วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 19:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2010, 18:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

โลกกับธรรมสัมพันธ์

พระราชนิโรธรังสี (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)

พอท่านจับหนังสือเล่มนี้ยกขึ้นมาดูหน้าปกก็จะทายในใจได้ทันทีว่า
บทความเบื้องต้นนี้ผู้เขียนจะพูดถึงเรื่องอะไร
พอเปิดต่อไปหลังจากหน้าคำนำแล้ว ก็จะเข้าใจได้ทันทีว่า
อ๋อ ท่านพูดถึงเรื่อง โลกมันเกี่ยวข้องด้วย ธรรม นี่ แน่นอนทีเดียว
ไม่มีใครจะปฏิเสธได้สักคนเลยว่า
คนเราที่เกิดมานี้จะไม่เอาวัตถุอันมีอยู่ในโลกนี้
มาประกอบเป็นโครงสร้างตัวตนเป็นไม่มี (ธาตุทั้งสี่นี้แหละคือธรรม)
แม้แต่สัตว์แลพืชติณชาติที่เกิดอยู่บนแผ่นดินนี้ทั้งหมด
ก็ไม่พ้นเอาวัตถุของโลกนี้มาประกอบ จึงจะเกิดแลงอกงามขึ้นมาได้


ฉะนั้น โลกอันนี้จึงเป็นพื้นฐานที่รับรองของสรรพสิ่งทั้งหลาย
ผู้หรือสิ่งอันจะต้องเกิดขึ้น ทั้งของที่วิญญาณครอง และหาวิญญาณครองมิได้
เมื่ออุบัติหรือเกิดปรากฏเป็นรูปร่างขึ้นมาแล้ว (ที่เรียกว่าสังขาร)
ก็จะต้องอาศัยโลกนี้อยู่ต่อไปอีก
ขณะเดียวกัน ก็จะต้องขุดค้นคุ้ยเขี่ยแทะเอาสะเก็ดเปลือกผิวของโลกนี้แหละ
มาเป็นเครื่องบำรุงหล่อเลี้ยง จึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ชั่วระยะหนึ่ง


หากเรือนร่างหรือวัตถุโลกที่เขาเหล่านั้นนำมาใช้อยู่นั้นวิปริตแปรปรวนไม่
สามารถจะรับภาระได้แล้ว มันก็จะต้องแตกดับสลาย
แปรสภาพเข้าไปเป็นสภาพเดิมของมัน (คือธาตุทั้งสี่)
สัตว์ผู้ยังมีหนี้สินติดพัวพันอยู่กับโลกนี้ (คือบุญ-กรรม)
ตายไปแล้วจะต้องกลับมาชดใช้หนี้สินโลกนี้อีก
(คือมาเอาวัตถุโลกนี้มาประกอบ แล้วมาบริโภควัตถุโลกนี้สืบต่อไป)


ตกลง ว่าวัตถุของโลกนี้เป็นของกลาง มิใช่ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
ใครจะถือเอาเป็นกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียวไม่ได้
ถึงจะถือเอาก็ไม่เป็นของตนได้แต่ผู้เดียว ใครมาเกิดก่อนเอาไปใช้ก่อน
แลบริโภคชั่วระยะที่ยังดำรงอยู่นี้ เวลาแตกดับแล้วสละทิ้งไว้ในโลกนี้ตามเดิม
คนทีหลังเกิดมาก็จะต้องเอาของเขาทิ้งไว้นั้นมาประกอบเกิดแลบริโภคต่อไป


อนึ่ง ของที่บริโภคนำมาหล่อเลี้ยงในขณะที่ยังดำรงอยู่นั้น
เมื่อถ่ายออกมาก็จะถ่ายลงไปถมพื้นแผ่นดินนี้อีก
กลายเป็นปุ๋ยหล่อเลี้ยงผักหญ้าแลลูกไม้ ผลไม้ต่างๆ
ผู้เกิดมาทีหลังก็จะต้องอาศัยของเก่าเขาเหล่านั้น
บริโภคหล่อเลี้ยงให้เขาได้ทรงอยู่ต่อไป
ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันใช้บริโภควัตถุของโลกอยู่อย่างนี้ตลอดไปไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้เกิดก่อนเกิดหลัง แลใครบริโภคของใครกันแน่


ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่าโลกนี้กลม
แต่พระองค์มิได้หมายความว่ากลมอย่างลูกมะพร้าว
กลมเพราะไม่มีต้นมีปลาย ไม่ทราบว่าใครเกิดก่อนใคร ใครตายก่อนใคร
และใครกินของใคร ใครกินก่อนกินหลัง ตกลงเรากิน เราถ่าย
แล้วนำมากินอีก เราตายแตกดับสละทอดทิ้งไว้แล้ว
คนหลังนำเอามาประกอบเกิดอีก
แต่มันมาตรงตามความเป็นจริง คือโลกเป็นของกลม


พระพุทธเจ้าตรัสว่า มนุษย์และสัตว์ ตลอดถึงต้นไม้ใบหญ้า
ซึ่งเกิดมีอยู่ในโลกนี้ทั้งหมด อาจเป็นเลือดเนื้อและกระดูก
ของมารดา บิดา หรือ บุตร ธิดา หลาน เหลน หรือตัวของเราเองก็ได้
ซึ่งของเหล่านั้นเกิดจากธาตุทั้งสี่อันเป็นวัตถุของกลางของโลกนี้
ทุกคนเกิดมาก็ต้องมายืมเอาไปใช้ด้วยกันทั้งนั้น
เหมือนกับธนบัตรของรัฐบาลที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้
แต่ละใบบางทีเราอาจนำมาใช้หลายครั้งแล้วก็ได้ใครจะไปรู้ เราไม่สนใจเฉยๆ


พระองค์ทรงสอนให้เอ็นดูเมตตาสงสารซึ่งกันและกัน อย่าได้เห็นแก่ตัวนัก
คนอื่นสัตว์อื่นก็คือส่วนหนึ่งของตัวเรานั่นเอง
หรือมิฉะนั้นก็อาจเป็นจิตใจบิดา มารดา ครูบาอาจารย์ บุตร หลาน
ญาติมิตรของเราคนใดคนหนึ่งยังกำลังครองร่างก้อนนั้นอยู่ก็ได้
ธาตุทั้งสี่คือโลกอันนี้ จึงนับว่าเป็นของมีพระคุณแก่มนุษย์ชาวโลก
ผู้ยังมีกรรมที่จะต้องมาเกิดอีกเป็นอันมาก


เมื่อเรามาศึกษาธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็จะเห็นว่า
ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า พระองค์ก็สอนให้รู้เท่าเข้าใจในโลกธาตุ
(คือตัวของคนเรานี้เอง) ฉะนั้น โลก กับ ธรรม
จึงเกี่ยวเนื่องกันอยู่ตลอดกาลเป็นนิจ
ในเมื่อจิตของเรายังไม่พ้นหรือเหนือจากโลก ถึงแม้จิตที่พ้นจากโลกแล้วก็ตาม
เมื่อท่านผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องเสวยวิบาก
(คือเกี่ยวเนื่องอยู่กับโลก) ตามสภาพของมัน


โลกกับธรรมต่างก็เดินเข้าหาจุดหมายอันเดียวกันคือความสุข
แต่วิธีเดินมันผิดกันไปคนละทาง ฉะนั้นผลมันจึงไม่เหมือนกัน
คือโลกมีแต่จะเอาถ่ายเดียว คิดปรุงแต่งกอบโกยสะสมเอาๆ
หนักเข้าจนเป็นการเห็นแก่ตัว อันเป็นเหตุทำความเดือดร้อนเป็นทุกข์แก่คนอื่นไปก็มี
แล้วก็ไม่มีเวลาอิ่มเวลาพอสักทีเสียด้วย แม้อายุจะสักร้อยปีตายไป
ความอิ่มความพอก็ยังไม่มีสิ้นสุด ตายไปแล้วยังเป็นหนี้ของโลกอยู่เลย
(คือความพร่องอยู่) จึงเป็นทุกข์ทั้งแก่ตนแลคนอื่นด้วย


พระพุทธเจ้าทรงเห็นโทษในความไร้ค่าชีวิตของคนเรานี้ จึงทรงสอนว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งมีอยู่ในโลกนี้ แม้ที่สุดแต่ตัวของเราเอง
มันเป็นแต่เพียงของอาศัยชั่วคราวเท่านั้น
ฉะนั้น เมื่อสิ่งนั้นๆเกิดมีมาแล้วจงให้รู้อิ่มแลพอเป็น
แล้วใช้แลสละให้เป็นประโยชน์ สมควรแก่ฐานะและหน้าที่ของมันเสีย


ในโลก นี้ธรรมล้วนๆย่อมไม่มี มีแต่โลกเจือด้วยธรรมทั้งนั้น


ผู้เกิดมาเป็นหนี้บุญคุณของโลก หากผู้เกิดมาในโลกนี้มาเอาวัตถุของโลกนี้ไปใช้
ไปบริโภคแล้วหมดสิ้นไปๆ ไม่ได้ถ่ายทอดทิ้งไว้เสียเลย
เหมือนเขาขุดเอาน้ำมันมาเผาทิ้งแล้วไซร้ โลกนี้ก็จะเป็นของว่างเปล่า
ที่ไหนเลยพวกเราจะได้เกิดมาดังเห็นกันอยู่ทุกวันนี้


เราเกิดมาเป็นคน จะเป็นหญิงหรือชาย รูปร่างจะสวยจะงาม
หรือขี้เหร่อย่างไรก็อย่าพากันดีใจเสียใจเลย นั่นมันมิใช่ของเรา
มันเป็นของกลางของโลกดังกล่าวแล้ว ขอแต่ให้มันครบครันใช้ได้ก็พอแล้ว
เหมือนกับธนบัตรของรัฐบาลดังกล่าว จะเก่าจะใหม่ขาดบ้างเล็กน้อยราคาก็ยังเท่าเดิม
เว้นแต่ขาดมากใช้ไม่ได้ก็เอาไปคืนรัฐบาลท่านก็ยังรับเปลี่ยนใช้(คือตาย)


อนึ่ง ตัวของเราเกิดมาเป็นกาย สิทธิดีกว่าธนบัตรรัฐบาลเสียอีก
คือไม่ต้องไปขวนขวายหามา แต่มันเป็นของเกิดมาคอยรับใช้เราอยู่ก่อนแล้ว
แขน ขา หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใครไปหามาจากไหน เราเกิดมามีครบพร้อมแล้ว
และใช้ได้ดีอย่างเลิศด้วย ของเหล่านี้ใครจะเอาอันอื่นมาใช้แทนก็ไม่เหมือน
แล้วก็ใช้ได้ทนนานเป็นพิเศษ บางเครื่องใช้ทนนานร่วมร้อยปีก็มี
แล้วจะเอาอย่างไรกันอีก จึงเรียกว่าผู้เกิดมาได้ชื่อว่าเป็นหนี้บุญคุณของโลกอย่างยิ่ง


ถ้าผู้มาระลึกถึงหนี้บุญคุณของโกดังกล่าวมานี้แล้ว
คิดจะตอบแทนหนี้บุญคุณของโลก ก็จะได้ชื่อว่าเป็นคนดี
การตอบแทนก็ไม่มีอะไรหรอก เป็นแต่ผู้มาพิจารณาเห็นว่า
เราเป็นหนี้บุญคุณของโลกอย่างไรบ้าง แล้วมาพยายามใช้หนี้นั้นๆ
ตามกำลังความสามารถของตนๆ ก็พอแล้ว
ซึ่งเราจะใช้ให้หมดนั้น เป็นหมดไม่ได้แน่ เพราะบุญคุณของโลกมีมากหลาย


ก่อนที่จะใช้หนี้บุญคุณของโลกนั้น จงมาดูที่ตัวของเรานี้ก่อนว่า
เราเอาอะไรของโลกมาใช้แล้ว จะต้องใช้อย่างไร จึงจะหมดหนี้
ให้เห็นเป็นจุดๆตอนๆไป จึงจะใช้ถูกแลหมดสิ้นไปได้ คือให้พิจารณาดังนี้


เอาเฉพาะ ตาก่อน ตา เป็นวัตถุของโลกที่เราเอามาใช้อยู่นี้
บิดามารดาเป็นผู้นำมาประดิษฐ์ประสิทธิ์ประสาทให้เราใช้
แล้วเราใช้ได้ประโยชน์แลมีคุณค่าแก่เราสักกี่มากน้อย
ผู้เขียนไม่จำเป็นต้องพรรณนา ทุกคนหลับตาพิจารณาเอาเองก็รู้
หากไม่มีตา หรือใช้ตาเทียมแล้วจะขัดข้องอย่างไร ตากายสิทธิ์นี้
ผู้มอบให้เรา (คือบิดามารดา) ท่านเรียกค่าตอบแทนอะไรกับเราไหม
เมื่อพิจารณาไปก็จะเห็นว่าไม่มี มีแต่จะช่วยบำรุงแลเพิ่มการรักษาให้ดียิ่งๆขึ้น


ดังจะเห็นได้เมื่อตาเราเจ็บ บิดามารดาเราจะเป็นทุกข์เดือดร้อน
วิ่งหาหมอหายาหมดเท่าไรไม่ว่า ขอแต่ให้ตาลูกหายก็แล้วกัน
เมื่อตาเป็นฝ้าเป็นฟาง สายตาสั้น ก็จะรีบหายาหาแว่นมาให้ใส่
เมื่อตาผ่องใสสว่างดีอยู่แล้ว
ก็จะหาชาดหาอายแชโดว์มาป้ายมาทาเพื่อให้สวยให้งามขึ้น


อาการที่บิดามารดาทำกับบุตรธิดาดังกล่าวนี้
มันเป็นการเพิ่มหนี้ให้แก่ลูกหนี้โดยเจ้าหนี้มิได้รำลึกถึงคุณของเจ้าหนี้เลย
ลงทุนทำการบ้านงานเรือนให้ดูก็ไม่เอาใจใส่ หาหนังสือมาให้เรียนก็ไม่อ่าน
ส่งเข้าโรงเรียนก็หนีโรงเรียนไปหาคบเพื่อนเกเรเสีย
พยายามลงทุนให้จนกระทั่งเติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นท้าวเป็นนางขึ้นมา
ลูกหนี้บางคนเริ่มจะโกงเจ้าหนี้ขึ้นมาแล้วก็มี
พยายามอบรมให้ใช้ทุนที่ลงทุนไปแล้วกลัวว่าจะเอาไปล่มจม
ยิ่งอบรมเท่าไรยิ่งแนะนำเท่าไร ลูกหนี้แทนที่จะคิดถึงบุญคุณเจ้าหนี้ว่าท่านหวังดี
กลับเห็นไปว่าเจ้าหนี้หัวโบราณไม่ทันกาลสมัย สู้ตนไม่ได้


ดูแต่นักศึกษานักเรียนสมัยนี้ก็แล้วกัน โดยมากใช้สังคมแบบตะวันตก
นานหนักเข้าบางคนตัวเองก็พลอยตกไปตามด้วย


ที่จริงชาวเอเชียเป็นชาติที่เจริญมาก่อนแล้ว
มีขนบธรรมเนียมแลประเพณีวัฒนธรรม
ศีลธรรมดีงามเรียบร้อยมาก่อนนานแล้ว
ชาวตะวันตกเพิ่งเปลี่ยนสภาพจากเป็นป่ามาเมื่อไม่กี่พันปีมานี้เอง
พอเขาเปลี่ยนจากสภาพป่ามาเป็นชาวบ้านใหม่
ชาวเอเชียเลยเห็นว่าเป็นของแปลกแลโก้ดี เลยไปเอาแบบของเขามาใช้
จึงได้เลอะกันไปใหญ่ ส่วนเขาจะมีความรู้สึกอะไร
เพราะเขาเพิ่งเปลี่ยนจากป่ามาใหม่ๆเหมือนกับเราเอาลิงมาหัดนุ่งกางเกงนุ่ง
เสื้อเล่นละครนั้นเอง ความจริงคนเป็นผู้ไปหัดลิงให้เล่นละคร
แต่พอลิงหัดได้บ้างไม่ได้บ้าง คนกลับชอบใจว่าลิงเล่นดีกว่าคน


เมื่อเรามาระลึกได้ว่าตัวของเรานี้เป็นของมีค่ามหาศาล จะเป็นคน
จะมีลูก มีเมีย จะเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี หรือเป็นเจ้าเป็นนาย
มีคนนับหน้าถือตาทั้งบ้านทั้งเมืองทั้งโลกก็ดี
แม้จะเป็นพระเป็นสงฆ์มีผู้คนกราบไหว้ทั่วฟ้าดินแดนก็ดี
ย่อมมาจากวัตถุของโลก มีบิดามารดาเป็นผู้ผลิตให้แล้ว
จึงไม่ควรนำเอาของมีค่าที่เราได้มาเป็นกรรมสิทธิ์นี้ไปใข้ในทางที่ไม่สมควร


เบื้องต้นเมื่อเราได้มาใหม่ๆ เมื่อไม่รู้จักวิธีใช้ก็ควรศึกษาและไต่ถาม
คอยฟังคำแนะนำของท่านผู้ท่านมอบ ให้เรา จึงถือเสียว่าท่านเคยใช้มาก่อนแล้ว
ต้องเข้าใจแลชำนาญกว่าเราแน่ ไม่ควรจะฝ่าฝทนแลดื้อด้าน
ถือเอาแต่ความเห็นส่วนตัวในระยะนี้ถึงแม้จะดีชั่ว
ประการใดก็เรียกว่ายังอยู่ในอารักขาของท่านอยู่นั้นเอง


ผู้กตัญญูรู้จักบุญคุณของผู้อื่นที่ทำประโยชน์ให้แก่ตนจะเป็นให้กำเนิดเกิด
มาเป็นคนก็ดี ให้วิชาความรู้แลหาอาชีพให้แก่เราจนเป็นหลักก็ดี
แม้ที่สุดแต่ให้คำพูดด้วยวาจาในเวลาที่เราได้รับความเดือดร้อน
อันเป็นที่ระงับทุกข์ด้วยสุนทรวาทีก็ดี เมื่อคิดจะทดแทนเพราะเป็นหนี้บุญคุณของท่านแล้ว
เบื้องต้นไม่มีอะไร ขอแต่ให้เราแสดงความเคารพเชื่อฟัง
แลพูดจาด้วยถ้อยคำซื่อสัตย์สุจริต เชื่อถ้อยฟังคำที่ท่านสอนด้วยความเมตตาเอ็นดู
เท่านี้ก็จะเป็นการตอบแทนหนี้สินบุญคุณของท่านเหล่านั้นได้อย่างมากทีเดียว
เมื่อทำตนได้อย่างว่านี้แล้วเรื่องอื่นๆ จึงค่อยว่ากันทีหลัง
บางทีบางท่านเมื่อเราทำตนได้ดังว่านี้แล้ว อาจหลุดหนี้ทั้งหมดก็ได้


ที่ว่ามาทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องของโลก แลเมื่อคนเราเกิดมาแล้ว
มันก็จะเป็นหนี้บุญคุณของอย่างนี้ทุกคนไป ถึงแม้จะเป็นเรื่องของโลกก็จริงแล
แต่เมื่อผู้มาพิจารณาเห็นบุญคุณของโลกตามเป็นจริงแล้ว นั่นมันกลายเป็นธรรมไป


ธรรม คือความจริง ผู้ปฏิบัติตามธรรมคือปฏิบัติตามความจริง ย่อมได้รับสันติสุข
ตัวผู้เกิดมาในโลกนี้รู้จักบุญคุณของโลก ไม่ทำตนให้เป็นคนชั่วรกโลกเขา


คนรกโลก ถ้าเป็นนาก็เป็นนารกร้าง ไม่เป็นประโยชน์แก่มนุษยโลกเลย
แต่มนุษย์รกยังซ้ำร้ายกว่านารกเสียอีก คือมนุษย์มีปากมีท้อง
เมื่อขี้เกียจเสียอย่างเดียวแล้วท้องก็กลวง
คนท้องกลวงนี้แหละมันเป็นเสี้ยนหนามในโลก ลักเล็กขโมยน้อยฉ้อโกง
เบียดบังไม่เลือก ของใครเอาตะบัน ขอแต่ให้ได้มาจุกท้องกลวงของมันก็แล้วกัน


ตกลงคน เราไม่ดีเสียอย่างเดียวแล้ว จะทำอะไรก็ไม่ดีทั้งนั้น
เกิดในตระกูลผู้ดีมีหน้า มีธรรมประจำตระกูลก็ดี
เข้าศึกษาในสถาบันที่ดีมีระเบียบ สอนดี เข้าทำงานในสถานที่งานดีๆ
มีเงินเดือนสูง แต่ตนเองประพฤติไม่ดีก็ไร้ค่าทั้งนั้น
แม้แต่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาก็ไปทำลายความดีในที่นั้นๆหมด


โดยเฉพาะในพระศาสนา ผู้เขียนอยากจะให้ความเห็นของคนบางคนไว้ ณ ที่นี้ด้วยว่า
เมื่อคนบางคนไม่ดีมาแต่เดิมแล้ว เวลามาบวชในพระศาสนาเข้า
ธาตุแท้ความเลวของมันก็ยังติดตัวมาอยู่นั้นเอง
มิใช่มาบวชแล้วมันจะหลุดออกไปหมดเหมือนกับเราถูขี้ไคลก็หาไม่
ทั้งระเบียบธรรมวินัยข้อบังคับก็มีอยู่ ครูบาอาจารย์ก็พร่ำสอนอยู่
แต่มันไม่ยอมรับทำตาม ไม่ทราบจะทำอย่างไร


ผู้มามองคนไม่ดีเช่นนั้นก็หาว่าพุทธศาสนาไม่ดี ว่าเอาๆ
พุทธศาสนาคล้ายกับว่าเป็นสถาบันสุดท้ายอบรมคนชั่วก็ว่าได้
เพราะหมดหนทางแล้วจึงส่งเข้ามาบวชในพุทธศาสนา
คนดีๆเช่นผู้ที่ถือว่าตนดีแล้วทำไมไม่เข้ามาบวชเป็นตัวอย่างนำเขาบ้าง
ผู้เขียนเข้าใจว่าผู้เห็นเช่นนั้นยังศึกษาพุทธศาสนาไม่ซึ้งเข้าถึงแก่นของจริง
ความจริงแล้วพุทธศาสนาเป็นคำสอนที่ดีเลิศ
ผู้มายอมทำตามเป็นผู้ประเสริฐจนพ้นจากทุกข์ไปแล้วก็นับไม่ถ้วน
แต่นี่คนไม่ดีต่างหาก เข้าที่ไหน ทำอะไรเลยไม่ดีทั้งนั้น


เมื่อผู้เกิดมาในโลกรู้จักคุณค่าของตน แล้วทดแทนบุญคุณของโลก
และบิดามารดาผู้ผลิตเราให้เกิดมา แม้ไม่มากมายอะไร
เบื้องต้นเพียงแต่แสดงความเคารพแลพูดจาด้วยถ้อยคำซื่อสัตย์สุจริต
เชื่อถ้อยฟังคำสอนที่ท่านสอนด้วยความเมตตาเอ็นดู
ดังได้อธิบายมาเบื้องต้นเท่านี้ โลกนี้มันก็เกิดสันติสุขแล้ว
คือจะต้องหมดหนี้สินซึ่งกันและกัน ไม่ต้องทวงหนี้บุญคุณกันอีก
นั่นโลกเลยกลายเป็นธรรมไป


สังขาร ย่อมแตกสลายดับไป แต่ธรรมย่อมทรงอยู่ตามเดิม


ธรรมเป็นของแทรกอยู่กับโลก ได้กล่าวถึงเรื่องของโลกมาพอควรแล้ว
หวังว่าผู้อ่านทั้งหลายคงจะพอเข้าใจได้แล้ว
หรืออาจเข้าใจได้มากกว่าที่แสดงมาแล้วนี้ก็ได้
เพราะทุกคนได้เกิดมาในโลกนี้ด้วยกันทั้งนั้นและได้ประสบการณ์มาด้วยกัน
มากบ้างน้อยบ้าง ฉะนั้นความรู้ในด้านทางโลกอาจไม่เหมือนกัน


ที่เขียนมาแล้วนั้นเป็นเพียงเอกเทศทัศนะส่วนหนึ่งของผู้เขียนเท่านั้น
ผู้อ่านหรือผู้ที่ได้ประสบการณ์มากกว่านี้ อาจได้ความรู้ความเข้าใจ
ในเรื่องของโลกมากกว่านี้ก็ได้ นั่นเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล
ผู้ซึ่งเกิดมาแล้วจะต้องใช้โดยเสรี
ผู้เขียนซึ่งได้เขียนมาแล้วเป็นเพียงเพื่อจะชี้ให้เห็นว่า
โลก กับ ธรรมมันแฝงกันอยู่เท่านั้นเอง
แล้วจะชี้ให้เห็นว่า อันนั้นเป็นโลก อันนั้นเป็นธรรม


ตอนนี้ผู้อ่านอย่าได้เข้าใจผิดว่าผู้เขียนมาตั้งแต่งแบ่งโลกแบ่งธรรม
เปล่าด๊อก ผู้เขียนมิใช่พระเจ้าผู้สร้างโลกสร้างธรรม
เป็นแต่จะสมมุติเป็นภาษาว่า อันนั้นคือโลก อันนั้นคือธรรม
เพื่อให้เข้าใจในความหมายของคำอธิบายในคำพูดของหนังสือเล่มนี้
เพื่อประโยชน์แก่การปฏิบัติธรรมเท่านั้น

บัดนี้จะได้พูดถึงเรื่องธรรมอันเป็นข้อปฏิบัติ ซึ่งเป็นความประสงค์ในหนังสือเล่มนี้

อันว่า ธรรมๆนี้นั้นก็มิใช่อะไรที่ไหนด๊อก แท้จริงก็คือความจริง
ของจริงๆธรรมดาๆนี่เอง อย่างที่พวกเราเคยพูดกันอยู่ทั่วๆไปว่า
คนเราเกิดมาแล้วก็จะต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายเป็นธรรมดา มนุษย์ สัตว์
เกิดมาแล้วก็จะต้องมีการสมสู่คู่รักสืบพันธุ์กันเป็นธรรมดา
ผู้บวชเป็นพระเป็นเณรแล้วก็จะต้องสึกออกมาเป็นธรรมดา
มีกลางคืนแล้วก็ต้องมีกลางวันเป็นธรรมดา มีร้อนแล้วก็ต้องมีเย็นเป็นธรรมดา
ดังนี้เป็นต้น ถ้าเช่นนั้นจะต้องแยกออกให้เป็นโลกเป็นธรรมทำไมกัน
มันมีเหตุผลที่ท่านผู้รู้ทั้งหลายจะต้องแบ่งแยกออกใช้ให้ได้ผลต่างกัน คือดังนี้


โลก เปรียบเหมือนแร่ของธาตุต่างๆ มีแร่เหล็ก แร่ดีบุก เป็นต้น
แร่เหล่านั้นแหละเป็นมูลฐานคลังรักษาเนื้อ เหล็กแลเนื้อดีบุกไว้ได้นานแสนนาน
ยิ่งนานหลายร้อยล้านปีเท่าไร เนื้อของเหล็กแลดีบุก
ก็ยิ่งแต่จะเพิ่มทวีคุณภาพให้ดีขึ้น ไม่มีการเสียหายแม้แต่น้อยเลย


โลกอัน นี้ก็เหมือนกัน ตั้งมาได้เป็นร้อยล้าน พันล้าน แสนล้านปีมาแล้วก็ตาม
ธรรมแท้คือของจริงความจริงก็ยังตั้งมั่นอยู่ในโลกนั้นเอง
เมื่อไม่มีผู้รู้ฉลาดคิดค้นเอาธรรมของจริงออกมาใช้ ก็ใช้โลกนั้นไปพลางก่อน


เช่น คนผู้เกิดมาก็จะต้องเอาธาตุทั้งสี่ (คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม)
อันเป็นวัตถุของโลกดังกล่าวแล้ว มาปรุงเข้าเป็นก้อนรูปกาย
เป็นหญิงเป็นชายตามกรรมวิธีของนายช่าง (คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน)
แล้วก็นำมาใช้ว่า นั่นลูกกู นั่นหลานกู นั่นพ่อกู นั่นแม่กู นั่นผัวกู นั่นเมียกู ฯลฯ
อะไรต่ออะไรจิปาถะ สนุกเพลินไปตามเพลง
ถ้ามีใครมาพูดว่านั่นไม่ใช่ (บอกตามเป็นจริง) แล้วก็ไม่ชอบเอาเลย
หากมีผู้มาสนับสนุน(ยุให้หลง) ว่านั่นลูกของเธอ หลานของเธอ
พ่อแม่ของเธอ ลูกผัวของเธอแล้วชอบใจใหญ่ บางทีอาจมีของกำนัลด้วยซ้ำไป


หากวัตถุโลกก้อนนั้นแหละมันจะแสดงเป็นธรรมขึ้นมาอีกแง่หนึ่ง
เช่น เกิดวิกลวิการแปรปรวน แตกหัก บิ่นบุบสลายไปตามธรรมดาของมันเข้า
ผู้ที่ถือว่าโลกเป็นโลก เป็นของกู ๆ ๆ อยู่นั้น ไม่เข้าไปเห็นเป็นธรรม ว่าเป็นธรรมดา
มันจะต้องเป็นไปอย่างนั้นเสียแล้ว จะต้องเป็นทุกข์กลุ้มใจแสนสาหัส


ถ้าหากผู้มาเห็นความจริงตามเป็นจริงว่า รูปกายทั้งตัวเรา
และของผู้อื่นทั่วไปก็ตามที่เกิดมานี้ไปยืมเอาวัตถุของโลก
มาประกอบเพื่อใช้ชั่วคราว เมื่อถึงกาลแล้วก็จะต้องส่งกลับคืนที่เดิม
เหมือนเรายืมของคนอื่นมา เจ้าของเขามาทวงจะไม่ให้เขาจะได้หรือ
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงดังนี้แล้วก็หมดเรื่อง


นี่แล ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ท่านเห็นประโยชน์แลคุณค่าของการแยกโลกแลธรรม
แล้วใช้ให้ถูกต้องตามหน้าที่ขอ งัน จึงจะอำนวยคุณประโยชน์ให้แก่ผู้ใช้ตามประสงค์

ความ แก่หง่อมของร่างกาย ยิ่งแก่เท่าไรธรรมก็ยิ่งเจริญขึ้นเท่านั้น

ใช้วัตถุของโลกให้คุ้มค่า



ดังได้ กล่าวมาแล้ว เราเกิดมาได้ชื่อว่าเป็นหนี้บุญคุณของโลกอยู่
เพราะเราเป็นผู้มาสู่โลกนี้ แล้วก็มาเอาวัตถุของโลกนี้มาประกอบเป็นตนเป็นตัวขึ้นมา
ทั้งก็ยังได้อาศัยโลกนี้อยู่ต่อมา เมื่อเรารู้ตัวว่าเราเป็นหนี้บุญคุณของโลกแล้ว
พยายามทดแทนบุญคุณหนี้สินของโลก ก็จัดเป็นธรรมประการหนึ่ง


ธรรมแท้ที่พระองค์ทรงสอนนั้นมิได้สอนอื่น
แท้จริงก็คือสอนให้เห็นและเข้าใจชัดแจ้งในเรื่องความเป็นอยู่และเป็นไปของโลกนั้นเอง
จึงจะหายกังวลสงสัย พ้นจากความข้องเกี่ยวในโลก ไม่มีทุกข์
ผู้ที่ไม่เข้าใจแลรู้เรื่องของโลกตามความเป็นจริงเท่านั้นที่เป็นทุกข์


คนเราเกิดมาที่ว่าเป็นทุกข์ๆนั้น มันทุกข์ตรงที่เข้าใจแลรู้เรื่องของโลก
แล้วเข้าไปยึดเอาโลกมาเป็นตนเป็นตัว เป็นของเรานี้เท่านั้น
ผู้เข้าไปยึดเอาโลกมาเป็นตนเป็นตัว เป็นของเรานี้เท่านั้น
ผู้เข้าไปยึดเอาธาตุ ๔ ขโมยธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม
ที่เอามาประกอบเป็นตนเป็นคนขึ้นมานี้ มันเป็นของกลาง
ไม่มีใครเป็นกรรมสิทธิ์สักคนเดียว เราตายแล้วทอดทิ้งไว้ในโลกนี้ตามเดิม
คนเกิดมาทีหลังก็จะเอามาประกอบให้เป็นคนต่อไปอีกดังกล่าวแล้ว
ใครหลงเข้าไปยึดเอามาเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัว
คนนั้นได้ชื่อว่าไปขโมยเอาของกลางมาเป็นของส่วนตัว
จะต้องมีโทษได้รับทุกข์มาก เหมือนกับคนผู้ที่ขโมยเอาของหลวงแผ่นดิน


อทินนา กับ อุปาทาน เป็นการขโมย อทินนาทาน
แปลว่าถือเอาซึ่งสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้อนุญาตให้ อุปาทาน
แปลว่าเข้าไปยึดเอา คือยึดเอาสิ่งที่มีอยู่เป็นของกลางนั้นเอง
จัดเป็นขโมยด้วยกันทั้งสองอย่าง
ต่างกันแต่อทินนาทานเป็นการขโมยของส่วนบุคคล
ส่วนอุปาทานเป็นการขโมยส่วนของกลาง


ถ้าจะพูดถึงด้านทำให้ศีลขาดแล้ว อทินนาทานทำลายศีลในมรรค ๘
แลในอริยมรรคด้วย ส่วน อุปาทาน ทำลายเฉพาะศีลในอริยมรรคเท่านั้น
เพราะอริยมรรค ศีล สมาธิ ปัญญา มารวมอยู่ในที่เดียวแลจุดเดียว
คืออริยมรรคที่กำลังเดินเป็นไปอยู่นั้น อยู่ในท่าภาวนาจิต
มิได้มีการเคลื่อนไหวทางกายและวาจาแต่อย่างไร เช่น


สัมมาวาจา ก็หมายเอาความวิตกไปในทางพระกรรมฐาน
อุบายให้เกิดสมาธิแลวิปัสสนาโดยเฉพาะ
มิได้พูดออกปากเป็นถ้อยคำอะไรออกมาเลย
สัมมากัมมันโต ก็หมายเอาการงานของจิตที่ทำหน้าที่
ให้เป็นไปในสมาธิแลวิปัสสนาเช่นเดียวกัน
มิได้หมายเอาการกระทำด้วยกายแลวาจาแต่อย่างไร
เพราะกายแลวาจากำลังสงบเต็มที่อยู่แล้ว
สัมมาอาชีโว ก็หมายเอาความเป็นอยู่ขณะที่กาย วาจา แลใจสงบ
แล้วดำเนินไปในมรรควิถี มีบัญญัติคิดค้นเหตุผลในธรรมนั้นๆ
มิได้หมายเอาการดิ้นรนขวนขวายแสวงหาสัมมาอาชีวะอย่างสามัญชนทั่วไปเข้าใจนั้น


ศีลใน มรรค ๘ แลศีลทั่วไป ปุถุชนแลกัลยาณปุถุชน
ตลอดถึงพระอริยเจ้าย่อมกระทำได้ ด้วยการพยายามรักษาแลทำให้เกิดมีขึ้นได้
เพราะเกี่ยวเนื่องถึงกายแลวาจาอันเป็นของภายนอก แลเป็นเครื่องกำจัดกิเลสส่วนกลางได้
ถ้าจะใช้ศีลกำจัดกิเลสส่วนละเอียดแล้ว ก็จะต้องใช้ศีลในอริยมรรคดังได้กล่าวแล้วข้างต้น


หรือจะ เรียกว่า ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ของสามเณร แลศีล ๒๒๗ ของพระภิกษุ
ตลอดถึงศีลในมรรค ๘ ดังกล่าวแล้วเป็นโลกียศีลก็ได้
แล้วก็สามารถนำโลกนี้ให้เจริญงอกงามเกิดสันติสุขได้เหมือนกัน
ส่วนศีลในอริยมรรคเป็นโลกุตรศีล เหตุนั้นอทินนาทานในอุปาทาน
จึงไม่สามารถจะทำมรรคผลให้เกิดขึ้นได้ เพราะศีลตัวอทินนาไม่บริสุทธิ์


มีเรื่องเล่าไว้ว่า พระเถระรูปหนึ่งไปเจริญกรรมฐานภาวนาอยู่ในป่ารูปเดียวในฤดูดอกไม้บาน
เย็นวันหนึ่ง ท่านได้กลิ่นดอกไม้อันลมพัดมาถูกจมูกท่านเข้า ทำให้ท่านชื่นใจอยากดม
จึงเดินเข้าไปหาต้นดอกไม้แล้วสูดเอากลิ่นดอกไม้นั้นให้สมความต้องการ
ขณะนั้นเทวดาได้ทักท้วงท่านว่า “ทำไมพระผู้เป็นเจ้าไปขโมยของเขาเล่า”
พระเถระตอบว่า “เรามิได้ขโมยของ ใคร เราดมดอกไม้ต่างหาก”
เทวดาได้ย้ำว่า “ท่านไปสูดเอา กลิ่นดอกไม้ มิได้สำรวมในทวารนี่”


เป็นอันว่าผู้เจริญในอริยมรรคมิได้สำรวมในทวารทั้งหก
หลงเข้าไปติดในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
ทำศีลในอริยมรรคไม่ให้บริสุทธิ์ ย่อมเป็นอุปสรรคแก่การเจริญมรรคโดยแท้


อาหาร ที่สัมผัสทางกายกินอิ่มพอได้ แต่อาหารทางใจ(มโนสัญเจตนาหาร)
กินไม่รู้จักอิ่มรู้จักพอสักที


ตา เห็นรูป ที่สวยๆ ชอบใจรักใคร่ยินดีในรูปนั้น
แล้วนำเอาภาพของรูปนั้นเข้าไปเก็บไว้ที่ จิต
ทำให้เกิดความพอใจรักใคร่ยินดีในภาพนั้น
ก็จะเป็นอาการขโมยอย่างหนึ่ง เพราะเจ้าตัวรูปเขาไม่ได้รู้
แลเขาไม่ได้ยินยอมให้เราเอามายึดไว้
แม้รูปที่ไม่สวยไม่น่ารักใคร่ชอบใจก็เช่นเดียวกัน
หากไปเกิดความเกลียดชังสะอิดสะเอียนเบือนหน้าหนีเข้า
ก็เป็นการฉ้อโกงเหมือนกัน หากเจ้าของรูปเขารู้เข้าก็จะยิ่งเกิดโทษหนัก


เสียง ที่ได้ยินทางหู จะเป็นเสียงดีเสียงน่าชอบใจ หรือเสียงด่าให้เจ็บใจ
ดูถูกเหยียดหายไม่น่าฟังอะไรก็ตาม หากเราเอามาเก็บยึดไว้ที่ จิต เสวยเป็นอารมณ์อยู่
นั่นก็เป็นการขโมยอีกส่วนหนึ่งเหมือนกัน เพราะเสียงเป็นของไม่มีตัวตน
เป็นลมเป็นแล้งไปแล้ว แต่เราไปโกงเอามาปั้นให้เป็นอาการจริงจังขึ้นมา
ทั้งๆที่เสียงนั้นมันก็หายไปนานแล้ว ถึงแม้เราจะอัดเทปเอาไว้ก็เถอะ
เมื่อเปิดเทปขึ้นมาเสียงก็จะปรากฏ แต่เสียงนั้น ก็ไม่มีตนมีตัว
ถึงจะไปดูเทปก็จะเห็นแต่เทปเท่านั้น การโกงเอาเสียงเป็นของไร้ค่ามาก
แย่มากกว่าการขโมยแลฉ้อโกงอย่างอื่น เพราะขโมยแลฉ้อโกง
แล้วก็ไม่เห็นได้อะไรติดมือมาเลย จะมีแต่ชอบใจแลกลุ้มใจอยู่คนเดียว
ผู้ที่โกงเอาเสียงมายึดไว้ในจิตของตนจึงเป็นคนประเภทที่น่าสงสารมาก
เสียงที่น่ารักน่าใคร่ชอบใจก็ไม่มีใครรู้เห็นแลร่วมสนุกด้วย
เสียงที่น่าเศร้าโศกแลเป็นทุกข์กลุ้มใจก็ไม่มีใครจะช่วยแบกหามแลปลดเปลื้องช่วยได้
ทนทรมานคนเดียวแท้ๆ


กลิ่น ที่จมูกสูดเข้าไปทั้งดีแลไม่ดีที่เกิดจากของภายนอกแล้วทำให้
จิต ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง ชอบก็ขโมยนำมาเก็บไว้ที่จิต
ไม่ชอบก็ขโมยนำมาเก็บไว้ที่จิต ความจริงจมูกจะน่าสงสารมกกว่าจิตอีกเสียซ้ำ
เพราะกลิ่นเข้าไปตามลมแล้วลมหายใจก็มีช่องเดียวคือจมูกเท่านั้น
กลิ่นเหม็น กลิ่นหอม กลิ่นไม่ดี จมูกต้องรับภาระทั้งนั้น คนอื่นจะรับแทนไม่ได้
จะปิดกลิ่นชั่วเปิดรับเอาแต่เฉพาะกลิ่นดีก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะขาดใจตาย
แต่นี่จิตไปรับเอาเป็นภาระทั้งหมด กลิ่นชั่วไม่ดีแทนที่จะปล่อยวางเสีย
แต่กลับไปรับเอาหนักกว่ากลิ่นดีจนถึงให้เกลียดโกรธ
หากกลิ่นนั้นมาจากบุคคลจะต้องเกิดเรื่องกันแน่
นี่ก็เพราะโทษเราไปโกงเอากลิ่นมาโดยไม่ชอบธรรมนั่นเอง


รส หมายเอารสที่เกิดจากสัมผัสทางลิ้น ให้รู้สึกเผ็ด เค็ม หวาน เปรี้ยว อร่อย
แลไม่อร่อย แล้ว จิต ไปชิงเอามาไว้เป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัว ไม่ยอมให้ลิ้นมีกรรมสิทธิ์
จึงจัดว่าเป็นการโกงเอากรรมสิทธิ์ของเขามาเป็นของตัว จึงจัดเป็นการอทินนาทาน
ส่วนหนึ่งในศีลของอริยมรรค ถึงแม้ลิ้นจะไม่รู้สึกรสอะไรเลยในบางครั้ง
ต่จิตก็จะไปบังคับให้ลิ้นมีรสอยู่ร่ำไป


จิตนี้ จึงเป็นนักต้ม นักโกงดีนัก ซอกแซกเข้าไปลักฉ้อโกง
ต้มตุ๋นเขาเสียทุกซอกทุกมุม ไม่ว่าของเล็กของใหญ่ มีรูปร่างหรือไม่
เอาดะไปเลย ถ้าใครไปคบมันเข้าแล้ว ฉิบหายทุกราย ฝิ่น กัญชา สุรา ยาเมา
แม้แต่ผงเฮโรอีนนิดเดียว มันก็ไปขโมยเอาจนได้ จิตนี้จะเรียกว่ามหาโจรในโลกก็ได้



สัมผัส หมายเอาสัมผัสที่กระทบกาย เมื่อกายเป็นวัตถุที่ปรากฏ
ก็จำต้องมีวัตถุภายนอกมากระทบ การกระทบก็จะต้องมีทั้งสิ่งที่พอใจแลไม่พอใจ
ก็เป็นการขโมยอีกนั่นแหละ เพราะเขาหากกระทบกันตามธรรมดาของเขาอยู่อย่างนั้น
แต่ จิต เราไปขโมยเอาของเขามาครองเสียคนเดียว
โดยที่กายเรามิได้รู้แลอนุญาตให้แต่อย่างไร เหมือนลมพัดต้นไม้
คลื่นกระทบฝั่ง จิตคนเราไปกลัวและหนวกหู แต่ต้นไม้ถึงแม้จะหักขาดกระจุยไป
ต้นไม้ก็มิได้ความรู้สึกอะไร หรือตะฝั่งก็มิได้หนวกหู


ธรรมล้วนๆย่อมตั้งอยู่ในโลกไม่ได้นาน ตาขี้ขโมย ชอบลักเล็กขโมยน้อย
คอยจับจ้องล่อๆลับๆจับผิดเขาเก่ง หาซอกซอนขโมยของที่เขาซุกๆซ่อนๆเผลอไม่ได้
ขโมยเลย หูขี้ขโมยตัวฉกรรจ์ ชอบซุกอยู่แต่ที่ชื้นแฉะ ดักลักขโมยเอาแต่เสียงที่เย็นๆ
ถูกกระทบร้อนเข้ากระโดดผึงวิ่งราวเลย


นักเลง อุปาทานเหล่านี้ ถึงแม้กฎหมายบ้านเมืองจะไม่ควบคุมถึง
แลเจ้าหน้าที่จะไม่ตามล่าจับก็ตาม แต่มีโทษหนักกว่าโทษทางบ้านเมือง
ตั้งหลายร้อยหลายพันเท่า เพราะจะต้องถูกกามเทพลงทัณฑ์
ให้ติดคุมขังอยู่ในกามภพนี้นานแสนนาน


ผู้ไม่เข้าใจในเหตุผลของความตาย เมื่อถึงความตายจึงเป็นทุกข์
เพราะอาลัยในความตาย แต่ผู้ตายกลับสบายแฮ เพราะไม่ต้องตายอีก



ที่มา... http://www.thewayofdhamma.org/page2/moradok213.html

:b48: :b8: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2010, 19:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาสาธุด้วยครับคุณลูกโป่ง

:b8: :b8: :b8:

:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:
:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2010, 19:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


tongue :b8: ขออนุโมทนาสาธุการด้วยจ้า :b20: smiley

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 03:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: สาธุจร้า..น้องสาวที่แสนดี :b8:

:b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45:

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 27 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร