วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 19:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 04:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 04:38
โพสต์: 376

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การกล่าวใส่ร้ายพระอริยเจ้ามีโทษเช่นกับอนันตริยกรรม

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 300

[วิธีขอขมาเพื่อให้อดโทษให้ในการด่าใส่ร้าย]

เพราะฉะนั้น ผู้ใดแม้อื่น กล่าวใส่ร้ายพระอริยเจ้า ผู้นั้นไปแล้ว

ถ้าท่านแก่กว่าตนไซร้, ก็พึงให้ท่านอดโทษให้ ด้วยเรียนท่านว่า กระผมได้

กล่าวคำนี้และคำนี้กะพระคุณเจ้าแล้ว ขอพระคุณเจ้าได้อดโทษนั้นให้กระผม

ด้วยเถิด ถ้าท่านอ่อนกว่าตนไซร้ ไหว้ท่านแล้วนั่งกระโหย่งประคองอัญชลี

พึงขอให้ท่านอดโทษให้ ด้วยเรียนท่านว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ! กระผมได้กล่าว

คำนี้และคำนี้กะท่านแล้ว ขอท่านจงอดโทษนั้นให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด ถ้าท่าน

ไม่ยอมอดโทษให้ หรือท่านหลีกไปยังทิศ (อื่น) เสีย พึงไปยังสำนักของภิกษุ

ทั้งหลายผู้อยู่ในวิหารนั้น. ถ้าท่านแก่กว่าตนไซร้ พึงยืนขอขมาโทษทีเดียว

ถ้าท่านอ่อนกว่าตนไซร้ ก็พึงนั่งกระโหย่งประคองอัญชลี ให้ท่านช่วยอดโทษ

ให้ พึงกราบเรียนให้ท่านอดโทษอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ! กระผมได้

กล่าวคำนี้ และคำนี้กะท่านผู้มีอายุชื่อโน้นแล้ว ขอท่านผู้มีอายุรูปนั้น จงอด

โทษให้แก่กระผมด้วยเถิด ถ้าพระอริยเจ้านั้นปรินิพพานแล้วไซร้, ควรไป

ยังสถานที่ตั้งเตียงที่ท่านปรินิพาน แม้ไปจนถึงป่าช้าแล้ว พึงให้อดโทษให้

เมื่อตนได้กระทำแล้วอย่างนี้ กรรมคือการใส่ร้ายนั้น ก็ไม่เป็นทั้งสัคคาวรณ์

มัคคาวรณ์ (ไม่ห้ามทั้งสวรรค์ทั้งมรรค) ย่อมกลับเป็นปกติเดิมทีเดียว.

[การกล่าวใส่ร้ายพระอริยเจ้ามีโทษเช่นกับอนันตริยกรรม]


หมายเหตุ.-
เป็นข้อความที่อ่านพบในเว็ปเพื่อนบ้าน...ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 05:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เคยนั่งคิดเล่น ๆ ..ว่า
โสดาบัน..จะมีโอกาศหลงว่าตัวเป็น..อนาคามี..ไหม??

ก็ไม่น่าจะมี..ถึงมี..ก็เพียงระยะสั้น ๆ ..เพราะกามราคะ..กับ..ปฏิฆะ..เป็นอารมณ์หยาบ..สังเกตุได้ง่าย..รู้แล้วก็..โกหกใครก็ไม่ได้..เพราะตัวท่านก็มีศีลบริสุทธิ์..
สรุปว่า..ไม่มี

แล้ว..อนาคามี..จะมีโอกาศหลงว่าตัวเป็น..อรหันต์..ไหม??

ก็ว่า..ไม่น่าจะมี..ถึงมี..ก็เพียงระยะสั้น ๆ..บางท่านไม่ถึงวัน..บางท่านไม่น่าถึงนาที..เพราะปัญญาละเอียด..มานะ..มีก็รู้ไม่มีก็รู้..อุทธัจจะ.มีก็รู้ไม่มีก็รู้..สุดท้าย..อวิชชายังหลงเหลือหรือไม่..ก็ย่อมรู้
เมื่อรู้แล้วก็..โกหกใครก็ไม่ได้..เพราะตัวท่านก็มีศีลบริสุทธิ์..
สรุปว่า..อนาคามี..ไม่มีทางหลงว่าตัว..ถึงอรหันตผล...

รวบยอด..ว่า..ไม่ว่า..โสดาบัน..สกทาคามี..หรือ..อนาคามี..ไม่มีหลงว่าตัวถึง..อรหันตผล..แน่นอน

หากหลง..ในอรหันตผล..ทั้งที่ไม่มีในตน..แสดงว่าแม้พระอริยะในชั้นอื่น ๆ ก็ไม่ได้เป็น

แต่..การคิด..กล่าวร้ายผู้อื่น..ด้วยใจ..โทสะ..ใจโมหะ..กามาวจรภพย่อมเกิดในจิตผู้นั้น..ทุก ๆ ครั้งที่ทำ..หากตายเวลานั้นหรือมีจิตอย่างนี้ในเวลาตาย..ย่อมมีกามาวจรภูมิ..เป็นที่เกิด..เรียกว่าสูญจากนิพพานก็ได้

หากไปกล่าวร้ายผู้มีศีลสมบูรณ์..แม้ไม่เป็นอริยะ..ก็ยิ่งสร้างความฉิบหายแก่ตัวเอง..ยิ่งไปอีก

ดังนั้น..ไม่ว่าใครจะเป็นหรือไม่เป็นอริยะ..ก็อย่าไปสนใจในความเป็นความไม่เป็นของผู้อื่นเลย..จงกลับมาระวังรักษาใจของตัวเอง..จะทำสิ่งใด ๆ ออกไป..อย่างทำด้วยใจที่มีกิเลส..โทสะ..โมหะ..โลภะ..นี้เลย..ยิ่งทำก็ยิ่งห่างไกลมรรคผลนิพพานไปเท่านั้น

การจะทำสิ่งใด ๆ ออกไป..ให้ทำด้วยใจเมตตา..ปรารถณาดีแก่ผู้อื่น..จึงจะเป็นกุศล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 09:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่มีโทษอะไรกระมังครับ

ก็แค่คนที่กล่าวร้าย ลพ ปราโมทย์

คนนึงไปนั่งสมาธิตากยุง ตากแดด แล้วคิดว่ายิ่งทนได้ยิ่งดี

อีกคนไปไล่ตามจับพยานาคอยู่


น่าอนาถจริงๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 10:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 09:00
โพสต์: 18

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ช่างมันเถอะ บุญบาป วางๆบ้างก็ดี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 21:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


[quote="ชาติสยาม"]ไม่มีโทษอะไรกระมังครับ

ก็แค่คนที่กล่าวร้าย ลพ ปราโมทย์

คนนึงไปนั่งสมาธิตากยุง ตากแดด แล้วคิดว่ายิ่งทนได้ยิ่งดี

อีกคนไปไล่ตามจับพยานาคอยู่


น่าอนาถจริงๆ[/quote]


ท่านชาติสยาม

ลพ ปม ถ้าดีจริง แล้วไปว่าง หลวงปู่ดูลย์ คลาดเคลื่อนทำไมอ่า

ไม่ใช่ โสดา สกทา อนาคา ปลอม ไปว่า พระอรหันต์ อย่างหลวงปู่ดูลย์ หรือ หา

ถ้าของมันจริง

มันต้องอธิบาย ที่พระอาจารย์ สงบ กล่าวมาสิ

แล้วก็แสดงออกมาแล้ว ว่า ไม่จริง

http://www.sa-ngob.com/content.php?contentid=4&page=4

ไปตอบพระอาจารย์สงบเลย

หลวงปู่ดูลย์ อรหันต์ แน่ ใครก็รู้

แล้ว อริยะที่ไหน จะไปขัดแย้งกัน ธรรมะเป็นหนึ่ง ไม่มีขัดแย้ง ถ้าเข้าถึงแล้ว

แล้วไหนอริยะที่ว่า

ตอนแรกก็เอาหลวงปู่มาอ้าง

พอหลังๆก็เหยียบ หลวงปู่เดิน

หมายความว่าอย่างไร

ไหนว่า พระอริยะ

พระอริยะปลอม มันว่า หลวงปู่ดูลย์ไง

http://www.antiwimutti.net/Antiwimutti/ ... utri1.html

http://www.sa-ngob.com/content_show.php?content=258



http://www.sa-ngob.com/content_show.php?content=226

ความจริงก็เป็นความจริงเหมือนเดิม

แล้วอีกอย่างท่านชาติสยาม อย่าลืม ผมไม่ได้จับพญานาค

แล้วเรื่อง ลพ ปม ถ้าท่านไม่จุดไฟ ผมก็ไม่อยากยุ่ง

ถอยกันคนละก้าวดีกว่านะงับ


ข้อสงสัยสุดท้าย เว็บนี้แปลกดีนะงับ

พอเปิดโปง และ แสดงความจริงแก่สาธารณะชน เรื่อง ลพ ทางชลบุรีรูปหนึ่ง มักล็อกกระทู้

บอกว่าขัดแย้ง

แล้วไอ้ที่สนับสนุนกัน แล้วกล่าวหาทาง พระอาจารย์สงบ ไม่เห็นล็อกเลย

ระวังเป็นสอง มาตราฐาน นะงับ

ท่าน Eikewsang ก็ทำเหมือน เป็นกลาง

แต่ความจริงก็ สนับสนุน ลพ ทางชลบุรีรูปหนึ่ง

แล้วพยายามกล่าวหา ฝ่ายไม่สนับสนุนนะงับ

ถ้าจะไม่ขัดแย้ง ก็เงียบไปทั้งคู่ จะได้ไม่มีปัญหา

นี่ละ ความยุติธรรม คือ ความพอใจ หลวงตาองค์หนึ่ง กล่าวไว้

แล้วอย่าสร้างสถานการณ์ ให้พระอริยะปลอมเป็นอริยะจริง

ไม่งั้นระวังจะโดนโจมตีเรื่อง อวดอุตรินะงับ

ผมไม่อยากกล่าวหา

[quote]จะเป็นอริยะ หรือไม่ ของให้ ท่านชาติสยาม และ ท่าน Eikewsang กรุณาเก็บไว้ในใจ[/quote]


แล้วอีกอย่างกระทู้ที่บอกคำพูดพระอรหันต์ ไม่ใช่จะพูดตามได้ทั้งหมด

มันจะสื่อความหมายว่า

คำพูด ลพ ปม พูดตามไม่ได้ พูดแล้วเพี้ยน

แต่หนังสือ แก่นธรรมคำสอนหลวงปู่ดูลย์

มาจากหลวงพ่อ ปม โดย ตรง มันก็ชี้ว่า ไม่มีการดัดแปลงใดๆทั้งสิ้น

แล้วบอกว่า หลวงปู่ดูลย์ ผิด ดูสิ ไม่คิดล้มล้าง พ่อแม่ครูอาจารย์แล้วหมายความว่าไง

รูปหน้าสวนสันติธรรม ทำไมไม่เอา ลพ ปม ไปแทนละ หลวงปู่ดูลย์ คลาดเคลื่อนไง

มันชี้นิสัยล้มล้างคำสอนอันดีงามของครูอาจารย์

โต้แย้งดูจิต
พระอาจารย์สงบ มนัสสันโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๑ กรกฏาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

ถ้าคนภาวนาเป็น ไอ้เรื่องดูจิตน่ะ เพราะคำว่าจิตใช่มั้ย คำว่าจิตน่ะ จิตมันมีอยู่แล้ว แล้วดูจิตน่ะ เพราะหลวงปู่ดูลย์ก็สอนดูจิต ทำไมหลวงปู่ดูลย์สอนถูกล่ะ หลวงปู่ดูลย์ท่านบอกดูจิต จิตส่งออกทั้งหมด ความคิดที่ส่งออกให้ผลเป็นทุกข์ ความคิดทั้งหมดที่ส่งออกเป็นสมุทัย ให้ผลเป็นทุกข์ ต้องหยุดความคิด การหยุดความคิดก็ต้องใช้ความคิด นี้ การหยุดความคิดก็ต้องใช้ความคิด เพราะความคิดมันเป็นสมุทัย มันเป็นสมุทัย มันเป็นตัณหาความทะยานอยากมีความคิดนะ นี้ความคิดปั๊ปเนี่ย เราต้องดูจิต เพราะจิตมันไม่ใช่ความคิด จิตเป็นจิต ฉะนั้น เวลาเราคุยกับ ดร.มนตรี น่ะ เขาบอกว่า ตอนที่เขาเป็นฆราวาส เขาไปฝึกกับหลวงปู่ดูลย์ แล้วเขาจะไปรายงานกับหลวงปู่ดูลย์ตลอดเวลา พอไปรายงานปั๊ป หลวงปู่ดูลย์ บอกว่า ไม่ใช่ คือ ยังไม่เห็นจิต ๆๆๆ ไอ้ดูจิตนี้ยากนะ ถ้าดูจิตให้เป็นตามความเป็นจริงน่ะ แต่นี้มันดูจิต มันไม่ใช่ดูจิต มันดูความคิด เห็นความคิดของตัวไง ความคิดเกิดดับ มันไม่ใช่ดูจิตนะ

ดูจิตเนี่ย คำว่าดูจิต อย่างเช่น มหายานเนี่ย เค้าทำจริงจังของเค้าจนกว่าจิตจะสงบนั่นแหละ ดูจิตคือจิตมันนิ่งนั่นแหละ จิตมันก็คือสมาธินี่แหละ แล้วมันดูจิตนี้มันยากเพราะอะไร นี่มันง่าย คำว่าเรียบง่ายๆ ดูแล้วมันว่างไป ทีนี้ถ้าคนเป็น เขามาพูดเมื่อวานนี้ เค้าบอกว่า จิตดับ บอกว่าจิตดับ เราอธิบายทันทีเลย เราอธิบายเค้ายาวมาก เราอธิบายเค้าว่า จิตมันมาจากไหน ธรรมชาติของจิตมันมายังไง แล้วจิตมันจะดับได้ไหม จิตมันดับไม่ได้ แต่ความคิดมันดับ ตัวจิตมันจะดับได้ยังไง แต่ความคิดนี้เกิดดับ แต่ตัวจิตมันไม่ดับหรอก นี้ ตัวจิตมันทรงอยู่ตัวไม่ได้ มันต้องมีความคิดตลอดเวลา เพราะเวลาความคิดมันขาดปั๊ปเดี๋ยวมันก็คิดอีก เพราะความคิดมันทำให้เราฟุ้งซ่านมาก ความคิดเนี่ย แล้วเวลาความคิดมันหยุด บางทีมันแบบว่า ใจเราสบายๆเฉยๆ ไม่มีความคิดแต่จิตมันก็มีอยู่ แต่อันนั้น มันไม่ได้ประโยชน์เพราะอะไร เพราะจิตไม่ได้ดูมัน จิตมันส่งออกมา มันสบายๆ มันส่งออกไปข้างนอกไง

ทีนี้ ถ้าเราจะดูให้เห็นจิตเนี่ย มันจะมีสติเข้ามา สติเข้ามาจนถึงตัวจิต จนถึงจิตก็ โอ๊ะๆ นั่นนะ ทีนี้ ดูจิตพูดถึงตัวจิต มันแบบว่า มันกระจายไปกว้าง กระจายไปกว้างเพราะอะไร เพราะว่าเวลากำหนดพุทโธ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิเนี่ย เวลาจิตมันสงบขึ้นมามันไม่มีใครทำได้ง่าย แต่ถ้ามันใช้ปัญญาหรือใช้ความคิดไปอย่างนั้นมันจับต้องได้

ทีนี้มันถึงเป็นจุดขายไง จุดขายเนี่ย มันเป็นเรื่องเหมือนกับเราใครมาศึกษาธรรมะ พอศึกษาธรรมะแล้วเนี่ย มันมีคุณธรรมในใจไง พอศึกษาธรรมะก็เหมือนกับว่าเป็นคนดีไง อย่างเช่นเด็กดีคนดี มันมีความรับผิดชอบ ใช่มั้ย นี่ก็เหมือนกันโดยธรรมดา เราก็อยู่ภาษาเรา ภาษาเรา เราคิดอะไรมันก็เรื่องของเรา แต่พอเรามีระเบียบมีกฎกติกาขึ้นมา เราจะควบคุมตัวเราให้ดีขึ้น พอไปศึกษาธรรมะ ธรรมะเห็นมั้ย ธรรมะคือศีลธรรมจริยธรรม มันก็คิดแต่สิ่งที่ดีๆ พอคิดแต่สิ่งที่ดีๆเห็นมั้ย จิตมันว่างๆสบายๆ นี่ไง ทุกคนบอกว่าได้ผล มันก็เหมือนกับคนโบราณเราแหละ สมัยดึกดำบรรพ์น่ะพ่อแม่ปู่ย่าตายายจะจูงลูกหลานไปวัด พอจูงลูกหลานไปวัด ไปเข้าวัดเห็นมั้ย นี่ไงเด็กดีใช่มั้ย พอเด็กทำดี เด็กดีใช่มั้ย ไอ้นี้จิตดีขึ้นไง (1)

แต่ไอ้เรื่องดูจิตเห็นจิต เรายังไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้ คืออย่างเรายืนยันน่ะว่า ที่เค้าทำกันนี้ ผิดๆ เพราะอะไร คำว่าดูจิต ดูจิตของเค้า เค้าเห็นจิตของเค้ามั้ย ถ้าเห็นจิตของเค้า เค้าจะไม่พูดอย่างนี้ เหมือนเราเนี่ย อย่างเราจับขโมยได้เนี่ย ของเราหายไปแล้วเราจับขโมยที่ขโมยของเราได้เนี่ย เราจะบอกของเราไม่หายของเรา เราไม่จับขโมยไว้ได้ มันจะเป็นไปเอง มันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันจับเค้าได้ นี่ไง พอมันจับจิตได้เนี่ย พอมันจับจิตได้ ถ้ามันจับจิตได้ แล้วจิตออกวิปัสสนาเนี่ย มันจะรู้ขบวนการของมันไง ว่ากระบวนการของมัน มันเป็นเรื่องธรรมดาของจิต ธรรมชาติของจิตมันเป็นอย่างนั้น ธรรมชาติของจิตจะเป็นอย่างนั้น

ทีนี้ ทุกคนจะมาถามว่า ทำไมเค้ารู้วาระจิตล่ะ เค้ารู้สิ่งใดล่ะ ไอ้อย่างนี้นะ เราบอกหมอดูเนี่ย หมอดูมันภาวนาอะไรของมัน มันทายเปี๊ยะๆๆเลย มันเป็นปฏิภาณของคน ปฏิภาณมันหลากหลายมันแตกต่างกันมา ปฏิภาณของใครเป็นของคนๆนั้น นี่มันเป็นปฏิภาณของเค้า ถ้าเป็นปฏิภาณของเค้า ปฏิภาณของเค้าหนึ่ง แล้วตรรกะของเค้ามันมีอยู่ อย่างนั้น ไอ้อาชีพของหมอดูเค้าทำกันยังไง ฉะนั้น สิ่งที่ ดูจิตๆที่ว่า มันหลากหลาย มันกว้างออกไป เมื่อก่อนนะ ไม่ใช่เมื่อก่อน ในปัจจุบันเนี่ย ครูบาอาจารย์เราเนี่ย ไม่รับ เพราะการดูจิตโดยสัจจะความจริงมันแล้ว มันก็คือนามรูปนั่นแหละ คืออภิธรรมนั้นแหละ อภิธรรมเนี่ยกำหนดเห็นมั้ย เราบอกอภิธรรมเห็นมั้ย เวลาราดื่มเรากินแล้วเนี่ย ทำไมต้องดื่มหนอ กินหนอ รู้หนอ มันเป็นสองมา ดูจิตก็เหมือนกัน ความจริงก็คือการดื่มการกินนั้นแหละ ทำไม กินแล้วต้องกินหนออีก เพราะอะไร เพราะว่าจิตมันทำโดยธรรมชาติใช่มั้ย แต่ธรรมชาติ ตัวมันทำไง ตัวมันทำใช่มั้ย เนี่ย เราทำอะไรไปเราทำได้หมดเลย เราไม่รู้เรื่องหรอก แต่คนดูอยู่มันรู้ใช่มั้ย พอจิตมันทำเห็นมั้ย พอทำ มันกินน่ะ มันไม่รู้ว่ากินหรอก ต้องบอก กินหนอ คือ ดูอีกทีนึงน่ะ เราจะบอกว่า มันเป็นสัญญาอารมณ์ มันเป็นสัญญาอารมณ์ขึ้นมา ทีนี้ คำว่าดูจิตกับนามรูปมันอันเดียวกันมั้ย ถ้าอันเดียวกัน พออันเดียวกันเนี่ย จะบอกว่าถ้าทำจริงๆด้วยความวิริยะอุตสาหะนะ เข้าถึงสมาธิได้เหมือนกัน แต่ถ้าเข้าถึงสมาธิได้เขาจะไม่พูดอย่างนี้ เพราะมีพวกนี้ไปหาหลวงตาเยอะมาก พอไปหาหลวงตาเนี่ย พออธิบายให้หลวงตาฟังว่าเป็นอย่างนั้นๆๆ มันจะขัดแย้งกับทฤษฎีที่เค้าทำกันอยู่ พอมันขัดแย้งปั๊ป เค้าก็ถาม อาจารย์เค้าบอก เค้าผิดไง แต่ความจริงเค้าภาวนาถูก หลวงตาถามว่า อาจารย์มึงใคร ทีแรกเค้าไม่ยอมบอก หลวงตาบอกว่า มึงน่ะถูก คือ คนปฏิบัติน่ะถูก แต่ทฤษฎีที่เค้าสอนน่ะผิด

เนี่ย เห็นมั้ย ถ้าคนทำจริงนะ ดูจิตเนี่ย ทำจริงๆถ้ามีวิริยะอุตสาหะจริงๆ มันเข้าถึงตัวจิตได้จริงๆ มันก็ย้อนกลับมาที่พวกเราที่พุทโธๆเนี่ย ยากมั้ย ยาก กว่าจิตจะลงเนี่ย ยาก แล้วดูจิตน่ะ ก็ดูจิตถ้าเข้าถึงสมาธิ ก็เหมือนกับพุทโธเข้าถึงสมาธิ ดูจิต ถ้าเพื่อให้จิตนิ่งก็คือสมาธิใช่มั้ย ในเมื่อเป้าหมายอันเดียวกัน เป้าหมายคือสมาธิเหมือนกัน ทำไม พุทโธมันยาก ดูจิตมันง่ายล่ะ เอ้อ มันก็อันเดียวกันน่ะ ทีนี้ พอมันอันเดียวกันใช่มั้ย แต่ของเราเนี่ย ของเราพุทโธ หรือปัญญาอบรมสมาธิ เราเข้าถึงเป้าหมายจริง พอเข้าถึงเป้าหมายจริง พวกเราที่ปฏิบัติอยู่เนี่ย มันถึงทุกข์ๆยากๆที่ว่าโอดโอยกันอยู่เนี่ยเพราะมันเข้าได้ยากไง เพราะมันเป็นความจริง เนี่ยมันทำแล้วมันทำยาก แต่ทำยาก มันทำเพื่อความเป็นของจริง ทำจริง รู้จริง กับ ทำเล่นๆ รู้เล่นๆ เราจะเอาอะไรกัน

นี้ เราไปดูกัน เราเหมือนทำเล่นๆนะ ทำเล่นๆ ทำไมมันสบายล่ะ? อ้าว ก็เนี่ย ลูกหลานเราเนี่ย ให้มันเรียนหนังสือให้มันทำงาน ทุกคน มันทำงานมันไม่เอาน่ะ ให้มันเล่นสบาย มันสบายมั้ย ก็เหมือนกัน ดูจิตกันเฉยๆมันสบายน่ะ มันจะเป็นอะไรก็ได้ เพราะไม่มีขอบเขต ไม่มีขอบเขตว่าตรงไหนคือสมาธิ คือว่างน่ะ แล้วว่างของใครล่ะ คราวนี้ ไอ้ว่างของใครเนี่ย เราพูดภาษาเรานะ ไอ้ว่างของใครคือ ไม่มีใครสามารถชี้ขอบเขตมันได้ แต่ถ้าใครทำสมาธิเป็นนะ ชี้ได้ เพราะคนเคยเป็นสมาธิ คนได้สมาธินะ พอไปดูจิตน่ะ รสชาติมันต่างกัน เราเปรียบเหมือนน้ำเย็นกับน้ำร้อนเห็นมั้ย น้ำมันอุณหภูมิต่างกัน จิตก็เหมือนกัน จิตปกติน้ำเย็น เวลาอุณหภูมิมันร้อนมันเป็นสมาธิขึ้นมา มันต่างกัน ถ้ามันต่างกัน ทำไมเค้าไม่อธิบาย เค้าไม่รู้จัก คนถ้ารู้จักน้ำร้อนน้ำเย็นเนี่ย น้ำร้อนก็มีน้ำเย็นก็มีใช่มั้ย นี่ มันบอกว่า ปฏิเสธน้ำร้อนไม่มี มีแต่น้ำเย็น คือ ว่างๆ ว่างๆ แต่บอกอะไรไม่ได้

แต่มันเป็นสมาธิเนี่ย มันจะบอกอารมณ์ปกติได้ อารมณ์ปกติคือก่อนที่เราทำสมาธิ พอเราทำสมาธิขึ้นมาแล้วจิตมันเป็นสมาธิเนี่ย ระหว่างจิตที่เป็นปุถุชนกับจิตที่เป็นสมาธิเนี่ย มันต่างกันยังไง ตรงนี้ไง ตรงนี้เค้าก็พูดไม่ถูก ตรงนี้เค้าก็พูดไม่ได้ ใครมาก็ว่างๆๆๆ ดูจิตว่างๆ มัน เนี่ย ที่เราไม่เห็นด้วย เหมือนกับครูบาอาจารย์หรือว่าพระทธเจ้าสอนให้พวกเราหมั่นเพียร ความเพียรชอบ งานชอบ วิริยะชอบ อุตสาหะชอบ ให้ผู้ประพฤติปฏิบัติขยันหมั่นเพียร แต่ผู้ที่มา มาพูดอีกอย่างนึง ปล่อยมัน ตามสบาย ไม่ต้องทำอะไรเลย นี่ไง ที่เราค้าน เราค้านตรงนี้ไง คนเราน่ะ หมั่นเพียรวิริยะอุตสาหะขนาดนี้ มันยังจับต้นชนปลายไม่ได้เลย แล้วไปทำกันอย่างนั้น มันจะได้อะไร มันได้สบายไง

ทุกคนจะบอกว่าสบาย เมื่อก่อนเป็นคนโกรธมากเลย เดี๋ยวนี้ไม่มีโกรธเลย หายโกรธเลย ลองแหย่มันสิ ออกทันทีน่ะ เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะว่าเป้าหมายของพุทธศาสนาคือลดละความโลภความโกรธ ความหลง เป้าหมายของพุทธศาสนา ละความโลภ ความโกรธ ความหลง ทีนี้ เราจะไปปฏิบัติ เราเป็นคนดีใช่มั้ย ก็ต้องไม่มีความโลภความโกรธความหลง เราก็รักษา มันก็ได้ แต่เมื่อก่อนไม่เป็นอย่างนั้น แต่เมื่อก่อนไม่ได้ปฏิบัติ มันก็ปล่อยตามอารมณ์ ปล่อยตามสบายของมัน แต่ทีนี้ มันมีคนรักษามัน แต่ไม่ใช่ไปแก้ไขมัน รักษา ไม่ใช่แก้ไข ยังไม่ได้แก้ไขมัน รักษามันเฉยๆ พอรักษามัน มันก็อยู่ในขอบ ในกติกา พวกนี้ ยังไม่กิเลสตีกลับนะ ลองกิเลสตีกลับ มันจะมากกว่านั้นอีก

ทีนี้ว่า ดูจิตมันกว้างขวาง เราจะบอกเลยว่าดูจิตที่มันกว้างขวางเนี่ยมันอธิบายไม่ได้ แล้วดูจิตน่ะ ต่างคนต่างดูจิต หลวงตายังพูดเลย ถ้าจริงๆแล้วท่านก็ดูจิตนั่นแหละ เราก็เคยดูจิต คำว่าดูจิตทุกคนปฏิบัติใหม่ มันก็จับพลัดจับผลูลองผิดลองถูกกันทั้งนั้นน่ะ ไม่มีใครทำทีเดียวแล้วก็ถูกหรอก

หลวงตาท่านบอกว่า เนี่ย เมื่อก่อนกำหนดไว้เฉยๆอยู่ที่ตัวจิต ดูจิตเนี่ย จิตเราเสื่อมไป ปีกับหกเดือน อกแทบระเบิด เนี่ย กำหนดได้ ตั้งสตินี้ได้ เป็นสมาธินี้ได้ไม่ได้ แต่วันสองวัน มันจะกลิ้งทับเหมือนครกกลิ้งทับเราเลย เอ๊ ทำยังไงมันก็ไม่ได้ เพราะมันไม่มีจุดยืน มันไม่มีหลัก เป็นเพราะเหตุใด เนี่ย ไอ้ตรงนี้ มันเป็นปฏิภาณไหวพริบของแต่ละคน มันเป็นอำนาจวาสนาบารมีของแต่ละคนที่มันจะปิ๊งขึ้นมา หลวงตาปิ๊ง สงสัย เราจะขาดคำบริกรรม พอดีตอนนั้นหลวงปู่มั่นตอนนั้นไปเผาศพหลวงปู่เสาร์ ตอนนั้นท่านให้หลวงตาท่านรออยู่ ท่านบอก สามสี่วันนั้น ท่านกำหนดพุทโธๆทั้งวัน อกแทบระเบิด

เนี่ย คำว่าอกแทบระเบิดเนี่ย การดูจิตน่ะ การดูจิต เราปล่อย ให้มันสะดวกสบาย เหมือนเด็กติดยาเสพติด เหมือนเด็กใจแตก เด็กที่มันติดรูปรสกลิ่นเสียง ติดแสงสีเสียง เหมือนลูกหลานเรามันเที่ยวกลางคืนทุกคืน แล้วบังคับไม่ให้มันไปเที่ยวน่ะ มันจะคิดยังไง เด็กมันติดยาเนี่ย ถ้ามันไม่ได้เสพยา มันลงแดงตายเลย พอมันปล่อยสบายๆไง มันก็ติดน่ะสิ พอกำหนดพุทโธๆ ไปฟังหลวงตาพูดทุกเที่ยวเลย อกแทบระเบิด พุทโธๆวันแรก อกแทบระเบิดเลย เหมือนเด็กติดยานะ มันลงแดงไง บังคับไว้ไม่ให้เสพ อกแทบระเบิด อกแทบระเบิด อกแทบระเบิด วันที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ วันที่ ๓ จิตค่อยอยู่ ค่อยๆดีขึ้น

ย้อนกลับมาที่เรา ย้อนกลับมาดูจิตเนี่ย เอ็งปล่อยมันไปเรื่อยๆเนี่ย ปล่อยไปเลย เอ็งว่าสบายมั้ย แล้วไม่โกรธใช่มั้ย ไม่โกรธ ไม่อะไรเลย แล้วเอ็งลองพุทโธสิ ใครกลับมาพุทโธนะ แสนทุกข์แสนยากเลย เพราะเราปล่อยเราสบายหมดแล้วน่ะ ถ้าพูดถึงนะ อย่างที่เราพูด ของเราพูด เราใช้คำว่าปัญญาอบรมสมาธิ เราใช้คำว่าปัญญาอบรมสมาธิ เพราะมันไม่ปล่อยไง ถ้าดูเนี่ย มันปล่อยเฉยๆใช่ไหม เหมือนกับเราเอาเด็กมาฝาก เราก็นั่งดู เด็กมันจะตก ตกจากร้านนี้ เด็กมันจะโดนรถชน เด็กมันจะ เอ้า ก็ให้เราดู เราก็ดู รถชน ก็เห็นว่า รถชน เค้าให้ดูเด็กเนี่ย เค้าไม่ต้องการให้เด็กประสบอุบัติเหตุ ทำไม เด็กมันมีอุบัติเหตุล่ะ ทำไมไม่ดูแลมัน เอ้า ก็ดูแล้วไง ดูเฉยๆไง เด็กรถชนก็รู้ว่ารถชน แล้วมันจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ก็ดูเฉยๆไง

แต่ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธินะ เค้าฝากเด็กไว้ให้ดู เอา ดูแลมัน เอ้า ให้นมให้น้ำมัน เอ้า นอนหรือยัง เอ้า จะทำอะไรเดี๋ยวมันจะประสบอุบัติเหตุ นี่ไง ปัญญามันไล่จิตไง พอเด็กเราดูน่ะ เด็กมันจะดีขึ้น เรียบร้อยขึ้น ดีขึ้นเรียบร้อยขึ้นเพราะเราสอนมัน นี่ไง ใกล้เข้ามาๆ จนถึงตัวจิต เหมือนพุทโธเหมือนกัน นี่ ถ้าคนเป็นนะ มันรู้จักว่าความเป็น มันเป็นยังไง มันไม่เป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นนะ พระพุทธเจ้าไม่บัญญติไว้ ปฏิบัติ ปริยัติ ถ้าปฏิบัติมันแตกต่างกับปริยัติ แล้วนี่มันทำอะไร มันเพ่งเฉยๆ มันมีอะไร แล้วถ้าเพ่งเฉยๆมันเป็นความจริง ฤาษีชีไพรเค้าต้องได้แล้ว ฤาษีชีไพรเค้าเพ่งมาตั้งแต่สมัยไหนแล้ว มันทำได้ เราจะบอกว่าที่เค้าพูดกันน่ะ มันมีเหตุมีผลมั้ย มันมีข้อเท็จจริงของมันอยู่ไง เราพยายามอธิบายว่า จิตมันเป็นอย่างนี้เอง เรียกว่า มันเป็นเช่นนี้เอง จิตมันเป็นเช่นนี้เอง มันเป็นเช่นนี้เองแต่มันเป็นโดยกิเลสน่ะ มันไม่เป็นไปโดยธรรมน่ะ ถ้าเป็นไปโดยธรรมน่ะ มันจะเป็นในธรรมของพระพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา แต่นี้ จิตมันเป็นเช่นนั้นเองเพราะธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น

แล้วเราศึกษาธรรมะ มันเป็นปริยัติน่ะ เราเห็นหนังสือตำรา เราอ่านหนังสือเราเข้าใจมันใช่มั้ย นี่เราว่าเราจะมาปฏิบัติ ใช่มั้ย เราก็เพ่งดูมันไป มันก็เหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง จิตนี้ เหมือนหนังสือเล่มหนึ่งนะ เราก็ดูจิตของเราใช่มั้ย มันก็เหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง มันก็อ่านตามข้อมูลนั้น แต่หนังสือนี้ มันหนังสือของกิเลสไง คืออ่านตามข้อมูลนั้น ข้อมูลคือว่า พอใจไม่พอใจ เราขัดข้องใจยังไง แต่ถ้าเป็นธรรมนะ เราไม่มีอะไรเลยในหัวใจนะ เราไม่มีอะไรในหัวใจเลย แต่ที่เราศึกษาในธรรมของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกต้องมีสติ สติต้องฝึกขึ้นมา สติปุถุชน สติโดยปกติเราก็ยับยั้งความคิดของเราได้ แต่พอกิเลสมันละเอียดเข้าไป ทำไมมันมีมหาสติล่ะ ทำไมมันมีสติอัตโนมัติล่ะแล้วปัญญาที่มันเกิดขึ้นมาเนี่ย ปัญญาอย่างนี้ ฆ่ากิเลสได้มั้ย เหมือนเงินเลย เงินบาทเค้าใช้ในเมืองไทยนะเว้ย แต่พอไปอเมริกาเค้าใช้ดอลล่าร์

นี่ก็เหมือนกัน เราจะบอกว่า ความคิดเนี่ย ความคิดของเรา ปุถุชน กับปัญญาที่เกิดจากธรรม มันคนละมิติกัน มันคนละมิติกันเลย ปัญญาคนละปัญญาเลย ฉะนั้น หลวงตาเนี่ย พูดบ่อย ใครพูดออกมาเนี่ย รู้เลยว่าอยู่ขั้นไหน อย่างเราเนี่ย ใช้เงินบาท อยู่เมืองไทยเนี่ย แล้วดอลล่าร์มาทำไมอะ ดอลล่าร์มา กูไปซื้อของ กูไม่เอาน่ะ แต่ถ้ามึงไปอยู่อเมริกาเนี่ย ดอลลาร์เนี่ย สุดยอดเลย จิตที่มันลงลึกไปอีกระดับหนึ่งน่ะ ดอลลาร์นี่สุดยอดเลย คือ มันใช้เงินอีกประเภทหนึ่ง มันใช้ปัญญาอีกประเภทหนึ่ง มันใช้สติปัญญาอีกประเภทหนึ่งเลยนะ

เนี่ย ยังงี้ ถ้ามันดูจิตกันอยู่เฉยๆ มันไม่รู้จักตัวนี้แล้วมันพูดตัวนี้ไม่เป็น มันพูดตรงนี้ไม่เป็นแล้วพูดตรงนี้ไม่ได้ ทีนี้ ถ้าสิ่งที่ว่ามันเป็นเรื่องดักดาน เรื่องของการตลาดน่ะ การตลาดว่า มนุษย์ทั่วไปใช่มั้ย ก็มีกายกับใจ คือมีกายกับจิต ถ้าดูจิต ก็แบบว่า ดูมหัศจรรย์ขึ้นมาแล้ว และดูสิ คนทั่วไปเห็นมั้ย เวลาไปเข้าทรง ทรงเจ้า ไหว้ผีอะไรต่างๆ ไปอ้อนวอนขอเนี่ย แค่เค้าบ้วนน้ำลายใส่หัวพรวดเดียวน่ะ โห โล่งหมดเลยนะ สบายเลย นี่ไง มันมีอยู่แล้วไง แล้วดูจิตมันก็เป็นอย่างนั้นไง

เวลาโยมพูดน่ะว่า เดี๋ยวนี้ดูจิตมันกว้างขวางแล้วดูจิตมันกระจายไปมาก เราจะบอกว่า ภาพก็คือ ทรงเจ้าเข้าผีนั่นน่ะ พระเราก็มีเท่านั้นเองน่ะ ทำให้มันครบขั้นตอน เหมือนสะเดาะเคราะห์เลย มาถึงน่ะ มาทำอะไร มาสะเดาะเคราะห์ มากราบไหว้ เสร็จแล้วก็กลับ นี่ก็เหมือนกัน ดูจิตก็ไปสะเดาะเคราะห์ พอดูแล้วก็จบกระบวนการ เอ้อ สบาย

ตรงนี้เป็นจุดขายนะ ใครๆก็ว่า สบายๆ มันสบายไม่ได้ หลวงตาน่ะเทศน์บ่อยนะ แต่คนอื่นฟังอาจจะผ่านหูไปเฉยๆ ท่านเทศน์ปกติเนี่ย เราจะฟัง ท่านบอกว่า ต้องเข้มแข็งนะ ต้องจริงจังนะ จะมาสักแต่ว่า จะมาทำสักแต่ว่าไม่ได้ คนเป็นจริงๆต้องทำอย่างนี้ อย่างที่มหายาน มหายานที่เขาบอกว่า ลัดสั้นๆ เค้าทำยิ่งกว่าเราอีก เค้าทำยิ่งกว่าเราอีก แต่มันเป็นคำพูดเฉยๆ คำพูดเพื่อไม่ให้ติดที่ตรงใดไง อย่างเช่น เซ็น ธรรมะ เห็นมั้ย เปรียบมนุษย์เหมือนเป็นสวะ ถ้าสวะมันไม่ไปติดกิ่งไม้ที่ใด สวะนี้ มันจะลอยออกน้ำทะเลตามแหล่งน้ำออกไป จิตก็เหมือนกัน เนี่ย ถ้าเราทำของมันให้มันดีเนี่ย มันจะไปของมัน แต่นี้มันไปติดน่ะสิ พอมันไปติดที่ไหน เอ็งแก้ยังไงล่ะ ถ้ามันไม่ติดน่ะ จะทำยังไง

มันไม่จริง มันไม่เป็นตามนั้นหรอก แต่มันฮือฮา ฮือฮาแบบว่า มันทำได้ แล้วมาไอ้เนี่ย มาพุทโธ มาปัญญาอบรมสมาธิเนี่ย กว่าจะทำความสงบของใจแต่ละคน แต่มันทำได้ อย่างเช่นไอ้ที่ว่าเนี่ย ไปดูจิตมาสามปี มานั่งพุทโธๆที่เนี่ย พอจิตมันลงอะ แล้วมันมาพูดกับเราเนี่ย เดี๋ยวเราจะอธิบายให้ฟัง อธิบายให้ฟังเพราะอะไร เพราะถ้ามันดูจิตเนี่ย มันก็เหมือนกับธรรมชาติของจิตที่มันมีอยู่แล้ว ว่างๆสบายอยู่อย่างนี้ แต่พอเค้ากำหนดพุทโธๆๆของเค้า เค้ามาลองของเค้าเอง แล้วจิตมันลง จิตมันลง หมายความว่า ไม่ใช่เราบอกว่าลง หรือเค้าบอกว่าลงนะ จิตของเค้ามันลงเนี่ย รสชาติของเค้า เค้าบอกว่า เค้าพูดเองนะ "เสียใจมาก ที่เสียเวลาไปสามปี ไปนั่งดูจิตอยู่เนี่ย" แล้วพอพุทโธๆ พอจิตมันลง มันลึกซึ้งกว่าดูจิตมาสามปี สามปี ไม่เคยได้รับ ได้สัมผัส ความรู้สึกอย่างนี้เลย แล้วพอกำหนดพุทโธๆ จิตมันมีความรู้สึกแบบว่า ลึก มันลง มันต่างกับที่ทำมาเยอะมาก พอต่างปั๊ป มันก็ไปเห็นกายเลย พอเห็นกายปั๊ป มันก็แทงใจ แทงหัวใจของมัน นั่งร้องไห้อยู่ที่กุฏิเนี่ย นั่งร้องไห้ทั้งคืนเลย แล้วพอคืนที่สองทำอีก ก็ได้อีก นี่ไง เพราะเค้าดูจิตมาสามปี สามปีก็สบายๆอยู่สามปี แล้วเค้าพูดด้วย เค้าพูดกับยานะ ไม่กล้าพูดกับเรา บอกว่า "เสียดายเวลามาก เสียดายเวลาที่ทำไปที่สามปี" คำว่าสบายๆเนี่ยนะ มันทำทีแรก อย่างเช่นเราเนี่ย เราทุกข์ยากมา เรามีสิ่งใดรกในสมองมามาก แล้วเรามาเพ่งดูมัน ให้มันว่าง สบายมาก แล้วต่อไป มันจะสบายแค่ไหนล่ะ ในเมื่อสมองมันว่างแล้ว มันก็จะไปได้รับรู้รสอันนี้ แล้วรสอันนี้ กับที่มันสัมผัสมาแล้วน่ะ มันจะลึกซึ้งไปไหนล่ะ มันก็ไปได้แค่นี้ไง แต่ถ้าเป็นสมาธินะ เพราะความละเอียดของจิตน่ะ ความละเอียดของมัน ธรรมชาติของมัน เวลามันฟรี เวลามันปล่อยของมัน แล้วตัวมันเอง เวลามันละเอียดเข้าไปๆ มันจะมีขณิกะ อุปจาระ อัปปนา มันต่างกันทั้งนั้นน่ะ เค้าพูดตรงนี้ไม่ถูก เค้ามีอยู่คำเดียว ว่าง โล่ง สบาย

คำพูดน่ะ พูดให้เหมือน มันพูดได้ แต่ความจริง ไม่มี ทีนี้ พูดถึงพื้นฐานเลยนะ แต่เราอธิบาย อธิบายให้หมอฟังน่ะ เค้าบอกว่า จิตดับยังไง เค้าถามมาว่า จิตดับยังไง เราบอกว่า จิตเป็นสันตติ ไม่มีวันดับ ถ้ามีวันดับนะ จิตเนี่ย มันต้องมีวาระ มันต้องตาย แล้วจิตนี้ มันไม่เคยตาย จิตนี้ไม่เคยตาย เห็นมั้ย ดูสิ พระเวสสันดร พระโพธิสัตว์ มันยาวไกลมาขนาดไหน ถ้ามันตายไป มันตัดตอน มันจะต่อเนื่องกันมาได้ยังไง จิตมันไม่เคยดับ แล้วมันไปเกิดเป็นเทวดาอินทร์พรหมเห็นมั้ย แล้วนี้มาเกิดเป็นมนุษย์น่ะ มาเกิดเป็นมนุษย์มันก็มีธาตุสี่ขันธ์ห้า พอธาตุสี่ขันธ์ห้า การพิจารณาลงไป เค้าก็ดูจิตไปแล้วมันหยุด พอมันหยุดแล้วเค้าไปทึ่งมันไง พอเค้าทึ่งปั๊ป เค้าใช้คำว่ามันแฮ้ง มันไม่รู้สึกตัวเลย เราอธิบายเลย เราอธิบายว่า เนื้อส้มกับเปลือกส้ม ความคิดเป็นเนื้อส้ม เห็นมั้ย พลังงานเป็นเปลือกส้ม ถ้าธรรมชาติของมันเนี่ย มันจะเข้าถึงตัวเนื้อส้ม แต่นี่พอเข้าไปปั๊ป มันเกิดสติขึ้นมา คือเหมือนกับพอเราไปเจออะไรแล้วเราควบคุมไม่ได้ มันแฮ้งนี่เห็นมั้ย พองั้น เนี้ย ถ้ามันแฮ้งปั๊ป แล้วมันมีสติ มันแฮ้งขึ้นมา แล้วนั่นคืออะไร เราบอก นั่นคือตัวสติ มันรู้น่ะ มันรู้ แต่มันทำอะไร ไม่เป็น เราจะบอกว่า ให้ทำเข้าไปอีก เห็นมั้ย มันเข้าไปเห็นจิต จับจิต รู้จิตเลย ถ้ามันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันจะเป็นตามความเป็นจริง ไม่ใช่เป็นอย่างเขาว่า มันจะเป็นสัญญาอารมณ์

โทษนะ เหมือนอภิธรรม ดูนามรูปไปอย่างนั้น แล้วดูนามรูป คนที่ปฏิบัติไปบอกว่า เป็นอย่างนั้นจริงๆ มันจะละเอียดมาก อารมณ์มันจะละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ ละเอียดเข้าไปแค่ไหนนะ มันก็จินตามยปัญญา เพราะความมหัศจรรย์ของจิตไง เพราะจิตมันจะว่าง มันจะโล่ง มันจะลึกซึ้ง มันจะอะไร มันอยู่แค่นั้นแหละ มันอยู่แค่นั้น เพียงแต่ว่า อย่างเช่นเราเนี่ย เรากินข้าว กินอาหารที่รสชาติดีมากเลย อร่อยมากเลย ติดใจมากเลย พอกินๆไปมันก็เบื่อใช่มั้ย เราก็หยุด พอถึงเวลานานๆไป กลับมากินใหม่ มันก็อร่อยอีกแล้ว นี่ก็เหมือนกัน เดี๋ยวก็ดีมาก เดี๋ยวก็ดีน้อย เดี๋ยวก็ดีมาก ก็อารมณ์มึงนั่นแหละ แต่ถ้าเป็นความจริง มันไม่เป็นอย่างนั้น

แม้แต่พื้นฐานเห็นมั้ย สมถกรรมฐาน เพราะเค้าปฏิเสธสมถกรรมฐาน เค้าถึงไม่เป็นความจริง เราบอกเลยนะ เมื่อวานพูดกับพระ พระหัวเราะใหญ่เลย กินข้าวเนี่ย เค้าเอาข้าวใส่ปากนะ แต่เดี๋ยวนี้การปฏิบัติ เค้ากินข้าวแต่เอาข้าวใส่หู เอาข้าวยัดเข้ารูหู ก็เอาข้าวยัดรูหูแล้วมันจะเข้ากระเพาะได้มั้ย แต่ถ้าเอาข้าวใส่ปาก มันจะเข้ากระเพาะได้ ถ้าจิตสงบขึ้นมาเนี่ย เห็นมั้ย ตัวจิต พอถึงตัวจิตเนี่ย มันจะมีปาก พอถึงตัวจิต มันจะมีตัวข้อมูล ตัวภพตัวชาติ ตัวกิเลสอยู่ที่นั่น ถ้าพอจิตสงบเข้าไปที่จิต แล้วปัญญามันเข้าไปที่จิตเห็นมั้ย มันก็เข้าถึงเนื้อจิต มันก็เหมือนกับอาหารใส่ปาก เข้าท้อง พอเข้าท้อง อาหาร เข้าไปในร่างกาย ถ้ามึงไม่ใช้ปากตัวเอง เอ็งจะกินข้าว เอ็งยัดใส่หูเหรอ ยังดีนะ ยัดใส่หู ไม่ใช่เอาข้าวปาทิ้งน่ะ เอาข้าวปาทิ้ง นึกว่ากินข้าว

ดูจิตๆน่ะ มันดูอาการของจิต เพราะธรรมชาติของมัน เหมือนคนเนี่ย อยู่ในที่มีแดดจะมีเงา เนี่ย เวลาจิตเนี่ย โดยธรรมชาติของจิตคือตัวเรา ความคิดเป็นเงา ความคิดน่ะ เป็นเงา แล้วมันไปแก้ไขที่เงา มันจะเป็นไปได้ยังไง เพียงแต่ว่า เพียงแต่ว่า ที่เค้าทำกันเนี่ย ภาษาเรานะ มันไม่มีใครโต้แย้ง ซีดีของเราเนี่ย ทำยอดหนังสือของเค้า ฮวบเลย ยอดหนังสือนี้ฮวบเลย แล้วเนี่ย มันไม่มีใครโต้แย้ง แล้วจะบอกว่า คนโต้แย้งมันไม่มีเหตุมีผลจะโต้แย้งเค้าอย่างใด เพราะทุกคนดูจิตแล้วได้ผลหมด เพราะคนดูจิตแล้วว่างหมด พอคนดูจิต ใครดูจิตมันจะว่างหมดเลย มันจะมีความสุขหมดเลย แต่มันไม่ใช่ธรรมะ ธรรมะพระพุทธเจ้าแก้กิเลส ฉะนั้น พอมันได้ผลอย่างนั้นปั๊ป มันได้ผลใช่มั้ย ทุกอย่างทำแล้วมันเห็นผลไง

เรา เมื่อก่อนเราพูดบ่อย พวกเราใช้ศาสนา เราเข้าถึงศาสนาแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ศาสนาร้อยเปอร์เซ็นต์ เราเข้าแค่จิบๆ แล้วเราว่าเนี่ยเป็นชาวพุทธมาประพฤติปฏิบัติธรรมกัน แต่ความจริงมันไม่ใช่ เพราะเป็นความเชื่อถือของพวกเราไง อันนี้มัน มันจะถึงเวลามาก ถึงเวลาว่า พวกเราเนี่ย ชาวพุทธเนี่ย มันอ่อนแอ พอมันอ่อนแอหนึ่งแล้วก็อย่างว่า อย่างเช่นครูบาอาจารย์เรา อย่างเช่นหลวงตา เห็นมั้ย ท่านจะคอยเตือนพวกเราอย่าให้มีการบาดหมางกัน เพียงแต่ ทำไม หลวงตา จะไม่รู้ อันนี้ไง รู้แล้ว ภาษาเรานะ มันแก้ไขอะไรไม่ได้หรอก มันเป็นการฮือฮาชั่วคราว เหมือนกับตื่นทอง ตื่นทอง มันยังมีทองให้ตื่นนะ นี้ ตื่นอารมณ์ของตัวเอง ตื่นว่ามันว่าง ตื่นไปพักๆ พักนึง พอตื่นกันครบทุกคนแล้วนะ เหมือนจตุคามเลย จตุคามออกมาดังๆเนี่ย ทุกบ้านต้องมีจตุคาม พอทุกบ้านมีครบแล้ว จะออกรุ่นไหนต่อไปวะ นี่ดูจิตกัน ถ้าดูกันครบทั้งประเทศไทย ทีนี้ จะไปดูเท้าแล้วมั้ง ทีแรกก็ดูจิตน่ะ ต่อไปก็ดูหัวแม่แท้าดีกว่า พอทุกคนทำหมดแล้วไง พอทำหมดแล้วนะ แล้วได้อะไรขึ้นมา

ทีนี้ เพียงแต่ที่พูดเมื่อกี้แล้วเนี่ย พอคนนั้น ได้โสดาบัน สกทาคา อนาคา เนี่ย เราเรียกว่า เค้ากล้าพูดนะ มันเป็นการตกกระไดพลอยโจน ในสังคมของเค้า เราสังเกตนะ เค้าพยายามจะประสานงานกับพระ ให้พระรับรู้ด้วย พอมันเป็นโสดาบัน สกทาคา อนาคา มันก็ยอมรับกันไป แต่ถ้ายอมรับอย่างนี้ไปนะ แล้วมันไม่เป็นจริงน่ะ มันไม่เป็นจริงหรอก ในสังคมเราเห็นมาเยอะ ขนาดที่ว่าเราปฏิบัติกันน่ะ เอาจริงเอาจังขนาดนี้ ความเป็นจริง มันเป็นจริงตรงไหน เพราะเวลาปฏิบัติไป มันมีตทังคปหานไง พิจารณากายไป พิจารณาอสุภะอะไรต่างๆไป แล้วมันปล่อยหมด ว่างหมด อันนั้น ยังไม่จริงเลย แล้วนี้ไม่ทำอะไรเลย มาบอกดูจิตเฉยๆ แล้วมันจะจริงได้ยังไง พอพิจารณาไป แล้วมันปล่อยนะ มันปล่อยเห็นมั้ย แล้วเวลามันปล่อย มันปล่อยมันเป็นตทังคะด้วย มันปล่อย แต่มันปล่อยชั่วคราว เดี๋ยวมันก็แสดงตัว แสดงตัวที่พฤติกรรมของเราเนี่ย เพราะอย่างเราเนี่ยนะ ใหม่ๆเนี่ย ใครเข้ามา เราก็ได้ เราก็สงวนท่าที กิริยามารยาท เราก็ได้ แต่อยู่นานไปๆ มันมีออกมา มันเห็นของมันได้

อันนี้ ที่เขาบอก เป็นโสดา สกทาคา อนาคากัน เราก็ไปตื่น เค้าเป็นโสดา สกทาคา อนาคา มันก็เป็นกันอยู่ในหมู่ของเค้า แล้วมันอธิบายไม่ได้ เพียงแต่ว่า สิ่งที่เค้าสอนๆกันอยู่เนี่ย พวกนี้ส่วนใหญ่เค้าเป็นปัญญาชน ทีนี้ เวลาอธิบายธรรมะมันก็เหมือนพวกปริยัติเนี่ย พวกตรรกะเนี่ย อธิบายดีมาก แต่ แต่เราฟังออกว่ะ เราฟังออกนะ เราฟังออกตรงที่มันสรุปไม่เป็นเนี่ย มันสรุปไม่ได้หรอก อย่างที่เค้าเอาเทปมาให้เราฟังนะ อย่างเช่น พระโสดาบัน พิจารณากาย พิจารณากายไปเรื่อย จิตสงบก็พิจารณากายนะ พอพิจารณากายเสร็จแล้วนะ พอสรุปปั๊ป จะเข้าไปอยู่ในอริยสัจ คือเค้ายกเข้าไปอยู่ในพระไตรปิฎกเลย แต่พอของหลวงตาเนี่ย พอพิจารณากายไปเนี่ย มันแยกกันดังสามทวีป คำนี้เป็นคำของหลวงตาเลย จดลิขสิทธิ์ไว้ด้วย เดี๋ยวคนมันจะเอาไปใช้ เวลากายมันแยกนะ กายกับจิต กับทุกข์ แยกกันดั่งสามทวีป แยกออกจากกันเลย ในพระไตรปิฎกไม่มี นี่ คำนี้ เป็นคำของหลวงตา กายกับจิตนี้แยกกันออกไปเลย ดั่งทวีปนี้แยกออกจากกัน กั้นไว้ด้วยมหาสมุทร จิตรวมลง จิตรวมลง กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ จิตรวมลงแล้วมันเหลืออะไร เดี๋ยวมันเป็นไป เนี่ย เราพูดอย่างนี้ปั๊ป ใครฟังนี่ฟังเลย แล้วเอาไปพูดซ้ำเลย แล้วมันแยกยังไง ตอบไม่ได้ นี่ไง คำพูดเดียวกันไง คำพูดหลวงตาเนี่ย ถ้าออกเป็นเทปไปเนี่ย ใครก็จำได้ ใครก็พูดได้ แล้วเอามาร้อยเรียงกันนะ ร้อยเรียงกันให้เป็นสเต็ปเลย หนึ่งสองสามสี่ เห็นมั้ย หนี่ง กายแยกออกจากกัน สอง นั่งตลอดรุ่ง จิตสู่สภาวะ???เดิม นั่งตลอดรุ่งเป็นอสุภะ นั่งตลอดรุ่ง เป็นจุดและต่อม แล้วก็จำเอาไปพูด ถามกลับเลย แล้วทำยังไง ไม่รู้... พอทำยังไงปั๊ปนะ คนนี้แปลกนะ เหมือนขึ้นศาล เวลาเบิกความกับศาล แล้วโดนทนายมันซักค้านดิ้นเข้าไปที่หัวใจเนี่ย มันออกอาการนะ มันเลิกลั่กๆ เพราะไม่รู้จะตอบยังไง เพราะตีข้อมูลแตก ตายเลย

นี่ก็เหมือนกัน พอบอกว่า กายแยกเลย แล้วแยกยังไง อ้าว ก็แยกแล้วก็จะยอมรับไง พอบอกว่า แยกแล้วจะให้ตอบว่าแยกอีก ก็มันแยกแล้วก็จบไปแล้ว คือเสนอข้อมูลหมดแล้ว แล้วถามกลับมาว่า มันแยกยังไง ต้องกลับไปทำการบ้าน ถ้ากลับไปทำการบ้าน เค้ายังพูดได้นะ แต่ความจริงมันกลับไปทำไม่ได้ เลิกลั่กเลย แต่ถ้าพูดแล้วคนยอมรับ เพราะพูดธรรมะเหมือนกัน ธรรมะของหลวงตาที่เป็น ๑ ๒ ๓ ๔ เนี่ย พูดเหมือนกันหมดเลย แต่ถ้าใครพูดนะ เราให้คะแนน ศูนย์ หมด ศูนย์เพราะอันนี้ เป็นวิทยานิพนธ์ของหลวงตา เป็นการทดสอบการทดลองของบุคคลคนนั้น ถ้าเอ็งเอามาพูด เอ็งก็อป*มา เหมือนเรา ทางวิชาการ เราไปเอางานวิชาการของคนอื่นมาแอบอ้างว่าเป็นของเรา เราไม่ได้ทำการวิจัยของเรามา เราไม่รู้จริง ถ้าเราทำวิจัยของเรามาเอง เราทำมาทางวิชาการด้านนั้นมา เอ็งถามข้ามา เราทำมาใช่มั้ย มาๆๆ ทำให้ดู เนี่ย มาเลยๆ จะทำให้ดู ของจริงจะเป็นอย่างนั้น แต่นี้เราอาศัยแค่พูดกันให้คนยอมรับ แล้วคนเดี๋ยวนี้ มันเป็นไป มันฟังธรรมะได้ แล้วมันเอาสิ่งนี้มา แล้วดูจิต ดูจิตเนี่ย ดูจิตของหลวงปู่ดูลย์นี่ถูก แล้วหลวงปู่ดูลย์พูดถูก ดูจิตจนเห็นอาการของจิต แล้วหลวงปู่ดูลย์พูดนะ ดูจิต เราถามนะ เห็นจิตมั้ย เห็นกิเลสมั้ย พิจารณามัน คำว่า พิจารณามันเนี่ย ไปดูในหนังสือหลวงปู่ดูลย์สิ พิจารณามัน พิจารณามัน คนเป็นน่ะ มันเป็นสเต็ปขึ้นมาไง ดูจิต ๆ ก่อน แล้วหาทุนให้ได้ก่อน ทำจิตให้สงบก่อน เห็นอาการมั้ย เห็นอาการคือเห็นกิเลสน่ะ จิต เห็นอาการของจิต จิต เห็นอาการของจิตแล้ววิปัสสนามัน วิปัสสนา อาการคือขันธ์ห้า พิจารณามัน มันจะขาด ขันธ์ห้าไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ห้า ขันธ์ห้าไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ห้า มันหลบไปไหนล่ะ ในโสดาบัน? หลวงปู่ดูลย์พูดถูก คนเป็นนะ พูดยังไงก็ถูก จะแกล้งพูดให้ผิดก็ถูก คนไม่เป็น พูดให้ถูกมันก็ผิด พูดถูก ก็ถูกของครูบาอาจารย์ไง จำไว้น่ะ พูดถูกหมดเลย พูดเหมือนกันเปี๊ยะเลย ผิด คนทำไม่เป็นผิด ยังไงมันก็ผิด แล้วยิ่งตอนนี้ พอถึงเวลาแล้ว อย่างคำว่าถึงเวลานะ อย่างของเราเนี่ย เราโดนเค้าแบบว่า โดนเค้าฉ้อโกง หรือโดนเค้าหลอกลวงแล้วแต่ แล้วเราก็จะใช้หาข้อมูลจนเราจะทันเหตุผลนั้น เค้าก็หลอกไปทางอื่นต่อไป

นี่ก็เหมือนกัน ถึงที่สุดตอนนี้ เรื่องมันจะแดงขึ้นไปเรื่อยๆน่ะ พระโสดาบันมันจะเดินชนกันทั่วประเทศไทย อนาคาเนี่ย ไม่รู้จะหาที่ไหน นับไม่ถูก เรียงแถวเลย แล้วมันจะอนาคาไหน แล้วพอถึงเวลาแล้วนะ มันเหมือนแชร์แม่ชม้อยเลย พอจบแชร์แม่ชม้อย สังคมรู้ทัน มันก็เป็นแชร์แม่นกแก้ว พอจบแชร์แม่นกแก้ว มันก็เป็นแชร์ฟ้าคราม มันจะหลอกไปเรื่อยๆ หลอกจากเรื่องนี้จบมันก็ไปหลอกคนอื่นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่จบแล้วคือจบนะ เพราะสังคมไทยมันอ่อนแอ มันอ่อนแอกันไปเอง เมื่อก่อนถ้ามันไม่มีความเชื่อถือเนี่ย ไอ้ดูจิตๆ ดูยังไง ดูจิตๆที่มันเป็นไปได้ เพราะธรรมชาติของมันเป็นอย่างนี้ไง อภิธรรมเนี่ย อภิธรรมเค้ายังอยู่ได้เลย อยู่สบายๆเลย แล้วส่งอารมณ์ๆเนี่ย คนไม่เคยปฏิบัติ แล้วอย่างเราปฏิบัตินะ เราไม่เชื่อ แหม นั่งสมาธิแต่ละวันแต่ละคืนกว่ามันจะเป็นไปได้ แล้วนี่ส่งอารมณ์ทุกวัน เหมือนกับคนภาวนานี้ มันจะพัฒนา ถ้าส่งอารมณ์แล้ว เหมือนกับเด็กส่งข้อสอบนี่นะให้กันทุกวันนะ ไอ้พวกนั้นมันเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ไอ้พวกที่ส่งอารมณ์ทุกวันๆน่ะ ต้องเป็นพระอรหันต์แล้วนะ เพราะมันส่งทุกวันเลย เค้าให้คะแนนทุกวันเลย คะแนนมันเกินร้อยไปแล้ว แต่นี่ส่งอารมณ์ตั้งแต่เริ่มฝึกหัดปฏิบัติจนแก่ตาย ยังไม่มีใครได้อะไรเลย ส่งอารมณ์อะไรกัน

แต่ของเราครูบาอาจารย์เราปฏิบัติ ไม่ต้องมาส่ง หลวงปู่มั่นนี่ดักหน้าหมดเลย จะเป็นอย่างนี้ๆๆ จะเข้าทางนี้ จะมาทางนี้ ออกถนนนี้ จะเข้าถนนนี้ จากถนนนี้ จะเข้าซอยนี้ เข้าซอยนี้จะเข้าบ้านตรงนั้น มันเป็นโดยธรรมชาติ เป็นอย่างนี้จริงๆ ทำความสงบเข้ามา ถ้าสงบได้นะ เริ่มจับจิต จับกายเวทนาจิตธรรมได้นะแล้ววิปัสสนาไป จะเข้าถึงโสดาบัน เข้าถึงโสดาบันพอโสดาบันแล้วจับกายได้อีกจะเข้าสกทาคา ถ้าจิตสงบอีกจับกายได้อีกเป็นอสุภะจะเป็นอนาคา แล้วจับได้ไม่ได้ มันรู้ด้วยว่าจับกายได้ขั้นไหน เราปฏิเสธอสุภะๆตลอดเห็นมั้ย ทีแรกพอเห็นอสุภะ เห็นกาย เห็นกายกลับคืนสู่สภาพเดิม เห็นกายอีกทีนึงเป็นอสุภะ เห็นกายในกายของจิตและ เห็นกายคนละกายนะมึง เห็นกายมันคนละกายตรงไหน ตรงที่สมาธิ มหาสมาธิ สติ มหาสติ สติเห็นก็เป็นอย่างหนึ่ง มหาสติเห็นก็เป็นอย่างหนึ่ง วุฒิภาวะของเราไง อย่างเราเซ็นชื่อเนี่ย เราเนี่ยเป็นไอ้ขี้ครอก เซ็นชื่อก็เซ็นชื่อไง ถ้านายกเซ็นชื่อนะ เซ็นชื่อ FTA ประเทศไทยต้องเปิดช่องทางให้เค้ายกประเทศเลย เซ็นชื่อเหมือนกันแต่ใครเซ็น ไอ้ขี้ครอกเซ็นเค้าเผาทิ้งน่ะสิ แต่ถ้านายกเซ็น ประเทศชาติต้องยอมรับถึงข้อตกลงอันนั้น สติ มหาสติ สมาธิ มหาสมาธิ ใครเป็นคนรับผิดชอบ ใครเป็นคนรู้ใครเป็นคนเห็น ดูจิตมันพูดอย่างนี้มั้ย ดูจิตก็คือดูจิตไง พอมันดูจิตก็คือดูจิต มันไม่รู้อะไร ก็รู้จิตไง แต่หลวงปู่ดูลย์น่ะ พูดถูก พูดกับหลวงปู่กิมเห็นมั้ย กิม เห็นอวิชชามั้ย เห็นจิตมั้ย พิจารณามัน พิจารณามัน เค้าต้องเห็นจริงรู้จริงเห็นจริง แต่รู้จริงเห็นจริง คนรู้จริงๆมันทำยาก มันทำยาก แต่นี่บอกง่ายพอบอกง่ายแล้ว ไอ้แก้วไอ้แสงมันก็ดูได้ ไอ้แก้วไอ้แสงเนี่ย ไปกราบมันนะ เป็นพระอรหันต์หมดน่ะ ก็มันดูจิตน่ะ แล้วมันดูเสร็จแล้วมันวาดลงกระดาษน่ะ โห สวยเลย มันจินตนาการของมันน่ะเห็นมั้ย เด็กๆมันวาดลงกระดาษเลย มึงเอานิพพานชั้นไหนล่ะ มันวาดให้มึงดูเลย มันมีอะไรเป็นขอบเขต มันมีอะไรเป็นเนื้อหาสาระ มันมีอะไรเป็นความจริง แต่ถ้าเป็นธรรมนะ สันทิฏฐิโก ปัจจัตตัง รู้เฉพาะตน

เราจะบอกว่า สังคมไทยมันอ่อนแอ ไอ้ที่ว่าดูจิตมันกำลังระบาดเนี่ย มันระบาดก็เพราะว่าถ้าดูจิตเนี่ยนะ มันเหมือนอภิธรรม อภิธรรมเนี่ยนะ เราไม่ได้ดูถูกตัวอภิธรรมนะ เนื้ออภิธรรม พระไตรปิฎกไง สุตตันตปิฎก อะไรนะ วินัยปิฎก สุตตันตปิฎก อภิธรรมปิฎก อภิธรรมปิฎกเนี่ย ถ้าอภิธรรมปิฎกเป็นผลของจิตที่ภาวนาแล้ว สิ้นกิเลสเนี่ย เนี่ย วิธีแห่งวิทยาศาสตร์ทางจิต คือจิตพระอรหันต์เป็นอย่างนั้น ฉะนั้น เราเอาตรงเนี้ย เนี่ยจิตพระอรหันต์ใช่มั้ย จิตกี่ดวงๆเนี่ย อธิบายถึงอาการของจิตที่มันเป็นไป เนี่ยโดยวิทยาศาสตร์ ทีนี้เราไปจับตรงนั้นมาตั้ง แล้วเราจะเอาอารมณ์เราเป็นอย่างนั้น แล้วไอ้อภิธรรมเนี่ย มันเป็นอารมณ์มันเป็นวิทยาศาตร์ทางจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ แล้วจิตของพวกเราเนี่ยมันสกปรก เราจะเอาความรู้สึกเราให้ไปเป็นอย่างอารมณ์ในอภิธรรม มันเป็นไปได้มั้ย มันเป็นไปไม่ได้ พอมันเป็นไปไม่ได้ มันต้องเอาจิตที่สกปรกอย่างพวกเราเนี่ยมากรอง มาทำสมาธิให้มันใสให้มันสะอาดก่อน ให้มันมีโอกาสได้มาประพฤติปฏิบัติ แล้วพอปฏิบัติถึงสิ้นกระบวนการ จบสิ้นกระบวนการ มันก็จะเป็นอภิธรรมแบบนั้นแหละ เพราะฉะนั้นบอก ตัวอภิธรรมน่ะ ในพระไตรปิฎก เราไม่ค้านตรงนั้น ตรงนั้นมันเป็นผลของพระอรหันต์ ของพระพุทธเจ้าที่ทำแล้วเป็นอย่างนั้น แต่เวลาเขามาตั้งอารมณ์พวกเรา นามรูปๆๆเนี่ย มันก็นามรูปอยู่นั่นน่ะ ทีนี้ นามรูปกับดูจิตมันก็อันเดียวกัน

ทีนี้สังคมอย่างนี้ เราจะบอกว่า ในการปฏิบัติน่ะ วัตรทั่วไปเนี่ย ไอ้เรื่องดูนามดูรูป เนี่ย เค้าทำกันอยู่แล้วไง เพราะเวลาเค้าฝึกกันน่ะ วิปัสสนาจารย์น่ะ ฝึกพระที่สอนอภิธรรมเนี่ย เค้าฝึกอยู่แล้ว แล้วเค้าฝึกมาเป็นรุ่นๆๆๆร้อยองค์ๆๆๆเต็มไปหมดเลย แล้วเขาก็กระจายสอนกันไป คนเค้าก็รับฟังรู้กันไปหมดเลยนะ รู้เป็นนาม นี่เป็นรูป รู้กันไปทั่วประเทศไทย นี่รู้ทั่วประเทศไทย พอดูจิต มันก็อันเดียวกันไง สังคมเนี่ย มันแบบ แม่น้ำทุกๆสาย ไหลไปรวมกันไง พอไหลไปรวมกันนะ ไอ้ดูจิตมันก็เลยฮือฮาขึ้นมาไง ถ้าเป็นอภิธรรม บอกพวกที่ดูจิต บอกว่า เอ็งปฏิบัติอภิธรรม มันจะยอมรับไหม บอกว่าดูจิตเนี่ย บอกว่าพวกมึงเนี่ย ปฏิบัติอภิธรรม เหมือนอภิธรรม ดูนามรูปเลย เอ็งจะยอมรับมั้ย เพราะอะไร เพราะเค้าทำกันอยู่ใช่มั้ย แต่พอบอกดูจิตเนี่ย นี้มันเก๋ มันเท่ห์ไง พอบอกดูจิต กูเป็นกรรมฐานนะโว้ย กูไม่ใช่อภิธรรมนะโว้ย กูเป็นกรรมฐานน่ะ กูดูจิตน่ะ กูเป็นพระป่านะ ก็กูดูจิตน่ะ แต่มาถึงข้อเท็จจริงเนื้อหาสาระของมันคืออะไรล่ะ ก็อภิธรรมนั่นแหละ เค้าดูนามรูป พอดูรูปดูนาม ดูจิตดูอาการ มันก็วนอยู่นั่นน่ะ

หลวงปู่เจี๊ยะท่านบอกไง ดูจิต แก้กิเลสได้หรือไม่ได้ หลวงปู่เจรียญบอก ไม่ได้ หลวงตาบอกว่าท่านก็ดูจิตมาแล้ว เราดูจิตน่ะ จิตมันเสื่อมไปหนึ่งปีกับหกเดือน ถึงต้องกลับมาใช้คำบริกรรม คำบริกรรมเนี่ย ดูจิตเนี่ยนะ เหมือนกับ โยมมองเรา ทุกสายตามองมาที่เรา ตัวโยมเอง ไม่มีอะไรเลย เพราะโยมมองอยู่ที่เรา แต่ถ้ากำหนดพุทโธ เห็นมั้ย โยมมองมาที่เรา แล้วก็คิดว่า โยมกับเราเหมือนกันมั้ย ร่างกายเหมือนร่างกายมั้ย เอามาเปรียบเทียบกัน เอามาเปรียบเทียบกันว่า ร่างกายเรากับร่างกายของครูบาอาจารย์เหมือนกันมั้ย ว่ามันมองมา พุทโธก็เหมือนกัน พุทโธๆๆเนี่ย เรากำหนดพุทโธใช่มั้ย จิตเนี่ย มองมาที่เรา จิตเนี่ย ตามองมาที่เรา จิตนึกถึงพุทโธ ก็เหมือนมองมาที่เรา แล้วคิดว่าเรากับอาจารย์เนี่ย ร่างกายเหมือนกันมั้ย คือ มันสะท้อนกลับมาที่จิตเพราะมันออกไปจากจิตไง ความคิดที่มันออกมาจากจิต แต่พิจารณานามรูปเนี่ย มันก็มองมาที่เราเลย แต่ตัวเองไม่เกี่ยว มองมาที่เราเลย นามรูปๆไปเลย คือมันส่งออก

แต่ถ้าเป็นพุทโธ หรือปัญญาอบรมสมาธิเนี่ย ส่งออกเหมือนกัน เริ่มต้นส่งออกเหมือนกัน แต่ส่งออกเพื่อจะค้นหาตัวมัน เพราะเรามีสติ พุทโธๆๆเข้ามาเห็นมั้ย พุทโธๆๆระยะสั้นเข้ามา จนพุทโธชัดเจนขึ้นมา จนพุทโธไม่ได้เห็นมั้ย จนพุทโธกับจิตเป็นอันเดียวกัน จนพุทโธกับจิตเป็นอันเดียวกัน นี่คือตัวสมาธิไง ปัญญาอบรมสมาธิก็เหมือนกัน ถ้าดูเฉยๆ มันดูส่งออก เหมือนดูเพ่ง ดูกสิณ เพ่งกสิณน่ะ แล้วไปเพ่งกสิณนี้มันเป็นสมาธิได้หรือเปล่า เพ่งกสิณ กสิณไฟ กสิณลม กสิณอะไรต่างๆ เพ่งเอาน่ะ มันเห็นภาพ เห็นมั้ย พอเห็นภาพเนี่ย กสิณไฟ แล้วขยายกสิณไฟให้มันใหญ่ขึ้นๆ นี่ไง มันไม่ส่งออกไป จิตมันนิ่งแล้วมันขยายภาพขยายส่วนได้

ถ้าเข้าใจเรื่องสมาธินะ เข้าใจเรื่องจิตเรื่องอะไรต่างๆนะ เรื่องดูจิตเนี่ย เรา อันนี้ ไอ้ที่พูดเนี่ยก็พูดเพื่อ ในวันนี้พูดเพื่อข้อเท็จจริงของจิตเลย เพราะถ้าดูจิต มันส่งออกยังไง ดูอย่างที่พูดที่เริ่มต้นมาเห็นมั้ย เพราะถ้าดูจิตจริงๆตั้งสติดีๆมีความมั่นคงอย่างหลวงปู่ดูลย์ ก็ทำได้ แต่เราจะบอกว่า คนต้องมีเชาวน์มีปัญญา ถ้าเลือกอย่างนี้แล้วนะ มันจะไปลงกับหลวงปู่ชา หลวงปู่ชา หลวงปู่ดูลย์เนี่ย เป็นคนที่มีเชาวน์ปัญญา หลวงปู่ชาเนี่ย ไม่ค่อยฟังใคร ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง มันอยู่ที่ทัศนคติน่ะ ทัศนคติน่ะแบบคนหัวแข็งว่ายังงั้นเลย คนไม่ลงคน ถ้าคนที่ไม่ลงใคร แต่ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง พวกเนี้ย มันจะเข้มแข็งในใจ แต่ไอ้พวกที่พูดๆกันอยู่เนี่ย มันหัวอ่อนน่ะ ไม่ใช่ไม่ลงเค้า เอาหัวซุกให้เค้าด้วย แต่ถ้าคนจริงน่ะ คนจริง คนเป็นจริงอย่างหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ชา พวกเนี้ย หลวงตาเนี่ยนะ คนเข้มแข็ง แต่ท่านก็ใช้ปัญญาอบรมสมาธิของท่าน ถ้ามันเข้มแข็งนะ มันเอาจริงเอาจัง ไอ้นี้ ที่มันขัดแย้งกัน มันขัดแย้งกันตรงที่ว่า ดูสบายๆอย่าเกร็ง อย่าอะไรเนี่ย เหมือนทำให้คนที่อ่อนแออยู่แล้ว แล้วก็ทำให้ตัวเองอ่อนแอไปอีก แล้วอ่อนแอคืออะไร อ่อนแอคือว่า หลบไปเลย จิตหายไปเลย ว่างงงงง ไม่มีอะไรเลย แต่ถ้าเป็นคนจริงจังนะ จะบอกว่าถ้าเอาจริงเอาจังแล้วมีวาสนาจริงแล้วจะทำยังงี้จนเป็นสมาธิ เราว่าได้ แต่... มีส่วนน้อยมาก ทีนี้บางคนที่ทำเนี่ย มันเป็นส่วนใหญ่ แล้วส่วนใหญ่เราบอกนจะได้ผลจริงตามนั้น ผลจริงตามนั้นคืออะไร ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเป็นศีล เป็นสมาธิจริงๆเนี่ย ตัวสมาธิ ตัวปัญญา เนี่ยสุดยอดมาก ถ้ามันทำได้จริงเนี่ย สุดยอด นี้เอาหลักตัวนี้มาตั้ง แต่เอาจริตนิสัย เอาความเห็นของตัวมาทำ มันก็เลยกลายเป็นสิ่งที่แบบว่า ถอนรากถอนโคนตัวเอง ถอนรากถอนโคนเลยนะ ถอนราก สติปัญญาของเราหมดเลย ว่างๆๆๆ เหมือนฤาษีชีไพร

อะ ใครมีอะไรค้านมั้ย อ้าว มีอะไรว่ามา มีมั้ย เอ้า มีอะไรที่เป็นประเด็นที่เราพูดแล้ว แบบว่า หลวงพ่อนี้พูดข้างเดียวน่า ตีหัวเข้าบ้านไม่ได้ ไม่มีก็จบล่ะ


(1) นั่นก็คือ อินทรียสังวรศีล ที่พวกท่านทำกันอยู่นั่นไง

ครูบาอาจารย์พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่นรูปหนึ่งได้เมตตาอบรมฆราวาสไว้ดังนี้

หลวงปู่มั่นท่านสอนว่าให้พุทโธๆเนี่ย คำว่าพุทโธเห็นมั้ย อย่างเช่นหลวงปู่อ่อน ท่าานไม่ได้สอนพุทโธ ท่านสอนใวห้ใช้คำบริกรรมยาวมากเลย หลวงปู่มั่นทานก็สอนหลากหลายแล้วแต่ว่าคนภาวนาง่ายหรือภาวนายาก คำว่าหลากหลาย ผลของมันก็คือ ทำความสงบของใจเข้ามาเพื่อจะเอาใจนี้ออกมาเพื่อจะวิปัสสนาเพื่อเป็นประโยชน์กับคนๆนั้นเพื่อจะเผยแผ่ศาสนา เพื่อศาสนาจะได้เข้าสู่ใจดวงนั้นเห็นมั้ย มันก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย หลวงปู่เสาร์

หลวงปู่มั่นท่านเผยแผ่ธรรมมา มันก็ไม่มีปัญหาอะไรเลยเพราะอะไร เพราะพวกท่านรู้จริง ท่านรู้จริง ท่านค้นคว้าของท่าน ท่านชัดเจนของท่าน ท่านเอาสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ใช่มั้ย

แต่ในปัจจุบันนี้เห็นมั้ย แล้วบอกว่า เนี่ย ชาวพุทธนี่ อย่าโง่ ชาวพุทธนี่โง่ มาทะเลาะเบาะแว้งกัน

ทำไมชาวพุทธต้องทะเลาะเบาะแว้งกัน ใครไปทะเลาะ ไม่มีใครไปทะเลาะหรอก แต่ตัวเองน่ะ ตัวชวนทะเลาะ ตัวชวนทะเลาะ เพราะอะไร เพราะชวนทะเลาะเค้านะ เวลาเกิดไฟไหม้บ้าน เราจะเอาไฟ เอาน้ำดับไฟ เค้าบอกว่า ไอ้คนเอาน้ำดับไฟ ไอ้คนนั้นน่ะชวนทะเลาะ

แล้วใครเป็นคนจุดไฟล่ะ ใครเป็นคนเผาบ้าน ใครคือคนบอกว่า พุทโธเนี่ย พวกกำหนดพุทโธเนี่ย พุทโธแล้วมันจะเป็นฌาน พอพุทโธๆไปเนี่ย มันจะตัวแข็ง พุทโธๆไปเนี่ย เมื่อไหร่มันจะได้มีความสงบ เมื่อไรจะได้มา ได้มาด้วยการใช้ปัญญาด้วยการวิปัสสนา คราวนี้ใครเป็นคนจุดไฟ ไฟอันนี้ใครเป็นคนจุด
บอกชาวพุทธเนี่ย กำหนดพุทโธๆเนี่ย พวกเนี้ย พวกล้าหลัง พวกนี้ทำทั้งชีวิตเลยแล้วเมื่อไหร่จะได้วิปัสสนา พุทโธนี่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย อันนี้ใครเป็นคนจุดไฟ

แล้วพอเค้ามาจะดับไฟ ใครจะไปทะเลาะ ไม่มีใครไปทะเลาะหรอก เอ็งจุดไฟ เผาศาสนาเอ็ง แล้วพอเค้าจะมาดับไฟในศาสนา เอ็งมาบอกว่า ชาวพุทธโง่ ชาวพุทธอย่ามาทะเลาะกัน

ไม่ได้ทะเลาะ ไม่ได้ทะเลาะกับใครเลย เพียงแต่ว่า สิ่งใดเห็นมั้ย ดูสิ พ่อแม่เลี้ยงลูกน่ะ อาหารที่เป็นพิษจะให้ลูกกินมั้ย ถ้ากินเข้าไปแล้วเป็นโรคภัยไข้เจ็บจะให้ลูกกินมั้ย ในการประพฤติปฏิบัติน่ะ ไม่ต้องกำหนดพุทโธ ไม่ต้องฝึกสติ สติจะเป็นเองต่างๆเนี่ย

นมน่ะนะ มันผสมเมลานีน เนี่ย มันจะกินได้มั้ย เราจะให้เด็กเรากินมั้ย ลูกเราน่ะ นมมันผสมเมลานีนเนี่ย เอ็งจะให้มันกินมั้ย ตายห่าหมด !

นี่ก็เหมือนกัน สติไม่ต้องฝึก สติไม่ต้องฝึก เราไม่ได้ทะเลาะกับใคร เราบอกสติต้องฝึก สติต้องฝึก ถ้าไม่ฝึกสติเนี่ย สติเมื่อไหร่มันจะเกิดเอง นมน่ะนะ เราจะเอานมมากินกันเนี่ยนะ เราต้องเลี้ยงโค เลี้ยงแพะ และต้องรีดนมมันมากินนะ ไอ้นมกล่องน่ะมันผสมเมลานีนมันมาจากห้าง มาจากต่างๆน่ะ มันเป็นนมพิษ

เนี่ย ไอ้คนที่มันได้มาจากนั้นน่ะ มันไม่เข้าใจว่าสิ่งใดมีประโยชน์สิ่งใดไม่มีประโยชน์เลย แต่ครูบาอาจารย์เราเนี่ย นะ มันเป็นสัจธรรม ธรรมมันมาจากไหน ธรรมก็มาจากสัจจะความจริง จะบอกว่า ธรรมะเป็นธรรมชาติ มันมาจากธรรมชาติก่อน มาจากเราก่อน แต่พอถึงที่สุดแล้วมันจะ เหนือธรรมชาติ เราจะเลี้ยงโค เลี้ยงแพะ กว่าจะรีดนมมัน กว่าจะเอานมมากินเป็นประโยชน์กับเรา นี่ก็เหมือนกัน สติไม่ฝึก มึงไม่ฝึก มึงมาจากไหน ทำไมถึงสติไม่ต้องฝึก สติไม่ฝึกอะไรมา นี่ ไม่ได้ชวนทะเลาะ เพียงแต่ว่า ผู้คุ้มครองผู้บริโภค สคบ. อะไรน่ะ คุ้มครองบริโภคน่ะ เค้าว่าเอ็งสอนผิดน่ะ ไม่ได้ชวนทะเลาะ เอ็งก็บอกมาสิว่า นมเอ็งไม่ได้ผสมเมลานีน นมเอ็งบริสุทธิ์อย่างไร สติมึงเกิดอย่างไง สติมึงเกิดยังไง เกิดโดยสภาวะจำ
สภาวะเนี่ย จำคือสัญญา ความระลึกเนี่ย ตั้งสติ พอเราตั้งสติ พอเราระลึกดู นี่คือฝึกสติ ไปจำเนี่ย มันพ้นจากสติแล้ว สัญญากับปัญญา ถ้าปัญญามันเกิดขึ้น มันจะเกิดเปํนปัญญา ถ้าเป็นสัญญา มันก็เป็นสัญญา สัญญาเป็นสติไม่ได้ นี่ไง ส่วนผสมมันผิดไง

นมมึงผสมเมลานีน แล้วมึงจะเอามาให้ประชาชนเค้าดื่มกินอยู่เนี่ย มันจะเป็นประโยชน์อะไรขึ้นมา ใครไปทะเลาะ ไม่มีใครทะเลาะ เค้าว่าชาวพุทธโง่ ไปทะเลาะกัน นี่พระโง่ พระโง่จะพูด พระโง่ไม่ได้ไปทะเลาะกับใคร พระโง่จะบอกว่า สิ่งที่สติไม่ต้องฝึกน่ะ มันเป็นนมผสมเมลานีน มันใช้ประโยชน์ไม่ได้ แล้วชวนทะเลาะ? ไม่ได้ชวนทะเลาะ การทะเลาะเอ็งจุดไฟเผาขึ้นมาก่อนเอง

เอ็งบอกพุทโธไม่ต้องกำหนด สติไม่ต้องฝึก เอ็งเป็นคนจุดไฟเผา แล้วเราเอาน้ำมาดับไฟ ใครไปทะเลาะกับเอ็ง ไม่มีใครทะเลาะกับใคร แต่เค้าจะมาบอกว่า ส่วนที่การประพฤติปฏิบัติเนี่ย สติต้องฝึก ครูบาอาจารย์ยังเตือน พระพุทธเจ้ายังบอกเลย สติในพระไตรปิฎกทั้งเล่มเลย สติต้องการทุกที่ ทุกสถาน ทุกขบวนการ แม้แต่เด็กยันคนตายต้องพร้อมด้วยสติ นี่ขนาดทางโลกนะ

และทางธรรมเนี่ย สติมันก็มีสติ มีมหาสติ แล้วสติเนี่ย พอสติคือการจำสภาวะ แล้วเกิดสติเอง มันเป็นไปไม่ได้ จำสภาวะ คำว่าจำ คือ สัญญา ระลึกกับจำ มันคนละอันกัน ระลึกคือระลึกรู้ ไม่ได้จำ

จำมันเป็นจิตคนละดวงแล้ว ถ้าจิต 108 ดวง จำมันคือจำสภาวะ จิตมันคือคนละดวง มันคนละสถานะ มันคนละคนกัน คนละจิตกัน มันเอาไปเป็นขบวนการเดียวกันไม่ได้

แต่ถ้าเป็นการระลึกเนี่ย ตัวมันเอง ตัวจิตเองระลึกขึ้นมาในตัวมันเอง นี่ มันฝึกสติยังงี้ แล้วสติมันระลึกอยู่เนี่ย มันมีสติสัมปชัญญะ มันจะรู้ตัวมันเอง แล้วมันฝึกบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า เห็นมั้ย สติก็คือสติ

แล้วพอมันเป็นสติแล้ว มันเป็นสติตัวจริง มันเป็นสติตัวปลอม ถ้ามีการตั้งใจแล้วจงใจเป็นสติตัวปลอม ถ้ามันสติตัวจริง คือมันสติเอง สติมันมีเอง สติมันมีเองเนี่ย คือ

สติมันไม่มีตัวจริง ไม่มีปลอมหรอก สติมันเป็นสมมติ มรรคนี่เป็นสมมติ ทุกอย่างเป็นสมมติหมด สัพเพธัมมาอนัตตาเนี่ย เป็นสมมติบัญญัติ เป็นสภาวะธรรม คำว่าสภาวะธรรมเราก็พูดว่า สภาวะธรรม แต่ผลของเป็นโสดาบัน สกิทา อนาคา ไม่ใช่สภาวะธรรม สภาวะธรรม กับ ธรรม คนละอันกัน สภาวะ คือ การเปลี่ยนแปลง สภาวะ คือการมีอยู่ สภาวะมีการดำเนิน ธรรม คือ ออุปธรรม ธรรมคือสถานะที่เป็นความจริง ไม่ใช่สภาวะ สิ่งที่เป็นสภาวะเนี่ย อารมณ์ความรู้สึกความเปลี่ยนแปลงนี่คือสภาวะ สภาวะที่เปลี่ยนแปลงอยู่เห็นมั้ย

แล้วบอกว่า ถ้าเป็นสติตัวจริง สติตัวปลอม ไม่มี แหม สติตัวจริง อันนั้นสติตัวปลอม นี่ไง เนี่ย ใครเป็นคนจุดไฟเผาบ้านเผาเรือนขึ้นมา แล้วเวลาเค้าจะมาดับไฟเนี่ย เพียงแค่เค้ามาชี้ให้เห็นว่า อะไรผิด อะไรถูก อะไรผิดนะ มันเป็นการคุ้มครองผู้ริโภคน่ะ ผู้บริโภคน่ะ

เอ็งเอาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ สินค้าที่ไม่มีประโยชน์ไปให้เขาบริโภค แล้วเราบอก สินค้านั้นมันผิด เราไม่ได้ไปชวนทะเลาะกับเจ้าของสินค้าที่ไหนทั้งสิ้น ไม่ได้ทะเลาะกับใคร ชาวพุทธนะ เนี่ย การกระทำเนี่ย เวลาตัวเองทำ เวลาตัวเองทะเลาะ เวลาตัวเองจุดชนวนขึ้นมา ไม่ได้ดูว่าตัวเองเป็นคนทำ แต่พอมีคนจะมาดับไฟเนี่ย ชาวพุทธโง่ ชาวพุทธทะเลาะกัน ชาวพุทธไม่ควรทะเลาะกัน ใครไปทะเลาะกัน ถ้ามันเป็นความจริงก็บอกมาสิว่า นมบริสุทธิ์มันเป็นยังไง สติน่ะ ที่ว่าสภาวะจำน่ะ สภาวะจำ

จำสภาวะแม่นๆน่ะ เป็นสติน่ะ มันมีที่ไหน จับใส่ขวดมาให้กูดูหน่อยสิ จับสติที่จำแม่นๆจับใส่ขวดมา แล้วขอดูหน่อยว่า จำแม่นๆมันเป็นยังไง จำแม่นๆ ก็คือสัญญา สติก็เกิดจากจิต ความระลึกนี่แหละ

ฟังนะ สติเนี่ย เป็นสัมมาสติ มิจฉาสติ เป็นมรรค ๘ ใน มรรค ๘ กระบวนการของมัน เกลือเนี่ย มันถนอมอาหารได้ แต่เกลือเนี่ยนะ เกลือเนี่ย เป็นปัจจัย เป็นประโยชน์มาก สติเนี่ยเหมือนเกลือ แต่ตัวเกลือนี่มันใช้ประโยชน์อะไรได้ทุกอย่างมั้ย ตัวเกลือเนี่ย ทางการอุตสาหกรรมเค้าเอาไปทำประโยชน์มาก สติถ้ามีกับจิตนี้มันเป็นพื้นฐาน พอมีสติแล้วเกิดสมาธิ เกิดปัญญา ตัวสติ ตัวสมาธิ ตัวปัญญา มันเกิดจากสติ มันไม่ใช่สติ
เพราะงั้นบอกว่า สภาวะจำเนี่ย สภาวะจำมันเกินกระบวนการของสติแล้ว

สติคือการระลึกรู้ ระลึก เป็นพื้นฐาน สติต้องการในการทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ ในปัญญานั้นก็ต้องอาศัยสติ ในสมาธิก็ต้องอาศัยสติ เกลือนี้ มันเป็นความจำเป็นที่สุดในการถนอมอาหารจริงมั้ย แต่ตัวเกลือมันเป็นอย่างอื่นไปได้มั้ย ตัวเกลือมีความสำคัญมาก เป็นปัจจัย ไม่ต้องทำนาทำไร่กันแล้ว เราทำนาเกลือ กินเกลืออย่างเดียวได้มั้ย มันก็ไม่ได้ แต่เกลือมีความจำเป็นมั้ย มี แต่จะกินเกลืออย่างเดียวได้มั้ย นี่ก็เหมือนกัน สติมีความจำเป็นมั้ย มีความจำเป็นมาก แต่ตัวสติเอง เป็นปัญญาไม่ได้ เป็นสมาธิไม่ได้ เป็นอะไรไม่ได้ทั้งหมดเลย แต่ตัวพื้นฐานมันเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นเค้าจะจับเอาตัวสติมันเป็นพื้นฐานแล้วเราจะเกิดปัญญา เดี๋ยวจะพูดไปเรื่อยๆ เราจะบอกว่า วันนี้ อ.ย. มันจะวิเคราะห์ มันเป็นไปไม่ได้ไง

มันสังเวช มันสังเวชว่า ตัวเองน่ะ เวลาตัวเองจนตรอกเข้ามาแล้ว ชาวพุทธอย่าทะเลาะกัน ทะเลาะกันมันไม่ดี ก็ไม่ดีแล้ว ถ้าไม่ดีแล้วจะให้สังคมมันแหลกเหลวไปอย่างนี้เหรอ ให้สิ่งที่ไม่มีคุณค่าอย่างนี้ให้คนมันชักนำกันไปอย่างนี้เหรอ ถ้าอย่างนี้ไป เพราะเวลาตัวเองทำน่ะ พุทโธไม่ต้อง อะไรไม่ต้องทุกอย่างเลย แล้วก็มาดูมาเพ่งกัน เวลาดูก็มาดูมาเพ่ง รู้กายรู้จิต รู้กายรู้จิตมันจะเป็นปัญญาเอง

กล้องวงจรปิดไม่เห็นมันจะเป็นปัญญาสักที กล้องวงจรปิดเนี่ยนะ ดูสิ มันจับทั่วประเทศไทยแล้ว แล้วมันเป็นปัญญาขึ้นมาไหม

ดูรู้มันจะเป็นปัญญาอะไรขึ้นมา มันมีตรงไหน ทำไมจิตไม่เป็นสมาธิขึ้นมา แล้วมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องสติก็เป็นไปไม่ได้ และพอเรื่องสติเป็นไปได้นะ เพราะถ้าเป็นสติจริง เนี่ยสติจริงสติปลอม สติเป็นพื้นฐาน และพอเกิดสมาธิขึ้นมามันเป็นความต่าง พอความต่างขึ้นไปเนี่ยถ้ามันเกิดปัญญาเห็ฯมั้ย เกิดปัญญา สติ สมาธิ เกิดปัญญาไม่ได้เลย ถ้าจิตมันไม่ออกแสวงหา เห็นกาย เวทนา จิต ธรรม เห็น กาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็น ธรรมด้วยสัจจธรรมนะ

แต่ในปัจจุบันเนี้ยมันเห็นกันด้วยสัญญาอารมณ์ มันเห็นโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก กิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะเราอยากได้ธรรม เราอยากได้มีคุณธรรม เราอยากมีต่างๆไป พอครูบาอาจารย์ท่านบอกพิจารณากาย การพิจารณากายก็เหมือนกับผู้ใหญ่เค้าพิจารณากายใช่มั้ย ไอ้อย่างเรามันเด็กๆ ก็พิจารณากาย ก็พิจารณากายไป ขณะที่พิจารณากายนะ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ก็คือ อะไร ก็คือ กาย เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เค้ามาท่อง เป็นคำบริกรรมนะ เวลาท่องพุทโธๆๆเนี่ย บางครูอาจารย์ให้ท่อง เกสาโลมานขาทันตาตโจ พิจารณากายต้องพิจารณากายใช่มั้ย แต่นี้เอามาเป็ฯคำบริกรรม ผลของมันคือสมถะไง ผลของมันคือสมาธิไง ถ้าผลของมันเป็นสมถะ ผลเป็นสมาธิขึ้นมา มันก็เป็นศีล สมาธิ ปัญญา สมาธินี้เป็นเครื่องพัก ให้จิตมันได้พัก

เนี่ย โลกทัศน์ โดยธรรมชาติ มันคิดออกมา มันคิดโดยสามัญสำนึกเนี่ย มันเป็นโลกียปัญญา ถ้าจิตมันสงบมาแล้ว ถ้ามันเห็นกาย เห็นมั้ย เห็นกาย เวทนา จิต ธรรม ทำไมต้องเห็นล่ะ ธรรมดานี้ มันไม่เห็นหรอก สิ่งปกตินี้ไม่มีใครเห็นหรอก สิ่งที่เห็นมันเป็นสัญญาอารมรณ์ มันเป็นสามัญสำนึก สามัญสำนึกใช่มั้ย ดูกายดูจิต ดูกายดูจิต เป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ถ้าสิ่งที่เป็นไปได้ พอจิตมันสงบ มันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมน่ะ มันเห็นความต่าง เห็นเป็นโลกุตระธรรม เป็นโลกุตตระปัญญา โลกียะปัญญา โลกุตตระปัญญา ถ้าคนมันรู้จักสมาธินะ มันต้องรู้สมถะสำคัญอย่างไร แล้วเวลาเห็นกายนี้ มันเห็นกายยังไง

นี่มันไม่เห็นกายใช่มั้ย พอไม่เห็นกายขึ้นมา ก็บอกว่า ดูไปเรื่อยๆ รู้ไปเรื่อยๆ ก็รู้ไปจนจิตเกิดปัญญา จิตเนี่ยมันจะจำสภาวะอีกเหมือนกัน พอจำสภาวะแล้วมันจะเกิดปัญญาเอง แล้วดูจิตไปเรื่อยๆนะ ดูจิตไปเรื่อยๆ ดูกายดูจิตไปเรื่อยๆจนจิตมันรู้จักบุพภาคอะไรของเค้าน่ะ มันเป็นลักษณะของกิเลสแต่ละตัว จนถึงที่สุดนะ มันรวมกันเป็นสามัญญลักษณะจนจิตมันลงอัปปนนาาสมาธิ แล้วจะเกิดปัญญาโดยอัตโนมัติ ถึงขบวนการของมรรค กระบวนการทางปัญญามันจะเกิด อันนี้มันนิยายวิทยาศาสตร์น่ะ
เนี่ย โรงงานนิวเคลียร์นะ โรงงานนิวเคลียร์เนี่ย มันจะไปตั้งที่ไหน ชาวบ้านจะยอมให้มีโรงงานนิวเคลียร์มั้ย โรงงานนิวเคลียร์นี้ อย่างเทคโนโลยีที่สมบูรณ์แบบเค้าตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขึ้นมาเนี่ย มันจะเป็นพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ มันจะเป็นประโยชน์มาก กระบวนการของมัน ถ้ามันจะเกิดปัญญา มันจะเกิดมรรคญาณไง มันจะเป็นสัจจะความจริง มันไม่เป็นอย่างนี้ แต่นี้เพราะเราเห็นใช่มั้ย เราเห็นว่าพลังงานสันติ พลังงานนิวเคลียร์เนี่ยมันเป็นประโยชน์มาก โรงไฟฟ้าอะไรต่างๆ มันจะเกิดสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีมาก เรานั่งกันอยู่นี้ เราไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ เราจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์กัน คิดว่าโรงไฟฟ้าปรมาณูนี้มันจะอยู่ได้มั้ย นี่ก็เหมือนกัน จิตถ้าลงเป็นอัปปนาสมาธิแล้ว ไอ้นี่มันให้ชาวนาสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์น่ะ นี่ไง มันเป็นไปไม่ได้หรอก นี่ไง ถึงบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ ถ้าสิ่งที่มันเป็นไปได้เนี่ย มันถึงบอกว่า ไอ้นี้มันเป็นความ มันไม่ได้ชวนทะเลาะ เอ็งเอาโรงไฟฟ้าให้เด็กๆเนี่ย มันสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทยเนี่ย เอ็งว่าชาวพุทธชาวไทยจะอยู่ได้มั้ย

กระบวนการมันไม่เป็นอย่างนั้น ถ้ากระบวนการของมันนะ พอจิตมันเป็นสัมมาสมาธิแล้วออกเห็นกายเห็นจิตธรรม ปัญญามันจะใคร่ครวญของมันไป มันจะเกิดตทังคปหาน เกิดสมุทเฉทปหาน เกิดการกระทำยังไงน่ะ มันต้องเกิดกระบวนการของจิตที่มรรคสมังคี กระบวนการของอริยมรรคจะเกิด ดูกายดูจิตไปเรื่อยๆ จนจิตเห็นสามัญญลักษณะขึ้นมา จนจิตมันจะลงอัปปนาสมาธิ

เวลาบอกเค้าพุทโธเนี่ยนะ พอพุทโธไปเรื่อยๆ มันจะเกิดตัวแข็ง มันจะเกิดฌานสอง ใครเป็นปฐมฌาน ทุติยฌาน นี้ผิดหมด แหม เราฟังซีดีมานาน เวลาใครบอกนี่ ฌานสอง คนนี้ได้ฌานหนึ่ง เราบอก ฌานสองไม่ใช่ เวลามันจะจุดไฟเผา พุทโธนี้ก็จุดไฟเผานะ เหยียบพุทโธขึ้นไปว่าพุทโธนี้ทำไม่ได้ เวลาพุทโธจะเป็นฌาน จะติดสมถะ แต่เวลากระบวนการดูกายดูจิตไปเรื่อยๆ จิตจะลงอัปปนาสมาธิ เป็นฌาน ๔ แล้วพอมี ฌาน ๔ ก็เกิดปัญญา แล้วกระบวนการของมันจะเกิด นี่ไง โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์เนี่ยก็เป็นโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ที่คนทำไม่เป็น ถ้าพูดถึงรัฐบาลไม่เข้มแข็งเราจะปล่อยให้คนพวกนี้มาสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไหม นี่ไง มันผิดมันถูกที่นี่
นี่ไง ผู้คุ้มครองผู้บริโภคมันตรงนี้ ไม่ได้ชวนใครทะเลาะหรอก คือเอ็งพูดมามันผิดหมด ที่เอ็งพูดมาผิดหมด โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของเอ็งมันมีสารกัมมันตภาพรังสีที่จะทำให้ประชาชนเค้าตายหมด กัมมันตภาพรังสีมันให้โทษกับร่างกายใช่มั้ย ฌานสองนี้มันไม่มีประโยชน์กับใครใช่มั้ย นี่คนที่ได้ฌานสองต้องกลับมาดูกาย ดูจิต มันตกลงไป มันถลำลึกเข้าไป มันผิดหมดทุกอย่างเลย แต่พอตัวเองจะเกิดปัญญา ดันเกิดฌาน สี่ นะ ฌานสี่มันจะเกิด ...

ฌาน ไม่ใช่สมาธิ หลวงตาพูดบ่อย ไอ้ฌานๆแชนๆนี้อย่ามาพูดกับเรานะ หลวงตาท่านปฏิเสธเรื่องฌาน คำว่าฌานนี้มันเป็นฌานสมาบัติ คำว่าสัมมาสมาธิเนี่ย เค้าพุทโธๆเนี่ย เค้าไม่ได้เอาฌาน เค้าเอาสมาธิ เค้าเอาความสุขความสงบของใจ คำว่าพุทโธเนี่ยมันเป็นคำบริกรรม พุทโธๆๆเนี่ย จิตมันให้มีคำบริกรรมมันมีที่เกาะที่ยึด จิตมันเป็นนามธรรม มีที่เกาะที่ยึด มีสติสัมปชัญญะไปน่ะ ตัวจิตมันเป็นตัวกิเลส ตัวอวิชชา มันได้ใช้คำบริกรรม ได้เกาะเกี่ยวมันไป มันได้ใช้คำบริกรรมซักฟอกตัวมันเอง มันจะสะอาดบริสุทธิ์โดยสัมมาสมาธิได้ ถ้ามันสงบสะอาดเป็นสัมมาสมาธิแล้วนี่ มีความชำนาญเป็นวสี ทำสมาธิบ่อยครั้งๆเข้า จนสมาธิ จิตมันมีหลักตั้งมั่นของมัน มีความสุขของมัน คนมันอิ่มเต็มคนมีความสุขแล้วเนี่ย มันไม่ได้ออกทำงานด้วยอวิชชา ไม่ได้ออกทำงานด้วยความหิวโหย มันไม่ได้ทำความเสียหาย

แต่ในปัจจุบัน ตัวเองหิวโหย ตัวเองอยากบรรลุธรรม อยากสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เห็นไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นประโยชน์มาก ไม่ต้องใช้พลังงานต่างๆมาใช้ประโยชน์ ก็มั่วออกไปหมดเลย เนี่ย มันเป็นไปไม่ได้สักอย่างนึง แล้วตัวเองก็ปฏิเสธนะ ว่า ฌาน หนึ่ง ฌานสองมันผิด แล้วปัญญาอะไรมันไปเกิดในฌานสี่ล่ะ เวลาลงอัปปนาสมาธิแล้วจะเกิดฌานสี่ แล้วกระบวนการอริยมรรคจะเกิดของมันไป ปัญญาจะเกิดของมันไป

นี่ไง เวลาจะบอกเค้า ชาวพุทธอย่าโง่ ชาวพุทธทะเลาะกัน แต่กูเนี่ย พระโง่ ไม่ได้ชวนทะเลาะ ไม่ได้ชวนทะเลาะกับใคร แต่บอกว่า สิ่งที่เอ็งพูดนั่นนะ มันผิดหมด มันไม่มี มันเป็นไปไม่ได้ มันจับแพะชนแกะ จับแพะขึ้นมาเนี่ย ไปเอาอันนั้นมาแปะ อันนั้นมาแปะ แล้วพูดถึงคำพระพุทธเจ้าให้คนเชื่อถือศรัทธา แล้วพูดตามจริงเนี่ย ก็พูดมาสิ เค้าไม่ได้ชวนใครทะเลาะหรอก ก็เพียงแต่บอกว่า

สตินี้ มันใช้สัญญาจำได้จริงหรือ
ปัญญาเนี่ย มันเกิดจากอัปปนาสมาธิได้จริงหรือ
แล้วเวลาอัปปนาสมาธิที่มันลงแล้วเนี่ย ที่มันเกิดฌานสี่เนี่ย จริงหรือ?

เพราะอัปปนาสมาธิ มันไม่ได้เกิดอย่างนี้หรอก ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ มันเกิดอย่างไร เหตุผลมันเพียงพอ มันถึงจะเกิดผลอย่างนั้น ไอ้นี่มันพูดแต่ชื่อของมัน แต่เนื้อหาสาระข้อเท็จจริงมันไม่มี แล้วคนที่เขาไม่เคยประพฤติปฏิบัติเค้าฟังแล้วก็ไม่กล้าโต้แย้ง แล้วเวลามีข้อโต้แย้งมา ก็บอกว่า ชาวพุทธอย่าทะเลาะกัน

ไอ้นี่มัน 18 มงกุฏนะ มันเป็นการเล่นไพ่สามกอง มันเป็นการเล่นลูกเต๋า มันเป็นการเสี่ยงทาย แล้วให้คนอื่นเชื่อถือนะ

มันเป็นไปได้ยังไง แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นการเล่นไพ่สามกอง ไม่ได้เป็นการปั่นเต๋าเนี่ย ก็พูดมาให้มันชัดเจนว่ากระบวนการของมันยังไง ได้ฟังเทศน์หลวงตามั้ย? หลวงตาน่ะท่านนั่งตลอดรุ่ง ท่านต่อสู้กับเวทนายังไง แล้วจิตมันรวมยังไง นั่น กระบวนการมรรคมันเกิดอย่างนั้น กระบวนการของมรรคมันเกิดจากจิตของเราสงบ แล้วจิตของเราออกรู้ ออกวิปัสสนา ออกแก้ไขกิเลสเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นมา แล้วเวลามันเกาะติด มันปล่อยวางยังไง ขันธ์ห้าไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ห้านี้มันแยกออกไปสามทวีปเห็นมั้ย ท่านบอกเวลามันแยกออกจากกันเป็นสามทวีปเลย เนี่ย กายกับจิต กับทุกข์ มันแยกออกจากกัน แล้วจิตมันรวมลง นี่ กระบวนการของมัน มันมีของมันโดยธรรมชาติของมัน มันมีอริยสัจ มันมีของมัน

นี่กระบวนการของปัญญามันเกิดอย่างนี้ กระบวนการของปัญญามันเกิดเพราะอะไร เกิดเพราะมันชำระล้างกิเลส เพราะกิเลสมันยึดมั่นถือมั่น สักกายทิฏฐิมันคิดปรุงแต่งเป็นของเรา แล้วกระบวนการที่มรรคมันเกิดขึ้นน่ะ งานมันชอบตรงไหน มันจับต้องอะไร

ไอ้นี่ ทุกอย่างมันจะไปเกิดบนอัปปนาสมาธิ อัปปนาสมาธิเกิดปัญญาไม่ได้ อัปปนาสมาธิโดยความเป็นจริงเอ็งก็ทำไม่เป็น ที่พูดว่าอัปปนาสมาธิน่ะ พูดโก้ๆ เอาแต่ชื่อมันมาผูกคอไว้ แต่ผลมันไม่เกิด ถ้าผลมันเกิดเป็นอัปปนาสมาธิจะไม่พูดอย่างนี้ เพราะอัปปนาสมาธิเนี่ยมันเป็นสักแต่ว่ารู้ แล้วปัญญามันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันเกิดไม่ได้ คนนอนหลับบอกกินข้าวอิ่มมันเป็นไปไม่ได้ คนจะกินข้าวมันต้องลุกขึ้นนั่งบนโต๊ะแล้วกินข้าวบนโต๊ะนั้น คนที่เค้านอนหลับอยู่น่ะ มีคนอยู่สองคน คนหนึ่งกินข้าวบนโต๊ะอิ่มเลย ไอ้คนที่นอนหลับอยู่มันตื่นขึ้นมาบอกว่าอิ่มแล้ว มีใครเชื่อมั่ง มันเป็นไปไม่ได้สักอย่างนึง ความจริงมันเป็นไปไม่ได้ เวลาสร้างปัญหาขึ้นมา จุดไฟเผาบ้านเผาเรือน ก็ไม่คิดว่าตัวเองทำ

เวลามีเค้าจะมาดับไฟกัน ก็บอกว่า เค้าจะมาจุดไฟเผาบ้านเผาเรือน เวลาตัวเองจุดไฟเผาบ้านเผาเรือนนะ ชาวพุทธโดยธรรมชาติ ชาวพุทธโดยสัญชาติญาณเห็นมั้ย ก็พุทโธ ก็เคารพพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ก็บอกว่า พุทโธเนี่ย ทำมาทั้งชาติ แล้วเมื่อไหร่จะได้ประโยชน์ขึ้นมา เนี่ย ลบล้างเค้า พอลบล้างเค้าได้ประโยชน์ขึ้นมาแล้วคนอื่นเขาจะมาแก้บอกไม่ได้ ทะเลาะกัน ๆ เพราะมันทำประโยชน์ขึ้นมา มันทำให้คนไขว้เขวไปหมดแล้ว มันไม่เป็นความจริงสักอย่างนึง
จะบอกว่าไม่มี เป็นสิ่งที่พูดมานั้น มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่ไม่มี สิ่งที่ว่า

สติเกิดจากสภาวะจำ ไม่มี
สภาวะจำ เป็นสัญญา สติมันจะเกิดโดยสัจจะ แล้วถ้าคนมีสตินะ คนมีสตินะ สติเนี่ย เวลาโสดาปัตติมรรค สกิทาคามีมรรค แล้วเวลาคนเป็นพระอรหันต์เนี่ย มันจะเห็นมหาสติ ถ้าคนไม่มีมหาสติ จะเป็นพระอนาคามีไม่ได้ พระอนาคามี จะอย่างน้อยต้องมีมหาสติ มหาปัญญา แล้วเป็นพระอรหันต์นี้จะมีสติอัตโนมัติ สติกับจิตมันจะเป็นอันเดียวกันเลย ถ้าสติอย่างนั้นเนี่ย ถ้าคนเคยเห็นสติตามความเป็นจริงนั้น จะไม่พูดพล่อยๆอย่างนี้ ดูกายดูจิตไปแล้ว มันจะเป็นอัตโนมัติ พอพิจารณากายดูกายดูจิตไป

พอว่างแว็บ จิตจะเห็นนิพพาน จิตจะเห็นช่องนิพพาน ใครเห็นนิพพานแว็บนึงจะเป็นโสดาบัน พอเป็นโสดาบันใช่มั้ย มันก็ละสักกายะทิฏฐิหมดเลย พอกลับมาปกติก็เป็นอย่างเก่า แล้วพอดูกายดูจิตต่อไป มันจะแว็บอีก เห็นนิพพานก็จะเห็นนิพพานครั้งที่สอง สองขณะก็มีสามขณะก็มี เห็นนิพพานครั้งทีสองเป็นสกิทาคา เห็นนิพพานครั้งที่สามได้เป็นอนาคา แล้วเห็นนิพพานจนถึงนิพพาน จิตละขันธ์ จะเป็นพระอรหันต์ เพราะอะไร เพราะทุกข์อยู่ที่ขันธ์ ทุกข์ไม่ได้อยู่ที่จิต เอ้า????

แจ้งสคบ.ไปจับ ไอ้นี่มัน ต้องบอก สคบ.ไปจับ นี่หลอกลวง คุ้มครองผู้บริโภค ต้องจับแล้ว เพราะสินค้านี่สินค้าปลอม เห็นนิพพานแวบ เป็นโสดาบัน เห็นโสดาบันเสร็จแล้ว กิเลสมันจะเข้ามาปิดอย่างเก่า แล้วพอดูจิตแล้ว มันจะแว้บเห็นนิพพานอีก ไม่มี ไม่มีหรอก กระบวนการของนิพพาน ของครูบาอาจารย์เนี่ย ท่านเทศน์อยู่ แต่มันฟังกันไม่ออกเท่านั้นเอง ถ้าฟังออกนะ กระบวนการของปัญญา มันมีพร้อมหมดน่ะ แล้วทำตามนั้น จะเป็นตามนั้น

ไอ้นี่มันพออย่างนั้นปั๊ป ชาวพุทธ อย่าทะเลาะกันเลย สิ่งที่ชั้นเสนอออกมาเนี่ย ถังสินค้านี่มันจะปลอมจะจริง ก็ใช้ๆมันไปเถอะ นมมันจะผสมเมลานีนก็กินๆกันไป ไม่เป็นไรหรอก กินกันไปอย่างนั้นเนาะ พุทโธไม่ต้องทำหรอก ไอ้นมเมลานีนก็ดื่มๆเข้าไปเลย จะได้อ้วนพี แล้วก็มาพูดเดี๋ยวทะเลาะกันนะ อย่าทะเลาะกัน ชาวพุทธมันเสียหาย แต่นมเมลานีนกินเข้าไปไม่เป็นไร
แล้วเห็นนิพพานนะ อัปปนาสมาธิจะมาเกิดปัญญา มันไม่เกิด มันไม่เป็นไปหรอก มันไม่เป็นไปอย่างนั้น มันสลดใจไง มันสลดใจ เวลาพูดออกตัว ว่าชาวพุทธอย่าโง่ อย่ามาโต้แย้งเลย

ถึงนมมันจะมีเมลานีนก็กินๆกันไป ไม่เป็นไรเนาะ ยิ่งต่อไปนี้กูจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เนี่ย กูสร้างเองเลยนะ แล้วเดี๋ยวมันระเบิดตายกันกลางกรุงเทพนั่นนะ แล้วพอมาพูดไป พอมาป้องกัน ก็บอกว่า ชาวพุทธอย่ามาทะเลาะกันนะ พระโง่ๆ มันไม่จริงสักอย่างนึงนะ ยิ่งจะแก้ตัวมา ถ้าอย่างนี้ปั๊ป ก็แก้ตัวมา อย่าทะเลาะกัน อย่าทะเลาะกัน ไม่ได้ทะเลาะ ไม่ได้ทะเลาะเลย นี้เพียงแต่ถามใช่มั้ย ถ้าถามน่ะ ก็ตอบมาสิ

สติเกิดจากการจำ จริงเหรอ
ปัญญา จะเกิดจากอัปปนาสมาธิจริงเหรอ
แล้วที่ดูๆกันไปจะเกิดฌานเนี่ย จริงเหรอ ฌานน่ะ ฌาน ๔ น่ะ มันจะเกิดได้จริงเหรอ
โธ่ พุทโธๆน่ะ เกือบเป็นเกือบตาย กว่าจะลงสมาธิกัน นั่งกันอยู่นี้ มาบ่นทุกคนน่ะ ทุกข์ๆยากๆน่ะ ดูไปๆแม่งมีฌาน๔ เอา สคบ.ไปจับมัน

...

อุปสรรคของคนมีหมด เรื่องการภาวนามันยากตรงนี้ เลยบอกว่าพุทโธกูไม่เอา ไปดูจิตกันเถอะ เราไปดูจิตกันเนาะ พุทโธอย่าไปทำ ยากน่าดูเลย แต่มันเป็นของจริงน่ะ มันเป็นความจริงอย่างนี้ ชีวิตมันเป็นอย่างนี้ อริยสัจมันเป็นอย่างนี้

ของจริงไม่เอา จะไปกินนมเมลานีนกันน่ะ จะไปเอาสบายๆน่ะ จะไปเอามาจากนมกล่องน่ะ เราไม่มีสิทธิ์กินนมกล่องนะ เราต้องเลี้ยงโคเลี้ยงแพะขึ้นมาแล้วรีดนมมันกิน จิตมันต้องกินอาหารของมัน ต้องพัฒนาของมัน มันต้องปฏิบัติของมัน มันต้องทำของมัน ต้องต่อสู้ ต้องต่อสู้กับมัน

...

ถ้ามันเป็นเวรเป็นกรรมนะ ชาวพุทธอย่าทะเลาะกัน เมลานีนก็กินเข้าไปเถอะ ไม่ต้องทำอะไร นั่งกันเฉยๆ เดี๋ยวจะเป็นนิพพาน พอดูๆไป นิพพานแวบมาเลยนะ เป็นโสดาบัน นิพพานแว็บมาเลย เห็นนิพพานแว็บเลย เป็นโสดาบันเลย สักแต่ว่าหมดเลย แล้วกิเลสก็กลับมากลบอย่างเก่านะ โอ้โห กูไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าองค์ไหนสอนนะ ไม่รู้ศาสนาพุทธที่ไหนเนี่ย

ฉะนั้นบอกว่า ดูจิตๆเป็นอัปปนาสมาธิแล้วจะเกิดปัญญาเองเนี่ย ต้องไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์ไหนสอนว่าปัญญามันเกิดที่อัปปนาสมาธิเนี่ย พระพุทธเจ้าองค์ไหนสอน ไปฟ้อง องค์การคุ้มครองผู้บริโภค

เราจะพูดคำว่าพระป่าพระบ้าน ความเข้าใจผิดนะ พวกเราไปแบ่งกันเองว่าพระป่าหรือพระบ้าน
ความจริงพระก็คือพระ เวลาพระบวชมาน่ะ อุปัชฌาอาจารย์สอนเห็นมั๊ย เวลาบวชพระน่ะ
มันก็ได้กรรมฐานเหมือนกัน เกสา โลมา นขา ทันตา ตะโจ เหมือนกัน

ทีนี่คำสอนว่าพระบ้านพระป่าเนี่ย มันอยู่ที่คำสอนถูกหรือผิด ถ้าคำสอนถูกนะ
พระบ้านก็สอนถูกคือถูกก็ดีงาม ถ้าพระบ้านสอนผิดเราก็หลงทางผิดไปใช่มั๊ย
พระป่าก็เหมือนกันพระป่าสอนถูก สอนถูกคือตรงสู่ธรรม ตรงสู่หัวใจ ตรงสู่การปฏิบัติ มันก็ถูกต้อง
แต่ถ้าพระป่าสอนผิด มันก็ไม่ใช่

ไม่ใช่พระป่า พระบ้านหรอก มันเป็นพระป่าหรือพระโกหกต่างหาก
ถ้าพระป่ามันต้องสอนตามความเป็นจริง ถ้าพระโกหกมันก็สอนไปตามโกหกไปเรื่อยเฉื่อยอย่างงั้นหละ

เพราะรู้จริง แล้วรู้จริงสอนไม่มีผิดเลย แต่ถ้ารู้ปลอมนะ มันโกหกสอนผิดหมดเลย
ถ้าการปฏิบัติมันเป็นความจริง ไม่ใช่วัดป่าสอนแบบวัดป่า วัดป่าคือทำสมาธิ
ผู้ที่อยากมีสมาธิจงมาวัดป่า ไม่ใช่ ถ้าวัดป่ามีสมาธิ หลวงปู่หลุย หลวงปู่ดุลย์
ท่านทำยังไงล่ะ ท่านสอนยังไง ก็เอาข้อเท็จจริง อย่าอ้างว่าสอนแบบวัดป่า ไม่ใช่

ถ้าจิตไม่สงบความคิดก็คิดอยู่อย่างงี้
พระโกหกสอนกันอยู่อย่างเงี้ย ว่างๆๆ ใช้ดูไป เข้าใจไป รู้ไป ปล่อยวางไป
จับปล่อยๆไป มันหุ่นยนต์ทั้งนั้นน่ะ มันเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ มันไม่ใช่เรื่องของธรรมะ ไม่ใช่เลย ไม่ใช่..

แหม..บอกว่าสอนแบบพระป่าๆ ถ้ามันสอนแบบพระป่า พระป่ามันต้องรู้จักสัมมาสมาธิ
แล้วสัมมาสมาธิมันเกิดบนผู้รู้ ผู้รู้เนี่ยจึงจะเป็นสัมมาสมาธิ แล้วถ้ามันไม่ต้องรักษาผู้รู้
แล้วทำลายผู้รู้ แล้วกำหนดขี้หมามันจะเป็นสัมมาสมาธิได้ยังไง ถ้ามันไม่ใช่สมาธิเนี่ย
มันไม่ใช่พระป่าหรือพระบ้าน มันเป็นพระโกหก ถ้าพระโกหกมันก็สอนโกหกนี่ไง
แต่ถ้าเป็นพระความจริง มันจะมีชั้นตอนเข้ามา

สมาธิไม่ใช่ขาดสติพั๊บสมาธิมันจะมาเอง แล้วถ้าจงใจตั้งใจผิดหมด ถ้าจงใจตั้งใจผิดหมด
แล้วความเพียรชอบมีไว้ทำไม คนจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ไม่ใช่ความเพียรขี้ลอยน้ำ
ความเพียรแบบเลื่อนลอยแบบนั้นมันเป็นความเพียรขี้ลอยน้ำเพราะมันตัดรากถอนโคน ตัดรากถอนโคนจิตของตัว

ถ้าสัมผัสธรรมได้จริงไม่พูดโกหกมดเท็จอย่างงั้น โกหกมดเท็จมาตลอด สังโยชน์ขาด
ขาดแล้วก็กลับมาอีก แล้วแว๊บก็เห็นนิพพาน ก็เป็นโสดาบัน พระอรหันต์ไม่มีอะไรเลย
พระอรหันต์เวลาจะนอนนะ ก็ตกภวังค์ไปเลย พระอรหันต์ยังมีภวังค์อีกเหรอ
พระอรหันต์มีภวังค์ที่ไหน ภวังค์ไม่มี ภวังค์ไม่มีหรอก

ถึงบอกว่ามันไม่ใช่พระป่า พระบ้าน มันไม่ใช่ว่าการปฏิบัติมันมีหลากหลาย มันมีถูกมีผิด
เราถึงบอกว่ามันมีพูดจริงกับพูดโกหกไง มันมีพระป่ากับพระโกหกไง ตอนนี้ ....
มันไม่ได้บอกว่าสอนแบบพระป่าหรอก มันสอนแบบพระโกหก จะจบนะ มันพระโกหกน่ะ.....เอวัง



มายาคติ
พระอาจารย์สงบ มนัสสันโต
ถาม ตอบปัญหาธรรม ๓๑ มกราคม ๒๕๕๓
วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

ท่านสามารถเดินทางไปสอบถาม พระอาจารย์ได้ ว่า เหตุใดท่านจึงกล่าวเช่นนี้ ก่อนอื่นที่ท่านจะคิดปรามาสพระอาจารย์ท่านนี้ ขอให้อ่านตรงนี้ก่อนว่า ท่านอาจารย์หลวงตาพระมหาบัวได้เคยกล่าวถึงพระอาจารย์สงบไว้ดังต่อไปนี้

“ท่านสงบจะเป็นหลักคนหนึ่งทางโน้น ท่านเคยอยู่ที่นี่ ออกจากนี้แล้วก็ไปอยู่ที่โพธาราม จากนั้นย้ายไปอยู่ที่ใหม่ ที่ใหม่เราก็ไป ก็ดีอยู่ นี่ก็จะปลูกต้นไม้ขึ้น ยังไม่มีร่ม ส่วนที่เก่านั้นก็ดีหากแคบ คับแคบเกินไป ท่านหยีองค์หนึ่งจะได้เป็นประโยชน์ทางด้านโน้น ไปจากวัดนี้ก็ไปอยู่ที่นั่นเลย อยู่ที่โพธาราม”

“ท่านสงบ เป็นพระวัดป่าบ้านตาด เป็นชาวโพธาราม ไปอยู่วัดป่าบ้านตาด จากนั้นมาแล้วก็มาตั้งวัดที่ โพธาราม ทีแรกไปเช่าที่เขาอยู่ เหมือนอย่างเราว่าเอาราชสีห์ไปหมอบอยู่ในกรง ศาสนาพระพุทธเจ้าเลิศเลอขนาดไหน เหมือนเข้าไปหมอบอยู่ในลูกกรง ถูกกรงขัง ไปเช่าที่เขาอยู่ ว่าอย่างนั้น พอเราไปได้ยินว่าเช่าที่เขาอยู่ เราสลดสังเวชทันทีเลย”

“ท่านสงบเป็นพระปฏิบัติดี ออกมาจากวัดป่าบ้านตาด คือใครก็ตามถ้าออกจากวัดป่าบ้านตาดเราจะสอดแทรกตามดูตลอดเวลาบรรดาลูกศิษย์ ถ้าใครดีเราก็ไปเยี่ยมเรื่อยเสริมเรื่อย เยี่ยมเรื่อย ถ้าไม่ดีไม่ไปเหยียบเลย พูดง่ายๆ ดีไม่ดีชี้หน้าด้วย เอาอย่างนั้นนะเรา ไม่ได้เหมือนใคร นี่พูดถึงเรื่องท่านหยีก่อนนะ เขาเรียกท่านหยี ชื่อสงบ แต่ท่านตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สมนามที่ว่าท่านชื่อสงบ”



ถ้าเป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรมก็จะมีเหตุมีผล สิ่งที่ไม่เป็นธรรมก็จะเป็น มายาคติ มันเป็นมายาคติ เป็นความเห็นของเค้าเอง เวลาสังเกตได้มั้ย เวลาพูด พระที่ออกมาแล้วมีชื่อเสียงจะบอกเลยว่า หลวงตารับประกันทั้งนั้นน่ะ เป็นลูกศิษย์หลวงตา หลวงตารับประกัน ทำไมเอาท่านมาอ้างล่ะ มีคนมาถามบ่อยว่าที่นี่ลูกศิษย์ใคร เราบอกว่า ต้องไปถามว่าอาจารย์รับเราเป็นลูกศิษย์หรือเปล่า ไม่ใช่ว่าเราจะอ้างว่าเราเป็นลูกศิษย์ใคร อย่างเช่นว่าเราเป็นชาวพุทธเนี่ย เราเป็นชาวพุทธ เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ถูกต้องมั้ย ถูกต้อง แล้วเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า เราเป็นสาวก สาวะกะ แล้วครูบาอาจารย์องค์ไหนล่ะ เป็นบุคคลสาธารณะ เราก็นับถือใครได้ทั้งนั้นน่ะ แต่นับถือท่านแล้วทำให้มันสมกับความนับถือนั้นหรือเปล่า เนี่ย เวลาเราต้องการประโยชน์น่ะ เราก็จะอ้างไปทั่วไปหมดล่ะ เวลาอ้างนี่นะ ทุกคนจะบอกน่ะ เวลาไปไหนก็แล้วแต่ ลูกศิษย์หลวงตาๆทั้งนั้นน่ะ เอาหลวงตาเป็นแบ็คก่อน อ้างว่า หลวงตาให้ออกมาเทศน์ หลวงตาให้ออกมาช่วยเหลือประชาชน หลวงตาทั้งนั้นเลย นี่ เวลาจะเอาท่านมาหาประโยชน์ นี้พอเอาท่านมาหาประโยชน์ ถ้าเป็นประโยชน์เป็นสิ่งที่ดี ครูบาอาจารย์ท่านเหมือนกับพ่อแม่น่ะ พ่อแม่มีลูก ลูกเราหรือเปล่า ก็ลูกเราน่ะ ลูกเราทำดีก็คือลูกเราใช่มั้ย ถ้าลูกเราทำไม่ดี มันก็กระเทือนถึงพ่อแม่เหมือนกัน ฉะนั้น ถ้าลูกเราปั๊ป มันเป็นลูกเราโดยข้อเท็จจริงอยู่แล้ว

นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์ ถ้าเรานับถือองค์ใด เราก็เป็นลูกศิษย์ของท่าน โดยความเคารพบูชา มันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ทีนี้ ถ้าเราบอกว่าเราเป็นลูกศิษย์ครูบาอาจารย์อยู่แล้ว เราก็ควรจะทำอะไรก็ได้ที่มันไม่ไปสะเทือนถึงครูบาอาจารย์เราใช่มั้ย สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ เราจะเชิดชูครูบาอาจารย์ของเราด้วยใจเคารพบูชาทำแต่คุณงามความดี ระลึกถึงคุณงามความดี ระลึกทำความดีเพื่อพ่อแม่ของเรา ทีนี้ ถ้าทำความดีเพื่อครูบาอาจารย์ มันก็จบใช่มั้ย ถ้าเป็นความดีจริง

แต่ถ้าเป็นความไม่ดีจริง มันเป็นมายาภาพ เห็นมั้ย บอกไว้เลย บอกว่า ถ้าเค้าไม่ออกมาเผยแผ่ธรรมอย่างนี้ หลวงตาจะไม่ดังอย่างนี้หรอก หลวงตาดังก็เพราะว่าการดูจิตของเค้า เค้ามาการเผยแผ่การดูจิต ทำให้คนมาปฏิบัติมากขึ้น คนรู้จักหลวงตามากขึ้น หลวงตาเนี่ยมีคนรู้จักเฉพาะแค่ผ้าป่าช่วยชาติ แค่เรี่ยไรทอง เค้ามองแค่นี้จริงๆนะ เค้าบอกว่า ที่เค้ารู้จักหลวงตา เพราะหลวงตาออกมาช่วยชาติ หลวงตาออกมาหาทอง ก็คนรู้จักกันแค่ส่วนหนึ่ง แต่เพราะเค้าเผยแผ่ธรรมะ คนก็รู้จักหลวงตามากขึ้น คำพูดอย่างนี้ฟังดูมันรื่นหูนะ เพราะดูแล้วเหมือนเป็นการส่งเสริมกัน แต่ถ้ามองมุมกลับนะ คำพูดนี้ คือเอาหลวงตามาเป็นแบ็ค เอาหลวงตามาเพราะอะไร เพราะตัวเองกำลังมีการตรวจสอบ มีการเพลี่ยงพล้ำใช่มั้ย ก็ต้องว่า ตัวเองทำเป็นประโยชน์ คือจะเอาหลวงตามาเป็นยันต์กันผี จะเอาหลวงตามาอ้างมาบังหน้า เวลาจะออกมาก็เอาหลวงตามาอ้าง เวลาหลวงตาอ้าง เวลาว่าหลวงตาท่านสอนพุทโธ หลวงตาไม่เคยสอนให้ดูจิตเลย ทำไมไม่พูดบ้างล่ะ แต่เวลายังงี้บอกว่า เพราะหลวงตาจะมีชื่อเสียงขึ้นมา คนรู้จักหลวงตาขี้นมาเพราะการกระทำของเค้า ไอ้นี่คือมายาคตินะ มายาคติคือเห็นแก่ตัว ตัวเองทำอะไรไม่เคยผิดพลาดเลย ตัวเองทำอะไรดีไปหมด แต่เวลาทำขึ้นมาเนี่ย ทุกอย่างว่าตัวเองเห็นชอบเห็นดีงามและสิ่งนั้นทำเป็นประโยชน์ มันเป็นเรื่องความนึกคิดเอาเอง แต่ถ้ามันเป็นสัจจะความจริงนะ คนลงใจเนี่ย ดูสิ พระพุทธเจ้าบอกไว้นะ ภิกษุ ถึงจะอยู่ไกลเราขนาดไหน ปฏิบัติเหมือนเรา ทำเหมือนเรา เหมือนอยู่ใกล้เรา ภิกษุจับชายจีวรของเราไว้ ไม่ปฏิบัติตามเรา จับชายจีวรเหมือนอยู่ติดกันอยู่ใกล้กันเลย แต่ไม่ปฏิบัติตามเรา นั่นถือว่าอยู่ไกลจากเรา นี่พูดถึงพระพุทธเจ้าพูดไว้ในธรรมะเลยนะ แล้วนี้บอกว่า ตัวเองทำเพื่อครูบาอาจารย์ ตัวทำอย่างนี้แล้วครูบาอาจารย์มีชื่อเสียงขึ้นมา

โธ่ เค้าไม่ได้มองถึงสัจธรรมนะ เค้าไม่มองถึงสัจธรรม ว่าที่เขาเคารพครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ท่านทำไม หลวงตาท่านอายุเท่าไหร่ ท่านอายุเกือบร้อยแล้ว หลวงตาท่านจะมาหวังอะไรกับความรู้จัก เห็นมั้ย หลวงตาพูดประจำนะ เราเบื่อมาก คนเนี่ย เราเบื่อมาก แต่เราเห็นกับหัวใจของคน ที่เราอยู่นี้ อยู่เพราะหัวใจของคน เพื่อประโยชน์ของหัวใจของคน ไม่ใช่ให้คนไปหาท่าน ถ้าอยู่เพื่อหัวใจของคน ก็ให้คนมันทำสมาธิ ให้มันปฏิบัติขึ้นมาสิ หัวใจของคนมันได้สดับธรรมอันนั้น หลวงตาท่านอยู่เพราะเหตุนั้น หลวงตาท่านอยู่เพื่อเป็นหลักชัย ใช่ ถ้าพูดถึงหลวงตา ท่านพูดเองนะในหมู่กรรมฐานท่านเหมือนเป็นหลักให้พวกเราเป็นที่พึ่งอาศัย ถ้าพึ่งอาศัย ถ้าเราทำสิ่งใดถ้ามันมีอุปสรรค เราไปขอความช่วยเหลือท่าน ท่านดูแลเรา อันนั้นมันธรรมดา

แต่นี้มันทวงบุญทวงคุณน่ะ หลวงตาเนี่ย มีคนรู้จักมากก็เพราะว่าการเผยแผ่ธรรมของเขา ถ้าไม่มีการเผยแผ่ธรรมหลวงตาจะไม่ดังแบบนี้

จริงเหรอวะ! จริงเหรอ!?

มันไม่เป็นความจริงอย่างนั้นหรอก หลวงตาท่านมีศักยภาพของท่าน ท่านไม่หวังความมีชื่อเสียงจากเอ็งไปเผยแผ่ธรรมให้คนมารู้จักท่านหรอก มันไม่มีหรอก แต่นี้คิดไปเองเนี่ย มายาภาพ มายาคติ หลงตัวเอง! หลงว่าตัวเองทำคุณงามความดีแล้วคนอื่นจะมาชี้ความผิดของตัวไม่ได้ ก็ตัวเองว่าตัวเองทำความดีเพื่อเชิดชูหลวงตา แล้วเชิดชูจริงหรือเปล่า? ถ้าเชิดชูจริง เวลาพูดถึงนะ สัจจะความจริงน่ะ หลวงตานะ เวลาท่านแก้ในการประพฤติปฏิบัติ ก็ให้ถามมา ให้ถามมา นี่เหมือนกัน เวลามีคนไปถามปฏิบัติ แล้วตอบมาสิ เหตุผลมันอยู่ที่นี่ เหตุผลมันอยู่ที่ข้อเท็จจริง ไม่ใช่เหตุผลที่ว่า ทำเพื่อใคร ทำเพื่ออะไร ทุกคนจะอ้างว่า เผยแผ่ธรรมๆ เผยแผ่ธรรมตามกิเลสของตัว เผยแผ่ธรรมตามความเห็นของตัว แล้วมันเป็นความจริงขึ้นมามั้ยล่ะ มันไม่เป็นความจริงขึ้นมา เพราะถ้าเป็นความจริงขึ้นมา มันต้องพูดที่นี่ ในเมื่อเราจะเผยแผ่ธรรม

หลวงตาเห็นมั้ย หลวงปู่มั่นท่านพูดเลยว่า องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งอยู่ต่อหน้า สาธุ ก็ไม่ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เอาแต่ความรู้ความจริงในใจของหลวงปู่มั่นมาสอนพวกเรา แล้วเวลาเทศนาว่ากัณฑ์เห็นมั้ย ใครคิดออกนอก เห็นมั้ย ท่านพูดกับหลวงปู่ฝั้น คอยจับขโมยให้ผมที เวลาผมเทศน์น่ะ ขโมยมันคิดเรื่องอื่น เพราะผมเทศน์น่ะมันไม่ถนัด ถ้าผมไม่ได้เทศน์คือหลวงปู่มั่นท่านไม่ได้เทศน์ ใครคิดอะไร ท่านดักหมดเลย อะไรควรไม่ควร อะไรดีไม่ดี เห็นมั้ย ทำไมหลวงปู่มั่นไม่อ้างพระพุทธเจ้า ไม่อ้างพุทธพจน์สักคำนึงเลย ท่านเอาจิตของท่าน เอาความรู้ของท่าน แล้วคอยจับขโมย ลูกศิษย์ของท่าน ใจมันเป็นขโมย มันขโมยคิด ขโมยออกคิดออกนอกลู่นอกทาง มันขโมยออกจากอริยสัจ มันไม่ทำงานอยู่ในอริยสัจ ท่านดักหน้า ท่านคอยติคอยเตือน นี่ หลวงปู่มั่นท่านเอาความรู้สึก เอารู้จริงของท่านสอนลูกศิษย์ลูกหา หลวงตาเวลาท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ท่านเอาความจริงของท่านสอนลูกศิษย์ลูกหา ท่านบอกเลยว่า ท่านเรียนมาจนเป็นมหา ท่านไม่ได้เรียนมหาเพื่อใครๆจะได้ติเตียนเรา ว่าเราพูดอย่างภาคปฏิบัติ เพราะเราก็เป็นมหาเหมือนกัน ในวงการปฏิบัติ เค้าถึงไม่กล้าติเตียนหลวงตา เพราะท่านศึกษามาจนถึงขั้นเป็นมหา แต่เวลาท่านเทศน์ออกมา ท่านไม่ได้เอาความรู้ในการเรียนเป็นมหามาเทศน์เลย ท่านเอาความจริงในหัวใจของท่านออกมาเทศน์ เอาความจริงใจของท่านมาเทศน์เวลาท่านฝึกสอนขึ้นมา พระผู้ปฏิบัติขึ้นมามันถึงมีความรู้จริงขึ้นมาตามข้อเท็จจริงในอริยสัจให้มีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา มีหลักมีเกณฑ์ นี่ แล้วเวลาท่านเผยแผ่ธรรมของท่าน เวลาท่านปกครองดูแลพระกรรมฐาน พวกลูกศิษย์นะ ใครบ้างจะต้องไปช่วยเหลือท่าน ใครบ้างจะบอกว่า เพราะมีลูกศิษย์ขึ้นมาทำให้หลวงตามีชื่อเสียง ใครพูดอย่างนั้นไม่เห็นมีเลย

แล้วนี้มันมาจากไหน!!

มันมาจากไหน บอกว่า ที่หลวงตาดังขึ้นมา เพราะว่าเค้าเป็นคนเผยแผ่ธรรมขึ้นมา คนเลยรู้จักหลวงตามากขึ้น มีเอ็งหรือไม่มีเอ็ง หลวงตาท่านก็อายุเกือบร้อยแล้ว พระลูกศิษย์ลูกหาคนที่เคารพบูชาหลวงตามหาศาล แล้วเวลาหลวงตาท่านใช้ความจริงของท่านเพื่อสัจธรรมเพื่อความเป็นจริงของท่าน แล้วเอ็งว่า พวกเอ็งเผยแผ่ธรรม เอ็งก็เอาความจริงของเอ็งออกมาพิสูจน์สิ เอาความจริงในใจออกมาพิสูจน์ ไม่ใช่ว่าคำก็พุทธพจน์ สองคำก็พุทธพจน์ อ้างหลวงตา อ้างพระพุทธเจ้าบังหน้า หลวงตาบอกว่า เอาเป็นฉากบังหน้าไว้ ข้างหลังก็เปิดแผลกันไป ข้างหลังทำแต่ผลประโยชน์ หว่านไถหาผลประโยชน์ขึ้นมา เอาพระพุทธเจ้าบังหน้าไว้ หลังฉากพระพุทธเจ้าคืออะไร คือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

แต่หลวงตา หลวงปู่มั่นไม่อ้างพระพุทธเจ้าเลย ทั้งๆที่ว่า ท่านพูดเอง หลวงตาท่านพูดเองอยู่ที่ดอยธรรมเจดีย์ เวลาจิตมันรวมลง กิเลสมันขาด พุทธ ธรรม สงฆ์ รวมลงอยู่ที่ใจ พระพุทธเจ้ารู้อย่างนี้ พระสาวกเขารู้อย่างนี้ แล้วท่านก็รู้อย่างนี้ เนี่ย ทั้งๆที่ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ใจของท่านเป็นพุทธะเต็มหัวใจเลย แล้วท่านอ้างพระพุทธเจ้ามั่งหรือเปล่าล่ะ แล้วท่านเอาความจริงในหัวใจของท่านออกมาเผยแผ่ธรรม ออกมาเพื่อประโยชน์กับโลก แล้วคิดว่า ตัวเองไม่เอาความจริงของตัวเองออกมาเพื่อแก้ไขความถูกต้องของตัวล่ะ ทำไม เอาแต่ครูบาอาจารย์มาบังหน้าไว้ เอาแต่สิ่งต่างๆมาบังหน้าไว้ และสร้างบุญคุณไง

เนี่ย เค้ามาพูดอยู่ทางฝ่ายที่เค้าไม่เห็นด้วย ทำไม หลวงตาไม่ออกมาตัดสินเรื่องอย่างนี้ มันจะตัดสินได้ยังไง หลวงตาบอก "ขี้ ขี้มันเหม็นน่ะ อย่าไปเขี่ยมัน ยิ่งเขี่ยยิ่งเหม็นน่ะ" เนี่ย ความที่ไม่เป็นธรรมน่ะ ยิ่งไปคุ้ยเขี่ยนะ ยิ่งทำให้สังคมเค้าสนใจขึ้นมา จากที่ไม่มีคนสนใจ เป็นคนเค้าสนใจขึ้นมา แล้วก็ขี้น่ะ เอาขี้ไปเทียบกับทองคำได้ยังไง มาบอกว่า ขี้เนี่ย มันเหม็น เพราะคุ้ยมาขี้มันก็เหม็นใช่มั้ย พอเหม็นขึ้นมา ขี้มันก็มีกลิ่นเหม็นอยู่ เอ็งชำระความเหม็น คราบไคลขี้ออกจากตัวเอง ไม่ใช่เพราะขี้ของเอ็ง แล้วเอ็งจะไปป้ายหลวงตาด้วย บอกว่า เพราะเค้าเผยแผ่ธรรม จนมีคนรู้จักหลวงตามากขึ้น อันนี้ มันจะเอาหลวงตามาเป็นโล่ มาเป็นการว่ามันเห็นอันเดียวกันไง เพราะความเห็นของตัวเองผิดใช่มั้ย ความเห็นของตัว คำสอนของตัวเนี่ย มันขัดแย้งกับข้อเท็จจริงใช่มั้ย เราจะอธิบายความจริงนั้นออกมาให้โลกเขาเข้าใจไม่ได้ใช่มั้ย พอโลกเข้าใจไม่ได้ แต่หลวงตาท่านเป็นความจริงของท่าน ตั้งแต่หลวงปู่มั่นลงมา ตั้งแต่หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว หลวงปู่พรหม หลวงปู่แหวน ท่านไม่เคยอ้างใครเลย ท่านเอาสัจจะความจริงของท่านแล้วเป็นหลักชัยในศาสนาให้พวกเรามีที่พึ่งที่อาศัย ให้พวกเราได้กราบไหว้บูชากัน แล้วเราประพฤติปฏิบัติกันเห็นมั้ย ท่านอ้างใคร ท่านเป็นหลักเป็นชัยของเรา ท่านอ้างใคร ถ้าท่านไม่ได้อ้างใครแล้วตัวเองทำขึ้นมา

อย่าดึงฟ้าต่ำ อย่ามาอวดอ้าง ว่าการเผยแผ่ธรรมของพวกเอ็ง ทำให้หลวงตามีชื่อเสียงขึ้นมา ท่านมีชื่อเสียงตั้งแต่เอ็งยังไม่บวชน่า เอ็งยังไม่บวช ชื่อเสียงท่านก็คับจักรวาลคับโลกนี้แล้วอะ เอ็งอาศัยชื่อเสียงของท่านน่ะ หลวงตารับประกัน หลวงตาเห็นด้วย ในการปฏิบัติเนี่ย หลวงตาเห็นด้วยแล้ว ไปกราบหลวงตาแล้ว หลวงตาท่านว่าถูกต้อง ก็อาศัยหลวงตาเป็นแบ็คนั่นน่ะเหยียบขึ้นมาน่ะ จนมีชื่อเสียงขึ้นมา แล้วพอมีชื่อเสียงขึ้นมา ชื่อเสียงที่เป็นขี้เหม็นคลุ้งน่ะ แล้วจะกลับไปบอกว่า ทำเพื่อหลวงตาได้ยังไง ถ้ามันเป็นจริง ก็เอาความจริงของตัวออกมาสิ ก็พูดออกไป ตัวเองถูกหรือผิด เค้าถามมาก็ตอบไปสิ สิ่งที่ทำมาเนี่ย สิ่งที่สอนน่ะ ดูจิตมันดูยังไง แล้วเผลอสติมันมาเอง มันมายังไง แล้วสัญญาเนี่ย ปัญญาเกิดจากสภาวะจำเนี่ย ถิรสัญญาที่มันจำขึ้นมาเป็นปัญญาน่ะมันเป็นยังไงก็พูดออกมาสิ ไม่ต้องบอกว่า ทำเพื่อหลวงตา ทำเพื่อหลวงตา แล้วจะไปดึงลงมาเพื่อเป็นฉากบัง เอาตัวเองแอบไว้ข้างหลัง แล้วก็จะมาหาผลประโยชน์ของตัวเองต่อไป

เนี่ย ท่านไม่พูด แล้วพยายามจะดึงมา ดึงมาให้เห็นว่า เค้าถามว่า เค้าก็ลูกศิษย์หลวงตา พวกเราก็ลูกศิษย์หลวงตา ลูกศิษย์ๆหลวงตาก็เป็นเอกภาพ แล้วมาขุดคุ้ยกันทำไม โห ในเว็บไซต์น่ะ คนมาเล่าให้ฟังเยอะ คนโน้นเค้าพยายามออกมา จะแฉลบไปเรื่อย แฉลบไปเรื่อย แฉลบไปจนแบบว่า ประเด็นมันอยู่ที่ว่า มันสอนผิดสอนถูก แต่เค้าไม่พูดเรื่องผิดเรื่องถูกนะ เค้าคิดแต่ว่า คนอื่นรับรอง คนอื่นรับรอง เค้าจะบอกว่า หลวงตาก็รับรอง ใครก็รับรอง แล้วรับรองจริงหรือเปล่า (1)แต่เวลาถูกผิดเนี่ย เวลาถามเป็นปัญหาขึ้นมาทำไมไม่พูด แต่พูดพุทธพจน์นี่มีอยู่แล้ว พุทธพจน์ก็ส่วนพุทธพจน์ พุทธพจน์ ดูสิ เราจะทำอาหารน่ะ อาหารชนิดไหนบ้าง ส่วนผสมของอาหารมันมหาศาลไป ในแกงอันนึงนะ เค้าบอกว่าในแกงนั้นมีกระชาย กระชายถูก มึงกินกระชายนะ ต้มกระชาย กินให้มันวันยังค่ำเลย ในแกงน่ะ มันก็มีกระชาย ใช่มั้ย มีข่า มีตะไคร้ แต่มันตำ มันครกขึ้นมา เป็นพริกแกงขึ้นมา มันต้องมีส่วนผสมเป็นหลากๆ ขึ้นมา พริกแกงมันถึงจะเป็นพริกแกงขึ้นมาได้ แต่พระพุทธเจ้า พอพูดถึงพุทธพจน์ พูดถึงประเด็นบางประเด็น ในแกงก็มีแต่ข่า มีตะไคร้ แล้วมะเขือล่ะ แล้วเกลือล่ะ แล้วส่วนผสมที่มันมีกะทิล่ะ มันจะเป็นแกงขึ้นมาน่ะ

ถ้าคนมีจริง คนทำได้จริง ถ้ารู้จริงขึ้นมา เราเป็นคนหาเครื่องแกงมาเอง เราเป็นคนทำความสะอาดเอง เป็นคนซอยคนหั่นเอง เราเป็นคนตำของเราขึ้นมาเอง ทำไม ไม่บอกออกมาล่ะ พูดออกมาสิ ข้อเท็จจริงไม่พูด แต่อ้างหลวงตาแล้วยังอ้างบุญอ้างคุณ ทวงบุญทวงคุณ เหมือนกับจะเอาประเด็นนี้มากลบเกลื่อนไง มากลบเกลื่อนมาบังหน้า

ไอ้กลบเกลื่อนบังหน้าเนี่ย มันธรรมดานะ มันก็แบบว่า มายาคติอยู่แล้ว เพราะเค้าเห็นแก่ตัวเค้าเอง มันก็มายาภาพอยู่แล้ว แต่มายาภาพเนี่ย เราไม่พูด มันก็กระเทือนน่ะ มันออกไปในเว็บไซต์ตลอดไป ออกเว็บไซต์เต็มไปหมดเลย เนี่ย หลวงตารับประกัน เวลาหลวงตาพูดถึงว่า หลวงตาพูดถึงไง เค้าบอกว่าหลวงตาก็รับรองทักษิณเห็นมั้ย เวลาถ้าหลวงตาพูดอะไรขัดแย้งเค้า เค้าก็ทิ่มมาเลย เวลาเค้าจะใช้หลวงตา เอาหลวงตามาเป็นพื้นฐาน เขาว่าเหมือนกัน แล้วสุดท้ายเนี่ย ตอนนี้บอก ที่เขาเผยแผ่ธรรมอยู่นี้ เผยแผ่ธรรม เพื่อหลวงตา มีชื่อเสียงขึ้นมา หลวงตา ที่มีคนรู้จัก ก็เพราะแค่ ออกมาช่วยชาติ แค่รับบริจาคทอง

โอ้โห..........ไอ้ที่บริจาคทองนี่นะ มันปลายเหตุ หลวงตาท่านพูดออกมาเห็นมั้ย เวลาท่านออกมาช่วยชาติน่ะ ท่านจะบอกเลยว่า คนที่เป็นผู้นำเป็นยังไง น่าไว้เนื้อเชื่อใจมากน้อยขนาดไหน ท่านพูดถึงว่าท่านประพฤติปฏิบัติมาตั้งกี่ปี แล้วท่านชำระกิเลสของท่านเมื่อไหร่ เนี่ย สิ่งนั้นต่างหาก คุณธรรมในหัวใจทำให้ประชาชนเค้าเชื่อถือศรัทธา เพราะมีคุณธรรมอันนั้นทองคำมันถึงได้มา แต่เค้าบอกว่า หลวงตาเนี่ย มีคนรู้จักก็เพราะออกมาบริจาคทอง ก็เพราะคนจิตใจมันต่ำ จิตใจมันไม่รู้จักว่าธรรมะมันคืออะไร ไม่รู้จักว่าคุณธรรม ศีลธรรม มันเป็นอย่างใด เห็นแต่ว่า เค้ารู้จักหลวงตาก็แค่บริจาคทอง แล้วเค้ารู้จักเอ็งเพราะอะไรล่ะ เพราะหลวงตาบริจาคทอง แต่เอ็งอ้างหลวงตาน่ะ เอ็งเลวกว่านี้อีกชั้นน่ะ แล้วยังย้อนกลับมาว่าส่งเสริมท่านอีก มันเป็นเรื่องความเห็นแก่ตัว เรื่องความเห็นแก่ตัว คนอื่นผิดหมด เราถูกอยู่คนเดียว

แล้วพูดทำนองนี้ เค้าก็ติเรามาก จะว่าเค้าด่าเรามากเลยล่ะ ว่าเราก็เห็นว่าคนอื่นผิดหมดเราถูกอยู่คนเดียว แล้วผิดถูก ถ้าเราพูดนะ ผิดถูก มันพูดลบล้างกันด้วยเหตุผลสิ เราบอกว่า สีนี้ สีดำ ถ้ากูบอดสี เอ็งเห็นเป็นสีอื่น เอ็งก็บอกมาว่าสีดำ จะได้ว่า เราเนี่ย ตาบอดสี มองเห็นสีผิด แสดงว่า เราเนี่ยพูดผิด ไอ้นี่ก็บอกว่าเป็นสีดำ เค้าก็แก้สีดำเราไม่ได้สักทีนึง มันก็สีดำวันยังค่ำ แล้วบอกว่า เราเนี่ย เห็นคนอื่นผิดไปหมด เราถูกอยู่คนเดียว ก็มันสีดำจริงๆ ก็เราบอกว่าสีดำ ถ้าวันไหนเค้าพิสูจน์ได้ว่าไม่ใช่สีดำ เราจะบอกว่าเราผิด แล้วเราจะแก้ไขเราว่า เราจะไม่จับผิดคนอื่น เราจะจับผิดตัวเราเองบ้าง แต่นี่เราก็เห็นว่าเนี่ยสีนี้เป็นสีดำ เราก็บอกว่านี่เป็นสี่ดำเห็นมั้ย เวลาเราพูดออกไปด้วยเหตุด้วยผลว่าสิ่งนี้มันผิดมันถูก มันผิดมันถูก เราก็พูดบอกว่า เนี่ยสีดำ เนี่ยสีขาว เราก็พูดตามเฉดของสีมันเลย แล้วจะบอกว่าเราถูกเราผิด ก็อธิบายมาสิว่า สีนี้มันแตกต่างยังไง เราเห็นผิดยังไง ถ้าพูดมาด้วยข้อเท็จจริงว่าเราเห็นเป็นอย่างนั้นจริง เราจะแก้ไขตัวเราทันทีเลย

แต่นี้เวลาเราพูดไปแล้ว สีดำมันก็คือสีดำจริงๆ มันแก้อะไรไม่ได้น่ะ แต่ถ้าบอกว่าเราพูดผิดๆ คำว่าเราจะจับผิดคนอื่นหรือไม่จับผิดคนอื่น มันอยู่ที่ว่า เราพูดถูกหรือผิด ถ้าเราพูดผิด นั่นคือ เราจับผิดคนอื่น ถ้าเราพูดถูก มันเป็นการจับผิดไหมล่ะ มันเป็นการบอกกล่าวว่า สิ่งนี้ มันถูกหรือผิดนะ ถ้ามันถูกผิด สังคมเห็นมั้ย ดูสิ สังคมเห็นมั้ย ถ้าสังคมเนี่ย เราใช้เงินตราอยู่ เงินตราที่ใช้ในสังคมเนี่ยมันเป็นเงินตราที่ถูกต้องตามกฎหมาย แล้วมีเงินตรา สิ่งที่มันเป็นเงินเทียม เงินปลอมเข้ามาในสังคม ในท้องตลาดเนี่ย เราบอกว่า อันนี้ผิด เราช่วยสังคมหรือเปล่า เราช่วยให้เครดิต ให้ความน่าเชื่อถือของเงินตรานั้นมันมีค่ามั้ย แล้วเราทำอย่างนี้ เราผิดหรือเราถูกน่ะ นี่ถึงบอกว่า อย่างว่านะ ดูหนังดูละครต้องย้อนดูตัว จะบอกว่าเค้าติเตียน เค้าหาเหตุ หาแต่ผลประโยชน์ในครูบาอาจารย์ของเรา ทั้งๆที่เค้าไป เค้าก็โฉบไปเท่านั้นเอง แต่ที่มันรับไม่ได้พอมาพูดเนี่ย บอกว่าหลวงตาดังขึ้นมา ก็เพราะว่าเค้าเป็นคนออกมาเผยแผ่ พอเผยแผ่ขึ้นมาเนี่ย คนเลยรู้จักหลวงตามากขึ้น อันนี้ รับไม่ได้

แต่อย่างอื่นมา เพราะหลวงตาท่าน...(ฟังไม่ออก)อยู่แล้ว เวลามีปัญหาอะไรขึ้นไปถึงท่านนะ ท่านจะบอกว่า เรื่องอะไรของเรา ทั้งๆที่ท่านรับผิดชอบอยู่แล้วนะ เรื่องอะไรของเรา ต่อหน้านะ เหมือนพ่อแม่เลย ต่อหน้านะ มีลูกมาฟ้องนะ ไม่เข้าข้างใคร สุดท้ายแล้วพ่อแม่จะมาหาเหตุผลเองว่า ลูกเราคนไหนถูกหรือผิด หลวงตานะ ต่อหน้านะ ท่านจะบอกว่า ไม่ใช่เรื่องของเรา แต่ท่านดูแลเราอยู่ เพราะท่านดูแลเราแบบผู้ใหญ่ ท่านไม่ดูแลพวกเราแบบเด็กๆ ถ้าดูแลเราแบบเด็กๆ เราจะฟังทางโน้น ฟังทางนี้ แล้วเด็กๆมันจะงอแงกันไปตลอด แต่ถ้าพ่อแม่เลี้ยงลูกเป็นนะ ลูกมานะ ก็รับฟังไว้ แล้วเหตุผลน่ะ ผู้ใหญ่จะแก้ไขสิ่งนั้นได้ นี้เวลาไปถามท่านน่ะ ไม่ใช่เรื่องอะไรของเรา เค้าเกี่ยวข้องอะไรกับเรา หลวงตาจะถามอย่างนี้เลย แล้วเค้าเกี่ยวข้องอะไรกับเราถึงดึงเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

แต่พูดถึงว่าสังคมไทยเนี่ย มันสะเทือนสิ่งใด สังคมไทยใช่มั้ย เราอยู่ในประเทศไทย เป็นประชาชนชาวไทยมันก็สะเทือนกันไปหมดน่ะ แต่เราจะแก้ไขอย่างไง มันอยู่ที่คนที่มีวุฒิภาวะจะแก้ไขได้หรือแก้ไขไม่ได้ แล้วแก้ไขไม่ได้ บางทีมันเป็นเรื่องของกรรม มันเป็นเรื่องของความสุดวิสัย คนๆนั้นเป็นอย่างนั้น เราก็ต้องหลบหลีกกันเอาเองเพื่อไม่ให้สังคมมันกระเทือนกันเกินไป ทีนี้สังคมเราจะไปแลกกันไม่ได้ เราต้องรักษา นิ้วไหนร้าย ตัดนิ้วนั้นทิ้ง รักษาสิ่งที่เป็นประโยชน์เอาไว้ สิ่งที่เป็นประโยชน์ยังรับเป็นประโยชน์ได้ กรรมมันหนักหนา กรรมมันปิดหูปิดตาขนาดที่ว่า เค้าไม่รับรู้สิ่งใดๆเลย ใครๆก็ผิดไปหมด เค้าน่ะถูกอยู่คนเดียว แล้วเวลาจนตรอกขึ้นมา "ไม่ได้พูดอย่างนั้น ไม่เคยพูดอย่างนั้น" (2) มัน นิสัยเป็นอย่างนี้มาตลอด ไม่เคยรับผิดชอบสิ่งใดๆเลย แต่ถ้าเป็นคนมีศีลมีธรรมตามความเป็นจริงนะ ถ้าพูดผิดเรารู้ว่าพูดผิดนะ แล้วเราพูดถูก เราก็รู้ว่าพูดถูก ถ้ามันผิดถูกเราก็แก้ไขตามผิดถูกนั้น สังคมมันก็ร่มเย็นเป็นสุข ไอ้นี้พูดอะไรก็แล้วแต่ว่าตัวเองคิดอะไรได้ก็เพิ่ม เหมือนตัวเองเป็นคนขาดสติ ถึงที่สุดแล้ว เวลาจนตรอกขึ้นมา อ้างคนนี้ อ้างคนนี้ มาบังไว้หมดเลย

ทีนี้ พูดเนี่ย พูดว่าเป็นมายาคติ เป็นความเห็นผิดของเขา หลวงตาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งใดๆทั้งสิ้น ถ้าพูดอย่างนี้นะ เค้าอาจว่า หลวงตาเราเนี่ย เห็นว่ามีพระขึ้นมาจะมีชื่อเสียง คงจะอิจฉา คงจะแบบว่า ส่งไอ้เจ๊กบ้านี้มาขวางเค้าสิ ไม่มีทางน่ะ ไม่มีทาง เราไม่เคยขวางใคร ถ้ามันเป็นความดีขึ้นมา เราจะสาธุเลย เราไม่เคยขวางใครนะ ถ้าขวาง เราจะสร้างภาพกันขึ้นมาทำไม โห ถ้าเป็นคุณงามความดีน่ะ สาธุนะ แต่นี่ดูสิ เวลาปฏิบัติกันไปเห็นมั้ย ดูแถลงการณ์เค้าก็รู้ ปฏิบัติแล้วยิ่งอ่อนแอ ปฏิบัติแล้วพึ่งพาตัวเองไม่ได้ ปฏิบัติแล้วเหมือนนกโดนหักปีก ต้องคอยไปถามปัญหาอยู่ตลอดเวลา นี่หรือ อัตตาหิ อัตตโนนาโถ นี่หรือ ที่พระพุทธเจ้าสอนให้ทุกคนเข้มแข็งขึ้นมา

เนี่ย พวกเค้าเองแถลงการณ์เค้ายังฟัดกันเองเลย นั่นก็เรื่องของเค้า ไม่ใช่เรื่องของเรา จริงๆ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องของเรา เรื่องของเราคือเรื่องตั้งแต่ครูบาอาจารย์ลงมา พวกเราเคารพครูบาอาจารย์ด้วยหัวใจ เพราะเราเคารพครูบาอาจารย์ด้วยหัวใจ แล้วคนอื่นจะเอาเป็นประโยชน์ใช่มั้ย เหมือนยาเนี่ย มันทุกคนใช้ประโยชน์ได้ทั้งนั้นน่ะ ธรรมของครูบาอาจารย์เราน่ะ ถ้าคนอื่นเอาเป็นประโยชน์ของเค้า เพื่อการประพฤติปฏิบัติของเค้า เค้าได้เห็น เค้าได้บรรลุธรรม เค้าได้ดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา เราก็สาธุ แต่อย่าเนรคุณ อย่าย้อนกลับมาทำลาย ถ้าย้อนกลับมาทำลายน่ะ มันไม่ใช่เห็นธรรมของครูบาอาจารย์เราเป็นประโยชน์ ธรรมเนี่ย ธรรมของพระพุทธเจ้าพูดกันอยู่ประจำเห็นมั้ย ไม่มีกำมือในเรา พระพุทธเจ้าแบตลอดเลย ธรรมะพระพุทธเจ้าแบตลอดให้ทุกคนได้ใช้ประโยชน์ แต่คนจะใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ได้มันเป็นคนที่เข้าถึงหรือไม่ถึงต่างหากล่ะ พระพุทธเจ้าไม่มีกำมือในเรา พระพุทธเจ้าแบตลอด ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นสาธารณะ ทุกคนแสวงหาได้หมด ทุกคนทำได้หมดเลย ทีนี้ เวลาครูบาอาจารย์ของเราทำขึ้นมา ท่านก็ปรารถนาอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะท่านก็ปรารถนาความร่มเย็นเป็นสุข ท่านก็เผยแผ่ ท่านพยายามนะ ดูสิ กองทัพธรรมเห็นมั้ย หลวงปู่สิงห์ หลวงปู่มหาปิ่นน่ะ เข้ามาตั้งขอนแก่น มาปราบผีน่ะ เมื่อก่อนคนเราน่ะ ทุกข์ยากมากนะ หาได้มาครึ่งหนึ่งได้ไก่มาตัวหนึ่ง ผ่าครึ่งหนึ่งเอาไว้กิน อีกครึ่งหนึ่งต้องเอาไปเซ่นผี ก็เหมือนเราทำอาชีพเนี่ย ครึ่งหนึ่งต้องแบ่งไว้ให้เซ่นความเชื่อของเรา อีกครึ่งหนึ่งเราเอามาใช้ประโยชน์เห็นมั้ย กองทัพธรรมน่ะ ตั้งแต่ หลวงปู่มั่น แต่ให้หลวงปู่สิงห์ กับพระมหาปิ่นเป็นหัวหน้า ตั้งแต่ขอนแก่นลงมาโคราช ผู้ว่าการเมืองธนฯ เห็นมั้ย พวกนายอำเภอเนี่ย ก็เอาเข้าไป เพื่อไปพยายามทำให้คน ทำให้ความเห็นของคนกลับมาเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธเห็นมั้ย เนี่ย มีปัจจัยเครื่องอาศัยหามาได้ใช้ประโยชน์ส่วนตัวได้ทำบุญกุศล ให้เป็นสัจจะความจริง เนี่ย แก้ไขมาตลอด ครูบาอาจารย์ของเรา แก้ไขมา สังคมไทยแก้ไขมาตลอด ครูบาอาจารย์ของเรา ใครทำอย่างนี้บ้าง เป็นกองทัพธรรม ๆ ก็เที่ยวแต่ไถเงิน หลอกลวงเอาเงินของคนอื่น กองทัพธรรมของหลวงปู่มั่น ท่านมาเนี่ย ท่านเปลี่ยนแนวความคิดของสังคม สังคมที่เขามีถือผีถือสางเนี่ย เขาให้เปลี่ยนความคิดมาเป็นชาวพุทธ เนี่ย กองทัพธรรม ไม่ใช่กองทัพกิเลส!

นี่กำลังตักตวงเอาแต่ผลประโยชน์ ไอ้นั่นมันกองทัพกิเลส แต่อ้างว่ากองทัพธรรมๆ กองทัพธรรมนั่นมันกองทัพธรรมของหลวงปู่มั่น ของหลวงปู่สิงห์ ของพระมหาปิ่น เนี่ยกองทัพธรรมที่ท่านมาฟื้นฟูความเชื่อ ฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ท่านทำของท่านมาตั้งแต่เอ็งยังไม่เกิดน่ะ แล้วบอกว่า เค้ามีชื่อเสียงเพราะว่าดูจิตของพวกมึง มันเป็นไปไม่ได้หรอก!

สิ่งที่ท่านทำมา ท่านวางมาเป็นรากเป็นฐานองสังคมไทย แล้วเอ็งเกิดมาในสังคมไทย เกิดมาในคราวที่ครูบาอาจารย์ท่านวางไว้จนพระป่า พระประพฤติปฏิบัติเป็นความเชื่อถือของสังคม เอ็งมาถึงแล้วเอ็งก็มาตักตวงเอาผลประโยชน์ แล้วจะเป็นกองทัพธรรม เผยแผ่ธรรม เผยแผ่ธรรม แผ่กระเป๋ามึงนะเฮ้ย เผยแผ่ธรรมน่ะ

แล้ว ...มันทำอะไรน่ะทำไป แต่อย่าย้อนมากัด อย่าย้อนมาทำลาย ไอ้นี้ มันย้อนมาทำลายครูบาอาจารย์ของเรานะ เพราะครูบาอาจารย์เรารู้จักได้ ก็เพราะความเผยแผ่ของเขา แล้วสิ่งที่เอ็งออกมาเผยแผ่อยู่เนี่ย เอ็งมาทำอยู่เนี่ย ครูบาอาจารย์กูไม่มีชื่อเสียงไม่มีใครรู้จักเลยเหรอ หลวงตาไม่มีใครรู้จักเลยเหรอ?

หลวงตาเนี่ย ไม่มีใครรู้จักเลยเหรอ หลวงตาท่านมั่นคงของท่านอยู่แล้ว ท่านเบื่อหน่ายคนมาก ท่านหนีตาย หนีตายออกจากวัดมาก็หนีคนนี่แหละ หนีคนมาพักผ่อน แล้วท่านต้องการให้เอ็งเอาคนไปประเคนท่านอีกเหรอ มันไม่มีหรอก เพียงแต่เวลาเรามาพูดน่ะ ทวงบุญทวงคุณ เอาทวงบุญทวงคุณ ทวงสังคม แล้วบอกว่า สังคมอย่ามาดูแลเค้านะ อย่ามาตรวจสอบเค้า แล้วมันอย่างว่าน่ะ ก็บอกว่าลูกศิษย์หลวงตาด้วยกัน เราก็ลูกศิษย์หลวงตา แล้วจะมาตรวจเช็คกันทำไม เนี่ย มันพูดไป มันพูดแทง พูดทำลาย เสร็จแล้วก็ยังเอาแต่ผลประโยชน์ตัวเอง เป็นมายาคติเป็นมายาภาพ

เค้ามาเล่าให้ฟังเยอะ แล้วเค้ามาถามนะ มาพูดอยู่เนี่ย เค้าอยากให้หลวงตาออกมา พวกเด็กๆของเค้ามาถามเราว่า พวกเราเนี่ย เห็นแก่สังคม แล้วหลวงตาเห็นแก่สังคม ทำไมหลวงตาไม่ออกมาช่วยล่ะ ขี้อะ หลวงตาเราน่ะมันเหนือฟ้าอะ มันอยู่ลอยอยู่บนสวรรค์น่ะ ไม่ลงมาคลุกขี้ เหมือนกับเทวดากับไอ้ขี้ในส้วมน่ะ ไอ้ตัวหนอนในส้วมน่ะ เห็นมั้ย ท่านไม่ลงมาคลุกขี้หรอก ท่านมีสติ มีปัญญาของท่าน สมบูรณ์มาก

เพียงแต่ว่าพวกเราทำอะไร มันทำเกินกว่าเหตุ ทำเกินกว่าเหตุแล้วก็จะมาหา ออกเว็บไซต์นะ อยู่ในสังคมของเขา วันนี้ขอพูดแทน เพราะหลวงตาท่านไม่พูดอะไรหรอก แล้วพวกนั้นมันก็หาแต่ผลประโยชน์ เหยียบย่ำกันไป วันนี้พูดแทนเนาะ ด้วยความลบล้างมายาคติของเขา เป็นมายาคติ ตัวเองหลวงตัวเอง ตัวเองหาผลประโยชน์โดยอ้างธรรมะ แล้วถึงเวลาสะดุดขาตัวเองล้มลง ไปโทษหลวงตา ตัวเองนะ อ้างธรรมะนะว่าเผยแผ่ธรรม เผยแผ่ธรรม แล้วสะดุดขาตัวเอง ใครไปทำล่ะ โทษเค้าไปทั่ว เป็นมนต์ดำ เป็นนารีพิฆาต เป็นทุกอย่าง (3)แต่ความจริงน่ะ สะดุดขาตัวเองล้มนั่นน่ะ สะดุดขาตัวเองล้ม ก็เอาความจริงขึ้นมา ลุกขึ้นยืนแล้วเอาความจริงขึ้นมาเปิดเผยสิ อย่าดึงหลวงตาลงมายุ่ง อย่าดึงพวกเราเข้าไปยุ่ง ในเมื่อสังคมนั้น เขาทำกันขึ้นมา เค้าว่าสังคมนั้นเค้าเผยแผ่ธรรมแล้วคนรู้จักเค้ามากขึ้นใช่มั้ย เค้าก็แก้ไขของเค้าสิ ในเมื่อเค้ามีความสามารถเผยแผ่ธรรมจนคนรู้จักหลวงตามากขึ้นน่ะ เอ็งเก่งขนาดนั้น เอ็งก็ต้องแก้ไขเหตุการณ์ของเอ็งได้ ถ้าเอ็งแก้ไขเหตุการณ์ของเอ็งได้ เอ็งก็คงจะไม่อ้างว่า เอ็งทำเพื่อหลวงตาอีกล่ะ ให้คนรู้จักหลวงตามากขึ้น ทำประโยชน์กับศาสนามากขึ้น ในเมื่อเอ็งทำประโยชน์กับสาธารณะ เอ็งเก่งมากเอ็งก็แก้ไขเรื่องของเอ็งสิ อย่าดึงฟ้าต่ำ อย่าดึงครูบาอาจารย์ของเราเข้าไปยุ่ง เอ็งสร้างเหตุสร้างปัญหากันขึ้นมา เอ็งก็ต้องแก้ไขปัญหาของตัวเอง

อย่ามาเข้าใจผิดว่าพวกเราเข้าไปทำลาย ไม่มีหรอก พ่อแม่คนไหนบ้าง ไม่อยากให้ตระกูลเรามั่นคง สังคมไหนบ้าง ไม่อยากให้สังคมนั้นมั่นคง สังคมไหนก็ต้องการความมั่นคงทั้งนั้นน่ะ แล้วต้องการความมั่นคงที่มันมั่นคงตามความเป็นจริง ไม่ใช่ความมั่นคงแบบขี้โลภ แบบขี้โกรธ ขี้หลง มั่นคงอย่างนั้น มั่นคงแต่ไอ้พวกหัวหน้าที่พากันทำ แต่มันไม่มั่นคงจริงน่ะสิ ฉะนั้น ให้หยุด ให้แก้ไขกันเอง ในสังคมของเค้า อย่าดึงครูบาอาจารย์ อย่าดึงพวกเราเข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า ธรรมของพระพุทธเจ้าทุกคนมันรู้ได้ สิ่งที่รู้ได้ที่เขาทำอยู่นี้ เขายืนอยู่บนความเป็นจริง เขาต้องการความเป็นจริง เค้าคุยกันเรื่องความจริงเหมือนผู้ใหญ่เค้าคุยกัน เด็กอย่าเข้ามาคุย เด็กมันเล่นประสาเด็ก เด็กเล่นประสาเด็ก ก็ให้เขาเล่นกันไป แต่ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นความจริง แล้วครูบาอาจารย์ของเราเห็นมั้ย กองทัพธรรมของหลวงปู่มั่นตั้งแต่ครูบาอาจารย์น่ะมันเป็นความจริงทั้งหมด เค้าคุยกันเรื่องความจริง ปฏิบัติจริงๆ แล้วบรรลุมรรคผลจริงๆ ไม่ใช่ ปฏิบัติเล่นๆอย่างนั้น แล้วเวลาบรรลุ ก็บรรลุลงนรกอเวจี แล้วบรรลุลงอเวจีก็สะดุดขากันเอง ขัดแย้งกันเอง แล้วเวลามีปัญหาขึ้นเอง ทำไมเอาคนอื่นเข้าไปเกี่ยวข้องล่ะ ก็ตัวเองทำกันเอง มีใครเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย หลวงตาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่า พวกเราไม่มีใครเข้าไปเกี่ยวข้อง ตัวเองทำกันเองก็แก้ไขกันเอง อย่าเอาพวกเราเข้าไปเกี่ยวข้อง เอวัง ฮ่ะๆ มายาคติ

(1) จะเห็นได้ว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีการอ้างพระผู้ใหญ่ รูปโน้นรูปนั้นรูปนี้ตลอด อ้างชื่อบ้าง ไม่อ้างชื่อบ้าง ยากต่อการตรวจสอบ
(2) ดูจากคำชี้แจงของสวนสันติธรรม จะเห็นได้ว่า "ไม่เคยพูดอย่างนั้น ไม่เคยพูดอย่างนั้น จริงๆ" แต่ความจริงล่ะเป็นเช่นไร
(3) มีการลือกันไปทั่วเรื่องคุณไสยในสวนสันติธรรม

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


แก้ไขล่าสุดโดย ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เมื่อ 18 มี.ค. 2010, 01:34, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 21:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อไร..จะก้าวข้ามพ้น..ไปซะที

พ้นก็ตัวเองพ้น..ไม่พ้นก็ตัวเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 23:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 04:38
โพสต์: 376

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เขียน:
แล้วเรื่อง ลพ ปม ถ้าท่านไม่จุดไฟ ผมก็ไม่อยากยุ่ง
ถอยกันคนละก้าวดีกว่านะงับ
ข้อสงสัยสุดท้าย เว็บนี้แปลกดีนะงับ
พอเปิดโปง และ แสดงความจริงแก่สาธารณะชน เรื่อง ลพ ทางชลบุรีรูปหนึ่ง มักล็อกกระทู้
บอกว่าขัดแย้ง
แล้วไอ้ที่สนับสนุนกัน แล้วกล่าวหาทาง พระอาจารย์สงบ ไม่เห็นล็อกเลย
ระวังเป็นสอง มาตราฐาน นะงับ
ท่าน Eikewsang ก็ทำเหมือน เป็นกลาง
แต่ความจริงก็ สนับสนุน ลพ ทางชลบุรีรูปหนึ่ง
แล้วพยายามกล่าวหา ฝ่ายไม่สนับสนุนนะงับ
ถ้าจะไม่ขัดแย้ง ก็เงียบไปทั้งคู่ จะได้ไม่มีปัญหา



1. ผมเห็นว่า คุณควรไปขอถอนตัวออกจากการเป็น ธรรมอาสา เสียเพราะ

1.1 คนที่มีพฤติกรรม "ด่าว่าพระภิกษุสงฆ์" ไม่ควรอยู่ในฐานะนี้อีกต่อไป
เพราะจะนำพาความไม่น่าเชื่อถือ มาสู่คณะทำงานท่านอื่นๆ ด้วย

1.2 คุณ "อาสา" เข้ามามีหน้าที่ในเว็ปนี้ ..... ในฐานะ "ธรรมอาสา"
สมควรหรือ ที่คุณออกมาด่าว่า บุคคลอื่น "ในคณะทำงาน" ของเว็ปนี้
ผ่านกระทู้ของเว็ปนี้ ,

หรือคุณเห็นภาพลักษณ์ของคำว่า "คณะทำงาน" ซึ่งหมายถึงความสามัคคี
ไม่ใช่หน้าที่ของคุณ ที่จะต้องมีส่วนร่วมกับคณะทำงานท่านอื่น รักษามัน



2. ลานธรรมจักร ....มีข้อห้ามลงเรื่องราวของหลวงพ่อปราโมทย์ หรือครับ...?



3. การที่ผมนำเรื่องของ หลวงพ่อปราาโมทย์ มาลง

3.1 มันไปตัดรอนความเจริญในอนาคต หรือสร้างความเสื่อมถอยในปัจจุบัน
ต่อฐานะ หรือความเป็นอยู่ ให้แก่คุณขงเบ้งฯ หรือเปล่าครับ , กรุณาตั้งข้อหาได้เลย

หากมีจะได้แก้ไขให้โดยด่วน พร้อมจะแสดงความรับผิดชอบ
หากไม่มีคราวหน้ากรุณารักษามารยาทในการใช้สื่อสาธารณะ
ด้วยการเคารพสิทธิของบุคคลอื่น อย่างเช่นวิญญูชนผู้ได้รับการศึกษา
พึงปฏิบัติต่อบุคคลอื่นในสังคมด้วยครับ

3.2 การที่ผมกล่าวถึง หลวงพ่อปราโมทย์


ผมเคยแตะต้อง หลวงพ่อสงบ...หรือครับ...?


พฤติกรรมต่ำทราม ด่าว่าพระภิกษุ ไม่เคยกลำกลายออกมาจาก
ขันธสันดาน ของคนอย่างผมแน่นอนครับ

ไม่ว่าพระรูปนั้น จะเป็นฝ่ายไหน ทำอะไร , เพราะเป็นเรื่องของพระ



4. คุณขงเบ้งฯ ศรัทธา-สนับสนุหลวงพ่อสงบ
ผมก็ขออนุโมทนาด้วย แม้ว่าผมจะไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน

แต่การที่ผมจะนับถือหลวงพ่อปราโมทย์ และนำมาเผยแผ่ในเว็ปนี้
มันก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับคุณขงเบ้งฯ และพระที่คุณนับถือ

ส่วนเรื่องที่คุณไม่นับถือหลวงพ่อปราโมทย์ ก็เป็นสิทธิและเรื่องส่วนตัวของคุณ
แต่ไม่ได้หมายความว่า คุณมีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะออกมา
โต้แย้ง ด่าว่า หลวงพ่อปราโมทย์ หรือด่าว่าคนที่นับถือท่าน

ข้อกล่าวหา ต่างๆ นานา ที่คุณยกขึ้นมากล่าวหาท่านนั้น เป็น "ความเห็น"
ของคุณที่มี ต่อ "คำสอน" ของท่าน แม้ว่าจะมีบุคคลบางฝ่ายเห็นด้วยกับคุณ

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ผมจะต้องเห็นด้วยกับคุณ และบุคคลฝ่ายนั้น

การที่ผมไม่เชื่อคุณ หรือบุคคลใดๆ และเคารพนับถือท่าน
ก็ไม่ได้หมายความว่า ผมไปลบหลู่พระรูปอื่นๆ หรือบุคคลใด

ฉะนั้น กรุณาอย่าก้าวก่ายความเลื่อมใส ศรัทธาของบุคคตลอื่น
ที่ไม่ตรงกัน ศรัทธาของคุณ

ทางใคร ทางมัน เหมาะสมที่สุดแล้ว


แก้ไขล่าสุดโดย Eikewsang เมื่อ 18 มี.ค. 2010, 00:02, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 23:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


Eikewsang เขียน:
ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เขียน:
แล้วเรื่อง ลพ ปม ถ้าท่านไม่จุดไฟ ผมก็ไม่อยากยุ่ง
ถอยกันคนละก้าวดีกว่านะงับ
ข้อสงสัยสุดท้าย เว็บนี้แปลกดีนะงับ
พอเปิดโปง และ แสดงความจริงแก่สาธารณะชน เรื่อง ลพ ทางชลบุรีรูปหนึ่ง มักล็อกกระทู้
บอกว่าขัดแย้ง
แล้วไอ้ที่สนับสนุนกัน แล้วกล่าวหาทาง พระอาจารย์สงบ ไม่เห็นล็อกเลย
ระวังเป็นสอง มาตราฐาน นะงับ
ท่าน Eikewsang ก็ทำเหมือน เป็นกลาง
แต่ความจริงก็ สนับสนุน ลพ ทางชลบุรีรูปหนึ่ง
แล้วพยายามกล่าวหา ฝ่ายไม่สนับสนุนนะงับ
ถ้าจะไม่ขัดแย้ง ก็เงียบไปทั้งคู่ จะได้ไม่มีปัญหา



ผมเห็นว่า คนอย่างคุณ ควรไปขอถอนตัวออกจากการเป็น ธรรมอาสา เสีย
เพราะ คนที่มีพฤติกรรม ด่าว่าพระสงฆ์ อย่างคุณ ไม่ควรอยู่ในฐานะนี้อีกต่อไป







เห็นด้วยค่ะ ว่ามีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
แถมยังมาอาสาในตำแหน่งผู้รักษาลานอีกด้วย


viewtopic.php?f=1&t=30071&st=0&sk=t&sd=a

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 17 มี.ค. 2010, 23:54, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2010, 00:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 04:38
โพสต์: 376

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
Eikewsang เขียน:
ผมเห็นว่า คนอย่างคุณ ควรไปขอถอนตัวออกจากการเป็น ธรรมอาสา เสีย
เพราะ คนที่มีพฤติกรรม ด่าว่าพระสงฆ์ อย่างคุณ ไม่ควรอยู่ในฐานะนี้อีกต่อไป




เห็นด้วยค่ะ ว่ามีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
แถมยังมาอาสาในตำแหน่งผู้รักษาลานอีกด้วย


viewtopic.php?f=1&t=30071&st=0&sk=t&sd=a


ขอรับรองว่า ข้อความของผมที่คุณ walaiporn อ้างอิงข้างต้นนี้
เป็นข้อความที่มาจาก กระทู้ตอบของผม ก่อนที่ผมจะแก้ไขข้อความบางส่วน
ฉะนั้น ข้อความดังกล่าว กับข้อความในกระทู้ตอบจึงไม่ตรงกันบางส่วน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2010, 00:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


Eikewsang เขียน:
ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เขียน:
แล้วเรื่อง ลพ ปม ถ้าท่านไม่จุดไฟ ผมก็ไม่อยากยุ่ง
ถอยกันคนละก้าวดีกว่านะงับ
ข้อสงสัยสุดท้าย เว็บนี้แปลกดีนะงับ
พอเปิดโปง และ แสดงความจริงแก่สาธารณะชน เรื่อง ลพ ทางชลบุรีรูปหนึ่ง มักล็อกกระทู้
บอกว่าขัดแย้ง
แล้วไอ้ที่สนับสนุนกัน แล้วกล่าวหาทาง พระอาจารย์สงบ ไม่เห็นล็อกเลย
ระวังเป็นสอง มาตราฐาน นะงับ
ท่าน Eikewsang ก็ทำเหมือน เป็นกลาง
แต่ความจริงก็ สนับสนุน ลพ ทางชลบุรีรูปหนึ่ง
แล้วพยายามกล่าวหา ฝ่ายไม่สนับสนุนนะงับ
ถ้าจะไม่ขัดแย้ง ก็เงียบไปทั้งคู่ จะได้ไม่มีปัญหา



1. ผมเห็นว่า คุณควรไปขอถอนตัวออกจากการเป็น ธรรมอาสา เสียเพราะ

1.1 คนที่มีพฤติกรรม "ด่าว่าพระภิกษุสงฆ์" ไม่ควรอยู่ในฐานะนี้อีกต่อไป
เพราะจะนำพาความไม่น่าเชื่อถือ มาสู่คณะทำงานท่านอื่นๆ ด้วย

1.2 คุณ "อาสา" เข้ามามีหน้าที่ในเว็ปนี้ ..... ในฐานะ "ธรรมอาสา"
สมควรหรือ ที่คุณออกมาด่าว่า บุคคลอื่น "ในคณะทำงาน" ของเว็ปนี้
ผ่านกระทู้ของเว็ปนี้ ,

หรือคุณเห็นภาพลักษณ์ของคำว่า "คณะทำงาน" ซึ่งหมายถึงความสามัคคี
ไม่ใช่หน้าที่ของคุณ ที่จะต้องมีส่วนร่วมกับคณะทำงานท่านอื่น รักษามัน



2. ลานธรรมจักร ....มีข้อห้ามลงเรื่องราวของหลวงพ่อปราโมทย์ หรือครับ...?



3. การที่ผมนำเรื่องของ หลวงพ่อปราาโมทย์ มาลง

3.1 มันไปตัดรอนความเจริญในอนาคต หรือสร้างความเสื่อมถอยในปัจจุบัน
ต่อฐานะ หรือความเป็นอยู่ ให้แก่คุณขงเบ้งฯ หรือเปล่าครับ , กรุณาตั้งข้อหาได้เลย

หากมีจะได้แก้ไขให้โดยด่วน พร้อมจะแสดงความรับผิดชอบ
หากไม่มีคราวหน้ากรุณารักษามารยาทในการใช้สื่อสาธารณะ
ด้วยการเคารพสิทธิของบุคคลอื่น อย่างเช่นวิญญูชนผู้ได้รับการศึกษา
พึงปฏิบัติต่อบุคคลอื่นในสังคมด้วยครับ

3.2 การที่ผมกล่าวถึง หลวงพ่อปราโมทย์


ผมเคยแตะต้อง หลวงพ่อสงบ...หรือครับ...?


พฤติกรรมต่ำทราม ด่าว่าพระภิกษุ ไม่เคยกลำกลายออกมาจาก
ขันธสันดาน ของคนอย่างผมแน่นอนครับ

ไม่ว่าพระรูปนั้น จะเป็นฝ่ายไหน ทำอะไร , เพราะเป็นเรื่องของพระ



4. คุณขงเบ้งฯ ศรัทธา-สนับสนุหลวงพ่อสงบ
ผมก็ขออนุโมทนาด้วย แม้ว่าผมจะไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน

แต่การที่ผมจะนับถือหลวงพ่อปราโมทย์ และนำมาเผยแผ่ในเว็ปนี้
มันก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับคุณขงเบ้งฯ และพระที่คุณนับถือ

ส่วนเรื่องที่คุณไม่นับถือหลวงพ่อปราโมทย์ ก็เป็นสิทธิและเรื่องส่วนตัวของคุณ
แต่ไม่ได้หมายความว่า คุณมีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะออกมา
โต้แย้ง ด่าว่า หลวงพ่อปราโมทย์ หรือด่าว่าคนที่นับถือท่าน

ข้อกล่าวหา ต่างๆ นานา ที่คุณยกขึ้นมากล่าวหาท่านนั้น เป็น "ความเห็น"
ของคุณที่มี ต่อ "คำสอน" ของท่าน แม้ว่าจะมีบุคคลบางฝ่ายเห็นด้วยกับคุณ

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ผมจะต้องเห็นด้วยกับคุณ และบุคคลฝ่ายนั้น

การที่ผมไม่เชื่อคุณ หรือบุคคลใดๆ และเคารพนับถือท่าน
ก็ไม่ได้หมายความว่า ผมไปลบหลู่พระรูปอื่นๆ หรือบุคคลใด

ฉะนั้น กรุณาอย่าก้าวก่ายความเลื่อมใส ศรัทธาของบุคคตลอื่น
ที่ไม่ตรงกัน ศรัทธาของคุณ

ทางใคร ทางมัน เหมาะสมที่สุดแล้ว



ท่าน Eikewsang

การกระทำมันทางอ้อมนะ ถ้าไม่ใช่ก็แก้กลับมานะงับ มันทำให้คิดไปได้ว่า


ตอนแรกก็เริ่มจาก จะชี้ว่า

ภิกษุใด บอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุฯ เป็นปาจิตตีย์

ท่านบอกคล้ายว่า อาจารย์สงบ บอกอาบัติ ลพ ทางชลบุรี แก่คนที่เป็นลูกศิษย์ เป็นอาบัติ ปาจิตตีย์ จริงหรือไม่

แล้วก็ว่า พวกที่ว่า ลพ ทางชลบุรี และนับถือ พระอาจารย์สงบ เป็นพวกกล่าวร้ายพระอริยะ ไง

แล้วความหมายแบบไหนละ

ถ้าให้ดี ทั้งผมและท่านควรถอยกันคนละก้าว


ไหนด่าพระ ท่านต้องการชี้แบบนี้ไง ว่า พวกนับถือพระอาจารย์สงบ เป็นพวกด่าพระอริยะไง




1. ผมเห็นว่า คุณควรไปขอถอนตัวออกจากการเป็น ธรรมอาสา เสียเพราะ

1.1 คนที่มีพฤติกรรม "ด่าว่าพระภิกษุสงฆ์" ไม่ควรอยู่ในฐานะนี้อีกต่อไป
เพราะจะนำพาความไม่น่าเชื่อถือ มาสู่คณะทำงานท่านอื่นๆ ด้วย

1.2 คุณ "อาสา" เข้ามามีหน้าที่ในเว็ปนี้ ..... ในฐานะ "ธรรมอาสา"
สมควรหรือ ที่คุณออกมาด่าว่า บุคคลอื่น "ในคณะทำงาน" ของเว็ปนี้
ผ่านกระทู้ของเว็ปนี้ ,

หรือคุณเห็นภาพลักษณ์ของคำว่า "คณะทำงาน" ซึ่งหมายถึงความสามัคคี
ไม่ใช่หน้าที่ของคุณ ที่จะต้องมีส่วนร่วมกับคณะทำงานท่านอื่น รักษามัน


แก้

ธรรมอาสา ไม่ได้อาสาว่า ไม่ควรด่าพระ อาสาว่าจะช่วยดูแล

แต่ความหมาย คือ พระพูดผิด แล้ว กำลังผิดเบือน หลวงปู่ดูลย์ 1

แล้วที่ล็อกกระทู้ ผมก็มาถามว่า ทำไมถึงล็อกอยู่ฝ่ายเดียว

ไม่ได้ด่า ดูให้ดี

อ้างคำพูด:
ข้อสงสัยสุดท้าย เว็บนี้แปลกดีนะงับ
พอเปิดโปง และ แสดงความจริงแก่สาธารณะชน เรื่อง ลพ ทางชลบุรีรูปหนึ่ง มักล็อกกระทู้
บอกว่าขัดแย้ง
แล้วไอ้ที่สนับสนุนกัน แล้วกล่าวหาทาง พระอาจารย์สงบ ไม่เห็นล็อกเลย
ระวังเป็นสอง มาตราฐาน นะงับ


นี่คือข้อสงสัย ว่าทำไม

นี่เป็นข้อสงสัยว่าทำไม ถึง ล็อก และเป็นข้อเสนอ แนะให้คณะทำงาน ได้ปรับปรุงแก้ไข

ผมอยู่ในเว็บก็ต้องช่วยเสนอแนะด้วย

แต่ท่าน กลับมาบอกว่า ต้องมาสามัคคี คำว่า สามัคคี คือ เชื่อ ลพ ที่ท่านนับถือ หรือไง ความหมาย


อ้างคำพูด:
2. ลานธรรมจักร ....มีข้อห้ามลงเรื่องราวของหลวงพ่อปราโมทย์ หรือครับ...?



ผมตอบว่า ไม่มีข้อห้าม

แต่ถามกลับด้วย ว่าทำไม พอเอาเทศนา พระอาจารย์ สงบมาลง ทำไมถึงล็อกกระทู้

แสดงว่า เว็บห้ามเอาเรื่องราวของ พระอาจารย์ สงบ มาลง หรืองับ


อ้างคำพูด:
3. การที่ผมนำเรื่องของ หลวงพ่อปราาโมทย์ มาลง

3.1 มันไปตัดรอนความเจริญในอนาคต หรือสร้างความเสื่อมถอยในปัจจุบัน
ต่อฐานะ หรือความเป็นอยู่ ให้แก่คุณขงเบ้งฯ หรือเปล่าครับ , กรุณาตั้งข้อหาได้เลย

หากมีจะได้แก้ไขให้โดยด่วน พร้อมจะแสดงความรับผิดชอบ
หากไม่มีคราวหน้ากรุณารักษามารยาทในการใช้สื่อสาธารณะ
ด้วยการเคารพสิทธิของบุคคลอื่น อย่างเช่นวิญญูชนผู้ได้รับการศึกษา
พึงปฏิบัติต่อบุคคลอื่นในสังคมด้วยครับ

3.2 การที่ผมกล่าวถึง หลวงพ่อปราโมทย์

ผมเคยแตะต้อง หลวงพ่อสงบ...หรือครับ...?

พฤติกรรมต่ำทราม ด่าว่าพระภิกษุ ไม่เคยกลำกลายออกมาจาก
ขันธสันดาน ของคนอย่างผมแน่นอนครับ

ไม่ว่าพระรูปนั้น จะเป็นฝ่ายไหน ทำอะไร , เพราะเป็นเรื่องของพระ



ตอบ

3.1 ว่าไม่เกี่ยวกับผม แต่แล้วผมจะไปกล่าวหา ไม่ได้ใช่หรือไม่ แสดงว่า พวกความเห็นต่าง ควรเงียบไปใช่มั้ย

นี่ไง พยายามสื่อสารว่าคุณไม่มีสิทธิ ในการ โต้แย้ง

ผมบอกคุณแล้ว ว่ามาถอยกันคนละก้าวดีกว่า

อ้างคำพูด:
3.2 การที่ผมกล่าวถึง หลวงพ่อปราโมทย์

ผมเคยแตะต้อง หลวงพ่อสงบ...หรือครับ...?

พฤติกรรมต่ำทราม ด่าว่าพระภิกษุ ไม่เคยกลำกลายออกมาจาก
ขันธสันดาน ของคนอย่างผมแน่นอนครับ

ไม่ว่าพระรูปนั้น จะเป็นฝ่ายไหน ทำอะไร , เพราะเป็นเรื่องของพระ


ตอบ

ไหนท่านไม่กล่าวหา กระทู้นี้ความหมายอะไร ภิกษุใด บอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุฯ เป็นปาจิตตีย์

ก็ตั้งกระทู้มาว่า พระอาจารย์ สงบ ไง ว่า ท่านบอกอาบัติ ลพ ที่ท่านนับถือไง

โจทย์ว่า พระอาจารย์ สงบต้อง อาบัติ ปาจิตตีย์ไง

เจตนา ท่านมันสือ แบบนี้


อ้างคำพูด:
4. คุณขงเบ้งฯ ศรัทธา-สนับสนุนหลวงพ่อสงบ
ผมก็ขออนุโมทนาด้วย แม้ว่าผมจะไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน

แต่การที่ผมจะนับถือหลวงพ่อปราโมทย์ และนำมาเผยแผ่ในเว็ปนี้
มันก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับคุณขงเบ้งฯ และพระที่คุณนับถือ

ส่วนเรื่องที่คุณไม่นับถือหลวงพ่อปราโมทย์ ก็เป็นสิทธิและเรื่องส่วนตัวของคุณ
แต่ไม่ได้หมายความว่า คุณมีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะออกมา
โต้แย้ง ด่าว่า หลวงพ่อปราโมทย์ หรือด่าว่าคนที่นับถือท่าน

ข้อกล่าวหา ต่างๆ นานา ที่คุณยกขึ้นมากล่าวหาท่านนั้น เป็น "ความเห็น"
ของคุณที่มี ต่อ "คำสอน" ของท่าน แม้ว่าจะมีบุคคลบางฝ่ายเห็นด้วยกับคุณ

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ผมจะต้องเห็นด้วยกับคุณ และบุคคลฝ่ายนั้น

การที่ผมไม่เชื่อคุณ หรือบุคคลใดๆ และเคารพนับถือท่าน
ก็ไม่ได้หมายความว่า ผมไปลบหลู่พระรูปอื่นๆ หรือบุคคลใด

ฉะนั้น กรุณาอย่าก้าวก่ายความเลื่อมใส ศรัทธาของบุคคตลอื่น
ที่ไม่ตรงกัน ศรัทธาของคุณ

ทางใคร ทางมัน เหมาะสมที่สุดแล้ว


ความเห็นต่างก็โต้แย้ง และชี้ข้อมูลที่ไม่เหมาะสมได้

การที่คุณไม่รู้จัก พระอาจารย์สงบ ก็หัดไปรู้จักบ้างก็ได้ ไม่ใช่ฟังแต่ข้างเดียว ผมฟังทั้ง 2 ลพ

http://www.sa-ngob.com/index.php

คุณก็ไม่ควรตั้งกระทู้มาก้าวก่าย ศรัทธาของคนอื่นก่อนสิ

โดยว่าทางอ้อม

คุณบอกว่าไม่ควรว่าศรัทธาของคุณ

แต่คุณบอกความหมายว่า คนที่ไปว่าหลวงพ่อ คือ พวกด่า พระอริยะ ไง แบบนี้ มันสมควรหรือ

ทำตรงๆกับ ทางอ้อม มันก็ไม่ต่างกันหรอก อยากเผยแผ่ ก็ควรหัดฟังเสียง จากวัดป่าบ้าง หรือที่อื่นบ้าง

ถ้าคุณไม่ยุ่งกับพวกผม

ผมก็จะไม่ยุ่งกับคุณ

ผมเสนอให้กับคุณด้วยว่า ควรถอยคนละก้าว ไม่ได้ชวนทะเลาะด้วย

คุณต่างหากที่คอยว่า ผ่านทางอ้อม

ถ้าไม่อยากให้ทะเลาะกัน คุณก็ไม่ควรเอาเรื่องราว ลพ ปม ออกมา

เพราะถ้าเอาออกมาก็มีคนเห็นแย้งแน่

เหมือนเว็บวิมุตติไง หยุดไปเลย ก็ไม่มีปัญหา ว่าใครจะไปว่า

ใครอยากไปฟัง ก็ไปที่สวนสันติธรรมเอา

ไม่ใช่ทางใครทางมัน

แล้ว ตั้งกระทู้ หลอกด่า ทางอ้อม

มันไม่ใช่การกระทำของคนมีการศึกษาเหมือนกัน


ธรรมะถ้าของจริง ไม่กลัวไฟหรอก

ส่วนท่าน walaiporn ก็เป็นผูใหญ่ที่ผมไม่อยากยุ่ง เพราะท่านก็พฤติกรรม ออกทางพยาบาทด้วย

ทำเหมือนท่าน กรัชกายสิ ไม่ทะเลาะหาเรื่องใคร

แบบนี้ถึงน่าคุยด้วย

ไม่ใช่มาหลอกด่า ชาวบ้าน แล้วบอกว่าไม่ได้ทำ

อีกอย่าง ผมก็ไม่ยุ่งกับหลายๆ กระทู้ด้วย

ถ้าไม่ใช่มาหาเรื่อง กัน

และ สอนผิดๆ

ถ้าสอนถูก ผมก็สาธุ ไม่ใช่ทะเลาะกับทุกคน

ถ้าคุณ ไม่หาเรื่องก่อน ผมก็ไม่ยุ่ง

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2010, 01:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณขงเอ๊ย

ถ้าผมเจอว่า ลพ ปราโมทย์ ทำลายครูบาอาจารย์อย่างคุณว่านะ
บอกตรงๆ ผมน่ะจะเลิกนับถือเลย

แต่นี่ ป่านนี้ผมไม่เจออะไรที่ ดต้งๆ จังๆ สักทีนึง
มีแต่ข้างๆคูๆ

แล้วที่หลวงพ่อสงบเทศน์น่ะ
ผมเคยเทียบให้ฟังแล้วว่า
ก็ในเมื่อหลวงพ่อสงบ นิยามคำว่าดูจิต โดยยึดคำนิยามว่าจิตที่เป็นธาตุรู้เท่านั้น
เช่นที่คูณยกมาในกระทู้นี้ ท่านก็ว่า ความคิดเป็นเจตสิก ไม่ใช่จิต
ก็ถูกของท่านอีก

แต่ดูจิตของหลวงพ่อปราโมทย์นี่
ท่านอธิบายแล้วว่า ท่านหมายความรวมหมด ทั้งเจตสิก ทั้งจิต ขึ้นอยู่กับภูมิผู้ปฏิบัติ
เช่นที่ว่า ต้องรู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่น และเป็นกลาง
เอโกธิภาวะ เอกัตคตา
คนไหนจิตยังไม่ตั้งมั่น ยังรู้กลางๆไม่ได้
ก้ต้องคอยหัดรู้สภาวะไปก่อน

ผมจะบอกให้ว่า สมมุติคุณขงนั่งสมาธิอยู่
หายใจเข้า ก็ตามรู้อยู่กับลมหายใจ
นี่ล่ะ ดูจิตเรียบร้อยแล้ว เป็นอาณาปานสติ มีความระลึกอยู่กับลมหายใจ

แต่ถ้าเป็นหลวงพ่อสงบ ท่านไม่นับว่านี่คือดูจิต เพราะยังไม่มีผู้รู้
คือความตั่งมั่นเด่นดวงของจิตที่แยกออกมาเป็นผู้รู้ แล้วจึงไปรู้เจตสิก
ก็แค่นี้เอง

ดูจิตก้คือการเจริญสตินั่นเอง เจริญในทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ รู้ปรมัตถ์ลงปัจจุบัน
จะนั่งสมาธิ แม้แต่เข้าฌาน ก็ต้องเจริญสติ
การทำฌานก้ยังต้องฉลาดทำอีก คือรู้ว่าจะทำเอาอะไร
ถ้าจะวิปัสสนาหาความรู้ในความทุกข์ของรูปนาม ก้ต้องรู้สึกตัวเสมอ
ต้องเห้นรูปเห็นนามอยู่ไม่ได้ขาดหายไป
แต่ถ้าจะเอาความเด่นดวงตั้งมั่นและบารมีของจิต ก็เข้าไปเลย จะเอาสงบยังไงก็เอาเลย
จะนั่งกี่วันก็นั่งไปเลย จะหายไปแม้กระทั่งเจตสิกทั้งหมดหายไปก็ตามสบาย
ไม่รู้ไม่เห้นอะไร สงบนิ่งอยู่เฉยก็ทำไปได้เลย ไม่มีข้อห้าม
หลวงพ่อปราโมทย์ก็ไม่เคยห้าม
เพราะเราเอาความสงบ เอาบารมี เอาพลังให้จิต
แต่ถ้าจะวิปัสสนาก้ต้องมีความรู้สึกตัว รู้สึกว่ายังมีเราอยู่ในโลก

ถ้าเป็นวิธีแบบที่หลวงพ่อสงบทำ ก้คือทำฌานเสียก่อน ฌานไหนก็แล้วแต่
เพราะเป็นการทำให้จิตมีกำลังตั้งมั่นจนแยกออกเด่นออกมาได้ นี่คือสมถะ
แล้วจากนั้นก็ใช้จิตเช่นว่านั้น มารู้กาย รู้เจตสิก นี่จึงเกิดการวิปัสสนาหาความรู้ขึ้น
ซึ่งถ้าพูดตามบริบทหลวงพ่อสงบ คำว่าดุจิต เป็นอฐานะเลยนะ
คืิอเป้นไปไม่ได้ ซึ่งก้จริงของท่าน
จิตมีหน้าที่รู้ จะไปรู้จิตเองได้อย่างไร

ถ้าคุณขงรักความจริง ไปถามหลวงตาเลย ง่ายดี จบข่าวด้วย
คือไปถามว่า ผู้ที่จะเห็นจิตของตน ดับแล้วเกิด เกิดแล้วดับ
เกิดดับสืบเนื่องต่อกันไปตลอดสาย .... เป็นภูมิชั้นไหน
ถามไปอย่างนี้เลย

ถ้าท่านตอบว่า เป็นไปไม่ได้ อฐานะ ไม่มีใครในโลกเห็นจิตของตนได้
ไม่มีใครเห้นจิตของตนเป็นทุกข์ได้ ไม่มีใครเห็นจิตของตนเกิดดับได้
เป้นอันว่า หลวงพ่อสงบถูก หลวงพ่อปราโมทย์ผิด
ใช้คำว่าผิดเลยนะ เพราะเป็นอฐานะ

แต่ถ้าท่านตอบว่า เป็นฐานะที่มีได้ แล้วเป็นภูมิของพระอรหันต์
คุณขงก้จะทราบเลยว่าต้องทำอะไรบ้าง
แล้วจะทราบเลยว่า หลวงพ่อสงบก็ไม่ผิดนะ
แต่จะทราบว่า "ท่านพูดตามที่ท่านรู้"

ลองดูแล้วมาบอกกัน

ผมมีอีกคำถามเล็กๆให้คุณขงเอาไปคิดเล่นๆ
ถ้าสมุติว่าเรายึดพระพุทธเจ้า ยึดพระไตรปิฏก
แล้วพุทธ-โธ มาจากไหน?
แสดงว่าใครสอนพุทธโธ ก็เป็นคนไม่ดี เพราะสอนในสิง่ที่พระพุทธเจ้าไม่สอน
[b]คิดล้างบรมครู?


ผมไปเปิดพระไตรปิฏกดูอาณาปานสติ
คุณขงช่วยผมหน่อยสิ ผมหาการท่องพุทธโธไม่เจอ
มีแต่เจอว่า ให้กำหนดรู้ไปตลอดกองลม เข้ารู้ ออกรู้
จิตมีราคะรู้ว่ามีราคะ จิตไม่มีราคะรู้ว่าไม่มีราคะ and so on
ตรงไหนล่ะ ท่องพุทธโธ ตรงไหนยุบหนอ พองหนอ[/b]

ถ้าเราไม่เฉลียวใจ ไม่แยบคายนะ ไม่เข้าใจครูอาจารย์
มันจะเกิดความคิดขึ้นมาเลยว่านี่ ไม่เห็นมีในพระไตรปิฏก
สัทธรรมปฏิรูป คิดล้างกระทั่งบรมครู แล้วก็ถูกของคนพูดด้วย
เพราะมันไม่มีจริงๆ

แต่ถ้ารู้แยบคาย รู้จักโยนิโส รู้จักพฤติของจิต ฉลาดในจิต
จะรู้ว่านี่เป็นอุบายที่ชาญฉลาดที่สุดอันหนึ่งของครูบาอาจารย์ชั้นหลังๆ
ที่ท่านมีความเฉียวฉลาดในพฤติกรรมของจิต
เพราะปกติคนนี้ จิตมันว่อกแว่กมาก เจ้าความคิด คิดไปเรื่อยเปื่อย
ไม่รู้จะเอาความคิดไปไว้ไหน ก็ผุกมันไว้กับการท่องพุทธโธ
ไม่ให้ออกไปหาลูก หาเมีย คิดไปเรื่องทำมาหากิน เรื่องนอกตัวนอกใจทั้งหลาย
ท่านก็ใช้อุบายนี้สอนให้มีสติอยู่กับตัว อยู่กับใจ
หายใจเข้าว่าพุทธ หายใจออกว่าโธ หายใจเข้าว่าพองหนอ หายใจอกว่ายุบหนอ
นี่ผูกทั้งหายทั้งใจเอาไว้กับกายกับใจตน
แล้วครูบาอาจารย์ผู้ฉลาดในจิตทั้งหลาย ท่านทราบดีว่า
แม้จะตั้งใจอยู่กับพุทธโธปานใดก้ตาม ในที่สุดจิตก็ต้องเบื่อพุทธโธ
มันยึดจนเบื่อ เบื่อมันก็คลาย อยากจะยึดอีกปานใดมันก้ต้องคลาย
ต้องคลายอารมณ์ พอคลายแล้วไม่มีอะไรจะยึดใหม่นี่แหละ ของดี
จะทำสมถะกรรมฐานต่อไปก็ได้ คือทำความสงบต่อไป
ถ้ามีกำลังจิตพอจะ วิปัสสนาก็ได้ ก็รู้เห้นไปตามความจริงที่ปรากฏแก่จิตก็ได้

เนียะ ช่วยผมคิดหน่อย ตกลงพุทธโธยุบหนอนี่ คิดล้างบรมครูหรือเปล่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2010, 05:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
คุณขงเอ๊ย

ถ้าผมเจอว่า ลพ ปราโมทย์ ทำลายครูบาอาจารย์อย่างคุณว่านะ
บอกตรงๆ ผมน่ะจะเลิกนับถือเลย

แต่นี่ ป่านนี้ผมไม่เจออะไรที่ ดต้งๆ จังๆ สักทีนึง
มีแต่ข้างๆคูๆ

แล้วที่หลวงพ่อสงบเทศน์น่ะ
ผมเคยเทียบให้ฟังแล้วว่า
ก็ในเมื่อหลวงพ่อสงบ นิยามคำว่าดูจิต โดยยึดคำนิยามว่าจิตที่เป็นธาตุรู้เท่านั้น
เช่นที่คูณยกมาในกระทู้นี้ ท่านก็ว่า ความคิดเป็นเจตสิก ไม่ใช่จิต
ก็ถูกของท่านอีก

แต่ดูจิตของหลวงพ่อปราโมทย์นี่
ท่านอธิบายแล้วว่า ท่านหมายความรวมหมด ทั้งเจตสิก ทั้งจิต ขึ้นอยู่กับภูมิผู้ปฏิบัติ
เช่นที่ว่า ต้องรู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่น และเป็นกลาง
เอโกธิภาวะ เอกัตคตา
คนไหนจิตยังไม่ตั้งมั่น ยังรู้กลางๆไม่ได้
ก้ต้องคอยหัดรู้สภาวะไปก่อน

ผมจะบอกให้ว่า สมมุติคุณขงนั่งสมาธิอยู่
หายใจเข้า ก็ตามรู้อยู่กับลมหายใจ
นี่ล่ะ ดูจิตเรียบร้อยแล้ว เป็นอาณาปานสติ มีความระลึกอยู่กับลมหายใจ

แต่ถ้าเป็นหลวงพ่อสงบ ท่านไม่นับว่านี่คือดูจิต เพราะยังไม่มีผู้รู้
คือความตั่งมั่นเด่นดวงของจิตที่แยกออกมาเป็นผู้รู้ แล้วจึงไปรู้เจตสิก
ก็แค่นี้เอง

ดูจิตก้คือการเจริญสตินั่นเอง เจริญในทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ รู้ปรมัตถ์ลงปัจจุบัน
จะนั่งสมาธิ แม้แต่เข้าฌาน ก็ต้องเจริญสติ
การทำฌานก้ยังต้องฉลาดทำอีก คือรู้ว่าจะทำเอาอะไร
ถ้าจะวิปัสสนาหาความรู้ในความทุกข์ของรูปนาม ก้ต้องรู้สึกตัวเสมอ
ต้องเห้นรูปเห็นนามอยู่ไม่ได้ขาดหายไป
แต่ถ้าจะเอาความเด่นดวงตั้งมั่นและบารมีของจิต ก็เข้าไปเลย จะเอาสงบยังไงก็เอาเลย
จะนั่งกี่วันก็นั่งไปเลย จะหายไปแม้กระทั่งเจตสิกทั้งหมดหายไปก็ตามสบาย
ไม่รู้ไม่เห้นอะไร สงบนิ่งอยู่เฉยก็ทำไปได้เลย ไม่มีข้อห้าม
หลวงพ่อปราโมทย์ก็ไม่เคยห้าม
เพราะเราเอาความสงบ เอาบารมี เอาพลังให้จิต
แต่ถ้าจะวิปัสสนาก้ต้องมีความรู้สึกตัว รู้สึกว่ายังมีเราอยู่ในโลก

ถ้าเป็นวิธีแบบที่หลวงพ่อสงบทำ ก้คือทำฌานเสียก่อน ฌานไหนก็แล้วแต่
เพราะเป็นการทำให้จิตมีกำลังตั้งมั่นจนแยกออกเด่นออกมาได้ นี่คือสมถะ
แล้วจากนั้นก็ใช้จิตเช่นว่านั้น มารู้กาย รู้เจตสิก นี่จึงเกิดการวิปัสสนาหาความรู้ขึ้น
ซึ่งถ้าพูดตามบริบทหลวงพ่อสงบ คำว่าดุจิต เป็นอฐานะเลยนะ
คืิอเป้นไปไม่ได้ ซึ่งก้จริงของท่าน
จิตมีหน้าที่รู้ จะไปรู้จิตเองได้อย่างไร

ถ้าคุณขงรักความจริง ไปถามหลวงตาเลย ง่ายดี จบข่าวด้วย
คือไปถามว่า ผู้ที่จะเห็นจิตของตน ดับแล้วเกิด เกิดแล้วดับ
เกิดดับสืบเนื่องต่อกันไปตลอดสาย .... เป็นภูมิชั้นไหน
ถามไปอย่างนี้เลย

ถ้าท่านตอบว่า เป็นไปไม่ได้ อฐานะ ไม่มีใครในโลกเห็นจิตของตนได้
ไม่มีใครเห้นจิตของตนเป็นทุกข์ได้ ไม่มีใครเห็นจิตของตนเกิดดับได้
เป้นอันว่า หลวงพ่อสงบถูก หลวงพ่อปราโมทย์ผิด
ใช้คำว่าผิดเลยนะ เพราะเป็นอฐานะ

แต่ถ้าท่านตอบว่า เป็นฐานะที่มีได้ แล้วเป็นภูมิของพระอรหันต์
คุณขงก้จะทราบเลยว่าต้องทำอะไรบ้าง
แล้วจะทราบเลยว่า หลวงพ่อสงบก็ไม่ผิดนะ
แต่จะทราบว่า "ท่านพูดตามที่ท่านรู้"

ลองดูแล้วมาบอกกัน

ผมมีอีกคำถามเล็กๆให้คุณขงเอาไปคิดเล่นๆ
ถ้าสมุติว่าเรายึดพระพุทธเจ้า ยึดพระไตรปิฏก
แล้วพุทธ-โธ มาจากไหน?
แสดงว่าใครสอนพุทธโธ ก็เป็นคนไม่ดี เพราะสอนในสิง่ที่พระพุทธเจ้าไม่สอน
[b]คิดล้างบรมครู?


ผมไปเปิดพระไตรปิฏกดูอาณาปานสติ
คุณขงช่วยผมหน่อยสิ ผมหาการท่องพุทธโธไม่เจอ
มีแต่เจอว่า ให้กำหนดรู้ไปตลอดกองลม เข้ารู้ ออกรู้
จิตมีราคะรู้ว่ามีราคะ จิตไม่มีราคะรู้ว่าไม่มีราคะ and so on
ตรงไหนล่ะ ท่องพุทธโธ ตรงไหนยุบหนอ พองหนอ[/b]

ถ้าเราไม่เฉลียวใจ ไม่แยบคายนะ ไม่เข้าใจครูอาจารย์
มันจะเกิดความคิดขึ้นมาเลยว่านี่ ไม่เห็นมีในพระไตรปิฏก
สัทธรรมปฏิรูป คิดล้างกระทั่งบรมครู แล้วก็ถูกของคนพูดด้วย
เพราะมันไม่มีจริงๆ

แต่ถ้ารู้แยบคาย รู้จักโยนิโส รู้จักพฤติของจิต ฉลาดในจิต
จะรู้ว่านี่เป็นอุบายที่ชาญฉลาดที่สุดอันหนึ่งของครูบาอาจารย์ชั้นหลังๆ
ที่ท่านมีความเฉียวฉลาดในพฤติกรรมของจิต
เพราะปกติคนนี้ จิตมันว่อกแว่กมาก เจ้าความคิด คิดไปเรื่อยเปื่อย
ไม่รู้จะเอาความคิดไปไว้ไหน ก็ผุกมันไว้กับการท่องพุทธโธ
ไม่ให้ออกไปหาลูก หาเมีย คิดไปเรื่องทำมาหากิน เรื่องนอกตัวนอกใจทั้งหลาย
ท่านก็ใช้อุบายนี้สอนให้มีสติอยู่กับตัว อยู่กับใจ
หายใจเข้าว่าพุทธ หายใจออกว่าโธ หายใจเข้าว่าพองหนอ หายใจอกว่ายุบหนอ
นี่ผูกทั้งหายทั้งใจเอาไว้กับกายกับใจตน
แล้วครูบาอาจารย์ผู้ฉลาดในจิตทั้งหลาย ท่านทราบดีว่า
แม้จะตั้งใจอยู่กับพุทธโธปานใดก้ตาม ในที่สุดจิตก็ต้องเบื่อพุทธโธ
มันยึดจนเบื่อ เบื่อมันก็คลาย อยากจะยึดอีกปานใดมันก้ต้องคลาย
ต้องคลายอารมณ์ พอคลายแล้วไม่มีอะไรจะยึดใหม่นี่แหละ ของดี
จะทำสมถะกรรมฐานต่อไปก็ได้ คือทำความสงบต่อไป
ถ้ามีกำลังจิตพอจะ วิปัสสนาก็ได้ ก็รู้เห้นไปตามความจริงที่ปรากฏแก่จิตก็ได้

เนียะ ช่วยผมคิดหน่อย ตกลงพุทธโธยุบหนอนี่ คิดล้างบรมครูหรือเปล่า


อิอิ ท่านชาติสยาม พุทโธ ไม่มีในไตรปิฏกก็จริง

แต่จัดเป็นแขนงหนึ่งของพุทธานุสติ นะงับ

เอาเป็นว่า ผมกับ ท่านชาติสยาม ตอนนี้เราถอยคนละก้าวงับ

เรื่องในท่านชาติสยามพูดถูกผมก็เห็นด้วย

ไม่ได้อคติไปซะทุกเรื่อง

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2010, 05:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
ไม่มีโทษอะไรกระมังครับ

ก็แค่คนที่กล่าวร้าย ลพ ปราโมทย์

คนนึงไปนั่งสมาธิตากยุง ตากแดด แล้วคิดว่ายิ่งทนได้ยิ่งดี

อีกคนไปไล่ตามจับพยานาคอยู่


น่าอนาถจริงๆ



ท่านชาติสยามที่เคารพ กรุณาแก้ไขข้อความด้วยนะงับ

แก้เหตุแห่งวิวาทะ

ผมก็ไม่ได้ประสงค์จะมาหาเรื่อง ท่านชาติสยามหรอก

ถ้าไม่มีเหตุ

ด้วยความเคารพ ที่ยังเหมือนเดิม

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2010, 05:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ถ้าคุณขงรักความจริง ไปถามหลวงตาเลย ง่ายดี จบข่าวด้วย
คือไปถามว่า ผู้ที่จะเห็นจิตของตน ดับแล้วเกิด เกิดแล้วดับ
เกิดดับสืบเนื่องต่อกันไปตลอดสาย .... เป็นภูมิชั้นไหน
ถามไปอย่างนี้เลย


ผมรักความจริงไม่ได้เข้าข้างใครด้วย

แต่ฟังทั้ง 2 สำนักแล้วจึง วิเคราะห์แล้วจึงเชื่อ

ความเห็นนี้ถือว่าใช้ได้เลย

ถูกต้องงับ ต้องไปถามหลวงตา ถึงจะดี

แล้วคำถามท่านชาติสยาม จะทำให้ผมโดน หลวงตาดุมั้ย

แล้วถามยังไงดีนะ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2010, 07:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ถามหลวงตา ต้องฉลาดถาม
เพราะท่านเป้นพระ ติดพระธรรมวินัย บางอย่างถามออกชื่อคน
คนนั้นคนนี้ไป ท่านไม่ตอบหรอก

แต่ถ้าถามกว้างๆไป ถามตัวธรรมะ ถ้าท่านเมตตาตอบก็ดีไป
เรื่องหลวงตาด่า จะไปกลัวทำไมเล่าท่าน หลวงตาไม่กินเลือดกินเนื้อดอกก
พระอรหันต์ด่า เป็นมงคล
ถ้าเราไม่งี่เง่า ท่านจะด่าไปทำไม
ท่านด่าที่เรางี่เง่า ก็แสดงว่าท่านชี้ให้ดูว่าตัวชั่วตัวโง่ของเรามันอยู่ตรงไหน
กำไรอย่างเดียวครับพี่น้อง
ถามไปเลย

ฝากถามอีกอันด้วยจะได้ไหมครับ

ในอริยสัจที่ว่า ทุกข์ สมุทัย..
-จิตเป้นทุกข์ หรือเป้นสมุทัย
- กริยาของจิตเป้นทุกข์ หรือเป็นสมุทัย

- ถ้ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะเป็นได้ทั้งทุกข์และสมุทัย ในเวลาเดียวกัน
เป็นฐานะ หรืออฐานะ

ฝากเท่าเนียะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 20 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร