วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 13:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2010, 06:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 เม.ย. 2010, 06:16
โพสต์: 1

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แฟนผมฐานะด้อยกว่า ค่อนข้างมาก รวมทั้งความสามารถ และการศึกษาด้วย และเคยเป็นลูกน้องผมมาก่อน (ธุรกิจของคุณพ่อคุณแม่ผม) พ่อแม่เค้าเปรียบเสมือนตาสีตาสา เค้าต้องดูแลตัวเองมาตลอด จนกระทั่งส่งเสียตัวเองเรียนจนจบตรี

ณ วันนี้ พอมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ เธอก็เปลี่ยนไป ตอนนี้ เธอไม่ได้ทำงาน อยู่เป็นแม่บ้านอย่างเดียว และกำลังเรียนหนังสือเพิ่ม (ทั้งอังกฤษ และ computer) เพื่อที่จะสามารถช่วยงานผมได้ (ผมไม่ได้ทำงานกับครอบครัว) นี่คือต้นเหตุของความรักของเรา ผมกำลังหาเลขาอยู่ในตอนนั้น เธอเข้ามา และพยายามทำทุกอย่างให้ผมรู้สึกว่า ถึงแม้ความสามารถเธอวันนี้ยังไม่ถึง แต่เธอซื่อสัตย์ จงรักภักดีมาตลอด (ทำงานบ้านผมมามากกว่า 5 ปีแล้วในฐานะ admin) และขวนขวาน ขยันขันแข็งอย่าหาใครเปรียบไม่ได้ แต่พออยู่ด้วยกันแล้ว เธอไม่ได้ขยัน และขวนขวาย เหมือนตอนแรก แต่ผมก็ปล่อยวาง เพราะก็ไม่ได้เลวร้ายนัก ผมเข้าใจว่า คนเราลืมตัวกันได้ ขี้เกียจกันได้ มันยังอยู่ในระดับ พอรับได้ครับ

หากเพียงแต่ เธอเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนในหลายด้าน ซึ่งเคยเรียบร้อย เชื่อฟัง ตอนนี้ มีแต่ demanding มาก มึแต่ต้องการโน่นต้องการนี่ แต่ไม่ได้ให้ตัวเอง ให้ครอบครัว (นี่คือสิ่งที่ผมอึดอัดที่สุด และขอความแนะนำด้านนี้ด้วยครับ)

หลังจากอยู่ด้วยกัน (ยังไม่ได้แต่ง) มาได้เกือบปี ผมเพิ่งรู้ว่า พ่อแม่เธอมีหนี้เยอะมาก ถึงแม้มันไม่มากนัก สำหรับผม แต่ผมทำอาชีพสุจริต ไม่ได้ผลิตเงินเอง ก็ไม่ได้น้อยเกินไป ผมรับปากว่า จะใช้หนี้แทนให้ แต่ขอผ่อน (ไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่ได้เซ็นต์อะไรทั้งสิ้น)

หลังจากรับปากได้ไม่กี่เดือน เธอก็ออกปากความฝันของเธอตั้งแต่ยังเด็กกับน้องว่า อยากซื้อรถกระบะใหม่ให้พ่อแม่ เพื่อที่พ่อเธอจะได้ทำงานใช้กระบะรับส่งของให้กับคนอื่นแทนที่จะทำนา เธอเป็นห่วงสุขภาพพ่อแม่เธอ ผมว่าฟังดูดี ห่วงสุขภาพพ่อแม่ long term เมื่อเธอรบเร้ากับผมมาก ผมก็เลยบอกไปว่า ปีหน้าจะดาวน์ให้ จะไปกู้เงินดาวน์ให้ 50% แล้วเธอรับปากว่า จะให้น้องและพ่อแม่ช่วยผ่อน

หมดจากเรื่องนี้ ยังไม่ทันข้ามเดือน เธอมีความฝันอีกแล้ว เธออยากทำสวนครัวให้พ่อแม่ ในที่ ของพ่อแม่ที่ต่างจังหวัด กำลังเช็คว่าจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ ผมนิ่ง และทำเป็นเห็นด้วย เพื่อสุขภาพอีกแล้วไง..

ผมชอบทำบุญ กับทุกอย่าง เช่น คนประสบแผ่นดินไหวที่ Haiti, ทำบุญกับศาสนาพุทธ จะทำเยอะ และบ่อยมาก, คนที่ไม่รู้จัก แต่รับรู้ว่าเค้าประสบทุกข์ได้ยาก และเป็นคนดี, ให้การสนับสนุนการศึกษา และทุน

แต่ตอนนี้ ตั้งแต่เธอเข้ามาเกี่ยวข้อง อย่างลึกซึ้งในชีวิตผม เธอไม่พอใจในสิ่งที่ผมทำ เธอมองว่า เราสองคนรักกัน พ่อแม่เธอ ก็เปรียบเสมือน พ่อแม่ของผม และเธอก็คิดเช่นเดียวกัน ผมเองก็เห็นดีด้วยกับความคิดนี้ แต่ต่างกับเธอเรื่องการให้เงินพ่อแม่เธอ ผมก็ให้ แล้วให้มากกว่าที่เธอสามารถให้ได้ หากเธอทำงานหาด้วยลำแข้งของตัวเองด้วยซ้ำ และให้ทุกเดือน เป็นเงินเดือน และยังให้โบนัสอีกต่างหาก พิเศษอีก ปีใหม่ วันพ่อ วันแม่ อีก และไหนยังจะเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยอีก และยังไม่ได้รวมที่บ่นไปข้างบนนะครับ แค่นี้ผมว่ามันเหมาะสมแล้ว มากเกินพอแล้ว

เธอไม่พอใจเวลาที่ผมต้องการทำบุญให้คนอื่น เธอมองว่าเราควรทำบุญให้คนในบ้านก่อน ก็คือพ่อแม่ของเธอเองนั่นเอง คำถามของผมคือเมื่อไหร่มันจะพอ และสิ่งที่ผมควรปฏิบัติคืออะไร

ผู้มีปัญญา โปรดช่วยผมด้วยครับ ผมอยากทำให้สิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสม...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2010, 07:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2010, 08:32
โพสต์: 69

อายุ: 46

 ข้อมูลส่วนตัว


พูดคุยกันด้วยเหตุ ด้วยผล เราก็อธิบายถึงเหตุผลของเราว่าการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน โดยเฉพาะการให้กับผู้ที่อยู่ในสถานการณ์ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างมากนั้นเป็นสิ่งที่ควรทำ ส่วนแฟนคุณก็อาจจะมีเหตุผลมาอธิบายเหมือนกัน รับฟังเธอ และอย่าไปค้านความคิด หรือตำหนิเธอ แต่ควรหาจุดที่เหมาะสมที่ยอมรับกันได้ทั้ง 2 ฝ่าย ผมเชื่อว่าเธอรับฟังคุณนะ

Wylsmith


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2010, 07:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนอื่นก็ขออนุโมทนาด้วย ที่คุณเป็นบุคคลหนึ่งที่ทำให้ทำเสียสละ ด้วยมีการให้ทานเป็นต้น อยู่ตลอด
คำว่าให้ จุดยืนของคุณอาจต่างกันกับแฟน คือคุณจากที่เต็มแล้วมีการเกื้อกูลออกไป มาจากใจที่คิดว่าพอแล้ว จึงอนุเคราะห์สงเคราะห์ เปรียบน้ำที่เต็มโอ่ง ใครจะตั้งกินก็ได้ ใช้ได้ไม่เลือกคนที่จะสงเคราะห์ไม่คับแคบต่อผู้คน และเป็นการคุ้นเคยเสียสละมาอยู่แล้ว จึงเรียกว่าผู้ให้ สั้นๆ ส่วนแฟนคุณด้วยการเป็นการอยู่ที่อาจไม่สมบูรณ์มา และไม่ได้มีการให้เสียสละมาอย่างต่อเนือง เมื่อมามีคุณ มาอยู่กับคุณ ซึ่งมีความสมบูรณ์พูนสุขกว่า และเมื่อตนเอง สบาย เขาก็อยากให้พ่อแม่สบายด้วยเป็นธรรมดา แต่ที่แตกต่างอย่างหนึ่งคือ เขามีการให้ แบบเอา จะเจือด้วยคำว่าเอาไว้ก่อนเปรียบเหมือนซูซกที่อดข้าวมา เมื่อเจออาหารอะไรก็จะเอาหมดจะกินหมด หยิบอะไรได้เอาเรียบ ภาวะนี้ก็เช่นกันที่เป็นในเรื่องจิตใจที่แห้งแล้งในเรื่องกุศลของแฟนคุณ และความทะยานอยาก ที่ได้ ที่มีมันคุ้นเคยมานาน ก็ปรากฏให้รู้ให้เห็น ความคิดเขาจึงคับแคบกำจัดเฉพาะญาติเขาคือรู้แค่ว่า เดิมที่อดอยากมีแต่ครอบครัวเขา ของคนอื่นเอาไว้ก่อน ให้อะไรก็ของตัวเองเอาไว้ก่อนหมด การให้ที่เป็นการเอา แบบนี้เข้าทางซูซกหมด ไม่พ้นของตัวเอง (ผู้เอาอย่างเดียว)
การแก้มีทั้งระบบภายในจิต อย่างนี้ภาวะภายใจเขาแล้งด้วยบุญกุศลไม่มีบุญกุศลหล่อเลี้ยง มีแต่โหยหา ก็ให้คุณกรวดน้ำให้เอง หรือพาเขาทำบุญแล้วกรวดน้ำ ดำริให้มีส่วนบุญกุศลได้เข้าไปหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ และในเรื่องสัมมาทิฐิ ต้องพาเขาเข้าวัดฟังธรรม หรือหาอะไรที่เป็นธรรมะ หนังสือ ซีดี ให้เขาฟังเพื่อคลายจากทิฐิอย่างนั้นเสียไม่ยากเลยเรื่องนี้ แต่ค่อยเป็นค่อยไป

ขอเชิญฟังสนทนาธรรมโดยหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต
http://audio.palungjit.com/f68/ธรรมเพื่อความหลุดพ้น-บรรลุฉับพลันครับ-3956.html
กรุณา copy ทั้งหมดไปค้นหา ฟังเรื่องที่ 1-5 นะครับ โหลดไว้ให้แฟนฟัง


ขอเชิญศึกษาธรรมปฏิบัติ และดาวน์โหลดธรรมะ
โดย หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต
วัดร่มโพธิธรรม บ้านหลัก 160 ต.หนองหิน อ.หนองหิน จ.เลย

http://www.rombodhidharma.com/ หรือที่บอร์ดสนทนาทั่วไป ดูคำกรวดน้ำได้ที่นี่
ขอให้มีส่วนในความ ไม่ติด ไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่คา แจ่มแจ้งในสัจธรรม ลุล่วงพ้นทุกข์ ตามองค์พุทธะ พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต นั่นเทอญ


แก้ไขล่าสุดโดย yodchaw เมื่อ 04 เม.ย. 2010, 18:06, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2010, 12:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

เมื่อแต่งงานเสียแล้ว
หากจะแนะนำให้อ่านคุณสมบัติคู่แท้ก็คงไม่เหมาะ
แนะนำให้ทั้งคุณและภรรยาศึกษาทิศ ๖ ค่ะ

viewtopic.php?f=7&t=30614

๑.ทิศเบื้องหน้า ได้แก่มารดาบิดา
๒.ทิศเบื้องขวา ได้แก่อาจารย์
๓.ทิศเบื้องหลัง ได้แก่ บุตรภรรยา
๔.ทิศเบื้องซ้าย ได้แก่ มิตรอำมาตย์
(“อำมาตย์” เป็นสำนวน บาลี หมายถึง มิตรอย่างเดียว)
๕.ทิศเบื้องล่าง ได้แก่ ทาสกรรมกร
๖.ทิศเบื้องบน ได้แก่ สมณพราหมณ์
(คำว่า “พราหมณ์” ก็เหมือน กัน เป็นสำนวนแฝดกับคำว่า สมณะ คงหมายเฉพาะสมณะ)

หากเรารู้จักหน้าที่ซึ่งกันและกัน
สังคมคงไม่เดือนร้อนวุ่นวาย

แก้ไขปัญหาด้วยความรักและเมตตาต่อกัน
ขอให้ชีวิตสมรสของคุณพบแสงสว่างค่ะ
:b51: :b53:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2010, 15:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


knowledge_xchange:

อ้างคำพูด:
แฟนผมฐานะด้อยกว่า ค่อนข้างมาก รวมทั้งความสามารถ และการศึกษาด้วย และเคยเป็นลูกน้องผมมาก่อน (ธุรกิจของคุณพ่อคุณแม่ผม) พ่อแม่เค้าเปรียบเสมือนตาสีตาสา เค้าต้องดูแลตัวเองมาตลอด จนกระทั่งส่งเสียตัวเองเรียนจนจบตรี


ฐานะที่แตกต่างกันมาก อาจเป็นที่มาของความขัดแย้งหลายอย่าง เพราะการวางใจที่ไม่แยบคาย พึงทราบว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นเผ่าพันธ์มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมนั้นจัดสรรค์ให้มาเกิดในสภาพนั้น หากใครๆเลือกเกิดได้ คงไม่มีคนจนในโลก..พึงเห็นว่า แม้เราก็ยังไม่พ้นสภาพนั้นเช่นกัน เพราะอำนาจกรรมที่ยังมีอยู่ จึงไม่พึงสร้างปมไว้ในใจด้วยความต่างแห่งฐานะอันจะพาให้เกิดความเพ่งเล็งด้วยอำนาจมานะเป็นต้น..


อ้างคำพูด:
ณ วันนี้ พอมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ เธอก็เปลี่ยนไป ....แต่ผมก็ปล่อยวาง เพราะก็ไม่ได้เลวร้ายนัก ผมเข้าใจว่า คนเราลืมตัวกันได้ ขี้เกียจกันได้ มันยังอยู่ในระดับ พอรับได้ครับ


พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า "สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น เพราะมีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา"..
เราทั้งนั้นเปลี่ยนแปลงกันตลอดเวลาหามีใครสักคนที่คงเส้นคงวาไม่ เพราะสภาพแวดล้อม เหตุปัจจัยมากมายที่เกี่ยวข้อง..ดังนั้นการคาดหวังว่าใครหรืออะไร แม้แต่ตนเองจะ"เป็นเช่นนั้น เหมือนเดิม อย่างที่เคยเป็น"..ย่อมเป็นการสร้างความผิดหวังให้เป็นอันมากเพราะหวังในสิ่งที่ทวนกับกฏความจริงคือ กฏแห่งความไม่เที่ยง (อนิจจัง) ...เพราะคนส่วนมากไม่ยอมรับการแปรเปลี่ยนจึงเข้าถึงทุกข์โศกร่ำพิไรรำพันปริเวทนาการอยู่..เรามักมองเห็นคนอื่นว่า"เปลี่ยนไป"แต่อาจไม่เห็นว่า"แม้เราเองก็เปลี่ยนไปมาก"เช่นกัน..จึงพึงหาความยุติธรรมที่ลงตัวในกรณีนี้ให้ดี..

อ้างคำพูด:
หลังจากอยู่ด้วยกัน (ยังไม่ได้แต่ง) มาได้เกือบปี ผมเพิ่งรู้ว่า พ่อแม่เธอมีหนี้เยอะมาก ถึงแม้มันไม่มากนัก สำหรับผม แต่ผมทำอาชีพสุจริต ไม่ได้ผลิตเงินเอง ก็ไม่ได้น้อยเกินไป ผมรับปากว่า จะใช้หนี้แทนให้ แต่ขอผ่อน (ไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่ได้เซ็นต์อะไรทั้งสิ้น)


ขออนุโมทนาในกุศลเจตนาที่ตั้งไว้ ทานทั้งหลายย่อมเป็นที่มาของโภคะทั้งหลาย ผู้ที่ให้ย่อมชื่อว่านำความสุข มาให้แก่คนทั้งหลาย ย่อมได้รับความชื่นชมความรักและความช่วยเหลือ เขาย่อมเป็นผู้"ไม่ขาดแคลน"..

อ้างคำพูด:
หลังจากรับปากได้ไม่กี่เดือน เธอก็ออกปากความฝันของเธอตั้งแต่ยังเด็กกับน้องว่า อยากซื้อรถกระบะใหม่ให้พ่อแม่ เพื่อที่พ่อเธอจะได้ทำงานใช้กระบะรับส่งของให้กับคนอื่นแทนที่จะทำนา เธอเป็นห่วงสุขภาพพ่อแม่เธอ ผมว่าฟังดูดี ห่วงสุขภาพพ่อแม่ long term เมื่อเธอรบเร้ากับผมมาก ผมก็เลยบอกไปว่า ปีหน้าจะดาวน์ให้ จะไปกู้เงินดาวน์ให้ 50% แล้วเธอรับปากว่า จะให้น้องและพ่อแม่ช่วยผ่อน

หมด จากเรื่องนี้ ยังไม่ทันข้ามเดือน เธอมีความฝันอีกแล้ว เธออยากทำสวนครัวให้พ่อแม่ ในที่ ของพ่อแม่ที่ต่างจังหวัด กำลังเช็คว่าจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ ผมนิ่ง และทำเป็นเห็นด้วย เพื่อสุขภาพอีกแล้วไง..


การให้ความช่วยเหลือแก่ใครๆนั้น พึงพิจารณาด้วยปัญญา ในความเหมาะควรโดยประการต่างๆ ว่า..

๑. เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนหรือไม่ หากทำแล้วตนต้องเดือดร้อนเพราะหมดตัว เพราะต้องเอาหนี้
เขามาแบก.. หรือกลายเป็นเงื่อนไขผูกมัดตนให้ต้อง"ให้เกินกำลัง"จนไม่รู้จบ..ก็พึงระมัดระวังหรือระงับเสีย..

๒. เป็นไปเพื่อเบียดเบียนคนอื่นหรือไม่ ..เช่นเบียดเบียน พ่อแม่ บุตรภรรยา หรือญาติอื่นๆ ตลอดจนเพื่อนฝูง เพราะต้องเอาทรัพย์มาด้วยการขอหรือยืม..ซึ่งเขาเหล่านั้นก็จำเป็นต้องใช้ทรัพย์นั้นเช่นกัน..

๓. การให้นั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล มิใช่ส่งเสริมทุจริตแก่ผู้รับ..พึงเห็นการช่วยเหลือด้วยเมตตากรุณา ว่าเป็นกิจอันบัณฑิตพึงกระทำเพราะยังอานิสงค์ไพบูลย์มาให้..แต่หากทำไปด้วยอำนาจความกลัวเหมือนถูกบังคับด้วยเงื่อนไขใดย่อมไม่มีอานิสงค์นัก ทั้งหากการให้นั้น เป็นเสมือนน้ำซึมบ่อทรายคือให้เท่าไรก็ไม่พอ นี้ย่อมนำความวิบัติมาสู่ตนถ่ายเดียว อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมผู้รับให้ทุจริตด้วยการเป็นผู้ไม่ขวนขวาย มีการเกียจคร้านนั่นแลครอบงำอยู่ก็เป็นการทำร้ายผู้รับไปโดยคาดไม่ถึง..

ทานทั้งหลาย เมื่อจะกระทำก็พึงพิจารณาในกาลทั้ง๓ คือก่อนให้ ขณะให้ และหลังให้ ว่าเราปลื้มใจยินดีในการให้นี้เพื่อละกิเลสคือความตระหนี่ได้ มีใจเบิกบานแล้วยินดียิ่งแล้ว ย่อมมีกำลังบุญมาก..แต่หากทำแล้วมาเสียใจในภายหลังย่อมเป็นทานที่เศร้าหมอง..เมื่อพิจารณาใคร่ครวญแล้วว่าเมื่อให้เเล้ว
จะไม่เสียใจก็ทำไป แต่ถ้ารักษาเจตนานี้ไม่ได้ก็พึงงดเสีย..

อ้างคำพูด:
ผมชอบทำบุญ กับทุกอย่าง เช่น คนประสบแผ่นดินไหวที่ Haiti, ทำบุญกับศาสนาพุทธ จะทำเยอะ และบ่อยมาก, คนที่ไม่รู้จัก แต่รับรู้ว่าเค้าประสบทุกข์ได้ยาก และเป็นคนดี, ให้การสนับสนุนการศึกษา และทุน


อนุโมทนาครับ.. :b8:

อ้างคำพูด:
แต่ตอนนี้ ตั้งแต่เธอเข้ามาเกี่ยวข้อง อย่างลึกซึ้งในชีวิตผม เธอไม่พอใจในสิ่งที่ผมทำ เธอมองว่า เราสองคนรักกัน พ่อแม่เธอ ก็เปรียบเสมือน พ่อแม่ของผม และเธอก็คิดเช่นเดียวกัน ผมเองก็เห็นดีด้วยกับความคิดนี้ แต่ต่างกับเธอเรื่องการให้เงินพ่อแม่เธอ ผมก็ให้ แล้วให้มากกว่าที่เธอสามารถให้ได้ หากเธอทำงานหาด้วยลำแข้งของตัวเองด้วยซ้ำ และให้ทุกเดือน เป็นเงินเดือน และยังให้โบนัสอีกต่างหาก พิเศษอีก ปีใหม่ วันพ่อ วันแม่ อีก และไหนยังจะเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยอีก และยังไม่ได้รวมที่บ่นไปข้างบนนะครับ แค่นี้ผมว่ามันเหมาะสมแล้ว มากเกินพอแล้ว


เป็นเรื่องปกติที่ใครๆจะเห็นแก่ตนก่อนใครอื่น เมื่อเห็นแก่ตนแล้วก็ย่อมเรียกร้องเอาเพื่อประโยชน์เฉพาะตนและบริวาร การที่เธอต้องการให้คุณช่วยพ่อแม่เธอเป็นเรื่องที่คนดีมีคุณธรรมในใจใคร่ตอบแทนคุณพ่อแม่พึงกระทำ ในเมื่อเธอมาร่วมชีวิตกับคุณเธอช่วยงานคุณ การขอความช่วยเหลือก็ไม่ผิดปกติหรอกครับ..แต่ถ้าเธอไม่ขวนขวายขอความช่วยเหลือนี่สิ จะผิดปกติมากสำหรับคนที่มีสำนึกกตัญญู..ความฝันของเธอนั้น หากคุณสามารถช่วยให้เป็นจริงได้ ก็พึงทำเถิด แต่หากทำได้ไม่หมดก็ทำเท่าทำได้ ตามกำลัง ก็ยังดี...

ส่วนเรื่องที่เธอไม่พอใจในกุศลที่คุณทำนั้น คุณพึงพยายามอธิบายให้เธอแก้ไขสภาพความคิดที่ไม่ดีอันมีโทษนั้นว่า คนที่ไม่ยินดีในบุญของคนอื่น แถมยังโกรธที่คนอื่นทำกุศลนั้นจะได้รับทุกข์คือแม้เมื่อตนทำดีอยู่ ก็หามีใครชื่นชมไม่ กลับถูกตำหนิเพ่งโทษจากคนอื่นๆรอบด้าน จนในที่สุดตนจะเลิกทำดีและหันไปทำชั่วแทน เพราะขาดปัญญา เสียหายมากในสังสารวัฏอันไม่มีที่สิ้นสุด เธอควร"อนุโมทนา"คือพลอยยินดีในบุญทุกอย่างที่คุณทำนี่จึงควร เพราะเธอจะมีส่วนในบุญเหล่านั้นทันที..เรื่องนี้ ก็ต้องทำใจไว้ว่าหากเธอเป็นมิจฉาิทิฏฐิไม่เชื่อว่ามีชาติหน้า ความเชื่อเรื่องบุญบาปก็คงเข้าใจไม่ได้..

ข้อที่คุณวิตกนั้นคือการกังวลว่าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการช่วยด้านการเงินแก่บริวารของเธอตลอดไป ..เรื่องนี้ คุณพึงพูดคุยกับเธอให้เข้าใจ ว่าคุณมีความจริงใจที่จะช่วยเหลือพ่อแม่ของเธอ แต่คุณจะพิจารณาในเรื่องที่เหมาะสมเป็นกรณีๆไป ทั้งนี้คุณเห็นประโยชน์ในความกตัญญูของเธอ และขอให้เธอเข้าใจว่า ในบางเรื่องคุณอาจปฏิเสธไม่ทำตามที่เธอขอด้วย จึงขอให้เธอเข้าใจไว้เสียแต่แรก(คุณมีสิทธิ์ปฏิเสธครับ)จะได้ไม่คาดหวังว่าอะไรๆจะได้ดังใจทั้งหมด..

ในฐานะที่อยู่ร่วมกันแล้ว พึงให้เกียรติเธอว่าเป็นคู่ร่วมชีวิตไม่ดูหมิ่นเธอหรือคิดว่าเธอมาเกาะ..มีความจริงใจต่อกันหากคิดว่าจะร่วมคู่กันจนตาย คนจน คนรวยไม่ใช่คนชั่ว ..เมื่อเขาเป็นคนดีก็เพียงพอแล้วสำหรับเรา..คนที่อยู่ด้วยกันจะรู้ได้ว่าใครมีศีลธรรมแค่ไหน เพียงไร ขอเพียงอย่าเพ่งหาความผิดคนอื่นด้วยตัณหามานะและทิฏฐิเท่านั้น และพึงนึกไว้เสมอว่า นอกจากพระอรหันต์แล้ว นอกนั้นสามารถมีข้อบกพร่องได้ พึงยอมรับเขาอย่างที่เขาเป็น ไม่ใช่เห็นเขาอย่างที่เราอยากให้เขาเป็น ถ้าใครๆเป็นได้อย่างใจเรา โลกนี้จะไม่มีปัญหาเลย...

เรื่องคู่ที่เหมาะสมเพื่อการมีชีวิตคู่ที่เป็นสุขคือ คู่ที่มีศีล ปัญญา ศรัทธา จาคะ เสมอกันสิ่งนี้หากปรับกันได้แล้ว ความราบรื่นปรองดองย่อมเกิดขึ้นได้ แม้จะมีปัญหาใดๆเกิดก็ย่อมพากันฝ่าฟันไปได้ย่อมเข้าถึงความสำเร็จในกิจทั้งปวงครับ..

ขอให้ผ่านพ้นความอึดอัดคับข้องทั้งปวง และแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วราบรื่นครับ :b46::b47: :b48: :b41:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


แก้ไขล่าสุดโดย -dd- เมื่อ 04 เม.ย. 2010, 15:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2010, 15:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


การให้ที่ฉลาด ย่อมไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
การให้ที่ฉลาด ยังมีผลในเรื่องการฝึกฝนความเสียสละ
ละความเห็นแก่ตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 15:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
:b43: :b43: :b43: :b43:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 16:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ต.ค. 2009, 17:14
โพสต์: 84

แนวปฏิบัติ: ตามดูจิต
งานอดิเรก: เลี้ยงแมว/ดูหนัง/เล่นเนต
สิ่งที่ชื่นชอบ: ธรรมะ
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะ จขกท.

ดิฉันอ่านแล้วก็เกิดความรู้สึกอะไรหลายๆอย่างขึ้นมาทันทีที่เกี่ยวกับตัวเอง
เรื่องอุปนิสัยแฟนคุณ ดิฉันไม่ทราบนะคะว่าเธอเป็นคนมีแง่มุมแบบไหน
แต่เรื่องรักพ่อแม่ กตัญญูนี่ชัดเจนมาก ลึกๆแล้วเธอคงเป็นคนดี คนหนึ่ง

แต่ขอเดาว่า เธอน่าจะยังเด็กอยู่หรือเปล่า
เพราะเธอยังแยกแยะชีวิต ส่วนตัว กับ ครอบครัวไม่ออก

มาวิเคราะห์เรื่องของปัญหาของทั้ง 2 ฝ่าย นะคะ
ทางผู้หญิง : เปนธรรมดาของคนที่มาจากพื้นฐานชีวิตที่ลำบาก พอเวลาที่เราสบาย เรามักจะหลงลืมตัวไปบ้าง และยังเผื่อแผ่ไปยังคนรอบข้าง ถามว่าดีไหม ก็ดีนะคะ แต่จะดีกว่านี้ ถ้าสิ่งที่เราเผื่อแผ่ไปนั้น มันเกิดจากสิ่งที่เราได้สร้างขึ้น หรือ อย่างน้อยก็รับมาจากคนรอบข้างอย่าง "พอสมควร"
ซึ่งดิฉันคิดว่าแฟนคุณยังคิดไม่ได้ในข้อนี้ เธอมีทัศนคติประมาณว่า พ่อแม่ฉัน ก็คือ พ่อแม่เธอ
บางครั้งการคิดแบบนั้นก็ไม่ได้เสียหายอะไร แต่ถ้าคิดแล้วกลับกลายเป็นว่า คุณจะเอาทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิิตของตัวเองมายกให้ผู้อื่นทั้งหมด มันย่อมไม่ถูก ทุกอย่างต้องมีขอบเขตของความพอดี และเหมาะสม ซึ่งนั้นแปลว่าแต่เธอยังไม่เข้าใจในบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละฝ่าย เลยคิดจะผลักภาระมาที่ตัวสามีคนเดียว "อย่างไม่รู้ตัว" เพราะเธอเริ่มจะเคยชินที่จะคิดว่า สามีมีพร้อมทุกอย่างที่เธอต้องการ

ทางคุณผู้ชาย: คุณมีความบกพร่องเรื่องของ 1.ภาวะผู้นำ ดิฉันไม่แปลว่าคุณไม่รับผิดชอบนะคะ แต่เพราะคุณไม่เด็ดขาดพอ ที่จะจัดระเบียบชีวิตครอบครัว สังเกตได้จากเวลาที่ภรรยาคุณอยากทำไรคุณมักไม่ขัดใจเธอ แต่สุดท้ายคุณก็เอามาบ่น เอามาคิด นั้นแปลว่า คุณได้กระทำสิ่งใดๆลงไปด้วยความไม่เต็มใจอยู่ลึกๆ ดิฉันเชื่อค่ะว่า ถ้าเต็มใจจริงๆ เราจะไม่มานั่งรู้สึกอะไรกับเรื่องเหล่านี้อีก

2. ภาวะความใจอ่อนของคุณ ดิฉันว่าคุณต้องเลือกทำในสิ่งที่เหมาะสม และ พอควร ต้องใช้ 2 คำควบคู่กันนะคะ เพราะถึงแม้จะเหมาะสม แต่ไม่พอควร มันก็จะเกิดปัญหาอย่างที่คุณกำลังเจออยู่ นั้นคือ การเรียกร้องไม่รู้จักพอ

ปัญหานี้ ถ้าไม่รีบเคลียกันเสียแต่วันนี้ รับรองว่า ปล่อยไว้จะต้องบานปลาย กลายเป็นเรื่องที่เจ็บช้ำ เก็บงำไว้ทั้งสองฝ่าย ทางผู้หญิงก็อาจจะคิดว่าคุณไม่ห่วงครอบครัวเธอ อึดอัด ไม่ได้ดั่งใจ หาว่าคุณใจแคบ ทางคุณผู้ชายก็จะคิดว่า ภรรยาชอบเอาปัญหาทางบ้านมาให้อยู่เรื่อยไม่จบไม่สิ้น คุณอาจจะรู้สึกว่า สำหรับเรื่องบ้างเรื่องมันไม่ใช่หน้าที่ของคุณเลยสักนิด คุณก็จะรู้สึกอึดอัด กดดัน

แล้วสุดท้าย ก็จะหาความสุขในชีวิตคู่ไม่มีวันเจอ....

ดังนั้น ก่อนที่จะไปกันใหญ่ ถ้าภรรยาคุณเขาน่าจะสอนได้คุณควรจะคุยกับเขาไปอย่างตรงๆ ถึง
1. ขอบเขตความรับผิดชอบที่คุณจะมีต่อเธอและครอบครัวเธอ เช่น การเงิน จะช่วยได้อย่างไรกรณีไหน
2. ความรับผิดชอบหน้าที่ระหว่างคนที่เป็น ภรรยา และ สามี ควรปฏิบัติต่่อกันอย่างไร อย่านำปัญหานอกบ้านเข้ามาในบ้าน อะไรแบบนี้เป็นต้น มันต้องแยกแยะให้ได้
3. บอกถึงสิ่งที่เรา และ เขาไม่ชอบให้ทำ เปิดใจ ซึ่งควรจะให้เหตุผลประกอบด้วยจะดีมาก
4.อื่นๆ

และต่อไปนี้ดิฉันก็มาโฟกัสที่คุณผู้ชายเป็นหลัก
เนื่องจากคุณจะต้องเป็นผู้นำครอบครัว คุณต้องเป็นหลักให้ชัดเจน
ถ้าเรื่องใด พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ไม่เหมาะสม หรือ ว่ามันเกินไป
คุณต้องเด็ดขาด
เพราะถ้าคุณปล่อยไปเรื่องยๆ รับรองว่าปัญหานี้สินจะต้องตามมาอย่างแน่นอน
และถ้าปัญหาการเงินเริ่มบกพร่อง รับรองว่าคุณกับภรรยา ไม่ได้อยู่ดีมีสุขกันเหมือนเดิมแน่ค่ะ

ที่ดิฉันกล่าวมา มันเป็นปัญหาแบบ วงอโคจร
ซึ่งดิฉันเคยมีประสบการณ์แบบนี้โดยตรงมาแล้ว
ยอมรับว่าเข็ดหลาบมาก กว่าจะคิดได้เกือบสายไปเสียแล้ว
ดิฉันจึงคิดว่า ถ้าตอนนี้คุณยังไม่ถลำมากเกินไป รีบแก้เสียแต่ตอนนี้
ดิฉันว่าปัญหามันก็ยังมีทางออกเสมอนะคะ

โชคดีค่ะ

.....................................................
จงขอบคุณเมื่อความทุกข์เกิด เพราะมันคือบทเรียนให้เราก้าวหน้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 16:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.ย. 2009, 14:32
โพสต์: 874

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในความแตกต่าง...มันย่อมมีความแตกต่าง
ใครจะว่ารักกัน และรับได้ทุก ๆ อย่างก็ช่างเถอะ
แต่การเลี้ยงดูที่แตกต่าง ทำให้พื้นฐานการคิดแตกต่างกัน
คุณต้องยอมรับข้อนี้ และทำความเข้าใจในตัวเธอ
เคยได้ยินคำว่า "พระในบ้านไหมค่ะ"
ในที่นี้ชื่นชมภรรยาคุณนะที่รักและดูแลพ่อแม่เธอ
แน่นอนได้บุญมากโข แต่จะดีมากขึ้นหากสามารถ
ทำบุญได้กับพ่อแม่ทั้ง 2 ฝ่าย แต่เธออาจจะไม่
ต้องทำโดยใช้เงินทองกับพ่อแม่คุณ อาจเป็น
ความห่วงใยดูแล ใส่ใจ อะไรประมาณก็ได้
คำว่าพอไม่มีหรอกค่ะ แต่คุณสามารถพูดคุยกัน
ตกลงกันในเบื่องต้นได้ว่า อะไร เท่าไหร่ เมื่อไหร่
เรื่องพวกนี้ ค่อยข้างมีผลกับความรู้สึก แต่ก็สามารถ
พูดคุย ตกลงกันได้นะค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2010, 15:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 13:22
โพสต์: 146

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: อนุโมทนากับทานที่คุณทำค่ะ
ความฝันของเธอเรื่องต่อไปก็คงอยากสร้างบ้านหลังใหม่ให้กับพ่อแม่
พ่อกับแม่จะสุขสบายมากขึ้น
ถ้าคุณมีเงินมากพอ และรักเธอมาก ก็อย่าคิดมากเลยค่ะ
แต่ถ้าต้องกู้หนี้ยืมสิน ก็ขอให้คิดให้รอบคอบ
ช่วยแต่ในสิ่งที่ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนนะค่ะ
รู้จักปฎิเสธ ในสิ่งที่เกินกำลัง หรือรู้สึกว่ามันมากไป
โดยให้เหตุผลกับเธอ
เพราะถ้าปล่อยเลยตามเลย มันก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ
เพราะเธอคิดว่าคุณเต็มใจ

.....................................................
ทำไมต้องปล่อยว่าง
เพราะทุกอย่างมี ความว่าง มาแต่เดิม


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 12 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร