วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 00:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


Facebook ลานธรรมจักร - http://www.facebook.com/larndhammajak
ห้องแชดสนทนาธรรม - http://www.dhammajak.net/chat/



กลับไปยังกระทู้  [ 415 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 23, 24, 25, 26, 27, 28  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2010, 02:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:

:b1:

งั๊น...เดี๋ยวแอบไปถามก่อน.... :b1:

:b1: ท่านอ๊บ

เมื่อท่านรู้สึกเคลือบแคลงสงสัย ไม่มั่นใจในคนผู้หนึ่งผู้ใด
ท่านอ๊บคิดว่า ความเคลือบแคลงนั้น เกิดที่ใด
และท่านคิดว่า จะหยุดความเคลือบแคลงนั้น ได้ที่ใด


ความเคลือบแคลงนั้น เกิดที่จิตโง่..

จะหยุดความเคลือบแคลงนั้น ได้ที่..สติ

และ..ปหานได้ด้วย..ปัญญา

แล้ว..อยากถามว่า..ทำไมจึงเกิดความเคลือบแคลง??

และ..ทำไม..จึงคิดว่า..มีคนรู้สึกเคลือบแคลง??

จงบรรยายมาเป็นข้อ ๆ ..

ทำข้อสอบแบบอัตตนัยเลยนะ..คุริก.คุริก..คุริก.. :b32: :b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 02 พ.ค. 2010, 02:31, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2010, 13:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ความเคลือบแคลงนั้น เกิดที่จิตโง่..

จะหยุดความเคลือบแคลงนั้น ได้ที่..สติ

และ..ปหานได้ด้วย..ปัญญา


ท่านปหานมันได้เรียบร้อยแล้วหรือ... :b1:

แล้ว..อยากถามว่า..ทำไมจึงเกิดความเคลือบแคลง??

เพราะมีปัจจัยให้เกิด :b12:

และ..ทำไม..จึงคิดว่า..มีคนรู้สึกเคลือบแคลง??
จงบรรยายมาเป็นข้อ ๆ ..
ทำข้อสอบแบบอัตตนัยเลยนะ..คุริก.คุริก..คุริก.. :b32: :b32:


อ้อ...ไม่สิ่ ไม่เคลือบแคลง เพราะดูจะมั่นใจ :b1:

.... จริง ๆ อยากให้ท่านอ๊บวางมือ...

:b1: ขอนั่งมองดูละกันค่ะ :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2010, 18:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 16:32
โพสต์: 323

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เย ธัมมา เหตุปปภวา เตสัง เหตุง ตถาคโต เตสัญจะ โย นิโรโธ จะ เอวังวาที มหาสมโณ

สิ่งใด เกิดแต่เหตุ พระตถาคต ตรัสเหตุแห่งสิ่งนั้น

สิ่งใดที่เป็นความดับของสิ่งนั้น พระตถาคตเจ้าท่านก็ตรัสไว้

ท่านมีปกติตรัสแต่เรื่องแบบนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2010, 18:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงจีนงมงาย เขียน:
เย ธัมมา เหตุปปภวา เตสัง เหตุง ตถาคโต เตสัญจะ โย นิโรโธ จะ เอวังวาที มหาสมโณ

สิ่งใด เกิดแต่เหตุ พระตถาคต ตรัสเหตุแห่งสิ่งนั้น

สิ่งใดที่เป็นความดับของสิ่งนั้น พระตถาคตเจ้าท่านก็ตรัสไว้

ท่านมีปกติตรัสแต่เรื่องแบบนี้


:b33: :b34: :b33: :b34:

หายไปหมดเลย ไม่จุดธูปเรียก ไม่โผล่

วันนั้นจะถามเรื่องงูต่อ เลยยังไม่ได้ถาม :b2: :b2: :b2: :b2: :b2:

10 บทความงาม ๆ เดี๋ยวนี้เลย :b26: :b26:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2010, 20:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




16.jpg
16.jpg [ 25.86 KiB | เปิดดู 6902 ครั้ง ]
กิเลสเครื่องเศร้าหมอง เช่น ความโลภหรือความโกรธ เป็นเพียงมายาหรือว่าเป็นของจริง

เป็นทั้งสองอย่าง กิเลสที่เราเรียกว่าราคะหรือความโลภ ความโกรธ และความหลงนั้น
เป็นแต่เพียงชื่อเป็นสิ่งที่ปรากฏขึ้นมา เช่นเดียวกับที่เราเรียกชามใหญ่ ชามเล็ก สวย หรืออะไรก็ตาม
นี่ไม่ใช่สภาพที่เป็นจริง แต่เป็นความคิดปรุงแต่งที่เราคิดปรุงขึ้นจากตัณหา
ถ้าเราต้องการชามใหญ่เราก็ว่าอันนี้ เล็กไป ตัณหาทำให้เราแบ่งแยก
ความจริงก็คือมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น ลองมามองแง่นี้บ้าง ท่านเป็นผู้ ชายหรือเปล่า
ท่านตอบว่าเป็น นี่เป็นเพียงรูปปรากฏของสิ่งต่างๆ
แท้จริงแล้วท่านเป็นส่วนประกอบของ ธาตุและขันธ์ ถ้าจิตเป็นอิสระแล้ว
จิตจะไม่แบ่งแยก ไม่มีใหญ่ ไม่มีเล็ก ไม่มีเขา ไม่มีเรา ไม่มีอะไร จะเป็นอนัตตา
หรือความไม่ใช่ตัวตน แท้จริงแล้ว ในบั้นปลายก็ไม่มีทั้งอัตตาและอนัตตา (เป็นแต่เพียงชื่อเรียก)


<หลวงพ่อชา>


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 02 พ.ค. 2010, 20:51, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2010, 20:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรรม


กรรมคือการกระทำ กรรมคือการยึดมั่นถือมั่น กาย วาจา และใจ ล้วนสร้างกรรม

เมื่อมีการยึดมั่นถือมั่น เราทำกันจนเกิดความเคยชินเป็นนิสัย ซึ่งจะทำให้เราเป็นทุกข์ได้ในกาลข้างหน้า

นี่เป็นผลของ การยึดมั่นถือมั่นและของกิเลสเครื่องเศร้าหมองของเราที่เกิดขึ้นในอดีต

ความยึดมั่นทั้งหลายจะทำให้ เราสร้างกรรม สมมติว่าท่านเคยเป็นขโมยก่อนที่จะบวชเป็นพระ

ท่านขโมยเขา ทำให้เขาไม่เป็นสุข ทำให้ พ่อแม่หมดสุข ตอนนี้ท่านเป็นพระ

แต่เวลาที่ท่านนึกถึงเรื่องที่ท่านทำให้ผู้อื่นหมดสุขแล้ว ท่านก็ไม่สบายใจ และเป็นทุกข์

แม้จนทุกวันนี้ จงจำไว้ว่า ทั้งกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม จะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด

ผลในอนาคตได้ ถ้าท่านเคยสร้างกรรมดีไว้ในอดีต และวันนี้ก็ยังจำได้ ท่านก็เป็นสุข

ความสุขใจเป็นผล จากกรรมในอดีต สิ่งทั้งปวงมีเหตุเป็นปัจจัยทั้งในระยะยาว

และถ้าใคร่ครวญดูแล้วทั้งในทุกๆ ขณะด้วย แต่ท่านอย่าไปนึกถึงอดีตหรือปัจจุบันหรืออนาคต

เพียงแต่เฝ้าดูกายและจิต ท่านจะต้องพิจารณาจนเห็น จริงในเรื่องกรรมด้วยตัวของท่านเอง

จงเฝ้าดูจิต ปฏิบัติแล้วท่านจะรู้อย่างแจ่มแจ้ง อย่าลืมว่ากรรมใคร ก็เป็นของคนนั้น

อย่ายึดมั่นและอย่าจับตาดูผู้อื่น ถ้าผมดื่มยาพิษ ผมก็ได้รับทุกข์ ไม่ใช่เรื่องที่ท่านจะมา

เป็นทุกข์ด้วย จงรับเอาแต่สิ่งดีที่อาจารย์สอน แล้วท่านจะเข้าถึงความสงบ

จิตของท่านจะเป็นเช่นเดียว กันกับจิตของอาจารย์ ถ้าท่านพิจารณาดู ท่านก็จะรู้ได้

แม้ว่าขณะนี้ท่านจะยังไม่เข้าใจ เมื่อท่านปฏิบัติต่อไป มันก็จะแจ่มแจ้งขึ้น

ท่านจะรู้ได้ด้วยตนเอง ได้ชื่อว่าปฏิบัติธรรม

เมื่อเรายังเล็ก พ่อแม่วางกฎระเบียบกับเรา และหัวเสียกับเรา แท้จริงแล้วท่านต้องการจะช่วยเรา

กว่าเราจะรู้ก็ต่อมาอีกนาน พ่อแม่และครูบาอาจารย์ดุว่าเราและเราก็ไม่พอใจ

ต่อมาเราจึงเข้าใจว่า ทำไม เราจึงถูกดุ ปฏิบัติไปนานๆ แล้วท่านก็จะเห็นเอง

ส่วนผู้ที่คิดว่าตนฉลาดล้ำก็จะจากไปในเวลาอันสั้น เขา ไม่มีวันจะได้เรียนรู้

ท่านต้องขจัดความคิดว่าตัวฉลาดสามารถออกไปเสีย ถ้าท่านคิดว่าท่านดีกว่าผู้อื่น

ท่านก็จะมีแต่ทุกข์ เป็นเรื่องน่าสงสาร อย่าขุ่นเคืองใจ แต่จงเฝ้าดูตนเอง


<หลวงพ่อชา>


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2010, 20:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจริญสมาธิภาวนาจนจิตสงบลึก ควรทำอย่างไรต่อไป


นี่ก็ดีแล้ว ทำจิตให้สงบและเป็นสมาธิ และใช้สมาธินี้พิจารณาจิตและกาย

ถ้าจิตเกิดไม่สงบก็จงเฝ้าดูด้วย แล้วท่านจะรู้ถึงความสงบที่แท้จริง

เพราะอะไร เพราะท่านจะได้เห็นความไม่เที่ยง แม้ความ สงบเองก็ดูให้เห็นไม่เที่ยง

ถ้าท่านยึดติดอยู่กับภาวะจิตที่สงบ แล้วท่านจะเป็นทุกข์เมื่อจิตไม่สงบ

ฉะนั้น จงปล่อยวางหมดทุกสิ่ง แม้แต่ความสงบ


<หลวงพ่อชา>


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 02 พ.ค. 2010, 21:02, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2010, 21:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านอาจารย์เป็นห่วงลูกศิษย์ที่พากเพียรมากหมายความว่าอย่างไร


ถูกแล้ว ผมเป็นห่วง ผมเป็นห่วงว่าเขาเอาจริงเอาจังจนเกินไป

เขาพยายามเกินไป แต่ขาดปัญญา เขาเคี่ยวเข็นตนเองไปสู่ความทุกข์ยากโดยไม่จำเป็น

บางคนมุ่งมั่นที่จะรู้แจ้ง เขาขบฟันแน่นและ ใจดิ้นรนอยู่ตลอดเวลา

อย่างนี้เป็นความพยายามมากเกินไป คนทั่วไปก็เช่นเดียวกัน พวกเขาไม่รู้ถึง

สภาพเป็นจริงของสิ่งทั้งปวง (สังขาร) สังขารทั้งปวง จิตและร่างกายล้วนเป็นของไม่เที่ยง

จงเฝ้าดู และอย่ายึดมั่นถือมั่น

บางคนคิดว่าเขารู้ เขาวิพากวิจารณ์ จับตามองและลงความเห็นเอาเอง

อย่างนี้ก็ตามใจเขา ทิฐิ ของใครก็ปล่อยให้เป็นของคนนั้น การแบ่งเขาแบ่งเรานี้อันตราย

เปรียบเหมือนทางโค้งอันตรายของถนน ถ้าเราคิดว่าคนอื่นด้อยกว่าหรือดีกว่า

หรือเสมอกันกับเรา เราก็ตกทางโค้ง ถ้าเราแบ่งเขาแบ่งเรา เราก็จะเป็นทุกข์


<หลวงพ่อชา>


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2010, 23:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 16:32
โพสต์: 323

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

เหมือนหยาดฝนโปรยปรายจากฟากฟ้า
เหมือนแสงจ้ายามค่ำคืนมืดมัวหมอง
เหมือนพ่อแม่เคียงข้างคอยประคอง
คอยสอดส่องเป่าปัดขจัดภัย


สาธุ สาธุ สาธุ

ท่านเอกอนคนดี งมงายคนนี้ขอคารวะ
ขอบคุณมาก ๆ นะจ๊ะ ที่เอาธรรมะ มาฝากงมงาย


.....

โอมฺ มณี ปทฺเม หุมฺ

งมงาย


:b42: :b42: :b42:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2010, 04:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:
อ้อ...ไม่สิ่ ไม่เคลือบแคลง เพราะดูจะมั่นใจ :b1:

.... จริง ๆ อยากให้ท่านอ๊บวางมือ...

:b1: ขอนั่งมองดูละกันค่ะ :b1:


:b12: :b12: :b12:
smiley

อยากให้มนุษย์ไฟฟ้าเอรากอน..สบายใจได้.. :b16:

กบฯวางที่ใจ..แม้จะยัง ไม่ได้ 100..แค่ไม่ค้างที่ใจ..ก็สบายระดับหนึ่ง :b4:

มือก็ทำตามกริยา..ตามวาสนา..หยาบละเอียด..แค่นั้นแหละ

ก็แค่นั้นแหละ.. :b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2010, 00:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เอรากอน เขียน:
อ้อ...ไม่สิ่ ไม่เคลือบแคลง เพราะดูจะมั่นใจ :b1:

.... จริง ๆ อยากให้ท่านอ๊บวางมือ...

:b1: ขอนั่งมองดูละกันค่ะ :b1:


:b12: :b12: :b12:
smiley

อยากให้มนุษย์ไฟฟ้าเอรากอน..สบายใจได้.. :b16:

กบฯวางที่ใจ..แม้จะยัง ไม่ได้ 100..แค่ไม่ค้างที่ใจ..ก็สบายระดับหนึ่ง :b4:

มือก็ทำตามกริยา..ตามวาสนา..หยาบละเอียด..แค่นั้นแหละ

ก็แค่นั้นแหละ.. :b1: :b1:


:b1: ห่วงจิ่ เพราะเอกอนไม่เคยเห็นท่านอ๊บนอนดึก ๆ ดื่น ๆ ขนาดนี้มาก่อน :b9: :b9:

เดี๋ยวขอบตาคล้ำขึ้นมา ไม่หล่อแล้วจะหาว่าเอกอนไม่เตือน....

:b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2010, 00:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




:b41: งมงาย.... :b41:


แบบว่ายังควันหลงธรรมจาก ... :b15: :b8:
คือ...มันเหมือนกับเป็นเรื่องบังเอิญ...นะ
กลิ่นธรรมของ
"หลวงปู่ดุลย์" :b1: :b1: :b8: :b8:

:b42: "จิตกับธรรม" :b42:

"สัจธรรมทั้งหมดมีอยู่ประจำโลกอยู่แล้ว
พระพุทธองค์ตรัสรู้ไม่เหมือนกัน หยาบบ้าง
ประณีตบ้าง พระองค์จึงเปลื้องคำสอนไว้มากถึง
84000 พระธรรมขันธ์


พระธรรมทั้ง 84000 พระธรรมขันธ์นั้น
ออกไปจากจิตของพระพุทธเจ้าทั้งหมด :b1: :b1: :b8:
ทุกสิ่งทุกอย่างออกจากจิต อยากรู้อะไร...ค้นได้ที่จิต... :b20: :b20: :b8:


สิ่งใดซึ่งสามารถรู้ได้ สิ่งนั้นเป็นของโลก
สิ่งใดไม่มีอะไรจะรู้ได้....สิ่งนั้นคือธรรรม

โลกมีของคู่อยู่เป็นนิจ แต่ธรรมเป็นของสิ่งเดียวรวด...."


:b54: :b51: :b51: :b54:

...

...คือ...อ่านแล้วเอกอน สะกิดใจนึกถึงบางอย่าง...

...ที่เคยเกิดขึ้นกับเอกอน...

...มันเป็นเรื่องที่...เอกอนก็ไม่อยากเชื่อ...

แต่...เอกอนเห็นมันเช่นนั้น...จริง ๆ

แล้วจะเล่าให้ฟัง


:b51: :b53: :b53: :b51:


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 04 พ.ค. 2010, 00:44, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2010, 17:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงจีนงมงาย เขียน:
.:b8: :b8: :b8: .
ปุจฉา คนเช่นใด"ปากอุจจาระ" "ปากดอกไม้” และ "ปากน้ำผึ้ง" คืออย่างไร?

พุทธดำรัสวิสัชชนา
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล 'ปากอุจจาระ'คืออย่างไร ?
บุคคลบางคนในโลกนี้ ไปในที่ประชุมก็ดี ในฝูงชนก็ดี
ไปในท่ามกลางเหล่าญาติก็ดี ไปในท่ามกลางเสนาก็ดี ไปในท่ามกลางราชสกุลก็ดี
ถูกเขาอ้างเป็นพยาน...เขาไม่รู้ ก็กล่าวว่ารู้ หรือรู้ก็ว่าไม่รู้ ไม่เห็นก็ว่าเห็น
หรือไม่เห็นก็ว่าเห็น กล่าวแกล้งเท็จทั้งที่รู้ เพราะเห็นแก่ตนเอง เพราะเห็นแก่คนอื่น
หรือเพราะเห็นแก่อามิสเล็กน้อย...นี้เรียกว่าคน'ปากอุจจาระ'

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คน 'ปากดอกไม้'คืออย่างไร ?
บุคคลบางคนในโลกนี้ ไปในที่ประชุม...ถูกเขาอ้างเป็นพยาน...
เมื่อเขาไม่รู้กล่าวว่าไม่รู้ หรือเมื่อรู้กล่าวว่ารู้ เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่าไม่เห็น
เมื่อเห็นก็กล่าวว่าเห็น ย่อมไม่แกล้งกล่าวเท็จทั้งที่รู้ เพราะเห็นแก่ตน
เพราะเห็นแก่คนอื่น หรือเพราะเห็นแก่อามิสเล็กน้อย...นี้เรียกว่าคน 'ปากดอกไม้'

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คน 'ปากน้ำผึ้ง' คืออย่างไร ?
บุคคลบางคนในโลกนี้ ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ พูดแต่วาจาที่ไม่มีโทษ
เสนาะโสตเป็นที่รักจับหัวใจ เป็นวาจาของชาวเมือง เป็นที่รักที่ชอบใจของคนมาก...
นี้เรียกว่าคน 'ปากน้ำผึ้ง'

คูถภาณิสูตร

งมงาย

:b48:


:b8: :b8: :b8:

:b48: :b47: :b46: สา...ธุ :b46: :b47: :b48:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2010, 17:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: :b1:

ดู

ธรรม :b44: :b44:

:b30: :b30:

:b39: :b39:

:b42: :b42:

:b43: :b43:

:b41: :b41:

:b8: :b8: :b8:

:b1: :b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2010, 21:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b41: คำสอน ฮวงโป :b41:

ถ้าคนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง เมื่อเขาร่อแร่จวนจะตาย
หากว่าเขาสามารถเพียงแต่เห็นว่ามูลธาตุทั้งห้า
ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นวิญญาณนั้นเป็นของว่างเปล่า
และเห็นว่ามูลธาตุทางรูปกายนั้น ไม่ใช่สิ่งซึ่งประกอบขึ้นเป็นตัว “ข้าพเจ้า”
และเห็นว่า จิต จริงแท้นั้นไม่มีรูปร่าง และไม่ใช่สิ่งที่มีการมาหรือการไป
และเห็นว่าธรรมชาติเดิมแท้ของเขานั้น เป็นสิ่งๆ หนึ่ง
ซึ่งมิได้มีการตั้งต้นขึ้นที่การเกิด หรือมิได้มีการสิ้นสุดลงที่การตายของเขา
แต่เป็นของสิ่งเดียวรวด และปราศจากการเคลื่อนไหวใดๆ
ในส่วนลึกจริงๆ ของมันทั้งหมด และว่า จิต ของเขา กับสิ่งต่างๆ ซึ่งแวดล้อมเขาอยู่นั้น
เป็นสิ่งๆ เดียวกัน ถ้าเขาสามารถทำได้ตามนี้จริงๆ เขาจะลุถึงการรู้แจ้งได้โดยแว็บเดียว ในขณะนั้น.

เมื่อทุกๆ สิ่งทั้งภายในและภายนอก ทั้งรูปธรรมและนามธรรมถูกเพิกถอนแล้ว
เมื่อความยึดมั่นต่างๆ ไม่มีเหลืออยู่ เช่นเดียวกันกับใน ความว่าง
เมื่อการกระทำทั้งหมด เป็นไปตามควรแก่สถานที่และสิ่งแวดล้อมล้วนๆ (ไม่มีกิเลสเจือปน)
และเมื่อความรู้สึกว่ามีตัวตนในฐานะเป็นผู้กระทำ
และความรู้สึกว่ามีตัวตนในฐานะเป็นผู้ถูกกระทำนั้นถูกเลิกล้างไปหมดแล้ว
นั้นคือวิธีแห่งการเพิกถอนชนิดสูงสุด

ถ้าพวกเธอเพียงแต่หยุดปล่อยตนไปตามความคิดที่ทำให้เกิดของเป็นคู่ตรงกันข้ามเช่น
“อย่างธรรมดา” กับ “อย่างตรัสรู้แล้ว” เสียเท่านั้น
มายาก็จะสิ้นสุดลงไปได้เองทันที

เนื่องจาก จิต คือ พุทธะ
วิธีฉลาดเพื่อลุถึงสิ่งๆ นี้ ก็คือ การเพาะให้ พุทธะ-จิต นั้น ผลิออกมาให้เห็นเท่านั้นเอง
เพียงแต่เธอทำมันให้ว่างจากความคิดปรุงแต่งต่างๆ
ซึ่งล้วนแต่นำไปสู่การเกิดและการดับอยู่ตลอดกาล
และนำไปสู่ความทุกข์เดือดร้อนใจของสัตว์โลกและโลกอื่นๆ
เพื่อให้สิ้นเชิงเท่านั้น
พวกเธอก็จะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีวิธีปฏิบัติเพื่อการตรัสรู้และอะไรทำนองนั้น นานาชนิดเลย

วิธีที่จะเข้าถึง จิตหนึ่ง นี้ให้ได้จริงๆ นั้นเรียกว่า
ปากทางแห่ง ความนิ่งเงียบ เหนือกรรมทั้งปวง
ถ้าพวกเธออยากจะเข้าใจก็จงรู้ไว้ว่าความรู้ประจักษ์ต่อสิ่งๆ นี้ โดยฉับพลันนั้น
จะมีมาต่อเมื่อจิตถูกชำระชะล้างแล้วอย่างสิ้นเชิง
จากใยยุ่งของมโนกรรมที่เป็นความคิดปรุงแต่ง
และที่แบ่งแยกสิ่งทั้งปวงเป็นพวกๆ คู่ๆ ตามแบบคติทวินิยม เท่านั้น


พวกที่แสวงหาสัจจธรรมนี้ โดยวิธีของการใช้สติปัญญาและการศึกษานั้น
มีแต่จะถอยห่างออกไปจากมันทุกทีๆ เท่านั้นเอง

จนกว่าเมื่อไร ความคิดของเธอหยุดแตกกิ่งแตกก้านทางโน้นทางนี้เสียทุกๆ ทาง
จนกว่าเมื่อไร พวกเธอจะสลัดความคิดในการแสวงหาอะไรบางอย่าง
เสียได้ทุกๆ ทาง และจนกว่าเมื่อไร จิตของพวกเธอจะหยุด
การเคลื่อนไหว เสียราวกะว่า มันเป็นท่อนไม้หรือก้อนหิน
เท่านั้นที่พวกเธอจะเดินถูกทาง ไปสู่ ปากประตู ที่กล่าวนั้นได้

โดยการคิดถึงอะไรบางอย่าง
เธอย่อมสร้างความมีอยู่ (ของตัวตนอย่างใดอย่างหนึ่ง) ขึ้นมาอย่างหนึ่ง
และโดยการคิดถึงความไม่มีอะไร เธอย่อมสร้างความมีอยู่ (ของความไม่มีอะไร)
ขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง ขอให้การคิดในทำนองที่ผิดๆ
เช่นนี้ จงสูญสิ้นไปโดยเด็ดขาดเถิด แล้วก็จะไม่มีอะไรเหลืออยู่ ให้เธอเที่ยวแสวงหาอีกต่อไป !


:b48: :b48: :b48:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 415 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 23, 24, 25, 26, 27, 28  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร