วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 18:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 132 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2010, 22:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

สิ่งดี ๆ ที่ควรทำทุกวัน

ทุกเช้าก่อนออกจากบ้าน อย่าลืมคิดถึงสิ่งที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันเหล่านี้

1. เครื่องประดับที่สวยที่สุดบนเรือนร่าง คือ รอยยิ้ม

2. งานที่ทำแล้วพอใจที่สุดคือ งานช่วยเหลือผู้อื่น

3. ความสุขที่สุด คือ ..การให้..

4. อาวุธร้ายแรงที่ต้องระมัดระวังและเก็บรักษาให้ดีที่สุด คือ คำพูดที่ทำร้ายผู้อื่น

5. พลังยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทำให้ทุกอย่างสำเร็จ คือ ความรัก

6. ความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ การทำร้ายตัวเอง

7. ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่จะต้องเอาชนะให้ได้คือ ความกลัว

8. ยานอนหลับที่ให้ผลดีที่สุดคือ ธรรมะความสงบภายในใจ

รูปภาพ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมบุตร เมื่อ 06 มี.ค. 2010, 19:04, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2010, 23:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำชีวิตให้สดใสจรดหลังเลิกงาน

รูปภาพ


แต่กว่าจะฝ่าฟันกับภาระงานในหนึ่งวันได้ คุณก็แทบจะหมดแรงทำอะไรแล้ว เห็นทีต้องเอาสูตรเคล็ดไม่ลับ 5 ข้อเด็ดต่อไปนี้นำไปลองปฏิบัติดูครับ

1. เมื่อยล้าจากการพูดคุยโทรศัพท์นานๆ ให้ลองเปลี่ยนอิริยาบถดูบ้าง เช่น ยืนคุย สลับมือที่จับโทรศัพท์จากขวามาซ้าย และซ้ายไปขวา ขณะเดียวกันก็ให้เหวี่ยงแขนไปมา เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบริเวณไหล่ และส่วนหลัง พูดให้สั้นกระชับและสรุปตรงประเด็นโดยเร็ว เพื่อเป็นการประหยัดพลังงานเสียงของคุณ ดื่มน้ำมากๆ หลังคุยโทรศัพท์เสร็จ ที่สำคัญให้หลีกเลี่ยงการใช้หัวไหล่หนีบโทรศัพท์แล้วคุยเป็นเวลานานๆ

2. ทำงานจนสมองล้า นั่นเพราะสมองของคุณถูกกระตุ้นด้วยเรื่องเดิมๆ การทำงานที่ซ้ำซาก ทิวทัศน์ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง รูปแบบความคิดเดิมๆ อาจทำให้สมองเฉื่อยชาได้ คุณควรเปิดรับประสบการณ์ใหม่ด้วยการหาเวลาออกไปเดินเล่นตอนกลางวัน เปลี่ยนร้านอาหาร เปลี่ยนเส้นทางกลับบ้าน พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานที่รู้จักแค่ผิวเผิน ทำอะไรก็ได้ที่สมองจะได้รับการอัดฉีดข้อมูลใหม่ๆ เสียบ้าง เพื่อท้าทายจิตของคุณด้วยข้อมูลใหม่ๆ ที่จะเปลี่ยนไปยังสมองส่วนที่ไม่ได้ถูกใช้งาน

3. ปวดตาจากคอมพิวเตอร์ การนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน อาจทำให้สายตาของคุณเมื่อยล้า และอาจทำให้ตาของคุณพร่าได้ เนื่องจากขณะที่ใช้คอมพิวเตอร์ เรามักจะจับจ้องที่หน้าจอจนลืมแม้กระทั่งการกระพริบตา วิธีแก้ คุณควรอยู่ห่างจากตัวคอมพิวเตอร์ประมาณหนึ่งช่วงแขนเอื้อม และวางให้ต่ำกว่าระดับสายตาของคุณประมาณ 20 องศา รวมทั้งต้องคอยทำความสะอาดหน้าจออยู่เสมอ เพราะฝุ่นจะทำให้เกิดการสะท้อนมากขึ้น และควรจะหยุดพักสายตาทุก 30 นาที

4. นั่งทำงานนานจนท้องอืด การนั่งทำงานตลอดทั้งวัน อาจทำให้ระบบการย่อยอาหารของคุณขัดข้องได้ จนเกิดอาการท้องผูก ส่งผลให้ท้องของคุณบวมอึดได้ ถ้าเกิดอาการเช่นนี้ คุณควรลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานทุกๆ ครึ่งชั่วโมง เดินรอบๆ ออฟฟิศสักครู่ หรือหากิจกรรมอื่นใดที่ช่วยให้ระบบร่างกายของคุณได้เคลื่อนไหว และหลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าที่รัดบริเวณเอว ซึ่งจะไปบีบรัดลำไส้ ทำให้เกิดก๊าซขึ้นได้ นอกจากนี้ควรรับประทานอาหารมื้อเที่ยงแค่พออิ่ม และเลี่ยงอาหรที่ก่อให้เกิดก๊าซในกระเพาะ เช่น ถั่ว กะหล่ำปลี หัวหอม

5. ผิวแห้งเพราะอากาศอับชื้น การทำงานภายในห้องแอร์เป็นเวลานานๆ อาจทำให้ผิวของคุณแห้งผากได้ วิธีแก้คุณควรรับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ เช่น ผักใบเขียว แครอต และผลไม้สีเหลือง จะช่วยป้องกันไม่ให้ผิวหน้าแห้งและหยาบกระด้างได้ และที่สำคัญควรดื่มน้ำมากๆ ครับ อยากรู้ว่าคุณดื่มน้ำมากพอสำหรับในหนึ่งวันหรือไม่ ให้สังเกตดูจากน้ำปัสสาวะ ถ้าหากยังมีสีเหลืองอ๋อย นั่นแสดงว่าร่างกายของคุณยังขาดน้ำอยู่ ควรดื่มน้ำเพิ่มจนกระทั่งปัสสาวะของคุณเป็นน้ำใสๆ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมบุตร เมื่อ 08 ก.พ. 2010, 23:06, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2010, 23:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มาเปลี่ยนภาพลักษณ์ (เสียๆ) กันซะทีเถอะ

รูปภาพ


แทนที่จะเสียเวลาไปกับการแก้ตัวเมื่อได้ยินเพื่อนร่วมงานแสดงความคิดเห็นต่อ ตัวคุณในเชิงลบ ลงมือทำอะไรสักอย่างให้เขาเห็น เพื่อที่จะเปลี่ยนความคิดของพวกเขาเกี่ยวกับตัวคุณไปในทางที่ดีขึ้นดีกว่า

1) คนอื่นมองว่าคุณขี้เกียจ
- เริ่มต้นสร้างสรรค์ = รับผิดชอบมากขึ้น ทำงานมากกว่าภาระหน้าที่ในขอบเขตของคุณ
- แสดงความสำเร็จ = อย่าคุยโว แต่ควรสอดแทรกคำขอบคุณ ผุ้อื่นลงในบทสนทนา
- สังเกตท่าทางของตัวเอง = กระตือรือร้น และกระฉับกระเฉง อยู่เสมอ

2) คนอื่นมองว่าคุณไม่เป็นมืออาชีพ
- จงมีมารยาทเสมอ = เมื่อคุณทำตัวให้น่าเคารพและสุภาพ จะทำให้คนอื่นไม่กล้าที่จะตำหนิคุณ
- ยอมรับคำวิจารณ์ = การเปิดรับความคิดเห็นและคำวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ เป็นสัญญาณของความเป็นมืออาชีพ
- กลั่นกรองคำพูด = คิดให้ดีก่อนพูด ไม่ว่าคุณจะโกรธ แค่ไหนก็ควรระวังคำพูด
- ระวังภาพลักษณ์ = แต่งตัวอย่างเหมาะสม และพูดจาให้ดีเสมอ


3) คนอื่นมองว่าคุณสายเสมอ
- ตรงต่อเวลา = ตื่นให้เช้าขึ้น และถึงที่ทำงานก่อนเวลาเข้างาน
- วางแผนล่วงหน้า = เตรียมพร้อมและทำตามรายการของสิ่งที่ต้องทำ

4) คนอื่นมองว่าคุณชอบเล่นไม่ซื่อ
- จงซื่อสัตย์ = ระมัดระวังสิ่งที่คุณเสนอแนะ ไม่ชี้แนะแนวทางในการขโมยความคิดของผู้อื่น
- แสดงความมีเกียรติ = หลีกเลี่ยงการกระทำที่ถูกมองว่าฉกฉวยผลประโยชน์จากบริษัท
- จงรับผิดชอบ = ถ้าทำผิด ก็ยอมรับซะ แทนการโทษคนอื่น และแก้ตัว


5) คนอื่นมองว่าคุณทำงานเป็นทีมไม่เป็น
- จงเป็นมิตร = จำชื่อและรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ของคนอื่น ใครๆ ก็ชอบที่ตนเองมีความสำคัญ
- ทำตัวให้วางใจได้ = อย่าอ้างความคิดของเพื่อนร่วมงานเป็นของตนเอง และให้เครดิตผู้อื่น ช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานถ้าทำได้



ข้อมูลจาก : Lisa

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 21:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครับก็เอามาให้ดูความรักและความเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลก..เห็นแล้วสบายใจจังเลย..
ความรักที่บริสุทธิ์..ไม่แบ่งแยกสปีชีย์..
สัพเพ..สัตตา
อะเวรา โหนตุ
อัพยาปัชฌา โหนตุ
อะนีฆา โหนตุ
สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ

This Ranger Rocks


This Ranger is assigned to prevent poaching around the wildlife refuge area of Lanseria, South Africa.
สายตรวจคนนี้ ได้รับมอบหมายให้มาป้องกันการรุกล้ำพื้นที่คุ้มครองสัตว์ป่า Lanseria อัฟริกาใต้

รูปภาพ




The way these animals interact with him is absolutely stunning!
ท่าทางของเหล่าสัตว์ที่มีปฏิกิริยาต่อเขา มันน่าทึ่งจริงๆ

รูปภาพ





The lions seem to know he’s there to protect them.
พวกสิงโตดูเหมือนจะรู้ว่า เขาอยู่ที่นั่นเพื่อปกป้องพวกมัน


รูปภาพ

รูปภาพ









His charm works with hyenas and lions too.
เสน่ห์ของเขาใช้ได้กับไฮยีน่าและสิงโตด้วยเช่นกัน


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ



Hyenas are usually vicious.
ปกติแล้วไฮยีน่าเป็นสัตว์ดุร้าย

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ


รูปภาพ


Check out the pics taken in the river

ดูภาพในแม่น้ำเอาสิ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

amazing because lions hate water.
น่าทึ่งมาก เพราะสิงโตเป็นสัตว์ที่เกลียดน้ำ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมบุตร เมื่อ 10 ก.พ. 2010, 21:21, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 22:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ก.ค. 2009, 08:36
โพสต์: 532

แนวปฏิบัติ: ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: กรรมทีปนี , วิมุตติรัตนมาลี , ภูมิวิลาสินี
ชื่อเล่น: เจ้านาง
อายุ: 0
ที่อยู่: อยู่ในธรรม

 ข้อมูลส่วนตัว


:b55: ขอบคุณค่ะสำหรับสาระดีๆที่มีมาฝากกัน :b55:

:b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54:

.....................................................
...รู้จักทำ รู้จักคิด รู้ด้วยจิต รู้ด้วยศรัทธา...
..................ศรัทธาธรรม..................


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2010, 17:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


5 ธรรมปฏิบัติ สร้างเกราะป้องกันกายใจ (โดยคุณประอรพิชญ์ คัจฉวัฒนา)


“ขี้โมโห หงุดหงิดง่าย คิดมาก” ทั้งสามคำนี้นิยามความเป็นตัวฉันเมื่อก่อนได้เป็นอย่างดี

ไม่ว่าจะมีอารมณ์ใดมากระทบ ฉันก็พร้อมที่จะหลงเพริดไปได้ในทันที

จนคนรอบข้างเริ่มสังเกต เพราะได้รับผลกระทบจากอารมณ์ไม่ปกติของฉันกันถ้วนหน้า จึงแนะนำให้ฉันลองไปปฏิบัติธรรม โดยหวังว่าจะช่วยเปลี่ยนฉันเป็นคนใหม่ได้

ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง

ไม่ใช่ว่าฉันไม่เห็นถึงประโยชน์ของการปฏิบัติธรรม แต่ที่ผ่านมาฉันได้ใช้ข้ออ้างยอมฮิต คือไม่มีเวลากับการเริ่มต้นปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ

แต่คราวนี้ความมุ่งมั่นได้นำพาฉันเข้าสู่การปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังจนได้ โดยตั้งใจว่าจะใช้เวลาวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ ไปกับการปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่

เพื่อให้เห็นความก้าวหน้า ฉันจึงเริ่มจดบันทึกการปฏิบัติธรรม

วันที่หนึ่ง 8.30 น. เดินทางถึงศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนาราม ภายในศาลามีคนนั่งสมาธิอยู่ประมาณ 10 คน ทุกคนนั่งด้วยอาการสงบ

ฉันเลือกนั่งบนอาสนะแถวหลัง นั่งขัดสมาธิขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย หลับตา แล้วกำหนดลมหายใจเข้า-ออก หายใจเข้า “พุท” หายใจออก “โธ” ตามความรู้เก่าก่อนที่ได้ทราบมา

เมื่อกำหนดลมหายใจเข้า-ออกได้เพียง 5 ครั้ง จิตใจเริ่มฟุ้งซ่าน ฉันรีบสลัดความคิดฟุ้งซ่านนั้น เมื่อสลัดได้แล้ว จึงนั่งเพ่งลมหายใจต่อ

แต่จิตใจเจ้ากรรมทำได้ไม่นาน เรื่องฟุ้งซ่านก็เข้ามาอีกเรื่อยๆ

9.00 น. ฉันเปลี่ยนอิริยาบถไปเดินจงกรมรอบศาลา โดยตั้งใจเดินช้าๆ ด้วยอาการสำรวม มีสติ ระลึกรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออกทุกครั้ง

ปรากฏว่าฉันมีสมาธิ จดจ่อกับการเดินได้นานกว่าการนั่งสมาธิ

แต่แล้วความหิว มารผจญการฝึกปฏิบัติธรรมของฉันก็เผยตัวขึ้น พร้อมกับบอกว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง ฉันใดก็ฉันนั้น ภารกิจปฏิบัติธรรมของฉันก็ต้องเดินด้วยท้องเช่นกัน การปฏิบัติธรรมช่วงเช้าจึงยุติลง อย่างไม่ได้อะไรเท่าใดนัก

เดินตามหลักวิปัสสนากรรมฐาน

“ลองไปฝึกวิปัสสนากรรมฐานที่วัดมหาธาตุแถวท่าพระจันทร์ดูสิ ที่นั่นเขามีสอนทุกวัน เผื่อว่าเธอจะได้หลักในการปฏิบัติมาบ้าง” เพื่อนสนิทแนะนำ เมื่อฉันเล่าให้ฟังถึงการพยายามปฏิบัติธรรมในช่วงเช้า

12.30 น. เดินทางถึง สำนักงานกลางกองการวิปัสสนาธุระ วัดมหาธาตุ คณะ 5 ฉันแจ้งความประสงค์กับแม่ชี ว่าต้องการมาศึกษาหลักปฏิบัติวัปสสนากรรมฐาน

ท่านถามฉันเบื้องต้นว่าเคยมาปฏิบัติบ้างหรือยัง และจะปฏิบัติแบบเช้าไปเย็นกลับหรือค้างคืน จากนั้นท่านก็บอกให้ไปซื้อพวงมาลัยมาหนึ่งพวงเพื่อบูชาพระ และให้ท่านขึ้นต้นกรรมฐานให้

12.45 น. แม่ชีพาฉันเข้าไปพบ พระครูมงคลศีลวัตร พระวิปัสสนาจารย์ประจำสำนักงานกลาง กองการวิปัสสนาธุระ เพื่อขึ้นต้นกรรมฐาน ซึ่งเป็นการกล่าวคำปฏิญาณต่อพระรัตนตรัย ว่าตนจะตั้งใจปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน (ใช้เวลาประมาณ 15นาที)

13.00 น. พระอาจารย์สอนวิธีปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเบื้องต้นให้ โดยให้ลองปฏิบัติกรรมฐานทั้ง 7 ข้อ

1. ยืน ให้ส้นเท้ากับปลายเท้าห่างกันประมาณ 1 คืบ เมื่อหยุดยืนให้ภาวนาว่า “ยืนหนอ” 3 ครั้ง แล้วเริ่มเดิน ก่อนเดินให้ภาวนาว่า “อยากเดินหนอ” 3 ครั้ง แล้วออกเดินช้าๆ

2. เดินจงกรม เวลาเดินให้ทอดสายตาไปประมาณ 4 ศอก สติจับอยู่ที่เท้า เดินช้าๆ ยกเท้าขวาขึ้นทันที ขณะภาวนาคำว่า “ย่าง” ต้องเคลื่อนเท้าไปพร้อมกัน ขณะภาวนาคำว่า “หนอ” เท้าต้องลงถึงพื้นพร้อมกัน ทำอย่างเดียวกันนี้กับเท้าซ้ายและภาวนาว่า “ซ้ายย่างหนอ”

เมื่อเดินสุดทางเดินให้หยุดยืนนิ่งแล้วภาวนาว่า “อยากกลับหนอ” 3 ครั้ง พร้อมกับหมุนเท้าไปช้าๆ (ใช้เวลา 40 นาที)

3. นั่ง เมื่อจะนั่งให้ภาวนาว่า “นั่งหนอ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะนั่งเสร็จ

เวลานั่งให้นั่งขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย แล้วหลับตาโดยให้สติมาจับอยู่ที่ท้อง หายใจเข้าท้องพอง ให้ภาวนาว่า “พองหนอ” หายใจออกท้องยุบ ให้ภาวนาว่า “ยุบหนอ” โดยใจที่นึกกับท้องที่ยุบต้องให้ทันกัน อย่าให้เร็วหรือช้ากว่าอาการที่เกิด (ใช้เวลา 30 นาที)

4. นอน ค่อย ๆ เอนตัวลงพร้อมกับภาวนาตามไปว่า “นอนหนอ” จนกว่าจะนอนเรียบร้อย เอาสติมาไว้ที่ท้องเมื่อนอนลง แล้วภาวนาว่า “พองหนอ ยุบหนอ” (ข้อนี้ไม่ได้ปฏิบัติ แต่นำหลักการนี้ไปปฏิบัติที่บ้านแทน)

5. เวทนา ในขณะที่ปฏิบัติอยู่ ถ้ามีเวทนาหรือเจ็บปวด เช่น เมื่อย คัน เป็นต้น เกิดขึ้น ให้ปล่อยพองยุบ แล้วเอาสติไปกำหนดที่ความเจ็บ ปวด เมื่อย หรือคันนั้น พร้อมภาวนาว่า “เจ็บหนอๆ” “คันหนอๆ” สุดแต่เวทนาจะเกิดขึ้น

6. จิต ในเวลานั่งอยู่นั้น ถ้าจิตคิดถึงเรื่องส่วนตัวต่างๆ ให้เอาสติปักลงไปที่หัวใจ พร้อมกับภาวนาว่า “คิดหนอๆ” จนกว่าจะหยุดคิด

7. เสียง ถ้ามีเสียงดังหนวกหูให้ใช้สติกำหนดไปที่หู ภาวนาว่า “ได้ยินหนอๆ” จนกว่าจะหายหนวกหู

น่าอัศจรรย์ เพียงหนึ่งชั่วโมงกว่าที่ได้เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ฉันรู้สึกถึงความนิ่งที่ปรากฏขึ้นกับทั้งกายและใจ แม้ว่าในขณะปฏิบัติจะมีเรื่องฟุ้งซ่านผ่านเข้ามาบ้าง แต่ที่สุดแล้วจิตใจของฉันกลับเบิกบาน

“แม่ชีคะ หนูรู้สึกสงบนิ่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเลยค่ะ”

“นั่นเป็นอานิสงส์ของการเจริญวิปัสสนากรรมฐานจ้ะ อย่าลืมนำไปปฏิบัติบ่อยๆด้วยนะ”

เสริมใจให้มั่นคงด้วยสติปัฏฐาน

หลังจากได้น้อมนำเอาหลักวิปัสสนากรรมฐานมาใช้ในชีวิตประจำวัน ดังที่แม่ชีได้กำชับไว้ ไม่เพียงแค่ตัวเอง แต่คนรอบตัวฉันต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน ว่าฉันไปทำอะไรมา ทำไมดูนิ่งและหน้าตาผ่องใส

ความศรัทธาของฉันจึงพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ฉันเริ่มขวนขวายหาความรู้ในเรื่องการปฏิบัติธรรมต่อ

วันที่สอง เวลา 11.00 น. ธรรมะได้จัดสรร ให้ฉันมีโอกาสได้ฟังการบรรยายธรรมเรื่อง “วิถีแห่งความรู้แจ้ง” โดยพระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช จากสวนสันติธรรม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งท่านได้บอกให้ทราบถึงหลักการเจริญสติปัฏฐาน อันเป็นอีกวิธีหนึ่งหนึ่งของกายสงบกาย-ใจ

“ก่อนอื่นอยากให้ทราบถึงเครื่องมือในการปฏิบัติธรรมก่อน ได้แก่ สติและสัมปชัญญะ คือ การระลึกรู้กาย เวทนา จิต และธรรม

“เมื่อรู้แล้วจึงเริ่มเจริญสติปัฏฐาน คือให้รู้อิริยาบถของตนเอง เช่น รู้ความเคลื่อนไหวขณะเดินจงกรม หรือรู้ลมหายใจเข้า-ออก โดยกำหนดให้เป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้ถูกเห็น ไม่ใช่จิต มีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์

“พอกำหนดรู้ได้เช่นนั้นแล้ว หากนามธรรมใดปรากฏกับจิต ก็สามารถรู้เท่าทันได้ เช่น เกิดความรู้สึกสุข ทุกข์หรือกุศล อกุศล ก็ให้รู้สึกสุข ทุกข์หรือกุศล อกุศล ก็ให้เรารู้ทันนามธรรมนั้น ในลักษณะของสิ่งที่ถูกรู้”

“ขั้นต่อไป พอจิตไปรู้รูปธรรมหรือนามธรรมนั้นแล้ว จิตก็จะมีความยินดียินร้าย ก็ให้ระลึกรู้ความยินดียินร้ายนั้นให้เกิดดับ เช่นเดียวกับรูปธรรมนามธรรมทั้งปวงนั่นเอง”

“แล้วจิตก็จะปล่อยวางความยินดียินร้าย เข้าสู่ความเป็นกลางของจิต ซึ่งสภาพนี้ต้องอาศัยการฝึกปฏิบัติอยู่บ่อยๆ”

14.00 น. เมื่อฟังธรรมเสร็จ ฉันเดินทางไปห้องสมุดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมมาศึกษาเพิ่มเติม

ฉันพบเสียงบรรยายธรรมในเว็บไซด์ฟังธรรม . com ของ หลวงพ่อชา สุภัทโท จากวัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งท่านได้ให้ข้อคิดเรื่องแนวทางปฏิบัติธรรมไว้อย่างน่าสนใจว่า

“การปฏิบัติธรรมทำได้ตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าท่านจะทำอะไรก็ตาม แม้แต่ท่านเทกระโถนหรือล้างส้วมอยู่ อย่าคิดอยู่เพียงว่าท่านกำลังทำบุญทำคุณให้กับผู้หนึ่งผู้ใด ให้มีธรรมะ ระลึกรู้ตัวในขณะที่เทกระโถนด้วยอย่ารู้สึกว่าตนเองปฏิบัติธรรมเพียงแค่ตอนนั่งสมาธิเท่านั้น

“และไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ให้ระมัดระวังอย่างยิ่งในการสำรวมอินทรีย์ กำหนดสติให้อยู่กับการกระทำต่างๆ แต่อย่าบังคับตัวเองมากเกินไป มีสติระลึกรู้ตามธรรมชาติก็เพียงพอ เช่นนี้ปัญญาที่แท้จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติด้วย”

ทำบุญด้วยการสวดมนต์เป็นนิจ

เมื่อรู้สึกได้ว่าจิตมั่นคงระดับหนึ่งแล้ว การรักษาความมั่นคงของจิตใจคงสภาพเช่นนั้น จึงเป็นขั้นตอนต่อไปที่ฉันต้องศึกษา

กัลยาณมิตรอีกคนเคยบอกฉันว่า เธอได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งที่นั่นแนะนำให้สวดมนต์ควบคู่ไปกับการทำกรรมฐานเป็นประจำ ตามแนวคำสอนของ พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หรือหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) ที่มีส่วนทำให้จิตใจเธอนิ่งมีสติมากขึ้น

23.00 น.ฉันเริ่มอ่านหนังสือ “สวดมนต์ทำกรรมฐานตามแบบหลวงพ่อจรัญ” ซึ่งท่านกล่าวไว้ว่า “การสวดมนต์เป็นนิจนี้ มุ่งให้จิตแนบสนิทติดในคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ จิตใจจะสงบเยือกเย็น เป็นบัณฑิต มีความคิดสูง ทิฏฐิมานะทั้งหลายก็จะหายไปได้

“การสวดมนต์ต้องสวดให้ถูกวรรคตอน และวางจิตให้ถูกต้องโดยยึดหลักอธิษฐานจิต คือ ตั้งสติสัมปชัญญะไว้ที่ลิ้นปี่ สำรวมกาย วาจา จิตให้ตั้งมั่นแล้วแผ่เมตตาไว้ในใจ สักครู่หนึ่ง แล้วก็อุทิศให้มารดาบิดาของเราว่าเราได้บำเพ็ญกุศล ท่านจะได้บุญได้กุศลแน่ๆ”

เมื่อทราบถึงอานิสงส์ของการสวดมนต์ ว่าทั้งช่วยให้จิตใจสงบและยังเป็นการทำบุญ แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลให้กับคนที่เรารักเช่นนี้แล้ว ฉันจึงตั้งใจว่าจะปฏิบัติให้ได้ทุกๆวันก่อนนอน

แค่เพียงเวลาว่างสุดสัปดาห์เพียง 2 วัน ฉันกล่าวไว้เต็มปากว่า การปฏิบัติธรรมได้เปลี่ยนฉันคนเก่าเป็นฉันคนใหม่ ที่ถึงพร้อมทั้งสติ สมาธิ และปัญญา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2010, 01:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


BRAIN DAMAGING HABITS (อุปนิสัยคนเราที่ทำลายการทำงานของสมอง)

รูปภาพ



1. No Breakfast ไม่ทานอาหารเช้า ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ มีผลต่อการทำงานของสมอง
People who do not take breakfast are going to have a lower blood sugar level. This leads to an insufficient supply of nutrients to the brain causing brain degeneration.

2 . Overeating=2.0 การอาหารทานมากเกินไปทำให้เส้นเลือดในสมองหนามีการเกาะตัวของไขมัน การทำงานสมองช้าลง
It causes hardening of the brain arteries, leading to a decrease in mental power.

3. Smoking การสูบบุหรี่ ช่วยให้สมองฝ่อ เกิดเป็นโรคอัลไซเมอร์ตามมมา
It causes multiple brain shrinkage and may lead to Alzheimer disease.

4. High Sugar consumption การทานหวานมาก น้ำตาลจะไปขัดขวางการดูดซึมของโปรตีนและสารอาหาร เป็นสาเหตุที่ตามมาของการทำงานที่ดีของสมอง
Too much sugar will interrupt the absorption of proteins and nutrients causing malnutrition and may interfere with brain development.

5. Air Pollution อากาศเป็นพิษ สมองเป็นอวัยวะที่ต้องการอ๊อกซิเจนมากที่สุดในร่างกาย อากาศเสียส่งผลต่อการทำงานของสมองโดยตรง
The brain is the largest oxygen consumer in our body. Inhaling polluted air decreases the supply of oxygen to the brain, bringing about a decrease in brain efficiency.

6 . Sleep Deprivation การอดนอน ทำให้เซลสมองไม่ได้รับการทดแทนจากการฟักตัวของเซลใหม่ เซลสมองที่ตายแล้วจะสะสมมีปริมาณมาก เป็นอันตรายในระยะยาว
Sleep allows our brain to rest.. Long term deprivation from sleep will accelerate the death of brain cells..

7. Head covered while sleeping การคลุมหน้าเวลาหลับ ช่วยให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซที่หายใจออกมาสะสม ก๊าซออกซิเจนที่ต้องการมีไม่พอ สมองจะค่อยๆถูกทำลาย
Sleeping with the head covered increases the concentration of carbon dioxide and decrease concentration of oxygen that may lead to brain damaging effects.

8. Working your brain during illness การทำงานหรืออ่านหนังสือคร่ำเคร่งเวลาป่วยไข้ไม่สบาย นอกจากลดประสิทธิภาพการใช้งานสมองแล้ว ยังช่วยทำลายสมองอีกด้วย
Working hard or studying with sickness may lead to a decrease in effectiveness of the brain as well as damage the brain.

9. Lacking in stimulating thoughts การไม่ใช้สมองเหมือนไม่ออกกำลังกายให้มัน มีผลต่อการทำให้สมองฝ่อ การใช้ความคิดเป็นการฝึกความจำที่ดี (คนอายุมากควรฝึกบ่อย)
Thinking is the best way to train our brain, lacking in brain stimulation thoughts may cause brain shrinkage.

10. Talking Rarely คนไม่ค่อยพูดกับใคร มักมีปัญหา เพราะการพูดคุยช่วยให้สมองมีการทำงานและพัฒนา (การคุยแบบสร้างสรรค์ ไม่ใช่ชวนทะเลาะ)
Intellectual conversations will promote the efficiency of the brain


The main causes of liver damage are: สาเหตุการทำลายตับ

รูปภาพ

1. Sleeping too late and waking up too late are main cause. การนอนและตื่นได้ทุเรต คือนอนสาย ตื่นสาย ทำให้ตับทำงานผิดเวลา เป็นสาเหตุหลัก

2. Not urinating in the morning. ไม่ฉี่ในตอนเช้า หรือตื่นนอน น้ำปัสสาวะเลยไปขังเหม็นในตับ ตับไม่สดชื่น

3 . Too much eating. กินมากไป ทำให้การทำงานเกินกำลังของตับในการกรองสารอาหาร ทั้งแอลล์กอฮอล์ น้ำหวาน ไขมัน ฯลฯ

4. Skipping breakfast. การงดทานอะไรในตอนเช้า น้ำย่อยกับตับต้องมีการทำงาน

5. Consuming too much medication. การเป็นคนชอบทานยาหลายขนาน มากๆ ย่อยๆ และประจำ สารจากยาสังเคราะห์สมัยใหม่จะไปสะสมที่ตับ ช่วยให้ตับเสียเร็วในระยะยาว

6. Consuming too much preservatives, additives, food coloring, and artificial sweetener. การเลือกทานอาหารที่ใช้สารกันบูด สารเพิ่มรสชาติ สารใส่สี น้ำตาลเทียม ล้วนเป็นสิ่งดีๆที่ไปสะสมทำลายตับในระยะยาว

7. Consuming unhealthy cooking oil. การทานน้ำมันปรุงอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น น้ำมันทอดซ้ำมากๆ เวลาเหนื่อยมากๆไม่ควรทานอาหารทอด แต่ถ้าร่างกายแข็งแรงก็ไม่เป็นไร ยังทนได้?
As much as possible reduce cooking oil use when frying, which includes even the best cooking oils like olive oil. Do not consume fried foods when you are tired, except if the body is very fit.

8. Consuming raw (overly done) foods also add to the burden of liver. การทานของดิบช่วยทำลายตับได้อย่างดี ควรปรุงสุกก่อนทุกครั้ง และอาหารทอดควรทานให้หมด ไม่ควรเก็บไว้ทานภายหลัง เพราะน้ำมันที่ทอดในอาหารจะแปรสภาพอิ่มตัว
Veggies should be eaten raw or cooked 3-5 parts. Fried veggies should be finished in one sitting, do not store.

We should prevent this without necessarily spending more. We just have to adopt a good daily lifestyle and eating habits. Maintaining good eating habits and time condition are very important for our bodies to absorb and get rid of unnecessary chemicals according to 'schedule.'

The top five cancer-causing foods are: อาหารชั้นเลิศที่มะเร็งถามหา

1.. Hot Dogs ฮ็อตดอก เด็กไม่ควรทานเกิน 12 ชิ้นต่อเดือน เพราะใส่สารโซเดียมในเตรตมาก คนที่ชอบทานควรเลือกสูตรที่ไม่ผสมโซเดียมในเตรต

รูปภาพ



Because they are high in nitrates, the Cancer Prevention Coalition advises that children eat no more than 12 hot dogs a month. If you can't live without hot dogs, buy those made without sodium nitrate.

2. Processed meats and Bacon เนื้อต่างๆที่ผ่านกระบวนการแปรรูป และหมูเบคอน จะพบว่าใส่สารโซเดียมในเตรตมาก มีผลต่อการเกิดโรคหัวใจ ตัวเบคอนเองก็มีไขมันอิ่มตัวที่ไปช่วยการเติบโตของมะเร็ง


รูปภาพ


Also high in the same sodium nitrates found in hot dogs, bacon, and other processed meats raise the risk of heart disease. The saturated fat in bacon also contributes to cancer.

3. Doughnuts โดนัท เป็นของชอบที่สุดของมะเร็ง เพราะมีสารและการปรุงที่ถูกวิธี คือ ป้ง น้ำตาล และน้ำมันที่ผ่านกระบวนการไฮโดรเจนแล้ว ทอดในอุณหภูมิที่สูง เพราะฉะนันคนที่มะเร็งถามหา หรือยังไม่หา ต้องระวังเป็นพิเศษ



Doughnuts are cancer-causing double trouble. First, they are made with white flour, sugar, and hydrogenated oils, then fried at high temperatures. Doughnuts, says Adams , may be the worst food you can possibly eat to raise your risk of cancer.

4. French fries มันฝรั่งทอด มีคุณสมบัติดีเด่นเหมือนกับโดนัท ที่ต้องทอดในอุณหภูมิสูงเช่นกัน แต่เด่นกว่าในการผลิตสาร อะครีล อาไมล์ ที่เป็นตัวกระตุ้นมะเร็ง เป็นสุดยอดอาหารมะเร็งถามหา



Like doughnuts, French fries are made with hydrogenated oils and then fried at high temperatures. They also contain cancer- causing acryl amides which occur during the frying process. They should be called cancer fries, not French fries, said Adams .

5. Chips, crackers, and cookies มันฝรั่งทอดแบบแผ่น ขนมปังแคร๊กเกอร์ และขนมคุ๊กกี้ ทำจากแป้งและน้ำตาล (เหมือนโดนัท) ของต้องห้ามสำหรับคนเกิดปีมะเร็ง

รูปภาพ



All are usually made with white flour and sugar. Even the ones whose labels claim to be free of trans-fats generally contain small amounts of trans-fats.

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2010, 02:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทากาวมิตรภาพระหว่างเพื่อน


รูปภาพ




10 ข้อดีของเพื่อน
1. ให้คุณซบไหล่ยามที่คุณร้องไห้ได้
2. กำจัดความกลัวและความผิดหวังของคุณ และให้คำแนะนำที่เหมาะสม
3. เคารพคุณด้วยความชื่นชมในสติปัญญาและความมีเสน่ห์ของคุณ และปฎิบัติต่อคุณเป็นอย่างดี
4. ทำให้คุณรู้สึกพิเศษในโอกาสที่สำคัญอย่างเช่นวันเกิดคุณ
5. เป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่คุณในการเป็นเพื่อน เพื่อนร่วมงานและเป็นคนที่ดี
6. ช่วยเหลือคุณจากพวกที่เข้ามาคุยกับคุณแบบไม่ยอมเลิกในงานปาร์ตี้
7. ไม่สนใจว่าบนใบหน้าคุณจะมีตุ่มหรือแผลเป็นในยามที่คุณยังไม่ได้แต่งหน้า
8. ให้คุณเล่นแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าของเธอ
9. ช่วยคุณเลือกซื้อหมวกเมื่อผมทรงใหม่สร้างความหายนะ
10. พูดอย่างตื่นเต้นว่า "เราชอบหนังเรื่องสั้น" เวลาคุณแนะนำให้เธอไปเช่าวิดีโอเรื่องที่คุณชอบดูซ้ำซากมาดูอีกครั้ง

หากคุณและเพื่อนเริ่มรู้สึกถึงความห่างเหินและรู้สึกไม่ดีต่อกัน ควรจะนัดพบและหากิจกรรมทำร่วมกัน อย่างเช่น
1. หาซื้อรองเท้า (เธอไม่ห้ามคุณซื้อรองเท้าสีดำอีกคู่หรอก)
2. หาร้านนั่งจิบกาแฟ
3. ดูหนังแบบมาราธอนด้วยกัน
4. มานอนค้างคืนกันที่บ้าน นั่งทาเล็บกันแล้วหาขนมคบเคี้ยวกินแก้เซ็ง
5. เข้าร้านทำผม แล้วก็นั่งคุยเล่นกันระหว่างเสริมสวย

สิ่งที่รักษามิตรภาพไว้
๐ การเคารพกัน
๐ เสียงหัวเราะ
๐ การโกหกเพื่ออีกฝ่าย
๐ นั่งกินจังค์ฟูดกัน
๐ ชื่นชมกันและกัน
๐ อดทน
๐ กอดกันบ่อยๆ

ไม่มีข้ออ้างที่จะทิ้งเพื่อนไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น หมั่นติดต่อกันเสมอๆ โดย
๐ ไปเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายด้วยกัน เช่น ชวนกันไปตีเทนนิสหรือเข้าคอร์สฟิตเนสหลังเลิกงาน
๐ ไปจิบกาแฟกันในวันหยุดสุดสัปดาห์
๐ หาโปรแกรมหนังดีๆ ดูด้วยกัน สัก 2 ครั้งต่อเดือน
๐ ส่งอีเมล์หรือบัตรอวยพรเขียนว่า "คิดถึงเธอจัง" ไปให้เพื่อน
๐ กดโทรศัพท์มือถือไปทักทายเมื่อยามรถติด
๐ ทำอาหารรับประทานด้วยกัน
๐ จดวันที่สำคัญลงไปในไดอารี่อย่างเช่น วันที่เพื่อนคุณไปเอกซ์เรย์ทรวงอกหรือวันประเมินการทำงาน แล้วที่สำคัญ อย่าลืมโทรศัพท์ไปหาเธอล่ะ



ขอบคุณเรื่องดีดีจาก

บล็อคโอเคเนชั่น

:b42: :b31: :b54:

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2010, 02:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Armless Girl Gets A Pilot License....oh....?????

.ExternalClass .ecxhmmessage P {padding:0px;} .ExternalClass body.ecxhmmessage {font-size:10pt;font-family:Verdana;}

Oxford and Cambridge have now decided to remove the words CAN'T and IMPOSSIBLE from their dictionary


รูปภาพ




Jessica Cox, 25, a girl born without arms, stands inside an aircraft. The girl from Tucson, Arizona got the Sport Pilot certificate lately and became the first pilot licensed to fly using only her feet.


รูปภาพ

Jessica Cox of Tucson was born without arms, but that has only stopped her from doing one thing: using the word "can't."

รูปภาพ


Her latest flight into the seemingly impossible is becoming the first pilot licensed to fly using only her feet.

รูปภาพ

With one foot manning the controls and the other delicately guiding the steering column, Cox, 25, soared to achieve a Sport Pilot certificate. Her certificate qualifies her to fly a light-sport aircraft to altitudes of 10,000 feet.

รูปภาพ

"She's a good pilot. She's rock solid," said Parrish Traweek, 42, the flying instructor at San Manuel's Ray Blair Airport.

รูปภาพ

Parrish Traweek runs PC Aircraft Maintenance and Flight Services and has trained many pilots, some of whom didn't come close to Cox's abilities.

รูปภาพ

"When she came up here driving a car," Traweek recalled, "I knew she'd have no problem flying a plane."

รูปภาพ


รูปภาพ

รูปภาพ


Doctors never learned why she was born without arms, but she figured out early on that she didn't want to use prosthetic devices.

รูปภาพ


:b42: :b31: :b42:

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2010, 16:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




001.jpg
001.jpg [ 75.95 KiB | เปิดดู 11686 ครั้ง ]
002.jpg
002.jpg [ 75.9 KiB | เปิดดู 11684 ครั้ง ]
003.jpg
003.jpg [ 52.48 KiB | เปิดดู 11684 ครั้ง ]
004.jpg
004.jpg [ 65.81 KiB | เปิดดู 11685 ครั้ง ]
ธรรมรักษาครับ..

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมบุตร เมื่อ 02 มี.ค. 2010, 16:46, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 20:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




ที่พึ่งของใจ เรื่องโดย พระอาจารย์ชาญชัย อธิปญฺโญ

ชีวิตเรามีร่างกายกับจิตใจ ร่างกายต้องพึ่งพาอาศัยวัตถุ เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ฯลฯ อันเป็นปัจจัยพื้นฐานเพื่อให้ร่างกายมีชีวิตอยู่ได้

นอกจากนี้คนเรายังประดิษฐ์คิดค้นสิ่งต่างๆ เพื่อตอบสนองความสะดวกสบายให้แก่ร่างกาย เช่น บ้าน รถยนต์ ตู้เย็น แอร์ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ทำให้ผู้คนต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินมาซื้อวัตถุไว้บริโภค ได้มาเท่าไรก็ไม่พอยังอยากได้สิ่งดีๆ ยิ่งขึ้นไปอีก

ทัศนะดังกล่าวทำให้จิตใจยึดติดอยู่กับวัตถุ เอาวัตถุมาเป็นที่พึ่งของร่างกายของจิตใจ ทำให้ชีวิตมีความทุกข์

เราคงไม่ปฏิเสธว่า ร่างกายต้องการวัตถุเป็นเครื่องอยู่อาศัย เพราะร่างกายก็คือธาตุ ๔ (ดิน น้ำ ลม ไฟ) ส่วนวัตถุก็คือธาตุ ๔ เช่นเดียวกับร่างกาย โดยธรรมชาติแล้วธาตุ ๔ ต้องอาศัยธาตุ ๔ ด้วยกัน เช่น บ้าน (ธาตุ๔) ผุพัง เมื่อต้องซ่อมก็ต้องหาวัสดุ (ธาตุ ๔) มาซ่อม จะไปใช้พลังจิตหรือวิงวอนร้องขอต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ช่วยให้บ้านคืนสู่สภาพเดิมไม่ได้

แต่ใจของเรามีใช่วัตถุหรือธาตุ ๔ หากปล่อยให้ใจยึดถือเอาวัตถุมาเป็นที่พึ่งที่อาศัย ก็จะมีความทุกข์ใจ

ทั้งนี้เพราะวัตถุเป็นเชื้อกิเลสตัณหาของจิตใจเป็นอย่างดี เช่น กามตัณหา คือความทะยานอยากในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ซึ่งมาจากวัตถุหรือธาตุ ๔ ทั้งสิ้น พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นของร้อน ร้อนเพราะไฟราคะ (อยากได้ อยากเสพ) ไฟโทสะ (เมื่อไม่ได้ดังใจ) และไฟโมหะ (ลุ่มหลงมัวเมา ยึดติด) เพราะไม่รู้ธรรมชาติความเป็นจริงของวัตถุ

ธรรมชาติความเป็นจริงของวัตถุหรือธาตุ ๔ คืออะไร...

คือสิ่งที่ตกอยู่ใต้กฎของไตรลักษณ์ดังนี้

๑. เป็นของไม่เที่ยง (อนิจจัง) มีความเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา เป็นของไม่แน่นอน เป็นของชั่วคราว

๒. คงทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ (ทุกขัง) เพราะเนื้อในมวลสารของมันเกิด-ดับอยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกันก็มีความขัดแย้งกดดันกัน ทำให้กร่อนโทรมผุพังไปตามกาลเวลา ไม่สามารถคงทนอยู่ในสภาพเดิมได้

๓. เป็นสมบัติของโลก มาจากทรัพยากรของโลก ไม่ใช่ของของใคร (อนัตตา) ต่างยืมเอาทรัพยากรของโลกมาใช้กันชั่วคราว เพราะเมื่อตายไปก็ต้องคืนสิ่งที่มีอยู่ไว้กับ โลก เอาสมบัติวัตถุไปไม่ได้เสีย การเห็นว่าเป็นของคนใดคนหนึ่งนั้น เห็นตามนิยามของชาวโลก เพื่อให้เกิดสิทธิ หน้าที่ และกรรมสิทธิ์ในการครอบครอง นอกจากนี้ยังไม่สามารถบังคับสิ่งที่มีอยู่ให้เป็นไปตามที่ตนปรารถนา เช่น อย่าได้เสื่อมโทรมเลย อย่าได้พลัดพรากจากกัน ได้เลย

เมื่อธรรมชาติของวัตถุเป็นเช่นนี้ หากใครเข้าไปเสพโดยไม่รู้ความเป็นจริง ก็จะไปหลงวัตถุดังนี้

๑. สิ่งที่ตนรัก ยินดี พอใจ ก็ไม่อยากให้สิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ตนไม่ปรารถนา แต่โดยธรรมชาติของวัตถุย่อมเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย หากการเปลี่ยนแปลงเป็นไปในทางที่ผู้ครอบครองเสียผลประโยชน์ ก็จะมีความทุกข์ใจ

๒. สิ่งที่ตนรัก ยินดี พอใจ ย่อมไม่อยากให้ชำรุดทรุดโทรมหรือต้องสูญเสียไป ครั้นวัตถุนั้นชำรุดทรุดโทรมหรือพลัดพรากจากไปก็จะมีความทุกข์ใจ เพราะไม่ยอมรักความเป็นจริงตามกฎธรรมชาติ

๓. เห็นว่าชีวิตนี้ (ร่างกาย จิตใจ) เป็นตัวตน และเมื่อครอบครองสิ่งใดก็เห็นสิ่งนั้นเป็นของของตน นอกจากนี้ยังต้องการที่จะบังคับสิ่งต่างๆ ที่ตนสัมผัสอยู่ให้เป็นไปตามที่ตนปรารถนาครั้นไม่ได้ดังใจก็จะมีความทุกข์ใจ

ร่างกายไม่มีความคิด จึงไม่สามารถเสาะหาวัตถุมาครองครองและใช้สอยได้ มีแต่ใจเท่านั้นที่เข้าไปกำกับร่างกายให้แสดงพฤติกรรมต่อวัตถุ การที่ใจเข้าไปสัมผัสสัมพันธ์ต่อวัตถุดังกล่าว หากไม่เข้าใจธรรมชาติความเป็นจริงของวัตถุตามกฎของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแล้ว ใจก็มีความลุ่มหลงต่อวัตถุ และไปยึดมั่นสำคัญหมายว่าวัตถุที่ตนครอบครองนั้นเป็นของของตน นอกจากนี้ยังนำเอาวัตถุมาเป็นที่พึ่งทางใจอีกด้วย อันเป็นสาเหตุให้เกิดทุกข์

เมื่อร่างกายมีวัตถุเป็นที่พึ่งอาศัย ใจควรจะมีอะไรเป็นที่พึ่งที่อาศัย

ก่อนอื่นต้องพิจารณาว่าใจของเราต้องการอะไร แท้จริงแล้วใจต้องการความสงบเย็น ความสุข ความเป็นอิสระจากเครื่องพันธนาการของกิเลสตัณหา และความมีสติปัญญาที่จะละชั่ว ทำดีทำใจให้ผ่องใส เมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่ใจต้องการเป็นที่พึ่งที่อาศัยก็คือ ธรรมะ

จะมีสักกี่คนที่เอาธรรมะมาเป็นที่พึ่งของใจ เห็นมีแต่เอาวัตถุมาเป็นที่พึ่ง ใจจึงเร่าร้อนยากจะหาสันติสุขได้ ขอให้พิจารณาตามความเป็นจริงเถิดว่า ชีวิตของคนที่มีสมบัติวัตถุมาก ในใจเขาจะสงบเย็นหรือเร่าร้อน ส่วนมากจะเร่าร้อนกันแทบทั้งนั้น นับจากการแสวงหาวัตถุ ได้เท่าไรก็ไม่พอ มีแต่ต้องการเพิ่มขึ้น เช่นหามาเพิ่ม ขยายงาน ขยายโครงการ ลงทุนเพิ่ม กู้เงินเพิ่ม เหล่านี้ล้วนเป็นของร้อนใจทั้งสิ้น ทุกครั้งที่ได้ต่ำกว่าเป้าหมาย หรือเก็บเงินจากลูกค้าไม่ได้ ก็จะเป็นทุกข์ หากต้องแบ่งปันให้แก่บริวารหรือผู้มีส่วนร่วมเมื่อแบ่งปันให้ไม่ถูกใจฝ่ายใด ก็มีเสียงนินทาว่าร้ายให้ทุกข์ใจ

ในการปกครองบริหารวัตถุ เมื่อวัตถุใดวัตถุหนึ่งชำรุดทรุดโทรมหรือพลัดพรากจากไปก่อนเวลาอันควรก็ทุกข์ใจ ในการเสพวัตถุก็เช่นกัน หากเสพโดยขาดปัญญา ก็จะนำโรคภัยไข้เจ็บตลอดจนความเดือดร้อนต่างๆ มาให้ แม้เสพวัตถุชั้นดีมีความประณีต เช่นนั่งรถเก๋งราคาแพง อยู่ในห้องหรูหราติดแอร์เย็นฉ่ำ เมื่อใจร้อนด้วยความทุกข์ ความเย็นหรือความหรูหราสะดวกสบายของวัตถุก็ไม่สามารถดับความทุกข์ใจอันเกิดจากเพลิงกิเลสตัณหาได้เลย

ใจที่มีธรรมะเป็นที่พึ่งจะช่วยดับร้อนผ่อนเย็นเมื่อเข้าไปสัมผัสสัมพันธ์กับวัตถุ โดยไม่ยอมให้วัตถุเข้ามาผูกพันใจจนขาดอิสรภาพ นับตั้งแต่การหามา การปกครองครอบครอง และการใช้ไป เป็นการสัมพันธ์กับวัตถุอย่างมีปัญญา มีสถานะเป็นนายของวัตถุ มิใช่สัมพันธ์อย่างมีกิเลสตัณหา ยอมตกเป็นทาสของวัตถุ

โดยเฉพาะในวาระสุดท้ายที่จะต้องจากโลกไป ก็ไม่ห่วงอาลัยให้วัตถุมาฉุดรั้งจูงจิตไปสู่อบายภูมิ ไม่ว่าวัตถุนั้นจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง รวมถึงบุคคลผู้ใกล้ชิด แม้ร่างของตนซึ่งเป็นธาตุ ๔ ก็สามารถปล่อยวางได้โดยไม่อาลัย เพราะใจมีธรรมเป็นที่พึ่ง ธรรมจะช่วยคุ้มครองป้องกันใจให้พ้นจากทุกข์ เติมสันติสุขให้เพิ่มพูนยิ่งๆขึ้นไป

จงใช้ชีวิตอย่างมีปัญญา อย่ายอมให้กิเลสตัณหานำพาเอาวัตถุหรือธาตุ ๔ มาหลอกล่อใจให้ลุ่มหลงจนเป็นนายเหนือใจอีกต่อไปเลย

:b48: :b8: :b48:

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 20:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๕ วันที่ผมตื่น .... เรื่องโดย นภ สหรัฐ เจตมโนรมย์

ผมลืมตาขึ้นรับรู้เรื่องราวต่างๆของโลกรอบตัวเป็นครั้งแรกที่อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ที่ซึ่งมีส่วนอย่างมากในการหล่อหลอมให้ผมเป็น นาย สหรัฐ เจตมโนรมย์ อย่างทุกวันนี้

ครอบครัวของผมเป็นครอบครัวขนาดใหญ่ที่สนใจธรรมะ แต่ที่พิเศษคือ สมาชิกแต่ละคนจะมีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก เตี่ยกับแม่นับถือศาสนาพุทธแบบที่ต้องตื่นลงมาตักบาตรหน้าบ้านทุกเช้า ในขณะที่อากงกับอาคนหนึ่งนับถือศาสนาคริสต์และต้องไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ อาอีกคนหนึ่งนับถือศาสนาพุทธสายพม่า ส่วนอาม่ากับอาอีกคนหนึ่งนับถือศาสนาพุทธนิกายเซน เมื่อมีการรวมกลุ่มเพื่อนผู้ปฏิบัติของอาแต่ละคนที่บ้าน ผมก็มักจะถูกเกณฑ์ไปร่วมกิจกรรมด้วยตั้งแต่ยังเล็ก

การมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความเชื่อที่หลากหลายเหล่านี้ หล่อหลอมให้ผมกลายเป็นคนที่ชอบทดลองสิ่งแปลกใหม่ และมีส่วนทำให้ ผมตัดสินใจเข้ามาสู่วิถีภาวนาตามแบบของ หมู่บ้านพลัม ที่มีหลายอย่างซึ่งแตกต่างจากวัฒนธรรมของชาวพุทธบ้านเราโดยสิ้นเชิง เช่น การที่ฆราวาสสามารถนั่งรับประทานอาหารร่วมกับพระได้ หรือการที่พระสามารถฉันอาหารเย็นและร้องเพลงได้ฯลฯ

นอกจากการได้อยู่ท่ามกลางความแตกต่างแล้ว อีกสิ่งที่ช่วยหล่อหลอมให้ผมเป็นผมในทุกวันนี้ก็คือ ความที่บ้านของผมเป็นร้านขายหนังสือ จึงทำให้ผมเป็นคนที่รักการอ่านเป็นชีวิตจิตใจ

ผมอ่านหนังสือเป็นตั้งแต่สี่ขวบ โดยเริ่มจากการอ่านหนังสือการ์ตูนก่อน

แม้ว่าผู้ปกครองส่วนใหญ่จะมองว่าการอ่านการ์ตูนเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ผมกลับเห็นว่า ความจริงแล้วในท้องตลาดมีการ์ตูนดีๆ ที่มีสารประโยชน์อยู่มากมาย ให้ข้อคิดและปรัชญาในการดำเนินชีวิตแก่ชีวิต เช่น ทเวนตี้เซนจูรี่บอย รวมผลงานอมตะ ฟูจิโกะ SF คอลเล็คชั่น มอนสเตอร์ ฯลฯ ดังนั้นแทนที่จะห้ามลูกอ่านการ์ตูน พ่อแม่ควรจะเข้าไปช่วยเลือกการ์ตูนให้ลูกอ่าน แล้วใช้ความชอบอ่านการ์ตูนของลูกให้เป็นประโยชน์มากกว่า เพราะที่ผมกลายเป็นนักอ่านที่สามารถอ่านหนังสือธรรมะได้อย่างสบายใจ และสนใจความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ จนกระทั่งตัดสินใจเรียนด้านจิตวิทยาและมีอาชีพเป็นนักจิตวิทยา และนักเขียนอิสระเช่นปัจจุบันก็ต้องขอบคุณการอ่านหนังสือการ์ตูนเป็นอย่างยิ่ง ที่ช่วยจุดประกายความรักในการอ่านและการศึกษาพฤติกรรมให้แก่ผมจนถึงทุกวันนี้

แม้ผมจะคิดว่าตนเองได้ใช้ชีวิตในระดับที่เรียกว่า “ใช้ได้” มาถึง 28 ปี แต่ผมกลับเพิ่งรู้สึกตัวว่าได้ “ตื่นอย่างเต็มตา” ก็หลังจากที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมภาวนาห้าวันกับท่าน ติช นัท ฮันห์ เมื่อปี พ.ศ. 2549

ตื่นตัวแรกคือ ตื่นเต้น ที่ได้ใกล้ชิดกับพระเถระชั้นผู้ใหญ่ผู้มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ ซึ่งความนิ่งสงบของท่านมีพลังแผ่มาถึงผมได้อย่างชัดเจน และช่วยขจัดความขุ่นมัวให้หายไปได้อย่างน่าอัศจรรย์

ตื่นตัวที่สองคือ ตื่นตา กับวิถีปฏิบัติที่ไม่คุ้นเคย เช่น การเดินการรับประทานอาหาร การยิ้ม การหายใจ ฯลฯ อย่างมีสติ และการทำสิ่งต่างๆ ทีละอย่าง ซึ่งทำให้เรารู้สึกเบิกบานอิริยาบถธรรมดาๆ เหล่านั้นอย่างคาดไม่ถึง

ตื่นตัวที่สามคือ ตื่นรู้ จากเดิมที่เคยใช้ชีวิตตามใจชอบ เพราะผมเป็นคนมีเพื่อนฝูงมาก เวลาเจอกันก็จะเฮโลไปกินอาหารอร่อยๆ ดูภาพยนตร์ที่ชอบ ฟังเพลงของนักร้องวงโปรด ที่สำคัญคือ ดื่มจัดมาก แต่หลังจากผ่านกิจกรรมภาวนาของหมู่บ้านพลัมมา ผมก็ผนวกวิถีการปฏิบัติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน และทำให้ผมรู้จัก ทางเลือกของตัวเองและมีจุดยืนที่เข้มแข็งมากขึ้น

ปัจจุบันผมรู้แล้วว่า เราเลือกสิ่งที่เราจะเสพได้ ผมจึงรู้จักวิเคราะห์หาประโยชน์ของสิ่งต่างๆ มากขึ้น และเลือกเสพเฉพาะสิ่งที่มีประโยชน์ต่อชีวิตจริงๆ เท่านั้น ส่วนเรื่องการดื่ม ผมก็รู้แล้ว่าถ้าเพื่อนดื่มเหล้า แล้วเราดื่มน้ำเปล่าก็สนุกได้เหมือนกัน ผมจึงลดการดื่มลงจนเหลือแค่การดื่มตามมารยาทเท่านั้น

วิธีปฏิบัติอีกอย่างที่ผมใช้อยู่เป็นประจำก็คือ การเชิญระฆังแห่งสติทุกๆ 15 นาที โดยผมได้ดาวน์โหลดเสียงระฆังจากเว็บไซด์ www.mindfulnessdc.org/mindfulclock.html มาไว้ที่คอมพิวเตอร์เมื่อเสียงระฆังดังขึ้น ผมจะวางมือจากกิจกรรมที่ทำอยู่ แล้วกลับมาตามลมหายใจของตัวเองและผ่อนคลายอวัยวะที่เมื่อยล้า จนกว่าระฆังจะตีครบสามครั้ง

การปฏิบัติเช่นนั้นก็คือการฝึกให้เรารู้จักที่จะ หยุด นั่นเอง ในขณะที่ คนส่วนใหญ่อาจคิดว่าต้องทำงานให้เสร็จก่อนจึงจะพักได้ แต่ในความเป็นจริง เมื่อเราทำงานนี้เสร็จ งานอื่นก็มาจ่อรออยู่แล้วการฝึกที่จะหยุดทุกๆ 15 นาที จึงช่วยให้เราได้ผ่อนคลายเป็นระยะๆ ซึ่งผลที่ได้คือ เราจะทำงานได้ทนขึ้นและเหนื่อยน้อยลง

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมปฏิบัติเป็นประจำก็คือ การพิจารณาอาหารด้วยการนำใจมาไว้ที่การเคี้ยวและชิมรส แล้วพิจารณาอาหารตามบทพิจารณาอาหาร 5 ประการของหมู่บ้านพลัม ดังนี้

๑. อาหารนี้เป็นของกำนัลแห่งจักรวาล พื้นดิน ท้องฟ้า สรรพชีวิต และการทำงานหนัก ด้วยความรัก ความเอาใจใส่

๒. ขอให้เรารับประทานอาหารอย่างมีสติและด้วยความระลึกรู้บุญคุณ เพื่อให้เรามีคุณค่าเพียงพอที่จะรับอาหารนี้

๓. ขอให้เราตระหนักรู้และเปลี่ยนแปรสภาวะจิตที่ไม่ก่อประโยชน์โดยเฉพาะความโลภ

๔. ขอให้เราเพียงแต่รับประทานอาหารที่บำรุงหล่อเลี้ยงและป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ

๕. เรายอมรับอาหารนี้เพื่อที่เราจะได้บำรุงรักษาความรักฉันพี่น้องสร้างสังฆะ และหล่อเลี้ยงอุดมคติแห่งการรับใช้สรรพชีวิต



ประโยคที่ว่า “เพื่อให้เรามีคุณค่าเพียงพอที่จะรับอาหารนี้” เป็นประโยคที่กระทบใจผมมาก เพราะเมื่อราเฝ้าถามตัวเองซ้ำๆว่าเรามีคุณค่าเพียงพอกับอาหารที่เรารับประทานหรือไม่ เมื่อนั้นเราก็จะมีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตัวเอง เพื่อให้เรามีคุณค่ามากขึ้นต่อโลกใบนี้

ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่เคยละเลยที่จะพิจารณาอาหารเลยแม้แต่มื้อเดียว


:b48: :b8: :b48:

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 18:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


“ครูบาโน้ต” บนความหมายแห่งศรัทธา เรื่องโดย ปิยะวิทย์ เทพอำนวยสกุล

จริงอยู่..โลกทุกวันนี้หมุนไปด้วยความเร็วของกระแสทุนและยึดมั่นกับค่าของเงินตรามากกว่าสิ่งใด รวมทั้งยึดเอาความอุดดมสมบูรณ์ภายนอกเป็นที่ตั้ง แต่เอาเข้าจริง โลกที่หมุนอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เหล่านี้ เป็นความต้องการ “ที่แท้” ของผู้คนจริงหรือ เราไม่ต้องการสิ่งที่เรียกว่าความสุขจากข้างในหรอกหรือ

การแสวงหาของเด็กนักเรียนหรือนักศึกษา คือการตั้งหน้าตั้งตาเรียนให้จบ เรียนให้ได้ดี เพื่อจะได้มีความมั่นคงในหน้าที่การงาน ล่วงเข้าสู่วัยหนุ่มสาว ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าเป้ายึดหรือหลักที่แท้จริงก็คือ ความมุ่งมั่นในเงินตราเป็นสำคัญ “เรา” ส่วนใหญ่มีวงจรชีวิตอย่างนี้ใช่หรือไม่ ผลสรุปสุดท้ายของเป้าหมายในชีวิตหรือที่เรียกว่า “ความสำเร็จ” อยู่ที่ใด ใครตั้งคำถามหรือครุ่นคิดกับมันมากๆ ย่อมรู้คำตอบที่แท้จริง

มีตัวอย่างมากมายให้เห็นจากการพยายามปีนป่ายไปสู่ความสำเร็จเทียมที่สังคมต้องการ การฆ่าตัวตายก็ดี การตัดสินใจด้วยอารมณ์ชั่ววูบก็ดี หากความสำเร็จดังกล่าวจำเป็นต้องพ่วงมาด้วยการกระทำอย่างนั้น ถามว่าจะดีกว่าไหม ถ้าเราลองกลับมานั่งไต่ถามถึงความต้องการที่แท้จริง หรือความสำเร็จที่มีความหมายในเชิงภายใน

ความจริงสูงสุดที่ทุกคนมิอาจปฏิเสธใช่หรือไม่ว่า แท้แล้วเราต่างปรารถนาความสุขเบื้องลึกด้วยกันทั้งนั้น แต่สิ่งนี้อาจไม่ใช่เงื่อนไขในการดำรงชีวิตอยู่แต่ละวัน กระทั่งไม่ใช่การเรียกร้องให้ทุกคนหวนกลับไปสู่ข้างในโดยเพิกเฉยเย็นชาต่อคนรอบข้างหรือหันหลังให้กับโลกอย่างไม่แยแส แต่อย่างน้อยที่สุด “เรา” ไม่น่าจะละเลย หรือควรจะใส่ใจต่อ “มัน” ให้มากกว่านี้ เพื่อเราทุกคนจะได้สามารถอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างมีสันติมากขึ้น

วูบหนึ่งในความคิดทำให้นึกถึง...

เด็กเรียนดี เด็กกิจกรรม สอบเอ็นทรานซ์ติดเป็นอันดับ 1 ใน 5 ของคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ทุนจากมหาวิทยาลัย เป็นความหวังของอาจารย์ว่าจะเป็นบุคลากรสำคัญในการพัฒนาคนรุ่นใหม่ในด้านการออกแบบตกแต่งภายใน แต่ทว่าการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น การตัดสินใจความแน่วแน่ในการเลือกและใช้ชีวิต หาได้อยู่ที่ใครไม่ แต่ไปอยู่ที่ตัวเราเอง

เด็กหนุ่มคนนี้เลือกที่จะไม่เลือก หลังจากเรียนจบด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง เขาไม่แสดงผลงาน ไม่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร แต่มุ่งหน้าเข้าหาธรรมะ เพื่อค้นหาบางอย่างที่ตัวเองเชื่อ และยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อพิสูจน์

อย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่เรื่องเท่เลยถ้าจะเอาเป็นเยี่ยงอย่างในการกบฏต่อสิ่งรอบข้าง แต่แน่นอนว่า ถ้าเรียนรู้และเข้าใจในวิธีคิดหรือการหาเหตุผลให้ตัวเอง และเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ โดยที่ลงมือ “กระทำ” อย่างใดอย่างหนึ่งด้วยความสัตย์จริง ข้อนี้นับว่าน่ายกย่องในการเลียนแบบ

คำแรกๆ ในการพูดคุยกับครูบาโน้ตที่วัดป่าแห่งหนึ่งในจังหวัดราชบุรี คือ “..อันนี้มันเป็นปัญหาของทุกคนเลย ความทุกข์...แน่นอน ไม่มีใครหลีกหนีพ้น”

ก่อนนั้นครูบาเป็นนักเรียนของโรงเรียนรัฐบาลที่มีชื่อเสียง ผลการเรียนอยู่ในขั้นที่เรียกว่าดีในระดับที่เด็กนักเรียนจะสามารถทำได้ แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลับการเรียนคือ ความคิดเรื่องความสุขความทุกข์ การไม่อยากจะทุกข์ ซึ่งในความเป็นจริงเด็กในระดับมัธยมต้นไม่น่าจะครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง

“ตอนเป็นเด็กอยากได้อะไรก็ไม่ได้ พ่อแม่ไม่ได้ตามใจ ครูบาอยากให้ความทุกข์มันหายไป อันนี้อันดับแรก แต่คนเราแก้ความทุกข์ผิด ตอนเด็กคิดว่าเรามีทุกข์ เราก็คงต้องหาความสุข เราจึงจะหายทุกข์ ก็เลยตั้งใจเรียน ง่ายๆเลย อยากให้คนชม ให้มันเก่งขึ้นมา อะไรที่มันดีตอนนั้นครูบาคว้ามาทั้งหมด นี่...อันนี้คือการหาความสุขของครูบา ซึ่งตอนนั้นคิดว่าการหาความสุขแบบนี้มันคงจะพ้นทุกข์

“ชีวิตตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ประถม เป็นอย่างนี้ ที่ลองใคร่ครวญดูคือจะหาความสุขมาแก้ความทุกข์ ด้วยการทำตัวให้ดี ก็เลยทำทุกอย่างไขว่คว้าทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้ดีกว่าคนอื่น

“แต่แทนที่ตัวเรามีความสุขแล้วจะพอใจ..เปล่า ทีนี้เรามาทุกข์ว่าเราน่าจะดีกว่าคนอื่นอีก มันก็เลยทุกข์มาตลอด

“คิดว่าเรียนหนังสือเก่งแล้วจะมีความสุข แต่ไม่ใช่..ร่างกายนี่พังไปเลย ตั้งแต่จำความได้ ช่วง ม.3 รู้สึกทรมานมากเพราะเป็นช่วงที่ตั้งใจเรียน อ่านหนังสือตลอด อ่านถึงตี 5 ก็เคยตาเบลอไปหมด มองเห็นเป็นภาพซ้อนๆ กัน ปวดหัวมาก แต่เกรดออกมา 4.00 ก็คิดว่าเรียนเก่งขนาดนี้ แต่ทำไมมันทุกข์ขนาดนี้”

หากลองทวนคำของครูบาก็จะได้ตรรกะของเด็กมัธยมคนหนึ่งที่ว่า เรียนให้เก่ง คนอื่นจะได้ชม แล้วตัวเองจะมีความสุข นับว่าเป็นเหตุผลง่ายๆ ที่หลายคนทำได้ แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่เป็นดังสมการง่ายๆ ก็เพราะว่าชีวิตหรือการแสวงหาอะไรสักอย่าง ย่อมไม่ใช่กฎตายตัวที่ต้องทำตามขั้นตอน

หลังจากจบมัธยมต้น การเปลี่ยนผ่านก็มาถึง เด็กหนุ่มคนนี้เลือกทำกิจกรรม และหาใช่เหตุผลอื่นไม่ นั่นคือความต้องการดูดีกว่าเด็กคนอื่นด้วยกิจกรรม และคิดว่าความสุขจะตามมา

ซึ่งเปล่าเลย..แทนที่ความสุขจะเยือนเพียงอย่างเดียว แต่ความสุขที่ได้กลับนำพาความทุกข์ให้มาเกาะกินในใจด้วย

เป็นที่รู้กันในหมู่เด็กนักเรียนขาสั้นว่า กิจกรรมการเชียร์และแปรอักษรมีเพียงไม่กี่โรงเรียนเท่านั้นที่ทำกันและทำกันอย่างจริงจัง ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่เอาการของเด็กนักเรียนที่อาสาเข้ามาทำกิจกรรม เพราะฉะนั้นความทุ่มเททั้งแรงใจแรงกายที่ทำไปมันไม่ได้รับผลเพียงด้านเดียว

ครูบาอธิบายว่า ในการทำกิจกรรมมีทั้งความสุข ความทุกข์ ซึ่งแน่นอนว่าความสุข คือการได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ และได้พบเจอกับเพื่อนๆที่มีความต้องการใกล้เคียงกัน แต่ความทุกข์ที่เกิดขึ้น คือการแบกภาระทั้งการเรียนและกิจกรรมไปพร้อมๆกัน ซึ่งทั้ง 2 อย่าง จะต้องดำเนินไปได้ด้วยดี

จนถึงช่วงเวลาสำคัญที่สุดของเด็กหนุ่ม นั่นคือการพาตัวเองเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย

“ที่เลือกเรียนมัณฑนศิลป์ เพราะคิดว่าถ้าได้เรียนในสถานที่ดีๆ เราก็คงจะมีความสุข คิดว่าที่มันทุกข์เพราะสถานที่ภายนอก ครูบาอยากปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้น เลยเลือกเรียนศิลปะ อยากเรียนสถาปัตย์ และมัณฑนศิลป์ เพื่อที่จะไปแก้ภายนอกให้มันดี

“เหมือนอย่างกรุงเทพฯ ใครว่าดีมั่งรถติด ตึกสูง กายภาพภายนอกมันไม่ดี ถ้าเราเรียนออกแบบ แล้วออกแบบให้มันดีโลกมันอาจจะดีขึ้นมาบ้าง

“เราทุกข์เพราะคิดว่าบรรยากาศข้างนอกมันไม่ดี แต่จะแก้ทุกข์ด้วยการแก้สภาพแวดล้อมภายนอก แต่ว่าเรียนไปเรียนมาก็ทุกข์เหมือนเดิม เพราะว่าความทุกข์มันอยู่ในใจ มันไม่ได้อยู่ที่สถานที่”

แล้วคำว่า “แสวงหา” ที่มาจากการเรียนรู้ในรั้วมหาวิทยาลัยก็เกิดขึ้น

ในรั้วสถาบันอุดมศึกษาที่แวดล้อมไปด้วยผู้คน ซึ่งสังคม (เชื่อ) ว่ามีพลังทางปัญญา เปิดโอกาสให้คิด ให้ทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อและใฝ่ฝัน มันก็น่าจะนำพาให้ผู้ที่จริงจังกับสิ่งที่ตัวเองยึดถือ เดินทางไปสู่ความต้องการที่แท้จริงได้

“สุดยอดของความทุกข์นั้นอยู่ที่มหาวิทยาลัย เพราะครูบาอยากดีทุกอย่างก็ต้องทำทุกอย่าง ครูบาไปอยู่สังคมไหนครูบาก็อยากเด่นในสังคมนั้น อันนี้ทรมานที่สุด

“ชีวิตในช่วงนั้นก็ต้องเรียนให้เก่ง เที่ยวให้ดี แต่งตัวก็ต้องดี ครูบาเคี่ยวกรำ ทำร้ายตัวเองตลอดเวลา”

“คือจะแก้ปัญหาความทุกข์ต้องการดีกว่าคนอื่น กดคนอื่นลงไปเพื่อให้ตัวเราดีขึ้นมา อย่างนี้ตัวเราก็คงจะมีความสุขล่ะมั้ง และนี่เป็นการแก้ปัญหาแบบโลกๆที่คนส่วนใหญ่ทำกัน ซึ่งเป็นการแก้ความทุกข์ผิดทาง”

ฟังครูบาเล่าเรื่องราวในอดีตก็อดคิดไม่ได้ว่า ผู้ที่ใช้เวลาครุ่นคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างจริงจัง เป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งทศวรรษ ผลของการคิดก็น่าจะสัมฤทธิ์ผลไม่ช้าก็เร็ว

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเป็นการหยุดแวะเยี่ยมเยียนกับสิ่งที่เราเรียกว่า “ความสุข” ความทุกข์บ่อยๆ เข้าจนกลายเป็นความเคยชิน เป็นกิจวัตรที่ต้องมานั่งถกเถียงกับตัวตนเหล่านี้ ผลของมันไม่น่าจะไกลห่างจากการเดินทางสายธรรมะ

ตอนเด็กๆ จำได้ว่าความสุขคือการได้สะสมการ์ดตัวการ์ตูนที่ชื่นชอบ รวมทั้งการเล่นกระต่ายขาเดียวไล่จับเพื่อนๆ เป็นไปได้หรือไม่ว่า นี่คือความสุขอย่างหนึ่งที่เราเองก็ครุ่นคิดกับมัน แต่ไม่ได้แสดงออกมาอย่างจริงจัง เพียงแค่สะสม หรือเพียงแค่วิ่งไล่จับ ไม่ได้คิดว่ามันควรจะเป็นอย่างไร จะไปทางไหนดี เราจะพ้นบ่วงของคำว่าทุกข์อย่างไร

แน่นอนว่า คงไม่มีเด็กคนไหนคิดว่าการสะสมการ์ดเป็นการพ้นทุกข์ มันเป็นแค่ความสุขเพียงชั่วครั้งชั่วคราว แต่กับเด็กหนุ่มคนนี้ไม่เป็นเช่นนั้น ความคิดที่ลอยอยู่ในเรื่องราวดังกล่าว ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการกระทำ ซึ่งครูบาเองก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นเพราะอะไรถึงได้มีความคิดนี้อยู่ในหัวสมอง

“แปลกเหมือนกัน ว่าทำไมตัวเองมีความต้องการหรือมีความคิดอย่างนี้ รู้สึกว่าตัวเองมีความคิดรุนแรงมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ความคิดที่ว่าอยากจะดี อยากจะสุข เป็นมาตั้งแต่อนุบาลเลย มีความคิดความอ่านเหมือนผู้ใหญ่ตั้งแต่เด็ก และความที่ครูบาอยากดีกว่าคนอื่นก็เป็นตั้งแต่เด็ก มันเป็นความพยายามตั้งแต่จำความได้

“ถ้าอธิบายทางพุทธศาสนาก็คือว่า มันเป็นมโนกรรม”

“คำว่ากรรมคือสิ่งที่ทำไว้ในอดีต แล้วส่งผลถึงปัจจุบัน ความคิดก็เป็นกรรมอันหนึ่งเรียกว่ามโนกรรม เป็นกรรมที่เราทำไว้ในอดีต มันเป็นความคิดฝังใจ.. คำว่าแรงอธิษฐานเป็นอย่างนี้ เราอยากดีกว่าคนอื่น ก็ฝังหัวไว้อย่างนี้ ชาติหน้าเราก็จะคิดอย่างนี้ที่ว่าคนต่างกันก็ตรงมโนธรรมนี่แหละ ความคิดมันเกิดขึ้นมาเอง เราไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นอย่างนี้ ของครูบาจะเป็นแบบโทสะจิต คืออยากให้ทุกอย่างเป็นดั่งใจเรา พออะไรที่ผิดไป ตัวเราก็จะโกรธ แล้วความทุกข์ก็ตามมา พวกราคะจริตเป็นแบบอยากให้ทุกอย่างสวยงาม ไม่เปลี่ยนแปลง โทสะจริตเป็นหลักใหญ่ของจิต แต่อารมณ์ราคะก็มี

“มันก็เหมือนชะตาชีวิต..พรหมลิขิต ไม่มีใครหนีพ้นจริงๆ มันไม่ใช่พรหมลิขิตที่ว่า เราเป็นอย่างนี้แล้วเราต้องเป็นอย่างนี้ตลอดไป แต่เป็นแบบ..เราทำอะไรไว้ในอดีตเสร็จ พอมาถึงปัจจุบัน เราเป็นคนเลือกเอง พรหมลิขิตในพุทธศาสนาเป็นอย่างนี้ กรรมที่เราทำไว้ในอดีตมันส่งผลถึงปัจจุบัน แต่เรามีทางเลือกว่าจะทำอะไรทำดีหรือทำชั่ว สิ่งที่เราเจอทุกวันนี้เป็นกรรมหมด เป็นกรรมที่เคยทำร่วมกัน แต่ว่าเราเลือกเองว่าจะทำอะไรในปัจจุบันเราเป็นคนเลือกเอง (ย้ำ) เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นมันจะต้องเกิดขึ้น แต่ในปัจจุบันเราเลือกที่จะทำต่อเองได้”

ก่อนที่ครูบาจะเล่าถึงพรหมลิขิตจบ มีประโยคหนึ่งที่ครูบาพูดถึง และมันน่าจะเป็นแรงกระตุ้นสำหรับใครบางคนได้ดี

“ถ้าครูบาต้องการใช้ชีวิตแบบธรรมดา..สบายมากเลย เพราะที่บ้านไม่ต้องให้ทำอะไรเรียนหนังสืออย่างเดียวแต่ว่ามันเป็นความต้องการของตัวเองที่อยากจะดีกว่าคนอื่น อยากมีความสุขเพื่อที่จะหมดทุกข์

“ตอนปี 1 รุ่นพี่ให้ไปช่วยทำงานที่หอพัก และก็มีกองหนังสืออยู่เต็มเลย เราเองก็คว้าโน่นคว้านี้ ไปเจอกับหนังสือธรรมะหลายๆ เล่ม แต่ตอนนั้นยังไม่อ่าน ทิ้งไว้สักพักค่อยมาอ่าน.. พูดแล้วหนังสือก็คือหนังสือ เป็นตำรา ถ้าไม่นำมาปฏิบัติในชีวิตจริง มันก็จะเป็นตำราอยู่อย่างนั้น เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ความรู้ของเรา

“เมื่ออ่านบ่อยๆ เราก็เอาชีวิตไปเทียบกับตัวหนังสือ พิจารณาตามหนังสือไป ข้อนี่แหละที่สำคัญ คือมองว่าธรรมะเป็นเรื่องชีวิตประจำวัน

“คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นจริงทุกอย่าง ปฏิเสธไม่ได้ เป็นการหาทางออก เป็นการแก้ทุกข์ที่ถูกที่สุด”

ลองมองย้อนกลับไปที่ครูบาเล่าให้ฟัง “การนำมาปฏิบัติจริงกับชีวิตก็ดี การพิจารณาตามก็ดี” อย่ามาใช้คำพูดที่สวยหรูมาหลอกกันเลย แทบจะไม่มีหรือน้อยมากที่ “เรา” จะใส่ใจกับคำสอนของศาสนาของชาติเรา อย่าปฏิเสธเลย มันมีให้เห็นกันอย่างดาษดื่นตามท้องถนน มันมีให้เห็นกันอยู่ตามสำนักงานต่างๆ และยิ่งมันมีให้เห็นกันอยู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์

...แต่ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลเท่าไร่...ใครบางคนพูดขึ้นมา.. เพราะว่าวงจรมันก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว เป็นมาตั้งนานแล้วเป็นระบบของมันเอง

ใช่.. เป็นระบบของมันเอง เป็นไปตามการเลื่อนไหลของวงจร อย่างนั้นไม่ต้องไปใส่ใจมันเลยดีไหม อย่างนั้นไม่ต้องมานั่งถกเถียงกันถึงความดี ความงาม จนกระทั่งสิ่งดีหรือไม่ดีกันเลยไหม ในเมื่อมันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อยู่แล้ว

เราทุกคนรู้ถึงข้อเสียของการเสพอะไรที่มากเกินไปในเรื่องของวัตถุ แต่เราก็ยินดีและยิ้มไปกับมัน เราทุกคนรู้ว่าการเห็นแก่ตัวหรือสังคมประจบประแจงไม่ดีอย่างไร แต่เราบางคนก็กระทำมันด้วยการให้เหตุผลว่าไม่เช่นนั้นเราจะอยู่ในสังคมหรือระบบไม่ได้ ใครหลายๆ คน รู้ว่าการฉ้อโกงเป็นเรื่องน่าอาย แต่หลายคนนั้นกลับคิดว่า ใครๆ ก็ทำ ไม่เป็นไรหรอก

ถามว่า เราคิดกันอย่างนี้จริงๆ หรือและเราอยากให้มันเป็นอย่างนี้จริงๆ ใช่ไหม

เป็นอย่างไรนั้น ข้อสรุปอาจไม่มี แต่อย่างน้อยคำของครูบาน่าจะทำให้ใครหลายๆคนมีแรงจะทำอะไรบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้

“คือพอทุกข์มันก็ทุกข์ไปแล้ว เมื่ออ่านหนังสือแล้วมาแก้มันไม่มีประโยชน์ตัวเราทุกข์ไปก่อนแล้ว แต่สติเราก็ทันขึ้นเรื่อยๆ ต้องเทียบเคียงอยู่เสมอๆ ถึงว่ามันจะเกิดในอดีตนานแค่ไหน แต่เราเอากลับมาคิด มานั่งคิดหาเหตุผล ว่าเราไม่อยากทุกข์ เราจะทำอย่างไร

“คนเราอ่านหนังสือธรรมะมากเท่าไร ถ้านำมาใช้ให้ทันในปัจจุบันไม่ได้ ธรรมะนั้นไม่มีประโยชน์เลย นักวิชาการเกษตรปลูกต้นไม้สู้คนจบ ป.๔ ไม่ได้หรอก เพราะว่ามันเป็นความรู้ที่อยู่ในสมอง ธรรมะก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่นำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาใช้ ความทุกข์ก็จะเกิดกับเราตลอด”

“ตัวเราต้องเป็นอย่างนี้ ผู้หญิงที่เราชอบก็ต้องเป็นอย่างนี้ เราวางแผนเอาไว้หมดว่ามันต้องเป็นยังไง แต่ความจริงมันไม่ใช่ การวางแผนกับความจริงไม่เหมือนกัน ความคิดที่ครูบาต้องการให้เป็นอย่างนี้กับความจริงที่เกิดในโลกนี้มันคนละอย่างกัน เรื่องนี้ทำให้ครูบาทุกข์มากในชีวิต กินเหล้าหนักที่สุดในชีวิตก็เพราะเรื่องนี้ตั้งใจเรียนมากที่สุดก็เพราะเรื่องนี้ คือตัวเราอยากให้เขามาสนใจ เราก็เลยทำทุกอย่าง แต่ผลที่ตอบกลับมาไม่ใช่ผลที่ครูบาต้องการคือในเรื่องการควบคุมร่างกายครูบาทำได้ แต่สิ่งที่ตอบสนองมาจากโลกเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ครูบาผิดหวังมาก ครูบาเข่นตัวเองมาขนาดนี้ มันน่าจะมีความสุขกลับมา”

หาใช่เรื่องอื่นไม่ มันคือเรื่องหญิงสาวอันเป็นที่รักนั่นเอง

ในประวัติศาสตร์มีให้เห็นมากมายว่า หญิงสาวสามารถดลบันดาลให้ชายหนุ่มทำอะไรก็ได้

แต่ทั้งหมดนั้นมันคือความรักหรอกหรือ ความรักไม่ใช่เรื่องสวยงามอย่างที่ใคร ๆ พูดกันหรือ หรือเอาเข้าจริงแล้วทุกสิ่งล้วนมี 2 ด้านเสมอ แต่ว่า...ความรักอยู่เหนือกฎเกณฑ์ใดๆ มิใช่หรือ

หรือว่าทั้งหมดนั้นไม่ใช่ความรัก เป็นเพียงแค่ “ความต้องการครอบครอง” เท่านั้น การไขว่าคว้าในเรื่องต่างๆ ขอเด็กหนุ่มนี้ ไล่เรียงตั้งแต่การเรียนหนังสือ การทำกิจกรรม การสอบเข้ามหาวิทยาลัย การเป็นคนเก่งของคณะ แทบจะในทุกมิติของชีวิตเขาเก็บมาได้ทั้งหมด

แต่การได้เป็นเจ้าของในทุกๆเรื่อง ย่อมต้อง “แลก” กับความเจ็บปวด ไม่ทางร่างกายก็จิตใจ แต่ถึงที่สุดการไม่สมปรารถนาในการไขว่คว้าหญิงสาว จึงแปรเปลี่ยนเป็นความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส การนอนจมกับกลิ่นแอลกอฮอล์ทั้งอาทิตย์ กักขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง

แต่จะว่าไป..มันเป็นเพียงแค่การอกหักของลูกผู้ชายคนหนึ่งมิใช่หรือ แต่บังเอิญว่า มันเป็นการอกหักของลูกชายที่ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องความสุข ความทุกข์ และการพ้นทุกข์ อย่างจริงจังเป็นเวลา 10 กว่าปีก็เท่านั้นเอง

นี่จึงเป็นเหมือนจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้ง และอาจถือเป็นเสี้ยวหนึ่งในชีวิตลูกผู้ชาย

“ไม่ใช่ผู้หญิงคนแรกที่ชอบ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมรุนแรงอย่างนี้ มันอาจเป็นกรรมที่ทำให้ครูบาเป็นอย่างทุกวันนี้

“คือครูบาคาดหวังกับตัวเองมาก แต่ไม่ได้สิ่งที่ต้องกา รอาทิตย์นั้นทั้งอาทิตย์สติหายไปเลย มีแต่กลิ่นแอลกอฮอล์ออกจากร่างกาย ไม่ได้ไปไหนเลย นอนอยู่บนเตียง ตื่นมาก็อ้วก

“ตอนนั้นก็คิดว่าทำไมตัวเราทุกข์ขนาดนี้ ร่างกายเราทำไมทุกข์ขนาดนี้ ก็เลยคิดว่าต้องทำธรรมะมาแก้ ตัดสินใจก็ตอนนั้น”

“ตอนนั้นก็พิจารณาชีวิตไปกับธรรมะตลอดนั่งเรือข้ามฟากก็พิจารณา นั่งกินเหล้าที่เห็นว่าเงียบๆก็เพราะคิดเรื่องธรรมะหายใจเข้าออก พุทโธตลอด แปลกเหมือนกัน ดูชีวิตคนอื่นพิจารณาชีวิตตัวเราด้วย

“จนพิจารณาเรื่องผู้หญิงแยกธาตุ แยกขันธ์ ว่าเขาต้องเป็นอย่างนี้ๆจิตเราเป็นคนไปหมายเอง ที่ตัวเราชอบว่าสวย ก็เป็นเพราะตัวเราไปบอกเอง คนอื่นไม่เห็นคิดเหมือนเราเลย ทุกอย่างเราเป็นคนว่าเองหมดเราเป็นคนปรุงทุกอย่าง

“ธรรมะเขาว่าเป็นผลของการพิจารณา...

“วันนั้นตอนไขกุญแจเข้าหอ กริ๊กเดียวจริงๆ ว่าทั้งหมดเราคิดไปเอง ทุกอย่างเขาเป็นของเขาอยู่แล้ว เราไปสมมุติเขาขึ้นมา ความทุกข์ที่มาหายไปหมด เห็นผลธรรมะของพระพุทธเจ้าก็ตอนนั้น คืนนั้นนอนยิ้มทั้งคืน เชื่อในธรรมะตั้งแต่บัดนั้น”

นี่คือจุดพลิกผันที่น่าสนใจไม่น้อยในชีวิตของเด็กหนุ่ม

ในเชิงของพระพุทธศาสนา “ชั่วขณะ”นั้นของเขาคือการเข้าถึงหลักธรรมของพระพุทธเจ้าได้อย่างไม่สงสัย เพราะการเข้าถึงนั้นอาจใช้เวลาเพียง “ชั่วขณะ” อย่างที่ครูบาเล่าให้ฟัง

แต่ไม่เสมอไป ในการเข้าถึงหรือเข้าใจในช่วงเวลานั้น หาใช่ว่าจะทำความเข้าใจได้ทั้งหมด แต่มันเป็นเหมือนการเปิดประตูธรรมะเพื่อจะให้เท้าของเราได้ก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งนี้ และที่สำคัญ “ภาวะชั่วขณะ” นั้นไม่อาจก่อเกิดได้เลย หากขาดการสั่งสมหรือการเอื้อหนุนอะไรบางอย่าง และไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นกับใครก็ได้โดยที่ไม่มีทุนรอนมาก่อน

“ตอนนั้นเลยเทียบเคียงกับทุกอย่างว่าโลกนี้ สมมุติมาทั้งหมด ความงาม ความสวย ตัวเราสมมุติขึ้นมาเอง

“พอคิดอย่างนี้ แทนที่จะสบายก็เลยเกลียดทุกอย่าง ทิ้งหมดทุกอย่าง ปฏิเสธทุกอย่างสุดโต่งไปอีกด้าน เราเป็นคนปรุงขึ้นมา

“ แต่การเรียนก็ยังดีอยู่ เพราะมันเป็นกรรมที่ทำไว้ในอดีตส่งผลมายังปัจจุบัน แต่จะเสียในวิชาที่ต้องทำงานใช้เวลาส่วนวิชาที่ต้องเข้าสอบ พวกวิชาการ ตัวเราทำได้ เข้าไปนั่งเขียน สบาย

“ตอนนั้นไม่อยากเรียนแล้ว แต่สิ่งที่ยึดเหนี่ยวก็คือโยมพ่อกับโยมแม่ ที่อยากเรียนจบก็เพราะโยมแม่”

ถึงตอนนี้ ภาพ 2 ภาพที่อยู่คนละขั้ว ไม่ว่าจะคิดเอง ปรุงแต่งขึ้นมาเอง หรือว่าทั้งหมดเป็นเรื่องสมมุติก็ตาม สิ่งๆนี้ได้ทำให้ความคิดของเด็กหนุ่มสับสน แม้จะคิดตามหลักพุทธศาสนาแล้วก็ตาม อย่างที่ครูบาว่าไว้ คนไม่รู้หรือรู้เพียงฉาบฉวย ไม่ลงไปจริงๆก็ทำได้เพียงเท่านั้น และที่สำคัญคำสอนต่างๆของพระพุทธเจ้ามีความละเอียดอ่อน ต้องใช้เวลาในการศึกษา ถ้าหยิบมาตีความแล้วนำไปปฏิบัติ โดยที่ไม่ศึกษาให้เห็นถึงความชัดเจนแล้ว สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ อาจเป็นสิ่งที่สะท้อนกลับมาทำร้ายตัวเราเอง

ช่วงสุดท้ายของชีวิตในมหาวิทยาลัย คือการทำศิลปนิพนธ์นับเป็นช่วงที่ความคิดของเขาตีกันไปมา ว่าจะเลือกทางไหนดี ด้านหนึ่งคือครอบครัว อีกด้านคือการแสวงหาคำตอบที่ได้ตั้งไว้มานานนับ 10 ปี เมื่อถึงทางแยกเขาจะเดินอย่างไร และจะเลือกแบบไหน

“ศิลปะนิพนธ์ก็ตั้งใจทำ แต่ใช้เวลาน้อย นั่งคิด 15 นาที เดินเที่ยวครึ่งวัน กลับมานั่งคิดงานใหม่ ทำงานให้ได้เกรดเอ แต่ทำงานให้น้อยที่สุด รู้ว่าอาจารย์คนไหนชอบแบบไหน เราก็ทำไปตามนั้น

“ตอนทำศิลปนิพนธ์ ได้ไปเที่ยวภูกระดึง แล้วไปเจอวัดที่นั่น...ชอบมาก ในใจคิดอยู่ ๒อย่าง ไม่บวชก็อยู่อาศรมไปจนตาย จะไม่ทำงาน

“เรามองเห็นความทุกข์ เลยอยากพ้นทุกข์ ในหนังสือบอกว่าพระนิพพานคือความพ้นทุกข์อย่างที่ไม่เกิดทุกข์ขึ้นอีกเลย มันเป็นอย่างไร ตัวเราสงสัยมาก

“จิต 2 ด้าน มันตีกันตลอดเวลา ใจหนึ่งต้องการหนีไปบวชให้ไกลที่สุดเพื่อปฏิบัติธรรมอีกใจคือการตั้งใจเรียนให้จบเพื่อโยมแม่อันนี้ทรมานมาก แต่ความคิดว่าจะไปบวชมันแรงกว่ามาก”

การออกมายอมรับว่าไม่อยากเรียน ไม่อยากทำงาน รวมถึงผลงานที่ไม่คืบหน้าเท่าที่ควร นับเป็นสิ่งที่ยากจะลืมของผู้คนในห้องเรียน รวมทั้งครูบาอาจารย์ อาจกล่าวได้ว่าเป็นผลพวงจากความต้องการที่แท้จริงข้างในลึกๆ ของตัวเอง และการกระทำที่ออกมาก็ทำให้เป็นที่พูดคุยกันในวงกว้างของมหาวิทยาลัย

“ตอนนั้นเหลืออีกอาทิตย์เดียวจะตรวจงานครั้งที่ ๓ ไม่อยากทำงานเลย อยากบวช อุปกรณ์เขียนแบบทุกอย่างก็เอาไปให้รุ่นน้องหมด ของพวกนี้เป็นของสมมุติ ทิ้งให้หมด หนังสือเรียนก็เอาไปแจก กล้องถ่ายรูปก็แจก แล้วนั่งรถกลับบ้าน เพื่อมาบอกแม่แล้วจะไปบวช มาถึงบ้านที่ราชบุรีตี ๑ เข้าบ้านไม่ได้ เรียกก็ไม่ใครได้ยิน เลยต้องนอนอยู่หน้าบ้าน พอถึงตอนเช้าเจอหน้าแม่ไม่กล้าบอก สงสาร กลับมาเรียนให้จบดีกว่า

“คนอื่นทำงานมา ๒ เดือน แต่เราเหลืออีกอาทิตย์เดียว อุปกรณ์ก็ให้คนอื่นไปแล้ว สุดท้ายก็ต้องทำ ๗ ทำ ๗ คืน เรียกรุ่นน้องมาช่วย แต่ก็ได้นิดเดียว

“อาจารย์ก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเรา ทำไมงานออกมาอย่างนี้ เหตุการณ์วันนั้นอยู่ในห้องตรวจงาน และปีนั้นเป็นแรกที่ให้รุ่นน้องเข้ามาดูงาน ครูบายืนอยู่หน้าห้อง งานขี้เหร่า จะอยู่ข้างหลัง อาจารย์ยืนล้อมอยู่ เขาก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ครูบาก็บอกว่าจะออกไปทำนา ไม่อยากเรียนแล้ว คนในห้องก็ฮือฮากันหมด รุ่นน้องผู้หญิงบางคนร้องไห้ ตอนนั้นในใจไม่กล้าบอกว่าจะไปบวช ก็คิดว่าถ้าอยู่อาศรมก็คงทำนาด้วย ก็เลยบอกไปอย่างนั้น

“ครูบาเป็นประธานนักศึกษา เป็นนักศึกษาเรียนดีตั้งแต่ปี 1 ถึงปี 4 เป็นนักศึกษาทุนของมหาวิทยาลัย ภาพที่ออกไปคือเป็นคนเก่ง ทั้งกิจกรรมและการเรียน แล้วทำไมมากบฏ แต่เพื่อนบางคนบอกว่า สุดยอด กล้าตัดสินใจ บางคนก็บอกว่าเรียนมากไปเลยเพี้ยน

“สังคมคนเรียนศิลปะ ความคิดหลากหลายมาก นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีความคิดอย่างนี้ คุยเรื่องแปลกๆกันอย่างเป็นปกติ

“แต่การตัดสินใจเร็วอย่างนี้ ก็ทำให้ทุกข์ ครูบาไม่ได้คิดถึงคนรอบข้าง พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ รุ่นน้อง เพื่อนๆจะคิดอย่างไร อยากให้ตัวเองสบายอย่างเดียว

“หลังจากนั้นไปทำงานที่พัทยา ช่วยรุ่นพี่ที่เคยมีบุญคุณกับครูบา และก็ทำศิลปนิพนธ์ไปด้วย ทุกข์มาก เพราะตัวเราไม่ต้องการแล้ว ไม่อยากเจริญก้าวหน้า ไม่อยากทำงานร่ำรวยแต่ก็ต้องทำ”

ท้ายสุดแล้วเขาก็ “เลือก” ว่าจะทำอย่างไร แต่ก็ต้อง “ทน” เรียนให้จบเพื่อแม่ เพื่อที่หลังจากนั้น ตัวเองจะได้เดินในเส้นทางที่เลือก

“สุดท้ายศิลปะนิพนธ์ก็เสร็จ เอามาส่ง แล้วก็ไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัยอีกเลย ไม่แสดงงาน ปฏิเสธทุกอย่าง แต่ก็ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง

“ตอนบวชบอกโยมแม่ด้วยเหตุผลธรรมดาว่า เรียนจบแล้วจะบวช อยากบวชทดแทนบุญคุณเฉยๆ”



รองศาสตราจารย์ เอกชาติ จันอุไรรัตน์

อดีตหัวหน้าภาควิชาออกแบบตกแต่งภายใน

คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

ครูบาเป็นนักเรียนจากสายมัธยมที่มีพัฒนาการเร็ว ทำให้ผลงานมีความโดดเด่น และงานของครูบาจะมีความคิดสร้างสรรค์อยู่ตลอด

ครูบาเป็นคนแรกที่ไม่แสดงผลงานศิลปะนิพนธ์ ซึ่งทางเราก็ให้เกรดให้จบหลักสูตร ผมคิดว่าขณะนั้น ครูบาก็คงมีเหตุผลและผมก็พยายามเข้าใจในหลายๆจุด ทั้งๆที่บางครั้งก็ไม่เข้าใจ

ครูบาเป็นคนมุ่งมั่นมีความตั้งใจสูง ทางนี้อาจไม่ใช่ทางของเขาก็ได้

แล้วยิ่งครูบาได้ทุนเรียนฟรีอีก ในจุดนี้ผมว่าค่อนข้างล้มเหลวในเรื่องของการลงทุน แต่ประโยชน์ที่ครูบาจะทำให้กับสังคมมันมีได้ ทั้งทางโลกและทางธรรม แค่คนเราเข้าถึงสิ่งที่ดีในมิติใดมิติหนึ่ง ผมว่าสิ่งนี้ก็ช่วยสังคมได้ ไม่ในปัจจุบันก็ในอนาคต แต่อย่างน้องผลกับตัวเองต้องมีแน่นอน

ผมยินดีกับครูบา เพราะการเข้าถึงตรงนี้ เข้าถึงแก่นพุทธศาสนา เข้าถึงแก่นของตัวเอง มันเป็นความสมบูรณ์ของชีวิต

ถ้าครูบาไม่เลือกทางนี้ เขาสามารถทำธุรกิจในสายที่เรียนมาได้อย่างสบาย ผมคิดว่าชีวิตใดชีวิตหนึ่งมันก็ต้องเลือก ถึงวันหนึ่งที่คิดได้ด้วยตัวเองแล้วมันก็เลือกได้ ผมคิดว่าครูบาเลือกได้ และก็มีสิทธิเลือก ซึ่งดีกว่าบางคนที่ไม่มีสิทธิเลือก เลือกไม่ได้ และก็ไม่รู้ว่าจะเลือกอะไร



นายชัยพร อินทุวิศาลกุล

เพื่อนสมัยเรียนมัธยม และประธานชุมนุมที่ครูบาเข้ามาทำกิจกรรม

เรื่องที่ครูบาสนใจเป็นพิเศษคือเรื่องเพลงกับศิลปะ ครูบาเป็นคนเงียบ ผมไม่รู้สึกวาเขาจะตั้งคำถามกับโลกและชีวิตขนาดนี้ แต่รู้สึกว่าเป็นคนที่ทำอะไรแล้วจริงจังกับสิ่งที่ทำ

ถามว่าตกใจหรือแปลกใจไหม คิดว่าไม่ คือถ้าคนเราตั้งคำถามไปมากขนาดนั้น หมายถึงประสบความสำเร็จในหลายด้านแล้วยังไม่พอใจ หรือยังหาความสุขที่ตัวเองต้องการไม่ได้ ก็คิดว่าศาสนาพุทธก็อาจเป็นทางหนึ่งที่ครูบาคิดว่าน่าจะมีคำตอบอะไรให้กับตัวเอง

ความเห็นส่วนตัวคือ คนส่วนใหญ่ในสังคมยังขาดเรื่องอย่างนี้ หมายถึงวิถีทางที่คนจะมุ่งมั่นไปสู่การทำอะไรจริงๆจังๆ สิ่งที่ครูบาทำอยู่ มันน่าจะเป็นวิถีหนึ่งที่น่าเอาอย่างในแง่ความมุ่งมั่น ความเอาจริงเอาจัง หรือการเข้าถึงวิถีชีวิตในแบบหนึ่ง

สิ่งที่ครูบาทำจะเรียกว่าเป็นการลงทุนอีกแบบหนึ่งก็ได้ เพียงแต่ดอกผลที่ได้มันไม่ใช่ในทางโลก และไม่ได้วัดกันที่ตัวเลขหรือต้นทุน ซึ่งตรงนี้เองอาจเป็นสิ่งที่ผู้คนในสังคมขาดอยู่ก็ได้ ความเข้าใจในชีวิต ในเรื่องจิตใจของตัวเอง ถามว่าเอาเข้าจริงๆแล้ว ประโยชน์อันไหนจะมากกว่ากันถ้าครูบาทำงานศิลปะดีๆ ออกแบบสิ่งต่างๆ ออกมา กับการที่ครูบาเข้าถึงหลักธรรมแล้วสามารถอธิบาย ช่วยเยียวยาความรู้สึก ช่วยบรรเทาความทุกข์ของคนรอบๆข้าง จุดนี้ก็เป็นเรื่องที่ตอบยาก ว่าสิ่งไหนมันคุ้มค่ามากกว่ากัน

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งจะมีความศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อพุทธศาสนา จนถึงกับยอมเอาชีวิตทั้งชีวิตแลกกับการพิสูจน์สิ่งที่เรียกว่า “พระนิพพาน”

จากเด็กหนุ่มที่มี “แวว” ว่าจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานทางด้านการออกแบบตกต่าง แต่ท้ายที่สุดเส้นทางที่เขาเลือกกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

หรือจะว่าไป ทางสายนี้มันอาจเป็นสิ่งที่เขาได้ “ออกแบบ” มาแล้วตั้งแต่เริ่มต้น สิ่งนี้ไม่มีใครรู้ นอกจากตัวของครูบาเอง

“จุดประสงค์จริงๆ ในการบวชก็คือการหาทางพ้นทุกข์ตลอดกาล ทุกวันนี้ยังคิดอย่างนี้อยู่ พระนิพพานเป็นยังไง ครูบาอาจารย์ท่านสอนให้ตัวเราปฏิบัติ มีความเพียร ภาวนา และตัวเราจะรู้เอง อยากรู้มากกว่าการไม่เกิด ไม่ตายเป็นอย่างไร มีจริงหรือ ก็ต้องเอาตัวเองเข้ามาพิสูจน์

“วันที่บวชคิดว่าจะเอาชีวิตในชาตินี้มาลองดูว่า ธรรมะในพุทธศาสนาเป็นจริงหรือเปล่า จะทุ่มเททั้งกายและใจ สละเวลาเพื่อค้นหาว่าการพ้นทุกข์มีจริงหรือเปล่า ถ้าทุ่มเทจริงๆ แล้วปรากกว่าเป็นเรื่องหลอกลวง ตัวเราเองจะทำลายพุทธศาสนาให้ดู จะไปประกาศให้คนรู้เลย ตอนบวชคิดอย่างนั้น แต่ตอนนี้ไม่คิดแล้วเพราะว่าพุทธศาสนามีเหตุมีผลจริงๆ”

ต่อคำถามที่ว่า “คุ้ม” “ไม่คุ้ม” รวมถึงการมองในเชิงของต้นทุนและในเชิงของปัจเจกซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน มองให้หลายมุม สุดแท้มุมมองของแต่ละคน

“พระปฏิบัติธรรมโดยอาศัยข้าวชาวบ้านกิน ก็มีลักษณะเดียวกัน พระให้ผลอะไรแก่ชาวบ้านบ้าง ที่ครูบาลงทุนให้ผลอะไรที่คุ้มไหม..คุ้ม ถ้าครูบารู้ขึ้นมา และไปบอกคนอื่นแต่คิดว่าการลงทุนนี้คุ้มไหม ครูบาลงทุนเสียสละชีวิตนี้ทั้งชีวิต เพื่อหาทางพ้นทุกข์ครูบาคิดว่าคุ้ม

“พ่อแม่ทุกคนหวังให้ลูกออกไปทำงาน หาเลี้ยงเขาตอนแก่เฒ่า ถามว่าเป็นบ่วงในการศึกษาธรรมะไหม ตอบเลยว่าไม่ วิธีที่จะทดแทนบุญคุณ คือการค้นพบทางแห่งการพ้นทุกข์ สิ่งนี้จะตอบแทนทุกคนอย่างคุ้มค่ามากๆ”

เมื่อมาปฏิบัติธรรม รักษาศีล ภาวนา ที่วัดป่า กิจวัตรที่ต้องทำมีอะไรบ้าง และทุกวันนี้ครูบามีความสุขหรือไม่อย่างไร ครูบามีคำตอบ รวมถึงบางประโยคที่จะมีประโยชน์กับใครหลายๆคน

“ตื่นตี ๒ บ้าง ตี ๓ บ้าง มานั่งวิปัสสนา ๖ โมงออกบิณฑบาต เริ่มฉัน ๗ โมงครึ่งและก็จัดเก็บดูแล ทำความสะอาด จากนั้นก็นั่งภาวนาที่กุฏิ บ่าย ๒ ทำวัตรและก็กลับกุฏิ ภาวนาไปเรื่อยๆ ตอนเย็นก็ทำวัตร สวดมนต์ เข้านอน ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่ม

“คนเกิดในโลกนี้ทุกข์ทั้งนั้นแหละ แต่ต้องรู้ทุกข์ในความเป็นจริง ถ้าเราเอาตัวมารับความสุข ความทุกข์ก็จะตามมา อันนี้มันเป็นของคู่กัน

“ถ้าคนเรารักษาศีลห้าได้ก็จะมีความทุกข์น้อยลง แค่ศึกษาธรรมะและนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องถึงกับมาบวชก็ได้ แค่นี้โลกก็จะเย็น เราไม่ต้องแก้ที่โลก แก้ที่ตัวเรา ถ้าคนเราจิตใจดี สภาพแวดล้อมก็จะดี”

ก่อนบทสนทนาจะจบลง ครูบาเอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นลอยๆ แต่ทว่าประโยคลอยๆประโยคนั้นมี “แรง” ที่ทำให้วงสนทนาเงียบไปครู่ใหญ่.. ไม่ใช่อื่นใดเลย เพียงแค่คิดตามคำที่ครูบาบอก และอดที่จะตั้งถามต่างๆ ในชีวิตไม่ได้

“ธรรมจักรมันหมุนแล้ว มันก็ต้องหมุนต่อไป ธรรมจักรมันเริ่มเคลื่อนที่แล้ว มันก็จะเคลื่อนไปจนสุดทางของมัน”

ความจริงอย่างหนึ่งคือ ณ ปัจจุบัน เราเป็นคนกำหนดตัวเราเอง และแน่นอนว่าการกระทำใดๆ ของตัวเราย่อมส่งผลกลับมา แต่คนส่วนใหญ่ก็หาได้กลัวต่อผลที่จะกลับมาตัดสินหรือลงโทษตัวเรา มันอาจจะเป็น ๒ สิ่งที่เหมือนขัดแย้งกันเอง บางคนว่าอยู่ที่ตัวเรา อีกบางคนว่ามันเป็นกรรมที่ต้องชดใช้ สุดท้ายคนที่รู้ก็คือตัวเราเอง

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันนี้ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมโหยหาความมั่งคั่ง ความสำเร็จ ที่อยู่ในรูปแบบของเงินตรา รวมทั้งชื่อเสียงเกียรติยศ ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้ว หาใช่เรื่องผิดอะไรไม่แต่หากลองตั้งคำถามกลับไปว่าสิ่งที่คนส่วนใหญ่ดำเนินอยู่ อะไรคือแก่นแท้ หรืออะไรคือเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ คำตอบที่ได้มีมากมายหลายรูปแบบ แต่ “เรา” ลืมหรือแกล้งลืมหรือเปล่าว่า การดำเนินชีวิตทุกวันนี้ เราได้ให้ความสุขแก่ตัวเองในทางใด ทางกาย หรือทางใจ เราได้พัฒนาจิตวิญญาณของตัวเองให้ต่อสู้กับสิ่งรอบตัวอย่างมีจุดยืนหรือมีอุดมการณ์มากน้อยเพียงไร หรือสุดท้ายแล้วเรามัวแต่หลงกับเงินตราและเกียรติยศ ศักดิ์ศรีจอมปลอมจนลืม “ข้างใน” ของเราเอง เราลืมอะไรไปหรือเปล่า

แน่นอนว่า หนทางที่จะเข้าถึงภายในมิใช่มีเพียงแค่รูปแบบนี้เท่านั้น อย่างที่ครูบากล่าวว่าไม่อยากให้เขียนชื่อ-สกุลจริงหรือแห่งที่อยู่ เหตุเพราะไม่อยากให้ยึดติดกับรูปแบบใดๆ คนเราทุกคนมีหนทางของตัวเอง ไม่จำเป็นหรือจำเพาะว่าต้องเดินในรูปแบบใดแบบหนึ่ง เช่นเดียวกับ “การเข้าถึง” ก็มีมากมายหลายแบบ

วูบหนึ่ง ในความคิดทำให้นึกถึง

เด็กหนุ่มที่กล้าเลือกในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ กล้าเอาชีวิตทั้งชีวิตเข้าแลกกับสิ่งที่ตัวเองศรัทธา

ณ ห้วงเวลานี้ ที่วัดป่าแห่งหนึ่งในจังหวัดราชบุรี เด็กหนุ่มคนนั้นหรือครูบาในวันนี้คงกำลังนั่งปฏิบัติศีล ภาวนา เพื่อหาทางพ้นทุกข์ และค้นหาความหมายของอะไรบางอย่างอยู่ด้วยจิตใจอันมุ่งมั่นปรารถนาในสิ่งนั้น...



อาจารย์ชัยณรงค์ อริยะประเสริฐ

อาจารย์ประจำภาควิชาออกแบบตกแต่งภายใน

คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

เป็นผู้ที่ตรวจข้อสอบเอ็นทรานซ์และตรวจงานศิลปะนิพนธ์ของครูบา

ผมอยู่ในกรรมการตรวจข้อสอบ คะแนนของครูบาสูงมาก ๆ มันน้อยมากที่จะมีใครทำได้ ทั้งวิชาวาดเส้นและวิชาความถนัด ครูบาติด ๑ ใน ๕ ของคณะ และเป็น ๑ ใน ๓ ของภาควิชา

การตรวจงานศิลปะนิพนธ์ ตอนแรกอาจารย์ที่ปรึกษาจะตรวจ ตอนที่ ๒ จะตรวจวางผังทั้งหมดของโครงการ ซึ่งกรรมการอาจารย์ทุกคนที่ภาคจะเป็นผู้ตรวจ ตอน ๒ เนี่ย จะเห็นว่าครูบามีอนาคตสดใสมาก เนื่องจากโครงการที่ทำมันแตกต่าง เป็นเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ด้านสัตว์ทะเล ซึ่งเป็นสิ่งที่ตัวคุณบาชอบ และเราเห็นความชอบนั้นในตัวงาน

ตอนที่ ๓ สิ่งที่ยังคงเป็นเอกลักษณ์คือการสร้างสรรค์ในงาน ไม่ว่าจะเป็นในเชิงของการออกแบบ ตกแต่ง การวางผัง แต่ปัญหาคือพลังการให้รายละเอียดลดน้อยถอยลง งานน้อยในแง่ของปริมาณ ผมรู้สึกว่าครูบาเอาเวลาไปทำอะไรบางอย่าง จนกระทั่งครูบาเองได้บอกว่า รู้สึกนิ่ง มุมมองต่างๆเปลี่ยนไป คือไม่ต้องการเป็นลักษณะอย่างนี้ ต้องการเป็นลักษณะอย่างอื่น

ถามว่ารู้สึกอย่างไร ตอบได้เลยว่าช็อก และก็มีความรู้สึกทั้งด้านบวกและลบ

ในด้านบวกคือว่า ครูบาเป็นคนแน่ที่คิดจะเป็นตัวของตัวเอง

ในแง่ลบ คือเรากำลังจะสูญเสียบุคลากรที่มีความสามารถด้านการสร้างสรรค์ในเรื่องของศิลปะและการออกแบบไปแล้วคนหนึ่งหรือเปล่า

ทั้งนี้ทั้งนั้น คะแนนในตอน ๓ ก็ยังสูงกว่าเพื่อนๆอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากความคิดความอ่านของครูบาไปได้ไกลกว่าคนอื่น

ในขั้นตอนสุดท้าย ครูบาปฏิเสธที่จะลงรายละเอียดของงานเพิ่ม งานจึงถูกหยุดลงในเวลาที่ไม่เหมาะสม ขณะที่คนอื่นๆ ทำงานสะสมมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายความสมบูรณ์ถูกอธิบายด้วยแนวคิด ดังนั้นครูบาอาจคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายความสมบูรณ์ในแง่ของปริมาณอีกต่อไป แนวความคิดของครูบาได้ถูกเอาชนะจากกรรมการไปแล้ว จากผู้ตรวจไปตั้งแต่ตอนที่ ๓

เท่าที่ทราบ เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทองของทั้งมัณฑนศิลป์และของภาคภายใน ๑๐ ปีนี้ไม่มี ถ้ามีก็อาจจะ ๑ คน แต่ถ้าย้อนกลับไปเมื่อก่อตั้งคณะ ก่อตั้งภาควิชา ยืนยันว่ายังไงก็มีไม่เกิน ๕ คนที่จะทำได้

ในความเป็นอาจารย์รู้สึกเสียใจ คนที่เคยได้ทุนเรียนดีกับทุนยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษมาตลอด ผมมองเป็นผลผลิตในเรื่องต้นทุน เพราะว่าเราใช้ภาษีของประชาชน เราก็คาดหวังว่าจะได้ผลตอบรับกลับคืนสู่สังคม เมื่อถึงวันหนึ่งครูบาตัดสินใจเปลี่ยน แน่นอนว่าในแง่ของการลงทุนถือว่าล้มเหลว

ถ้าในความเป็นรุ่นพี่และในฐานะเพื่อนมนุษย์ ผมรู้สึกว่าครูบาสบโอกาส และสามารถทำตามโอกาสที่วางไว้ได้ ถือว่าเป็นคนที่มีความกล้าในการตัดสินใจ และกล้าเลือก ถ้ามองในมุมนี้ ต้นทุนมันไม่มีและถือว่าเป็นการกระทำที่สร้างสรรค์มากๆ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2010, 00:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว





เปิดประตูหัวใจของคุณสิ

มีใครอยู่ข้างใน มั่ง

มีพ่อ มีแม่ มีตัวเอง
มีแฟน มีกิ๊ก มีคนรัก มีคนที่ชอบ

แล้ว...........

มีเพื่อนหรือเปล่า??

เพื่อนคนไหน?? หลายคน หรือคนเดียว

อย่ายึดติดว่าเพื่อน

จะหมายถึงเพียง...คนที่อยู่ ห้องเดียวกับเรา

อย่ายึดติดว่าเพื่อน....จะ หมายถึงเพียงคนที่อยู่ร่วมรุ่นกับเรา

อาจมีเพื่อนรุ่นพี่...ที่ ต้องให้ความเคารพ

เพื่อนรุ่นน้อง...ที่ต้องคอยเอาใจใส่

คุณ....ให้ความสำคัญกับ เพื่อนมากแค่ไหน

คือเพื่อนของคุณเช่นกัน

*************************************

ถึงเวลา...จะเปลี่ยนผันไป แต่ว่า....

เราก็ยังเหมือนเดิม

รักกันเท่าใด...ก็ยังรักกัน เท่านั้น

บางทีอาจรักมากยิ่งขึ้น ...หรือมากขึ้นไปเรื่อยๆ

จนไม่มีวันสิ้นสุด

หากเราจากกันไป...เราจะจำไว้ว่า

มีที่ๆหนึ่ง

ที่ทำให้เรา...ได้รู้จักกัน

ที่แห่งหนึ่ง...ได้ให้ประสบการณ์ดี ๆ กับเรา

ทั้ง ทุกข์ สุข เหงา เศร้า ฯลฯ

ซึ่งที่แห่งนั้นมีทั้ง..อาจารย์...เพื่อนรุ่นน้อง...หรือรุ่นพี่

หรือใครต่อใครอีกมากมาย

และที่แห่งนั้น

ก็จะอยู่ในความทรงจำดีๆของ
เราตลอดไป

******

คำว่าเพื่อน ไม่ได้เพียง แค่รู้จัก

แต่เป็นรัก ความผูกพัน ที่มีเสมอ

ฉันจะไม่ลืม เพื่อนดีดี อย่างเช่นเธอ

ไม่มีทาง ลืมเกลอ ที่แสน ดี

******

มิตรที่ดีไม่จำเป็น ต้อง ฉลาด

ต้ององอาจ กล้าหาญ หรือสะสวย
มิตรที่ดีไม่จำเป็นต้องร่ำ รวย

ไม่ต้องหมวยสวย เก๋นักกีฬา

มิตรที่ดีอาจจนก็เป็นได้

อาจจะโง่ ขี้อาย หรือ เหรอหรา

แต่พวกเขาพร้อมช่วยเพื่อน ทุกเวลา

ไม่คิดค่าตอบแทนแต่อย่างไร

ขอขอบคุณ…ที่ช่วยแต่งแต้มวันหงอยเหงาให้สดใส

ขอขอบคุณ…ที่มอบดอกไม้แห่งน้ำใจให้ฉัน

ขอขอบคุณ…ความผูกพันที่มีให้กัน

ขอขอบคุณ…สายสัมพันธ์แห่งความจริงใจ

ขอขอบคุณ…ความอาทร ความห่วงใย

ขอขอบคุณ…ความเข้าใจไม่มีวันล่มสลาย

ขอขอบคุณ… กาลเวลาที่พาเรามาทักทาย

ขอขอบคุณ…สิ่งทั้งหลายที่ทำให้เราเป็น...เพื่อนกัน

******

คำ …ว่าเพื่อนของ ฉัน

ว่า … อย่างไรก็ไม่มีวันจางหาย


เพื่อน …ยัง คงคิดถึงกันไม่เสื่อมคลาย

ไม่ …เคย จางหายแม้ต้องจากกัน

มี …เวลา ที่เราได้พบเจอ

วัน … นั้นเสมอเป็นฝันชั้นสวรรค์

จาง …ไม่ หายลบไม่เลือนในใจ ฉัน

หาย …จาก กันแต่เรายังเป็นเพื่อนกันตลอดไป

******

และคำสุดท้าย


เชื่อว่า...เพื่อนทุกคนเคยทำ ผิดต่อกันและกัน

แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่า ...ตัวเรานั้นจะให้อภัยเพื่อนหรือไม่

ถ้าคิดที่จะอยู่ด้วยมิตรภาพ ของกันและกันตลอดไป

ท่องเอาไว้
การอภัยให้การดีที่สุด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2010, 00:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แม่ของฉัน กับเจ้านายของฉันใครสำคัญกว่ากัน
แม่ของฉัน กับเจ้านายของฉันใครสำคัญกว่ากัน

ทุกวัน ฉันต้องตื่นเช้า เข้างานแปดโมง วันนี้..ก็เหมือนเคย
แต่เมื่อคืนฉันทำงานจนดึก
ตื่นสาย.. อารมณ์ตอนนั้น โมโหตัวเองมาก ที่ลืมตั้งนาฟิกาปลุก
(โดนเจ้านายด่าแน่ๆ )
แม่มาเคาะประตูห้อง .... “ ตื่นหรือยังลูก หกโมงแล้ว “
ฉันหงุดหงิดมาก ........... โธ่ !! แล้วทำไมแม่ไม่ปลุกหนูให้เร็วกว่านี้
เนี่ย..หนูไปทำงานไม่ทันแล้ว วันนี้..มีประชุมด้วย “ แม่ทำข้าวต้มให้หนูอยู่ เมื่อคืนเห็นนอนดึก
อยากให้กินอะไรร้อนๆหน่อย “ ........
แม่ไม่ต้องมาพูดเลย ไม่กง ไม่กินมันแล้ว
.....แม่จับแขนฉันเบาๆก่อนเดินออกจากห้อง
อาบน้ำ แต่งตัวเสร็จ ลงมาข้างล่าง แม่นั่งรออยู่ที่โต๊ะกินข้าว
“ กินข้าวต้มกับแม่ก่อนนะลูกนะ แม่รอหนูอยู่ “
หนูไม่กิน พูดโดยไม่มองหน้าแม่ เดินออกมาจากบ้านทันที
ถึงที่ทำงาน
“ ไม่รู้หรือไง ว่าวันนี้มีประชุม แล้วรายงานอยู่ไหน “
ยกมือไหว้ .. ขอโทษค่ะพี่ ....รีบส่งรายงานให้อย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
“ พี่เลื่อนประชุมไปเป็น 10 โมงนะ เดี๋ยวช่วยไปหาอะไรให้พี่กินหน่อยสิ “ ...
ได้ค่ะพี่ ...
วิ่งเข้าห้องครัว หยิบโจ๊กกึ่งสำเร็จรูป รีบ รีบ รีบ เติมน้ำร้อน ...
ว๊าย !! น้ำร้อนลวกมือ .. .
มาแล้วค่ะพี่ โจ๊กร้อนๆเลยค่ะ....
ออกจากห้องประชุมเกือบเที่ยง แม่โทรมาจากบ้าน
“ เมื่อเช้า.. หนูวางผ้าเช็ดหน้าไว้ตรงไหนลูก แม่หาในตะกร้าไม่เจอ
จะเอาไปซักน่ะ “
หาไม่เจอก็ไม่ต้องซักหรอก หนูจำไม่ได้ คงโยนไว้ที่ไหนน่ะแหละ เมื่อเช้าหนูรีบ ........
“ ไม่เป็นไรลูก แล้วเย็นนี้..กลับกี่โมง มากินข้าวกับแม่นะ”
ยังไม่รู้หรอกแม่ ว่างานเสร็จเมื่อไหร่
ยังไง..แม่กินไปก่อนเลยแล้วกัน ไม่ต้องรอ .....
วางหูโทรศัพท์ ก้มหน้า ก้มตาทำงาน เอาใจเจ้านาย ....
“เอ!! พี่วางบัญชีรายชื่อลูกค้าทิ้งไว้แถวนี้มั่งรึเปล่า ไม่รู้ไปลืมไว้ที่ไหน หาไม่เจอ..
ไม่เป็นไรค่ะพี่ เดี๋ยวหนูช่วยหา
พี่ลงไปทานข้าวเถอะค่ะเที่ยงกว่าแล้วนะคะ
.... หา หา หา หาเท่าไรก็ไม่เจอ
โธ่..พี่ขา ก็พี่มาทำหล่นไว้ใต้เก้าอี้ในห้องประชุมนี่นา
โอย !! เที่ยงครึ่งแล้ว ลงไปกินข้าวไม่ทันแน่ๆ
ไม่เป็นไร..บะหมี่ซักห่อพออิ่มก็แล้วกัน
....พี่คะ
เจอแล้วนะคะ พี่ทำหล่นไว้ที่ห้องประชุมค่ะ
“ อ้าว..เหรอ “ รับเอกสารคืน ไม่มีแม้แต่ขอบใจสักคำ
แต่ฉันกลับปลื้ม ที่ทำให้เจ้านายพอใจได้ ใกล้เลิกงานแล้ว.. รีบกลับบ้านไปนอนดีกว่า
“ ช่วยแก้งานตรงนี้ให้พี่หน่อยนะ เสร็จแล้ววางไว้บนโต๊ะพี่เลย พี่กลับก่อนล่ะ
ว่าแต่ว่า เราน่ะมีธุระอะไรรึเปล่า คงต้องกลับช้านิดนึงนะวันนี้ “
... ยิ้มรับ.. ไม่มีธุระอะไรค่ะพี่ เดี๋ยวหนูพิมพ์ให้เลยค่ะ
โทรหาเจ้านายตอนเกือบทุ่ม .. พี่ขา หนูแก้ไข และตรวจทานเรียบร้อยแล้วค่ะ
หนูวางไว้บนโต๊ะนะคะ
“ กลับดึกจังลูก จะอาบน้ำก่อน หรือ กินข้าวก่อนล่ะ ?? “
....เงียบไม่มีเสียงตอบ
ไม่มีรอยยิ้ม . ..
“ มา มา แม่ช่วย “ แม่ รวบของจากมือฉันไปวางบนโต๊ะ ...
หนูเหนื่อยมากเลยแม่
หนูอยากพักผ่อน
กำลังจะเดินขึ้นห้อง ...
ฮัลโหล..สวัสดีค่ะ..เจ้านายเหรอคะมีอะไรรึเปล่าคะ ....
อ๋อ !! ไม่ยุ่งค่ะ เดี๋ยวหนูจัดการให้เลยค่ะ
กุลี กุจอ เปิดคอมพิวเตอร์ ... เจ้านายคะ เรียบร้อยแล้วค่ะ
แม่..หายไปไหน ในครัวไม่มี ห้องนอนไม่มี
. . . แม่นั่งอยู่หลังบ้านเหงา ๆ คนเดียว . . .

แม่แอบร้องไห้ ... เพราะฉันสินะ ฉันทำให้แม่ต้องร้องไห้
แม่..ดูแลฉันมาทั้งชีวิต
เป็นห่วงฉัน รักฉันมากกว่าใครๆ
แต่..ฉันตอบแทนได้สาสมเหลือเกิน
ฉันเริ่มทบทวน... เจ้านายคนที่ให้เงินเดือนฉัน กับ แม่คนที่ให้ความเป็นคนแก่ฉัน
เพื่อประจบสอพลอเจ้านาย ฉันทำร้ายผู้ให้กำเนิดได้เพียงนี้เลยหรือ..
แม่ ...
หนูขอโทษ
ใคร? เคยเป็นแบบฉันบ้าง .......
...............................................................................

ในชั่วชีวิตของคุณ คุณอาจจะเปลี่ยนงานหลายๆ ครั้ง คุณอาจจะมีเจ้านายนับไม่ถ้วน แต่ตลอดชีวิตของคุณ.....คุณมีแม่มีเพียงคนเดียวครับ คนเดียวจริงๆ ทำดีกับท่านไว้เถอะครับ อย่าทำให้ท่านต้องร้องไห้เพราะการกระทำของคุณเลย....คุณอาจจะรักท่านน้อยลง ทุกๆ วัน แต่ท่านไม่เคยรักคุณลดลงเลย ตรงกันข้ามท่านกลับรักและเป็นห่วงคุณมากขึ้นทุกๆ วัน....

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 132 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร