วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 20:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2010, 19:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ธรรมะของพระอาจารย์ชยสาโร

สะเก็ดธรรม

เด็กวัด


…เราเห็นทุกข์แล้วเราก็มีโอกาสประพฤติปฏิบัติ ความทุกข์เป็นอาจารย์ของเรา
แต่ความทุกข์ทางกายก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของสังขาร
แต่ความทุกข์ทางใจเกิดจากความคิดผิด ความเห็นผิด
เกิดจากมุมมองที่ไม่ตรงตามความเป็นจริง



นับเป็นบุญของชาวไทยในเบลเยียมที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์
ได้อาราธนานิมนต์พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ พระฝรั่งชาวอังกฤษศิษย์หลวงพ่อชา
อดีตเจ้าอาวาสวัดป่านานาชาติ มาแสดงธรรมให้พวกเราฟัง
เมื่อวันเสาร์ที่ ๗ มิ.ย. ๒๕๕๑ ฯพณฯ พิศาล มาณวพัฒน์
เอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ พร้อมครอบครัว ข้าราชการสถานเอกอัครราชทูต
และผู้ใฝ่ธรรมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต่างฝ่าสายฝน
ที่ประพรมเหมือนน้ำพระพุทธมนต์ที่พระอาจารย์ชยสาโรนำมาฝากพวกเราทั้งหลาย
นอกจากพระธรรมเทศนาที่สะอาดบริสุทธิ์ ใสเหมือนดวงแก้ว
ละเอียดลึกซึ้งเข้าไปในดวงจิตของพุทธศาสนิกชน


ช่วงเช้าท่านได้บรรยายธรรมเป็นภาษาอังกฤษ ถึงความเป็นมาของพุทธศาสนา
และรูปแบบหรือลักษณะของพุทธศาสนาในประเทศไทย ท่านได้กล่าวว่า
ธรรมะในพุทธศาสนามีจำนวนมากถึง ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์ นั้น
บางครั้งก็เป็นการยากสำหรับผู้ที่สนใจศึกษาค้นคว้าว่าจะเริ่มต้นศึกษา
ที่จุดไหนหรือเล่มไหน แต่มีพุทธพจน์บทหนึ่งว่า
น้ำทะเลมีรสเค็มเท่าเทียมกันทั่วทุกมหาสมุทรฉันใด
ธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนก็เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นเพียงรสเดียวฉันนั้น
(All the sea water has a flavor of salt;
all the teaching of Buddha has only one flavor that is the liberation.)

หลังจากนั้น ท่านได้ตอบคำถามที่ผู้สนใจชาวต่างชาติและชาวไทยซักถาม
โดยท่านได้กรุณาอธิบายให้อย่างชัดเจน เช่น มีคำถามว่า
การที่ท่านดำรงตนเป็นสมณะเพศสามารถสร้างประโยชน์ให้กับสังคมได้อย่างไร
ท่านตอบว่า พระพุทธศาสนาตั้งมั่นอยู่ได้กว่า ๒๕๐๐ ปี
เพราะมีพระสงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยังศึกษาค้นคว้า
ยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด และเผยแพร่สั่งสอนตลอดมา
จึงทำให้ธรรมะของพระองค์ยังคงเป็นหลักปฏิบัติและแนวทางในการดำเนินชีวิต
สำหรับพุทธศาสนิกชนได้สืบเนื่องตลอดมา
ไม่หายสาบสูญไปเหมือนลัทธิหรือความเชื่อ เหมือนกับการศึกษาเล่าเรียนในทางโลก
หากไม่มีผู้ที่ศึกษาและดำรงตนเป็นครูบาอาจารย์ทำการสั่งสอนเผยแพร่ให้กับเยาวชน
นักเรียน นักศึกษาอย่างต่อเนื่องแล้ว
วิชาการทางโลกทั้งหลายก็อาจจะหยุดชะงักและสูญหายไป


หลังจากที่พระอาจารย์ฉันภัตตาหารเพลเสร็จแล้ว จึงได้แสดงพระธรรมเทศนา
เป็นภาษาไทยที่มีความไพเราะชัดเจนแจ่มแจ้งเหมือนการเปิดของที่ปิดอยู่
หรือการหงายของคว่ำ เป็นธรรมที่เป็นแก่นแท้ของพุทธศาสนาเฉกเช่นที่พระอาจารย์ชา
พระอุปัชฌาย์ของท่านเคยแสดงไว้ ท่านแสดงถึงการศึกษาธรรมะของท่าน
เป็นการศึกษาการการกระทำที่มีอาจารย์เป็น ต้นแบบ
มิได้ศึกษาค้นคว้าจากพระสูตรหรือไตรปิฎกเป็นหลัก
ท่านถือหลักว่า “การกระทำดังกว่าคำพูด”
โดยได้เปรียบเทียบครูบาอาจารย์ผู้สอนพระพุทธศาสนาว่ามี ๔ อย่างด้วยกันคือ


๑. ฟ้าไม่ร้อง ฝนไม่ตก
หมายถึง ผู้ที่มิได้ทำการสั่งสอนธรรมะและมิได้ทำการปฏิบัติธรรมเพื่อให้ถึงความหลุดพ้น

๒. ฟ้าไม่ร้อง ฝนตก
หมายถึง ผู้ที่มิได้ทำการสั่งสอนธรรมะ แต่ได้ขวนขวายปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น

๓. ฟ้าร้อง ฝนไม่ตก

หมายถึง ผู้ที่ได้ทำการสั่งสอนธรรมะ แต่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น

๔. ฟ้าร้อง ฝนตก
หมายถึง ผู้ที่ได้ทำการสั่งสอนธรรมะ และได้ปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น


องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เองเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
เป็นการพิสูจน์ให้เป็นถึงศักยภาพของมนุษย์ ทุกคน ทุกชาติ
สามารถทำได้จนบรรลุถึงเป้าหมายคือ ความหลุดพ้นได้จริง
เราคุ้นเคยกับการแบ่งพุทธศาสนาเป็นเถรวาท มหายาน และวัชระยาน
แต่ในข้อเท็จจริงแล้วพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาวิริยะวาท คือ ศาสนาที่มุ่งเน้นความเพียร
การควบคุมการกระทำที่ถูกต้องทางกาย วาจา และใจ ของตนเอง
เป็นความเพียรพยายามที่จะทำสิ่งที่ดีที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็ให้คงทนอยู่
และให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป เป็นสิ่งที่ยากที่จะต้องอาศัยความเพียรเป็นปัจจัยสนับสนุน


คนที่เป็นโรคจิตหรือโรคซึมเศร้า เพราะคิดว่า ชีวิตไม่มีความหมาย
ต้องพยายามทำให้ชีวิตมีคุณค่า มีความหมาย
มิใช่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ต้องมองสิ่งต่างๆ ว่า
เราสามารถปรุงแต่งได้ กาแฟที่มีรสขมและไม่อร่อย เราสามารถเติมน้ำตาล เติมนม
เพื่อให้ได้รสชาติตามที่เราต้องการหรือชอบใจ
แต่ถ้าแก้ไขปรับปรุงไม่ได้แล้วไซร้ ก็คงต้องยอมรับในความจริงที่ว่า
ทุกสิ่งไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน เป็นอนิจจังคือมีความเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา
และเป็นอนัตตาไม่มีอะไรที่ควรแก่การยึดมั่นถือมั่น
ทุกอย่างเป็นความว่างในที่สุด ทุกคนรู้ว่า จุดสุดท้ายของชีวิตเราคือ ความตาย
ที่เราไม่รู้ว่าจะตายแบบไหน เมื่อไหร่ เป็นสิทธิของความเสมอภาคในชีวิต
ที่ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง การแก้โรคซึมเศร้าคือ ต้องแก้ความคิดผิด
เป็นความคิดที่ยึดติดกับเรื่องเก่าๆ ความคิดที่เหมือนแผ่นเสียงตกร่อง
ต้องระวังมีสติกับความคิด และรู้จักปล่อยวางความคิด
คิดในสิ่งที่เป็นประโยชน์และละวางหรือปลดปล่อยจากความคิดที่ไร้ประโยชน์
หรือนอกเหนือความควบคุมของตนเอง มิติใหม่ของความคิด คือ ไม่คิด


คนเราเมื่อมีความทุกข์ก็เหมือนกับคนป่วยหรือไม่สบาย ที่ต้องกินยาเพื่อรักษาโรค
มิใช่ว่าเมื่อได้รับยามาแล้วก็เอามาแขวนคอหรือวางไว้บนหิ้งบูชา
ยารักษาโรคต้องกินโรคจึงจะหาย การปฏิบัติธรรมเป็นวิธีที่จะทำให้โรคร้าย
หรือความทุกข์ของชีวิตหายได้ เป็นการควบคุมกิเลสมิให้เกิด
หรือเมื่อเกิดแล้วก็พยายามกำจัดให้หมดสิ้นไปหรือหลงเหลืออยู่น้อยที่สุด

เช่น ความโกรธ เมื่อมีโทสะเกิด พยายามควบคุมไว้ พอจะแสดงออกโทสะ
หรือความโกรธนั้นก็ลดน้อยถอยลงจนเกือบจะไม่รู้สึกโกรธเลย
พระอริยะสงฆ์ที่รู้จักกันดีเช่น พระอาจารย์มั่น หรือพระอาจารย์ชา
ท่านได้ศึกษาทางโลกจบ ป.๔ หรือ ป.๑ เท่านั้น แต่ท่านบรรลุธรรมะชั้นสูง
จากการปฏิบัติจนเกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริง เข้าใจในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
สามารถกำจัดกิเลสได้จริง คนที่ได้รับการศึกษาสูงจนจบปริญญาตรี ปริญญาเอก
กิเลสก็จะจบปริญญาตรี ปริญญาเอกด้วย นั่นคือ ความอยากก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
ทั้งความโลภ ความโกรธ และความหลง คิดว่าตนเองเก่ง
มีความรู้ความสามารถมากกว่าคนอื่น ก็จะต้องได้อะไรต่อมิอะไรมากกว่าคนอื่น


มีวัดสาขาวัดป่านานาชาติอำเภอโขงเจียมที่ตั้งอยู่บนชะง่อนเขาสูง
มองลงไปเห็นแม่น้ำโขงไหลผ่าน สวยงามมาก เมื่อมองลงไปจะเห็นน้ำ
หรือเรือที่แล่นอยู่ในแม่น้ำที่ไหลไปอย่างเชื่องช้า รู้สึกว่าเพลิดเพลิน
แต่ถ้าลงไปอยู่ใกล้หรือติดกับแม่น้ำโขง เราจะเป็นกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก
และเรือก็แล่นผ่านไปอย่างรวดเร็ว นั่นคือ เมื่อมองจากที่สูง
เราจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเบื้องล่างเคลื่อนไหวช้ามาก
ในชีวิตคนเราก็เช่นกัน เมื่อมีปัญหาก็ถอนใจออกจากสิ่งที่เราพบเห็น
เราก็จะเห็นว่าสิ่งทั้งหลายเป็นไปอย่างเชื่องช้าเช่นกัน ทำให้เรามีเวลาที่จะคิด
มีสติที่จะพิจารณาหาทางแก้ไขปัญหาหรือสามารถหาทางเลือก
แนวทางในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องมั่นคง เหมือนนักกีฬาที่มีความสามารถเป็นอัจฉริยะ
เมื่อเล่นก็จะเล่นอย่างช้าๆ สบายๆ เหมือนกับว่ามีเวลามาก
ทั้งที่มีเวลาเท่ากับคู่ต่อสู้ เรียกว่า มีสติมีทางเลือกมาก ขาดสติทางเลือกน้อย



พระพุทธเจ้าได้สอนว่า “ขอให้ดำเนินชีวิตอย่างสม่ำเสมอบนเส้นทางที่ไม่สม่ำเสมอ”
สัตว์หลายชนิดที่เกิดมาไม่นานก็ช่วยตัวเองได้ เดินได้ บินได้
มีสัญชาติญาณในการดำรงชีวิตที่เฉลียวฉลาดมากกว่าคนเรา
แต่มนุษย์เราแตกต่างจากสัตว์อื่นคือ ฝึกฝนได้
ทั้งที่เมื่อเกิดมาแล้วกว่าจะยืนได้หรือกินได้ เดินได้ด้วยตัวเองต้องใช้เวลามากกว่าสัตว์อื่น
ไม่มีใครเป็นพุทธโดยกำเนิด คนไทยส่วนใหญ่จะพูดว่า ตนเองเป็นพุทธโดยกำเนิด
ทั้งที่ไม่รักษาศีลห้า ไม่เข้าใจ ไม่ศึกษาพุทธศาสนาและพระธรรม
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้รู้แจ้งเห็นจริง แต่จะพูดว่า เป็นพุทธโดยกำเนิด
เปรียบกับ ชายคนหนึ่งเดินทางไปที่โรงพยาบาลขอสมัครทำงานเป็นหมอ
เมื่อถูกถามว่า จบการศึกษาด้านการแพทย์จากที่ไหนก็ไม่ได้จบ ไม่ได้เรียนอะไรเลย
แต่เป็นแพทย์โดยกำเนิด คือ บิดามารดาเป็นแพทย์ ปู่ย่า ตายายก็เป็นแพทย์
ถามว่า เขาจะสามารถทำหน้าที่แพทย์หรือเป็นหมอรักษาคนไข้ได้หรือไม่
ไม่มีใครเป็นพุทธโดยกำเนิด แต่ต้องเป็นพุทธโดยการกระทำ
เป็นพุทธต้องรู้จักปล่อยวางในผล แต่ไม่ปล่อยวางในเหตุ
พระพุทธเจ้ามีความเพียรพยายามก่อนตรัสรู้ และไม่สันโดษในคุณธรรมที่พระองค์ตรัสรู้
เพียงแต่ขอให้สันโดษในปัจจัย ๔ มีให้พอเพียงเท่านั้น
มิใช่ สวรรค์อยู่ที่ห้องรก นรกอยู่ที่ห้องว่าง คือ พยายามหาสิ่งของ
เพื่อสนองความต้องการนำเข้ามาเก็บไว้ในห้องแล้วคิดว่าเป็น ความสุข
พอไม่มีทรัพย์สินสิ่งของหรือห้องว่างแล้วก็เป็นทุกข์เหมือนตกนรก


การทำความดีต้องทำทีละน้อย ค่อยๆ ทำ ไม่ต้องหวังว่า
จะต้องทำความดีให้ครบถ้วนทั้งหมดภายในเวลาอันสั้น

เปรียบเหมือนเรื่องเล่าว่า มีชายคนหนึ่งเดินออกไปชายหาดเห็นปลาดาวลอยมา
ติดอยู่บนหาดทรายจำนวนนับหมื่นตัว เขาก็รู้สึกสงสาร
เลยจับปลาดาวทีละตัวโดยลงไปในทะเล เพื่อนเขาเดินตามออกมาพบจึงถามว่า
ทำอะไรอยู่ เขาตอบว่า ช่วยชีวิตปลาดาวอยู่
เพื่อนเขาบอกว่า อย่าไปเสียเวลาทำอยู่เลย ปลาดาวมีจำนวนเป็นหมื่นตัว
ช่วยอย่างไรก็ช่วยได้ไม่หมดหรอก เขาบอกว่า ไม่เป็นไร
เมื่อเขาจับโยนลงไปในทะเลตัวหนึ่งก็พูดว่า ช่วยตัวนี้ได้แล้ว ช่วยตัวนี้ได้อีกตัวแล้ว
ทำไปเรื่อยๆ เหมือนการทำความดีที่ต้องทำเรื่อยๆ
ไม่ต้องคิดว่าจะทำให้ได้สำเร็จในวันเดียว
การทำความดีจะมีเป้าหมายคือการพัฒนาชีวิต
เพื่อความสุขของตนเอง ครอบครัว และสังคมส่วนรวม
ที่จะตัองทำการพัฒนาทั้ง ๔ ส่วน ประกอบกันคือ

๑. การพัฒนากาย
คือ การดูแลตนเองโดยการให้อาหารที่เหมาะสม ออกกำลังเพื่อรักษาสุขภาพ
ดูแลทรัพย์สินสิ่งแวดล้อมที่ตนเองมีอยู่เพื่อการดำรงชีพ
การกำหนดกาย วาจา ให้อยู่ในขอบเขตของศีล

๒. การพัฒนาจิตใจ
คือ การเจริญภาวนา ทำให้มีสติตั้งมั่น มีสมาธิในการดำรงชีวิตโดยชอบด้วยธรรม

๓. การพัฒนาปัญญา
คือ การสร้างความรู้ความเข้าใจในธรรมะที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนไว้
ให้เข้าใจในหลัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มองเห็นหลักการเกิดขึ้น ตั้งอยู่
และดับไปตามเหตุและปัจจัย

๔. การพัฒนาความสัมพันธ์กับมนุษย์
สร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน อันเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้สังคมสงบสุข
อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ ไม่มีความขัดแย้งสงคราม


การแสดงธรรมะจากพระอาจารย์ชยสาโรมีความชัดเจน แจ่มแจ้ง ลึกซึ้ง
ทั้งในเบื้องต้น ในท่ามกลาง และในที่สุด เป็นการกระตุ้นเตือนให้เหล่าพุทธศาสนิกชน
และชาวต่างชาติได้เข้าใจ ยึดถือเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
รวมทั้งการปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นตามแนวทางที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้
แม้เวลาจะน้อยไปสักหน่อยแต่กระแสธรรมที่ได้รับนั้นคุ้มค่าทุกนาทีที่ผ่านไป
ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในอนาคตคงจะได้มีโอกาสฟังธรรมจากพระอาจารย์ชยสาโร
พระสุปฏิปันโน ผู้เป็นศิษย์เอกของพระอาจารย์ชาอีก ไม่ว่าจะเป็นในเบลเยียมหรือเมืองไทย


ประวัติท่านชยสาโรภิกขุ นามเดิม ฌอน ชิเวอร์ตัน ( Shaun Chiverton )
พ.ศ. ๒๕๐๑ เกิดที่ประเทศอังกฤษ เกิดที่ประเทศอังกฤษ เมื่อยังเล็กมีสุขภาพไม่ดี
มีอาการหอบหืด ต้องหยุดโรงเรียนบ่อย จึงใช้เวลาในการศึกษาด้วยตนเอง
ท่านสนใจว่าอะไรคือสิ่งสูงสุดที่เราจะได้จากการเป็นมนุษย์
อะไรคือความจริงสากลที่ไม่ขึ้นอยู่กับสมมุติของแต่ละสังคม
ทำไมคนเราอยากจะอยู่อย่างเป็นมิตรแต่กลับรบราฆ่าฟันกันอยู่เรื่อยไป
เมื่อไปโรงเรียน เป็นนักเรียนที่ช่างคิด ช่างค้นคว้า และมีผลการเรียนที่ดีเยี่ยม
จนโยมบิดามีความหวังให้เข้าสอบชิงทุนเพื่อเรียน
ต่อในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในประเทศอังกฤษ
เมื่อศึกษาอยู่ได้อ่านหนังสือมากมายหลากหลาย
จนกระทั่งพบคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธาว่าเป็น “สัจธรรมความจริง” ที่กำลังแสวงหาอยู่
จึงสนใจการฝึกจิตและศึกษาหาความรู้ทางพุทธศาสนาตั้งแต่อยู่ในวัยรุ่น
ท่านทำงานเก็บเงินระหว่างที่กำลังเรียน และออกเดินทางหาประสบการณ์ในประเทศต่างๆ
ตั้งแต่อายุ ๑๗ ปี ใช้เวลา ๒ ปี จนแน่ใจว่าการศึกษาและปฏิบัติธรรม
เป็นหนทางที่ต้องการแทนการเรียนต่อในมหาวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๒๑
ได้พบกับท่านอาจารย์ สุเมโธ ที่วิหารแฮมสเตด ประเทศอังกฤษ
ถือเพศเป็นอนาคาริก (ปะขาว) อยู่กับท่านอาจารย์ สุเมโธ เป็นเวลา ๑ พรรษา
แล้วเดินทางมายังประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ บรรพชาเป็นสามเณร
ที่วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี พ.ศ. ๒๕๒๓ อุปสมบทเป็นพระภิกษุ
ที่วัดหนองป่าพง โดยมีหลวงพ่อชา สุภัทโท (พระโพธิญาณเถร) เป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ. ๒๕๔๐-๔๔ รักษาการณ์เจ้าอาวาส วัดป่านานาชาติ จ.อุบลราชธานี
ปัจจุบัน พำนัก ณ อาศรมชนะมาร อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
ท่านพระอาจารย์ ชยสาโร เป็นชาวอังกฤษ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่แสดงธรรมเทศนา
โดยใช้ภาษาไทยได้อย่างสละสลวยเข้าใจง่าย


ก่อนเดินทางมาประเทศไทย ท่านได้ตั้งใจว่าจะอยู่ที่วัดหนองป่าพง ให้ครบ ๕ ปี
โดยไม่มีเงื่อนไขเพื่อศึกษาปฏิบัติธรรม เมื่อมาพบหลวงพ่อชา
ก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในปฏิปทาและความเป็นครูที่มีทั้งเมตตา
และปัญญาในการสอนอย่างลึกซึ้ง จึงสามารถทนต่อความยากลำบากในการปรับตัว
ให้เข้ากับการใช้ชีวิตแบบพระวัดป่า ที่เข้มงวดในวินัย และการฝึกปฏิบัติตามรอยพระพุทธเจ้า
และการอยู่ร่วมกับคณะสงฆ์ชาวไทยจนเกิดความก้าวหน้าและเบิกบานในธรรม
แนวการสอนของหลวงพ่อชาเน้นการปฏิบัติการรักษาศีล และข้อวัตร ความอดทน
ความเพียร การใคร่ครวญหลักธรรม และน้อมมาสู่ใจให้เฝ้าสังเกตจนรู้ทันอารมณ์ของตนเอง
และสามารถใช้สติปัญญาในการสร้างประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่นพร้อมกันไป


ที่มา... http://thaiwomensorganisation.com/2008/ ... %E0%B8%B2/

:b48: :b8: :b48:

:b44: รวมคำสอน “พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=38509

:b44: ประวัติและปฏิปทา “พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=22230


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2010, 21:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2010, 22:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2004, 08:57
โพสต์: 154


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2010, 09:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ย. 2009, 15:09
โพสต์: 122

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 27 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร