วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 03:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 132 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2010, 19:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

อย่าว่าผู้อื่น…จงดูตัวเอง
พระธรรมวิสุทธิมงคล
(หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปัณโณ)
วัดป่าบ้านตาด จ. อุดรธานี

ไปไหนก็มีแต่กิเลสมันขวางหน้าเสีย

ไปวัดนั้นว่าเป็นอย่างนั้น
ไปวัดนี้ว่าเป็นอย่างนี้
ไปดูพระองค์นั้นเป็นอย่างนั้น
พระองค์นี้เป็นอย่างนี้

ตัวเองเป็นอย่างไรไม่คิดบ้างเลย

มันได้ประโยชน์อะไร
ไปหาดูแต่นอกๆ ไปสนใจดูตัวเอง
เท้าสะดุดรากไม้หัวตออยู่ตลอดเวลา
จนล้มลุกคลุกคลานไม่ดูเท้าที่สะดุด
ดูแต่ต้นไม้ภูเขา ดินฟ้าอากาศโน่น อวกาศโน่น

แต่หัวตอที่จะให้โดนสะดุดหัวแม่เท้าอยู่ไม่สนใจดู
ความผิดมันอยู่กับเจ้าของ
ไม่ได้อยู่ที่รากไม้หัวตอ

จึงควรดูเจ้าของมากกว่าดูสิ่งอื่นใด....



(ศาสนธรรมปลุกคนให้ติ่น, หน้า ๔๘๗)


(ที่มา : หลักของใจ : รวบรวมลำดับเรื่องจากเทศน์ของ ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปัณโณ )

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2010, 19:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความดีที่เขียนไว้ ในที่มืด

หากเราเคยทำผิดพลาดมาในอดีต..
มีสติ..มีความรู้สึกตัว..
พยายามปรับปรุงแก้ไขตนเอง..
เราก็ได้ชื่อว่า..เป็นผู้กลับตัวกลับใจ..ใฝ่ดีได้..

แต่หากละเลย..ขาดสติ..
ปล่อยจิต..ปล่อยใจ..
พาลท่าเสียที..ทำความชั่ว..
แล้วไม่ปรับปรุงแก้ไขตนเอง..
ปล่อยเลย..ตามเลย..
เราก็จะได้ชื่อว่า..ดีกลับใจ..ใจคิดชั่วไปก็ได้..

ความดี..ที่เราทำ..
แม้ไม่มีใครรู้..ไม่มีใครเห็น..
ก็เปรียบเหมือนกับการเขียนความดีไว้..ที่หัวใจ..
อาจไม่มีใคร..ไม่มีใครเห็น..
แต่เราก็รับรู้และสัมผัสได้..
ด้วยหัวใจของผู้กระทำดี..นั่นเอง..

ความชั่ว..ที่เราทำ..
แม้ไม่มีใครรู้..ไม่มีใครเห็น..
ก็เปรียบเหมือนกับการเขียนความชั่วไว้..ในความมืด..
ที่ไม่มีใครรู้..ไม่มีใครเห็น..
แต่ก็สามารถรับรู้และสัมผัสได้..
ด้วยหัวใจของผู้กระทำชั่ว..เช่นกัน..

อุปมาเหมือนกับ..
การที่เรานั่งเขียนความดี - ความชั่วไว้..
ในท่ามกลางแห่งความมืดของจิตใจ..
แม้ไม่มีใครรู้..ไม่มีใครเห็น..
ไม่ว่าเราจะกระทำสิ่งใด ๆ..
จิตใจของผู้กระทำนั้น..ย่อมรู้ดีว่า..
เราเขียนความดีไว้ที่หัวใจ..แห่งความสว่างไสว..
ที่งดงามด้วยคุณธรรม..

หรือเขียนความชั่วไว้ที่หัวใจ..
แห่งความมืดมน..ที่ปราศจากแสงสว่างแห่งคุณธรรม..

บทความ..โดย..ชายน้อย..


ที่มา : dhammathai

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2010, 19:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

คนไทยเรานั้น ได้ชื่อว่าเป็นพวกที่ชอบทำบุญสุนทานอยู่เสมอ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความเชื่อที่ว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" ซึ่ง แม้ปัจจุบัน หลายคนจะรู้สึกกังขาว่า ทำไม คนที่เรารู้สึกว่าชั่วยังคงได้ดิบได้ดี เช่น ยังมีเงินทองและใช้ชีวิตที่สุขสบายกว่าเรา แต่นั่นก็ยังอธิบายได้ว่า เขา ทำกรรมเก่าดีหรือยังกินบุญเก่าอยู่ ซึ่งที่เราเห็นด้วยตาว่าเขาสุขสบายก็อาจไม่จริง บางทีเขาอาจกำลังทุกข์ใจ เพราะต้องคอยระแวงปกปิดความผิดของตน กลัวคนไปล่วงรู้อยู่ก็ได้ อย่างไรก็ดี โดยพื้นฐานแล้ว

คน ส่วนใหญ่ก็มักจะชอบทำบุญ เพราะเชื่อว่าเป็นการทำความดี และเป็นการสะสมผลบุญที่จะสนองให้เราได้รับสิ่งที่ดีในอนาคตหรือในชาติหน้า ซึ่งโดยแท้จริงการทำบุญนั้น ทันทีที่ทำก็เป็นความสุขแล้ว เพราะ บุญ คือ การทำความดีด้วยวิธีการต่างๆ ที่ทำให้อิ่มเอิบเบิกบานใจ

โดย ทั่วไป คนมักทำบุญกุศลด้วยการบริจาคทรัพย์ สิ่งของ หรือให้ทานเป็นโอกาสๆ เช่น บริจาคช่วยผู้ประสบภัยธรรมชาติ ร่วมสร้างศาสนสถาน ทอดกฐินผ้าป่า ช่วยเด็กกำพร้า หรือช่วยซื้อโลงศพ เป็นต้น ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่เชื่อไหมว่า ในชีวิตประจำวันของคนเรานั้น

เรา มีโอกาสทำความดีหรือทำบุญได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องใช้เงินทองหรือสิ่งของ ถึงแม้เราจะไม่ได้มีอาชีพเป็นแพทย์ พยาบาลที่ต้องช่วยเหลือคนเป็นประจำอยู่แล้วก็ตาม จะทำได้อย่างไรนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม

ขอเสนอแนะ ๙ วิธีทำดี ได้บุญ แบบไม่ต้องใช้เงิน เพื่อเป็นแนวทางให้ท่านได้สะสมกุศลให้เพิ่มพูนขึ้น ดังต่อไปนี้

๑.ตื่น เช้าขึ้นมาก็คิดแต่สิ่งดีๆ ทันทีที่ตื่นนอน หากเราคิดถึงแต่สิ่งที่ดีที่งาม ก็จะทำให้จิตใจเราสดชื่น กระตือรือร้น พร้อมที่จะรับมือกับชีวิตประจำวันด้วยความรื่นเริง ไม่หงุดหงิด โมโห แค่นี้ นอกจากเราจะมีความสุขแล้ว คนรอบข้างเราก็มีความสุขไปด้วย ถือว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง

๒.ยิ้ม แย้มแจ่มใส ในแต่ละวัน หากเราจะรู้จักยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ว่าจะยิ้มกับคนรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม หน้าตาของเราก็จะดูเป็นมิตร ทำให้คนอยากเข้าใกล้

๓.ทักทาย โอปราศรัย คนบางคน นอกจากจะไม่ยิ้มกับใครแล้ว ยังชอบทำหน้าบึ้งตึงไม่คิดจะพูดจาทักทายใครด้วย ซึ่งถ้าเกิดทำงานด้านบริการ คนมาติดต่อคงรู้สึกเกร็งและกังวลตลอดว่าจะถูกเอ็ดตะโรเมื่อไรก็ไม่รู้ ดังนั้น นอกจากยิ้มแย้มแจ่มใสแล้ว เราก็ควรจะเอื้อนเอ่ยวาจาทักทายผู้มารับบริการก่อน การทักทายปราศรัยกับผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นผู้มาขอรับบริการ เพื่อนฝูงคนรู้จัก ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา หรือแม้แต่คนที่มาทำงานให้เรา เช่น แม่บ้าน ยาม ฯลฯ จะทำให้เขารู้สึกเป็นมิตร และอบอุ่นใจ ทำให้บรรยากาศในที่นั้นๆดีขึ้น

๔.แบ่ง ปันน้ำใจไมตรี สามารถทำได้ทุกที่และทุกเวลา เช่น ช่วยพ่อแม่จัดโต๊ะอาหาร ล้างถ้วยชาม ลุกให้เด็ก ผู้หญิงท้อง หรือคนแก่นั่ง ช่วยถือของหนักให้คนในรถเมล์ หยุดรถให้คนข้ามถนนหรือรถอื่นไปก่อน ช่วยแบ่งเบาภาระงานให้เพื่อนในที่ทำงาน เป็นต้น การให้ความช่วยเหลือเช่นนี้ เป็นการทำบุญด้วยการลดความเห็นแก่ตัวของเราลง และทำให้เราได้รับมิตรไมตรีสนองตอบกลับมาด้วย

๕. ปลุกปลอบให้กำลังใจช่วยแก้ไขปัญหาหลายๆ ครั้ง ที่ เพื่อนฝูงญาติมิตรอาจประสบปัญหาชีวิตและเกิดความทุกข์ใจแสนสาหัส สิ่งที่ดีที่สุดคือ ความเป็นมิตรและถ้อยคำที่ปลุกปลอบให้กำลังใจ คำพูดดีๆที่มาจากใจจะทำให้ผู้ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์ รู้สึกดีขึ้นและมีพลังที่ต่อสู้ชีวิตต่อไปได้

๖.ให้ คำชมด้วยความนิยมยินดี การกล่าวคำชื่นชมต่อผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ย่อมจะทำให้ผู้รับคำชมรู้สึกปลาบปลื้มยินดี และมีความสุขได้ โดยเฉพาะในเรื่องที่เขาทำสำเร็จ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงและจริงใจด้วย

๗.แนะ นำให้คำสอนที่ดี มีคุณค่า ไม่ว่าจะเราจะอยู่ในสถานภาพใด เช่น เป็นลูก เป็นพ่อแม่ ลูกน้อง เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมอาชีพ ฯลฯ หาก เราจะมีเมตตาแนะนำในสิ่งที่ดี มีประโยชน์และคุณค่าต่อผู้อื่น หรือสอนในสิ่งที่เราชำนาญให้แก่ผู้อื่น ก็จะเป็นการช่วยเกื้อกูลสังคมให้ดียิ่งขึ้น และผลก็จะย้อนมาสู่ตัวเราผู้ทำด้วย เช่น สอนงานให้ลูกน้อง ต่อไป เมื่อเขาทำงานเป็นเราก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก และเขาก็จะรู้สึกขอบคุณเรา แนะวิธีออกกำลังกายให้พ่อแม่ ท่านก็แข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่าย เราก็สบายใจ หรือแม้แต่การแนะนำให้ความรู้ที่เรามีหรือทราบมาแก่คนไม่รู้จัก อย่างแนะนำหมอ ยาดีๆหรือธรรมะที่ดีแก่คนอื่น ทำให้เขาหายป่วยหรือรู้สึกดีขึ้น เขาก็จะอธิษฐานหรือให้พรเรา ทำให้เราพบแต่สิ่งดีๆในชีวิต

๘.การ ให้อภัยในความผิดพลาดของผู้อื่น โดยทั่วไปคนเรามักจะให้อภัยตัวเองง่าย และมีข้อแก้ตัวให้ตนต่างๆนานา แต่ถ้าผู้อื่นผิดพลาดแล้ว เรามักเห็นเป็นเรื่องใหญ่และตำหนิติเตียนไม่รู้จักแล้วจบ ดังนั้น เราจะต้องหัดมีเมตตา รู้จักให้อภัยต่อผู้อื่นให้ง่ายเหมือนให้อภัยแก่ตัวเราเอง เพราะการให้อภัย จะทำให้เราไม่ผูกใจเจ็บ ไม่อาฆาตมาดร้าย ไม่ก่อศัตรู แต่ทำให้จิตใจเราสงบเย็น เป็นฝึกจิตพื้นฐานอย่างหนึ่งที่จะนำไปสู่กุศลขั้นสูงอื่นๆต่อไป

๙.ฝึก จิตให้สงบและสบายด้วยการทำสมาธิหรือสวดมนต์ การทำสมาธิ ฟังดูเหมือนยาก แต่จริงๆ เราทำได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรอยู่

ที่ กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าเป็นการทำความดีที่ไม่ต้องใช้เงินเลย แต่สามารถปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเราได้โดยไม่ยากเย็นเข็ญใจจนเกินไป อีกทั้งปฏิบัติแล้วก็เป็นบุญกุศลที่จะเกื้อหนุนให้เราและคนรอบตัวมีความสุข เพราะ"บุญ" ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เครื่องชำระกาย ใจให้บริสุทธิ์ เป็นการทำประโยชน์ให้แก่ตัวเราเอง และผู้อื่น และยังช่วยลดกิเลส ความเศร้าหมองต่างๆได้ เริ่มทำตั้งแต่วันนี้เลยนะครับ เพราะมีคนบอกว่า "ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง"

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2010, 20:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เผยเคล็ดวิธียกระดับ จิตใจ ด้วยการทำบุญ 10 ประการ


รูปภาพ


เผยเคล็ดวิธียกระดับ จิตใจ ด้วยการทำบุญ 10 ประการ (บุญกิริยาวัตถุสิบ)


“บุญ” โดยทั่วไปหมายถึง การกระทำความดี มาจากภาษาบาลีว่า “ปุญญะ” แปลว่า เครื่องชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ดังนั้น บุญจึงเป็นเสมือนเครื่องกำจัดสิ่งเศร้าหมอง ที่เราเรียกกันว่า “กิเลส” ให้ออกไปจากใจ บุญจะช่วยให้เราลด ละ เลิกความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความมีจิตใจคับแคบ อันเป็นสาเหตุให้เกิดความทุกข์ต่างๆ นานา และช่วยให้ใจเป็นอิสระ พร้อมจะก้าวไปสู่การทำคุณงามความดี ในขั้นต่อๆ ไป

ใน ทางพระพุทธศาสนา การทำบุญมีด้วยกัน 10 วิธี เรียกว่า “บุญกิริยาวัตถุ 10” หรือ สิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ 10 ประการ ได้แก่

1. ให้ทาน หรือ ทานมัย อัน หมายถึง การให้ การสละ หรือการเผื่อแผ่แบ่งปัน ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ข้าวของเครื่องใช้หรือสิ่งอื่นใด และไม่ว่าจะให้แก่ใครก็ถือเป็นบุญทั้งสิ้น เพราะการให้ทานเป็นการลดความเห็นแก่ตัว ความตระหนี่ถี่เหนียว และความคับแคบในจิตใจให้น้อยลง ทำให้เราไม่ยึดติดในวัตถุสิ่งของ อีกทั้งสิ่งที่เราบริจาคหรือให้ทานแก่ผู้อื่นก็จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อน และเป็นประโยชน์ต่อผู้รับ และสังคมโดยส่วนรวม การให้ทานนี้อยู่ที่ไหนๆ ก็ทำได้ และไม่จำเป็นต้องเงิน เช่น การแบ่งของกินให้กับแม่บ้านที่ทำงาน หรือยาม เป็นต้น ข้อสำคัญ สิ่งที่บริจาคหรือให้ทานแก่ผู้อื่น ควรเป็นสิ่งยังใช้ได้ มิใช่เป็นการกำจัดของเหลือใช้ที่หมดอายุ หมดคุณภาพให้ผู้อื่น ผลการให้ทานดังกล่าวจะทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความปีติอิ่มเอิบใจ

2. รักษาศีล หรือ สีลมัย คำว่า ศีล หมายถึง ข้อบัญญัติทางพระพุทธศาสนา ที่กำหนดการปฏิบัติทางกายและวาจา เช่น ศีล 5 ศีล 8 หรืออาจจะหมายถึงการรักษากายวาจาให้เรียบร้อย การรักษาศีล เป็นการฝึกฝนมิให้ไปเบียดเบียนผู้อื่น ในขณะเดียวกันก็เป็นการลด ละ เลิกความชั่ว มุ่งให้กระทำความดี อันเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต มิให้ตกต่ำลง เช่น ไม่ไปเป็นชู้เป็นกิ๊กกับใครที่ทำงาน ทำให้ครอบครัวเขาไม่แตกแยก เป็นแม่ค้าไม่โกหกหลอกขายของไม่ดีแก่ลูกค้า เป็นพ่อบ้านไม่กินเหล้าเมายา ทำให้ลูกเมียมีความสุข เพื่อนบ้านก็สุข เพราะไม่ต้องทนฟังเสียงรบกวน จากการทะเลาะวิวาทกัน เหล่านี้ล้วนเป็นการรักษาศีล และเป็นหนึ่งในการทำบุญอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งผลบุญข้อนี้จะทำให้เรากลายเป็นคนเยือกเย็น สุขุมด้วย

3. เจริญภาวนา หรือภาวนามัย เป็นการทำบุญอีกรูปแบบ ที่มุ่งพัฒนาจิตใจและปัญญา ทำให้จิตใจสงบ เห็นคุณค่าสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง ซึ่งในข้อนี้หลายคนอาจจะทำเป็นประจำอยู่แล้ว เช่น นั่งสมาธิ วิปัสสนา แต่หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องยากเกินกำลัง ดังนั้น อาจจะทำง่ายๆ ด้วยวิธีการสวดมนต์เป็นคาถาสั้นๆ บูชาพระที่เราเคารพบูชาก่อนนอนทุกคืน เช่น คาถาพระพุทธเจ้าชนะมาร คาถาหลวงปู่ทวด เป็นต้น การสวดมนต์เป็นประจำ อย่างน้อยก็เป็นการน้อมนำจิตใจของเรา ไปสู่สิ่งที่เป็นมงคลในชีวิต เป็นการเตือนสติให้เรายึดมั่นในการประพฤติปฏิบัติชอบ ตามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรานับถือ และผลบุญข้อนี้จะทำให้เกิดปัญญาแก่ผู้ปฏิบัติ

4. การอ่อนน้อมถ่อมตน หรือ อปจายนมัย หลายคนคงคิดไม่ถึงว่า การประพฤติตนเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน จะถือเป็นบุญอย่างหนึ่ง ทั้งนี้ ก็เพราะว่าการอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ว่าจะเป็นผู้น้อยประพฤติต่อผู้ใหญ่ และการที่ผู้ใหญ่แสดงตอบด้วยความเมตตา หรือการอ่อนน้อมต่อผู้มีคุณธรรม รวมถึงการให้เกียรติ ให้ความเคารพต่อความคิด ความเชื่อ และวิถีปฏิบัติของบุคคล หรือสังคมอื่นที่แตกต่างจากเรานั้น เป็นการลดความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตนของเรา ช่วยให้สังคมทุกระดับเกิดความเข้าใจต่อกัน และช่วยให้ชาติบ้านเมืองเกิดความสงบสุข จึงถือเป็นบุญอย่างหนึ่ง ผลบุญข้อนี้จะทำให้เกิดความเมตตาต่อกัน

5. การช่วยขวนขวายทำในกิจที่ชอบ หรือไวยาวัจจมัย พูดง่ายๆ ว่า เป็นการให้ความช่วยเหลือแก่สังคมรอบข้าง ในการทำกิจกรรมความดีต่างๆ เช่น ช่วยพ่อแม่ค้าขายไม่นิ่งดูดาย ช่วยสอดส่องดูแลบ้านให้เพื่อนบ้าน ยามที่เขาต้องไปธุระต่างจังหวัด ช่วยงานเพื่อนที่ทำงานให้แล้วเสร็จทันเวลา ให้กำลังใจแก่เพื่อนที่มีความทุกข์ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ถือเป็นบุญอีกแบบหนึ่ง และผลบุญในข้อนี้ก็จะช่วยให้เกิดความรักความสามัคคีขึ้นด้วย

6. การให้ผู้อื่นมาร่วมทำบุญกับเรา หรือ ปัตติทานมัย กล่าวคือ ไม่ว่าจะทำบุญอะไร ก็เปิดโอกาสให้คนอื่นได้มาร่วมทำบุญด้วย ไม่ขี้เหนียว หรืองกบุญเพราะอยากได้บุญใหญ่ไว้คนเดียว เช่น จะทำบุญสร้างระฆัง ก็ให้คนอื่นได้ร่วมสร้างด้วย ไม่คิดจะทำเพียงคนเดียว เพราะคิดว่าทำบุญระฆัง จะได้กุศลกลายเป็นคนเด่นคนดัง เลยอยากดังเดี่ยว ไม่อยากให้ใครมาร่วมด้วย เป็นต้น นอกจากนี้ การเปิดโอกาสให้คนอื่นมาร่วมทำงาน ร่วมแสดงความคิดเห็น รวมไปถึงการทำบุญ อุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว ก็ถือเป็นการทำบุญในข้อนี้ด้วย ผลบุญดังกล่าว จะช่วยให้เราเป็นคนใจกว้าง และปราศจากอคติต่างๆ เพราะพร้อมเปิดใจรับผู้อื่น

7. การอนุโมทนาส่วนบุญ หรือ ปัตตานุโมทนามัย คือ การยอมรับหรือยินดีในการทำความดีหรือทำบุญของผู้อื่น เมื่อใครไปทำบุญมาก็รู้สึกชื่นชมยินดีไปด้วย โดยไม่คิดอิจฉาหรือระแวงสงสัยในการทำความดีของผู้อื่น เช่น เพื่อนเดินทางไปสักการะสังเวชนียสถานมา ก็ร่วมอนุโมทนา ที่เขามีโอกาสได้ไปทำบุญ ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่อิจฉาเขา แม้เราไม่ได้ไป ก็อย่าไปคิดอกุศลว่า เขาได้ไปเพราะชู้รักออกเงินให้ เป็นต้น การไม่คิดในแง่ร้าย จะทำให้เรามีจิตใจไม่เศร้าหมอง แต่จะแช่มชื่นอยู่เสมอ เพราะได้ยินดีกับกุศลผลบุญต่างๆ อยู่ตลอดเวลา แม้จะมิได้ทำเองโดยตรงก็ตาม

8. การฟังธรรม หรือ ธรรมสวนมัย การฟังธรรม จะทำให้เราได้ฟังเรื่องที่ดี มีประโยชน์ทั้งต่อสติปัญญา และการดำเนินชีวิต ซึ่งการฟังธรรมนี้ ไม่จำเป็นต้องไปฟังที่วัด หรือจากพระท่านโดยตรง แต่อาจจะฟังจากเทป ซีดี หรือเป็นการฟังจากผู้รู้ต่างๆ และธรรมในที่นี้ ก็มิได้หมายถึงแต่เฉพาะหลักธรรม ในทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังหมายรวมไปถึงเรื่องจริง เรื่องดีๆ ที่ทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้และปัญญา ผลบุญข้อนี้จะทำให้ผู้ฟังเกิดการรู้แจ้งเห็นจริงยิ่งขึ้น

9. การแสดงธรรม หรือ ธรรมเทศนามัย คือการให้ธรรมะหรือข้อคิดที่ดีๆ แก่ผู้อื่น ด้วยการนำธรรมะหรือเรื่องดีๆ ที่เป็นประโยชน์ไปบอกต่อ หรือให้คำแนะนำให้เขาได้รู้จักวิธีการดำเนินชีวิตที่ดี เช่น สอนวิธีการทำงานให้ แนะหลักธรรมที่ดีที่เราได้ยินได้ฟังมา และปฏิบัติได้ผลแก่เพื่อนๆ เป็นต้น ผลบุญในข้อนี้ นอกจากจะทำให้ผู้อื่นได้รับรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์แล้ว ยังทำให้ผู้บอกกล่าวได้รับการยกย่องสรรเสริญอีกด้วย

10. การทำความเห็นให้ถูกต้อง เหมาะสม หรือ ทิฏฐุชุกรรม คือ การไม่ถือทิฐิ เอาแต่ความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่ แต่ให้รู้จักแก้ไข ปรับปรุงพัฒนาความคิดเห็น และความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ให้ถูกต้องตามธรรมอยู่เสมอ หรือจะพูดง่ายๆ ว่า ให้คิดและประพฤติตนให้ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรมก็ได้ ซึ่งข้อนี้แม้จะเป็นข้อสุดท้ายแต่ก็สำคัญยิ่ง เพราะไม่ว่าจะทำบุญใดทั้ง 9 ข้อที่กล่าวมา หากมิได้ตั้งอยู่ในทำนองคลองธรรม การทำบุญนั้นก็ไม่บริสุทธิ์ และให้ผลได้ไม่เต็มที่ ดังจะได้กล่าวถึงเกณฑ์การวัดบุญต่อไป

สำหรับ การทำบุญ ที่จะให้ได้ผลบุญมากหรือน้อยนั้น มีหลักเกณฑ์อยู่ 3 ประการคือ

1.ผู้ รับ จะต้องเป็นผู้มีศีล มีคุณธรรมความดี แต่ไม่จำเป็นจะต้องเป็นพระสงฆ์ หรือนักบวช จะเป็นคนทั่วไปก็ได้ ถ้าผู้รับดี ผู้ทำก็ได้บุญมาก หากผู้รับไม่ดี ก็อาจจะทำให้เราได้บุญน้อย เพราะเขาอาจอาศัยผลบุญของเรา ไปทำชั่วได้ เช่น ให้เงินช่วยเหลือเพื่อนๆ กลับเอาไปปล่อยกู้ สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น เป็นต้น

2.วัตถุสิ่งของที่ให้ ต้องบริสุทธิ์หรือได้มาโดยสุจริต เป็นของที่เหมาะและมีประโยชน์ต่อผู้รับ เช่น ให้เสื้อผ้าของเล่นแก่เด็กกำพร้า เป็นต้น ของที่ให้ดีผู้ทำก็ได้บุญมาก หากได้มาโดยทุจริต แม้จะเอาไปทำบุญก็ได้บุญน้อย

3.ผู้ให้ ต้องมีศีลมีธรรมและมีเจตนาที่เป็นบุญกุศลในการทำ จึงจะได้บุญมาก นอกจากนี้ เจตนาหรือจิตใจในขณะทำบุญ ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญกล่าวคือ ก่อนให้ ขณะให้ และหลังให้ หากผู้ให้มีความตั้งใจดี ตั้งใจทำ เมื่อทำแล้วก็เบิกบานใจ คิดถึงบุญกุศลที่ได้ทำเมื่อใด จิตใจก็ผ่องใสเมื่อนั้น เช่นนี้ก็จะทำให้ผู้ทำได้บุญมาก ถ้าไม่รู้สึกเช่นนั้น บุญก็ลดน้อยถอยลงตามเจตนา

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่า ใครก็ตามแม้จะไม่มีโอกาส “ให้ทาน” อันเป็นการทำบุญที่ง่าย และเป็นรูปธรรมที่สุด แต่เราทุกคนก็สามารถเลือกทำบุญในลักษณะอื่นๆ ได้อีกถึง 9 วิธี และเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก เช่น การอ่อนน้อมถ่อมตน การช่วยเหลือแนะนำน้องๆ ที่ทำงาน การไม่ถือทิฐิหรือดื้อหัวชนฝา การร่วมยินดีกับการทำบุญของเพื่อน เป็นต้น เพียงแค่นี้ก็เห็นผลทันตาแล้ว คือ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ทำให้ผู้ใหญ่เมตตาต่อเรา การช่วยเหลือเพื่อนฝูงทำให้ไปไหนเพื่อนๆ ก็รักใคร่ ยินดีต้อนรับ ดังนั้น เริ่มต้นทำ “บุญ” เมื่อใด บุญก็ส่งให้เห็น “ผล”เ มื่อนั้น


ขอบคุณบทความจาก พันทิป(เด็กน้อยในเมืองใหญ่)

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 04:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การสร้างเสริมบารมีให้กับตัวเอง


แนบไฟล์:
__fwdDer_com__-145350068-image001.jpg
__fwdDer_com__-145350068-image001.jpg [ 194.36 KiB | เปิดดู 4877 ครั้ง ]



1. รู้จักการให้
ความไม่ตระหนี่ถี่เหนียว การแบ่งปันให้คนรอบข้าง
ไม่เห็นแก่ตัว มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนรอบข้าง
ด้วยความบริสุทธิ์ใจโดยไม่หวังผลตอบแทน
หรือคิดถึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตัว

2. รักษาศิล
เป็นผู้ปฏิบัติดีมีศีลธรรมประจำ สม่ำเสมอ
ทั้งกาย วาจา ใจ เป็นคนคิดดี พูดดี ทำดี
ไม่ให้ร้ายผุ้อื่น

3. ระงับความอยาก
ไม่เป็นคนหมกมุ่น ฝักใฝ่ แสวงหา
มุ่งหวังประโยชน์ให้ตนเอง

4. มีเมตตา
ให้ความรักใคร่และเมตตา
ช่วยเหลือเกื้อกูลคนรอบข้าง
ชี้แนะ ให้คำปรึกษา ช่วยแก้ไขปัญหา

5. ฉลาดรอบรู้
เป็นคนรู้จักคิดและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยุ่เสมอ
ซึ่งจะมีประโยชน์ในการทำงาน แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
ตลอดจนช่วยเหลือให้คำแนะนำผู้อื่นได้ด้วย

6. อดทนอดกลั้น
อดทนต่องานหนัก ต่อสู้กับปัญหาต่างๆได้โดยไม่หวาดหวั่น
มีความเพียรพยายาม ไม่ท้อถอย
สามารถควบคุมอารมณ์ ใช้สติปัญญา
ใตร่ตรองแก้ไขปัญหาให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยความรอบคอบ
และลุล่วงด้วยดี

7. ซื่อสัตย์
ความซื่อสัตย์และซื่อตรง เป็นหัวใจสำคัญในการทำงาน
ไม่คิดคดโกงกับเพื่อนหรือองค์กร
รักษาคำพูด เมื่อตกปากรับคำไว้แล้ว
ก็ทำให้คนเชื่อถือได้

8. ขยันหมั่นเพียร
เป็นคนขยัน กล้าเผชิญกับงานยาก
ไม่ท้อถอย ตั้งใจเรีนรู้งาน
ปฏิบัติงานด้วยความเพียรอุตสาหะ

9. มีความตั้งใจแน่วแน่
เมื่อมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบแล้ว
ก็งใจปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
ให้สำเร็จลุล่วง ด้วยความตั้งใจแน่วแน่
โดยอาศัยความเพียร พยายาม สติปัญญาและอดทน
โดยมุ่งหวังความสำเร็จเป็นที่ตั้ง

10. มีใจเป็นกลาง
มีความยุติธรรม ไม่ลำเอียงเข้าข้างผู้ใด
ด้วยถือความสนิทสนมหรือเอาความเกลียดชัง
มาเป็นที่ตั้งในการตัดสินใจหรือพิจารณา

ขอบคุณที่มา นิตรสารเปรียว

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมบุตร เมื่อ 10 มี.ค. 2010, 04:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 04:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ยารักษาโรคทางใจ (โกรธ, หงุดหงิด, มักมาก)
คำนำ



ใจที่ไม่มีโรค หมายถึงใจที่ปราศจากอารมณ์ที่เป็นเหตุให้ขุ่นมัว คนที่รักษาสภาวะจิตใจของตน จะรู้จักการใช้กำลังใจไปในทางที่ถูกรู้จักระงับใจให้อยู่ในระดับปกติ ทำตนให้เป็นคนมีอารมณ์แจ่มใส ไม่มักมากในสิ่งต่างๆ ไม่เก็บความทุกข์ร้อนมาใส่ใจ คนที่มีกำลังใจเข้มแข็ง จะรู้สึกมีความเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง มีความพอใจเป็นเบื้องหลัง มีความหวังเป็นเบื้องหน้า จึงสามารถทำคุณประโยชน์ให้ทั้งแก่ตนหรือส่วนรวมได้อย่างมากมาย ผิดกับคนที่ขาดกำลังใจ จะทำอะไรก็ดูท้อแท้ กลัวแต่ความผิดหวัง จนไม่กล้าเผชิญหน้ากับความเป็นจริง

ยาล้างแผลใจ เล่มนี้ ได้แนะนำทั้งสมมติฐานของโรคใจ ที่เรียกว่ามะเร็งในอารมณ์ เช่น โรครัก-โลภ-โกรธ-หลง และโรคอารมณ์อีกหลายชนิด ที่จะเกิดติดตามมาหลังจากใจถูกอารมณ์ร้ายเหล่านี้เกาะกิน พร้อมแนะวิธีรักษาด้วยพุทธโอสถ คือ ยาธรรมะของพระพุทธองค์ เพื่อใช้รักษาอารมณ์ในยามที่ท่านประสบกับโรค

โรคทางใจ
ปกติใจของมนุษย์เป็นธรรมชาติที่ลึกล้ำยากจะหยั่งถึง มีกำลังมากกว่าฟ้า ลึกกว่าท้องสมุทร กว้างใหญ่กว่าแผ่นดิน กำลังใจจึงมีอิทธิพลเหนือกว่าทุกสรรพสิ่งที่มีในโลก คนที่มีกำลังใจย่อมสามารถทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและคนอื่น ผิดกับคนที่ขาดกำลังใจ ทำสิ่งใดก็มักจะไม่สำเร็จ

คนที่เป็นโรคทางใจ ย่อมเกิดผลร้ายกว่าโรคทางกาย โรคใจสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบและแผ่กระจายตัวไปได้ในพริบตา เกิดขึ้นได้วันละหลายครั้งไม่เลือกเวลา สถานที่ โรคใจที่ว่า คือ โรครัก โรคโลภ โรคโกรธ โรคหลง ซึ่งแต่ละโรคนี้ทำให้มนุษย์พบกับความวิบัติมานักต่อนัก

โรคลุแก่โทสะ
การคิดประทุษร้ายเพราะความไม่ชอบกัน เป็นโรคใจที่ทำให้คนโหดเหี้ยม ดุร้าย ก่อให้เกิดแต่ความขุ่นแค้น ยังใจให้ลุกโชนด้วยไฟ คือ โทสะที่คอยแผดเผาให้รุ่มร้อน ถ้าไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ย่อมนำความเดือดร้อนมาให้ได้มากกว่าไฟตามปกติหลายเท่านัก คนที่ลุแก่อำนาจโทสะ ก็เหมือนเหล็กที่ถูกสนิมกัดกร่อนย่อมไม่มีความแข็งแรง

โรคโกรธ
ความโกรธมักเกิดขึ้นจากการกระทำที่ผู้อื่นทำแก่ตนทั้งเจตนาหรือไม่เจตนา แต่ก็สร้างความขัดเคืองขุ่นแค้นให้เกิดขึ้นได้ แม้แต่การกระทำของตัวที่ไม่ได้ดังประสงค์ก็ยังใจให้โกรธได้ คนมักโกรธแม้มีสติปัญญาดี เฉลียวฉลาด มีความสามารถ แต่เมื่อถูกความโกรธครอบงำ ก็สามารถก่อกรรมทำเข็ญที่ร้ายแรงได้

โรคผูกโกรธ
ความผูกโกรธเป็นโรคที่เกิดต่อจากความโกรธ แต่มีโทษที่รุนแรงกว่าความโกรธ เกิดขึ้นได้เพราะการกระทำของผู้อื่นที่ตนไม่พอใจ เมื่อโกรธแล้วก็ผูกโกรธเอาไว้ให้คุกรุ่นอยู่ในใจ เหมือนเถ้าที่กลบไฟไว้ ผูกโกรธไม่รู้ลืม เมื่อพบเห็นหรือนึกถึงคนที่ทำให้โกรธขึ้นมาคราใด เป็นต้องฟุ้งซ่านแค้นเคือง พยายามหาทางทำตอบให้สมกับความแค้นที่เขาทำไว้กับตน



รูปภาพ




โรคพยาบาท
ความพยาบาทเป็นโรคร้ายที่เกิดต่อจากความผูกโกรธ เมื่อผูกไฟโกรธให้ลุกโชนในใจแล้ว จึงผูกพยาบาทปองร้ายผู้ที่ทำให้โกรธนั้น โรคนี้มีโทษร้ายแรงทั้งกว่าความโกรธและความผูกโกรธ ที่มุ่งโทษแต่การกระทำแก้แค้นตอบแทน แต่ความพยาบาทนอกจากทำแก้แค้นแล้ว ยังหวังล้างผลาญผู้นั้นให้วิบัตย่อยยับไปเลยทีเดียว เมื่อยังแก้แค้นไม่สำเร็จก็จองเวรต่อไป ไม่รู้จักจบสิ้น

ยารักษา
โรคทั้ง 4 คือ โรคลุแก่โทสะ โรคโกรธ โรคผูกโกรธ โรคพยาบาท สามารถรักษาได้ด้วยพุทธโอสถ คือ ความเมตตา และความกรุณา เปลี่ยนความรู้สึกโกรธแค้น ผูกใจเจ็บ พยาบาทมาดร้ายต่อเขา ให้เป็นความรักใคร่สงสารแทน เมื่อเกิดความรู้สึกรักและเมตตาในผู้อื่น ย่อมทำให้กลายเป็นคนที่มีน้ำใจโอบอ้อมอารี รู้ถึงหัวอกเขาหัวอกเรา ก็จะบรรเทาเบาบางอารมณ์ร้ายให้จืดจางไปจากใจได้

++++++++++++++++++++++

โรครัก
ความรักที่มีเมตตาธรรม รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น เคารพนับถือกันตามฐานะไม่ถือว่าเป็นโรค แต่ความรักที่มีแต่ความหึงหวง แก่งแย่งกัน จึงจะนับว่าเป็นโรค เมื่อเกิดโรครักขึ้น ไฟราคะ ก็เผาใจให้รุ่มร้อนกระวนกระวายในเมื่อยามผิดหวัง เมื่อยามตนสมหวังก็เผาผลาญร่างกายให้โรยรา เพราะเป็นไฟที่มีมากเกินพอดี

ยารักษา
เมื่อเกิดโรครักขึ้นต้องแก้ด้วยยาคือ สติ ระมัดระวังใจมิให้หลงใหลไปตามอำนาจของกามารมณ์ ให้นึกถึงโทษของความรักที่ทรมานตนจนฟุ้งซ่านกระวนกระวายขาดทั้งกำลังกายใจ ทำอะไรก็ให้รู้สึกท้อแท้ ต้องรู้เท่าทันว่า เมื่อโรครักเกิดขึ้นในใจแล้ว ย่อมทำให้ใจมีความวิปริตเปลี่ยนแปลงไปได้ทั้งในทางที่ดีหรือร้าย

+++++++++++++++++++++++

โรคโลภ
ความอยากที่ไม่มีประมาณ ทำให้เป็นคนเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ไม่รู้จักพอ ทั้งที่ได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ก็น่าจะมีความสุข แต่เพราะความโลภจึงทำให้ตนเองต้องเดือดร้อน กระเสือกกระสน ดิ้นรนแสวงหา เมื่อไม่ได้สมใจ ก็เกิดความเศร้าเสียใจ ตรมตรอมใจ เป็นบ้าใบ้ไปก็มี หนักเข้าถึงกับเป็นไข้ใจอย่างรุนแรง ถึงกับฆ่าตัวตายเพราะความไม่สมอยาก

ยารักษา
ยินดีในสิ่งที่ตนได้ พอใจในสิ่งที่ตนมี เป็นยาแก้ความโลภได้ดีที่สุด คือ รู้จักการแสวงด้วยหนทางที่ชอบอยู่ในกรอบของศีลธรรม ยับยั้งชั่งใจให้รู้ประมาณในการแสวงหา การได้มารวมถึงการใช้จ่ายก็ให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะพอสมกับการได้มา ก็จะสามารถช่วยรักษาโรคของความโลภมากอยากได้ให้ผ่อนคลายและหายไปได้ในที่สุด

++++++++++++++++++++++++

โรคมักมาก
โรคทางใจที่เร่งเร้าให้ชิงสุกก่อนห่าม มักใหญ่ใฝ่สูง มีจิตสันดานที่เอาแต่กอบโกย ถือแต่ส่วนตัวเป็นใหญ่ ถึงมีก็ไม่รู้จักพอ ไม่มีความรู้สึกพอใจในสิ่งใดๆ ไม่มีใครที่จะทำให้เขามีความรู้สึกอิ่มได้ เหมือนไฟที่ไม่อิ่มด้วยเชื้อ มหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำ และความตายไม่แหนงหน่ายไปจากสรรพสัตว์

ยารักษา
ความรู้จักพอ เป็นยาแก้ความมักมากที่ได้ผลทำให้มองเห็นค่าของความพอควรว่า เมื่อไม่มีสิ่งที่พอใจ ก็พอใจในสิ่งที่มี ตนได้ลงโทษความอยากยังดีกว่าการที่ตนจะถูกลงโทษเพราะความมักมาก เมื่อทำได้เช่นนั่น จะสามารถรักษาโรคมักมากอยากได้ไม่มีที่สิ้นสุดให้ทุเลาเบาบางจนหายขาดได้

+++++++++++++++++++++++++++++

โรคความอยาก
เป็นโรคประหลาดที่อยากมีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่อยากทำ ชอบการได้มาที่ไม่ต้องออกแรงแม้แต่จะคิด คนที่เป็นโรคนี้มักทำตรงกันข้ามกับความอยาก เช่น กลัวความลำบากแต่เป็นคนเกียจคร้าน ชอบความสุขสบายแต่ไพล่ไปทำเหตุแห่งทุกข์ อยากได้ดีแต่ไม่ทำความดี เข้าทำนองที่ว่า ทิ้งธุระที่มาถึงตัว มัวแต่พะวงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง

ยารักษา
ต้องเป็นคนมีฉันทะ รักใคร่ที่จะทำความดี ฝึกฝนอบรมตนให้เห็นประโยชน์ของความดีที่ตนปรารถนา เห็นโทษของความเลวที่ตนรังเกียจ พร้อมที่จะทำความดีตามที่ตนปรารถนา ละเว้นความเลวร้ายที่ตนรังเกียจ ก็ช่วยให้จิตใจของท่านมีความปรารถนาอยากทำแต่ในสิ่งที่ดีๆ

++++++++++++++++++++++++++++++


รูปภาพ





โรคมายา
คนที่มีมายาสาไถย เป็นคนเจ้าเล่ห์ ทำตัวเป็นเหมือนภูติผีที่เที่ยวหลอกผู้อื่นกิน คนที่ทำตัวเจ้าเล่ห์โกหกปลิ้นปล้อน เป็นคนคดในข้องอในกระดูก ย่อมไม่เป็นที่ไว้วางใจของใครต่อใคร เป็นคนที่หมดความน่าเชื่อถือ ใหม่ๆ อาจจะหลอกใครต่อใครได้ แต่เมื่อเขารู้ทันก็จะเป็นเหมือนกับผีตายซาก ถูกปล่อยให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย

ยารักษา
ต้องใช้สัจจะ คือ ความจริง มาปรับปรุงตัวรักษาใจให้เป็นคนมีคุณธรรมที่เที่ยงตรงต่อหน้าที่ จริงใจต่อเพื่อนฝูง ซื่อสัตย์ต่อนาย และต้องมีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ เมื่อได้หมั่นฝึกฝนอบรมจิตด้วยสัจจะแล้ว โรคมายาก็ไม่อาจเกาะกุมใจของเขาได้อีก

++++++++++++++++++++++++++

โรคโอ้อวด
เป็นคนประเภทขี้โอ่ คอยแต่จะฟังคำสรรเสริญเยินยอ เมื่อผู้อื่นกล่าวชมไม่ทันใจ ก็พูดบรรยายสรรพคุณของตนอวดคนอื่นโดยไม่เลือกสถานที่ เวลา ว่าตนรู้อย่างนั้น ดีอย่างนี้ จนบางทีโอ่เสียจนน่ารังเกียจ ทั้งที่ใครเขาไม่อยากฟัง

ยารักษา
ต้องรู้จักประมาณตน ปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับวุฒิภาวะฐานะว่าตนเป็นอยู่ในระดับไหน ไม่เย่อหยิ่งทะนงตนว่าวิเศษวิโสกว่าผู้อื่นแล้วเหยียบย่ำผู้อื่นเลวกว่าตน คนที่รู้จักประมาณตนเป็นเหตุให้เห็นคนเป็นคน จึงสามารถวางตนได้เหมาะสม

+++++++++++++++++++++++++++

โรคหลงงมงาย
เป็นโรคทางใจที่ทำให้คนเป็นโรคนี้หลงเห็นผิดเป็นชอบ เห็นชั่วเป็นดี เป็นหมอกม่านปิดกั้นสติปัญญาให้มืดมน คนที่ถูกไฟโมหะครอบงำจิตใจย่อมไม่อาจมองเห็นความเป็นจริงได้ แม้นต้องพบกับความทุกข์ลำบาก ก็ยังหลงหัวปักหัวปำ ไม่อาจถอนตัวถอนใจได้ เป็นเหตุให้มีชีวิตที่เศร้าหมองบั่นทอนชีวิตให้สั้นลง

ยารักษา
ต้องใช้ยา คือ สติ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ ความรู้ตัวพร้อม พินิจพิเคราะห์ให้ได้เหตุและผลที่แท้จริงก่อนค่อยทำหรือปลงใจเชื่อในสิ่งใด ทำตัวให้หนักแน่นในเหตุผล ไม่ปล่อยตัวปล่อยใจให้เป็นในอำนาจของความหลง ก็จะช่วยผ่อนคลายอำนาจของความงมงายไม่ให้ครอบงำใจได้

+++++++++++++++++++++++++++

โรคอิจฉา
เป็นโรคอิจฉาริษยาในลักษณะที่หวงความดี ไม่อยากให้ผู้อื่นดีกว่าตน คนเป็นโรคใจประเภทนี้ไม่ปรารถนาจะพบเห็นหรือแม้แต่ได้ยินว่าคนอื่นได้ดีทำความดีอย่างนั้นอย่างนี้ ทนไม่ได้ ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ทำดีเยี่ยงเขา เพราะมัวแต่คิดอิจฉาความดีของคนอื่น ตัวเองเลยไม่มีเวลาทำดี ยิ่งทำให้ค่าความดีของตนตกต่ำลงไป คนที่ใช้ความอิจฉาริษยาเป็นลูกศรยิงผู้อื่น แม้ตัวเองก็ได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานใจ

ยารักษา
ต้องฝึกใจให้มี มุทิตา ความพลอยยินดี ในคุณความดีของผู้อื่น ฝึกฝนอบรมใจให้เป็นคนมีอัธยาศัย ไมตรี ไม่แข็งกระด้าง เมื่อเห็นผู้อื่นได้ดีมีสุข ก็พลอยยินดีไปกับความสำเร็จของเขา แม้ตัวจะด้อยค่าลงไปกว่าเขา ก็ไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ โรคร้ายความอิจฉาตาร้อนก็จะผ่อนคลายหายไปในที่สุด

++++++++++++++++++++++++++

โรคหงุดหงิด
คนเป็นโรคใจชนิดนี้เหมือนเป็นไข้เรื้อรัง ทำให้กลายเป็นคนจู้จี้ขี้บ่นจุกจิกไม่เข้าเรื่อง สร้างความรำคาญใจให้กับคนรอบข้างได้ไม่จบสิ้น ต้องหาเรื่องหงุดหงิดบ่นว่าใครต่อใครไม่เลือกหน้า ถ้าไม่มีก็ขุดคุ้ยเรื่องเก่ามากล่าวอ้างจนได้ คนที่เป็นโรคนี้มักไม่รู้ตัวว่าเป็นคนทำความรำคาญใจกับผู้อื่น เป็นคนที่น่าเบื่อ ใครต่อใครก็ไม่อยากคบ

ยารักษา
ต้องมีความสำนึกรู้ตัวตนอยู่เสมอ พิจารณาถึงโทษของความหงุดหงิดจู้จี้ขี้บ่น ว่าเราไม่ชอบคนประเภทนี้อย่างใด คนอื่นเขาก็คงไม่ชอบนิสัยอย่างนั้นของเราเหมือนกัน เมื่อคิดได้ดังนี้ก็จะทำให้หายหงุดหงิดไม่จู้จี้ขี้บ่น มีหน้าตาแจ่มใส มีจิตใจที่แช่มชื่น มีความเป็นอยู่ที่สุขกายสบายใจเลยทีเดียว

+++++++++++++++++++++++++++++

โรคขี้ขลาด
โรคขี้ขลาดหรือกลัวในเรื่องที่ไม่ใช่เหตุ หรือในขณะที่ประสบเหตุ เมื่อกลัวจนเกินกว่าเหตุย่อมปิดบังสติปัญญาที่จะใช้แก้ไขปัญหา นับเป็นโรคที่ยังใจให้หดหู่ห่อเหี่ยว ไม่องอาจผลาญกำลังใจของชีวิต ไม่ให้ต่อสู้กับปัญหาเพราะความขลาดกลัวเป็นเหตุ คนที่เป็นโรคนี้จึงต้องเสริมสร้างขวัญและกำลังใจเป็นพิเศษ

ยารักษา
ต้องใช้ปัญญา พิจารณาถึงเหตุและผลของความกลัว ว่าเรากลัวในสิ่งที่จำเป็นต้องกลัวหรือไม่ เช่นกลัวต่อการทำดี เพราะเดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าทำเอาหน้า เป็นต้น เมื่อตรึกตรองได้ดังนี้ ก็จะทำให้เห็นคุณของความกล้าในสิ่งที่ชอบที่ควร ก็จะช่วยหยุดยั้งความกลัวที่ผิดปกติได้

ใจของมนุษย์เป็นสิ่งที่ลึกล้ำ
ยากที่จะหยั่งถึง...
กำลังใจจึงมีอิทธิพลเหนือกว่า
ทุกสรรพสิ่งบรรดามี




คัดลอกจากหนังสือ ยาล้างแผลใจ
สำนักพิมพ์ ช่อระกา และ สำนักพิมพ์ เลี่ยงเชียง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 23:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าคนหนึ่งตีกลอง... แล้วอีกคนเต้น

ถ้าคนหนึ่งตีกลอง... แล้วอีกคนเต้น
~~~ “ถ้าคนหนึ่งตีกลอง แล้วอีกคนยิ่งเต้น คนตีเขาก็ยิ่งตี แต่ถ้าตีแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น เขาก็จะหยุดไปเอง เพราะตีไปก็เหนื่อยเปล่า” ~~~

คำพูดบางคำทำร้ายคนฟังได้น่าดู
ถ้าจะให้ไม่แคร์เนี่ย ทำได้ยากแน่นอน
ถ้าเคยรู้สึกแย่ กับคำพูดแย่ ๆ ของคนหลายคน
คำพูดของเขาทำให้เราหมดความนับถือตัวเอง
บางครั้งมันอาจจะถึงขนาดทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไป
บั่นทอนสุขภาพกายและใจ
คนพูดทิ้งยาพิษไว้ในใจเรา แล้วก็หนีลอยนวล

คนที่แย่คือคนฟังสิ...
ฉันเลยเปลี่ยนความคิดใหม่
พยายามหาเหตุผลเพื่อเข้าใจพวกเขา
คนที่ชอบติข้อบกพร่อง
ตอกย้ำปมด้อยของคนอื่น เพราะต้องการให้ตัวเองดูดี
คนพวกนี้มีปมด้อยในใจ ชอบสร้างคุณค่าให้ตัวเอง
โดยการติคนอื่น เพื่อลดคุณค่าของคนอื่น
จิตใจเขาขุ่นมัว มองไม่เห็นความดี ความสวยงาม
และสิ่งดี ๆ ในตัวคนอื่น เพื่อนำมาพูดถึง

บ่อยครั้งที่เรามักเจอคำพูดแย่ ๆ จากคนรอบข้าง
ถ้าไม่รู้จักดูแลจิตใจ ความรู้สึกของตัวเอง
เราจะถูกบั่นทอนลงทีละนิด....

ที่สำคัญเราจะต้องหนักแน่น อย่าหวั่นไหว
ที่เขาว่ามา เป็นปมด้อยของเราก็จริง
แต่คนเราเลือกเกิดไม่ได้
ที่เขาติมาเพราะเขามองหาส่วนแย่ ๆ ของเราต่างหาก
ที่ดี ๆ ก็มี แต่เขาไม่พูด
ตัวเราย่อมรู้ตัวเองดีที่สุด
เชื่อในคุณค่าของตัวเอง ไว้ใจตัวเอง

ดูแลหัวใจของเราให้ดี
เรียนรู้ที่จะคิดปฏิเสธคำพูดแย่ ๆ จากคนอื่น
รู้แหล่งที่มาอย่างมีเหตุผล
แล้วจะไม่มีอะไรมาบั่นทอนหัวใจเราได้เลย...

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 23:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


***** อัจฉริยะบุคคล ที่เคยล้มเหลวมาก่อน.....

รูปภาพ
ชายคนหนึ่งเพิ่งจะมาพูดได้ตอนอายุ 4 ขวบ
ชายคนนั้น ... เพิ่งจะมาอ่านหนังสือออกตอนอายุ 8 ขวบ
ชายคนนั้น ... เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน
ชายคนนั้น ... เคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนอาชีวะแห่งซูริค
ชายคนนั้น ... เคยถูกอาจารย์ระบุว่า "สมองช้า ไม่ชอบสังคมและล่องลอยอยู่ในความฝัน

อันโง่เขลาของตัวเองตลอดเวลา"
ชายคนนั้น ... ชื่อ "อัลเบิร์ต ไอสไตน์" บิดาแห่งปรมาณู


รูปภาพ
ชายคนหนึ่งเคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนเตรียมทหารเวสต์พอยต์
ชายคนนั้น ... ลองสมัครใหม่ดูอีกที
ชายคนนั้น ... ถูกปฎิเสธอีกครั้ง
ชายคนนั้น ... พยายามเป็นครั้งที่สาม
ชายคนนั้น ... ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียน
ชาย คนนั้น ... ได้เป็นทหารสมใจ
ชายคนนั้น ... เข้าไปอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองได้สำเร็จ
ชายคนนั้น ... ชื่อ "นายพล ดักลาส แมคอาเธอร์"

ผู้พิชิตแปซิฟิคแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง


ชายกลุ่ม หนึ่งเป็นนักดนตรี
ชายกลุ่มนั้น... เคยถูกปฎิเสธจากผุ้บริหารคนหนึ่งจากบริษัทเดคคาเรคคอร์ติ้ง
ชายกลุ่ม นั้น... ถูกปฎิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า "เราไม่okชอบเสียงเพลงของพวกเขา

และกลุ่มนักดนตรีที่เล่นกีตาร์กำลังจะหมดสมัยแล้ว"
ชายกลุ่ม นั้น... มีนามว่า "เดอะ บีเทิลส์" สี่เต่าทองแห่งตำนาน

รูปภาพ

ชายคนหนึ่งเป็นนักกีฬา
ชายคนนั้น ... เล่นบาสเกตบอลให้กับทีมโรงเรียนมัธยม
ชายคนนั้น ... เคยถูกคัดออกจากทีมโรงเรียน
ชายคนนั้น ... ชื่อ "ไมเคิล จอร์แดน"

หนึ่งในนักกีฬาบาสเกตบอลที่ทำเงินมากที่สุดในโลก

รูปภาพ
ชายคนหนึ่งเป็นนักแต่งเพลงชาวเยอรมัน
ชายคนนั้น ... สูญเสียความสามารถในการฟังลงเรื่อยๆ
ชายคนนั้น ... หูหนวกสนิทเมื่อมีอายุได้ 46 ปี
ชายคนนั้น ... ได้ใช้ช่วงเวลาบั้นปลายชีวิตประพันธ์เพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ชายคน นั้น...ชื่อ "ลุดวิก ฟาน บีโธเฟน" นักประพันธ์เพลงชื่อก้องโลก


รูปภาพ

ชายคนหนึ่ง สอบตกประถม 6
ชายคนนั้น ... เคยมีชีวิตที่พ่ายแพ้และล้มเหลวมาตลอด
ชาย คนนั้น ... ล้วนทำประโยชน์ครั้งใหญ่ๆเมื่อเขากลายเป็นผู้สูงอายุแล้ว
ชาย คนนั้น ... ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษเมื่ออายุ 62 ปี
ชายคนนั้น ... ชื่อ "วินสตัน เชอร์ชิล" อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ

รูปภาพ

ชายคนหนึ่งเรียนปริญญาตรี
ชายคนนั้น ... เคยถูกจัดให้เป็นแค่นักศึกษาระดับกลางเท่านั้น
ชายคนนั้น ... เคยสอบได้อันดับที่ 15 จากนักศึกษา 22 คนในวิชาเคมี
ชายคนนั้น ... ชื่อ "หลุยส์ ปาสเตอร์" ผู้ค้นพบวิธีการฆ่าเชื้อโรค

รูปภาพ

ชายคนหนึ่งเป็นนักร้อง
ชายคนนั้น ... เคยถูกผู้จัดการของ แกรนด์โอเลโอเพรย์ไล่ออก
ชายคนนั้น ... เคยโดนดูถูกว่า "แกมันไปไม่ถึงไหนเลย แกควรกลับไปขับรถบรรทุก

มากกว่า"
ชายคนนั้น ... ชื่อ "เอลวิส เพรสลีย์" ศิลปินก้องโลก

รูปภาพ

หญิงคนหนึ่งเป็นนางแบบผู้เปี่ยมไปด้วยความหวัง
หญิง คนนั้น ... ทำงานให้กับบริษัทบลูบุ๊คโมเดลลิ่งเอเจนซี่
หญิงคนนั้น ... เคยโดนผู้อำนวยการบริษัท บลูบุ๊คโมเดลลิ่งเอเจนซี่ดูถูกว่า

"เธอควรไปเรียนด้านเลขาฯ หรือไม่ก็แต่งงานเสียดีกว่า"
หญิงคน นั้น ... ชื่อ นอร์มา จีน เบเกอร์ หรือที่รู้จักกันในนาม

"มาริลีน มอนโร" นั่นเอง



ชายคนหนึ่งหลงใหลวิชาการเงินอย่างมาก
ชายคนนั้น ... ยื่นใบสมัครกับมหาวิทยาลัยธุรกิจฮาวาร์ด อันเลื่องชื่อ
ชายคนนั้น ... ถูกปฎิเสธในเวลาต่อมา
ชายคนนั้น ... ไม่ยอมแพ้ เดินหน้าเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยธุรกิจโคลัมเบีย
ชายคนนั้น ... สำเร็จการศึกษา
ชายคนนั้น ... ปัจจุบันมีสินทรัพย์รวมกว่า 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

จากเงินลงทุนเพียง 100 เหรียญสหรัฐ ชายคนนั้น...ชื่อ

"วอเรน บัฟเฟตต์" นักลงทุนอัจฉริยะ อภิมหาเศรษฐีอันดับ

สองของโลก

รูปภาพ

ชายคนหนึ่งหลงใหลในคอมพิวเตอร์อย่างมาก
ชายคน นั้น ... ชอบหมกตัวกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ
ชายคนนั้น ... ถูกเพื่อนมองว่า "สกปรก - บ้าคอมพิวเตอร์"
ชายคนนั้น ... เคยเสนอซอฟแวร์ระบบให้กับ แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์
ชายคนนั้น ... ถูกปฎิเสธอย่างไม่ใยดี
ชายคนนั้น ... ปัจจุบันคือผู้ให้การช่วยเหลือด้านเงินทุนกับ แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์
ชาย คนนั้น ... เคยถูก ไอบีเอ็ม มองว่า "แค่เด็ก"
ชายคนนั้น ... ปัจจุบันเป็นผู้นำบริษัทซอฟแวร์ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก
ชายคนนั้น ... ชื่อ วิลเลี่ยม เฮนรี่ เกตส์ ที่สาม หรือที่รู้จักกันในนาม

"บิลล์ เกตส์" ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์ มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก

ผู้ถือครองสินทรัพย์กว่า 46,000 ล้านเหรียญ

"ผม เชื่อว่าทุกคนเคยแพ้"
"ผมเชื่อว่าทุกคนเคยล้มเหลว"
"แต่คนแพ้ไม่ใช่ คนที่ล้มเหลว"
"คนล้มเหลวคือ...คนที่ล้มเลิกต่างหาก"
"ถ้าทำจริง..สำเร็จทุกอย่าง ขอให้ทุกท่านสำเร็จในธรรม อนุโมทนา"

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 23:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


10 ภาพสื่อความหมาย ที่ใครหลายคนอาจมองข้าม

รูปภาพ

ผ้าขาวคือสงคราม ในสถานการณ์เดียวกัน ผ้าผืนเดียวกัน ทำให้สามีต้องออกรบภรรยาเสียใจไม่อยากให้ไป


รูปภาพ

เมื่อคนเราท้อแท้ จนคิดอยากตาย จริงๆแล้วในส่วนลึกของจิตใจ ยังอยากมีชีวิตอยู่


รูปภาพ

เราเปรียบเหมือนนก มีอิสระ แต่พอขีดเส้น ก็เหมือนเป็นลวดหนาม


รูปภาพ

ทุกเรื่อง ทุกอย่างมีขอบเขตจำกัด


รูปภาพ

ผู้นำที่เสียสละ


รูปภาพ

มุ่งมั่นที่จะทำอะไรบางอย่าง โดยไม่มองสิ่งรอบข้างเลย


รูปภาพ

คนแย่งกันเป็นที่หนึ่ง


รูปภาพ

ครอบครัวขาดความอบอุ่น อยู่บ้านเดียวกัน พ่อแม่ไม่สนใจลูกเลยเหมือนอ้างว้างอยู่คนเดียว


รูปภาพ

บางทีเด็กก็คิดอะไรได้ดีกว่าผู้ใหญ่


รูปภาพ

เด็กไร้เดียงสาในโลกกว้าง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 23:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 23:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โทรศัพท์กับไข่ (ไม่อ่านจะเสียใจ)‏
สำหรับสาวนักโทร
และคนขี้เหงาทั้งหลาย

เราต้องการ ไข่หนึ่งใบ และ โทรศัพท์ 2 เครื่อง
กับเวลา 65 นาที
สำหรับการโทรจากเครื่องหนึ่ง
ไปอีกเครื่องหนึ่ง
ติดตั้งตามภาพข้างล่าง




เราจะเริ่มด้วยการโทรระหว่างโทรศัพท์ 2 เครื่อง
หากันประมาณ 65 นาที
15 นาทีแรก จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นให้เห็น
หลังจาก 25 นาที ไข่เริ่มอุ่นขึ้น
หลังจาก 45 นาทีผ่านไป ไข่ร้อนขึ้น และ
หลังจาก 65 นาที ไข่ก็สุก






บทสรุปจากทดลอง :
รังสีไมโครเวพที่ปล่อยออกมาจากโทรศัพท์มือถือ
สามารถเปลี่ยนแปลงโปรตีนในไข่ให้สุกได้จริง

ที่นี้ก็ลองจินตนาการว่า :

โปรตีนในสมองของเราจะเปลี่ยนเป็นอย่างไร
หากเราพูดโทรศัพท์ผ่านโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานๆ
เกิน 1 ชั่วโมงต่อเนื่องกัน


รูปภาพ

รูปภาพ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 23:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปล่อยวางตัวกู


แนบไฟล์:
__fwdDer_com__-145350186-image010.jpg
__fwdDer_com__-145350186-image010.jpg [ 197.83 KiB | เปิดดู 4850 ครั้ง ]




ความตาย ไม่ว่าจะน่ากลัวอย่างไรในสายตาของคนทั่วไป ก็ยังไม่น่ากลัวเท่ากับ ความกลัวตาย ความตายหากวัดที่การหมดลมหรือหัวใจหยุดเต้น ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์ แต่ความกลัวตายนั้นสามารถหลอกหลอนคุกคามผู้คนนานนับปีหรือยิ่งกว่านั้น ความกลัวเกิดขึ้นเมื่อไร ก็ทุกข์เมื่อนั้น จึงมีภาษิตว่า "คนกล้าตายครั้งเดียว แต่คนขลาดตายหลายครั้ง"

ความกลัวตายยังน่ากลัวตรงที่เป็นแรงผลักดันให้เราพยายามผลักไสความตายออกไปให้ ไกลที่สุด จนแม้แต่จะคิดถึง เรียนรู้ หรือทำความรู้จักกับมัน ก็ยังไม่กล้าทำ เพราะเห็นความทุกข์เป็นศัตรู ยิ่งเมื่อความตายมาอยู่ต่อหน้า แทนที่จะยอมรับ กลับปฏิเสธผลักไสสุดแรง แต่เมื่อไม่สมหวังก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งทุกข์ก็ยิ่งผลักไส ยิ่งผลักไสก็ยิ่งผิดหวัง ผลคือความทุกข์เพิ่มพูนเป็นทวีตรีคูณ หารู้ไม่ว่าหากยอมรับความตาย ความทุกข์ก็จะน้อยลงไปมาก บางคนที่รู้ว่าเครื่องบินกำลังตก รถกำลังพุ่งชนคันหน้า ในชั่วไม่กี่วินาทีที่เหลืออยู่ ทำใจพร้อมรับความตายโดยดุษณี ไม่คิดต่อสู้ขัดขืน ปล่อยวางทุกอย่าง กลับพบว่า จิตใจนิ่งสงบอย่างยิ่ง

คนเรากลัวตายด้วยหลายสาเหตุ กล่าวคือ ความตายนอกจากจะมาพร้อมกับความเจ็บปวด และทำให้เรา พลัดพรากไปตลอดกาลจากบุคคลและสิ่งอันเป็นที่รัก แล้ว ความตายยังหมายถึงการสิ้นสุดโอกาสที่จะได้เสพสุข ในยุคบริโภคนิยมซึ่งถือว่าการเสพสุขเป็นสุดยอดปรารถนาของชีวิต อย่าว่าแต่การหมดโอกาสที่จะได้ทำเช่นนั้นเลย แม้เพียงการไม่สามารถที่จะเสพสุขอย่างเต็มที่ จะเป็นเพราะความชรา ความเจ็บป่วย ความพิการ หรือความผันแปรของร่างกาย (เช่น เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ) ก็ตาม ถือว่าเป็นทุกข์มหันต์อันยากจะทำใจได้

อย่าง ไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้คนที่ไร้ญาติขาดมิตร ยากจนแสนเข็ญ และกำลังประสบทุกขเวทนาอย่างแรงกล้าเพราะป่วยหนักในระยะสุดท้าย จำนวนมากก็ยังกลัวตาย ทั้งๆ ที่ตอนนั้นโอกาสเสพสุขแทบจะไม่มีเลย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะยังมีความหวังว่าจะหายป่วยและกลับไปเสพสุขใหม่ แต่อีกสาเหตุหนึ่งก็เพราะยังมีความหวงแหนในชีวิต แม้สิ้นไร้ไม้ตอกเพียงใดก็ยังมีชีวิตเป็นสมบัติสุดท้ายที่อยากยึดเอาไว้อยู่

มอง ให้ลึกกว่านั้นก็คือ ยังมีความยึด ติดในตัวตน แม้ไม่มีอะไรหลงเหลือในชีวิต แต่ก็ยังมีตัวตนให้ยึดถือ หากตัวตนดับสูญเสียแล้ว จะมีอะไรทุกข์ไปกว่านี้ ในอดีตอิทธิพลทางศาสนาทำให้ผู้คนเชื่อว่าแม้หมดลมแล้ว ตัวตนก็ยังไม่ดับสูญ หากยังสืบต่อในโลกหน้า หรือมีสวรรค์เป็นที่รองรับ จึงไม่หวาดกลัวความตายมากนัก ตรงข้ามกับคนสมัยนี้ ซึ่งไม่ค่อยเชื่อในโลกหน้าหรือชีวิตหน้าแล้ว ความตายจึงหมายถึงการดับสูญของตัวตนอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่ง แต่สำหรับคนที่ไม่แน่ใจว่ามีอะไรอยู่หลังความตาย ความตายก็ยังน่ากลัวอยู่นั่นเอง เพราะไม่รู้ว่าตายแล้วจะไปไหน อะไรที่เราไม่รู้ ดำมืด ย่อมเป็นสิ่งที่น่ากลัวอยู่เสมอ

ตราบใดที่ ความตายเป็นสิ่งลี้ลับแปลกหน้า มันย่อมน่ากลัวสำหรับเรา แต่เมื่อใดที่เราคุ้นชินกับความตาย มันก็ไม่น่ากลัวอีกต่อไป ความตายก็เช่นกัน การเตรียมใจรับมือกับ ความตายที่ดีที่สุดคือ การทำใจให้คุ้นชินกับมันเป็นเบื้องแรก เพื่อมิให้มันเป็นสิ่งแปลกหน้าสำหรับเราอีกต่อไป เราสามารถทำใจให้คุ้นชินกับความตายได้ด้วยการระลึกนึกถึงความตายอยู่เสมอ นั่นคือเจริญ "มรณสติ" อยู่เป็นประจำ

การเจริญมรณสติ คือ การระลึกหรือเตือนตนว่า

(1) เราต้องตายอย่างแน่นอน

(2) ความตายสามารถเกิดขึ้นกับเราได้ทุกเมื่อ อาจเป็นปีหน้า เดือนหน้า พรุ่งนี้ คืนนี้ หรืออีกไม่กี่นาทีข้างหน้าก็ได้ เมื่อระลึกได้เช่นนี้แล้ว ก็ต้องสำรวจหรือถามตนเองว่า

(3) เราพร้อมที่จะตายหรือยัง เราได้ทำสิ่งที่ควรทำเสร็จสิ้นแล้วหรือยัง และพร้อมที่จะปล่อยวางสิ่งทั้งปวงแล้วหรือยัง

(4) หากยังไม่พร้อม เราควรใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ เร่งทำสิ่งที่ควรทำให้เสร็จสิ้น อย่าปล่อยเวลาให้สูญเปล่า หาไม่แล้ว เราอาจไม่มีโอกาสได้ทำสิ่งเหล่านั้นเลยก็ได้

ข้อ (1) และ (2) คือความจริงหรือเป็นกฎธรรมชาติที่เราไม่อาจปฏิเสธหรือขัดขืนต้านทานได้ ส่วนข้อ (3) และ (4) คือสิ่งที่อยู่ในวิสัยที่เราจะจัดการได้ เป็นการกระทำที่อยู่ในความรับผิดชอบของเราโดยตรง

การระลึก หรือเตือนใจเพียง 2 ข้อแรกว่า เราต้องตายอย่างแน่นอน และจะตายเมื่อไรก็ได้ หากทำอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เราตื่นตระหนกน้อยลงเมื่อความตายมาปรากฏอยู่เบื้องหน้า เพราะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ทันทีที่เราตระหนักว่าความตายจะทำให้เราพลัดพรากจากทุกสิ่งที่มีอยู่ อย่างสิ้นเชิง ในชั่วขณะนั้นเอง หากเราระลึกขึ้นมาได้ว่ามีบางสิ่งบางคนที่เรายังห่วงอยู่ มีงานบางอย่างที่เรายังทำไม่แล้วเสร็จ หรือมีเรื่องค้างคาใจที่ยังไม่ได้สะสาง ย่อมเป็นการยากที่เราจะก้าวเข้าหาความตายได้โดยไม่สะทกสะท้าน ยิ่งความตายมาพร้อมกับทุกขเวทนาอันแรงกล้า หากไม่ได้ฝึกใจไว้เลยในเรื่องนี้ ก็จะทุรนทุรายกระสับกระส่ายเป็นอย่างยิ่ง เพราะไหนจะถูกทุกขเวทนาทางกายรุมเร้า ไหนจะห่วงหาอาลัยหรือคับข้องใจสุดประมาณ ทำให้ความตายกลายเป็นเรื่องทุกข์ทรมานอย่างมาก

ด้วยเหตุนี้ลำพังการ ระลึกถึงความตายว่าจะต้องเกิดขึ้นกับเราอย่างแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว จึงยังไม่เพียงพอ ควรที่เราจะต้องพิจารณาต่อไปด้วยว่า เราพร้อมจะตายมากน้อยแค่ไหน และควรจะทำอย่างไรกับเวลาและชีวิตที่ยังเหลืออยู่ การพิจารณา 2 ประเด็นหลังนี้จะช่วยกระตุ้นเตือนให้เราไม่ประมาทกับชีวิต เร่งทำสิ่งที่ยังค้างคาอยู่ให้แล้วเสร็จ ไม่ผัดผ่อนไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็เห็นความสำคัญของการฝึกใจให้ปล่อยวางบุคคลและสิ่งต่างๆ ที่ยังยึดติดอยู่

การเจริญมรณสติ รวมทั้งการฝึกตาย หากทำอย่างสม่ำเสมอมากเท่าไร จะมีผลดีต่อจิตใจมากเท่านั้น วิธีที่จะทำให้การฝึกตายเป็นไปอย่างสม่ำเสมอก็คือการทำให้เป็นส่วนหนึ่งของ ชีวิต "ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ" ได้เสนอแนะวิธีการการฝึกตายที่กลมกลืนไปกับการดำเนินชีวิต นั่นคือ "ตายก่อนตาย" หมายถึง ฝึกการตายจากกิเลส หรือตายจากการยึดมั่นในตัวตน คือทำให้ตัวตนตายไปก่อนที่จะหมดลม

ตัว ตนนั้นมิได้มีอยู่จริง หากเกิดจากการปรุงแต่งของใจ เมื่อเกิดความสำคัญมั่นหมายในตัวตนแล้ว ก็จะเกิดการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ ตามมาว่าเป็น "ตัวกู ของกู" ไม่ว่าทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง ความสำเร็จ รวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วย ไม่จำกัดเฉพาะสิ่งที่พึงปรารถนา

แม้สิ่งที่ไม่พึงปรารถนาก็ยังอดยึดไม่ได้ว่าเป็น "ตัวกู ของกู" ด้วยเหมือนกัน เช่น ความโกรธ (ของกู) ความเกลียด (ของกู) ศัตรู (ของกู) ความยึดมั่นในตัวกูของกูนี้เองที่ทำให้เรากลัวความตายเป็นอย่างยิ่ง เพราะความตายหมายถึงการพลัดพรากสูญเสียไปจากสิ่งทั้งปวง และสิ่งที่เรากลัวที่สุดคือ พลัดพรากจากตัวตนหรือการดับสูญของตัวตน

เมื่อ ใดก็ตามที่เราสามารถปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้ ความตายก็จะไม่น่ากลัวอีกต่อไป เพราะจะไม่มีความพลัดพรากสูญเสียใดๆ เลย ในเมื่อไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย ที่สำคัญที่สุดคือไม่มี "เรา" ตาย เพราะตัวเราไม่มีตั้งแต่แรกแล้ว ด้วยเหตุนี้การฝึกใจให้ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน จึงเป็นวิธีเตรียมตัวตายที่ดีที่สุด

"ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ" ได้แนะนำวิธีปฏิบัติหลายประการเพื่อการละวางตัวตน วิธีหนึ่งก็คือฝึก "ความดับไม่เหลือ"

กล่าวคือ ทุกเช้าหรือก่อนนอนให้สำรวมจิตเป็นสมาธิ แล้วพิจารณาให้เห็นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นเรา หรือของเรา แม้แต่สักอย่างเดียว รวมทั้งพิจารณาว่า การ "เกิด" เป็นอะไรไม่ว่าเป็นแม่ เป็นลูก เป็นคนรวย เป็นคนจน เป็นคนดี เป็นคนชั่ว เป็นคนสวย เป็นคนขี้เหร่ ก็ล้วนแต่มีทุกข์ทั้งนั้น

"เกิด" ในที่นี้ท่านเน้นที่ความสำคัญมั่นหมายหรือติดยึดว่าเป็นนั่นเป็นนี่ เมื่อเห็นแล้วให้ละวางความสำคัญมั่นหมายดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิด "ตัวกู" ว่าเป็นนั่นเป็นนี่ (แต่การทำหน้าที่ตามสถานะหรือบทบาทดังกล่าวก็ยังทำต่อไป) เป็นการน้อมจิตสู่ความดับไม่เหลือแห่งตัวตน

เมื่อทำจนคุ้นเคย ก็นำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เมื่อใดที่ตาเห็นรูป หรือหูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้สัมผัส หรือจิตนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ขึ้นมา ก็ให้มีสติเท่าทันทุกคราวที่ "ตัวกู" เกิดขึ้น

นั่นคือ เมื่อเห็น ก็สักว่าเห็น ไม่มี "ตัวกู" ผู้เห็น เมื่อโกรธ ก็เห็นความโกรธเกิดขึ้น ไม่มี "ตัวกู" ผู้โกรธ เป็นต้น การปฏิบัติดังกล่าวเป็นไปเพื่อดับ "ตัวกู" ไม่ให้เหลือ ซึ่งก็คือ ทำให้ตัวกูตายไปก่อนที่ร่างกายจะหมดลม หากทำได้เช่นนั้นความตายก็ไม่น่ากลัวอีกต่อไป หรือกล่าวอย่างถึงที่สุด ความตายก็ไม่มีด้วยซ้ำ เพราะไม่มีผู้ตายตั้งแต่แรก ดังนั้น จึงเท่ากับเป็นวิธีเอาชนะความตายอย่างแท้จริง

แต่ ถึงแม้ตัวกูจะไม่ตายไปอย่างสิ้นเชิง ยังมีความยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกูอยู่ เมื่อจวนเจียนจะตาย "ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ" ได้แนะนำให้น้อมจิตสู่ความดับไม่เหลือเช่นเดียวกัน

นั่นคือละวางความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวงว่าเป็นตัวกูของกู วิธีการนี้ท่านเปรียบเสมือน "ตกกระไดแล้วพลอยกระโจน" กล่าวคือ เมื่อร่างกายทนอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว จิตก็ควรกระโจนตามไปด้วยกัน ไม่ห่วงหาอาลัยหรือหวังอะไรอย่างใดอีกต่อไป ไม่คิดจะเกิดที่ไหนหรือกลับมาเกิดใหม่อีกต่อไป

นาที สุดท้ายของชีวิตเป็นโอกาสสำคัญยิ่งที่จิตจะปล่อยวางตัวกูเพื่อหลุดพ้นจาก ความทุกข์อย่างสิ้นเชิง จึงนับว่าเป็น "นาทีทอง" อย่างแท้จริง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2010, 00:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถือดีมาแบ่งปัน
100 ข้อคิดพินิจธรรม เพื่อขยับชีวิตดีๆ รับพลังปีเสือ 53
100 ข้อคิดพินิจธรรม เพื่อขยับชีวิตดีๆ รับพลังปีเสือ 53






๑. จงทำดี อย่าหวังค่าตอบแทน ถึงแม้จะเป็นเพียงคำสรรเสริญก็ตาม



๒. จงทำดี ให้มันดี ถึงแม้ผลงานออกมาไม่ดี ก็ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว



๓. จงทำดี แต่อย่าอวดดี เพราะทุกคนก็มีดีไม่เหมือนกัน



๔. อุปสรรคมักจะเกิดขึ้นในขณะที่กำลังทำความดี ดีเหลือเกินหนี้สินเก่าจะได้หมดไป



๕. อุปสรรคมักจะไม่เกิดขึ้นในขณะกำลังทำความชั่ว เพราะเป็นทางกู้หนี้สินใหม่เข้ามาแทน



๖. ทุก ๆ คนปรารถนาแต่สิ่งที่ดี ๆ แต่ไม่รู้จักการทำความดี



๗. ควรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ อย่าพยายามแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ



๘. คนโง่ไม่มีความพยายามที่จะเข้าใจอะไรได้เลย ได้แต่เอะอะโวยวายว่า ...ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไม... ? ถึงต้องเป็นเรา ทำไม ...ทำไม ...



๙. ผู้ฉลาดในธรรม ยอมรับว่า ...สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว... ไม่มีอะไรที่น่าตกใจเลย เพราะเป็นเรื่องธรรมดา



๑๐. ชีวิตที่ไม่ขาดทุน คือการไม่เคยทำความชั่วเลย



๑๑. เพราะฉะนั้นคนเราเจอทั้งสุขและทุกข์ เพราะว่าทำทั้งดี ทำทั้งชั่ว



๑๒. การตามใจตัวเองอยู่เสมอ เป็นทางตันในการดำเนินชีวิต



๑๓. การขัดใจตัวเอง ก็คือการขัดเกลาหนทางให้ราบเรียบ



๑๔. ถ้าหากเราอยากให้คนอื่นมาเข้าใจหรือเอาใจในตัวเรา เหมือนกับว่า เรายังเป็นเด็กไร้เดียงสาไม่รู้จักเติบโตเลย



๑๕. เราพยายามที่จะเข้าใจคนอื่น มากกว่าที่จะให้คนอื่นมาเข้าใจ ตอนนี้ เรากำลังจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว



๑๖. หลาย ๆ ชีวิต เดินสวนทางกันไปมาอยู่ในขณะนี้ มีทางดำเนินชีวิตไม่เหมือน และก็มีอุปสรรคที่ไม่เหมือนกัน



๑๗. เราอย่าเข้าใจว่า มีความทุกข์มากกว่าคนอื่น คนอื่นมีความทุกข์มากกว่าเราก็ยังมี



๑๘. การร้องไห้เป็นการแสแสร้งที่แบบเนียนเหลือเกินในวันนี้ เพราะพรุ่งนี้เราจะร้องเพลงก็ได้



๑๙. เพราะฉะนั้น เวลาเรามีความทุกข์ ก็อย่าเข้าใจว่า เรามีความทุกข์ เวลาเรามีความสุข ก็อย่าเข้าใจว่า เรามีความสุข ไม่เช่นนั้นเราต้องเป็นคนบ้า ร้องไห้บ้าง ร้องเพลงบ้าง ตามประสาคนบ้า



๒๐. คนอื่นจะให้ได้ดังใจเรานั้น ทุกอย่างไม่มีเลย เพียงแต่เรายอมรับเขา อยู่ในฐานะใดฐานะหนึ่งเท่านั้น

รูปภาพ

๒๑. แม้แต่ตัวของเราเองก็ยังไม่ได้ดังใจเรา แล้วคนอื่นจะให้ได้ดังใจเรานั้น เป็นอันไม่มี



๒๒. เราไม่ได้ดังใจเขา จะให้เขาได้ดังใจเราอย่างไร



๒๓. ปรารถนาสิ่งใด อย่าพึงดีใจไว้ล่วงหน้า พลาดหวังสิ่งใด อย่าพึงเสียใจตามหลัง



๒๔. ทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นเช่นนั้นเอง



๒๕. หากยึดถือมาก ให้ความสำคัญมันมาก ทุกข์มาก



๒๖. หากยึดถือน้อย ให้ความสำคัญมันน้อย ทุกข์น้อย



๒๗. ยินดีไปตามความอยาก คือความมักมากไม่มีสิ้นสุด



๒๘. แท้จริง ผัวไม่มี เมียไม่มี ลูกไม่มี ทรัพย์สมบัติก็ไม่มี แต่ความยึดมั่นด้วยความลุ่มหลงอย่างหนาแน่นว่าเรามี



๒๙. สักวันหนึ่ง เราคงจะไม่มีอะไรสักอย่างเลย ถึงวันนั้น เราทำใจได้ไหม ?



๓๐. การเกิดขึ้น เพื่อเริ่มต้นไปสู่ความดับลง ท่านจะยึดถือ หรือไม่ยึด นั้นมันเป็นเรื่องของท่าน



๓๑. อุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่น กับความรับผิดชอบ มันคนละอย่างกัน



๓๒. วันนี้ต้องดีกว่าวานนี้ พรุ่งนี้จะต้องดีกว่าวันนี้



๓๓. ทำดีในวันนี้ พรุ่งนี้จะดีของมันเอง



๓๔. คนโง่จะเสียใจ ร้องไห้ตลอดวัน โดยไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย



๓๕. ส่วนคนฉลาด จะรีบแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เท่าที่จะทำได้



๓๖. เรารักในสิ่งใด จะต้องจากในสิ่งนั้น ช้าหรือเร็วมันอีกเรื่องหนึ่ง



๓๗. ถ้าผัวตายก่อนเมีย เมียจะต้องเสียใจ ถ้าเมียตายก่อนผัว ผัวจะต้องเสียใจ ทำอย่างไร จึงจะไม่เสียใจ



๓๘. ถ้าไม่อยากเสียใจ เมื่อจากกันไป ก็อย่าดีใจเมื่อตอนได้มา



๓๙. ท่านแน่ใจหรือว่าท่านเป็นพระเอกหรือนางเอกตลอดนิรันดรกาล



๔๐. ใช่แน่นอน ! ท่านเป็นตัวเอกในเรื่องของท่าน แต่ท่านอาจจะเป็นตัวสำรองในเรื่องของผู้อื่น

ถือดีมาแบ่งปัน 100 ข้อคิดพินิจธรรม เพื่อขยับชีวิตดีๆ รับพลังปีเสือ 53






ถือดีมาแบ่งปัน



100 ข้อคิดพินิจธรรม เพื่อขยับชีวิตดีๆ รับพลังปีเสือ 53











ได้รับเมล์ดีๆ “ 100 ข้อคิดพินิจธรรม” จากเพื่อนททท. อวยพรปีใหม่ 2553 มีมุมมอง แง่คิด ช่วยสะกิดสะเกาสติได้ดี ไม่ใช่มนต์คาถาแต่อ่านแล้วเหมือนใช้กระดาษทรายมาขัดความหยาบในใจ ในหัวคิดให้เบาบางลงแต่สะอึกได้ เป็นทั้งธรรมะ คำสอนก็ได้ เป็นทั้งข้อคิดให้กำลังใจ เป็นไกด์นำทางไปสู่ความสว่าง และเพื่อนดีๆ เหมาะพึ่งพาสำหรับการเริ่มต้นตั้งตัวใหม่ เพื่อรับพลังสิ่งดีๆ จะเข้ามาในปีเสือ 2553 เชื่อว่าหลายคนทำได้แล้ว 60-70 ข้อได้ดีแก่ตัวเองแน่นอน ถ้าเพิ่มเป็น 80-90 ข้อ ก็จะยิ่งดีกว้าง ดีไกล ดีขึ้น เพราะครอบคลุมทุกเรื่องของชีวิตจิตใจเพื่อเป็นหลักในการใช้ชีวิตประจำวัน ทำแล้วยังกุศลคนรอบข้าง รอบตัว ครอบครัว สังคม ได้ตามไปด้วย ...พูดไปจะหาว่าเป็นของ วิเศษ ..ซะงั้น ไม่ได้ช่วยให้ถูกหวยรวยเบอร์ แต่เป็นพลังเสริมสร้างจิตใจเพื่อสร้างแรงต้านและแรงหนุนส่งข้ามผ่านวิกฤติ...โดยใจไม่ช้ำ สติยังตื่นครบ และปัญญาสว่าง








100 ข้อคิดพินิจธรรม เพื่อขยับชีวิตดีๆ รับพลังปีเสือ 53






๑. จงทำดี อย่าหวังค่าตอบแทน ถึงแม้จะเป็นเพียงคำสรรเสริญก็ตาม



๒. จงทำดี ให้มันดี ถึงแม้ผลงานออกมาไม่ดี ก็ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว



๓. จงทำดี แต่อย่าอวดดี เพราะทุกคนก็มีดีไม่เหมือนกัน



๔. อุปสรรคมักจะเกิดขึ้นในขณะที่กำลังทำความดี ดีเหลือเกินหนี้สินเก่าจะได้หมดไป



๕. อุปสรรคมักจะไม่เกิดขึ้นในขณะกำลังทำความชั่ว เพราะเป็นทางกู้หนี้สินใหม่เข้ามาแทน



๖. ทุก ๆ คนปรารถนาแต่สิ่งที่ดี ๆ แต่ไม่รู้จักการทำความดี



๗. ควรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ อย่าพยายามแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ



๘. คนโง่ไม่มีความพยายามที่จะเข้าใจอะไรได้เลย ได้แต่เอะอะโวยวายว่า ...ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไม... ? ถึงต้องเป็นเรา ทำไม ...ทำไม ...



๙. ผู้ฉลาดในธรรม ยอมรับว่า ...สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว... ไม่มีอะไรที่น่าตกใจเลย เพราะเป็นเรื่องธรรมดา



๑๐. ชีวิตที่ไม่ขาดทุน คือการไม่เคยทำความชั่วเลย



๑๑. เพราะฉะนั้นคนเราเจอทั้งสุขและทุกข์ เพราะว่าทำทั้งดี ทำทั้งชั่ว



๑๒. การตามใจตัวเองอยู่เสมอ เป็นทางตันในการดำเนินชีวิต



๑๓. การขัดใจตัวเอง ก็คือการขัดเกลาหนทางให้ราบเรียบ



๑๔. ถ้าหากเราอยากให้คนอื่นมาเข้าใจหรือเอาใจในตัวเรา เหมือนกับว่า เรายังเป็นเด็กไร้เดียงสาไม่รู้จักเติบโตเลย



๑๕. เราพยายามที่จะเข้าใจคนอื่น มากกว่าที่จะให้คนอื่นมาเข้าใจ ตอนนี้ เรากำลังจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว



๑๖. หลาย ๆ ชีวิต เดินสวนทางกันไปมาอยู่ในขณะนี้ มีทางดำเนินชีวิตไม่เหมือน และก็มีอุปสรรคที่ไม่เหมือนกัน



๑๗. เราอย่าเข้าใจว่า มีความทุกข์มากกว่าคนอื่น คนอื่นมีความทุกข์มากกว่าเราก็ยังมี



๑๘. การร้องไห้เป็นการแสแสร้งที่แบบเนียนเหลือเกินในวันนี้ เพราะพรุ่งนี้เราจะร้องเพลงก็ได้



๑๙. เพราะฉะนั้น เวลาเรามีความทุกข์ ก็อย่าเข้าใจว่า เรามีความทุกข์ เวลาเรามีความสุข ก็อย่าเข้าใจว่า เรามีความสุข ไม่เช่นนั้นเราต้องเป็นคนบ้า ร้องไห้บ้าง ร้องเพลงบ้าง ตามประสาคนบ้า



๒๐. คนอื่นจะให้ได้ดังใจเรานั้น ทุกอย่างไม่มีเลย เพียงแต่เรายอมรับเขา อยู่ในฐานะใดฐานะหนึ่งเท่านั้น









๒๑. แม้แต่ตัวของเราเองก็ยังไม่ได้ดังใจเรา แล้วคนอื่นจะให้ได้ดังใจเรานั้น เป็นอันไม่มี



๒๒. เราไม่ได้ดังใจเขา จะให้เขาได้ดังใจเราอย่างไร



๒๓. ปรารถนาสิ่งใด อย่าพึงดีใจไว้ล่วงหน้า พลาดหวังสิ่งใด อย่าพึงเสียใจตามหลัง



๒๔. ทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นเช่นนั้นเอง



๒๕. หากยึดถือมาก ให้ความสำคัญมันมาก ทุกข์มาก



๒๖. หากยึดถือน้อย ให้ความสำคัญมันน้อย ทุกข์น้อย



๒๗. ยินดีไปตามความอยาก คือความมักมากไม่มีสิ้นสุด



๒๘. แท้จริง ผัวไม่มี เมียไม่มี ลูกไม่มี ทรัพย์สมบัติก็ไม่มี แต่ความยึดมั่นด้วยความลุ่มหลงอย่างหนาแน่นว่าเรามี



๒๙. สักวันหนึ่ง เราคงจะไม่มีอะไรสักอย่างเลย ถึงวันนั้น เราทำใจได้ไหม ?



๓๐. การเกิดขึ้น เพื่อเริ่มต้นไปสู่ความดับลง ท่านจะยึดถือ หรือไม่ยึด นั้นมันเป็นเรื่องของท่าน



๓๑. อุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่น กับความรับผิดชอบ มันคนละอย่างกัน



๓๒. วันนี้ต้องดีกว่าวานนี้ พรุ่งนี้จะต้องดีกว่าวันนี้



๓๓. ทำดีในวันนี้ พรุ่งนี้จะดีของมันเอง



๓๔. คนโง่จะเสียใจ ร้องไห้ตลอดวัน โดยไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย



๓๕. ส่วนคนฉลาด จะรีบแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เท่าที่จะทำได้



๓๖. เรารักในสิ่งใด จะต้องจากในสิ่งนั้น ช้าหรือเร็วมันอีกเรื่องหนึ่ง



๓๗. ถ้าผัวตายก่อนเมีย เมียจะต้องเสียใจ ถ้าเมียตายก่อนผัว ผัวจะต้องเสียใจ ทำอย่างไร จึงจะไม่เสียใจ



๓๘. ถ้าไม่อยากเสียใจ เมื่อจากกันไป ก็อย่าดีใจเมื่อตอนได้มา



๓๙. ท่านแน่ใจหรือว่าท่านเป็นพระเอกหรือนางเอกตลอดนิรันดรกาล



๔๐. ใช่แน่นอน ! ท่านเป็นตัวเอกในเรื่องของท่าน แต่ท่านอาจจะเป็นตัวสำรองในเรื่องของผู้อื่น







๔๑. เรายืนอยู่บนสนามชีวิต ต้องต่อสู้อุปสรรคทุกรูปแบบ จนกว่าจะปิดฉากละครแห่งชีวิต ด้วยการตายลงไป



๔๒. บทเรียนในตำราเรียน กับบทเรียนในชีวิตจริง มันคงละอย่างกัน



๔๓. ไม่มีตำราเล่มไหน ที่จะสอนเราทุกอย่างก้าว ว่าวันนี้เราจะต้องเจออะไรบ้าง และจะต้องแก้อย่างไร ?



๔๔. เสียเงินทอง เสียสิ่งของ เสียเวลา และก็เสียใจ เป็นการจ่ายค่าเทอมชีวิต



๔๕. คนฉลาดจะจ่ายค่าเทอมที่ถูกที่สุด ส่วนคนโง่จะจ่ายค่าเทอมที่แพงกว่ากัน



๔๖. ที่จริงคนตาบอด พิกลพิการเขาน่าจะเป็นทุกข์มากกว่าเรา ทำไม ? เขายังยิ้มแย้มแจ่มใสได้



๔๗. ทำไมเราจึงทุกข์กว่าคนพิกลพิการเล่า ?



๔๘. กายพิการ แต่ใจไม่พิการ ใจพิการ แต่กายไม่พิการ อย่างไหนดีกว่ากัน ?



๔๙. เราสามารถตัดสินหนทางดำเนินชีวิตของเราเองได้ ดีหรือชั่ว อยู่ที่ตัวของเรา



๕๐. คนอื่นสามารถบังคับเราเป็นเพียงบางเวลา ส่วนใจของเรานั้น ไม่มีใครสามารถบังคับได้นอกจากตัวของเราเท่านั้น



๕๑. ถึงแม้งานจะสับสนยุ่งยากเหลือเกิน หากใจมีอิสระแล้ว ไม่เห็นจะยุ่งยากตรงไหน



๕๒. ทุกคนเกิดมาเพื่อทำหน้าที่ ตายเพื่อทำหน้าที่ ดีกว่าตายเพราะไม่ทำหน้าที่



๕๓. รับผิดชอบตัวเอง รับผิดชอบเพื่อนที่ดี และรับผิดชอบสังคม



๕๔. วันนี้เราด่าเขา วันหน้าเขาต้องด่าเรา ชาตินี้เราฆ่าเขา ชาติหน้าเขาจะต้องฆ่าเราอย่างแน่นอน



๕๕. คนทำบาป เพราะเห็นแก่กิน ไม่ต่างอะไรกับกินอาหารผสมยาพิษอย่างเอร็ดอร่อย กินมากก็มีพิษมาก กินน้อยก็มีพิษน้อย



๕๖. กฎหมายทางโลก คุ้มครองสัตว์บางจำพวกเท่านั้น ส่วนกฎแห่งกรรมทางธรรม คุ้มครองสัตว์ทุกจำพวก



๕๗. กฎระเบียบของทางโลก อนุโลมไปตามความอยาก ส่วนกฎทางธรรมอนุโลมไปตามความเป็นจริง



๕๘. กรรมคือการกระทำให้สัตว์หยาบ และละเอียดประณีตต่างกัน



๕๙. ไม่มีพระเจ้าองค์ใด ที่จะสร้างเรา ไม่มีพระเจ้าองค์ใด ที่จะทำให้เราร่ำรวยได้ ไม่มีพระเจ้าองค์ใด ที่จะทำให้เราเป็นผู้บริสุทธิ์ได้นอกจากตัวของเราเอง



๖๐. คำว่า ...ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว... มากเหลือเกินที่คนได้ยิน น้อยเหลือเกินที่คนรู้จัก


๖๑. เหตุการณ์ความเป็นไปของทางโลก ไม่มีสิ้นสุด เราไม่สามารถจะติดตามได้ตลอดกาลเพราะอายุยังมีที่สิ้นสุด เราจะบ้ากับมันหรือไม่บ้า มันก็เป็นไปอยู่อย่างนั้น



๖๒. เพื่อมิให้เสียเวลา จงกลับมามองดูจิตใจของตนเอง ทำไมถึงซอกแซกสับส่ายถึงขนาดนั้น



๖๓. มันเคยตัว เพราะเราให้โอกาสมันมากเกินไป เพราะรักมันมาก จึงไม่กล้าขัดใจ นาน ๆ ไปอาจกลายเป็นโรควิกลจริตทางด้านจิตใจ



๖๔. การเอาชนะใจตนเอง ไม่ให้ไหลสู่อำนาจฝ่ายต่ำ เป็นสิ่งประเสริฐแท้



๖๕. วันนี้ เราตามใจของตนเอง ด้วยอำนาจแห่งความอยาก วันพรุ่งนี้ เราต้องหมดโอกาสที่จะสบายใจ



๖๖. วันนี้ เราไม่ตามใจตนเอง พรุ่งนี้ เราจะอยู่อย่างสบาย



๖๗. ยิ่งแก่ ยิ่งงก เพราะเขางกมาตั้งแต่ยังไม่แก่ ยิ่งแก่ ยิ่งดี เพราะเขาดีตั้งแต่ยังไม่แก่



๖๘. การวิ่งไปตามความอยาก คือการฆ่าตนเองด้วยความพอใจ



๖๙. ศัตรูมักมาในรูปรอยแห่งความเป็นมิตร ความทุกข์มักมาในรูปรอยแห่งความสุข



๗๐. น้ำหวานผสมยาพิษ คนโง่จะชอบดื่ม เพราะไม่รู้ ยาเสพติด ทำลายร่างกายตนเอง คนโง่ก็จะพากันเสพทั้งที่รู้



๗๑. ความสบายกายและสบายจิต จะหาซื้อด้วยเงินแสนเงินล้านไม่มีเลย ไม่จำเป็นจะต้องซื้อด้วยเงินและทอง



๗๒. คนที่มีศรัทธา มีคุณค่ายิ่งกว่าเงินแสนเงินล้าน

๗๓. เมื่อมีศรัทธา ควรมีปัญญาประกอบด้วย ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นคนงมงาย ขาดเหตุผล


๗๔. คนนิยมสร้างพุทธ ที่เป็นรูป คือพุทธรูป แต่ไม่นิยมสร้างพุทธ ที่เป็นนาม คือสภาวธรรมที่รู้แจ้ง รู้จริง ทำให้รู้จักพุทธะ
๗๕. ความจริงต้องมีให้พิสูจน์ จึงจะถือว่าจริงแน่นอน คนโง่จะไม่เชื่อตั้งแต่เริ่มต้น จึงไม่พบกับความจริงในชีวิต มีแต่ความงมงายในชีวิต

๗๖. คนใดถือสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระ ถือสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระ คนนั้นมีทางดำเนินในทางที่ผิด เขาจะไม่พบแก่นสารชีวิตที่แท้จริงเลย
๗๗. ผู้ที่หลงเปลือกนอก ย่อมไม่เห็นแก่นใน ผู้ถึงแก่นใน ย่อมเข้าใจเปลือกนอก

๗๘. ความสนุกสนานมัวเมาประมาทในชีวิต ไม่ใช่หนทางดำเนินชีวิตที่แท้จริง มันเป็นหนทางที่ทำให้เสียเวลา


๗๙. หากคนให้ความสำคัญกับการกิน เล่น เสพกาม และนอน มากกว่าคุณธรรม เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานจะไม่ดีกว่ากันหรือ ?เพราะว่าไม่มีกฎหมายห้าม

๘๐. หากจิตใจเต็มด้วยความโลภ โกรธ หลง ช่องว่างในหัวใจไม่มี มีแต่ความอึดอัด

ถือดีมาแบ่งปัน 100 ข้อคิดพินิจธรรม เพื่อขยับชีวิตดีๆ รับพลังปีเสือ 53






ถือดีมาแบ่งปัน



100 ข้อคิดพินิจธรรม เพื่อขยับชีวิตดีๆ รับพลังปีเสือ 53











ได้รับเมล์ดีๆ “ 100 ข้อคิดพินิจธรรม” จากเพื่อนททท. อวยพรปีใหม่ 2553 มีมุมมอง แง่คิด ช่วยสะกิดสะเกาสติได้ดี ไม่ใช่มนต์คาถาแต่อ่านแล้วเหมือนใช้กระดาษทรายมาขัดความหยาบในใจ ในหัวคิดให้เบาบางลงแต่สะอึกได้ เป็นทั้งธรรมะ คำสอนก็ได้ เป็นทั้งข้อคิดให้กำลังใจ เป็นไกด์นำทางไปสู่ความสว่าง และเพื่อนดีๆ เหมาะพึ่งพาสำหรับการเริ่มต้นตั้งตัวใหม่ เพื่อรับพลังสิ่งดีๆ จะเข้ามาในปีเสือ 2553 เชื่อว่าหลายคนทำได้แล้ว 60-70 ข้อได้ดีแก่ตัวเองแน่นอน ถ้าเพิ่มเป็น 80-90 ข้อ ก็จะยิ่งดีกว้าง ดีไกล ดีขึ้น เพราะครอบคลุมทุกเรื่องของชีวิตจิตใจเพื่อเป็นหลักในการใช้ชีวิตประจำวัน ทำแล้วยังกุศลคนรอบข้าง รอบตัว ครอบครัว สังคม ได้ตามไปด้วย ...พูดไปจะหาว่าเป็นของ วิเศษ ..ซะงั้น ไม่ได้ช่วยให้ถูกหวยรวยเบอร์ แต่เป็นพลังเสริมสร้างจิตใจเพื่อสร้างแรงต้านและแรงหนุนส่งข้ามผ่านวิกฤติ...โดยใจไม่ช้ำ สติยังตื่นครบ และปัญญาสว่าง








100 ข้อคิดพินิจธรรม เพื่อขยับชีวิตดีๆ รับพลังปีเสือ 53






๑. จงทำดี อย่าหวังค่าตอบแทน ถึงแม้จะเป็นเพียงคำสรรเสริญก็ตาม



๒. จงทำดี ให้มันดี ถึงแม้ผลงานออกมาไม่ดี ก็ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว



๓. จงทำดี แต่อย่าอวดดี เพราะทุกคนก็มีดีไม่เหมือนกัน



๔. อุปสรรคมักจะเกิดขึ้นในขณะที่กำลังทำความดี ดีเหลือเกินหนี้สินเก่าจะได้หมดไป



๕. อุปสรรคมักจะไม่เกิดขึ้นในขณะกำลังทำความชั่ว เพราะเป็นทางกู้หนี้สินใหม่เข้ามาแทน



๖. ทุก ๆ คนปรารถนาแต่สิ่งที่ดี ๆ แต่ไม่รู้จักการทำความดี



๗. ควรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ อย่าพยายามแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ



๘. คนโง่ไม่มีความพยายามที่จะเข้าใจอะไรได้เลย ได้แต่เอะอะโวยวายว่า ...ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไม... ? ถึงต้องเป็นเรา ทำไม ...ทำไม ...



๙. ผู้ฉลาดในธรรม ยอมรับว่า ...สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว... ไม่มีอะไรที่น่าตกใจเลย เพราะเป็นเรื่องธรรมดา



๑๐. ชีวิตที่ไม่ขาดทุน คือการไม่เคยทำความชั่วเลย



๑๑. เพราะฉะนั้นคนเราเจอทั้งสุขและทุกข์ เพราะว่าทำทั้งดี ทำทั้งชั่ว



๑๒. การตามใจตัวเองอยู่เสมอ เป็นทางตันในการดำเนินชีวิต



๑๓. การขัดใจตัวเอง ก็คือการขัดเกลาหนทางให้ราบเรียบ



๑๔. ถ้าหากเราอยากให้คนอื่นมาเข้าใจหรือเอาใจในตัวเรา เหมือนกับว่า เรายังเป็นเด็กไร้เดียงสาไม่รู้จักเติบโตเลย



๑๕. เราพยายามที่จะเข้าใจคนอื่น มากกว่าที่จะให้คนอื่นมาเข้าใจ ตอนนี้ เรากำลังจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว



๑๖. หลาย ๆ ชีวิต เดินสวนทางกันไปมาอยู่ในขณะนี้ มีทางดำเนินชีวิตไม่เหมือน และก็มีอุปสรรคที่ไม่เหมือนกัน



๑๗. เราอย่าเข้าใจว่า มีความทุกข์มากกว่าคนอื่น คนอื่นมีความทุกข์มากกว่าเราก็ยังมี



๑๘. การร้องไห้เป็นการแสแสร้งที่แบบเนียนเหลือเกินในวันนี้ เพราะพรุ่งนี้เราจะร้องเพลงก็ได้



๑๙. เพราะฉะนั้น เวลาเรามีความทุกข์ ก็อย่าเข้าใจว่า เรามีความทุกข์ เวลาเรามีความสุข ก็อย่าเข้าใจว่า เรามีความสุข ไม่เช่นนั้นเราต้องเป็นคนบ้า ร้องไห้บ้าง ร้องเพลงบ้าง ตามประสาคนบ้า



๒๐. คนอื่นจะให้ได้ดังใจเรานั้น ทุกอย่างไม่มีเลย เพียงแต่เรายอมรับเขา อยู่ในฐานะใดฐานะหนึ่งเท่านั้น









๒๑. แม้แต่ตัวของเราเองก็ยังไม่ได้ดังใจเรา แล้วคนอื่นจะให้ได้ดังใจเรานั้น เป็นอันไม่มี



๒๒. เราไม่ได้ดังใจเขา จะให้เขาได้ดังใจเราอย่างไร



๒๓. ปรารถนาสิ่งใด อย่าพึงดีใจไว้ล่วงหน้า พลาดหวังสิ่งใด อย่าพึงเสียใจตามหลัง



๒๔. ทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นเช่นนั้นเอง



๒๕. หากยึดถือมาก ให้ความสำคัญมันมาก ทุกข์มาก



๒๖. หากยึดถือน้อย ให้ความสำคัญมันน้อย ทุกข์น้อย



๒๗. ยินดีไปตามความอยาก คือความมักมากไม่มีสิ้นสุด



๒๘. แท้จริง ผัวไม่มี เมียไม่มี ลูกไม่มี ทรัพย์สมบัติก็ไม่มี แต่ความยึดมั่นด้วยความลุ่มหลงอย่างหนาแน่นว่าเรามี



๒๙. สักวันหนึ่ง เราคงจะไม่มีอะไรสักอย่างเลย ถึงวันนั้น เราทำใจได้ไหม ?



๓๐. การเกิดขึ้น เพื่อเริ่มต้นไปสู่ความดับลง ท่านจะยึดถือ หรือไม่ยึด นั้นมันเป็นเรื่องของท่าน



๓๑. อุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่น กับความรับผิดชอบ มันคนละอย่างกัน



๓๒. วันนี้ต้องดีกว่าวานนี้ พรุ่งนี้จะต้องดีกว่าวันนี้



๓๓. ทำดีในวันนี้ พรุ่งนี้จะดีของมันเอง



๓๔. คนโง่จะเสียใจ ร้องไห้ตลอดวัน โดยไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย



๓๕. ส่วนคนฉลาด จะรีบแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เท่าที่จะทำได้



๓๖. เรารักในสิ่งใด จะต้องจากในสิ่งนั้น ช้าหรือเร็วมันอีกเรื่องหนึ่ง



๓๗. ถ้าผัวตายก่อนเมีย เมียจะต้องเสียใจ ถ้าเมียตายก่อนผัว ผัวจะต้องเสียใจ ทำอย่างไร จึงจะไม่เสียใจ



๓๘. ถ้าไม่อยากเสียใจ เมื่อจากกันไป ก็อย่าดีใจเมื่อตอนได้มา



๓๙. ท่านแน่ใจหรือว่าท่านเป็นพระเอกหรือนางเอกตลอดนิรันดรกาล



๔๐. ใช่แน่นอน ! ท่านเป็นตัวเอกในเรื่องของท่าน แต่ท่านอาจจะเป็นตัวสำรองในเรื่องของผู้อื่น







๔๑. เรายืนอยู่บนสนามชีวิต ต้องต่อสู้อุปสรรคทุกรูปแบบ จนกว่าจะปิดฉากละครแห่งชีวิต ด้วยการตายลงไป



๔๒. บทเรียนในตำราเรียน กับบทเรียนในชีวิตจริง มันคงละอย่างกัน



๔๓. ไม่มีตำราเล่มไหน ที่จะสอนเราทุกอย่างก้าว ว่าวันนี้เราจะต้องเจออะไรบ้าง และจะต้องแก้อย่างไร ?



๔๔. เสียเงินทอง เสียสิ่งของ เสียเวลา และก็เสียใจ เป็นการจ่ายค่าเทอมชีวิต



๔๕. คนฉลาดจะจ่ายค่าเทอมที่ถูกที่สุด ส่วนคนโง่จะจ่ายค่าเทอมที่แพงกว่ากัน



๔๖. ที่จริงคนตาบอด พิกลพิการเขาน่าจะเป็นทุกข์มากกว่าเรา ทำไม ? เขายังยิ้มแย้มแจ่มใสได้



๔๗. ทำไมเราจึงทุกข์กว่าคนพิกลพิการเล่า ?



๔๘. กายพิการ แต่ใจไม่พิการ ใจพิการ แต่กายไม่พิการ อย่างไหนดีกว่ากัน ?



๔๙. เราสามารถตัดสินหนทางดำเนินชีวิตของเราเองได้ ดีหรือชั่ว อยู่ที่ตัวของเรา



๕๐. คนอื่นสามารถบังคับเราเป็นเพียงบางเวลา ส่วนใจของเรานั้น ไม่มีใครสามารถบังคับได้นอกจากตัวของเราเท่านั้น



๕๑. ถึงแม้งานจะสับสนยุ่งยากเหลือเกิน หากใจมีอิสระแล้ว ไม่เห็นจะยุ่งยากตรงไหน



๕๒. ทุกคนเกิดมาเพื่อทำหน้าที่ ตายเพื่อทำหน้าที่ ดีกว่าตายเพราะไม่ทำหน้าที่



๕๓. รับผิดชอบตัวเอง รับผิดชอบเพื่อนที่ดี และรับผิดชอบสังคม



๕๔. วันนี้เราด่าเขา วันหน้าเขาต้องด่าเรา ชาตินี้เราฆ่าเขา ชาติหน้าเขาจะต้องฆ่าเราอย่างแน่นอน



๕๕. คนทำบาป เพราะเห็นแก่กิน ไม่ต่างอะไรกับกินอาหารผสมยาพิษอย่างเอร็ดอร่อย กินมากก็มีพิษมาก กินน้อยก็มีพิษน้อย



๕๖. กฎหมายทางโลก คุ้มครองสัตว์บางจำพวกเท่านั้น ส่วนกฎแห่งกรรมทางธรรม คุ้มครองสัตว์ทุกจำพวก



๕๗. กฎระเบียบของทางโลก อนุโลมไปตามความอยาก ส่วนกฎทางธรรมอนุโลมไปตามความเป็นจริง



๕๘. กรรมคือการกระทำให้สัตว์หยาบ และละเอียดประณีตต่างกัน



๕๙. ไม่มีพระเจ้าองค์ใด ที่จะสร้างเรา ไม่มีพระเจ้าองค์ใด ที่จะทำให้เราร่ำรวยได้ ไม่มีพระเจ้าองค์ใด ที่จะทำให้เราเป็นผู้บริสุทธิ์ได้นอกจากตัวของเราเอง



๖๐. คำว่า ...ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว... มากเหลือเกินที่คนได้ยิน น้อยเหลือเกินที่คนรู้จัก





๖๑. เหตุการณ์ความเป็นไปของทางโลก ไม่มีสิ้นสุด เราไม่สามารถจะติดตามได้ตลอดกาลเพราะอายุยังมีที่สิ้นสุด เราจะบ้ากับมันหรือไม่บ้า มันก็เป็นไปอยู่อย่างนั้น



๖๒. เพื่อมิให้เสียเวลา จงกลับมามองดูจิตใจของตนเอง ทำไมถึงซอกแซกสับส่ายถึงขนาดนั้น



๖๓. มันเคยตัว เพราะเราให้โอกาสมันมากเกินไป เพราะรักมันมาก จึงไม่กล้าขัดใจ นาน ๆ ไปอาจกลายเป็นโรควิกลจริตทางด้านจิตใจ



๖๔. การเอาชนะใจตนเอง ไม่ให้ไหลสู่อำนาจฝ่ายต่ำ เป็นสิ่งประเสริฐแท้



๖๕. วันนี้ เราตามใจของตนเอง ด้วยอำนาจแห่งความอยาก วันพรุ่งนี้ เราต้องหมดโอกาสที่จะสบายใจ



๖๖. วันนี้ เราไม่ตามใจตนเอง พรุ่งนี้ เราจะอยู่อย่างสบาย



๖๗. ยิ่งแก่ ยิ่งงก เพราะเขางกมาตั้งแต่ยังไม่แก่ ยิ่งแก่ ยิ่งดี เพราะเขาดีตั้งแต่ยังไม่แก่



๖๘. การวิ่งไปตามความอยาก คือการฆ่าตนเองด้วยความพอใจ



๖๙. ศัตรูมักมาในรูปรอยแห่งความเป็นมิตร ความทุกข์มักมาในรูปรอยแห่งความสุข



๗๐. น้ำหวานผสมยาพิษ คนโง่จะชอบดื่ม เพราะไม่รู้ ยาเสพติด ทำลายร่างกายตนเอง คนโง่ก็จะพากันเสพทั้งที่รู้



๗๑. ความสบายกายและสบายจิต จะหาซื้อด้วยเงินแสนเงินล้านไม่มีเลย ไม่จำเป็นจะต้องซื้อด้วยเงินและทอง



๗๒. คนที่มีศรัทธา มีคุณค่ายิ่งกว่าเงินแสนเงินล้าน

๗๓. เมื่อมีศรัทธา ควรมีปัญญาประกอบด้วย ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นคนงมงาย ขาดเหตุผล


๗๔. คนนิยมสร้างพุทธ ที่เป็นรูป คือพุทธรูป แต่ไม่นิยมสร้างพุทธ ที่เป็นนาม คือสภาวธรรมที่รู้แจ้ง รู้จริง ทำให้รู้จักพุทธะ
๗๕. ความจริงต้องมีให้พิสูจน์ จึงจะถือว่าจริงแน่นอน คนโง่จะไม่เชื่อตั้งแต่เริ่มต้น จึงไม่พบกับความจริงในชีวิต มีแต่ความงมงายในชีวิต

๗๖. คนใดถือสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระ ถือสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระ คนนั้นมีทางดำเนินในทางที่ผิด เขาจะไม่พบแก่นสารชีวิตที่แท้จริงเลย
๗๗. ผู้ที่หลงเปลือกนอก ย่อมไม่เห็นแก่นใน ผู้ถึงแก่นใน ย่อมเข้าใจเปลือกนอก

๗๘. ความสนุกสนานมัวเมาประมาทในชีวิต ไม่ใช่หนทางดำเนินชีวิตที่แท้จริง มันเป็นหนทางที่ทำให้เสียเวลา


๗๙. หากคนให้ความสำคัญกับการกิน เล่น เสพกาม และนอน มากกว่าคุณธรรม เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานจะไม่ดีกว่ากันหรือ ?เพราะว่าไม่มีกฎหมายห้าม

๘๐. หากจิตใจเต็มด้วยความโลภ โกรธ หลง ช่องว่างในหัวใจไม่มี มีแต่ความอึดอัด







ภาพ : ดอกวาสนา ของคุณอารีย์


๘๑. อาหารที่กินเข้าไปมาก แสนจะอึดอัด แต่มีทางระบายออก



๘๒. ยิ่งความโลภ โกรธ หลง ลดลงมากเท่าไร ความปลอดโปร่ง ยิ่งมีขึ้นมากเท่านั้น



๘๓. แสงสว่างในทางธรรม จุดประกายให้ชีวิต ให้พบแต่ความสดใส



๘๔. ความสุขทางโลก เหมือนกับการเกาขอบปากแผลที่คัน ยิ่งเกายิ่งมัน เวลาหยุดเกา มันแสบมันคัน เพราะเป็นความสุขเกิดจากความเร่าร้อน



๘๕. เมื่อตอนที่อยากได้ ก็เป็นทุกข์ขณะที่แสวงหา ก็เป็นทุกข์ ได้มาแล้วกลัวฉิบหายไป ก็เป็นทุกข์



๘๖. เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็ต้องมี เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ย่อมไม่มี



๘๗. หากมีแล้ว ทำให้มีความสุข ควรมี ถ้าหากมีแล้ว ทำให้มีความทุกข์ ไม่รู้จะมีไว้ทำไม ?



๘๘. ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่เที่ยง เราไปยึดมั่นความไม่เที่ยงนั้นว่าความสุข



๘๙. แม้ความสุขนั้นมันก็ไม่เที่ยง จะไปหวังเอาอะไรอีกเล่า ?



๙๐. พบกันก็เพื่อจากกัน ได้มาก็เพื่อจากไป



๙๑. มองทุกข์ให้เห็นทุกข์ จึงจะมีความสุข



๙๒. ความเบาใจ คลายกังวล ย่อมมีได้ แก่บุคคลผู้เข้าใจธรรมะ



๙๓. ยิ่งเข้าถึงธรรมที่เป็นจริงมากเท่าใด ความเบาสบายใจยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น



๙๔. เพราะความสุขทางโลก ไม่ให้อะไรมากไปกว่าความเพลิดเพลิน มัวเมา ประมาทในชีวิต จนลืมทางธรรม



๙๕. ทางเดิน ๒ ทาง ทางโลก และ ทางธรรม



๙๖. ทางโลก คือการปล่อยใจไปตามความอยากในโลกีย์ ทางธรรม คือการควบคุมใจตนเอง ให้มีธรรมเป็นเครื่องคุ้มครอง



๙๗. ผิดหวังทางโลก ยังมีทางธรรมคุ้มครอง หากคนนั้นรู้จักธรรม



๙๘. ผิดหวังทางโลก อยากทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งตนเอง คนนั้นแหละ ไม่รู้จักธรรม



๙๙. ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ควรยึดถือมั่น



๑๐๐. มันเป็นเช่นนั้นเอง






หมายเหตุ : จาก webmaster Chula-alumni,75945 และ


รูปภาพ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2010, 00:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นห่วงทุ๊กคน ดูไว้นะ

รูปภาพ
รูปภาพ
รูปภาพ
รูปภาพ
รูปภาพ
รูปภาพ
รูปภาพ
รูปภาพ
รูปภาพ
รูปภาพ
รูปภาพ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2010, 00:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


10 วิธีง่ายๆ ใช้ระงับความโกรธ
1.หลีกเลี่ยง
"การหลีกเลี่ยง" กับ "การหลีกหนี" แตกต่างกันนะครับ การหลีกเลี่ยงไม่ได้หมายความว่าคุณขลาดกลัว หรือไม่เป็นลูกผู้ชาย ตรงกันข้าม วิธีนี้กลับเป็นสิ่งที่แสดงวุฒิภาวะในการควบคุมอารมณ์ของคุณต่างหาก คุณอาจจะออกมาเดินเล่น ผ่อนคลาย ประนีประนอม หรือไม่ก็พับงาน-กิจกรรมนั้นไว้ว่ากันวันหลังที่อารมณ์ดีขึ้นแล้ว ต้องจำให้ขึ้นใจนะครับว่า ไม่ใช่การหลีกหนีโดยไม่รับผิดชอบ หรือก่อความเสียหายไว้ให้คนอื่นต้องตามแก้

2. ระบาย

"ระบาย" นะครับ ไม่ใช่ "ระเบิด" และต้องรู้จักเลือกคนที่เราจะระบายด้วยนะ ควรเป็นคนที่เข้าใจ และไว้ใจได้ เพราะขืนไประบายกับคนที่ไม่เข้าใจ และพวกปากประชาสัมพันธ์แทนที่จะระบายจะทำให้คุณสบายใจ สบายหัว การระบายโดยไม่เลือกนิสัย และสันดานของบุคคลที่สาม อาจกลายเป็นการจุดชนวนระเบิดตูมใหญ่ให้คุณดีๆ นี่เอง

3. กิน

มีใครจะปฏิเสธบ้างว่า การกินคือวิธีสร้างสุขอย่างดีวิธีหนึ่งของมนุษย์ โดยเฉพาะการกินอาหารอร่อยถูกปาก คุณเอ๋ย...สุขอย่าบอกใคร ทุกครั้งที่ลิ้นได้รับรสอันโอชะของอาหารจานโปรด เชื่อสิว่าความโกรธจะดับวูบลงราวกับโยนไม้ขีดไฟลงแม่น้ำเลยละ โดยเฉพาะอาหารจำพวกขนมหวาน เพราะมีการพิสูจน์แล้วว่า สามารถดับพิษแห่งความโกรธได้ชะงัด อ้อ...อย่าโกรธบ่อยจนอ้วนก็แล้วกัน

4. ดื่ม

โดยเฉพาะดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ รสซาบซ่า ฉ่ำใจ อาจจะเป็น น้ำเปล่า น้ำผลไม้ น้ำอัดลมเย็นเจี๊ยบสักแก้ว จะซดเฮือกๆ ให้หายโกรธ หรือค่อยๆ จิบละเลียดช้าๆ ก็ไม่ว่ากัน ตราบใดที่ความเย็นยังบรรเทาความร้อนได้ น้ำเย็นก็สามารถบรรเทาความโกรธได้ตราบนั้น ที่สำคัญถ้าคุณระงับความโกรธด้วยแอลกอฮอล์เย็น อย่าเมาแล้วขับ หรือหลับข้างถนนก็แล้วกัน

5. หัวเราะ

มีหลายอย่างที่จะทำให้คุณหัวเราะได้ การพูดคุยกับคนที่มีอารมณ์ขัน การอ่านหนังสือ ดูตลกในทีวี หรือแม้แต่การส่องกระจกดูหน้าตาตัวเองที่กำลังโกรธเกรี้ยวเป็นไอ้บ้าอยู่ก็ตาม เอาเป็นว่าทุกเรื่อง ทุกคนที่กระตุ้นต่อมฮาของคุณได้ก็โอเค ทุกครั้งที่โกรธ จงหัวเราะดังๆ ให้เท่ากับความโกรธที่มันจุกอกอยู่ รับรองว่าต่อมฮาฆ่าความโกรธกระจาย (แต่อย่าเผลอหัวเราะตอนเจ้านายกำลังด่าคุณก็แล้วกัน)

6.ร้องไห้

การร้องไห้เป็นกลไกของร่างกายตามธรรมชาติที่ช่วยระบายความเครียด ความคับข้องในจิตใจให้หมดสิ้นไป รวมทั้งการระบายความโกรธ ดังนั้น ผู้ชายร้องไห้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เว้นเสียแต่ว่าคุณจะแหกปากร้องไห้ หรือสะอื้นฮักๆ ต่อหน้าธารกำนัล ถ้าโกรธตอนอยู่คนเดียวแล้วไม่รู้จะทำยังไง หรืออยากจะร้องไห้ ลองปล่อยน้ำตาให้ไหลโดยไม่ต้องบังคับดูสิ แล้วคุณจะรู้ว่าร้องไห้ช่วยไล่ความโกรธได้จริงๆ

7.ร้องเพลง

เพลงอะไร กับใคร ที่ไหน ร้องไปเถอะ จะร้องเบาๆ หรือแหกปากร้องก็เอาเลย สังคมไทยไม่เคยรังเกียจคนร้องเพลง (ยกเว้นร้องเพลงรักในงานศพ) นักจิตวิทยาบอกว่า การร้องเพลงจะช่วยให้กล้ามเนื้อที่ตึงเครียดผ่อนคลาย และหายโกรธได้ ถ้าโกรธจนนึกไม่ออกว่าจะร้องเพลงอะไร ขอแนะนำว่าให้ร้องเพลงไทยยอดนิยมตลอดกาล "เพลงชาติ" หรือ "เพลงช้าง" ที่ร้องได้ตั้งแต่ชั้น ป.1 รับรองว่าทั้งคนร้อง คนฟังฮาครืน ครื้นเครง

8.พักผ่อน

หากิจกรรมที่คุณทำแล้วเพลิดเพลิน ออกกำลังกายช้อปปิ้ง ดูหนัง ฟังเพลง อะไรก็ได้ที่ทำแล้วคุณรู้สึกว่าได้ผ่อนคลายความตึงเครียด ความโกรธ และไม่ทำให้ตัวเองและคนอื่นเดือดร้อนทำไปเถอะ มีข้อแม้อยู่นิดเดียวว่าการพักผ่อนนั้น อย่าทำให้คุณเสียงาน และเสียเงินจนเกินไปก็แล้วกัน

9.นอนหลับ

เคยสังเกตไหมว่า เวลาที่คุณโกรธ หรือเครียดมากๆ เป็นเวลานานๆ คุณจะรู้สึกหนักหัว และง่วงนอนมากๆ นั่นแหละคือสัญญาณที่ร่างกายต้องการบอกคุณว่า ถ้าได้หลับเต็มอิ่มสักงีบ อารมณ์โกรธของคุณจะได้รับการปลดปล่อยโดยกลไกธรรมชาติ หากจะพูดถึงกระบวนการระบายความโกรธในขณะนอนหลับคงจะยืดยาวน่าเบื่อ เอาเป็นว่าถ้าไม่เชื่อลองนอนหลับดูก็แล้วกัน

10.ให้อภัย

ฟังดูแล้วอาจจะพระเอ๊ก...พระเอก แต่ทุกครั้งที่เราให้อภัยคนที่ทำให้โกรธ เชื่อสิว่าถึงไม่ได้อะไร แต่เราก็ภาคภูมิใจ สบายใจอยู่ลึกๆ การให้อภัยคือการปล่อยวาง และให้โอกาสทั้งตัวเองและผู้อื่น ให้โอกาสผู้อื่นได้แก้ตัว ปรับปรุงตัว ให้โอกาสตัวเองได้เป็นผู้ให้ ได้ฝึกนิสัย และจิตใจตัวเองให้เย็นลง และรู้จักปล่อยวาง รู้สึกดีทั้งผู้ให้ และผู้ได้รับการอภัย





ที่มา.......yenta4

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 132 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron