วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 22:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2010, 21:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรรม (1) link นี้

viewtopic.php?f=4&t=19058&p=86360#p86360

:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

ต่อ

ปัญหาเรื่องความดี-ความชั่ว

กรรม เป็นเรื่องของความดีและความชั่วโดยตรง

เมื่อพูดถึงกรรม จึงควรพูดถึงเรื่องความดีและความชั่วไว้ด้วย เพื่อช่วยให้ความเข้าใจเกี่ยวกับกรรมชัดเจน

ยิ่งขึ้น

เรื่องความดีและความชั่ว มักมีปัญหาเกี่ยวกับความหมายและหลักเกณฑ์ที่จะวินิจฉัย

เช่น อะไรและอย่างไร จึงจะเรียกว่าดี อะไรและอย่างไรจึงจะเรียกว่าชั่ว

อย่างไรก็ตาม ปัญหาเช่นนี้มีมากเฉพาะในภาษาไทยเท่านั้น

ส่วนในทางธรรมที่ใช้คำบัญญัติจากภาษาบาลี ความหมายและหลักเกณฑ์เกี่ยวกับเรื่องนี้

นับได้ว่าชัดเจน ดังจะกล่าวต่อไป


คำว่าดี ว่าชั่ว ในภาษาไทย มีความหมายกว้างขวางมาก

โดยเฉพาะคำว่า ดี มีความหมายกว้างยิ่งกว่าคำว่า ชั่ว

คนประพฤติดีมีศีลธรรม ก็เรียกว่า คน ดี

อาหารอร่อยถูกใจ ผู้ที่กินก็อาจพูดว่า อาหารมื้อนี้ ดี หรืออาหารร้านนี้ ดี

เครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพหรือทำงานเรียบร้อยคนก็เรียกว่าเครื่องยนต์ ดี

ไม้ค้อนที่ใช้ได้สำเร็จประโยชน์สมประสงค์ คนก็ว่า ค้อนนี้ ดี

ภาพยนตร์ที่สนุกสนาน ถูกใจคนที่ชอบก็ว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ ดี

ภาพเขียนสวยงามคนก็ว่า ภาพนี้ ดี หรือ ถ้าภาพนั้นอาจขายได้ราคาสูงคนก็ว่าภาพนั้น ดี

เช่นเดียวกัน โรงเรียนที่บริหารงานและมีการสอนได้ผล นักเรียนเก่ง ก็เรียกกันว่า โรงเรียน ดี

โต๊ะตัวเดียวกัน คนสามคนบอกว่า ดี แต่ความหมายที่ว่า ดี นั้นอาจไม่เหมือนกันเลย

คนหนึ่งว่าดี เพราะสวยงามถูกใจเขา

อีกคนหนึ่งว่า ดี เพราะเหมาะแก่การใช้งานของเขา

อีกคนหนึ่งว่าดี เพราะเขาจะขายได้กำไรมาก

ในทำนองเดียวกัน ของที่คนหนึ่งว่า ดี อีกหลายคนอาจบอกว่า ไม่ดี

ของบางอย่างมองในแง่หนึ่งว่า ดี มองในแง่อื่นอาจว่าไม่ดี

ความประพฤติหรือการแสดงออกบางอย่างในถิ่นหนึ่ง หรือสังคมหนึ่งว่า ดี

อีกถิ่นหนึ่งหรืออีกสังคมหนึ่งว่า ไม่ดี ดังนี้เป็นต้น หาที่ยุติไม่ได้

หรืออย่างน้อยไม่ชัดเจน อาจต้องจำแนกเป็นดีในทางจริยธรรม

ดีในแง่สุนทรียภาพ

ดีในแง่เศรษฐกิจ เป็นต้น

เหตุที่มีความยุ่งยากสับสนเช่นนี้ ก็เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณค่า

และคำว่า “ดี” หรือ “ไม่ดี” ในภาษาไทย ใช้กับเรื่องที่เกี่ยวกับคุณค่าได้ทั่วไปหมด

ความหมายจึงกว้างขวางและผันแปรได้มากเกินไป เพื่อตัดปัญหาเกี่ยวกับความยุ่งยากสับสนนี้

จึงจะไม่ใช้คำว่า ดี ไม่ดี ในภาษาไทย และเป็นอันไม่ต้องพิจารณาปัญหาเกี่ยวกับคุณค่าด้านต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว

ทั้งหมด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 28 พ.ค. 2010, 11:23, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2010, 21:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในการศึกษาเรื่องความดีความชั่วที่เกี่ยวกับกรรม มีข้อควรทราบดังนี้


ก. ความดีและความชั่ว ณ ที่นี้ เป็นการศึกษาในแง่ของกรรมนิยาม และมีคำเรียกโดยเฉพาะว่ากุศล และ

อกุศลตามลำดับ

คำทั้งสองนี้ มีความหมายและหลักเกณฑ์วินิจฉัยที่นับได้ว่า ชัดเจน


ข. การศึกษาเรื่องกุศล และอกุศลนั้น มองในแง่จริยธรรมของพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องของกรรมนิยาม

จึงเป็นการศึกษาในแง่สภาวะ

หาใช่เป็นการศึกษาในแง่คุณค่าอย่างที่มักเข้าใจกันไม่-(ถ้าจะใช้คำว่าคุณค่า ก็หมายถึงคุณค่าโดยสภาวะ ไม่ใช่

คุณค่าตามที่กำหนดให้)

การศึกษาในแง่คุณค่าเป็นเรื่องในระดับสังคมนิยมน์ หรือสังคมบัญญัติ ซึ่งมีขอบเขตที่แยกจากกรรมนิยาม

ได้ชัดเจน


ค. ความเป็นไปของกรรมนิยาม ย่อมสัมพันธ์กับนิยามและนิยมน์อื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะที่พึงใส่ใจพิเศษ คือ

ในด้านภายในบุคคล กรรมนิยาม อิงอยู่กับจิตนิยาม

ในด้านภายนอก กรรมนิยาม สัมพันธ์กับ สังคมนิยมน์ หรือสังคมบัญญัติ

ข้อที่พึงเน้นก็คือ ในด้านความสัมพันธ์ระหว่าง กรรมนิยามกับสังคมนิยมน์ จะต้องแยกขอบ

เขตระหว่างกันให้ชัดและจุดเชื่อมต่อซึ่งเป็นทั้งที่แยก และที่สัมพันธ์ระหว่างขอบเขตทั้งสอง

นั้นก็มีอยู่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2010, 21:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก. ความหมายของกุศลและอกุศล


กุศล และ อกุศล แปลกันโดยทั่วไปว่า ดี และ ชั่วหรือไม่ดี ก็จริง แต่แท้จริงแล้ว หาตรงกันทีเดียวไม่

สภาวะบางอย่างเป็นกุศล แต่อาจจะไม่เรียกว่าดีในภาษาไทย

สภาวะบางอย่าง อาจเป็นอกุศล แต่ในภาษาไทยก็ไม่เรียกว่า ชั่ว ดังจะเห็นต่อไป



กุศล และ อกุศล เป็นสภาวะ ที่เกิดขึ้นในจิตใจ และมีผลต่อจิตใจก่อน แล้วจึงมีผลต่อบุคลิกภาพ

และแสดงผลนั้นออกมาภายนอก

ความหมายของกุศล และ อกุศล จึงเพ่งไปที่พื้นฐาน คือ เนื้อหาสาระและความเป็นไปภายในจิตใจเป็นหลัก

กุศล แปลตามศัพท์ว่า ฉลาด ชำนาญ สบาย เอื้อหรือเกื้อกูล เหมาะ ดีงาม เป็นบุญ คล่องแคล่ว

ตัดโรค หรือตัดสิ่งชั่วร้ายที่น่ารังเกียจ


ส่วน อกุศล ก็แปลว่า สภาวะที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกุศล หรือตรงข้ามกับกุศล

เช่นว่า ไม่ฉลาด ไม่สบาย เป็นต้น

:b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54:

กุศล นิยมแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า wholesome; skilful; meritorious.

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2010, 21:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความหมายเชิงอธิบายในทางธรรมของกุศล ที่ถือได้ว่าเป็นหลักมี 4 อย่าง คือ


1. อาโรคยะ ความไม่มีโรค คือสภาพจิตที่ไม่มีโรค อย่างที่นิยมเรียกกันบัดนี้ว่าสุขภาพจิต

หมายถึง สภาวะหรือองค์ประกอบที่เกื้อกูลแก่สุขภาพจิต ทำให้จิตไม่ป่วยไข้ ไม่ถูกบีบคั้น

ไม่กระสับกระส่าย เป็นจิตแข็งแรง คล่องแคล่ว สบาย ใช้งานได้ดี เป็นต้น


2. อนวัชชะ ไม่มีโทษหรือไร้ตำหนิ แสดงถึงภาวะที่จิตสมบูรณ์ ไม่บกพร่อง ไม่เสียหาย หรือไม่มีของเสีย

ไม่มัวหมอง ไม่ขุ่นมัว สะอาด เกลี้ยงเกลา เอี่ยมอ่อง ผ่องแผ้ว เป็นต้น


3. โกศลสัมภูต เกิดจากปัญญาหรือเกิดจากความฉลาด หมายถึง ภาวะที่จิตประกอบอยู่ด้วยปัญญา

หรือมีคุณสมบัติต่างๆ ซึ่งเกิดจากความรู้ความเข้าใจ สว่าง มองเห็นหรือรู้เท่าทันความเป็นจริง

สอดคล้องกับหลักที่ว่า กุศลธรรมมีโยนิโสมนสิการ คือความรู้จักคิดแยบคาย หรือรู้จักทำใจอย่างฉลาดเป็น

ปทัฏฐาน


4. สุขวิบาก มีสุขเป็นวิบาก คือเป็นสภาพที่ทำให้มีความสุข เมื่อกุศลธรรมเกิดขึ้นในใจ

ย่อมเกิดความสุข สบายคล่องใจในทันทีนั้นเอง ไม่ต้องรอว่าจะมีผลตอบแทนภายนอกหรือไม่

เหมือนกับว่า เมื่อร่างกายแข็งแรงไม่มีโรคเบียดเบียน (อโรค)

ไม่มีสิ่งสกปรกเสียหาย มลทินหรือของที่เป็นพิษภัยมาพ้องพาน (อนวัชชะ)

และรู้ตัวว่า อยู่ในที่มั่นคงปลอดภัยถูกต้องเหมาะสม (โกศลสัมภูต)

ถึงจะไม่ได้เสพเสวย สิ่งใดพิเศษออกไป ก็ย่อมมีความสบาย ได้เสวยความสุขอยู่แล้วในตัว


นอกจากความหมายทั้ง ๔ นี้แล้ว คัมภีร์บางแห่งกล่าวถึงความหมายอื่นอีก ๓ อย่างคือ

เฉกะ แปลว่า ฉลาด และเขมะ แปลว่า เกษม คือ ปลอดโปร่ง มั่นคง ปลอดภัย

และ นิททรณะ แปลว่า ไม่มีความกระวายกระวาย

แต่พอจะเห็นได้ว่า ความหมาย ๓ อย่างนี้ รวมลงได้ในความหมาย ๔ อย่างดังกล่าวข้างบน

และในบรรดาความหมาย ๔ อย่างนั้น ความหมายที่ ๓ คือ โกศลสัมภูต เป็นความหมายแกน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2010, 21:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความหมายของอกุศล ก็พึงทราบโดยนัยตรงกันข้ามจากที่กล่าวมานั้น คือ เป็นสภาพจิตที่มีโรค ไร้สุขภาพ

มีโทษ มีตำหนิ มีข้อเสียหาย เกิดจากอวิชชา และมีทุกข์เป็นผล (วิบาก)

พูดสั้นๆ อีกนัยหนึ่งว่า เป็นสภาพที่ทำให้จิตเสียคุณภาพ และเสื่อมสมรรถภาพ

ตรงข้ามกับกุศล ซึ่งส่งเสริมคุณภาพและสมรรถภาพของจิต


เพื่อให้เห็นความหมายชัดเจนยิ่งขึ้น อาจบรรยายลักษณะของจิตที่ดีงาม ไร้โรค ไม่มีโทษ เป็นต้น

ให้ดูก่อน แล้วพิจารณาว่า กุศลธรรม คือ สิ่งที่ทำให้จิตมีลักษณะเช่นนั้น หรือกุศลธรรมทำให้เกิด

สภาพจิตเช่นนั้น อย่างไร อกุศลธรรม คือ สิ่งที่ทำให้จิตขาดคุณลักษณะเช่นนั้น หรือ ทำให้จิตเสื่อมเสีย

สภาพจิตเช่นนั้น อย่างไร


ลักษณะที่จะกล่าวต่อไปนี้ นำมาจากบาลีในที่ต่างๆหลายแห่ง เป็นลักษณะของจิตที่ดีงาม ตั้งแต่ระดับ

สามัญจนถึงขั้นสูงสุด คือ จิตของพระอรหันต์ ขอให้ถือว่าเป็นการวางภาวะที่สมบูรณ์ไว้เป็นมาตรฐาน


-ชุดหนึ่งว่า

ปัสสัทธะ-ผ่อนคลาย หรือเรียบสงบ หรือเย็นสบาย

ลหุ-เบา

มุทุ-นุ่มนวล หรืออ่อนโยนหรือละมุน

กัมมัญญะ - ควรแก่งาน หรือพร้อมที่จะใช้งาน

ปคุณะ-คล่องแคล่ว

อุชุ-ซื่อตรง ไม่คดโค้งโกงงอ บิดเบือนเชือนแช

( อภิ.สํ. 34/240-250/94-5 ชุดนี้จากโสภณเจตสิกส่วนหนึ่งในอภิธรรม)

-ชุดหนึ่งว่า

มุทุ-นุ่มนวล ละมุน

กัมมนียะ-ควรแก่งาน เหมาะแก่การใช้งาน

ประภัสสร-ผ่องใส แจ่มจ้า

อปภังคุ-ไม่เปราะเสาะ แข็งแรงทนทาน

สมาหิตะ-ตั้งมั่น

อนาวรณัง-ไม่มีสิ่งกีดกั้น ไม่ถูกจำกัด

อนิวรณัง-ไม่มีสิ่งขัดขวาง ไม่ติดขัดหรือคับข้อง

อนุปักกิลิฏฐะ-ไม่เศร้าหมอง ไม่ขุ่นมัว

อนัชฌารุฬห์- ไม่ถูกกดทับ ไม่ถูกกดถูกบีบ

อวิฆาตะ-ไม่คับแค้น ไม่คับเครียดอึดอัด

(ชุดนี้เกี่ยวด้วยนิวรณ์และโพชฌงค์ สํ.ม.19/474-502/131-7)


-อีกชุดหนึ่งว่า

สมาหิตะ-ตั้งมั่น ทรงตัวเรียบสม่ำเสมอ

ปริสุทธ์-สะอาด หมดจด

ปริโยทาตะ-ผุดผ่อง กระจ่าง สว่างไสว

อนังคณะ-ไร้ไฝฝ้า โปร่งโล่งเลี้ยงเกลา

วิคตูปกิเลส-ปราศสิ่งมัวหมอง

มุทุภูตะ-นุ่มนวล ละมุนละไม

กัมมนียะ-ควรแก่งาน

ฐิตะ และ อาเนญชัปปัตตะ- ทรงตัวอยู่ เข้าที่ อยู่ตัว ไม่หวั่นไหว แน่วแน่ ไม่วอกแวก

(ชุดนี้ คือลักษณะจิตที่ประกอบด้วยสมาธิเป็นอย่างดีแล้ว ม.ม. 13/506/460)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2010, 21:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


-ลักษณะต่อไปนี้ โดยมากเป็นภาวะจิตและบุคลิกภาพของพระอรหันต์

นำมาลงไว้สำหรับประกอบการพิจารณาด้วย เช่น


อกิญจนะ ไม่มีอะไรค้างใจ ไม่มีสิ่งคั่งค้างกังวล

สันตะ สงบ แสนซึ้ง

อโศก ไร้โศก

วิรชะ ไม่มีธุลี (ธุลี คือ กิเลส เครื่องเศร้าหมอง)

เขมะ-เกษม ปลอดโปร่ง มั่นคง ไม่มีภัย

นิจฉาตะ ใจไม่โหยหิว อิ่มใจ

สีติภูตะ เย็นหรือเย็นซึ้ง

นิพพุตะ หมดร้อน

เสรี เที่ยวไปได้สบายไม่มีอะไรเกาะเกี่ยว

สยังวสี มีอำนาจในตัวเอง เป็นตัวของตัวเองแท้จริง

สุขี มีความสุข หรือเป็นสุข


อีกชุดหนึ่ง

โดยมากเป็นลักษณะจิตและบุคลิกภาพของพระอรหันต์เหมือนกัน

แต่เน้นเฉพาะแง่ที่เป็นอิสระ เช่น


อนัลลีนะ-ไม่ติด หรือไม่หมกมุ่น

อนัชโฌสิตะ-ไม่สยบ

อนิสสิตะ-ไม่ขึ้นต่อสิ่งใด

อนูปลิตต์- ไม่ถูกฉาบติดหรือไม่แปดเปื้อน

อนิสสิตะ-ไม่ขึ้นต่อสิ่งใด

วิสัญญตะ-ไม่พัวพัน

วิปปมุตต์-หลุดพ้น

วิมริยาทิกตจิต-มีจิตไร้ขอบคัน หรือมีใจไร้เขตแดน

(ม.อุ.14/155/117;168/124 ฯลฯ)


เพื่อให้กำหนดได้ง่ายขึ้น อาจรวมลักษณะเหล่านี้เข้าเป็นกลุ่มได้ ดังนี้

๑. ตั้งมั่น เช่น แน่วแน่ อยู่ตัว ทรงตัวเรียบสม่ำเสมอ ไม่หวั่นไหว ไม่วอกแวก ไม่พล่าน ไม่ส่าย

๒. บริสุทธิ์ผ่องใส เช่น ปราศจากสิ่งมัวหมอง ไม่ขุ่นมัว ไม่เศร้าหมอง ไร้ใฝ่ฝ้า เกลี้ยงเกลา ผุดผ่อง

แจ่มจ้า สว่างไสว

๓.โปร่งโล่งเป็นอิสระ เช่น ไม่ติดข้อง ไม่คับแคบ ไม่ถูกจำกัดขัดขวาง ไม่ถูกกดทับหรือบีบคั้น ไม่อึดอัด

กว้างขวาง ไร้เขตแดน

๔.เหมาะแก่การใช้งาน เช่น นุ่มนวล อ่อนละมุ่น เบาสบาย ไม่หนัก คล่องแคล่ว ทนทาน ไม่เปราะ เสาะ

ไม่กระด้าง ซื่อตรง ไม่เอนเอียง ไม่คดงอ ไม่บิดเบือน ไม่เฉไฉ

๕. สงบสุข เช่น ผ่อนคลาย เรียบสงบ ไม่เครียด ไม่คับแคบ ไม่เดือดร้อน ไม่กระสับกระส่าย

หรือทุรนทุราย ไม่ขาดแคลน ไม่หิวโหย เอิบอิ่ม


เมื่อทราบลักษณะของจิตใจที่สมบูรณ์ มีสุขภาพดี ไร้มลทินโทษ เช่นนี้แล้ว

ก็พึงนำเอาธรรมที่ได้ชื่อว่า เป็นกุศล และ อกุศลมาพิจารณาตรวจสอบดูว่า ธรรมที่เป็นกุศลส่งเสริมคุณภาพ

และสมรรถภาพของจิตใจจริงหรือไม่อย่างไร

และธรรมที่เป็นอกุศลทำให้จิตมีโรค เกิดความเน่าเสีย ผุโทรม เสียหายบกพร่อง ไม่สบาย เป็นทุกข์

เสื่อมเสียคุณภาพและสมรรถภาพจิตจริงหรือไม่อย่างไร



ตัวอย่างกุศลธรรมเช่น

เมตตา ความรัก ความปรารถนาดี ต้องการให้ผู้อื่นมีความสุข

อโลภะ ความไม่โลภ ว่างจากความใคร่ติดใจ ตลอดจนมีความคิดเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น

ปัญญา ความรู้ชัด ความเข้าใจ ความรู้เท่าทันตามความเป็นจริง

ปัสสัทธิ ความผ่อนคลายสงบ เย็นกายเย็นใจ ไม่เครียด ไม่กระสับกระส่าย

มุทิตา ความพลอยเบิกบานยินดี บันเทิงใจ เมื่อผู้อื่นประสบความเจริญหรือเป็นสุข เป็นต้น

สติ ความระลึกได้ ความสามารถคุมจิตอยู่กับสิ่งที่พึงเกี่ยวข้อง หรือกิจที่ต้องทำ

กุศลฉันทะ ความพอใจใฝ่รักในสิ่งดีงาม อยากรู้อยากทำให้เป็นจริง มีจิตพุ่งแล่นไปในแนวทางแห่งเหตุ

ปัจจัย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2010, 22:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวอย่างอกุศลธรรม เช่น


กามฉันท์- ความอยากได้ใคร่เอา *

พยาบาท-ความคิดร้าย ขัดเคือง หรือ แค้นใจ

ถีนมิทธะ- ความหดหู่ท้อแท้ หงอยเหงา เซื่องซึม และโงกง่วง

อุทธัจจกุกกุจจะ - ความฟุ้งซ่าน คิดพล่าน หงุดหงิด กลัดกลุ้ม รำคาญ และเดือดร้อนใจ

วิจิกิจฉา-ความลังเล ไม่อาจตัดสินใจ

โกธะ-ความโกรธ

อิสสา-ความริษยา เห็นคนอื่นได้ดีทนไม่ได้

มัจฉริยะ-ความตระหนี่ ความหึงหวง ความคิดเกียดกัน เป็นต้น



เมื่อมีเมตตา จิตใจย่อมสุขสบาย แช่มชื่นผ่องใส ปลอดโปร่งและกว้างขวาง เป็นสภาพเกื้อกูล

แก่ชีวิตจิตใจ ส่งเสริมคุณภาพและสมรรถภาพของจิต เมตตาจึงเป็นกุศล

สติ - ทำให้ใจอยู่กับสิ่งที่กำลังเกี่ยวข้องหรือกำลังทำ ระลึกได้ถึงการปฏิบัติที่ถูกต้องเหมาะสมในกรณีนั้นๆ

และป้องกันไม่ให้อกุศลธรรมทั้งหลายได้โอกาส ทำให้จิตใจอยู่ในสภาพพร้อม ที่จะทำงานได้อย่างดี

สติจึงเป็นกุศล


ความริษยา ทำให้จิตใจคับแคบ ถูกกดทับบีบคั้น ไม่สบาย ไม่ปลอดโปร่ง บั่นทอนคุณภาพ

และสุขภาพจิตอย่างเห็นได้ชัด ความริษยา จึงเป็นอกุศล

ความโกรธ ก็แผดเผาใจของตนเอง บีบคั้นกระทบใจให้ไม่สบายและส่งผลกระทบกระเทือน

ออกมาถึงสุขภาพกายได้อย่างรวดเร็ว จึงเห็นได้ชัดเช่นกันว่าเป็นอกุศล

กามฉันท์ หรือแม้ความโลภอย่างกว้างๆ ก็ทำให้จิตวกวนพัวพัน ติดข้อง กลัดกลุ้ม หรือเอนเอียงไป เดินไม่ตรง

และมัวหมอง ไม่โล่ง ไม่โปร่ง ไม่ผ่องใส จึงเป็นอกุศลดังนี้เป็นต้น


มีข้อสังเกตว่า ความหดหู่ หงอยเหงา เฉาซึมและความฟุ้งซ่าน เป็นต้น แม้จะเป็นอกุศล

แต่ในภาษาไทยจะเรียกว่าเป็นความชั่ว ก็คงไม่สู้ถนัดปากนัก

ในทำนองเดียวกัน กุศลธรรมบางอย่าง เช่น ความสงบผ่อนคลายภายในกายในใจ จะเรียกในภาษาไทยว่า

ความดี ก็อาจจะไม่สนิททีเดียวนัก

นี้เป็นตัวอย่างแง่หนึ่ง ให้เห็นว่า กุศลและอกุศล กับความดีและความชั่ว มิใช่มีความ หมายตรงกันแท้ทีเดียว


เมื่อเข้าใจความหมายของกุศลและอกุศลอย่างนี้แล้ว ก็ย่อมเข้าใจความหมายของกรรมดี และกรรมชั่ว

คือ กุศลกรรม และอกุศลกรรมด้วย ดังได้กล่าวแล้วว่า เจตนาเป็นตัวกรรม

ดังนั้น เจตนาที่ประกอบด้วยกุศล ก็เป็นกุศลเจตนา และเป็นกุศลกรรม

เจตนาที่ประกอบด้วยอกุศล ก็เป็นอกุศลเจตนา และเป็นอกุศลกรรม

เมื่อกุศลเจตนา และ อกุศลเจตนานั้น เป็นไปหรือแสดงออก โดยทางกาย ทางวาจา และทางใจ ก็เรียกว่า

เป็นกุศลกรรม และ อกุศลกรรมทางกาย ทางวาจา และทางใจ

หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ที่เป็นกุศล และเป็นอกุศลตามลำดับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2010, 22:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




sky1_1.jpg
sky1_1.jpg [ 51.58 KiB | เปิดดู 5928 ครั้ง ]
ขยายความข้างบนที่มี *


* ความแตกต่างระหว่างกุศลฉันทะ กับ กามฉันท์หรือโลภะ

พึงสังเกตคร่าวๆว่า โลภะจับอารมณ์ที่เสมือนสำเร็จรูปแล้ว หรือตั้งอยู่ ณ สุดทางที่ตันหรือตายตัวของมัน

โลภะ มุ่งจะเอาอารมณ์นั้นมาเสพเสวย และเกิดมีตัวตนที่จะเอาหรือจะเสพเสวยนั้น

ส่วนฉันทะ จับอารมณ์เสมือนตั้งอยู่ ณ จุดเริ่มต้นของมัน มีอาการที่จิตแผ่ไปรวมกลมกลืนกับสิ่ง

หรืออารมณ์นั้นในการกระทำ เพื่อก้าวไปสู่จุดหมาย คือ ความเสร็จสิ้นสมบูรณ์ ไม่เกี่ยวกับความรู้สึก

ที่จะเสพเสวย และไม่เกิดความรู้สึกจำกัดแบ่งแยกมีตัวตนที่จะเอาหรือจะเสพเสวย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2010, 22:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข. ข้อควรรู้บางอย่างเกี่ยวกับกุศลและอกุศล


๑) กุศลและอกุศล เป็นปัจจัยแก่กันและกันได้

(เช่น) คนบางคนหรือบางคราวมีศรัทธา หรือได้บำเพ็ญทาน หรือรักษาศีล หรือเป็นผู้มีปัญญาเป็นต้น

อันเป็นกุศล แล้วเกิดความลำพองในความดีเหล่านั้น ถือเป็นเหตุยกตนข่มผู้อื่น ความลำพองก็ดี

ยกตนข่มผู้อื่นก็ดี เป็นอกุศล อย่างนี้เรียกว่ากุศลเป็นปัจจัยแก่อกุศล

บางคนบำเพ็ญสมาธิจนได้ฌานแล้วเกิดราคะคือติดใจในฌานนั้น

บางคนเจริญเมตตา เพียรตั้งความปรารถนาดีมองคนในแง่ดี บางทีประสบอารมณ์ที่น่าปรารถนา

เมตตานั้นเลยให้ช่องช่วยให้ราคะเกิดขึ้นโดยง่าย แล้วอาจตามมาด้วยอกุศลธรรมอื่นอีก เช่น ฉันทาคติเป็นต้น

อย่างนี้เรียกว่า กุศลเป็นปัจจัยแก่อกุศล

ศรัทธาเป็นกุศลธรรม ทำให้จิตใจผ่องใส และมีกำลังพุ่งแล่นแน่วไป แต่เมื่อปฏิบัติต่อศรัทธานั้นไม่แยบคาย

ก็อาจกลายเป็นเหตุให้เกิดทิฐิและมานะ ยึดถือว่าของตนเท่านั้นจริงแท้ของคนอื่นมีแต่เท็จ อาจถึงกับก่อ

ความวิวาทบาดหมางเบียดเบียนกัน นี้เรียกว่ากุศลเป็นปัจจัยแก่อกุศล


บางคนมีราคะ อยากไปเกิดในสวรรค์ จึงตั้งใจประพฤติปฏิบัติเป็นผู้มีศีล

บางคนมีราคะอยากได้ความสุขสงบทางจิตใจ จึงบำเพ็ญสมาธิจนได้ฌานสมาบัติ

เด็กบางคนอยากให้ผู้ใหญ่ชมว่าเป็นคนดี จึงพยายามประพฤตตัวให้ดีมีศีลวินัย

นักเรียนบางคนมีราคะอยากสอบได้ดี จึงเกิดฉันทะและขยันเล่าเรียนแสวงหาความรู้

บางคนเกิดความโกรธเผาลนตัวขึ้นแล้ว บางคราวเกิดปัญญาเข้าใจชัดถึงโทษของความโกรธนั้น

บางคนโกรธแค้นศัตรูจึงเกิดความเห็นใจคิดช่วยเหลือผู้อื่น

บางคนเกิดความกลัวตายขึ้นแล้ว สำนึกได้หายตระหนี่ มีจิตใจเผื่อแผ่เสียสละตั้งใจช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป

คนอีกบางคน มีความกลุ้มใจเป็นเหตุให้เกิดความศรัทธาในธรรม อย่างนี้เรียกว่าอกุศลเป็นปัจจัยแก่กุศล



เด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่ง พ่อแม่เตือนไม่ให้ไปมั่วสุมกับหมู่เพื่อนอย่างไม่ระวัง แต่ไม่เชื่อ

ต่อมา ถูกเพื่อนร้ายคนหนึ่ง หลอกให้ติดยาเสพติด พอรู้ตัวทั้งโกรธแค้นทั้งเศร้าเสียใจขุ่นหมอง

เกิดความเข้าใจในคำเตือนของพ่อแม่ และซาบซึ้งต่อความปรารถนาดีของท่าน-(อกุศลเป็นปัจจัยแก่กุศล)

เป็นเหตุให้ยิ่งเสียใจประดังโกรธเกลียดชังตัวเอง (กุศลเป็นปัจจัยแก่อกุศล)


เมื่อกุศลเป็นปัจจัยแก่อกุศล หรือ อกุศลเป็นปัจจัยแก่กุศลนั้น

ขณะที่กุศลเกิด จิตมีสุขภาพดี

ขณะที่อกุศลเกิด จิตใจเสียหายขุ่นข้อง

สภาพจิตดี ไม่ดีเช่นนี้ อาจเกิดสลับกันไปมาอย่างรวดเร็ว จึงต้องรู้จักแยกออกเป็นแต่ละขณะๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 12:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๒) บุญและบาป กับ กุศลและอกุศล


บุญ และ บาป กับ กุศลและอกุศล บางทีใช้แทนกันได้ บางทีใช้แทนกันไม่ได้ จึงเป็นเหตุให้เกิดความ

สับสน ว่าความหมายของธรรม ๒ คู่นี้เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร จะนำมาพอเป็นแนวทางความเข้าใจ

บุญ มีความหมายตามรูปศัพท์ที่ท่านนิยมแสดงกันไว้ ๒ อย่างคือ เครื่องชำระสันดาน คือชำระพื้นจิตใจให้

สะอาด และว่า สิ่งที่ทำให้เกิดผลคือภพที่น่าชื่นใจ

นอกจากนี้บางแห่งแสดงไว้อีกความหนึ่งว่า สิ่งที่ยังอัธยาศัย (ความประสงค์) ของผู้กระทำให้บริบูรณ์

ส่วนบาป มักแปลตามรูปศัพท์ว่า สิ่งที่ทำให้ถึงวัฏฏทุกข์ หรือสิ่งที่ทำให้ถึงทุคติ (= สิ่งที่ทำให้ตกไปในที่

ชั่ว)

คำแปลสามัญของบาป คือ ลามก (ต่ำทราม, หรือเลว) บางครั้งใช้เป็นคำวิเศษณ์ของวิบาก แปลว่า

ทุกข์ หรืออนิฏฐ์ (ไม่น่าปรารถนา) ก็ได้ *

(* ความหมายเท่าที่กล่าวมานี้ ดู อิติ.อ. 102,199-200; องฺ.อ.1/538; 2/3 ฯลฯ )


ที่กล่าวมานั้น เป็นความหมายที่นักศัพทศาสตร์ คือนักภาษาแสดงไว้ ซึ่งเป็นเพียงด้านหนึ่งเท่านั้น จึงควร

ทราบความหมายในแง่ของหลักธรรมแท้ๆด้วย

เมื่อว่าโดยความหมายอย่างกว้างที่สุด

บุญ ก็มีความหมายเท่ากับกุศล

บาป ก็มีความหมายเท่ากับอกุศล

กล่าวได้ว่า บาป ใช้ในความหมายเท่ากับอกุศล มากกว่าที่บุญใช้ในความหมายเท่ากับกุศล

แต่ที่ปรากฏบ่อยก็คือ กุศลใช้ในความหมายเท่ากับบุญ ความที่ว่านี้เป็นอย่างไร พึงพิจารณาต่อไป

บาป ที่ท่านใช้ในความหมายเท่ากับอกุศลแห่งสำคัญคือ ในสัมปัปปธานที่ว่าเพียรป้องกันบาปอกุศลธรรม

ที่ยังไม่เกิด และเพียรละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว

แต่ในที่นั้นบุญไม่ได้มากับกุศลธรรมด้วย*

(*เช่น สํ.ม.19/1090/319 ฯลฯ

มีบาลีหลายแห่งที่พระพุทธเจ้าตรัสถึง โอปธิกบุญ คือบุญที่อำนวยผลแก่เบญจขันธ์ ซึ่งได้แก่ บุญที่เป็นโลกียะ

ส่อความว่าจะต้องมีอโนปธิกบุญหรือนิรูปธิบุญ ที่เป็นโลกุตระเป็นคู่กัน แต่ก็หาได้ทรงออกชื่อ อโนปธิกบุญ

หรือนิรูปธิบุญไว้ด้วยไม่*

(* ดู สํ.ส.15/923/342 ฯลฯ)

มีแต่คำว่าโลกุตระบุญที่มาในอรรถกถาสักแห่งหนึ่ง*

(* ที.อ.3/55)

และอรรถกถาน้อยแห่งเหลือเกินจะไขความบุญว่าเท่ากับกุศลทั้งหมด*

(* ดู อิติ.อ.102)

เมื่อมองดูโดยทั่วไปแล้ว ก็จะเห็นว่าคำว่าบุญนั้น ท่านใช้ในความหมายของโอปธิกบุญนั่นเอง คือ ถึงจะไม่ได้

เขียนคำว่า โอปธิกะกำกับไว้ แต่ก็มีความหมายเท่ากับเขียนโอปธิกะอยู่ด้วย หมายความว่าตรงกับโลกียะกุศล

นั่นเอง

ข้อนี้เท่ากับพูดว่า คำว่าบุญ ที่ใช้ทั่วไป มีความหมายอยู่เพียงขั้นโลกียะเท่ากับโลกียะกุศลหรือกุศลขั้นโลกียะ

จึงเท่ากับเป็นความหมายส่วนหนึ่งของกุศล ไม่ครอบคลุมเท่ากับกุศล ซึ่งมีโลกุตระกุศลด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 12:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระอรรถกถาจารย์ท่านสังเกตการใช้คำว่าบุญ แล้วแสดงความหมายไว้ให้เห็นแง่ด้านที่ละเอียดลงไปอีก

ดังในคัมภีร์ปรมัตถทีปนี อรรถกถาอิติวุตตกะ*

(* อิติ.อ.96 )

แสดงความหมายของคำว่า บุญ ไว้ 5 อย่าง คือ

1. หมายถึงผลบุญคือผลของกุศลหรือผลของความดี เช่น ในข้อความว่า เพราะการสมาทานกุศลธรรม

ทั้งหลายเป็นเหตุ บุญย่อมเจริญเพิ่มพูน*

(* ที.ปา.11/50/86)

2. หมายถึงความประพฤติสุจริตในระดับกามาวจรและรูปวจร เช่นในคำว่า คนตกอยู่ในอวิชชา หากปรุงแต่ง

สังขารที่เป็นบุญ (= ปุญญาภิสังขาร)*

(*สํ.นิ.16/191/99)

3.หมายถึงภพที่เกิดซึ่งเป็นสุคติพิเศษ เช่นในคำว่า วิญาณที่เข้าถึงบุญ*

(*สํ.นิ.16/191/99)

4. หมายถึงกุศลเจตนา เช่นในคำว่า บุญกิริยาวัตถุ (คือเท่ากับกุศลกรรม)

5. หมายถึงกุศลธรรมในภูมิสาม เช่นในคำว่า “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายอย่ากลัวบุญเลย” *

(* ขุ.อิติ.25/200/240)

ข้อนี้ตรงกันกับคำว่า โลกียะกุศลนั่นเอง

:b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43:

ความจริง ข้อที่ 5 เป็นความหมายหลัก ตรงกับคำอธิบายในมหานิทเทสที่ว่า “กุสลาภิสังขารในไตรธาตุ

(คือ กามธาตุ รูปธาตุ และอรูปธาตุ) อย่างนึ่งอย่างใดก็ตาม เรียกว่าบุญ”

ได้ในคำว่า ไม่ติดในบุญและในบาป หรือละบุญและบาป ลอยบุญลอยบาปได้แล้ว ซึ่งเป็นลักษณะจิต

ของพระอรหันต์ *

(ขุ.ม. 29/121/108 ฯลฯ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 13:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า เมื่อคำว่าบุญกับกุศลมาด้วยกัน กุศลมักมีความหมายเท่ากับบุญ จึงหมายความว่า

ในกรณีเช่นนี้ คำว่า กุศลถูกใช้ในความหมายแคบลงเท่ากับบุญ คือเป็นเพียงโลกียกุศลเท่านั้น-(1)

ลักษณะสำคัญของโลกียกุศลหรือบุญนี้ ก็คือ การที่ยังเกี่ยวข้องกับผลที่เป็นอามิส ไม่ใช่เรื่องของความ

หลุดพ้นเป็นอิสระ หรือการทำลายกิเลสโดยสิ้นเชิง

ตัวอย่างเสริมความที่กล่าวแล้วมีเป็นอันมาก เช่น ในบาลีเมื่อกล่าวถึงภิกษุคิดจะลาสิกขามักกล่าวว่า จะสึกไปกิน

ใช้โภคทรัพย์และทำบุญทั้งหลาย*

(*เช่น วินย.5/2/6 ฯลฯ)

และชีวิตชาวบ้านที่ดีก็ถือกันว่าได้แก่ชีวิตเช่นนั้น*

(*ดู ม.ม.13/427/391 ฯลฯ)

บุญในกรณีเช่นนี้ ก็หมายถึงการทำความดีต่างๆ เช่น เผื่อแผ่แบ่งปัน ให้ทาน ประพฤติดี มีศีลเป็นต้น

ตรงกับคำว่ากุศลธรรม- (ดู ความหมายที่ วินย.อ.1/238 ฯลฯ)

หรือในข้อความว่า บุญมีอุปการะแม้แก่ผู้เป็นเทพ แม้แก่ผู้เป็นมนุษย์ แม้แก่บรรพชิต*

(*องฺ.ปญฺจก.22/31/36)

มีความหมายทำนองเดียวกัน

ส่วนในพุทธพจน์ที่ว่า “บุญเป็นชื่อของความสุข” บุญก็หมายถึงผลหรือวิบากที่น่าปรารถนาของกุศลกรรม

คือการทำความดี*

(* ขุ.อิติ.25/200/240 ฯลฯ)

หรือในคำว่า “ตายเพราะสิ้นบุญ” (บุญขัยมรณะ) ก็หมายถึงหมดผลบุญหรือสิ้นวิบากของกุศลกรรมที่ปรุงแต่ง

กำเนิดนั้นนั่นเอง*

(* วิสุทธิ.2/1)

ความหมายของคำว่า ธรรม ที่เท่ากับบุญ ก็คือความหมายในแง่ที่สัมพันธ์กับการไปสวรรค์ เช่นเดียวกับที่อธรรม

เท่ากับบาปในความหมายที่สัมพันธ์กับการไปนรก*(*ปฏิสํ.อ.20)


:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:


ขยายความข้างบนที่มี (1)

-กุศลมากับบุญ มีความหมายเท่ากับบุญ เช่น ในคำว่า ปุญญาภิสันทะ กุสลาภิสันทะ

(องฺ.ปญฺจก.22/45/56 ฯลฯ)...เขาคิดว่าจะทำบุญกลับไพล่ไปทำอบุญ

คิดว่าจะทำกุศล กลับไพล่ไปทำอกุศล” (องฺ.สตฺตก. 23/44/44)

พึงสังเกต นิรูปธิกุศล มากับ โอปธิกบุญ ในขุ.อิติ.25/262/290)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 13:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นอันสรุปได้ว่า แม้ว่า บุญ กับ กุศล

และบาป กับ อกุศลจะเป็นไวพจน์กัน

แต่ในการใช้จริงโดยทั่วไป กุศลมีความหมายครอบคลุมที่สุดกว้างกว่าบุญ

คำทั้งสองจึงใช้แทนกันได้บ้าง ไม่ได้บ้าง

ส่วนบาป กับ อกุศล มีความหมายใกล้เคียงกันมากกว่า จึงใช้แทนกันได้บ่อยกว่า

แต่กระนั้น ก็มักใช้ในกรณีที่ให้ความรู้สึกที่ตรงข้ามกับความหมายแง่ต่างๆ ของบุญ

โดยนัยนี้

-กุศล ใช้ในแง่การกระทำคือกรรมก็ได้ มองลึกลงไปถึงตัวสภาวธรรมก็ได้

ส่วนบุญ มักเล็งแต่ในแง่กรรมคือการกระทำ

ดังนั้น คำว่า กุศลกรรมก็ดี อกุศลกรรมก็ดี จึงเป็นคำสามัญ

แต่สำหรับบุญ เราพูดได้ว่า บุญกรรม (กรรมที่เป็นบุญ ไม่ใช่ บุญและกรรม)

ถ้าพูดว่า บุญธรรม จะแปลกหู และไม่รู้สึกเป็นคำศัพท์ทางธรรม

ส่วนบาป กับ อกุศล จะพบทั้งอกุศลกรรม อกุศลธรรม บาปกรรม บาปธรรม


-ในแง่พิเศษ บุญหมายถึงผลของบุญหรือวิบากของกุศลกรรม

แม้ในกรณีที่มิได้หมายถึงผลหรือวิบากโดยตรง บุญก็ใช้ในลักษณะที่สัมพันธ์กับผลหรือ

ให้เกิดความรู้สึกเพ่งเล็งถึงผลตอบสนองภายนอกหรือผลที่เป็นอามิส เฉพาะอย่างยิ่งความสุข

และการไปเกิดในที่ดีๆ


-ด้วยเหตุที่กล่าวมานั้น การใช้คำว่าบุญ จึงมักจำกัดอยู่เฉพาะในระดับโลกียะ เป็นโอปธิกบุญ คือ

เป็นโลกียะกุศลเท่านั้น กรณีที่กินความถึงโลกุตระกุศล หาได้ยากอย่างยิ่ง

บุญ และ บาป เป็นคำที่มีใช้แพร่หลายอยู่ก่อนแล้วในพุทธกาล

พระพุทธศาสนารับเข้ามาใช้ในความหมายเท่าที่ปรับเข้ากับหลักการของตนได้

ส่วนกุศล และ อกุศล เดิมใช้ในความหมายอย่างอื่น เช่น ฉลาด ชำนาญ คล่องแคล่ว สบายดี มีสุขภาพ

เป็นต้น

พระพุทธศาสนา นำเอามาบัญญัติใช้สำหรับความหมายที่ต้องการของพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะ

-และโดยนัยนี้ กุศล และ อกุศลจึงเป็นศัพท์วิชาการทางธรรมอย่างแท้จริง

ส่วนบุญ และ บาป ท่านมักใช้อยู่ในวงแห่งคำสอนสำหรับชาวบ้านหรือชีวิตของชาวโลก*

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 13 ก.พ. 2010, 13:17, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 13:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




Buddha.jpg
Buddha.jpg [ 254.89 KiB | เปิดดู 5860 ครั้ง ]
ขยายความ คห.บนที่มี *


* พึงสังเกตว่า ในอภิธรรมปิฎก ตามปกติท่านไม่ใช้คำว่า บุญและบาป ยกเว้นแต่บาปที่เป็นคำประกอบ

ขยายคำว่าอกุศล และบุญในคำว่าปุญญาภิสังขาร ซึ่งมีความหมายตามที่บัญญัติขึ้นโดยเฉพาะ

และในอรรถกถาอภิธรรม ท่านใช้บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อธิบายเรื่องกามาวจรกุศลจิต*

(* สงฺคณี อ.260)

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:


ต่อ (3)

viewtopic.php?f=4&t=29525

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 19 ก.พ. 2010, 19:01, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร