วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 03:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 15:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2010, 09:41
โพสต์: 65

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศีล ในมุมมองที่แตกต่างของท่าน
**ขอเป็นไปพื่อก่อให้เกิดปัญญานะค่ะ**

สาธุคะ :b8: tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 16:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 เม.ย. 2010, 15:13
โพสต์: 33

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศีล เหมือนแผ่นดิน เหมือนรั้ว กั้นไม่ให้เราทำชั่วครับ
ฮิฮิ รู้น้อยจ้า :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 17:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2010, 09:41
โพสต์: 65

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฉัตรพงษ์ เขียน:
ศีล เหมือนแผ่นดิน เหมือนรั้ว กั้นไม่ให้เราทำชั่วครับ
ฮิฮิ รู้น้อยจ้า :b32:


ขอบคุณคะ สั้นๆ แต่ได้ความหมายนะค่ะ สาธุคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 19:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศีลมีความหมายกว้างครอบคลุมทุกคนในสังคม แต่พอสรุปได้ดังนี้

การรักษาศีลหรือปฏิบัติตามศีล แยกออกเป็น ๒ ด้าน คือ การฝึกหัดขัดเกลาตนเอง (เพื่อความก้าวหน้า

ในคุณธรรมที่ยิ่งๆขึ้นไป) อย่างหนึ่ง

และการคำนึงถึงประโยชน์ของผู้อื่นหรือของสังคมอย่างหนึ่ง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 20:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ศีล ทั้งหลาย ในทุกศาสนา คือ

เครื่องป้องกันมิให้บุคคลประพฤติชั่ว หรือ เครื่องป้องกันมิให้เกิดทุกข์ หรือ เครื่องป้องกันกิเลสคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือ เครื่องมือในการดับกิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง

นี้คือ ความหมายแห่งศีล ในยุค ศรีอาริยเมตไตรย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




DSC07672.jpg
DSC07672.jpg [ 139.81 KiB | เปิดดู 6536 ครั้ง ]
ศีลเปรียบเหมือนทรัพย์ที่ไม่สามารถแย่งไปได้

ผู้ที่รักษาศีล.ใครก็ไม่สามารถทำให้ศีลหมดไปจากเขาได้

เปรียบเหมือนทรัพย์คือ ทำให้ผู้ที่รักษาศีลพบแต่ความสบายใจ อันเป็นทรัพย์ที่แท้จริง...^^
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2010, 05:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2010, 09:41
โพสต์: 65

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนเพิ่มเติมคะว่า การรักษาศีลของ ปุถุชน พระอริยะ พระโพธิสัตว์ แตกต่างกันอย่างไรค่ะ
สาธุคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2010, 09:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่มีความเห็นที่แตกต่างของ "ศีล"
ผู้รักษาศีลย่อมพบกับความสงบแก่ตัวเองและสังคมส่วนรวมเหมือนกันหมด

แก้วกัลยา เขียน:
เรียนเพิ่มเติมคะว่า การรักษาศีลของ ปุถุชน พระอริยะ พระโพธิสัตว์ แตกต่างกันอย่างไรค่ะ
สาธุคะ

แค่พระสงฆ์ กับ ชาวบ้าน ก็แตกต่างกันมาก ระหว่างศีล ๕ ศีล ๘ หรือ ๒๒๗ ส่วนพระอริยะ พระโพธิสัตว์ ถึงพร้อมแล้วด้วยปัญญาทั้งปวง
เจริญในธรรม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2010, 09:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การรักษาศีลหรือปฏิบัติตามศีล แยกออกเป็น ๒ ด้าน คือ การฝึกหัดขัดเกลาตนเอง (เพื่อความก้าวหน้า

ในคุณธรรมที่ยิ่งๆขึ้นไป) อย่างหนึ่ง

และการคำนึงถึงประโยชน์ของผู้อื่นหรือของสังคมอย่างหนึ่ง



พิจารณา สิกขาบท 8 ข้อ หรือ ศีล 8 เหล่านั้น ข้อไหนบ้าง ที่จัดเข้ากับด้านการฝึกหัดขัดเกลาตนเอง

เพื่อความก้าวหน้าในคุณธรรมที่ยิ่งๆขึ้นไป

ข้อไหนบ้าง ที่เป็นเพื่อประโยชน์ของสังคมหรือของผู้อื่น ดังนี้



1. ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นจากฆ่าสิ่งที่มีชีวิต (ศัพท์ ปาณะ หมาย สิ่งที่มีลมหายใจ เดิมบ่งเอา

มนุษย์ ต่อมาผ่อนรวมถึงสัตว์ทั่วๆไปด้วย เพราะสัตว์อื่นก็รักตัวกลัวตาย รักความสุข เกลียดทุกข์เช่นกัน)

2. อทินนาทานา เวรมณี เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ (ลักทรัพย์)

3. อพรัหมจริยา เวรมณี เว้นจากอพรหมจรรย์ (พรหมจรรย์ในที่นี้ -เพศสัมพันธ์)

(หากเป็นสิกขาบถ 5 หรือ ศีล 5 - กาเมสุมิจจารา เวรมณี เว้นจากผิดเมียผัวของบุคคลอื่น)

4. มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากการพูดคำไม่จริง และคำล่อลวงผู้อื่น

5. สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี เว้นจากการดื่มสุรา และเมรัยเครื่องดองของมึนเมา

6. วิกาลโภชนา เวรมณี เว้นจากบริโภคอาหารในเวลาวิกาล

7. นัจจคีตวาทิตวิสูกทัสสนมาลาคันธวิเลปนะธารณมัณฑนวิภูสนัฏฐานา เวรมณี เว้นจากการดู ฟัง ฟ้อนรำ

ขับร้องและประโคมเครื่องดนตรีและดูการเล่นที่เป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ และทัดทรงตกแต่งร่างกายด้วยเครื่อง

ประดับและดอกไม้ของหอม เครื่องทาเครื่องย้อม ผัดผิว

8.อุจจาสยนมหาสยนา เวรมณี เว้นจากการนั่งนอนเตียง ตั่ง สูงใหญ่ ภายในยัดนุ่นและสำลี


ดูความหมายคำว่า พรหมจรรย์ที่

viewtopic.php?f=7&t=31610

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2010, 14:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 08:02
โพสต์: 31

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศรีสมบัติ เขียน:
แค่พระสงฆ์ กับ ชาวบ้าน ก็แตกต่างกันมาก ระหว่างศีล ๕ ศีล ๘ หรือ ๒๒๗ ส่วนพระอริยะ พระโพธิสัตว์ ถึงพร้อมแล้วด้วยปัญญาทั้งปวง
เจริญในธรรม :b8:


พระอริยะ พระอรหันต์ และพระโพธิสัตว์ พวกท่านรักษาใจเพียงข้อเดียว ซึ่งเท่ากับรักษาศีลทั้งหมดแล้ว เพราะเมื่อใจบริสุทธิ์ การกระทำทุกอย่างก็บริสุทธิ์ไปด้วย จะไปกินเหล้า กินเนื้อหมา พูดโกหก มันก็ไม่บาปและไม่ผิดศีล เพราะใจไม่คิดปรุงแต่งเป็นอกุศล

ใจไม่คิดปรุงแต่งเป็นอกุศล = การกระทำทุกอย่างก็ไม่ผิดศีลทั้งนั้นแหละครับ ผิดศีล = ใจเป็นอกุศล แล้วลงมือกระทำด้วยกายและวาจา นี่คือสัมมาทิฏฐิที่สุดเกี่ยวกับเรื่องศีล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2010, 15:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 13:59
โพสต์: 50

อายุ: 0
ที่อยู่: ท่องไปดุจ..นอแรด

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอโอกาสอธิบายตามความเห็นส่วนตัว
เรื่องการรักษาศีล ของนักปฏิบัติ ที่มีศีลเป็นเครื่องอยู่
ส่วนการถือศีล3วัน7วันไม่ขอกล่าวถึง


๑.การรักษาศีลในขั้นหยาบๆ คือมีสมาธิและปัญญาในขั้นหยาบๆหรือมีกำลังน้อย เป็นเครื่องมือในการระวังรักษา
ยังมีความลังเลสงสัยอยู่มาก ไม่เข้าใจ เกิดความทุกข์ในการรักษาศีลอยู่บ้าง
ยังถูกกิเลสตัญหา หาข้องอ้างต่างๆมาพาให้ละเมิดศีลได้
เช่นการดื่มเหล้าก็อ้างเจ้านายอ้างลูกน้องดื่มนิดดื่มหน่อยคงไม่เป็นไร รู้ตัวอีกทีเหล้าเข้าไปอยู่ในปากแล้ว จนเสียเงินเสียทองเดือดร้อนวุ่นวายแล้วจึงมาคิดได้
เพราะปัญญาสมาธิมีกำลังน้อยกว่ากิเลส ทำให้การรักษาศีลนั้น
รักษาได้บ้างไม่ได้บ้าง

อานิสงค์ในชั้นนี้ สมาธิและปัญญามีกำลังมากขึ้น ความทุกข์ ความลังเลสงสัยลดลง
ศีลบริสุทธ์ขึ้น ในบาทฐานที่ดีในการภาวนา มีสติในการใช้ชีวิตดีขึ้น ความสุขกายสุขใจมีขึ้นเป็นลำดับ
เริ่มมองเห็นโทษภัยในการไม่มีศีล
ฯลฯ


๒.การรักษาศีลในชั้นกลาง ในตอนนี้สมาธิและปัญญา มีกำลังมากขึ้น รู้ได้ละเอียดมากขึ้น การรักษาง่ายขึ้น เป็นไปโดยธรรมชาติมากขึ้น ไม่ต้องคอยระวังมากเหมือนเก่า
สมาธิและปัญญามารักษาจิตไม่ไปตามความคิดเหมือนเก่า
สิ่งใดปรุงขึ้นมาแล้วก่อความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่นปัญญาทันมันก็ดับไป
ไม่ทันได้ออกมาสร้างความทุกข์กายทุกใจได้มากมายเหมือนเก่า อุบายมีความละเอียดรอบครอบมากขึ้น
ความลังเลสงสัยน้อยลง เช่นมันเกิดสงสัยว่าที่จะทำนี้มันจะผิดศีลหรือเปล่า
ถ้าปัญญามันทันมันจะไม่ทำเลยเพราะมันกลัวว่าถ้าสงสัยแล้วขืนทำลงไปจะผิดหรือถูกย่อมสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองอยู่ดีมันจะปัดทันทีเลย ถ้าสมาธิและปัญญามีกำลังมาก รักษาศีลได้ละเอียดขึ้นเป็นลำดับ

อานิสงค์ในชั้นนี้ แน่นอนสมาธิและปัญญามีกำลังมากขึ้น มีอุบายวิธีในการพิจราณาได้ละเอียดละออมากขึ้น
มีความสงบ สบายกาย สบายใจ
เพราะไม่ได้ไปเอาความทุกข์มาสุมหัวเหมือนแต่ก่อนมีแต่จะเอาออก
เรื่องจะไปคิดร้ายกับใครก็ยังมีบ้างแต่ไม่มีกำลังมากเหมือนเก่า
มองเห็นเหตุและผลที่ได้จากการรักษาศีลมากขึ้น เหตุดี ผลดี จิตใจอาจหาญร่าเริง
เป็นที่รักและน่าเชื่อถือต่อผู้ที่มาเกี่ยวข้อง
ศีลบริสุทธ์มากขึ้น มีความมั่นคงในพุทธศาสนามากขึ้น


๓.ศีลชั้นละเอียด ละสีลัพพตปรามาสได้
ศีลสมาธิปัญญา กลายเป็นมหาสติมหาปัญญา

เป็นของพระอริยะบุคคล
เป็นโลกุตตรจิต โลกุตตรธรรม โลกุตตรปัญญา ปุถุชนคนหลงอย่างผมไม่อาจทราบได้

ขอบคุณที่ได้ให้โอกาสแสดงความคิดเห็นครับ


เจริญในธรรม

.....................................................
"..หลักของพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่การพูดกันเฉย ๆ
หรือด้วยการเดา..หรือการคิดเอาเอง
หลักของพระพุทธศาสนาที่แท้จริงคือ
การรู้เท่าทันความจริงตามความเป็นจริงนั่นเอง
ถ้ารู้เท่าทันตามความเป็นจริงนี้แล้ว
การสอนก็ไม่จำเป็น..แต่ถ้าไม่รู้ถึงความเป็นจริงอันนี้
แม้จะฟังคำสอนเท่าใด ก็เหมือนกับไม่ได้ฟัง!!!"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2010, 15:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ช่วยกันระดมความคิดเรื่องศีลกันหน่อยครับ

บางทีเรามองข้ามไปหรือเข้าใจไขว่เขวไปก็เป็นได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2010, 15:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b1:
...ขอเปรียบเปรย...จิตคือบุคคล...ร่างกายคือตัวบ้าน...รั้วบ้านก็คือศีลนั่นเอง...
...ศีลคือข้อห้าม...การรักษาคือปกติของการไม่ฝ่าฝืนข้อห้ามนั้น...คือทำรั้วให้แข็งแรง...
...ในการทำให้แข็งแรงนั้นจะต้องทำให้เป็นปกติในศีลคือไม่ฝ่าฝืนข้อห้ามจะกี่ข้อตามกำลัง...
...ศีล5ก็รั้วเล็กหน่อย...ศีล8,10ก็รั้วใหญ่ขึ้น...ศีล227ก็รั้วใหญ่หน่อยตามการลงทุนคือเจตนาขนาด...
...ขนาดเล็กก็ไม่ยุ่งยากมาก...ขนาดใหญ่ก็ยุ่งยากขึ้นตามลำดับ...ปุถุชนทั่วไปส่วนใหญ่สมาทานศีล5...
...แต่มันไม่ค่อยปกติเพราะรักษาขาดๆหวิ่นๆ...สัญญากับพระแต่ออกมาปรับเล่นหวยกินเหล้าเมายา...
...เพราะไปตั้งเจตนาให้พระเป็นพยานแต่ทำไม่ได้...เวลาผิดมันจึงผิดมากขาดการรักษทั้งกาย วาจา ใจ...
...คือรั้วที่เป็นศีลกั้นการทำบาปมีรูโหว่...เพราะปกติของจิตไม่ชอบเฝ้าบ้าน...แถมรั้วก็พังรักษาบ้านไม่ได้...
...โจรภัย...คือความไม่ดีและบาปทั้งหลายทั้งมวลก็จะหลั่งไหลเข้ามาตรงช่องโหว่นั่นเองค่ะ...
:b12:
:b44: :b44:
:b55: :b55: :b55: :b55: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2010, 15:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2010, 09:41
โพสต์: 65

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กราบขอบพระคุณค่ะ ขอความกรุณาคุณ Narin เคารพความคิดเห็นของท่านอื่นด้วยนะค่ะ
จะผิดจะถูก ทุกท่านมิวิจารณญานของตนเองอยู่แล้ว เมื่อได้อ่านความเห็นของท่านอื่น ๆ
โมทนาด้วยคะ สาธุ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2010, 17:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศีล เปรียบเหมือน เครื่องประดับ ทำให้คนงามไม่ว่า ผู้ชายผู้หญิง แม้แต่พระสงฆ์
ศีล คือ เกราะป้องกันภัย ผู้มีศีลมักแคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งหลายเสมอ
ศีล เป็น กลิ่นหอมที่ไม่มีใดเหมือน คือหอมทวนลมได้ด้วย พระผู้มีศีลงาม คนอยู่ยุโรป อเมริกา ยังรู้จัก

โอ้ย.. จารนัยไม่หมด มีอีกมากมาย เอาแค่นี้นะ ขี้เกียจค้น..

ท่านบัญญัติศีลไว้ ไม่ว่า ศีล ๕ ศีล ๘ หรือ ๒๒๗ ก็เพื่อความร่วมเย็นเป็นสุขสำหรับการอยู่ร่วมกันของคนหมู่มาก ไม่ให้เข่นฆ่า ไม่เอารัดเอาเปรียบ ไม่ล่วงละเมิดของอันเป็นที่รัก ไม่หลอกลวงกัน ไม่ทำตัวให้เสียสติ ไม่เบียดเบียนกัน ทั้งทางกาย ทางวาจาแม้นทางใจ

การรักษาศีลของ ปุถุชน พระอริยะ พระโพธิสัตว์ ต่างกันอย่างไร?

- ปุถุชน รักษาศีล เหมือนหัวเต่า คือ ผลุบๆ โผล่ ๆ ไม่ค่อยจริงจรัง ได้บ้าง ขาดบ้าง เรียกว่า รักษาแต่ปาก เอาไว้คุยโม้ เกทับผู้อื่น แต่ก็มีบ้างที่ทำได้ เพราะท่านระวังสติอยู่เสมอ หรือท่านที่มีเมตตาสูง ก็รักษาศีลไว้ได้ตลอด (กรุณาอย่าคิดว่าเป็นกระผม..นะคร้าบบ)

- พระอริยะ ศีลของท่านเรียกว่า สมุจเฉทวิรัต คือเว้นขาดตลอดชีวิต ไม่มีเจตนาที่จะละเมิดศีล เพราะ เมื่อบรรลุธรรมเป็นพระอริยะขั้นใดขั้นหนึ่ง ท่านจะมี หิริโอตัปปะ พร้อมกันทันที

- พระโพธิสัตว์ ท่านรักษาศีลเป็น ๓ ระดับ คือ

๑. รักษาศีลยิ่งกว่า สิ่งของอันเป็นที่รัก คือ ข้าวของ เงินทอง ไร่นา บ้านช่อง เสียได้ แต่ไม่ยอมเสียศีลเรียกว่า สีลบารมี
๒. รักษาศีลยิ่งกว่าอวัยวะ ร่างกายของตน คือ ยอมสละอวัยวะ เช่น มือ เท้า เลือด แขนขาได้ แต่ไม่ยอมละเมิดศีล เรียกว่า สีลอุปบารมี
๓. รักษาศีลยิ่งกว่าชีวิตอันเป็นที่รักยิ่งของตน คือ ยอมตายดีกว่าศีลขาด เรียกว่า สีลปรมัตถบารมี

เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้แล...โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน smiley
สาธุ กับทุกท่านขอรับ :b8:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 88 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร