วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 07:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 22:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

กรรมที่ทำให้พบ ผู้ชี้นำทางประเสริฐ
ดั ง ต ฤ ณ

:b42: ถ า ม

ได้ยินว่าถ้าเราเคารพนับถือครูบาอาจารย์อย่างไร
ก็จะเจอครูบาอาจารย์แบบนั้นๆ ต่อไป ไม่ทราบว่าเท็จจริงอย่างไร?


ผมเห็นว่าคนเรามีครูบาอาจารย์ทั้งพระและฆราวาสที่นับถือได้หลายคนตั้งแต่ เด็กจนโต
และแต่ละท่านก็มีความแตกต่างกันหลากหลาย
แล้วจะเอาอะไรเป็นตัวตัดสินครับว่าต้องไปเจอครูบาอาจารย์แบบใดอีก?

ทางพุทธเราถือว่ากรรมที่ทำให้พบผู้ชี้นำทางประเสริฐ
คือการเคยเลื่อมใสผู้ประเสริฐ อยู่ในโอวาทของผู้ประเสริฐมาก่อน


และคำว่า ‘อยู่ในโอวาท’ นั้น
ก็หมายถึงเชื่อฟังคำสั่งสอนที่พิจารณาแล้วว่า
เป็นประโยชน์ ไม่ประกอบด้วยโทษ
น้อมใจรับไปประพฤติปฏิบัติตาม
ไม่ใช่แค่ปากบอกว่าเชื่ออย่างเดียว


ถ้าพิจารณาตามที่พระพุทธเจ้าตรัส
เราก็คงเน้นกันที่ความผูกใจนับถือศาสดา
คือเล็งที่ว่าใจคุณเลื่อมใสศรัทธาศาสดาแห่งเหตุผล
หรือว่าศาสดาแห่งความเชื่อ

ศาสดาแห่งเหตุผลไม่ได้มีแต่พระพุทธเจ้า
ขอให้แจกแจงรายละเอียดได้เถิด ว่า
ทำดีแบบไหนได้ดีอย่างไร ทำชั่วแบบไหนได้ชั่วอย่างไร
นับว่าเป็นศาสดาแห่งเหตุผลหมด

ส่วน ศาสดาแห่งความเชื่อก็ไม่ได้มีเพียงองค์เดียว
และรูปแบบของการจูงใจให้เชื่อก็แตกต่างกัน
บางครั้งให้เชื่อในการปีนบันไดสวรรค์
บางครั้งให้เชื่อในการพุ่งหลาวลงเหวนรก

ถ้าพูดกันเฉพาะศาสนาใหญ่ ที่เก่าแก่ สืบทอดมาช้านาน
บางทีก็น่าสับสนเหมือนกันครับ
เพราะช่วงเวลาช้านานเป็นร้อยเป็นพันปีนั้น
มักก่อให้เกิดก๊กเหล่า มีความแตกแยกทางความเชื่อและความคิดเห็นออกไปได้มาก

การระบุว่าตน นับถือศาสดาใด หรือเป็นสมาชิกของศาสนาใด บางทียังกว้างเกินไป
เพราะศาสดาของทุกศาสนาใหญ่ต่างก็ทิ้งโลกนี้ไว้เบื้องหลังแล้ว
ที่เรานับถืออยู่จริงๆจะเป็นตัวแทนของท่าน อันได้แก่คำสอนในคัมภีร์


ส่วนผู้ชี้ขาดคำสอนก็มีอยู่หลากหลายเหลือเกิน
ไม่อาจแต่งตั้งใครเป็นประมุขศาสนาองค์ใหม่แทนพระศาสดาได้เลย
เพราะอย่างไรก็จะเห็นว่าเป็นเพียงหนึ่งในผู้สืบทอด
ไม่ใช่ผู้เริ่มต้นก่อตั้งศาสนา จึงย่อมไม่มีใครยอมลงให้ใครง่ายๆ

การแบ่งก๊กแบ่งเหล่านี้แหละ ก่อให้เกิดอาจารย์หรือประธานกลุ่ม
ซึ่งถ้าผู้นำกลุ่มพยายามรักษาคำสอนดั้งเดิมของพระศาสดาไว้
ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้คนกลุ่มได้ดี เจริญรอยตามบาทพระศาสดา
ไม่หลงเขวออกนอกทางไปไหน

แต่หากผู้นำกลุ่มไม่ได้สอนตามพระศาสดา
ก็เหมือนกับตั้งศาสนาหรือลัทธิใหม่ขึ้นมากลายๆ
สมาชิกกลุ่มย่อมไม่ได้ชื่อว่าเจริญรอยตามบาทพระศาสดา
ทว่าหลงเขวไปทางอื่นโดยไม่รู้ตัว


เช่น สำหรับพุทธเราสอนเรื่องการพ้นทุกข์
ด้วยวิธีละเหตุแห่งทุกข์ อันได้แก่ความอยาก

แต่หลายสำนักจะเน้นสอนเรื่องการมีสุข
ด้วยวิธีเพิ่มเหตุแห่งทุกข์ คือเร่งความโลภ ความอยากได้ให้มากยิ่งๆขึ้น
นี่แหละเรียกว่าหลงทิศ หลงออกจากเป้าหมายเดิม

และถ้าเจาะจงอย่างละเอียดอ่อนลึกซึ้งกว่า นั้น
ก็ต้องดูด้วยว่าแต่ละคนน้อมใจเชื่อ น้อมใจเคารพ
และยึดถือใครคนใดคนหนึ่งเป็นแบบอย่าง
เพราะธรรมชาติของคนเราจะยึดถือผู้ที่มีชีวิต
มีตัวตนให้จับต้องได้สักคนหนึ่ง
เอาไว้เป็นหลักใจให้นึกถึงง่ายๆ หรือคลานเข้าไปกราบขอคำปรึกษาได้


ตรงนี้เองครับที่จะเป็นคำตอบ สำหรับคำถาม

คุณผูกใจนับถือใครมากที่สุด ยอมรับใครมากที่สุด
ก็จะได้รับส่วนแห่งตัวตนหรือนิสัยของท่านมาด้วย
หาใช่แค่ได้รับความรู้ความเข้าใจมาอย่างเดียว


แม้สมัยพุทธกาล พระอริยบุคคลท่านก็มีความแตกต่าง
พระพุทธเจ้าเคยชี้ให้เห็นว่าพวกที่ชอบทางฤทธิ์ก็ยึดถือพระโมคคัลลานะเป็นครู
พวกที่ชอบทางปัญญาก็ยึดถือพระสารีบุตรเป็นอาจารย์
คือเคารพทั้งพระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร
ในฐานะของพระอรหันต์ผู้บริสุทธิ์ จากกิเลสเหมือนกัน
แต่จะยึดเอาใครเป็นครูก็ขึ้นอยู่กับอัธยาศัยที่สอดคล้องด้วย

ตามที่เห็นด้วยตาเปล่า

คือ ถ้ายึดมั่นในครูผู้อ่อนน้อมถ่อมตน
เหล่าสานุศิษย์ก็จะพลอยอ่อนน้อมถ่อมตนตาม

ถ้ายึดมั่นในครูผู้ใคร่บำเพ็ญประโยชน์มาก
เหล่าสานุศิษย์ก็จะพลอยใคร่บำเพ็ญประโยชน์มาก

ถ้ายึดมั่นในครูผู้พูดจาโผงผาง
เหล่าสานุศิษย์ก็จะพลอยพูดโผงผางตาม

ถ้ายึดมั่นในครูผู้ชอบยิ้มเย้ยและดูถูกถากถาง
เหล่าสานุศิษย์ก็จะพลอยชอบยิ้มเย้ยและดูถูกถากถางตาม ฯลฯ

สรุปว่า นิสัยหลัก นิสัยเด่นของบุคคลที่คุณเคารพเลื่อมใสและยึดถือเป็นครู
จะเหมือนเชื้อที่แพร่เข้ามาสู่คุณ และทำให้คุณเกิดอัธยาศัยเดียวกัน
กับทั้งเกิดความยินดีในครูเช่นนั้นอีกเมื่อเกิดใหม่ครับ


:b8: :b8: :b8:

(คัดลอกบางตอนมาจาก : เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่ม ๑๐,
พิมพ์ครั้ง ๒ กันยายน ๒๕๕๒, สำนักพิมพ์ DMG,หน้า ๑๔๗-๑๕๑)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2012, 22:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 13:34
โพสต์: 1654

งานอดิเรก: ฟังเพลง และฟังธรรมตามกาลเวลา
สิ่งที่ชื่นชอบ: อภัยทาน
อายุ: 39
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว




Lotus773.jpg
Lotus773.jpg [ 5.74 KiB | เปิดดู 2608 ครั้ง ]
โอกาสทองของชีวิต โดย พระวิสุทธิวราภรณ์

อกฺขาตาโร ตถาคโตติ. พระตถาคต เป็นเพียงผู้บอกหนทาง.

การได้มาเกิดเป็นมนุษย์และได้พบกับพระพุทธศาสนา ถือว่าเป็นบุญอันประเสริฐ เป็นโชค ๒ ชั้นด้วยกัน เป็นโอกาสดี เป็นโอกาสทองของชีวิต ที่ว่าเป็นบุญหรือเป็นโชค ๒ ชั้นนั้น ก็หมายถึง การได้เกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นโชคชั้นที่๑ การได้เจอพระพุทธศาสนาก็เป็นโชคชั้นที่ ๒ เพราะโดยปกติแล้วการจะมาเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นสิ่งที่ยากลำบาก การปรากฏขึ้นของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ เพื่อมาประกาศสอนพระพุทธศาสนา ก็เป็นสิ่งที่ยากลำบากกว่าอีกหลายล้านเท่าด้วยกัน แต่พวกเรานี้ต้องถือว่าเป็นพวกมีบุญมีวาสนา มีโชคอย่างยิ่ง ที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ และได้เจอพระพุทธศาสนา เพราะถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ แต่ไม่ได้พบพระพุทธศาสนา การเกิดเป็นมนุษย์ก็จะไม่ได้คุณประโยชน์ มากเท่ากับการที่ได้เจอพระพุทธศาสนา ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนาเป็นผู้นำทาง สอนให้ไปสู่ความดี ความประเสริฐ คือการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว เราก็จะไม่มีทางที่จะหลุดพ้นได้โดยตัวของเราเอง สิ่งที่เราจะทำได้อย่างมากก็แค่อาศัยบุญบารมีเก่า ถ้าเคยทำบุญทำทานรักษาศีลมา ก็จะทำบุญทำทานรักษาศีลต่อ ถ้าเคยนั่งสมาธิก็จะนั่งสมาธิต่อ แต่จะไม่มีโอกาสที่จะเจริญวิปัสสนาปัญญา ซึ่งเป็นปัญญาที่จะมองเห็นทะลุ รู้แจ้งตามสภาพความเป็นจริงของทุกข์ที่มีอยู่ในโลกนี้ ถ้าไม่เห็นทุกข์ก็ยังจะหลงยึดติดอยู่กับสิ่งต่างๆ ก็จะไม่หลุดพ้นจากความทุกข์ไปได้ แต่ถ้ามีพระพุทธศาสนา คือมีพระพุทธเจ้ามาประกาศพระธรรมคำสอน สอน ถึงความเป็นจริงของโลกนี้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนเป็นความทุกข์ทั้งสิ้น ก็จะทำให้เรามีโอกาสหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ความเกิดก็เป็นความทุกข์ ความแก่ก็เป็นความทุกข์ ความเจ็บก็เป็นความทุกข์ ความตายก็เป็นความทุกข์ ความพลัดพรากจากของรักก็เป็นความทุกข์ การเผชิญกับสิ่งที่ไม่ชอบก็เป็นความทุกข์

ขอบคุณที่มา :: http://www.oknation.net/blog/print.php?id=432906

:b44: กราบอนุโมทนาบุญกับท่านผู้เจริญในธรรมและกัลยาณมิตรทุกท่านนะเจ้าค่ะ ธรรมรักษา เทวดาคุ้มครองนะเจ้าค่ะ :b8: :b8: :b8: :b20:

.....................................................
ธรรมอำนวยพร
ขอให้.....มีจิตที่รู้ ที่ตื่น ที่เบิกบาน (พุทธะ)
ขอให้.....ทำการงานด้วยความสุข (อิทธิบาทสี่)
ขอให้.....ขจัดทุกข์ได้ด้วยปัญญา (อริยสัจสี่)
ขอให้.....มีดวงตาที่เห็นความจริง (ไตรลักษณ์)
ขอให้.....เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยไตรสิกขา (ศีล, สมาธิ, ปัญญา)
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร