองกรรมในภพต่อไปอีก
2 ดิฉันปิดบังเขาเรื่องเงินบ้างผิดไหมคะ ถ้าบอกเขาต้องเอาไปใช้จนหมดเพราะเราไม่รู้ว่าเขาเอาไปใช้อะไรบ้าง ดิฉันจะเก็บและใช้อย่างประหยัดแต่เขาชอบใช้แบบฟุมเฟื่อยไม่รู้จักคิด บางครั้งเงินมีจริงเท่านี้แต่ดิฉันก็จะบอกน้อยกว่าที่มีเพราะกันเอาใว้ใช้จ่ายที่จำเป็นเพื่อให้ ลูกตอนโตเป็นค่าเล่าเรียน ถ้าให้สามีรู้เขาต้องเอาไปใช้หมด ก็เลยต้องปิดบังสามีเขาทำให้ดิฉันผิดศีล 5 ไหมคะ และเมื่อผิดแล้วศีลหรือผิดสัจจะแก่ใครแล้ว ต้อง ทำ อย่าง ไร เพื่อไม่ติดเป็นกรรมเวรแก่เราได้อีกคะ
3 ดิฉันชอบธรรมะมาตั้งแต่เด็ก และอยากหลุดพ้นไปนิพพาน ไม่ค่อยชอบเรื่องทางโลกเช่นแต่งตัว ดูหนัง และเที่ยวไปสถานที่ต่างๆ ดิฉันอ่านหนังสือธรรมเข้าใจแต่ปฏิบัติไม่ได้เพราะอะไรคะ ตอนเป็นเด็กก็คิดแต่การทำดีอยากเป็นเหมือนพระโพธิสัตว์ ดิฉันชอบการช่วยเหลือ และการแบ่งปันมีความสุขที่ได้เป็นผู้ให้ เคยบวชชีพราหมณ์ ได้ 7 วันยิ่งบวชยิ่งชอบชีวิตแบบนี้ แต่เพราะเป็นผู้หญิงพ่ออยากเรียนรู้ชีวิต โดยการมีครอบครัว ดิฉันก็เลยทำให้พ่อสบายใจโดยการแต่งงาน แต่ชิวิตคู่ดูเหมือนเป็นคู่กรรมกันมากกว่า ตอนเป็นเด็กแม่ดิฉันจะไม่เคยแสดงความรักต่อดิฉันเลย นอกจากอารมภ์โมโหเมื่อดิฉันทำงานไม่ได้ดั่งใจ ดิฉันเป็นลูกสาวคนโตมีน้อง 3 คน ต้องทำงานบ้านตั้งอายุ 7 ขวบ ช่วยแม่ขายของเมื่อทำงานช้าไม่ได้ดั่งใจแม่จะโมโหมาก ดิฉันทำงานให้แม่ไม่เหลวไหล ตั้งใจเรียนและเป็นเด็กดีเท่าที่ตนจะคิดได้ พยายามทำทุกอย่างให้พ่อแม่สบายใจ และเมื่อได้เลี้ยงลูกก็รู้สึกว่าอาการโมโห เมื่อลูกไม่เชื่อฟังหรือไม่ได้ดั่งใจจะโหโมใส่ลูก ทั้งที่ควรเป็นคนที่เราต้องเมตตาต่อเขา ใจจริง อยากสอนเขามากกกว่าการใช้อารมณ์ แต่หักห้ามใจตนเองไม่ให้โมโหไม่ได้ ทำให้อยากสลัดทุกอย่างออกจากตัวเอง ตอนนี้เท่าที่ทำได้คือ พยายามถือศีล 5 สวดมนต์อาทิตย์ละ 2-3 ครั้งครั้งละ 15 นาที และบุญกิริยา 10 อย่าง แต่บางครั้งเครียดเรื่องสามีและเรื่องคนรอบ ตัวก็จะแก้ด้วยการฟังเพลง พูดคุยกับเพื่อนเพื่อระบาย หรือระบายกับลูก ซึ่งดิฉันรู้ดีว่าผิดแต่พยายามแก้ไข อยากนั่งสมาธิแต่นั่งแล้วรู้สึกอึดอัดมาก ที่ทำได้คือเวลาเครียดจะหาอะไรทำเพื่อไม่ให้เครียดทำงานด้านช่วยเหลือ และดูความรู้สึกตัวเองว่าเป็นอย่างไร ดิฉันรบกวนท่านอาจารย์ชี้แนะข้อธรรมะ การดำเนินชีวิตแก่ดิฉันด้วยคะ ว่าดิฉันต้องปฏิบัติตนอย่างให้ตนเองไปในหนทางแห่งการหลุดพ้น
ขอขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูง ที่กรุณาชี้แนะแนวทางการดำเนินชิวิตแก่ดิฉันและผู้คนมากมาย
คำตอบ
(๑). จงเอาสามีและคนใกล้ชิดที่มีพฤติกรรมเช่นนั้น มาเป็นครูสอนใจของเรา ว่าจะไม่ประพฤติอย่างเขา แล้วเราก็จะไม่เป็นเหมือนเขา
(๒). ผู้มีคุณธรรมไม่เอาจิตเข้าไปก้าวล่วงในเรื่องส่วนตัวของคนอื่น และการพูดไม่ตรงกับความเป็นจริง ถือว่าผิดศีลข้อมุสาวาท เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นเวรกรรมต่อกัน ต้องประพฤติตนให้มีเบญจศีลและมีเบญจธรรม คุ้มครองใจอยู่ทุกขณะตื่น
(๓). ชอบธรรมะ ชอบอ่านหนังสือ แต่ปฏิบัติให้มีธรรมะคุ้มครองใจไม่ได้ เหตุเป็นเพราะมีศีลไม่ครบ มีศีลไม่บริสุทธิ์คุ้มครองใจ ผู้ใดอภัยได้ทุกเรื่องในสิ่งที่เป็นเหตุขัดใจ เมตตาอันเป็นคุณธรรมที่ทำให้ใจสงบเย็นย่อมเกิดขึ้น และเก็บสั่งสมไว้ในจิตวิญญาณเป็นเมตตาบารมี ทำให้ความโมโห (โทสะ) ไม่เกิดขึ้น
พระพุทธะมิได้สอนให้หนีปัญหา แต่สอนให้อยู่กับปัญหา แล้วใช้ปัญญาเห็นถูกตามธรรม ดับเหตุของปัญหา เมื่อเหตุดับ ปัญหาย่อมดับตามไปด้วย อนึ่งการแก้ปัญหาด้วยการฟังเพลง คุยกับเพื่อนหรือระบายอารมณ์ออกทางลูก ถือว่าเป็นการหนีปัญหา โดยเอาเสียงเพลง เสียงเพื่อนคุย หรือส่งอารมณ์ให้ลูก ทำให้อารมณ์เปลี่ยนไปชั่วคราว แต่ปัญหาเดิมยังมีค้างอยู่ในจิต ทั้งนี้เพราะเหตุของปัญหายังมิได้ดับ ฉะนั้นควรพัฒนาตัวเองให้มีเมตตา ด้วยการให้อภัยในทุกเหตุที่ทำให้ขัดใจ และดีที่สุดพัฒนาจิต (สมถภาวนา) ให้มีสติ และพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) ให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้สติและปัญญาเห็นแจ้ง พิจารณาสิ่งกระทบที่เป็นเหตุขัดใจตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อสิ่งกระทบเข้าสู่ความเป็นอนัตตา สิ่งกระทบที่เป็นเหตุขัดใจจึงไม่ใช่ตัวตนแท้จริง จิตจะปล่อยวางและว่างเป็นอุเบกขา ผู้รู้หลุดพ้นจากปัญหาทั้งปวงด้วยวิธีการเช่นนี้
…………………………………………………………………..
เรียนถาม อ.ดร.สนอง ครับ

กระผมเริ่มต้นปฏิบัตธรรมอย่างจริงจังตั้งแต่ มกราคม พ.ศ. 2551 นั่งสมาธิเป็นประจำบริกรรม พองหนอ-ยุบหนอ ประกอบกับดูกายและใจตลอด จนกระทั่งประมาณเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2551 วันนึ่งขณะอาบน้ำ มองเห็นว่าแขนที่ทำลังถูสบู่นั้นไม่ใช่ตัวเราแขนที่ถูเป็นส่วนหนึ่ง แขนที่ถูกถูก็เป็นส่วนหนึ่ง ตาที่มองเห็นก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง และได้เคยสอบถามพระอาจารย์ท่านเรื่องสภาวะธรรมนี้ท่านว่าเป็นวิปัสสนาญาณ
หลังจากครั้งนั้นกระผมก็ไม่ได้สนใจอะไรปฏิบัติไปเรื่อย ๆ และไม่ได้สอบอารมณ์อีกเลย เนื่องจากผมปฏิบัติธรรมอยู่ที่บ้านจะไปปฏิบัติที่ วัดปีละ 2 ครั้งครั้งละ 3-7 วัน จึงไม่มีโอกาสได้ส่งอารมณ์กับพระอาจารย์ครับ
จนกระทั่ง ประมาณเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2552 เริ่มมีอาการมองเห็นแมวที่เลี้ยงไว้ มองเห็นหัวกับตัว คนละส่วนกันคือเวลาแมว เลียขนที่ขาผมจะเห็นหัวแมวดูเป็นมีชีวิตส่วนขาที่แมวกำลังเลียอยู่ดูเป็นไม่ มีชีวิต แรก ๆก็คิดว่าคงคิดไปเองหรือสายตาไม่ดีครับ หลังจากนั้นไม่นานขณะที่ผมยืนอยู่ในห้องน้ำกำลังจะอาบน้ำ อยู่ๆ สายตาผมก็เหมือนเลือน ๆ แล้วก็มืดลง ขณะนั้นสัมผัสต่าง ๆ ไม่มี ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยินเสียง ร่างกายไม่มี เหมือนมีแต่จิต ขณะนั้นได้เห็นสภาวะเกิดดับ เห็นร่างกายมันหายไปเกิดความรู้ว่าร่างกายเราไม่มี พอสภาวะนี้หายไปร่างกายก็ปกติ ตามองเห็น หูได้ยินเสียง แต่ไม่เหมือนเดิมครับ คือตาที่มองเห็นเหมือนเราดูโทรทัศน์ ความรู้สึกเหมือนเราเป็นคนดูอย่าในร่างกายเราอีกที เวลามองเห็นแขน-ขา มันก็จะรู้สึกแต่ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา ตลอดเวลาครับ เวลาทานอาหารก็รู้สึกว่าปากที่เคี้ยวอยู่ไม่ใช่เรา จนคนในครอบครัวมองว่าผมเพี้ยนไปแล้ว
นอกจากมองเห็นตัวเองไม่มีเราแล้วผมยังมองเห็นคนอื่นไม่ใช่คน สัตว์ไม่ใช่สัตว์ เราและสัตว์อื่นเหมือนกัน คือผมจะมองเห็นร่างกายเขาเป็นส่วนหนึ่ง ส่วนศีรษะจะเป็นอีกส่วนนึ่ง แยกขาดจากกัน ( ความรู้สึกผมเลยรู้สึกว่า คนและสัตว์จึงไม่มีความแตกต่างกันครับ)

ผมเคยลองมองไปเรื่อย ๆ เห็นว่าร่างกายกับศีรษะที่แยกออกจากกันนั้น ร่างกายก็แยกออกเป็นส่วน ๆลงไปอีก แขน 2 ข้าง-ตัว-ขา 2 ข้าง ก็เหมือนเอามาประกอบกับเข้าไว้เฉย ๆ พอลองมองศีรษะก็เห็น ตา-จมูก-ปาก แยกออกเป็นส่วน ๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน หรือแม้กระั่ทั่งเห็นคนพูดหรือยิ้ม เมื่อมองไปที่ฟันความรู้สึกมันบอกว่าเป็นกระดูกไม่ใช่ฟัน ตั้งแต่สภาวะนี้เกิดขึ้นผมมองอะไรเมื่อแยกออกเป็นส่วน ๆ แล้วไม่มีความสวยงามเลย มองเห็นบ้านสวยหลังใหญ่กลับเห็นเป็นอิฐ หิน ปูน ทรายครับ

ปัญหาของกระผมเกิดขึ้นตรงที่
1. ผมมองไม่เห็นเหมือนคนอื่น ๆ ในครอบครัว ผมกลายเป็นคนเพี้ยนเสียสติของคนในครอบครัว
2. ผมเคยสอบถามพระอาจารย์ท่านว่า สิ่งที่เกิดกับผมนั้น คือดวงตาเห็นธรรมหรือไม่ ท่านไม่สามารถตอบไ้ด้ ท่านว่าต้องมาปฏิบัติ เก็บอารมณ์แล้วดูสภาวะ ดูลำดับญาณ จึงจะสามารถบอกได้ (ด้วยภาระทางบ้านผมจึงไม่สามารถที่จะปฏิบัติแบบเก็บอารมณ์ได้)
3. หากผมมาผิดทางแล้วควรแก้ไขอย่างไรครับ
4. หากกระผมเดินมาถูกทางแล้วควรปฏิบัติอย่างไรต่อครับ
5. สภาวะธรรมที่เกิดขึ้นกับผมนั้นคือ ได้ดวงตาเห็นธรรม หรือป่าวครับ

รบกวนเรียนถาม อ.ดร.สนอง เพียงเท่านี้ครับ ใจจริงกระผมเองอยากมีโอกาสที่จะได้พูดคุยกับ อ. เรื่องการปฏิบัติด้วยเพราะส่วนตัวกระผมปฏิบัติอยู่บ้าน ฟังธรรมะเรื่องการปฏิบัติจาก CD เสียเป็นส่วนใหญ่ครับ

หากกระผมผิดพลาดล่วงเกิน อ. ด้วยประการใด ๆ ทั้งปวง กระผมขออโหสิกรรม อ. มา ณ ที่นี้ครับ

ขอแสดงความนับถือ อ. อย่างสูงครับ
ธนัท
คำตอบ
(๑). ผู้ถามปัญหาเพี้ยนดี จงเพี้ยนต่อไปให้ถึงที่สุด คนในครอบครัวมองว่าเป็นคนเสียสติ เป็นการมองถูกของคนที่เห็นผิดไปจากธรรม คนที่เห็นถูกตามธรรมเห็นว่า สภาวธรรมที่เกิดขึ้นกับจิตของผู้ถามปัญหา กำลังดำเนินไปสู่ความพ้นทุกข์
(๒). เรียกว่ามีปัญญาเห็นถูกตามธรรม แต่ยังเข้าไม่ถึงดวงตาเห็นธรรม ผู้ใดเห็นสิ่งที่เข้ากระทบจิตไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน (อนัตตา) แล้วทำให้จิตเป็นอิสระจากสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ได้เป็นอย่างน้อย จึงจะเรียกผู้นั้นได้ว่า มีดวงตาเห็นธรรม
(๓). พัฒนาจิตมาถูกทางแล้ว จงพัฒนาต่อไป
(๔). ควรใช้สติระลึกในกาย เวทนา จิต ธรรม จนเห็นว่า สิ่งที่ถูกระลึกนั้น ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน (อนัตตา) แล้วมีจิตเป็นอิสระจากกิเลสที่ผูกมัดใจ ที่เรียกว่า สังโยชน์ ๑๐ ได้เมื่อใด .... สาธุ
(๕). ได้ปัญญาเห็นแจ้ง หรือเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า เห็นถูกตามธรรม ส่วนจะเข้าถึงดวงตาเห็นธรรมได้ ให้ดูข้อ (๒)
อนึ่ง จากการสนทนาธรรมกับหลวงพ่อธีร์ ท่านได้พูดกับผู้ตอบปัญหาว่า “ ผู้ใดเห็นสรรพสิ่งเป็นอนัตตาได้แล้ว โทษย่อมไม่มีกับผู้นั้น ” และพระสารีบุตรพูดกับพระฉันนะ ผู้ถูกพระพุทธะลงพรหมทัณฑ์ว่า “ ท่านฉันนะ ท่านได้พัฒนาจิตจนเข้าถึงอรหัตตผลแล้ว พรหมทัณฑ์ย่อมถูกยกเลิกโดยปริยาย ”
หมายเหตุ : พรหมทัณฑ์ หมายถึง โทษที่หมู่สงฆ์พร้อมใจกัน ไม่พูดด้วย ไม่ว่ากล่าวตักเตือน หรือสั่งสอนภิกษุผู้ถูกลงโทษ

กราบสวัสดีท่านอาจารย์ สนอง วรอุไร ที่เคารพอีกครั้ง



1. สภาวะจิตสุดท้ายซึ่งมีส่วนกำหนดให้ดวงจิตไปเกิดในภพภูมิที่สูงขึ้นหรือต่ำลงนั้น สำหรับผู้ที่ตายก่อนหมดอายุขัย (ตายโหง) นั้น สภาวะจิตสุดท้ายคือเมื่อใด ระหว่างเมื่อดวงจิตทิ้งร่าง หรือว่าขณะเป็นสัมพเวสีแล้วถึงเวลาหมดอายุขัยแล้วจริง ๆ และสัมพเวสี สามารถปฏิบัติธรรมต่อไปอีกก่อนที่จะหมดอายุขัยจริงได้หรือไม่

2. เพราะเหตุใด เมื่อท่านอาจารย์ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว ท่านเจ้าคุณโชดกจึงต้องกำชับว่าต้อง "รักษา" สิ่งที่ได้มาไว้อย่างดี แล้วเหตุใดท่านอาจารย์จึงต้องใช้พละ ๕ ในการรักษาสิ่งที่ได้จากการปฏิบัติเอาไว้ ในเมื่อผู้เข้าถึงกระแสแห่งนิพพานจะไม่หลุดออกจากกระแสนั้น ถึงแม้จะดับขันธ์ไปจุติใหม่แล้วก็ตาม

3. เมื่อครั้งยังเด็ก สมัยผมเรียนอยู่ชั้น ป. ๒ อยู่ดี ๆ ครูที่โรงเรียนก็เอาพระเครื่องเก่า ๆ องค์หนึ่งมาให้ผม เป็นพระปางลีลา สีดำ เป็นลักษณะภาพนูนต่ำ ดูเป็นของเก่า ๆ โบราณ น่าจะทำโดยใช้ดินหรืออะไรมิทราบมาปั้น (ดูแล้วน่าจะมีจำนวนจำกัด) แล้วบอกว่าที่ให้ผมเพราะบริจาคเงินผ้าป่าที่ทางโรงเรียนจัดขึ้นมากที่สุดในชั้น ผมก็รับเอาไว้แล้วเอามาคุยกับเพื่อน แต่เพื่อนบอกว่าเขาบริจาค ๒๐ บาทเช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้พระดังกล่าว

เมื่อโตขึ้นมานึกถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ก็สงสัยว่าเหตุที่อาจารย์เอาพระองค์นี้มาให้ ช่างแปลกประหลาด น่าสงสัยยิ่งนัก ตอนนี้ผมก็มีสมมติฐานเป็นสองทาง ว่าพระองค์นี้อาจจะมีมนต์ดำหรืออะไรบางอย่าง ที่ทำให้ครูท่านนั้นไม่อยากเก็บไว้แล้วเอามาให้ผม หรือมีอะไรดลใจให้ท่านเอามาให้ผม ท่านอาจารย์สนองคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ครับ ?

4. ผมเคยมีประสบการณ์แปลก ๆ ทางจิตอยู่บ้าง ผ่านทางความฝัน (เพราะจากที่เคยบอกไว้ในฉบับแรกว่าการปฏิบัติกรรมฐานของผมยังอยู่ในระดับเริ่มต้น) โดยเคยฝันเห็นข้อความที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในอนาคต ๑ ครั้ง ในขณะฝันไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ก็มีการคิดโต้ตอบความฝันนั้น จึงทำให้กลับมาระลึกถึงได้ เมื่อได้ประสบกับข้อความนั้นในความเป็นจริงในเวลาต่อมา แล้วอีกครั้งหนึ่งฝันเหมือนมีเสียงมาบรรยายสัจธรรมของโลก ที่สอดคล้องกับหลักธรรมเรื่องความเป็นอนิจจังของสรรพสิ่ง แล้วผมก็ได้พิจารณาตามแล้วรู้สึกว่าจิตใจเมื่อได้พิจารณาตามสารจากเสียงนั้นแล้ว เป็นจิตใจที่มีความสุขเป็นอย่างยิ่ง แบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เรียกได้ว่าอิ่มเอิบอย่างบอกไม่ถูกจริง ๆ อยากถามอาจารย์ว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าว มีสาเหตุจากอะไร ? สามารถบ่งบอกถึงพัฒนาการทางจิตของผมได้หรือไม่ ?

5. ข้อแตกต่างของการให้ปัญญาแก่บุพการีกับความอกตัญญูนั้นอยู่ที่ใด ? เพราะจากประสบการณ์ชีวิต ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า บุพการี ก็เป็นสามัญชนเช่นเดียวกับเรา ไม่สามารถยึดเป็นนิยามของความถูกต้องได้ ในบางครั้ง ความคิดและการกระทำของท่านเป็นไปในทางมิจฉาทิษฐิหรือไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด โดยบางครั้งก็เป็นในส่วนของความคิด บางครั้งก็เป็นในส่วนของวิธีการ ผมเห็นว่า การโอนอ่อนผ่อนตาม หรือการเชื่อฟังสิ่งที่มาจากการเห็นผิดของท่านไม่ว่าจะโดยความคิดหรือวิธีการนั้น ก็รังแต่จะทำให้กิเลสของท่านเติบโต เป็นการสนองตัณหาแล้วไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น จึงลองแสดงความคิดเห็นของตนออกไปบ้าง ซึ่งบางครั้งผมก็ผิดบางครั้งก็ถูก แต่ในบางกรณี ด้วยความที่ท่านเป็นผู้ยึดติดในอัตตาสูง เมื่อฝ่ายท่านเข้าตาจน ก็จะงัดไม้ตายออกมาใช้โดยต่อว่าเราว่าเป็นคนเถียงพ่อเถียงแม่ ฯลฯ ซึ่งหลงประเด็นออกไป ทั้ง ๆ ที่ในบางครั้งก็เห็นได้ชัดว่าท่านไม่สามารถหาเหตุผลมาลบล้างสิ่งที่ผมเสนอได้ เหมือนกับว่าท่านพยายามรักษาฟอร์มของคนเป็นพ่อเป็นแม่อะไรทำนองนั้น

สุดท้ายนี้ ขออนุโมทนาบุญที่ท่านอาจารย์ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ผู้มากด้วยกิเลสที่ยังวนเวียนในวัฏฏะสงสาร และขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ช่วยตอบคำถาม คลายข้อสงสัยของกระผม หมดเมลฉบับนี้ก็คงอีกนาน เพราะที่ได้ถามไปนั้นเป็นข้อสงสัยที่สั่งสมมานานนับปี แล้วถ้าผมมีข้อสงสัยอะไรเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม จะเมลมาสอบถามใหม่ครับ
คำตอบ
(๑). คำว่า สภาวะจิตสุดท้าย หมายถึง จิตที่หลุดออกจากร่างปัจจุบัน เหตุด้วยมีอุปฆาตกรรมมาตัดรอน จิตจึงต้องทิ้งร่างก่อนที่จะถึงอายุขัย แล้วเปลี่ยนไปอยู่ในรูปนามที่เป็นทิพย์ ที่มีรูปลักษณ์เหมือนเดิมก่อนตายทุกประการ จึงเรียกรูปนามที่เป็นทิพย์นี้ว่า สัมภเวสี มีอายุเท่ากับอายุขัยที่เหลืออยู่ของร่างเดิม แล้วจึงจะไปปฏิสนธิหรือโอปปาติกะ อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสัตว์อยู่ในภพใดภพหนึ่งของวัฏสงสาร อนึ่งขณะเป็นสัมภเวสี ไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้ ด้วยเหตุต้องเสวยอกุศลวิบากจนกว่าจะหมดสิ้น
(๒). คำว่า “ ปัญญาเห็นแจ้ง ” หมายถึง เห็นสิ่งที่เข้ากระทบจิต ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์ ส่วนคำว่า “ ดวงตาเห็นธรรม ” หมายถึง เห็นสิ่งกระทบจิต ดับไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วทำให้จิตเป็นอิสระจากกิเลสที่เรียกว่า สังโยชน์ อย่างน้อยสามตัว คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
ในห้วงเวลาปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดมหาธาตุฯ ผู้ตอบปัญหาได้เข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งที่ยังเป็นส่วนของอริยมรรค หลังจากสึกออกมาแล้ว จึงได้เจริญพละ ๕ เพื่อใช้เป็นกำลังให้จิตได้พัฒนาเข้าสู่อริยผล
(๓). ผู้ใดเชื่อในกฎแห่งกรรม แล้วจะไม่สงสัยในสิ่งที่บอกเล่าไป การให้วัตถุเป็นทาน เมื่อเหตุปัจจัยลงตัว ผู้ทำเหตุได้ก่อน ย่อมได้วัตถุกลับคืนมา ผู้รู้ไม่เอาจิตเข้าเป็นทาสของวัตถุ เพราะวัตถุไม่ใช่เหตุแท้จริง ที่จะนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์
(๔). เรื่องที่บอกเล่าไป มีเหตุเกิดจากจิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ เหตุที่เป็นนิมิตถูกตรง เพราะสัจจะมีพลังผลักดันให้เกิดความถูกตรง ซึ่งสามารถบ่งบอกถึงสภาวะของจิตของผู้ถามปัญหา ว่าดำเนินมาถูกทาง ที่จะนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ในกาลข้างหน้า
(๕). การรินน้ำใส่ภาชนะที่หงาย ภาชนะย่อมรองรับน้ำไว้ได้ ตรงกันข้าม หากภาชนะยังคว่ำอยู่ แม้จะรินน้ำเติมให้กี่ครั้งกี่หน ภาชนะที่คว่ำย่อมรองรับน้ำไว้ไม่ได้ ซ้ำยังทำให้ภาชนะเปียกน้ำอีกด้วย ฉันใดก็ตาม บุพการีที่ยังไม่เกิดศรัทธาในตัวลูก ไม่ต่างไปจากภาชนะที่คว่ำ นอกจากไม่เกิดประโยชน์แล้ว หากลูกไปชี้แนะหรือสั่งสอน ย่อมเกิดเป็นโทษได้ การประพฤติเช่นนี้เรียกว่า อกตัญญู

1341.
กราบนมัสการดร. คะ

ดิฉันสวดมนต์เที่ยงคืน ทำวัตรเย็นแล้วก็สวดมนต์หนังสือหลวงพ่อจรัสต่อ แล้วต่อด้วยชินบัญชร อีก 10 จบ ต่อมาก็ฝึกจิตนั่งสมาธิสักระยะหนึ่งมันมีภาพบ้านเก่าๆหลายหลังแล้ว เห็นภาพชายแก่มีฐานะ สักพักมีแสงผ่านเข้าตาวาวจ้ามาก ขณะนั้นดิฉันตกใจมาก แล้วกำหนดจิตให้นิ่ง แล้วก็แผ่เมตตาตอนแผ่เมตตาดิฉันรู้สึกตัวลอยขึ้นแล้วขนลุกทั้งตัวแล้วตัวชาหายใจไม่ค่อยออก แล้วก็พยายามแผ่เมตตามันเหนื่อยมากปากมันไม่ขยับ แล้วดิฉันก็พยายามแผ่เมตาจนจบแล้วค่อยลืมตาขึ้นมา ดิฉันลืมตาไม่ได้ แล้วก็ตั้งจิตแล้วค่อยลืมตาขึ้นมาแล้วรู้สึกเหนื่อยมากๆๆ ลุกไม่ขึ้นแล้วหายใจแทบไม่ทันอาการเหมือนคนที่ออกกำลังกายมากๆๆแล้วหายใจไม่ทันเกือบจะเป็นลม ทำไมถึงเป็นแบบนี้คะ แล้วเราจะกำหนดจิตอย่างไรเมื่อรู้สึกว่าตัวลอยขึ้นจากที่เรานั่งอยู่

ท่านอาจารย์ดร.เจ้าค่ะ ช่วยให้หนูได้เห็นทางออกด้วยเถอะเจ้าค่ะ

กราบนมัสขอบพระคุณอย่างสูงเจ้าคะ
คำตอบ
การเปลี่ยนสภาวะจิตที่สงบ มาเป็นจิตที่ปรุงอารมณ์แบบทันทีทันใด ทำให้ร่างกายต้องใช้พลังงานในปริมาณที่มากในห้วงเวลาอันสั้น ย่อมทำให้ร่างกายสร้างพลังงานปริมาณมากขึ้นมาไม่ทัน อาการเหนื่อยคล้ายจะเป็นลมจึงได้เกิดขึ้น ฉะนั้นการเปลี่ยนสภาวะของจิตที่สงบ มาเป็นจิตที่ปรุงอารมณ์ ต้องให้เวลาแก่ร่างกายได้ปรับตัวชั่วระยะหนึ่ง แล้วปัญหาดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้น
เมื่อใดรู้สึกว่าตัวลอย ผลนั้นเนื่องจากกำลังของสมาธิเป็นเหตุ เป็นการใช้สมาธิผิดธรรม จึงต้องกำหนดว่า “ ลอยหนอๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนอาการรู้สึกตัวลอยดับไป แล้วใช้จิตที่มีกำลังสมาธิไปพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม จนเห็นว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ จึงจะเรียกว่าเป็นการใช้สมาธิถูกธรรม (สัมมาสมาธิ)

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2010, 11:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


อนุโมทนา สาธุค่ะคุณธรรมบุตร :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2010, 11:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครับคุณ ทักทาย อนุโมทนาบุญคุณด้วยครับ สาธุ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 11:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue :b8: ขออนุญาตท่านธรรมบุตรค่ะ

601.
กราบเรียนอาจารย์สนองที่เคารพค่ะ

ดิฉันมีเรื่องขอถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1. การบรรลุมรรคผลนิพพานนั้นเป็นเรื่องที่ต้องสร้างบารมียาวนานหลายกัลป์ เลยหรือปล่าวคะ เพราะได้อ่านหนังสือของพระในสมัยปัจจุบัน บางรูปได้บอกว่า เรื่องของการบรรลุมรรคผลนิพพานเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ในชีวิตนี้ เป็นเรื่องจริงหรือไม่คะ

2. การได้พบพระอริยบุคคลเป็นเรื่องที่ต้องมีบุญกุศลมาก่อนหรือไม่คะ
ขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ


คำตอบ
(1) ใช่ คนที่จะบรรลุธรรมสูงสุดได้ต้องสร้างและสั่งสมบารมีมายาวนานเป็นกัลป์

ที่พระสงฆ์บางรูปกล่าวไว้ในหนังสือที่ผู้ถามปัญหาไปอ่านเจอว่า “ การบรรลุมรรคผลนิพพาน เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ในชีวิตนี้ ” เป็นเรื่องจริงกับคนที่มีบารมีสั่งสมมาจากอดีตชาติอันยาวไกลและมีมากพอจนแสดงผลได้

(2) ต้องมีบุญกุศลสั่งสมมาก่อน จึงสามารถพบและได้สนทนาธรรมกับอริยบุคคลได้

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 11:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


602.
กราบเรียนอาจารย์สนอง

หนูมีคำถามดังต่อไปนี้ ค่ะ

1.ทุกครั้งที่มีการสอบเพื่อน ๆของหนูจะนำโน๊ตย่อติดตัวเข้าไปด้วยทุกครั้งเลยค่ะ และหากได้โอกาสที่อาจารย์คุมสอบไม่เห็นเห็นก็จะหยิบขึ้นมาดู เพื่อนๆเค้าทำแบบนี้เกือบหมดทุกคนในห้องเลยค่ะ ส่วนอาจารย์ที่คุมสอบบางทีก็จงใจทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้นั่งหันหน้าเข้าข้างฝาปล่อยให้นักศึกษาลอกกันค่ะ หรือบางคนก็แอบเอาโน๊ตย่อเขึ้นมาดูค่ะ ตัวหนูเองไม่เคยทุจริตในการสอบค่ะและหนูเองเป็นคนเรียนไม่เก่งหัวไม่ดีและหนูยอมรับเลยค่ะว่าตัวเองก็เป็นคนไม่ได้ตั้งใจเรียนอะไรมากมาย ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น แล้วทุกๆ ครั้งที่ผลการสอบออมาหนูจะได้คะแนนน้อยที่สุดในห้องเรยค่ะ ประมาณว่าเป็นฐานเวลาตัด curveคะแนนของห้องค่ะ แต่หนูก็ไม่สนใจ เพียงแต่ก็ยังสับสนในตัวเองว่าที่จริงแล้วเราควรจะทุจริตเหมือนที่เพื่อน ๆทำหรือป่าว เพราะมีเพื่อนหลาย ๆ คนที่ทำแบบนี้จนได้เกรดเฉลี่ยสูงๆอาจารย์ในคณะก็รักใคร่ จบด้วยเกียรตินิยม สร้างความภาคภูมิใจให้พ่อแม่ หนูจึงอยากถามอาจารย์ว่าการที่อารจารย์จงใจยอมให้นักศึกษาทุจริตในการสอบนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นความหวังดีที่อยากจะช่วยนักศึกษา นั่นเป็นบุญหรือบาปคะ และการที่ทุจริตในการสอบเพื่อให้ได้เกรดสูง ๆ หวังจะให้พ่อแม่ภูมิใจในตัวเราและมีการงานที่ดีทำได้เงินเดือนสูง ๆ แล้วเอาเงินเดืนั้นมาเลี้ยงพ่อแม่ นั้นถือว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องหรือไม่ ?

คำตอบ
นักศึกษาประพฤติทุจริตในการสอบ ถือว่าเป็นบาปอาจารย์ผู้คุมสอบหวังช่วยเหลือลูกศิษย์ ด้วยการทำเป็นไม่เห็นศิษย์ประพฤติทุจริตเป็นอาจารย์ที่ไร้คุณธรรม และยังเป็นการส่งเสริมศิษย์ให้ชั่วมากขึ้นอาจารย์จึงบาปมากกว่า การกระทำของอาจารย์แบบนี้ ไม่ต่างไปจากความหวังดีของลูกที่คิดตอบแทนคุณของพ่อ ด้วยการสืบทอดเจตนาธรรมทุจริตค้ายาเพื่อนำเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว จนในที่สุดถูกจับได้พร้อมยาบ้าจึงต้องถูกพิพากษา นำพาชีวิตตนเองเข้าไปอยู่ในเรือนจำตามรอยบิดาผู้มาชีวิตวิบัติ ที่ถูกฆาตกรรมจากผู้ร่วมกระบวนกรรม



2. มีอยู่ครั้งหนึ่ง เพื่อนสนิทของหนูเค้าไม่ยอมส่งงานอาจารย์ อาจารย์ก็โทรมาตามงานจากเค้า แต่เค้าโกหกอาจารย์ไปว่าเค้าได้ส่งไปแล้วและเพื่อนคนนั้นก็หนีไปเที่ยวต่างจังหวัด และระหว่างที่เค้าอยู่ต่างจังหวัดนั้นเองอาจารย์ได้โทรไปบอกให้เค้ามาส่งงานอีกในวันรุ่งขึ้น เพราะอาจารย์บอกว่าได้กลับไปหางานของเค้าแล้วแต่หาไม่พบ ถ้าหากไม่มีงานชิ้นนั้นส่งอาจารย์ๆ ก็ตัดเกรดให้เพื่อนหนูไม่ได้ เพื่อนคนนั้นจึงได้โทรมาขอร้องให้หนูทำงานให้เค้าแล้วเอาไปส่งที่อาจารย์ท่านนั้น แต่หนูไม่ยอมทำให้เพื่อนเพราะหนูไม่อยากมีส่วนในการโกหกอาจารย์เพราะอาจารย์ท่านนั้นเป็นคนดีมีศีลธรรม เพื่อนของหนูเค้าเลยไปไหว้วานให้เพื่อนอีกคนนึงทำส่งให้ หลังจากนั้นไม่นานก็มีเพื่อนอีกคนนึงมาต่อว่าหนูว่าเป็นเพื่อนสนิทกันอะไรที่ช่วยกันได้ก็น่าจะช่วยหากไม่เหลือบ่ากว่าแรง หนูก็เรยรู้สึกผิดและสับสนว่าตัวหนูเป็นคนแล้งน้ำใจกับเพื่อนสนิทเกินไปหรือเปล่าคะอาจารย์ ?

คำตอบ
การคบเพื่อนเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นกับชีวิต ต้องคบทุกคนเป็นเพื่อน แต่เพื่อนใกล้ชิดเพื่อนสนิทต้องเป็นคนดีที่เรียกว่า กัลยาณมิตร เพื่อนดีไม่นำพาชีวิตไม่ตกต่ำ เพื่อนดีจะป้องกันขัดขวางไม่ให้เราทำชั่วและชักชวนให้เราทำดี ทำแล้วต้องไม่ผิดกฎหมายไม่ผิดศีลและไม่ผิดไปจากธรรม

เป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่ผู้ถามปัญหามีเพื่อนสนิทเป็นคนพาลหากยังคบหาใกล้ชิด โอกาสที่เพื่อนพาลจะพาประพฤติผิดย่อมเกิดขึ้นได้ฉะนั้นการไม่ร่วมมือกระทำความชั่วกับเพื่อนที่เป็นคนไม่ดี ไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่แล้งน้ำใจสำหรับคนดี แต่ถ้าคนชั่วทำตามคนพาลที่ขอร้องให้กระทำความผิดถือว่าผู้ให้ความร่วมมือเป็นคนมีน้ำใจชั่วแล้วในที่สุดตัวเองก็จะกลายเป็นคนชั่วคนพาลตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้ในมงคลสูตรข้อแรก พระพุทธะจึงได้ตรัสกับเทวดา ที่มาขอให้บอกความเป็นมงคลว่า “ อเสวนา จะพาลานัง บัณฑิตตานัญจะ เสวนาฯ ” ผู้ใดทำได้แล้วความเป็นมงคลจะเกิดขึ้นกับชีวิต


3.หากหนูทำการปฎิบัติธรรมถือศีล สวดมนต์และนั่งวิปัสสนาอานิสงค์ของการปฎิบัตินั้นจะสามารถ ทำให้หนูอธิฐานจิตโน้มน้าวให้พ่อแม่ของหนูหันมาสนใจการปฎิบัติธรรมฝักใฝ่ในพุทธศาสนา นั่งวิปัสสนากรรมฐาน และสามารถบรรลุธรรมในชาตินี้ได้หรือไม่คะ
และหากหนูสนใจแต่การปฎิบัติธรรมจนละเลยเรื่องความก้าวหน้าของชีวิตการงาน แต่ก็ไม่ได้ละทิ้งหน้าที่ทางโลกโดยซะทีเดียว และอาจทำให้พ่อแม่เป็นห่วง อย่างนี้ถือว่าหนูทำบาปต่อบุพการีหรือเปล่าวคะ ?

ขอบคุณค่ะ
จอมขวัญ

คำตอบ
เพียงแค่การสวดมนต์ และปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานยังไม่ถือว่ามีพลังบุญกล้าแข็งพอ ที่จะทำให้พ่อแม่บางคนศรัทธาแล้วหันมาสนใจปฏิบัติธรรมได้ หากเมื่อใดผู้เป็นลูกปฏิบัติธรรมจนจิตเข้าถึงธรรมบรรลุความเป็นอริยบุคคลได้แล้วโอกาสที่พ่อแม่จะหันมาสนใจและฝักใฝ่อยู่ในธรรมย่อมเกิดขึ้นได้ ดังตัวอย่างของพระสารีบุตรเปลี่ยนความเห็นผิดของนางสารีผู้เป็นแม่ให้กลับมาเห็นถูกและนับถือพระพุทธศาสนา

ผู้ที่สนใจพุทธศาสนาและนำตัวเองเข้าประพฤติได้ถูกตรงตามธรรมย่อมเข้าถึงธรรมได้ในชาตินี้ ตามระดับของธรรมทีตัวเองปฏิบัติได้อาทิ ประพฤติจริยธรรมพ่อแม่ได้ถูกตรงครบถ้วน คุณธรรมของการเป็นพ่อแม่ที่ดีย่อมเกิดขึ้น ประพฤติตนมีงานดีทำมีเงินใช้ ใช้เงินอย่างประหยัดแต่พอดี และไม่ทำตัวเป็นหนี้ เขาย่อมเข้าถึงธรรมที่นำสู่ความสุขแบบฆราวาสได้ ประพฤติสมถภาวนาจนจิตเข้าสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิจิตย่อมเกิดความสงบสุขประพฤติวิปัสสนาภาวนา จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ โอกาสเป็นอริยบุคคลย่อมเกิดขึ้นได้ฯลฯ

ผู้ใดประพฤติงานภายนอกที่ทำให้กับสังคมได้ถูกตรง ไม่ทำให้เกิดเป็นความเสียหาย ไม่ถือว่าเป็นการละทิ้งหน้าที่ในทางโลก ส่วนงานภายในคืองานบริหารจัดการชีวิตตัวเองให้ดี ไม่ถือว่าทำชีวิตให้เสียหายส่วนเรื่องที่บุพการีเป็นห่วงนั้นเป็นเรื่องของเขา พระพุทธะมิได้สอนให้ไปแก้ไขผู้อื่น แต่สอนให้ดูตัวเอง ปรับแก้ไขตัวเองให้ดี ฉะนั้นผู้ถามปัญหาจึงต้องพิจารณาคำชี้แนะจากผู้รู้ แล้วตัดสินใจนำพาชีวิตไปด้วยตัวเอง

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 11:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: :b8: :b8: ขออนุโมทนาสาธุการกับทุกท่านด้วยค่ะ cheesy

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 11:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


603.
เรียน อาจารย์สนองที่เคารพ

ดิฉันได้รับการตอบปัญญาของอาจารย์ ขอบพระคุณอย่างที่สุด ทุกคำถามและทุกคำตอบเป็นครูสอนได้อย่างดี ดิฉันอ่านทุกข้อ และปฏิบัติตามคำชี้แนะ

ก่อนนี้ปฏิบัติธรรมจริง แต่ไม่เห็นธรรม ยังหลงอยู่ ปัจจุบัน ทำตามคำสอน คำชี้แนะได้ผลจริงๆ ถือศีล 5 ครองใจ ปฎิบัติตามพละธรรม 5 และทำบุญกริยา10 เจริญพรหมวิหาร4 อยู่ทุกขณะจิตให้ได้ เปลี่ยนเลยค่ะ ชีวิตเปลี่ยน ความคิดเปลี่ยน การกระทำแบบเคยชินถูกเปลี่ยน

ขอกราบท่านให้เป็นผู้รู้ เป็นอาจารย์ทางธรรม ด้วยความเคารพ และศรัทธายิ่ง

ขออนุญาตคัดลอกคำถาม-คำตอบ จำนวน กว่า 600 ข้อ และธรรมบรรยาย ของอาจารย์ทุกตอนที่มีอยู่ในเว็บไซร์ เพื่อเก็บไว้ฟัง และ อ่านทุกๆวัน จะได้มีสติระลึกรู้ ใส่ของดีๆให้จิตทุกๆวัน

กราบมาเพื่อขออนุญาติจากครูอาจารย์ และ หนูจะไปกราบอาจารย์ในวันอาทิตย์ที่ 25พฤศจิกายน นี้ค่ะ ในงานบรรยายธรรม

หนูหน่อง

คำตอบ
ผู้ถามขออนุญาตคัดลอก คำถาม-คำตอบในเว็บไซด์ เพื่อเก็บไว้ดูเป็นส่วนตัว ไม่ขัดข้อง อนุญาต

พร้อมกันนี้ขออนุโมทนาความเห็นถูกที่ได้เกิดขึ้นกับผู้ถามแล้วนำคำชี้แนะไปปรับแก้ไขสิ่งผิดพลาดให้กลับมามีชีวิตที่ดีงามได้

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 11:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


604.
กราบเรียนอาจารย์ด้วยความเคารพ

พ่อของผมนั้นเขาสวดมนต์เช้าเย็นอยู่เป็นประจำนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ว่าพอสวดเสร็จอุทิศส่วนกุศลเสร็จ เขามักจะขอโน้นขอนี่ (ขอทรัพย์สินเงินทองอย่างมาก) และยังยึดติดกราบไหว้ของขลังที่เขาบูชามา อย่างเช่น ถังเงินถังทอง แหดักเงิน ฯลฯ ที่มีอยู่ (แต่ไม่ได้มีมากมายนักหรอกครับ) ทั้งนี้เขาต้องการให้ได้เงินมาหมุนเวียน ไม่อยากลำบากไม่อยากไม่สบายใจ ต้องหาเงินจวนเจียนเข้าเช็คตลอด และเขามักมีอารมณ์เร็วต่อสิ่งมากระทบโดยเฉพาะความโกรธ เป็นคนโกรธง่าย เห็นใครดีก็ชอบ เห็นใครไม่ดีก็บ่นก็ว่า โกรธเคือง พอเดี๋ยวอีกวันนึงเห็นไอ้คนที่ไม่ดีมาทำสิ่งที่ดีให้ตนก็ชอบอีก พอไอ้คนที่ดีมาทำไม่ดีกับตนก็โกรธเคืองอีก เป็นอยู่อย่างนี้ประจำ (พอใจก็ชอบไม่พอใจก็โกรธ แต่มักจะมองคนในด้านลบแล้วโกรธ) แล้วทุกวันพระ เขาจะถวายข้าวพระพุทธรูป ศาลพระภูมิ ศาลตายาย ตลอดจนอาม่า อากงและแม่ของผมที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งยังเป็นการเห็นผิดอยู่ เขายังไม่รู้ในการที่ต้องดูที่ตัวเอง กำหนดดูอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแล้วดับ เขาเป็นคนที่สอนยากมาก บอกให้ไปเข้ากรรฐานก็ไม่ไป เขาบอกว่า "เตี่ยสวดมนต์ทุกวันนี่ก็พอแล้ว เตี่ยรู้อะไรต่ออะไรดี ไม่ต้องไปหรอก" ผมควรบอกยังไงกับพ่อของผมดีครับในเรื่องทั้งหมดนี้ เรื่องของขลังกับเรื่องถวายข้าวควรบอกมั้ยครับ ผมขออาจารย์สนองโปรดชี้แนะสนองปัญหาผมด้วยครับ
สุดท้ายนี้ผมขอพรคุณพระรัตนตรัยได้โปรดดลบันดาลให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง ได้อยู่สอนมวลมนุษย์ให้พ้นทุกข์ตลอดรอดฝั่งด้วยเถิด

ขอขอบคุณอาจารย์ด้วยความเคารพครับ

คำตอบ
ความรู้ไม่จริง (โมหะ) เป็นกิเลสที่แก้ไขได้ยาก แต่สามารถแก้ไขได้ ด้วยการเจริญจิตตภาวนาจนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วความเห็นผิดดังที่บอกเล่าไปก็จะถูกกำจัดให้หมดไปด้วยปัญญาเห็นแจ้งนั่นเอง

ชีวิตของใครจะเป็นอย่างไร ต้องบริหารจัดการด้วยตัวเจ้าของชีวิต โดยเฉพาะลูกไม่มีสิทธิ์ที่จะไปสั่งสอนพ่อแม่ หากเมื่อใดผู้เป็นลูกปรับแก้ไขชีวิตตัวเองให้มีศีลมีธรรมคุ้มครองใจให้มีความเห็นถูกมีพฤติกรรมในการคิด พูด ทำ ดีทุกเรื่อง จนทำให้เกิดความศรัทธาขึ้นกับพ่อแม่ แล้วมาเอ่ยปากขอคำแนะนำจากผู้เป็นลูก เมื่อนั้นลูกจึงจะมีสิทธิ์ชี้แนะพ่อแม่ได้

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 11:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


605.
เรียนท่านอาจารย์

หนูมีอาการคือ ในชีวิตประจำวันเมื่อรับการกระทบจากภายนอกแล้วจะปรุงแต่งเป็นอารมณ์ตลอดเวลา ทำให้ร่างกายเหนื่อยง่าย ทำงานได้ครึ่งวันจะง่วงนอน และเพลีย

เมื่อพยายามตั้งสติไม่ให้ไปตามอารมณ์จะเกิดความสว่าง ถ้าการกระทบภายนอกแรงและตั้งใจทำที่ใจจะยิ่งสว่างมากและยาวนาน พอใจมันสว่างจะรู้สึกเหมือนหลับไม่ลง เพราะใจไม่อยากนอน แต่ขณะเดียวกันร่างกายก็สู้ไม่ไหว เกิดเป็นความไม่ลงตัวระหว่างกายกับใจ หลายๆวันเข้าก็ป่วย และกลายเป็นคนป่วยง่ายมาก หนูควรปฏิบัติอย่างไรคะ จึงจะแข็งแรงทั้งกายและใจไปพร้อมกัน

ขอบพระคุณท่านอาจารย์ค่ะ

คำตอบ
ปรับแก้ไขตัวเองให้มีศีล 5 คุมใจให้ได้ตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า จนกระทั่งหลับไปในตอนกลางคืน ก่อนนอนสวดมนต์ทำจิตตภาวนา อุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวร แล้วเข้านอนด้วยการปล่อยวางความคิดทุกอย่างให้หมดสิ้นไปจากใจ ผู้ใดปฏิบัติได้อย่างที่ชี้แนะแล้วความลงตัวระหว่างกายกับใจก็จะเกิดขึ้น

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 11:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


606.
เรียนถาม

ท่านอาจารย์คะ หนูมีกิจการส่วนตัว คือเรียนจบแล้วมาช่วยพ่อแม่ทำงาน พี่น้องก็มาทำด้วยกันครบทุกคน หนูนำเงินของส่วนกลางไปทำบุญ เช่นบริจาคพิมพ์หนังสือธรรมะ สร้างสถานปฏิบัติธรรม และช่วยเกื้อกูลครูบาอาจารย์ ฯลฯ ใจหวังว่าขอให้ผลบุญเกื้อกูลคนในครอบครัวให้อยู่เย็นเป็นสุขและให้ได้เข้าทางธรรม หนูเคยพูดกับพ่อแม่ว่าขออนุญาติเอาเงินไปทำบุญโดยไม่ต้องบอกกล่าว (เพราะเคยบอกแล้วถูกขัดขวาง) พ่อแม่ก็ไม่ว่าอะไร ใจหนึ่งก็คิดว่ากำลังทำดีอยู่ แต่ใจหนึ่งก็ไม่ค่อยสบายใจเพราะเหมือนปิดบัง และคล้ายๆจะเจือด้วยโทสะด้วยเพราะกลัวว่าจะถูกขัดขวางการทำบุญ

อาจารย์โปรดแนะนำด้วยค่ะว่าควรทำต่อไปอย่างเดิมหรือควรแก้ไขอย่างไร ขอบคุณท่านอาจารย์ค่ะ

คำตอบ
ควรแก้ไข ด้วยการขออนุญาตใช้เงินส่วนกลาง กับผู้มีส่วนร่วมทุกคน หากเขาไม่เห็นด้วย ต้องใช้เงินส่วนตัวของคุณเองไป

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 11:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


607.
เรียนถาม อาจารย์สนองค่ะ

ดิฉัน อยากเรียนถาม อาจารย์สนองเรื่องเกี่ยวกับกฐิน ดิฉันเองไม่เคย เป็นเจ้าภาพหรือกรรมงานกฐิน ผ้าป่าใดๆมาก่อน ดิฉันได้พบเจ้าอาวาสวัดป่าปิยราช ที่อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น อาจารย์ท่านว่าที่วัดยังไม่ได้กฐินเลย ที่ศาลาหลังคารั่ว บริเวณพระประทานพอดีดิฉันจึงว่า จะลองปรึษากับคนสนิท รักใคร่ดู เผื่อจะได้เรื่อง แต่ยังไม่รับปากท่าน เมือ่ดิฉันปรึกษา พ่อ แม่ และเพื่อน ๆ ไม่มีใครเห็นด้วย ให้เหตุผลว่า กฐินเป็นบุญใหญ่ ทำยาก เพื่อน ๆดิฉันเองก้อคงไม่มีเงินพอ หากจะใช้เงินของตนเองทั้งหมดไม่มีใครเค้าทำกัน ดิฉันโลภมาก อยากได้บุญ การทำกฐินเป็นสิ่งที่ดิฉันปรารถนา ว่าจะทำสักครั้งในชีวิต

ดิฉันขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ในเรื่องนี้ด้วยค่ะ

คำตอบ
การทอดกฐินเป็นมหากุศล เป็นเจ้าภาพทอดกฐินร้อยครั้งได้แค่สวรรค์สมบัติ แต่หากนำตัวเข้าปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงธรรมของพระพุทธะได้ จะเป็นบุญใหญ่สุดสามารถผลักดันชีวิต ไปสู่ความเป็นอริยบุคคลได้เข้าถึงนิพพานสมบัติได้

ฉะนั้นการเป็นเจ้าภาพทอดกฐินหากมีบารมีมากพอ เป็นเจ้าภาพแล้วไม่เบียดเบียนตัวเองและผู้อื่น รับเป็นเจ้าภาพทอดกฐินดีกว่าไม่รับ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 11:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


608.
กราบเท้าท่านอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง

ดิฉันมีข้อข้องใจอยากเรียนถามดังนี้ค่ะ ดิฉันเป็นคนชอบคิดฟุ้งซ่าน คิดไปในอดีตและอนาคต จะมีสติอยู่กับปัจจุบันรวมในวันหนึ่งๆ คงไม่เกิน 1 ชั่วโมง พยายามแล้วพยายามอีก ก็คิดว่ายังไม่ค่อยก้าวหน้าเท่าที่ควร แต่ดีกว่าเดิมค่ะ แต่ตอนนี้ดิฉันประสบกับปัญหาที่หนักหนาสำหรับตัวเองคือ ชอบง่วงนอน ซึ่งมันเป็นอุปสรรคกับดิฉันอย่างมาก โดยเฉพาะตอนดิฉันนั่งฟังพระธรรมจากแผ่น CD ฟังตอนแรกๆ ก็มีสติตามรู้ดี แต่พอไม่นานตัวเองจะไม่รู้สึกเลยว่าหายไปไหนมา คิดว่าตัวเองคงนั่งหลับ
ดิฉันขอถามว่า "ดิฉันหลับใช่หรือไม่" อาจารย์มีข้อแนะนำอย่างไรบ้าง

ขออาจารย์โปรดเมตตาดิฉันด้วย

คำตอบ
คนหลับคือคนที่มีจิตตกภวังค์ พลังงานของจิตไม่มีการเกิด-ดับ จึงไม่รับรู้สิ่งใดทั้งสิ้น เรื่องนี้เป็นธรรมชาติของจิตของสัตว์โดยทั่วไป กระเพาะที่มีอาหารบรรจุอยู่มากขณะสูดลมหายใจเข้าสู่ร่างกายออกซิเจนส่วนใหญ่จะถูกขับลงสู่กระเพาะเพื่อใช้ในการร่วมย่อยอาหาร ออกซิเจนส่วนน้อยถูกขับเข้าสู่สมอง ทำให้สมองมีพลังงานอยู่น้อย อาการง่วงนอนจึงเกิดขึ้นได้ ฉะนั้นควรแก้ไขตัวเองก่อนฟังธรรมต้องเดินออกกำลังกายหรือทำงานให้อาหารในกระเพาะถูกย่อยสลายให้หมดได้ก่อน ในการปรุงอารมณ์ ฉะนั้นควรทำใจให้มีศีล 5 คุม แล้วเจริญสติภาวนาก่อนนอนหลังตื่นนอน และทุกครั้งที่ว่างจากงานภายนอก มีสัจจะปฏิบัติต่อเนื่องยาวนานได้แล้ว จิตจะตั้งมั่นเป็นสมาธิ อารมณ์ฟุ้งหลากหลายจะลดลง พลังงานจะถูกอนุรักษ์และมีมากขึ้น ความง่วงจะลดลง

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 11:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


609.
เรียน อ.ดร. สนอง

รบกวนขอทราบ สถานที่ฝึกกรรมฐาน ที่อยู่ทางภาคใต้ค่ะ (บ้านอยู่ที่ จ.ภูเก็ต) อ่านหนังสือของอาจารย์ทราบว่าวัดไร่เปิงมีสอน แต่คงไม่สะดวกไปถึงเชียงใหม่ค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ
นัธชยา

คำตอบ
เนื่องจากไม่มีประสบการณ์ เกี่ยวกับสถานที่ฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานทางจังหวัดภาคใต้ต้องขออภัยให้คำชี้แนะไม่ได้ หากมีเจตนาจะพัฒนาจิตตนเองแล้ว ไม่ต้องเดินทางไกลไปฝึกถึงภาคเหนือหรอก ขึ้นไปแค่ภาคกลางก็มีสำนึกให้ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน อยู่หลายแห่งอาทิในกรุงเทพฯ ที่มียุวพุทธิกสมาคม ที่วัดมหาธาตุฯ ที่วัดอินทรวิหาร ฯลฯ สิ่งที่ควรคิดคือทุกคนเมื่อถึงเวลาที่จิตทิ้งขันธ์ลาโลกต้องเดินทางไกลยิ่งกว่านี้มาก

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 11:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


610.
เรียน ดร.สนอง

หนูมีเรื่องทุกข์ใจจะขอเล่าสั้นๆนะคะ แม่สามีขยันสร้างหนี้มาก เราเคยใช้หนี้จนหมดไปหลายรอบ ก็จะมีหนี้ใหม่มาอีก แม่สามีจะโทรมาขอเงินลูกชายเป็นประจำ สามีหนูก็พยายามหาให้ทั้งที่ไม่มีเงิน จนเดี๋ยวนี้สามีหนูมีหนี้บัตรเครดิต 10กว่าใบ ขณะนี้อยู่ขั้นตอนการประนอมหนี้ และรอขึ้นศาล แม่สามีก็ทราบเรี่องเพราะมีจดหมายส่งไปที่บ้านแม่อยู่ หลายสิบฉบับ แต่ทุกวันนี้แม่สามีก็ยังโทรมาขอเงินอยู่เป็นประจำ ด้วยเหตุผลที่ว่าขายของไม่ดี ไม่เงิน เลยต้องไปกู้เค้ามา สามีกลุ้มใจมาก เคยคิดฆ่าตัวตายหลายครั้งเพราะไม่รู้จะทำยังไง ถ้าไม่ให้ก็กลัวบาป และ เป็นลูกอักตัญญู

1.ถ้าเราไม่ให้เงินแม่อีกจนกว่าเราใช้หนี้หมด เราจะบาปและอกตัญญูมั้ยคะ บาปจะติดตัวเราไปมั้ยคะ เพราะเวลาบอกว่าไม่มี แม่ก็จะร้องให้ บ่นว่ากลุ้มใจ อยากตายเพราะไม่มีเงินไปใช้หนี้คนอื่น

2.เราควรจะทำอย่างไรให้แม่ หยุดสร้างหนี้คะ

3.ชาติที่แล้วเราทำเวรกรรมอะไรไว้คะ และควรจะแก้ไขกรรมนี้ได้อย่างไรคะ

กราบขอบพระคุณดร. ที่ช่วยชี้ทางสว่างนะคะ
คู่กรรม

คำตอบ
(1) ตัวเองเป็นหนี้ ทุกข์มากกว่าคนอื่นเป็นหนี้พฤติกรรมที่ได้ประพฤติแล้ว เป็นการสร้างบาปให้กับตัวเอง ทำไมไม่หยุดสร้างบาปล่ะ การแสดงความกตัญญูต่อบุพการีมิใช่ต้องทำด้วยเงินเพียงอย่างเดียว ยังทำโดยวิธีอื่นได้อีก เช่น ประพฤติจริยธรรมของการเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่

มนุษย์มีความทุกข์เป็นสมบัติประจำตัว การเกิด การแก่ การตายเป็นทุกข์ประจำ การทำงานที่เป็นโทษ การเจ็บป่วย การเป็นหนี้ฯลฯ เป็นทุกข์จร ฉะนั้นเพื่อลดความทุกข์ ต้องทำร่างกายให้แข็งแรง ทำงานไม่ผิดศีลไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดธรรม และทำตัวเองให้ไม่เป็นหนี้ ด้วยการบริโภคใช้สอยมักน้อยพอให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ บริโภคใช้สอยแต่สิ่งที่เป็นสาระ สิ่งใดไร้ประโยชน์ไม่จำเป็นกับชีวิตต้องงดเว้น และสุดท้ายทำตัวเองให้เป็นคนสันโดษ ไม่นำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ปฏิบัติเพียงเท่านี้ทุกข์จรจะลดลงได้มาก

(2) ทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเอง แม่ต้องศรัทธาและทำตามคำชี้แนะในข้อ (1) และบริหารจัดการชีวิตตนเองปัญหาหรือความทุกข์จึงจะบรรเทาลงได้

(3) ประพฤติคนเป็นผู้ทุศีลข้อ 2 เป็นต้นเหตุทำให้เสียทรัพย์ การเป็นหนี้เป็นอกุศลวิบาก เกิดมาจากเหตุที่ตนเองกระทำไว้ก่อน วิธีบริหารจัดการหนี้กรรมต้องหยุดสร้างหนี้ใหม่ ชดใช้หนี้เก่าให้หมดไปเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นผู้มักน้อยและมีสาระ ทำบุญ(บุญกิริยาวัตถุ10) อยู่เรื่อย ๆ แล้วอุทิศบุญให้เจ้าหนี้ ทำความดีทุกรูปแบบให้ยิ่งใหญ่สุดท้ายพัฒนาจิตวิญญาณตัวเองให้เข้าสู่นิพพานหนี้เวรกรรมที่เหลือทั้งหมดเป็นอันยกเลิก (อโหสิ)

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 11:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


611.
เรียน อาจารย์ ดร.สนองฯ ครับ

ผมเรียนอยู่ที่ Nottingham University ครับ การมาอยู่ที่นี่ทำให้ผมศีลครบโดยอัตโนมัติ กินมื้อเดียวอีกต่างหาก บังเอิญด้วยว่ามาเจอเวบไซด์ของอาจารย์และฟังสิ่งที่อาจารย์กล่าว ทำให้ผมเริ่มนั่งสมาธิ ฝึกสติทุกเช้า จริงๆ แล้วผมอ่านหนังสือของอาจารย์มาก่อนสองเล่มแล้วล่ะครับ

ผมกำลังเรียนหัวข้อ สงคราม ผมก็เลยเสนออาจารย์ที่นี่ว่า ผมจะศึกษาเรื่องนี้ โดยผ่านกระบวนการคิดแบบพุทธ ปรัชญาทางพุทธ ซึ่งเขาสนใจมาก เพราะเขาอยากรู้วิธีคิดแบบตะวันออกด้วย ก็เหมือนกับผมเผยแผ่ธรรม แบบทางวิชาการไปด้วย เพราะผู้คนที่นี่ อะไรก็ตามถ้าไม่เป็นวิชาการ จะไม่ได้รับความสนใจ ก็เลยเรียนถามอาจารย์ ครับ เผื่อ อาจารย์มีมุมมอง ปรัชญาในทางพุทธ ที่เกี่ยวกับสงคราม ในมุมที่แตกต่างออกไป

ขอบพระคุณครับอาจารย์
ร.ต.อ.อภิชาติ หัตถสิน

คำตอบ
สงครามคือการรบกัน สงครามนอกแนวพุทธหมายถึง การรบกับผู้อื่น ใช้กำลังคนใช้กำลังสติปัญญาไอคิว ใช้กำลังอาวุธเข้าประหัตประหารกัน โดยมีจุดหมายอยู่ที่การเป็นผู้ชนะเหนือผู้อื่นแต่สงครามตามแนวพุทธคือการรบกับตัวเอง รบกับใจของตัวเอง รบกับกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในใจของตัว คืออนุสัย 7 ได้แก่ กามราคะ ปฏิฆะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา มานะ ภาวราคะ อวิชชา หรือรบกับกิเลสที่ผูกมัดใจคือสังโยชน์ 10 ได้แก่ สักกายทิฏฐิ สีลัพพตปรามาส วิจิกิจฉา กามราคะ ปฏิฆะ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา กิเลสเหล่านี้เป็นต้นเหตุให้มนุษย์และสัตว์ต้องเวียนตายเวียนเกิดไม่มีวันจบสิ้น การรบแนวพุทธมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่การเอาชนะใจตนเองคือตัดรากถอนโคน เผาทิ้ง กิเลสเหล่านี้ให้สูญสิ้นไปจากใจเป็นสงครามที่เอาชนะได้ยาก แต่ยังมีผู้เอาชนะใจตัวเอง เป็นวีรบุรุษที่แท้จริงได้ ดังตัวอย่างเช่นบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายได้ทำสงครามให้ชาวโลกดูเป็นตัวอย่างและเป็นผู้ชนะที่แท้จริง

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 31 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร