วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 02:49  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


Facebook ลานธรรมจักร - http://www.facebook.com/larndhammajak
ห้องแชดสนทนาธรรม - http://www.dhammajak.net/chat/



กลับไปยังกระทู้  [ 45 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 12:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 19

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมคือ "คนใกล้ตาย" ครับ

มีอะไรจะแนะนำ คนใกล้ตาย อย่างผมบ้างครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 13:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: tongue ยินดีต้อนรับน้องใหม่ คุณ “คนใกล้ตาย” smiley :b8:
สู่ ลานธรรมจักร ณ แห่งนี้มีธรรมะ และกัลยาณมิตร ด้วยจ้า


เราทุกคนเมื่อมี ‘ความเกิด’ เป็นเบื้องต้นแล้ว
ย่อมมี ‘ความตาย’ เป็นเบื้องปลายค่ะ
:b12: :b20:

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 13:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 23:16
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

วันนี้จะเทศน์เรื่องความแก่ให้ฟัง เรามาอยู่จำพรรษา ๓ เดือนนั้น เป็นกฎเกณฑ์ของพระ
แต่ชาวบ้านจะนับถือปฏิบัติ อยู่จำพรรษาด้วยก็ได้เหมือนกัน
เดี๋ยวนี้เวลาก็ล่วงมาได้กว่าครึ่งแล้ว เวลามันหมดไปสิ้นไปทุกคนนั่นแหละ
มันหมดไปกับปีกับเดือนกับวันกับคืน ทุกปีทุกเดือน
อย่างปัญหาที่ท่านพูดว่า ยักษ์มีตา ๒ ข้าง ข้างหนึ่งริบหรี่ ข้างหนึ่งสว่าง
มันมีฟันอยู่ ๓๒ ซี่ ขยี้เคี้ยวกินสัตว์อยู่ทุกวันเวลา ยักษ์นั้นหมายถึงอะไร
ท่านเปรียบให้เห็นว่า วันคืนเดือนปีล่วงๆ ไป ชีวิตทุกคนจะต้องหมดไปด้วยกัน
คือตาข้างที่สว่างเปรียบเหมือนกลางวัน ตาที่ริบหรี่เปรียบเหมือนกลางคืน
ฟัน ๓๒ ซี่ ได้แก่วันที่ทั้ง ๓๐ กว่าวันในเดือนปี กาลเวลาได้ขยี้เคี้ยวกินสัตว์อยู่ทุกวัน


ความแก่ไม่มีกำหนด และหากฎเกณฑ์ไม่ได้ว่า คนไหนจะแก่ไปถึงขนาดไหน
ทุกคนต้องแก่ไปด้วยกันทั้งนั้น แต่ไม่ทราบว่าคนไหน จะถึงกำหนดหมดอายุเวลาใด
เราอยู่ด้วยกันดีๆ และอยู่อย่างสบายนี่แหละ จึงไม่ค่อยรู้สึกตัวว่าแก่
ความแก่ของคนไม่เหมือนกับลูกไม้ ผลไม้ ลูกไม้ผลไม้ที่มันสุกก็เรียกว่า มันสุก
แต่ความเป็นจริงไม่ใช่มันสุก แต่มันเน่าพอดีฉันได้ มนุษย์เราจึงเอามากิน
มนุษย์เรามันฉลาดที่เห็นว่า มันเน่าพอกินได้ก็เอามากินเสีย
ลูกไม้ผลไม้มันก็แก่เหมือนกัน แก่ไปหาความเน่า
แต่ลูกไม้ยังดีกว่าคนแก่ที่กินได้ทานได้ แต่คนแก่ทานไม่ได้
อย่างมากที่สุดก็จะอยู่ได้ราว ๖๐–๗๐ ปีเท่านั้น เลยไปแล้วทิ้งเลย
ถึงจะแก่ไป ๕๐–๖๐ ปี ก็ไม่ใช่กินความแก่
แต่กินแรงของคนที่มีกำลังทำได้ ทำการทำงานเอาไว้ ได้กินอันนั้นแหละ
ท่านยังเทศนาว่า
โย จะ วัสสะสะตัง ชีเว อะปัสสัง อุทะยัพพะยัง
แปลว่า คนที่มีอายุตั้ง ๑๐๐ ปี ถ้าหากไม่พิจารณาถึงความเสื่อม
ความสิ้นไปของสังขารร่างกายนี่แหละก็ไม่มีประโยชน์
เอกาหัง ชีวิตัง เสยโย ปัสสะโส อุทะยัพพะยัง หากว่าผู้ใดเกิดขึ้นมาในวันนั้นก็ตาม
เห็นความเสื่อม ความสิ้นไปของสังขารร่างกาย
ได้ชื่อว่ามีอายุมากกว่า มีประโยชน์มากกว่าคนที่มีอายุ ๑๐๐ ปีนั่นเสียอีก


คนที่ไม่พิจารณาอายุของตน ไม่พิจารณาความสิ้นความเสื่อมไปของตน
อยู่ไปทำไม อยู่สักแต่ว่าอยู่เหมือนกับลูกไม้ เช่น ฟัก แฟง แตง เต้า ที่แก่ไปๆ
เป็นคนแล้วไม่คิดพิจารณาอะไรเลย ไม่คิดถึงตัวเองเลย ท่านว่าไม่มีประโยชน์อะไรหรอก
ผู้มีปัญญาเกิดมาในวันนั้นก็เอาเถอะ หากได้พิจารณาความเสื่อมความสิ้นไปของร่างกายของตน
ได้ชื่อว่าประเสริฐกว่า ดีกว่าผู้มีอายุ ๑๐๐ ปีนั่นอีก

การพิจารณาเห็นความเสื่อม ความสิ้นไปของสังขารร่างกายมันดีอย่างไร
มันดีที่จะรีบเร่งประกอบคุณงามความดี สิ่งที่ตนจะต้องทำ รีบทำเสีย
อะไรที่ยังไม่ทำ ก็จะต้องรีบทำ กิจที่จะต้องทำ ทำเสีย
พระองค์เทศนาว่า จะเรยยาทิตตะสีโสวะ
เหมือนกับไฟไหม้ผมของเราที่บนศีรษะ รีบดับ ความดีก็ให้รีบทำอย่างนั้นแหละ
ความดีของเรามีอะไรบ้าง ให้คิดพิจารณาถึงตัวเรา
วันหนึ่งๆ เราทำความดีแค่ไหน ได้อะไรบ้าง พิจารณาดูว่า เราทำความดีอะไรบ้าง
ตลอดเวลา ๒๔ ชั่งโมง ที่เราอยู่กลางวันๆ ไม่ได้นอนมีความดีอะไรเพิ่มเติมขึ้นมาบ้าง
หรือหลับทิ้งเสียเปล่าๆ นอนทิ้งเสียเฉยๆ ในวันหนึ่งๆ อย่าให้เวลาล่วงเลยไปเปล่าๆ
คิดถึงคุณงามความดีของตน แล้วก็คิดถึงกิจที่ตนจะต้องทำ
เกิดมาต้องหาเลี้ยงชีพ หาอยู่หากิน มีแต่กินไม่หา จะเอาที่ไหนมากิน มันก็หมดไปละซี
มันต้องหา ต้องกิน มีแต่กินไม่หาไม่ได้ หามากมันเหลือกินเหลือใช้ มันก็มี ก็รวยน่ะซี นี่เรื่องอาชีพ
วันนี้หาได้เพียงแต่พอกินเท่านั้น มันก็มีประโยชน์
หากินมันก็บำรุงความตาย เลี้ยงไว้ท่า (รอ) ตาย ตายแล้วมันได้อะไร
คนตายแล้วก็ต้องเกิดอีก จิตของเรายังมีกิเลส ก็ต้องเกิดอีกเป็นธรรมดา
เพียงแต่หากินแล้ว ก็นอนท่าตายอยู่อย่างนั้น มันจะมีประโยชน์อะไร
คิดไว้อย่างนี้ ก็มาคิดถึงคุณงามความดีอะไร
จึงจะทำให้เราไปเกิดในที่ดีๆ ไปดีๆ ขึ้นไปโดยลำดับ
ทาน ศีล ภาวนา ของตนมีไหม

เราเกิดขึ้นมาในโลก เรานี้ได้ชื่อว่าเป็นหนี้สินของโลก
เราจะต้องใช้หนี้ของโลก ต้องทำทุกสิ่ง ทุกอย่าง คุณงามความดี เราก็ต้องทำ
อาชีพของเรา เราก็ต้องเลี้ยง เราก็ต้องหา มันจึงจะได้ประโยชน์แก่ตนของตน
ถ้าหากทำอย่างนั้นแล้ว ได้ประโยชน์ก็จะอิ่มใจพอใจ
ได้ทำทานเป็นประจำ มีศีลข้องดเว้นจากโทษ ทำสมาธิภาวนาให้เจริญแล้ว
ก็จะมีปัญญาความรู้ต่างๆ ครบบริบูรณ์
ถึงหากไม่ได้มาก ได้น้อยนิดเดียวก็เอา
คือได้แต่ทำก็เอา ได้แต่อาการกิริยาที่ทำก็เอา นั่นแหละเป็นนิสัยที่ดี
ดีกว่าที่เราจะทำชั่ว ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดมิจฉาจาร นั้นชั่วมาก
ตายไปแล้วไม่มีที่พึ่ง ตายไปแล้วตกนรกหมกไหม้หาที่พึ่งไม่ได้
ให้พิจารณาถึงความดีของตนอย่างนี้ จึงจะรักษาตนให้เจริญรุ่งเรืองไปได้

ชีวิตของเราที่เป็นมาถึงวัยเช่นนี้ หมดไปแล้วเท่าไหร่
เหลือเท่าไหร่ก็ยังไม่ทราบ ไม่มีใครกำหนดได้สักคนเดียว เราจะประมาทอยู่อย่างไร
พระองค์เทศนาว่าความประมาทเป็นทางแห่งความตาย
เรียกว่า ตายจากคุณงามความดี คือไม่ทำความดีนั้นเองเรียกว่าประมาท
คอยท่าให้แก่ซะก่อน เฒ่าซะก่อน ชราซะก่อน จึงค่อยทำ
เวลาความแก่เฒ่าชรามาทำไม่ได้แล้ว หมดแล้วคราวนี้
เมื่อยังหนุ่มยังแน่นไม่พากันรีบเร่ง ท่าคอยให้แก่เฒ่าจึงค่อยทำ
ถึงเวลานั้นก็หมดเวลาแล้ว เหตุนั้น จึงว่าทำเสียในบัดนี้ วันนี้

พระองค์เทศนาไว้ว่า
อัชเชวะกิจจะมาตัปปัง โก ชัญญา มะระณัง สุเว
ความเพียรเป็นกิจที่ต้องทำวันนี้ ใครจะรู้ความตายแม้พรุ่งนี้
เพราะจิตเรามันกลับกลอกได้ เวลานี้มีความคิดว่าเราจะทำดี
ครั้นหากว่าเราล่าช้าไปจนกระทั่งพรุ่งนี้ มะรืนนี้ มันสามารถจะกลับกลอกได้
นั่งทำสมาธิก็รู้ได้หรอก ทำสมาธิก็รู้จักหรอก
เวลานี้ทำสมาธิดี วันนี้ดี พรุ่งนี้กลับไปอีกแล้ว เรื่องอื่นอีกแล้ว ไม่ดีเสียแล้ว
ฉะนั้นจึงควรที่จะรักษาสมาธิ เมื่อทำได้แล้วได้เพียงขั้นไหน
ก็ให้รักษาขั้นนั้นไว้ ให้หาอุบายปัญญาในการที่จะรักษานั้น
ให้พิจารณาให้มันแยบคายด้วยปัญญาของตนเอง
เราทำอย่างไรจึงค่อยดี พิจารณาอย่างไรจึงค่อยดีอย่างนี้
เรารักษาอุบายปัญญานั้นไว้ ท่านอุปมาไว้หลายอย่าง
คนที่รักษาความดีเหมือนกับมารดามีลูกคนเดียว รักที่สุด ถนอมที่สุด
หรือเหมือนกับ คนที่มีตาข้างเดียว รักษาที่สุด ถนอมที่สุด
ความดีอันนั้นนี่จะไม่ให้เสื่อมสูญไป ที่จะรักษาตาดีข้างเดียวนั่นแหละ
ข้างหนึ่งบอดแล้ว อีกข้างหนึ่งบอดก็หมดท่า จึงต้องรักษาให้ดีที่สุด
ของอื่นๆ ที่เราเคยทำมามากมายล้นหลายไม่เป็นประโยชน์หรอก
ความชั่วที่ทำไปไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ความชั่วที่ทำไปไม่มีประโยชน์อะไรเลย
มีแต่สะสมกิเลส ไม่ใช่การชำระกิเลส กิเลสในที่นี้นั้นหมายความว่า
ความยุ่งเหยิง ความวุ่นวาย ความเกี่ยวข้องพัวพัน ความคิดความนึก
ความปรุงความแต่งสารพัดทุกอย่าง
จิตเศร้าหมองไม่ผ่องใส จึงได้เพลิดเพลินลุ่มหลงมัวเมา
จิตที่เราชำระสะสาง ด้วยการชำระเอาของไม่ดีออก
ของน่าเกลียดของสกปรกจึงค่อยละค่อยถอนทิ้งไป
เมื่อทิ้งของสกปรกออกไปแล้ว ให้รักษาของดีนั้นไว้ อย่าให้ของสกปรกเข้า
นี่แหละการรักษาความดีของตน ต้องรักษาอย่างนี้
จึงว่าคนมีอายุร้อยปีแต่หากไม่พิจารณาถึงความเสื่อมความสิ้นของสังขารร่างกาย
สู้คนที่เกิดในวันนั้นแต่พิจารณาความเสื่อมความสิ้นไปของสังขารไม่ได้ ให้คิดดูก็แล้วกัน
คนเราเกิดมาแล้ว ทุกคนแหละ ตกอยู่ในสภาพของความประมาททั้งนั้น
เมื่อมาพิจารณารู้สึกว่าตนประมาทแล้ว ควรรีบเร่งทำความดีเสีย
ความดีเป็นของทำง่าย ถ้าหากทำถูกต้องแล้ว ทำง้ายง่าย
ยืนเดินนั่งนอนเป็นความดีของตนทั้งนั้น เป็นสมาธิทุกเมื่อ นั่นจึงว่าทำง่าย
หากทำไม่ถูก อย่างไรก็ไม่ถูก นั่งตลอดวันยังค่ำ มันก็ไม่เป็นให้
เหตุนั้นการที่เราทำดีได้แล้วนั้น จึงให้รักษาไว้ให้ดี จึงจะเป็นประโยชน์แก่ตน

เอาละอธิบายแค่นี้ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 13:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 16:32
โพสต์: 323

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


. :b8:.
รูปภาพ

ชีวิต

จะอยู่ร้อยปี

จะอยู่ 10 ปี

จะอยู่วันเดียว

ชีวิตก็ไม่แตกต่าง


เพราะ

ชีวิตมีเพียงขณะเดียวเท่านั้น

คือ ปัจจุบันขณะ


ชีวิตมีเท่านี้

เกิด ดับ เกิด ดับ ติดต่อกันไป

"รู้ปัจจุบัน"

:b42:

โอมฺ มณี ปทฺเม หุมฺ

ขอปัญญาจงบังเกิดมี


. :b53: :b53: :b53: .


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 13:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็ใกล้ตายกันทุกคนแหละ ... พรุ่งนี้จะได้กินข้าวเย็นกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ ... ก็อย่าประมาท รอให้แก่แล้วค่อยศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม เพราะจะมีโอกาสแก่กันบ้างหรือเปล่าก็ยังไม่รู้อีกเหมือนกัน :b38:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 14:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 09:00
โพสต์: 18

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องธรรมดา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 14:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.ย. 2009, 14:32
โพสต์: 874

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นี่ละคือความไม่เที่ยงของขันธ์
ตอนนี้มีเวลาทำบุญไว้มาก ๆ นะค่ะ
สวดมนต์ นั่งสมาธิ อุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร
และเมื่อวาระสุดท้ายมาถึง ขอให้ระลึกถึง
คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 15:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกคนล้วนต้องตาย ไม่ใช่เราคนเดียว เมื่อความตายมาถึง ไม่มีทางหนีหรือป้องกันได้ การดิ้นรนขัดขืนมีแต่ทำให้ทุกข์ใจมากยิ่งขึ้น จึงควรยอมรับและเผชิญหน้ากับความตายอย่างมีสติ วิธีทำใจก่อนจะไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น มีดังนี้

๕.๑ ละความห่วงใยในบุคคล ต่างคนต่างเกิด ต่างคนต่างตาย ทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง การมาอยู่ร่วมกันในโลกนี้ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น เทียบได้กับจุดเล็กๆ จุดเดียวในสังสารวัฏอันหาที่สุดมิได้ เมื่อถึงเวลาทุกคนก็ไปตามยถากรรมของตน แม้จะห่วงใย เราก็ต้องจากไปสู่โลกหน้าเพียงลำพัง ไม่อาจช่วยเหลือใครได้ จึงควรละความห่วงใยคนอื่นๆ เสีย

๕.๒ ละความห่วงใยในทรัพย์สิน เมื่อเกิดก็มามือเปล่า เมื่อตายก็ไปมือเปล่า จะเอาทรัพย์สินติดตัวไปไม่ได้เลย วัตถุต่างๆ เป็นของคู่โลกที่ถูกยืมมาใช้ชั่วคราว ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่ใช่สมบัติของเราหรือใครๆ จึงควรละความห่วงใยในทรัพย์สินเสีย

๕.๓ ลืมเรื่องเศร้าในอดีตเสีย เพราะผ่านไปแล้วแก้ไขไม่ได้ และอย่ากังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง จะเป็นอย่างไรก็ช่าง อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไป จงทำปัจจุบันให้ดี แล้วอนาคตย่อมดีไปเอง

๕.๔ ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยด้วยความเลื่อมใสอันมั่นคง เพราะเป็นที่พึ่งอันแท้จริง ทรัพย์สิน ญาติมิตร ... หาใช่ที่พึ่งอันแท้จริงไม่

๕.๕ รับศีลจากพระหรือสมาทานศีลด้วยตนเองว่า “ข้าพเจ้า ขอสมาทานศีล ๕“ (สมาทาน = รับมาปฏิบัติ)

๕.๖ ระลึกถึงบุญกุศลหรือความดีที่เคยกระทำมา ก็จะเกิดปีติยินดี อิ่มใจ สุขใจ

๕.๗ มีสติอยู่กับวิปัสสนากรรมฐาน เช่น ระลึกว่า ไม่มีใครแก่ ไม่มีใครเจ็บ ไม่มีใครตาย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น ต่างหาก มันแก่ มันเจ็บ มันตาย นึกจนใจเป็นกลาง ไม่ยินดีต่อความเป็น ไม่กลัวต่อความตาย

เมื่อทำใจดังกล่าวมานี้ ได้ชื่อว่า ตายดี กล่าวคือ ข้อ ๕.๑-๕.๖ ย่อมเป็นไปเพื่อสุคติ ข้อ ๕.๗ ย่อมเป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพาน

ที่มา:วิธีทำใจเมื่อใกล้ตาย..

http://www.dhammajak.net/book/sara/sara12.php

:b44: :b48: :b44:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 16:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2009, 15:37
โพสต์: 112

ชื่อเล่น: ดอกพุทธ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ใกล้ตาย... แต่ยังไม่ตายค่ะ

เพราะฉนั้นเวลานี้ ที่มีเหลืออยู่ วิเศษแล้วค่ะ ทำทุกวันให้มีความสุขค่ะ

หมั่นทำสมาธิ แล้วจิตจะสงบดีนะคะ

.....................................................
หลอมจิตบรรจง สู่แสงแห่งธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 17:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


หลายคนตื่นนอนมาตอนเช้า ออกไปทำงานอย่างมีความสุข
โดยไม่นึกไม่ฝันว่าเป้นเช้าสุดท้ายในชีวิตของเขา

ร้อยละ 100
คนทุกคนคิดว่าตัวเองคงจะตายตอนแก่
ไม่คิดว่าความตายเป้นของใกล้ตัว

ก้ย่ามใจ ทุกสิง่ที่คิดก้คิดบนพื้นฐานที่ว่าจะตายตอนแก่


คนรู้ตัวว่าจะตาย ควรจะดีใจ ว่าเป้นคนโชคดี
ที่ยมทูตให้อุตส่าห์บอกเวลาตายให้
ยมทูตปราณีท่านมากแล้ว
ให้เวลาได้เตรียมตัวเตรียมใจ
มีเงินเท่าไหร่ก้หาซื้อสิทธิพิเศษอันนี้ไม่ได้

คนทั่วไป แม้ว่าจะอุตส่าห์คิดๆเรื่องความตายอย่างแยบคายเพียงใด
ที่พูดๆกันว่า อย่าทะเลาะกันเลย ไม่ถึงร้อยปีก้ตายแล้ว อะไรทำนองนั้น
แต่เอาเข้าจริง ใจมันไม่ยอมรับหรอก ตัดไม่ขาด
ลึกๆมันยึดถือว่ายังอยู่อีกนาน ซึ่งเป้นความประมาท


แต่คนที่รู้ตัวว่าใกล้ตายนี่ แม้จะใจจะไม่อยากยอมรับเพียงใด
แต่เพราะความจริงมันเปลี่ยนแปลงไม่ได้
ว่าเราเป้นคนใกล้ตาย
ความรู้สึกของจิตมันเด็ดขาดมีกำลังมาก
เพราะมันยอมรับความจริง ว่าเราคือคนใกล้ตาย

ถ้าคนใกล้ตายเป้นคนไม่ดี คงจะทำอะไรห่ามๆ บ้าๆ เพราะไม่มีอะไรจะเสีย
ยิ่งหิวกว่าเดิม เลวกว่าเดิม อยากกินทุกอย่าง อยากไปทุกที่
อกุศลนี่มันพอกพูนเป็นเท่าทวี อันนี้น่าสงสาร
เพราะคิดว่าทำอย่างนั้จะมีความสุข ทำอย่างนี้จะมีความสุข
วิ่งเต้นดิ้นรนเร่าๆไปเพื่อหาที่พึ่งให้ตนมีความสุข
พออิ่มความสุขอันนี้ ก็ไปหิวความสุขอันใหม่ วันนี้หิวหนึ่งส่วน
พรุ่งนี้หิวเป้นสองส่วน มะรืนเป้นสี่ส่วน
วันไหนหากินไม่ทันก้ทุกข์

แต่ถ้าคนใกล้ตายเป้นคนดี มีใจยอมรับความตาย
เรื่องจะคิดกอบโกยกักตุนอัตตาแบบคนอื่นๆเขาทำกัน ก็จะคลายลงมาก
ความอยากได้อยากมีจะลดลงไปมาก จะรู้จักการบริหารชีวิตขึ้นมาเลยทีเดียว
ตัดอะไรต่อมิอะไรที่พะรุงพะรังลงไปได้เยอะ
เช่นว่าเรื่องสำมะเลเทเมา เรื่องไร้สาระในชีวิตทั้งหลาย
ความมุ่งมั่นในศีลในธรรมก้จะยิ่งแกร่ง

คนธรรมดาๆนั้น ลำพังแค่คิดๆว่าคงตาย
มันไม่กระเทือนกิเลสเท่าไหร่เลย ช่วยให้สงบลงชั่วคราว
เพราะมรณะสติของคนที่จะตายจริงๆนี่มันแกร่งจริงๆ
ถ้ารู้จักนำไปใช้ในกรรมฐาน มรณะสติถือว่าเป้นสุดยอดกรรมฐาน


ความเป้น"คนที่ใกล้ตาย" เป้นสมบัติที่มีค่ามาก
แต่ไม่มีใครอยากมี

ถ้ามีแล้วด้วยความจำใจ
จงรู้ไว้เกิดว่านี่เป็นโอกาสทองของท่านแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 19:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




25179.gif
25179.gif [ 4.76 KiB | เปิดดู 9265 ครั้ง ]
แมวขาวฯ ก็ใกล้ตาย งั้น เป็นเพื่อนใกล้ ๆกันแล้วกัน

พะงาบ ๆ

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 20:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว




12.jpg
12.jpg [ 26.8 KiB | เปิดดู 9249 ครั้ง ]
G4.jpg
G4.jpg [ 28.35 KiB | เปิดดู 9250 ครั้ง ]
G1.jpg
G1.jpg [ 42.11 KiB | เปิดดู 9248 ครั้ง ]
Ge0.jpg
Ge0.jpg [ 37.79 KiB | เปิดดู 9248 ครั้ง ]
G6.jpg
G6.jpg [ 9.55 KiB | เปิดดู 9247 ครั้ง ]
:b8: :b8: :b8:

สวัสดีครับ

ขอให้มีความสุข ณ ลานธรรมจักรแห่งนี้ด้วยครับ

ฝากโลงมาให้เลือกครับ "คนใกล้ตาย" :b13:


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


แก้ไขล่าสุดโดย วรานนท์ เมื่อ 17 มี.ค. 2010, 20:49, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 23:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 19

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แมวขาวมณี เขียน:
แมวขาวฯ ก็ใกล้ตาย งั้น เป็นเพื่อนใกล้ ๆกันแล้วกัน

พะงาบ ๆ


:b1: พะงาบ พะงาบ :b1:

คนที่ผมรักเขาเป็นผู้ที่หลงไหลในธรรมครับ
เธอคงรักผม น่ะนะ
เพราะนอกจากเธอจะเอาใจใส่ในธรรมของเธอ
เธอก็เอาใจใส่ในความพัฒนาธรรมในชีวิตของผมด้วย

:b1:

อืมห์ เมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ ผมก็ทำให้เธอรู้สึกว่าผมพอใจในความน่ารัก แสนดีของเธอ
เพราะผมไม่อยากให้เธอต้องไม่สบายใจ คิดมาก เป็นกังวล
ส่วนลับหลัง ไม่มี เพราะมันคือสิ่งสุดท้ายที่ผมอยากจะให้เธอได้รับรู้

ว่าเธอทำให้ผมรู้สึก อยากปลีกวิเวกเต็มแก่...แล้ว :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2010, 00:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


คนใกล้ตาย เขียน:
อืมห์ เมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ
ผมก็ทำให้เธอรู้สึกว่าผมพอใจในความน่ารัก แสนดีของเธอ
เพราะผมไม่อยากให้เธอต้องไม่สบายใจ คิดมาก เป็นกังวล

ส่วนลับหลัง ไม่มี เพราะมันคือสิ่งสุดท้ายที่ผมอยากจะให้เธอได้รับรู้

ว่าเธอทำให้ผมรู้สึก อยากปลีกวิเวกเต็มแก่...แล้ว :b1:


สับสนจัง...
หมายความว่าคุณใกล้ตายจาก
ความเป็นจริง...เข้าสู่ความหลอกลวง...
หรือตายจากฆราวาสเข้าสู่บรรพชิต
หรือตายจากโลกนี้ไปสู่โลกอื่น....
จะแบบไหน?...ก็ขอให้คุณเดินทางโดยปลอดภัย
ไปสู่โลกใหม่ที่ดีกว่าเก่านะค่ะ.... :b23:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2010, 00:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


วรานนท์ เขียน:
ฝากโลงมาให้เลือกครับ


ฝากนิมนต์ท่านสุเมโธ
เลือกให้ทักทายสักแบบหนึ่ง
เมื่อถึงเวลานะค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 45 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร