วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 20:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 12:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ย. 2009, 10:34
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถาม : ดูกรอานนท์ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา จะมาด้วยความเชื่อว่าพระตถาคตเจ้าประสูติในที่นี้ก็ดี พระตถาคตเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในที่นี่ก็ดี พระตถาคตเจ้าแสดงธรรมจักกัปปวัตตนสูตรในที่นี้ก็ดี พระตถาคตเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ในที่นี้ก็ดี ก็ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งเที่ยวจาริกไปยังเจดีย์ คือ สังเวชนียสถาน มีจิตเลื่อมใสแล้ว ถึงแก่กรรมลง คนเหล่านั้นทั้งหมดหลังจากตายไปแล้ว ก็จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เป็นความจริง หรือไม่

หลวงพ่อ : นี้เป็นความจริง ถ้าในขณะที่ไปกราบไหว้สังเวชนียสถาน แม้แต่ไหว้พระพุทธรูป ไหว้พระสงฆ์ อยู่ในบ้านเมืองเรานี้ ถ้าหากไหว้พระด้วยมีจิตศรัทธา มีความเคารพ เลื่อมใส อย่างจริงจัง ตายลงไปในขณะนั้นไปเกิดสวรรค์ ยกตัวอย่างเช่น มัฏฐกุณฑลี ที่กำลังเจ็บป่วยอย่างหนัก พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรด เพียงแต่แผ่รัศมีไปต้องจักษุ เขาหันมามองเห็นพระพุทธเจ้าเพียงนิดเดียว แล้วก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาขึ้นในจิตว่า โอ้ พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดเรา แล้วก็ดับจิตในขณะนั้นก็ไปเกิดในสวรรค์

.....................................................
บริหารกายเจริญวัย บริหารใจเจริญจิต เจริญธรรมเป็นนิจจิตผ่องใส

บำเพ็ญอยู่เสมอไม่เผลอใจ อะไร ๆ ก็จะโปร่งเบาเท่านั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 12:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ย. 2009, 10:34
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถาม : สัมมภเวสี คือ อะไร เป็นภูมิหนึ่งในบรรดา 31 ภูมิ ใช่หรือไม่

หลวงพ่อ : สัมภเวสี หมายถึง ผู้แสวงหาที่เกิด สัตว์ทั้งหลายที่ท่องเที่ยวไปมา ไปเข้าฝันคนโน้น เข้าฝันคนนี้ พวกนั้นไปหาที่เกิด เรียกว่า สัมภเวสี ภูมิหนึ่งในบรรดา 31 ภูมิ สัมภเวสีก็เป็นภูมิอันหนึ่ง ในบรรดาหลาย ๆ ภูมิ ซึ่งเรียกว่า 31 ภูมิ อันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับภพ ภูมิ ของวิญญาณที่ท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏะ

.....................................................
บริหารกายเจริญวัย บริหารใจเจริญจิต เจริญธรรมเป็นนิจจิตผ่องใส

บำเพ็ญอยู่เสมอไม่เผลอใจ อะไร ๆ ก็จะโปร่งเบาเท่านั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 13:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ย. 2009, 10:34
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถาม : ควรจะปฏิบัติอย่างไร กับเรื่องศาลพระภูมิ จึงจะเชื่อว่า ไม่งมงาย

หลวงพ่อ : การตั้งศาลพระภูมิ โดยส่วนมาก หมอผู้ที่ตั้งศาลพระภูมิ บางท่านก็สามารถจะมองเห็นว่า เมื่อตั้งศาลพระภูมิขึ้นมาแล้ว ผู้ที่จะมาอยู่ในศาลพระภูมินั้น เป็นผี หรือเป็นเทวดา บางท่านก็รู้จักทำตามตำรับตำรา แต่หารู้ไม่ว่า ผีที่มาอยู่ในศาลพระภูมิ เป็นผีเทวดา หรือผีหัวโกร๋น ก็ไม่รู้

การปฎิบัติต่อศาลพระภูมินี้ เราเชื่อว่าศาลพระภูมิ ในเมื่อสิ่งนั้นมาอยู่ สิ่งนั้นเป็นวิญญาณพระภูมิเทวดา หรือพระภูมิเจ้าที่ ๆ หมายถึงเทวดานั่นเอง การปฏิบัติต่อท่านเหล่านั้น ถ้าเราเอาสิ่งของไปเซ่นสรวง ก็จะเป็นอุบายให้ผูกท่านติดอยู่ในศาลพระภูมินั่นแหละ เพราะในเมื่อเราไปปฏิบัติต่อท่าน ท่านก็ติดในความดีของเรา

ถ้าหากเราจะปฏิบัติให้ถูกต้องกันจริง ๆ พวกที่มาอยู่ศาลพระภูมินี้เป็นวิญญาณชั่นต่ำ คอยอาศัยกินบุญจากมนุษย์เราผู้มีชีวิตอยู่ ถ้าเราทำบุญสุนทานอย่างไรแล้ว กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้พระภูมิ เมื่อพระภูมิได้อนุโมทนาแล้วก็บอกพระภูมิว่า (ท่านจะอนุโมทนาหรือไม่อนุโมทนาก็ไม่รู้ละ) แต่เราทำบุญแล้ว เราอุทิศส่วนบุญให้ท่าน เมื่อท่านได้อนุโมทนาแล้ว ท่านจะพ้นจากความเป็นผีพระภูมิ อาจจะเกิดเป็นเทวดาชั้นสูงขึ้นไปก็ได้

แต่การไหว้นี้คนที่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก อยู่ภายในจิต ภายในใจนี้ เราจะไหว้ตรงไหนก็ถูกพระของเราทุกหนทุกแห่ง เพราะเรามีคุณพระอยู่ในจิตในใจ การไหว้พระภูมิ เพียงแต่แสดงคารวะ โดยที่เราถือว่ามีอะไรอยู่ที่นี่ เพียงแค่นั้น ไม่ทำให้เสียคุณพระรัตนตรัย เป็นการแสดงความมีน้ำจิตน้ำใจนิดหน่อยเท่านั้น เหมือน ๆ กับเราไหว้เพื่อนฝูง หรือพ่อแม่ ไม่ขาดจากพระไตรสรณคมน์

.....................................................
บริหารกายเจริญวัย บริหารใจเจริญจิต เจริญธรรมเป็นนิจจิตผ่องใส

บำเพ็ญอยู่เสมอไม่เผลอใจ อะไร ๆ ก็จะโปร่งเบาเท่านั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 13:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ย. 2009, 10:34
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถาม : จิต กับ วิญญาณ มีความแตกต่าง ในด้านจิตวิทยา หรือ พุทธศาสตร์อย่างไร

หลวงพ่อ : จิต หมายถึงสิ่งที่ นึก คิด สิ่งที่ รู้สึก รู้นึก รู้คิด รู้ร้อน รู้เย็น รู้หนาว อันนี้เรียกว่าจิต วิญญาณ นี้ก็อาศัยจิต เพราะมีจิตจึงมีวิญญาณ จิตนี้ดั้งเดิมของมันเป็นตัวรู้ ตัวรู้นี้เรียกว่า มโนธาตุ และตัวมโนธาตุนี้ก็เป็นตัววิญญาณอีกเหมือนกัน ตัวมโนธาตุซึ่งเรียกว่า วิญญาณนี้ เพราะมันเป็นสิ่งที่รู้จักปฏิสนธิ รู้จักเกิด รู้จักตาย เช่นอย่าง เกิดเป็นคน เป็นสัตว์ แล้วมันก็รู้จักจุติ ตาย ๆ แล้วก็ไปเกิดใหม่ เพราะอาศัยอำนาจของกิเลส

ส่วนวิญญาณนี้ แบ่งออกเป็น 2 ภาค
ภาคหนึ่งเรียกว่า ปฏิสนธิวิญญาณ คือ วิญญาณรู้จักจุติปฏิสนธิ หมายถึง วิญญาณในปฏิจจสมุปบาท หรือวิญญาณที่เกี่ยวเนื่องกับจิตที่จะนำไปผุด ไปเกิด
อีกภาควิญญาณหนึ่งนั้น หมายถึง วิญญาณในเบญจขันธ์ วิญญาณในเบญจขันธ์นี้หมายเฉพาะ ตา กับ รูป กระทบเข้ากัน เรียกว่า จักษุวิญญาณ เสียงกระทบหู เกิดความรู้สึกเข้า เรียกว่า โสตวิญญาณ กลิ่นกระทบจมูก รู้สึกขึ้นเรียกว่า คันธวิญญาณ ลิ้นลิ้มรส เรียกว่า ชิวหาวิญญาณ กายถูกต้องสัมผัส เรียกว่า กายวิญญาณ จิตรู้อารมณ์ เรียกว่า มโนวิญญาณ

เพราะฉะนั้น ในทางจิตวิทยา จิตวิทยานี้หมายถึง วิชาการที่ศึกษาให้รู้เรื่องของจิต เป็นวิทยาการอันหนึ่ง ไม่ได้หมายถึงว่า จิตตัว รู้สึก รู้คิด รู้นึก เป็นวิชาการที่จะต้องศึกษาให้รู้เรื่องของจิต จึงเรียกว่า จิตวิทยา ทางพุทธศาสตร์นั้น ก็หมายถึงตัวจิตที่ รู้นึก รู้คิด และในหลักอภิธรรมที่จำได้ว่าจิตเป็นผู้ก่อ เป็นผู้สะสม สภาวะใดเป็นผู้ก่อ เป็นผู้สะสม คือสะสมความดี ความชั่ว สะสม กุศล อกุศล สะสมวิชาความรู้ สะสมสิ่งต่าง ๆ เอาไว้ในจิต สิ่งนั้นเรียกว่า จิตพระอภิธรรมท่านว่าอย่างนี้

.....................................................
บริหารกายเจริญวัย บริหารใจเจริญจิต เจริญธรรมเป็นนิจจิตผ่องใส

บำเพ็ญอยู่เสมอไม่เผลอใจ อะไร ๆ ก็จะโปร่งเบาเท่านั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 13:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ย. 2009, 10:34
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถาม : ผีและวิญญาณ มีจริงหรือไม่ ตามประสบการณ์ของพระคุณเจ้า

หลวงพ่อ : เรื่องวิญญาณหรือผีมี หรือไม่มีนี้ ถ้าใครยังไม่เคยเห็นผี แล้วยังไม่เคยโดนผีหลอก นึกว่าผีไม่มี ก็ชอบแล้ว แต่ถ้าใครเคยเห็นผี แล้วก็โดนผีหลอกมาแล้ว จะยอมรับว่าผีมี ก็เป็นการชอบแล้ว เพราะมีเหตุผล แต่ถ้าหากใครยังไม่เคยเจอรับฟังเอาไว้ สิ่งใดย่อมมีคำพูดกล่าวขวัญถึง มีชื่อเรียกสิ่งนั้นย่อมมีจริง แต่เรายังค้นไม่พบ

เรื่องนี้อาตมาจะนำมาเล่าให้ฟังย่อ ๆ เมื่อปี 2501 มีผู้ศรัทธามอบที่ดินแห่งหนึ่งให้ ที่ดินตรงนั้นเป็นที่ผีสิง และก็อาตมาพาพระเณรไปอยู่ที่นั่น 4-5 องค์ พออยู่ได้ 3 วัน ก็เกิดผีมาตบหน้า ก่อนที่ผีมันจะมาตบหน้าหลังจากที่นั่งสมาธิภาวนาแล้ว ถึงเวลาที่จะจำวัด (นอน) พอมีอาการเคลิ้ม ๆ ลงไป ก็มองเห็นเป็นกลุ่มวิ่งมาจากตะวันตก แล้วก็มาสัมผัสกับใบหน้าเหมือนกับฝ่ามือตบ ทีนี้มานึกว่า เอ๊ะ ฝันหรืออย่างไร ถ้าฝันทำไมเจ็บ ก็เลยเกิดข้อสงสัยขึ้นมา เอ๊า ผีจะตบหรือไม่ตบก็ช่าง วันนี้ต้องมาดูให้รู้เรื่องกัน วันนั้นเลยตัดสินใจไม่จำวัด เดินจงกลม นั่งสมาธิภาวนาอยู่ตลอดคืน

พอเดินไปได้สักหน่อยหนึ่ง ได้ยินเสียงตก ตูม ลงมา เดินไปดูไม่มีอะไร เป็นอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งถึงตี 3 พอถึงตี 3 แล้วไปเข้าที่นั่งสมาธิ มองไปข้างหน้ามองเห็นแสงโตเบ้อเร่อ ขนาดตะเกียงเจ้าพายุ มี 2 แสง วิ่งวนไล่กันอยู่ ในที่ตรงนั้นมีพระองค์หนึ่งไปจำวัดอยู่ที่นั่น พออาตมานึกว่าพระองค์นั้นจะตื่นหรือเปล่าหนอจะได้เห็นอะไรพอเป็นขวัญตา พอนึกแค่นั้นแหละ แสง 2 แสง ผละจากพระองค์นั้นวิ่งมาหาอาตมา อาตมาก็กำหนดจิต เอ๊า ถ้าแน่จริงมาชนอาตมาให้ตายทีเดียว ให้อาตมาสำเร็จพระนิพพาน พอมันเข้ามาระยะห่าง 5 วา แสงนั้นก็ตกลงกับดิน แล้วก็หายไป ก็เลยได้เห็นข้อเท็จจริงว่า ผีมันมีจริง ๆ วิญญาณมันมีจริง ๆ ถ้าใครไม่เห็นแล้ว ก็อย่าเพิ่งรับรอง พยายามดูให้มันเห็นเสียก่อน

.....................................................
บริหารกายเจริญวัย บริหารใจเจริญจิต เจริญธรรมเป็นนิจจิตผ่องใส

บำเพ็ญอยู่เสมอไม่เผลอใจ อะไร ๆ ก็จะโปร่งเบาเท่านั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 14:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ย. 2009, 10:34
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถาม : จิตใจ และ วิญญาณ ต่างกันหรือไม่ อยู่ที่ส่วนไหนของร่างกาย

หลวงพ่อ : จิตใจและวิญญาณ เป็นปัญหาที่ค่อนข้างละเอียด โดยความรู้สึกถ้าเราตีความหมายรูปศัพท์ จิตกับใจมีมูลรากมาจากธาตุอันเดียวกัน จิตธาตุเป็นไปในความก่อ ความสะสม แต่ว่าท่านเจ้าพระคุณอุบาลีฯ สิริจันโท (จันทร์) ท่านอธิบายไว้ว่า ใจคือส่วนที่เป็นกลาง จิตเป็นอาการที่ใจส่งกระแสออกไปรับรู้อารมณ์ ในเมื่อสัมผัสอารมณ์แต่ละอย่าง ก็เป็นการสัมผัสจิตแต่ละอย่าง ๆ แต่ตัวใจเป็นกลางอยู่ตลอดเวลา นี้ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ท่านอธิบายไว้อย่างนี้

ทีนี้แหละอยู่ที่ตรงไหนของร่างกาย ท่านทั้งหลายเรียนมาแล้วว่า ที่เกิดของความคิดอยู่ที่สมอง โดยธรรมชาติของจิตแล้ว ถ้าไม่มีส่วนประกอบ เขาจะทำอะไรไม่ได้

วิญญาณนี้ขอตอบเป็นสองนัย ๆ หนึ่ง วิญญาณในขันธ์ 5 หมายถึง อายตนะภายนอก อายตนะภายใน กระทบกันเข้าแล้วเกิดความรู้สึกขึ้น เรียกว่าวิญญาณตามทวารนั้น ๆ อันนี้เป็นวิญญาณในขันธ์ 5 อีกอันหนึ่งนั้น ปฏิสนธิวิญญาณ คือ วิญญาณที่รู้จักจุติ และ ปฏิสนธิ หมายถึง วิญญาณในปัญหาที่ว่า คนตายแล้วไปเกิดใหม่ หรือไม่ ตัวปฏิสนธิวิญญาณนี้ เป็นวิญญาณดั้งเดิม เมื่อปฏิสนธิวิญญาณนี้มีแต่วิญญาณล้วน ๆ มันจะไม่มีความรู้สึกนึกคิดอะไรทั้งสิ้น และก็ทำอะไรไม่ได้ แต่เมื่อมีส่วนประกอบ คือ ประสาทในส่วนสมองหรือมันสมองเป็นส่วนประกอบแล้ว มันจึงมีปฏิกิริยาสร้างความนึกคิดขึ้นมา

.....................................................
บริหารกายเจริญวัย บริหารใจเจริญจิต เจริญธรรมเป็นนิจจิตผ่องใส

บำเพ็ญอยู่เสมอไม่เผลอใจ อะไร ๆ ก็จะโปร่งเบาเท่านั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 17:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 17:48
โพสต์: 24

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2010, 09:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ย. 2009, 10:34
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถาม : ตามที่กล่าวว่า จิตหรือวิญญาณเดิมนั้น เป็นประภัสสร ซึ่งหมายว่า จิตวิญญาณก่อนที่จะเข้าปฏิสนธิ คนเมื่อตายแล้ววิญญาณ หรือจิต จะออกจากร่างไปพร้อมกับนำกรรมชั่ว กรรมดี ไปปฏิสนธิในร่างใหม่ แสดงว่าจิตหรือวิญญาณดวงนี้ไม่ประภัสสร เพราะมีกิเลส

หลวงพ่อ : จิตประภัสสรได้ ในภาษิตที่ว่า จิตเป็นธรรมชาติประภัสสร อันนี้หมายถึงจิตดั้งเดิม คำว่า ประภัสสรในจิตขั้นนี้ เปรียบเหมือนผ้าขาว สะอาด ๆ พร้อมที่จะดูดสิ่งสกปรก คือ สี ย้อมได้ จิตประภัสสร หมายถึง จิตไปนิ่งเฉย ๆ โดยที่ยังไม่มีอายตนะมาเป็นส่วนประกอบ เช่น จิตของคนเราเมื่อออกจากร่างแล้ว มีแต่จิตดวงเดียว ยังไม่ถือปฏิสนธิ ก็มีแต่จิตล้วน ๆ ที่ไม่มีอวัยวะประกอบ คือ ยังไม่มีร่างกาย มันทำอะไรก็ไม่สำเร็จ มีแต่ล่องลอยอยู่เฉย ๆ

ทีนี้กรรมที่เราได้ทำไว้ในภพนี้ ชาตินี้ ไปหนุนส่งให้จิตดวงที่ไม่มีตัวนั้น ไปเกาะกับสิ่งใด สิ่งหนึ่งขึ้นมา แล้วมันจะมีความรู้สึกนึกคิด ไปตามประสาทของร่างกายที่มันก่อภพก่อชาติขึ้น ในเมื่อมันยังไม่มีตัว มันก็เป็นจิตประภัสสร แต่ไม่ใช่จิตบริสุทธิ์สะอาดเหมือนจิตที่สำเร็จพระนิพพาน

.....................................................
บริหารกายเจริญวัย บริหารใจเจริญจิต เจริญธรรมเป็นนิจจิตผ่องใส

บำเพ็ญอยู่เสมอไม่เผลอใจ อะไร ๆ ก็จะโปร่งเบาเท่านั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2010, 10:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ย. 2009, 10:34
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถาม : พระพุทธองค์กล่าวว่า พระอรหันต์ที่มรณภาพแล้ว จิต หรือ วิญญาณของท่านไปอยู่ที่ใดไม่ทราบ เปรียบเหมือนควันไฟที่ลอยไปในอากาศ ซึ่งไม่ทราบว่าควันไฟ มันไปลอยอยู่ที่ ณ แห่งใด สำหรับผู้ที่มิใช่พระอรหันต์ เมื่อตายไปแล้วพระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า จิต หรือ วิญญาณ ผู้นั้นไปอยู่ที่แห่งใด

หลวงพ่อ : ยากสักหน่อย เพราะผู้ตอบยังไม่ใช่พระอรหันต์ แต่จะขอเอาคำตอบท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ สิริจันโท (จันทร์) มาตอบ
ท่านกล่าวว่าพระอรหันต์ซึ่งสำเร็จพระนิพพานแล้ว อยู่เหนือโลกเพราะขั้นแห่งธรรมมีโลกียธรรม มีโลกุตตรธรรม สภาพจิตของท่านผู้ใด ยังข้องอยู่ในโลกีย์ ยังมีกิเลส ตัณหา อุปาทาน ยึดมั่น ถือมั่น ในสิ่งทั้งปวง สภาพจิตของผู้ปล่อยวาง กิเลส ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ได้แล้ว เป็นจิตที่บริสุทธิ์ ไม่มีความยึดมั่น ถือมั่น ไม่ถือว่าโลกเป็นของเรา เป็นของเขา แม้จะมีร่างกายอาศัยโลกนี้อยู่แต่สภาพจิตก็เพียงแต่ว่าอาศัยร่างอยู่ จนกว่าวิบากกรรมจะสิ้นไป
และความสำคัญมั่นหมายที่จะยึดสิ่งใดนั้นไม่มี ความผูกพันนั้นไม่มี ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ จึงว่า จิตพระอรหันต์อยู่เหนือโลก เหนือที่ตรงไหน เหนือตรงไม่มีสมมติบัญญัติว่าเป็นเรา เป็นเขา ของเรา ของเขา อันนี้เป็นคำตอบของท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ แต่ไม่ใช่คำตอบของ หลวงพ่อพุธ นะ

.....................................................
บริหารกายเจริญวัย บริหารใจเจริญจิต เจริญธรรมเป็นนิจจิตผ่องใส

บำเพ็ญอยู่เสมอไม่เผลอใจ อะไร ๆ ก็จะโปร่งเบาเท่านั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2010, 10:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ย. 2009, 10:34
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถาม : วิญญาณัง อนิจจัง วิญญาณ ไม่เที่ยง เมื่อคนตายไปแล้ว จิต หรือ วิญญาณ ไปหาที่เกิดใหม่ เมื่อจิต วิญญาณ ไม่ตายไปพร้อมกับร่างกายตายก็แปลว่า วิญญาณนั้นเที่ยง

หลวงพ่อ : ที่ว่า วิญญาณัง อนิจจัง นี้ คำว่า วิญญาณมี 2 อย่าง
อย่างที่หนึ่ง วิญญาณเกิดรู้ขึ้น ในขณะที่อายตนะภายใน กับ อายตนะภายนอกกระทบกันเข้า เช่น ตากระทบกับรูป เกิดความรู้ขึ้น เรียกว่า จักขุวิญญาณ แล้วก็แต่ละทวาร ๆ มีสิ่งกระทบโสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ คือเกิดความรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ อันนี้เป็นวิญญาณในขันธ์ห้า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สิ่งทั้งห้านี้อาศัยรูปเป็นแดนเกิด มีรูปยังปรากฎอยู่ความรู้สึก มีสัญญา เวทนา สังขาร วิญญาณ คือความรับรู้ทางทวาร 6 ยังปรากฎอยู่ ทีนี้เมื่อร่างกายอันนี้ตายสาบสูญลงไปแล้ว ทวาร 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ก็สลายตัวไป
ยังเหลือวิญญาณอีกตัวหนึ่งซึ่งเรียกว่า ปฏิสนธิวิญญาณ ก็หมายถึงเป็นตัวมารับรู้สิ่งที่มากระทบนั่นเอง ลักษณะปฏิสนธิวิญญาณนี้ มีลักษณะสักแต่ว่า รู้จักไปผุด ไปเกิด รู้จักไปปฏิสนธิ รู้จักไปจุติ ยังเป็นวิญญาณังอนิจจังอยู่เหมือนกัน เพราะยังเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ ซึ่งย่อมเป็นไปตามกฎแห่งกรรม ทำกรรมดีไปดี ทำกรรมชั่วไปชั่ว
อย่างเวลานี้ เราเกิดเป็นมนุษย์ ภพหน้าอาจจะเกิดเป็นเทวดา ต่อไปเกิดเป็นพระอินทร์ ถ้าถึงคราวซวย ก็ไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน อันนี้เรียกว่าวิญญาณังอนิจจัง คือภพที่เกิดมันยังไม่แน่ เพราะยังมีกิเลสอยู่มากมาย

.....................................................
บริหารกายเจริญวัย บริหารใจเจริญจิต เจริญธรรมเป็นนิจจิตผ่องใส

บำเพ็ญอยู่เสมอไม่เผลอใจ อะไร ๆ ก็จะโปร่งเบาเท่านั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2010, 11:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ย. 2009, 10:34
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถาม : คนที่ตายแล้วกลับมาเกิดใหม่ จริงหรือไม่ วิญญาณออกจากร่างไปสู่ร่างใหม่เหมือนกับถอดเปลี่ยนเสื้อผ้าเก่าสวมชุดใหม่นั้น หรืออย่างไร

หลวงพ่อ : คนตายไปแล้วถ้าหากยังมีกิเลสเป็นเหตุให้เกิด ก็ต้องกลับมาเกิดอีก แต่จะเกิดมาเป็นอะไร สุดแท้แต่กรรมที่ทำไว้ วิญญาณเป็นของกลาง ถ้าตายไปแล้ววิญญาณตัวนี้มันไปยึดอะไร หรือเคยทำบาปทำกรรมอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่มีชีวิตเอาไว้ ถ้าบาปกรรมอันนั้นจะให้ผลก็ไปเกิดเป็นสิ่งนั้น ที่นี้ในเมื่อท่านถามถึงคนที่ตายไปแล้วกลับมาเกิดใหม่ หรือไม่ อันนี้จริง ความตายของคนนี้ มีลักษณะ 2 อย่าง
ถ้าคนธรรมดาตาย ตายอยู่ในขณะที่จิตกำลังวุ่นวายไม่มีสมาธิ พอตายไปแล้วนี้ วิญญาณออกจากร่าง เขาจะรู้สึกว่ามีตัวติดไปด้วย แล้วเขาจะไม่มีความรู้สึกว่า ร่างกายที่เขาอาศัยอยู่ก่อนนั้นเป็นของเขา แม้ว่าผู้ที่จะเอาศพเขาไปเผา หรือเอาไปฝังก็ตาม เขาไม่รู้เลยว่า เอาอะไรไปฝัง เอาอะไรไปเผาเพราะเขาไม่รู้ว่าเป็นกายเดิมของเขา เขาลืมหมดสิ้น เพราะว่าในความรู้สึกของเขานั้น เขามีกายใหม่ติดตัวอยู่ อันนี้เป็นลักษณะของคนตายธรรมดา (ปุถุชน)
ถ้าหากคนตายในสมาธิ ถ้าสมาธิท่องเที่ยวอยู่ในกามาวจรกุศล พอตายลงไป ความรู้สึกในจิตของเขาก็กลายเป็นว่า เขามีร่างเป็นเทวดา แต่ผู้นั้นจิตอยู่ในฌาณ ตายลงไปนี้จะรู้สึกว่ามีดวงจิตอันเดียวเท่านั้น ไม่ปรากฏว่ามีร่างกาย อันนี้จากการที่อาตมาได้ลอง ๆ ตายดู หลายครั้งหลายหน แล้วมันเป็นอย่างนั้น ส่วนที่จะมาเกิดใหม่นี้ไม่ได้หมายความว่าตายจากคนแล้วมาเกิดเป็นคน วิญญาณเป็นของกลาง ตายจากคนอาจจะกลายเป็นสัตว์ก็ได้สุดแท้แต่กรรม
ในเมื่อมาพูดถึงกรรมแล้ว ใคร่ที่จะทำความเข้าใจว่า บุญ กับ บาป เป็นสิ่งที่มีค่าเท่ากัน บุญ บาป มีค่าเท่ากันอยู่ที่ตรงไหน อยู่ตรงที่ดวงจิตของสัตว์ให้ติดข้องอยู่ในวัฏสงสาร แต่แตกต่างกันโดยการให้ผล บุญให้ผลเป็นสุข บาปให้ผลเป็นทุกข์ แต่คุณค่าของผู้ที่ทำให้ติดของบุญ และ บาป คือให้ติดข้องอยู่ในวัฏสงสาร มีค่าเท่ากัน เพราะฉะนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมเมื่อบรรลุอรหัตตผลแล้ว ต้องสละทิ้งทั้งบุญและบาป ถ้ายังเกาะบุญอยู่ก็ยังข้องอยู่ในวัฏสงสาร เกาะบาปอยู่ก็ยังข้องอยู่ในวัฏสงสาร ยังไม่พ้น ต้องพ้นทั้งบุญและบาป อันนี้หลักฐานในพระไตรปิฎก กรุณาไปค้นดูเอาเอง

.....................................................
บริหารกายเจริญวัย บริหารใจเจริญจิต เจริญธรรมเป็นนิจจิตผ่องใส

บำเพ็ญอยู่เสมอไม่เผลอใจ อะไร ๆ ก็จะโปร่งเบาเท่านั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2010, 11:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ย. 2009, 10:34
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถาม : คำว่า เทวบุตรมาร เป็นอย่างไร มีบางท่านว่า เป็นเทวดาที่คอยแกล้งผู้ที่ทำความดี จริงหรือไม่

หลวงพ่อ : ถ้าจะว่าโดยบุคคลาธิษฐานแล้วก็ เทวบุตรมาร ก็หมายถึง เทวดาที่คอยมาหลอกหลอน ในปัจจุบันนี้ เทวบุตรมารมีเยอะ เช่นอย่าง นึกภาวนาไปแล้ว พอจิตจะเข้าที่รวมเป็นสมาธิที่ถูกต้องแล้ว ประเดี๋ยวก็มีพระบ้างล่ะ มีผู้ยิ่งใหญ่บ้างล่ะ มีเจ้าโน้น เจ้านี้บ้างล่ะ เป็นวิญญาณมาบอก การทำอย่างนั้นไม่ถูก ๆ อย่าทำเลย อะไรทำนองนี้ อันนี้แหละ คือ เทวบุตรมาร ที่นี้ถ้าจะว่าโดยที่กิเลสมันมีอยู่ในตัวของเรานี้ เช่น เราตั้งใจว่าจะทำสมาธิภาวนา ในวันนี้แหละ พอทำ ๆ ไป พอจะได้สบาย ก็มีความคิดอันหนึ่งมันเกิดขึ้นมาว่า เฮ้ย หยุดดีกว่า ไม่ต้องทำ อะไรทำนองนี้ หมายถึงความคิดที่คอยกระตุ้นเตือนให้เราหยุดพักการกระทำนั้น ในลักษณะแห่งความขี้เกียจ ท้อแท้ เป็นเรื่องของเทวบุตรมาก

.....................................................
บริหารกายเจริญวัย บริหารใจเจริญจิต เจริญธรรมเป็นนิจจิตผ่องใส

บำเพ็ญอยู่เสมอไม่เผลอใจ อะไร ๆ ก็จะโปร่งเบาเท่านั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2010, 12:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านมาตั้งแต่ต้นจนจบ ยังไม่รู้ว่า หลวงพ่อชื่ออะไร? เป็นใคร?

หลวงพ่อท่านนี้รู้แล้วว่าวิญญาณมี 2 อย่าง คือ วิญญาณธาตุ และวิญญาณขันธ์ ไม่อย่างนั้นท่านจะไม่พูดอย่างนี้

" ส่วนวิญญาณนี้ แบ่งออกเป็น 2 ภาค
ภาคหนึ่งเรียกว่า ปฏิสนธิวิญญาณ คือ วิญญาณรู้จักจุติปฏิสนธิ หมายถึง วิญญาณในปฏิจจสมุปบาท หรือวิญญาณที่เกี่ยวเนื่องกับจิตที่จะนำไปผุด ไปเกิด

อีกภาควิญญาณหนึ่งนั้น หมายถึง วิญญาณในเบญจขันธ์ วิญญาณในเบญจขันธ์นี้หมายเฉพาะ ตา กับ รูป กระทบเข้ากัน เรียกว่า จักษุวิญญาณ เสียงกระทบหู เกิดความรู้สึกเข้า เรียกว่า โสตวิญญาณ กลิ่นกระทบจมูก รู้สึกขึ้นเรียกว่า คันธวิญญาณ ลิ้นลิ้มรส เรียกว่า ชิวหาวิญญาณ กายถูกต้องสัมผัส เรียกว่า กายวิญญาณ จิตรู้อารมณ์ เรียกว่า มโนวิญญาณ "


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2010, 14:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ย. 2009, 10:34
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอบคุณคนดีที่โลกลืมนะคะ

บทความข้างต้นนี้เป็นบทความของ พระอธิการสุชาติ คุเณสโก
เจ้าอาวาสวัดป่าถ้ำพระสีวลีวิปัสสนา
ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมาค่ะ

:b8: :b8:

ที่ยังไม่ได้ลงชื่อท่าน เนื่องจากยังพิมพ์ไม่ครบเรื่อง ยังมีต่ออีกค่ะ

.....................................................
บริหารกายเจริญวัย บริหารใจเจริญจิต เจริญธรรมเป็นนิจจิตผ่องใส

บำเพ็ญอยู่เสมอไม่เผลอใจ อะไร ๆ ก็จะโปร่งเบาเท่านั้นเอง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร