วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 23:05  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2010, 20:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หากผู้ศึกษาคำอธิบายต่อไปนี้เข้าใจ จะเข้าใจพระพุทธศาสนาระดับหนึ่ง

ปัญหาเกี่ยวกับการให้ผลของกรรมดี และ กรรมชั่ว


ปัญหาที่ถกเถียงกันมากที่สุดเกี่ยวกับเรื่องกรรม ก็คือ การให้ผลของกรรม

โดยสงสัยเกี่ยวกับ หลัก “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ว่าเป็นจริงอย่างนั้นหรือไม่

บางคนพยายามนำหลักฐานมาแสดงให้เห็นว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง คนที่ทำชั่วได้ดี

และคนที่ทำดีได้ชั่ว มีมากมาย

ความจริงปัญหาเช่นนี้ เกิดจากความเข้าใจสับสนระหว่างกรรมนิยามกับสังคมน์นิยม

โดยนำเอาความเป็นไปในนิยาม และ นิยมน์ทั้งสองนี้มาปนเปกัน ไม่รู้จักแยกขอบเขต และขั้นตอนให้ถูกต้อง

ดังจะเห็นว่า แม้แต่ความหมายของถ้อยคำในหลัก “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” นั้นเอง

คนก็เริ่มต้นเข้าใจสับสน แทนที่จะเข้าใจความหมายของทำดีได้ดี ว่าเท่ากับทำความดี ได้ความดี

หรือทำความดี ก็มีความดี หรือทำความดี ก็เป็นเหตุให้ความดีเกิดมีขึ้น

หรือทำความดี ผลดีตามกรรมนิยามก็เกิดขึ้น

กลับเข้าใจเป็นว่า ทำความดี ได้ของดี หรือทำดีแล้ว ได้ผลประโยชน์หรือได้อามิสที่ตนชอบใจ

เมื่อปัญหามีอยู่เช่นนี้ จึงควรมีการศึกษากันให้ชัดเจน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 27 พ.ค. 2010, 13:28, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2010, 20:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จุดสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหา คือ ความสับสนเกี่ยวกับขอบเขตที่แยกต่างหากจากกัน และที่

สัมพันธ์กันระหว่างกรรมนิยามกับสังคมนิยมน์ เพื่อความแจ่มแจ้งในเรื่องนี้

เบื้องแรกขอให้พิจารณาการให้ผลของกรรม โดยแบ่งเป็น 4 ระดับ คือ




1. ระดับภายในจิตใจ - ว่ากรรมทำให้เกิดผลภายในจิตใจ มีการสั่งสมคุณสมบัติ

คือ กุศลธรรมและอกุศลธรรม คุณภาพและสมรรถภาพของจิต มีอิทธิพลปรุงแต่งความรู้สึก นึ กคิด

ความโน้มเอียง ความนิยมชมชอบ และความสุขความทุกข์ เป็นต้น อย่างไรบ้าง


2. ระดับบุคลิกภาพ - ว่ากรรมให้ผลในด้านการสร้างเสริมนิสัย ปรุงแต่งลักษณะความประพฤติ

การแสดงออก ท่าทีการวางตนปรับตัว อาการตอบสนอง ความเกี่ยข้องสัมพันธ์กับคนอื่นๆ และต่อสถานการณ์

หรือสภาพแวดล้อมทั่วๆไปอย่างไรบ้าง

การให้ผลระดับนี้ ต่อเนื่องออกมาจากระดับที่ 1 นั่นเอง และมีขอบเขตคาบเกี่ยวกัน

แต่แยกพิจารณาเพื่อให้มองเห็นแง่มุมของการให้ผลชัดเจนยิ่งขึ้น



3. ระดับวิถีชีวิตของบุคคล -ว่ากรรมชักนำความเป็นไปในชีวิตของบุคคล ทำให้เขาได้ รับประสบการณ์

ที่น่าปรารถนา และไม่น่าปรารถนา ประสบผลตอบสนองจากภายนอก พบความเสื่อมความเจริญ ความล้มเหลว

ความสำเร็จ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ และความสูญเสียต่างๆที่ตรงข้าม ซึ่งรวมเรียกว่า โลกธรรมทั้งหลาย

อย่างไรบ้าง

ผลระดับนี้อาจแยกมองได้สองด้าน คือ

-ผลสนองจากปัจจัยด้านอื่นๆ ของสภาพแวดล้อมที่นอกจากคน

-ผลสนองจากปัจจัยด้านบุคคลอื่นและสังคม


4. ระดับสังคม -ว่ากรรมที่บุคคลและคนทั้งหลายกระทำ มีผลต่อความเป็นไป ของสังคมอย่างไรบ้าง เช่น

ทำให้เกิดความเสื่อมความเจริญ ความร่มเย็นเป็นสุข ความทุกข์ยากเดือดร้อนร่วมกันของมนุษย์ทั้งหลาย

รวมทั้งผลจากการที่มนุษย์กระทำ ต่อสภาพแวดล้อมอื่นๆ แล้วย้อนกลับมาหาตัวมนุษย์เอง


จะเห็นได้ชัดว่า ผลในระดับที่ 1 และที่ 2 คือ ผลภายในจิตใจและบุคลิกภาพ เป็นขอบเขต

ที่กรรมนิยามเป็นใหญ่

ระดับที่ 3 เป็นขอบเขตที่กรรมนิยาม กับ สังคมนิยมน์เข้ามาสัมพันธ์กัน และเป็นจุด ที่มักเกิดความสับสน

ก่อให้เกิดปัญหา ซึ่งควรพิจารณาในที่นี้

ส่วนระดับที่ 4 แม้จะเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็อยู่นอกขอบเขตของการพิจารณาในหัวข้อนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2010, 21:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ต่อ)

คนทั่วไป เมื่อมองดูผลของกรรมที่เกิดแก่ตน หรือ เพ่งจ้องติดตามดูผู้อื่นว่าใครทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

จริงหรือไม่อย่างไร

มักมองดูแต่ผลในระดับที่ 3 คือ ความเป็นไปในชีวิตส่วนที่ได้รับผลตอบสนองจากภายนอกเท่านั้น

ทำให้มองข้ามผลในระดับที่ 1 และ 2 ไปเสีย ทั้งที่ผลสองระดับต้นนั้นแหละ มีความสำคัญอย่างยิ่ง

สำคัญทั้งในแง่เฉพาะของมันเอง เช่น สุขทุกข์ในใจ ความเข้มแข็งอ่อนแอภายใน ความพร้อมความแก่

หรือ อ่อนแห่งอินทรีย์ เป็นต้น และสำคัญทั้งในแง่เป็นที่มาแหล่งใหญ่ของผลในระดับที่ 3 ด้วย

กล่าวคือ ผลในระดับที่สามนั้น ส่วนที่เป็นขอบเขตของกรรมนิยามก็ต่อเนื่องมาจากผลในระดับ ที่ 1 และ 2

นั่นเอง เช่น

ด้วยผลในระดับที่ 1 จิตใจของบุคคลผู้นั้นเอง คือ ความสนใจ ความนิยมชมชอบ ความโน้มเอียง

การแสวงสุขหรือระบายทุกข์ภายในของบุคคลนั้นเอง ชักนำให้เขามองสิ่งนั้น เรื่องนั้นในแง่นั้นๆ

นำเขาเข้าไปหาสถานการณ์นั้นๆ

ทำการตอบสนองอย่างนั้นๆ จะทำหรือไม่ทำสิ่งนั้นๆ ทำให้เขาดำเนินตามวิถีชีวิตอย่างนั้นๆ

ให้ได้พบประสบการณ์ หรือประสบผลอย่างนั้นๆ และให้มีความรู้สึกหรือท่าทีต่อสิ่งที่ประสบอย่างนั้นๆ เป็นต้น


เฉพาะอย่างยิ่ง ทำให้เกิดผลในระดับที่สอง ซึ่งก็ช่วยเสริมผลในระดับที่ 1 ในการก่อผลระดับที่ 3

อย่างที่กล่าวมาแล้วนั่นเอง

รวมทั้งการที่ว่า เมื่อเขาจะทำการใดๆ เขาจะทำสิ่งนั้นๆ ตามแนวไหน ลักษณะใด ด้วยอาการใด

จะทำไปตลอดไหม พบข้อขัดข้องอย่างไหน จะยอมอย่างไหน จะย่ำต่อไป จะทำสำเร็จหรือไม่

จะหยาบประณีต ยิ่งหรือหย่อนอย่างไร

ตลอดถึงว่า ตัวเขาจะปรากฏเป็นภาพในความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นอย่างไร

อันจะเป็นผลย้อนกลับมาหาตัวเขาเองอีก ในรูปของความช่วยเหลือ ร่วมมือ หรือขัดแย้งปฏิเสธ เป็นต้น

อันเป็นส่วนหนึ่ง ที่บุคลิกภาพของเขาชักนำคนอื่นให้ช่วยพาตัวเขาไปสู่ผลสนองที่น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ



ทั้งนี้ มิได้ปฏิเสธองค์ประกอบด้านอื่นๆ โดยเฉพาะปัจจัยแวดล้อมทางสังคม ที่จะมามีปฏิกิริยาตอบโต้กัน

และมีอิทธิพลต่อเขาโดยอาศัยกรรมนิยามนี้ เพียงแต่ว่าในที่นี้มุ่งเน้นการมองกรรมนิยามจากด้านภายใน

ออกมาอย่างเดียวก่อน

ส่วนการมองจากด้านนอกเข้าไป จะเห็นได้ในหลักปรโตโฆสะ และ กัลยาณมิตร

ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกรรมนิยามตามที่กล่าวมานี้ มิใช่มีประโยชน์เฉพาะในด้านการแก้ไขปรับปรุงตน

ในการประกอบกรรมของบุคคลเองเท่านั้น

แต่มีประโยชน์ในการที่คนอื่น หรือ สังคมจะช่วยเหลือบุคคลให้โน้มน้อมไปในทางแห่งกุศลกรรม

ด้วยการจัดสรรอำนวยสภาพแวดล้อมและเครื่องชักจูงที่ดีงามตามหลักปฏิรูปเทสวาส และกัลยาณมิตตตา

หรือ สัปปุริสูปัสสยะ อีกด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2010, 22:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




Picture041.jpg
Picture041.jpg [ 19.96 KiB | เปิดดู 6691 ครั้ง ]
ในหัวข้อก่อน ได้กล่าวถึงการก่อผลแปรกรรมในระดับที่ ๑ คือ ภายในจิตใจพอเป็นเค้าแล้ว

ส่วนการก่อผลในระดับที่ ๒ ก็ คือ เนื่องจากระดับที่ ๑ นั่นเอง และได้กล่าวถึงความหมายคร่าวๆ ไว้แล้ว

ทั้งสองระดับนั้นเกี่ยวโยงถึงผลในระดับที่ ๓ ด้วย แต่ไม่ใช่ข้อพิจารณาโดยตรง ณ ที่นี้จึงขอผ่านไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 16 ก.พ. 2010, 22:33, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2010, 22:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผลกรรมในระดับที่ 3 คือ ความเป็นไปแห่งวิถีชีวิตพร้อมด้วยผลตอบสนองต่างๆ นั้น ว่าที่จริงก็เป็นเรื่อง

ของกรรมนิยามนั่นแหละ และส่วนมากก็สืบเนื่องมาจากผลในระดับที่ 1 และที่ 2 เช่น

ถ้าคนผู้หนึ่ง มีใจรักงาน ทำงานสุจริตด้วยความขยันหมั่นเพียร จัดการงานได้ดี

เขาก็น่าจะได้รับผลงาน และ ผลตอบแทนดี อย่างน้อยดีกว่าคนที่เกียจคร้านหรือทำงานไม่สุจริต

ข้าราชการที่ซื่อสัตย์สุจริตมีความสามารถ ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ราชการบังเกิดผลดี ก็น่าจะเจริญก้าวหน้า

ในราชการ อย่างน้อยดีกว่าราชการที่ไม่สามารถและไม่เข้มแข็งในหน้าที่

แต่บางที ผลหาเกิดเช่นนั้นไม่ ทั้งนี้เพราะผลในระดับที่ 3 มิใช่เกิดจากกรรมนิยามอย่างเดียวล้วน

หากแต่มีปัจจัยด้านนิยามและนิยมอื่นๆ เฉพาะอย่างยิ่งสังคมนิยมน์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

เมื่อมองดูแต่กรรมนิยามอย่างเดียว ไม่มองปัจจัยด้านอื่นให้ครบถ้วน และไม่รู้จักแยกขอบเขตความสัมพันธ์

ระหว่างนิยาม-นิยมน์ต่างๆ ก็จะเกิดความสับสน แล้วคำกล่าวที่ว่า ทำดีได้ชั่ว ทำชั่วได้ดี ก็ติดตามมา


ถ้ากรรมนิยาม ทำงานลำพังอย่างเดียว ก็ย่อมไม่มีปัญหา ผลก็เกิดตรงตามกรรมนั้น ตัวอย่าง เช่น

ขยันอ่านหนังสือเรียน หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาตั้งใจอ่าน ก็อ่านจบ ได้ความรู้

แต่บางคราวร่างกายอ่อนเพลียเกินไป หรือ ปวดศีรษะหรืออากาศร้อนเกินไป ก็อาจอ่านไม่จบ หรือ อ่านไม่รู้

เรื่อง หรือเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นในระหว่างการอ่านก็ต้องหยุดชะงักลง ดังนี้เป็นต้น


อย่างไรก็ดี พึงตระหนักแน่ใจได้ว่า ถึงอย่างไรก็ตาม สำหรับมนุษย์กรรมนิยามก็ยังคงเป็นแกนกลางชี้นำ

วิถีชีวิตเป็นปัจจัยตัวเอก ที่กำหนดการได้รับผลสนองดีร้ายต่างๆในชีวิตอยู่อย่างแน่นอน

สำหรับผู้ที่รู้สึกผิดหวังในตนเอง หรือ มองเห็นใครอื่นก็ตามว่า ทำดีแล้วไม่ได้ดีนั้น

แม้ยังไม่ได้ตรวจสอบเหตุปัจจัยในด้านต่างๆให้ชัดเจนเลย ก็อาจลองมองดูอย่างง่ายๆก่อนว่า นี่ถ้าเราไม่ได้

ทำกรรมดีนั้นไว้ คงจะแย่ยิ่งกว่านี้ นั่นถ้าเขาไม่ได้ทำดีไว้บ้าง เขาคงตกหนักยิ่งกว่านั้นอีก

ถ้ามองอย่างนี้ บางทีจะเริ่มเกิดความเข้าใจ มองเห็นอะไรๆ ค่อยๆ ชัดมากขึ้น และตระหนักว่า ถึงอย่างไร

กรรมที่ทำไว้ก็ไม่ไร้ผลเสียเลย และอาจสืบลงไปจนถึงผลภายในจิตใจ และ ผลต่อบุคลิกภาพ

อย่างที่กล่าวแล้วด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2010, 23:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเข้าใจสับสนเกี่ยวกับการให้ผลของกรรม ขอให้มาดูและแก้ไขกันตั้งแต่ต้นแต่ข้อความแสดงหลักทีเดียว

คำกล่าวที่ชาวไทยนิยมพูดว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วนั้นมาจากพุทธศาสนสุภาษิตว่า ดังนี้*



ยาทิสํ วปเต พีชํ - ตาทิสํ ลภเต ผลํ

กลฺยาณการี กลฺยาณํ -ปาปการี จ ปาปกํ

แปลว่า หว่านพืชเช่นใด ได้ผลเช่นนั้น

(ผู้)ทำดี ได้ดี (ผู้) ทำชั่ว ได้ชั่ว


คาถานี้เป็นพุทธพจน์ในรูปของอิสิภาษิต (คำกล่าวของฤๅษี) และโพธิสัตว์ภาษิต ซึ่งพระพุทธเจ้า

นำมาตรัสเล่า ท่านรวบรวมไว้ในพระไตรปิฎก

นับว่า เป็นข้อความที่แสดงหลักกรรม ของพระพุทธศาสนาได้อย่างกะทัดรัดชัดเจน


:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


*สํ.ส. 5/903/333 ฯลฯ - เรื่องเล่าประกอบ มาใน ชา.อ.3/265; 4/425

ภาษิตเต็มของแต่ละที่มา มีข้อความมากกว่านี้

ส่วนเรื่องที่เล่าประกอบในชาดก ดูเหมือนท่านมุ่งแสดงให้เห็นผลชนิดที่เป็นเหตุการณ์ชัดเจน

อนึ่ง คาถาในชาดก บาทที่สอง เป็น ตาทิสํ รุหเต ผลํ บ้าง ตาทิสํ หรเต ผลํ บ้าง

แปลว่า หว่านพืชเช่นใด ผลเช่นั้นย่อมงอกขึ้น หรือหว่านพืชเช่นใด ก็นำผลเช่นนั้นไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 16 ก.พ. 2010, 23:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2010, 23:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พึงสังเกตว่า ความท่อนแรก (ของคาถา) ที่เป็นอุปมานั้น ท่านนำเอาพืชนิยามมาเป็นเครื่องเปรียบเทียบ

เพียงแต่พิจารณาข้ออุปมานี้ให้ดี ก็จะแยกความสับสนระหว่างกรรมนิยามกับสังคมนิยมน์ ได้ทันที

กล่าวคือ ข้อความว่า หว่านพืชเช่นใด ได้ผลเช่นนั้น

แสดงกฎธรรมชาติฝ่ายพืชพันธุ์ ว่าปลูกมะขาม ได้มะขาม ปลูกองุ่น ได้องุ่น ปลูกผักกาด ได้ผักกาด เป็นต้น

ไม่ได้แสดงผลในทางสังคมนิยมน์แต่ประการใด ว่าปลูกมะขามแล้วจะได้เงิน หรือปลูกผักแล้วจะรวย เป็นต้น

ซึ่งเป็นคนละขั้นตอนกัน

พืชนิยาม กับ สังคมนิยมน์จ ะมาสัมพันธ์กัน ก็ในตอนที่ว่า ปลูกองุ่นได้องุ่นแล้ว

พอดีถึงคราวที่ตลาดต้องการองุ่นมาก จึงขายได้ราคาดี และ ปีนั้นจึงรวย

แต่อีกคราวปลูกแตงโม ได้แตงโม และงอกงามได้ผลมากด้วย

แต่ปีนั้น คนปลูกกันมาก ผลดกทั่วไป จนมีเกินความต้องการของตลาด ทำให้ราคาตก

ปีนั้นขายขาดทุน ต้องทิ้งเปล่าเสียมากมาย

นอกจากปัจจัยด้านความต้องการของตลาดแล้ว อาจมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องอีก เช่น เรื่องคนกลาง

การกดราคา เป็นต้น

แต่สาระสำคัญก็คือ จะเห็นความแน่นอนของพืชนิยามคงตัว และเห็นขอบเขตของพืชนิยาม

กับสังคมนิยมน์ ทั้งที่แยกต่างหากจากกัน และ สัมพันธ์กันได้อย่างชัดเจน อุปมานี้ฉันใด

อุปไมยก็ฉันนั้น

คนมักมองกรรมนิยาม กับ สังคมนิยมน์สับสนกัน

โดยพูดว่า ทำดีได้ดี ในความหมายว่าทำดีแล้วรวย ทำความดีแล้วได้เลื่อนตำแหน่ง เป็นต้น ซึ่งก็น่าจะเป็น

เช่นนั้น

แต่บางทีก็ไม่เป็น เหมือนกับพูดว่า ปลูกมะม่วงได้เงินดี

ปลูกมะพร้าวทำให้รวย

เขาปลูกน้อยหน่าจึงยากจน ซึ่งอาจจะจริงก็ได้ ไม่จริงก็ได้

แต่ความจริงก็คือ เป็นการพูดข้ามขั้นตอน ไม่แสดงความจริงตลอดสาย

อาจใช้ได้สำหรับภาษาพูดพอรู้กัน

แต่ถ้าจะเอาความจริงแท้ ต้องแสดงเหตุปัจจัยซอยออกไปโดยว่ากันให้ละเอียด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 19:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




T251252_04T.gif
T251252_04T.gif [ 83.78 KiB | เปิดดู 6619 ครั้ง ]
ดูคำแปล สมบัติ กับ วิบัติ ที่จะเห็นข้างหน้าก่อน



สมบัติ แปลง่ายๆว่า ข้อดี หมายถึงความเพียบพร้อมสมบูรณ์แห่งองค์ประกอบต่างๆ ซึ่งช่วยเสริมส่งอำนวย

โอกาสให้กรรมดีปรากฏผล และไม่เปิดช่องให้กรรมชั่วแสดงผล

พูดสั้นๆว่า ส่วนประกอบอำนวยช่วยเสริมกรรมดี


วิบัติ แปลง่ายๆว่า ข้อเสีย หรือ จุดอ่อน หมายถึงความบกพร่องแห่งองค์ประกอบต่างๆ ซึ่งไม่อำนวยแก่การ

ที่กรรมดีจะปรากฏผล แต่กลับเปิดช่องให้กรรมชั่วแสดงผล

พูดสั้นๆว่า ส่วนประกอบบกพร่อง เปิดช่องให้กรรมชั่ว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 19:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ต่อ)


การที่กรรมนิยามจะแสดงผลออกมาในระดับของวิถีชีวิต ทำให้มีความเป็นไปต่างๆ ประสบผลตอบสนอง

จากภายนอก อันน่าพอใจบ้าง ไม่น่าพอใจบ้างนั้น

ในบาลีท่านแสดงหลักไว้ว่า ต้องขึ้นต่อองค์ประกอบต่างๆ 4 คู่ คือ สมบัติ 4

และวิบัติ 4 * สมบัติมี 4 อย่าง คือ

1. คติสมบัติ – สมบัติแห่งคติ ถึงพร้อมด้วยคติ หรือ คติให้ คือ เกิดอยู่ในภพ ภูมิ ประเทศที่เจริญ

เหมาะ หรือ เกื้อกูลตลอดจนในระยะสั้น คือ ดำเนินชีวิตหรือไปในถิ่นที่อำนวย

2. อุปธิสมบัติ-สมบัติแห่งร่างกาย ถึงพร้อมด้วยร่างกาย หรือ รูปร่างให้ เช่น มีรูปร่างสวย

ร่างกายสง่างาม หน้าตาท่าทางดี น่ารัก น่านิยมเลื่อมใส สุขภาพดีแข็งแรง

3. กาลสมบัติ-สมบัติแห่งกาล ถึงพร้อมด้วยกาล หรือกาลให้ คือ เกิดอยู่ในสมัยที่บ้านเมือง

มีความสงบสุข ผู้ปกครองดี ผู้คนมีศีลธรรม ยกย่องคนดี ไม่ส่งเสริมคนชั่ว ตลอดจนในระยะสั้น

คือทำอะไรถูกกาลเวลา ถูกจังหวะ

4. ปโยคสมบัติ-สมบัติแห่งประกอบ ถึงพร้อมด้วยการประกอบกิจ หรือกิจการให้ เช่น ทำเรื่องตรงกับ

ที่เขาต้องการ ทำกิจตรงกับความถนัดความสามารถของตน ทำการถึงขนาดถูกหลักครบถ้วนตามเกณฑ์

หรือ เต็มอัตรา ไม่ใช่ทำครึ่งๆกลางๆ หรือเหยาะแหยะ หรือ ไม่ถูกเรื่องกัน รู้จักจัดทำ รู้จักดำเนินการ

:b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55:

* อภิ.วิ.35/840/458-9

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 19:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิบัติมี 4 อย่าง คือ

1.คติวิบัติ-วิบัติแห่งคติ หรือคติเสีย คือ เกิดอยู่ในภพ ภูมิ ถิ่น ประเทศ สภาพแวดล้อมที่ไม่เจริญ

ไม่เหมาะ ไม่เกื้อกูล ทางดำเนินชีวิต ถิ่นที่ไม่อำนวย

2. อุปธิวิบัติ-วิบัติแห่งร่างกาย หรือรูปกายเสีย เช่น ร่างกายพิกลพิการ อ่อนแอ ไม่สวยงาม

กิริยาท่าทางน่าเกลียด ไม่ชวนชม ตลอดจนสุขภาพไม่ดี เจ็บป่วย มีโรคมาก

3. กาลวิบัติ-วิบัติแห่งกาล หรือกาลเสีย คือ เกิดอยู่ในยุคสมัยที่บ้านเมืองมีภัยพิบัติ

ไม่สงบเรียบร้อย

ผู้ปกครองไม่ดี สังคมเสื่อมจากศีลธรรม มากด้วยการเบียดเบียน ยกย่องคนชั่ว บีบคั้นคนดี

ตลอดจนทำอะไร ไม่ถูกกาลเวลา ไม่ถูกจังหวะ

4. ปโยควิบัติ-วิบัติแห่งการประกอบ หรือ กิจการเสีย เช่น ฝักใฝ่ในกิจการหรือเรื่องราวที่ผิด

ทำการไม่ตรงความถนัด ความสามารถ ใช้ความเพียรในเรื่องไม่ถูกต้อง ทำการครึ่งๆ กลางๆ เป็นต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 19:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คู่ที่ 1

คติสมบัติ เช่น เกิดอยู่ในถิ่นเจริญ มีบริหารการศึกษาดี ทั้งที่สติปัญญาและความขยันไม่เท่าไร

แต่ก็ยังได้ศึกษามากกว่า เข้าถึงสถานะทางสังคมสูง กว่าอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีสติปัญญาและความขยันหมั่นเพียร

ดีกว่า แต่ไปเกิดอยู่ในถิ่นป่าดง หรือ เช่น ไปเกิดเป็นเทวดา ถึงจะแย่อย่างไรก็ยังสุขสบาย ไม่เดือดร้อน

ไม่อดอยาก


คติวิบัติ เช่น มีพระพุทธเจ้าอุบัติตรัสสอนธรรม แต่ตัวไปเกิดอยู่เสียในป่าดง หรือ ในนรก ก็หมดโอกาส

ได้ฟังธรรม หรือ มีสติปัญญาดี แต่ไปเกิดเป็นคนป่าอยู่ในกาฬทวีป ก็ไม่มีโอกาสได้เป็นนักปราชญ์

ในวงการศิลป์และศาสตร์ทั้งหลาย

มีความรู้ความสามารถดี แต่ไปอยู่ในถิ่น หรือ ในชุมชนที่เขาไม่เห็นคุณค่าของความรู้ความสามารถนั้น

เข้ากับเขาไม่ได้ ถูกเหยียดหยามบีบคั้น อยู่อย่างเดือดร้อน เป็นต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 17 ก.พ. 2010, 19:49, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 19:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คู่ที่ 2

อุปธิสมบัติ เช่น รูปร่างสวยงาม น่าชื่นชม แม้ไปเกิดในตระกูลยากไร้ หรือถิ่นห่างไกล รูปกายช่วยให้ขึ้น

มาสู่ฐานะและถิ่นที่มีเกียรติยศและความสุข


อุปธิวิบัติ เช่น เกิดอยู่ในถิ่นหรือในตระกูลมั่งคั่งสมบูรณ์ แต่พิกลพิการง่อยใบ้ ไม่อาจได้รับเกียรติยศ

และความสุขความรื่นรมย์ที่พึงได้

คนสองคน มีคุณสมบัติอย่างอื่นเสมอเหมือนกัน

คนหนึ่งรูปร่างสง่าหรือสวยงาม

อีกคนหนึ่งขี้ริ้วขี้เหร่ หรือขี้โรค

ในกรณีที่ถือร่างกายเป็นส่วนประกอบด้วย คนมีกายดีก็ได้รับผลไป

แม้ในกรณีที่ไม่ถือกายเป็นคุณสมบัติ ก็เป็นธรรมดาของคนทั่วไปที่จะเอนเอียงเข้าหาคนที่มีรูปสมบัติ

คนที่มีรูปวิบัติ จะต้องยอมรับความจริงที่เป็นธรรมดาของชาวโลกข้อนี้ และตระหนักว่า ผู้ที่จะมีจิตเที่ยงตรง

ไม่เอนเอียงเพราะเหตุแห่งรูปสมบัติ รูปวิบัตินี้ ก็มีแต่คนที่ประกอบด้วยคุณธรรมพิเศษยิ่งกว่าคนทั่วไป

รู้เช่นนี้แล้วไม่พึงเสียใจ

จากนั้นจะได้เร่งขวนขวายสร้างเสริมคุณสมบัติส่วนอื่นๆ ให้มีพิเศษยิ่งกว่าปกติ

ถ้าคนรูปกายดีใช้ความพยายามหนึ่งส่วน

คนที่อุปธิวิบัติ อาจต้องพยายามสอง หรือ สามส่วนเป็นต้น

ข้อสำคัญ อย่าท้อแท้ ปัจจัยที่หย่อนก็รู้ ที่เสริมได้ก็เร่งทำ ความรู้กรรมจึงจะเกิดประโยชน์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 19:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คู่ที่ 3

กาลสมบัติ เช่น เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ทำสิ่งที่ดีงาม มาเกิดอยู่ในยุคที่ผู้ปกครองดี สังคมดี

ยกย่องเชิดชูคนดี

คนผู้นั้นก็มีเกียรติมีความเจริญ หรือ บ้านเมืองสงบสุข ผู้มีสติปัญญาเป็นนักปราชญ์ก็มีโอกาสแสดงความรู้

ความสามารถให้ปรากฏและให้เป็นประโยชน์ หรือ ในยุคสมัยหนึ่ง คนนิยมกาพย์กลอนกันมาก

คนเก่งกาพย์กลอนก็รุ่งเรืองเฟื่องฟู


ส่วน กาลวิบัติ ก็ตรงข้าม เช่น ในยามสังคมเสื่อมจากศีลธรรม

ผู้ปกครองไม่ประกอบด้วยธรรม คนทำดีไม่ได้รับยกย่อง หรือ อาจถูกเบียดเบียนกดขี่

ประสบความเดือดร้อน หรือ ยามบ้านเมืองปั่นป่วนวุ่นวาย มีศึกสงคราม ไม่มีใครสนใจคนทำความดี

ทางสันติ

แม้มีสติปัญญาความสามารถ ก็ไม่มีโอกาสสร้างสรรค์งานที่เป็นประโยชน์ หรือ ในยุคที่สังคมนิยมดนตรี

หยาบร้อน

ตนแม้เชี่ยวชาญในดนตรี ที่สงบเยือกเย็น แต่ไม่ได้รับความสนใจยกย่อง เป็นต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 19:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คู่ที่ 4

ปโยคสมบัติ เช่น ตนไม่ใช่คนดีมีความสามารถจริง แต่รู้จักเข้าหาคนควรเข้าหา รู้จักหลบเลี่ยง

เรื่องควรหลบเลี่ยง อะไรควรเสียยอมเสีย ทำให้ตนเจริญก้าวหน้าไปได้ และความเสียหายบกพร่องของตน

ไม่ปรากฏ หรือ มีความสามารถในการปลอมแปลงเอกสาร เอาความสามารถนั้นมาใช้ทางดี เช่น

ในงานพิสูจน์หลักฐาน


ทางด้าน ปโยควิบัติ เช่น มีความรู้ความสามารถและคุณสมบัติอื่นดีหมด แต่ติดการพนัน จึงไม่ได้รับการ

คัดเลือกไปทำงาน หรือ มีฝีเท้ารวดเร็วมากพอจะเป็นนักกรีฑาชั้นเลิศ

แต่เอาความสามารถนั้นไปใช้ในการวิ่งฉกชิงทรัพย์เขา หรือ ตนมีฝีมือดีในทางช่าง แต่ไปนั่งทำงานเสมียน

ที่ไม่ถนัด เป็นต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.พ. 2010, 17:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผลในระดับที่สามนี้ ส่วนมากเป็นเรื่องของโลกธรรม ซึ่งมีความผันผวน ปรวนแปรไม่แน่นอน

แต่ก็เป็นเรื่องชั้นเปลือกนอกผิวภายนอก มิใช่แกนในของชีวิต

จะกระทบกระทั่งหนักเบาก็อยู่ที่ว่า จะมีความยึดติดถือมั่นมากน้อยเพียงใด

ถ้าไม่ยึดติด สามารถวางใจก็มีความสุขได้เสมอ หรือ อย่างน้อยก็ทุกข์ไม่มาก และผ่านเหตุการณ์ไปได้ด้วยดี

ด้วยเหตุนี้

ท่านจึงสอนให้มีปัญญารู้เท่าทันธรรมดา ประกอบด้วยสติ มิให้หลงใหลประมาทมัวเมา

คราวสุขคราวได้ ก็ไม่เหลิงลำพองเคลิ้มไป

คราวทุกข์คราวเสียก็ไม่ขุ่นมัวคลุ้มคลั่งปล่อยตัวถลำลงไนทางชั่วทางเสีย

ค่อยผ่อนผันแก้ไขเหตุการณ์ด้วยสติปัญญา

เมื่อยังต้องการโลกธรรมฝ่ายดี คือ ที่ชื่นชอบเป็นอิฏฐารมณ์ ก็กำหนดสมบัติ-วิบัติที่เป็นกำลังหรือจุดอ่อน

ของตน และ จัดสรรเลือกองค์ประกอบฝ่ายสมบัติที่จัดเลือกได้

หลีกเว้นวิบัติเสีย

แล้วพยายามเข้าถึงผลดีที่มุ่งหมายด้วยกรรมที่เป็นกุศล ซึ่งมีผลมั่นคงและลึกซึ้งถึงชีวิตทุกระดับของตน

ไม่สร้างผลด้วยอกุศลกรรม และ ไม่ถือโอกาสยามสมบัติอำนวยประกอบการอกุศล

เพราะสมบัติและวิบัติ ๔ ประการนั้น เป็นของไม่แน่นอน เมื่อกาลโอกาสที่เอื้ออำนวย

ผ่านไป กรรมร้ายก็จะแสดงผล

พึงถือโอกาสยามสมบัติช่วย เร่งประกอบกุศลกรรมเท่านั้น คือ ถือเอาส่วนที่ดีงามไร้โทษ ของหลักการที่กล่าว

มานี้

โดยนัยนี้ ก็สรุปได้ว่า ถ้าจะทำการใด ในเมื่อมีองค์ประกอบของนิยามหลายฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง

อย่างน้อยก็พึงทำองค์ประกอบฝ่ายกรรมนิยามให้ดี เป็นส่วนที่ยึดเอาไว้ได้อย่างแน่นอนมั่นใจแล้ว

อย่างหนึ่งก่อน

ส่วนองค์ประกอบฝ่ายนิยามอย่างอื่น ก็พึงใช้ปัญญาศึกษาพิจารณาเอามาใช้เสริมเท่าที่ไม่เป็นโทษในแง่

ของกรรมนิยามต่อไป

หากปฏิบัติได้เช่นนี้ ก็เรียกว่า เป็นผู้รู้จักถือเอาประโยชน์จากกุศลกรรม และ สมบัติวิบัติทั้งสี่

หรือ รู้จักใช้ทั้งกรรมนิยาม และ สังคมน์นิยมในทางที่เป็นคุณ


สำหรับบางคน อาจต้องเตือนว่า อย่ามัวคิดวุ่นวายอยู่เลยว่า ทำไมคนนั้นไม่ทำดี แต่กลับได้ดี

ทำไมคนนี้ทำไม่ดี แต่ไม่เห็นเป็นอะไร

ทำไมเราทำอย่างนี้ ไม่เห็นได้อะไรดังนี้เป็นต้น

ปัจจัย หรือ องค์ประกอบของนิยามทั้งหลาย เราอาจยังตรวจดูรู้ไม่ทั่วถึง และพึงคิดว่า ตัวเรานี้

ปัญญาที่จะรู้จักเลือกถือเอาประโยชน์จากนิยามอื่นๆ ก็ไม่มี

หนำซ้ำองค์ประกอบฝ่ายกรรมนิยาม ที่เป็นฐานยืนพื้นแน่นอนอยู่นี้ ก็ยังไม่ใส่ใจที่จะทำให้ดีเสียอีก

ถ้าขืนเป็นอย่างนี้ ก็คงมีแต่จะต้องทรุดหนักลงไปอีกทุกที


อย่างไรก็ตาม เมื่อมองให้เข้าถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง ผู้ประกอบกรรมดี

ย่อมไม่ติดอยู่เพียงขั้นที่ยังมุ่งหวังผลอันเป็นโลกธรรมตอบสนองแก่ตน เพราะกุศลธรรมที่แท้จริง

เกิดจากกุศลมูล คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ

เขาจึงทำกรรมด้วยจาคะ สละอกุศลในใจและเผื่อแผ่เกื้อกูลแก่ผู้อื่น

ทำกรรมด้วยเมตตากรุณา ช่วยคนอื่นให้พ้นทุกข์ และ สนับสนุนความอยู่ร่วมกันโดยสุขสงบ มีไมตรี

ทำกรรมด้วยปัญญา เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง เพื่อโพธิ เพื่อให้ธรรม

แพร่หลายครองใจคนและครองสังคม ซึ่งจัดเข้าได้ว่า เป็นกรรมขั้นสูงสุด คือกรรมที่เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม

ตามหลักที่ยกมาอ้างแล้วข้างต้น *


:b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39:

* พึงสังเกตหลักการทำกรรมให้หมดไป หรือ ลบล้างกรรมด้วยเมตตาเจโตวิมุตติเป็นต้น ในพุทธพจน์ที่จะนำ

มาลงไว้ต่อจากนี้ด้วย (หัวข้อ-กรรมชำระล้างได้อย่างไร)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 13 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร