วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 17:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 80 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 23:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




untitled2.bmp
untitled2.bmp [ 131.48 KiB | เปิดดู 11906 ครั้ง ]

"ถ้าเพียงเพื่อมีค่า" ดวงดาวเอ่ยอย่างแผ่วเบา "เธอก็ไม่จำเป็นต้องอยู่บนฟ้า"

"เธอหมายความว่าอย่างไร" เม็ดทรายสีม่วงไม่เข้าใจ

" ไม่มีใครกำหนดว่า สิ่งมีค่าต้องอยู่ข้างบน และสิ่งไร้ค่าต้องอยู่ข้างล่าง เช่นเดียวกัน
ดวงดาวไม่เคยมีค่าเพราะอยู่บนฟ้า แต่มีค่าเพราะสามารถสร้างความสุขให้กับผู้คนได้
ซึ่งแน่นอนว่าเธอย่อมทำได้" ดวงดาวเอ่ย

"อาจจะจริงของเธอ แต่ฉันฝันอยากเป็นดวงดาวมาตลอดนะ"

"เธออาจเคยฝันอยากเป็นดาว แต่นั่นไม่ใช่ความฝันที่ทำให้เธอมีความสุขได้หรอก
เธอไม่จำเป็นต้องเป็นดาวเพื่อจะมีค่ายิ่งใหญ่ ถ้าวันหนึ่งเธอมีค่าในขณะที่เธอเป็นเม็ดทราย
นั่นล่ะยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว" ดวงดาวกะพริบแสงอีกครั้งอย่างอ่อนโยน

"ถ้าอย่างนั้น…ฉันคงไม่อาจเป็นดวงดาว ฉันอาจเหมาะที่จะเป็นเพียงเม็ดทรายเม็ดหนึ่งเท่านั้น"

"เธอเป็นถึงเม็ดทรายต่างหาก เม็ดทรายซึ่งจะสร้างความสุขให้กับผู้คนในวันหนึ่ง" ดวงดาวยิ้ม

"ขอบใจนะดวงดาว แล้วสักวันฉันจะเป็นเม็ดทรายที่มีค่า" เม็ดทรายสีม่วงสัญญาแล้ว เงียบนิ่ง
"ฉันคงต้องกลับไปสู่ท้องทะเล" มันตัดสินใจในที่สุด "ลาก่อนนะดวงดาว"

"ลาก่อนจ้ะ เม็ดทรายสีม่วง" ดวงดาวกะพริบแสงอำลา

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 23:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




untitled2.bmp
untitled2.bmp [ 314.12 KiB | เปิดดู 11906 ครั้ง ]

ทราย สีม่วงค่อย ๆ เคลื่อนตัวลงมาจากท้องฟ้า แม้ว่าแสงของมันจะมืดมน แต่มันเป็นดาวตกที่งดงาม เด็กหญิงคนหนึ่งอธิษฐานขอความสุขจากมันอยู่บนผืนดิน เป็นคำอธิษฐานที่มีค่าต่อมันมากมาย

"เธอเป็นดวงดาวที่สวยงามมากนะเม็ดทรายสีม่วง" ท้องทะเลเอ่ย เมื่อได้พบกับเม็ดทรายสีม่วงอีกครั้ง

"ฉันเป็นเม็ดทรายต่างหาก" เม็ด ทรายสีม่วงยิ้ม พลางเคลื่อนตัวเข้าสู่อ้อมกอดของท้องทะเล มันเรียนรู้แล้วว่า แท้จริงแล้วความฝันของมันไม่ใช่การเป็นดวงดาว แต่คือการเป็นเม็ดทรายที่ยิ่งใหญ่ต่างหาก

ท้อง ทะเลรับรู้การกลับมาของเม็ดทรายสีม่วงด้วยความสุข บรรเลงเสียงเพลงคลื่นทะเลอย่างไพเราะและอ่อนหวาน ผู้คนมากมายหลงรักเสียงเพลงนั้น และพวกเขาก็มีความสุข
เมื่อได้เหยียบ ย่างมายังท้องทะเลอันอ่อนโยนแห่งนี้ และแน่นอนว่าเม็ดทรายสีม่วง ซึ่งเต้นระบำอยู่ในคลื่นทะเล ณ ที่ใดที่หนึ่งบนโลก ก็กำลังมีความสุขที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ที่สร้างรอยยิ้มให้บังเกิดบนใบหน้าของใครต่อ
ใครบนโลก

รวมถึงรอยยิ้มของฉันและเธอด้วย…

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2009, 16:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




01_17.jpg
01_17.jpg [ 11.16 KiB | เปิดดู 11888 ครั้ง ]

คนบางคน ชีวิต ช่างยากช่างเย็นเหลือเกิน
เดินกันไป ไม่เคยจะได้ดี
แต่ตัวเราเองยังหวัง ด้วยพลังที่มี
จึงทำความดีไม่เคยจะท้อใจ

อย่างน้อย สิ่งที่เรานั้นทำลงไป
ไม่คิดอะไร ก็แค่ภูมิใจที่เป็นคนดี
อย่างน้อย ก็บอกตัวเองหนทางยังมี
แม้ว่าวันนี้ มันช่างโหดร้าย

ก็ยังคงทำดีไม่เคยหวั่น
รู้ว่าสักวัน ต้องได้ดี



บางสิ่งเกี่ยวกับชีวิตเรา

Be loving to those who love you.
จง... รักคนที่รักคุณ

Be loving to those who do not love you, and they may change.
จง... รักคนที่ไม่รักคุณแล้วสักวันหนึ่ง ...................เค้าอาจจะเปลี่ยนใจ

Be strong enough to face the word each day.
จง... เข้มแข็งพอที่จะเผชิญหน้ากับความจริง

Be weak enough to know you cannot do everything alone.
จง... อ่อนแอพอที่จะรับรู้ว่าลำพังเรานั้นทำอะไรไม่ได้ทุกอย่าง

Be generous to those who need your help.
จง... ฟุ่มเฟือยน้ำใจ เมื่อมีใครต้องการความช่วยเหลือ

Be frugal with what you need yourself.
จง... ประหยัดสิ่งที่จำเป็นไว้

ฺBe wise enough to know that you do not know everything.
จง... จงฉลาดพอที่จะรู้ว่าเราไม่ได้รู้ทุกสิ่ง

Be foolish enough to believe in miracles.
จง... โง่พอที่จะเชื่อในปาฎิหาริย์

Be willing to share your joys.
จง... เต็มใจจะแบ่งปันความสุขของตัวเอง

ฺBe willing to share the sorrows of others.
จง... เต็มใจที่จะแบ่งรับความทุกข์ของผู้อื่น

Be a leader when you see a path of others have missed.
จง... เป็นผู้นำหากทางที่ผู้อื่นทิ้งไว้ให้นั้นเลือนลาง

Be a follower when you are shrouded in the midst of uncertainly.
จง... เป็นผู้ตามหากตกอยู่ในวงล้อมแห่งความไม่แน่นอน

Be the first to congratulate an opponent who succeeds.
จง... เป็นคนแรกที่แสดงความยินดีต่อความสำเร็จของคู่แข่ง

Be the last to criticize a colleaque who fails.
จง... เป็นคนสุดท้ายที่จะวิจารณ์ความผิดพลาดของเพื่อน

Be sure where you next step will fall, so that you will not stumble.
จง... มองเพียงแค่ก้าวถัดไปเพราะมันจะทำให้เราไม่ล้ม

ฺBe sure of your final destination, in case you are going to the wrong
way.
จง... มองไปยังจุดหม ายปลายทางให้แน่ใจ ว่าไม่ได้กำลังเดินผิดทาง


ฺAbove all, be yourself.
แต่เหนือสิ่งอื่นใด จงเป็นตัวของตัวเอง

http://music.gmember.com/player/html_pl ... 9501752201

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2009, 00:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




คำอธิบาย: ......................................


ภูเขาเจ้าเอย วันนี้แกหายไปไหน
ในวันที่ฝนตกหนักอย่างวันนี้
เป็นวันที่ฉันเศร้าหมอง และไม่มีใครให้พักพิง
เจ้าภูเขา... เราเป็นเพื่อนกันมานานเท่าไหร่แล้วนะ
แกยังจำได้ไหม
ก็ตั้งแต่วันแรกที่ฉันมาอยู่ที่นี่
เราก็เป็นเพื่อนกันตั้งแต่วันนั้น
ฉันเฝ้ามองแกทุกวัน
แกอยู่ที่เดิมตลอด ไม่เคยไปไหน
จนกระทั่งวันหนึ่ง เมฆฝนสีดำเคลื่อนตัวมา
ท้องฟ้าสีเทาหม่นหมอง
เม็ดฝนเทลงมาจากฟ้า แล้วแกก็หายไป
เจ้าภูเขา... แกไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกันนะ

untitled0.1.bmp
untitled0.1.bmp [ 172.53 KiB | เปิดดู 11864 ครั้ง ]
คำอธิบาย: ....................................


ฉันเฝ้ารอแกนานแสนนาน
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ฝนจะหยุดสักที
แต่ฉันก็ดีใจ เมื่อฝนเริ่มซา
แล้วแกก็กลับมาอีกครั้ง
แกมาพร้อมกับสายรุ้งที่สวยงาม
สายรุ้งหลากสี ทั้งสีม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด และแดง
ฉันยิ้มกับสิ่งที่เห็น และเข้าใจชีวิตมากขึ้น
เจ้าภูเขา... แกคงต้องการจะสอนฉันสินะ
สอนให้ฉันผ่านอุปสรรคโดยลำพัง
อดทนรอจนได้พบกันอีกครั้ง
สายรุ้งที่มีคุณค่าอย่างแท้จริง
มักจะมาหลังฝนตกเสมอ
มันสวยงามกว่าสายรุ้งที่คนสร้างขึ้นมา
สายรุ้งของแท้จากสายฝน
อย่างไรก็แตกต่างจากสายรุ้งปลอม ๆ
เพราะมันเย็นฉ่ำกว่า จริงไหม... เจ้าภูเขา

untitled0.bmp
untitled0.bmp [ 156.03 KiB | เปิดดู 11866 ครั้ง ]
คำอธิบาย: ....................................


ภูเขาเจ้าเอย วันนี้แกหายไปไหนอีกแล้ว
ในวันที่ฝนตกหนักอย่างวันนี้...

untitled53.bmp
untitled53.bmp [ 172.53 KiB | เปิดดู 11863 ครั้ง ]
ภูเขาซ่อนตัว

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2009, 22:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




1.jpg
1.jpg [ 14.9 KiB | เปิดดู 11856 ครั้ง ]
หิ่งห้อยกับดวงดาว

หิ่งห้อยกับดวงดาว
Thursday, 12. June 2008, 08:17:59

นิทาน, งานเขียน


ภาพจาก : http://www.nstlearning.com/~km/?p=3187

ไกลออกไป ในที่ที่แสงไฟสว่างไสวของเมืองใหญ่ยังไม่รุกล้ำความมืดของราตรีกาล
ท่ามกลางความมืดมิด มีกลุ่มแสงเล็กๆ สว่างวิบกะพริบหายอยู่วาบวาบ

ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่ยังไม่เข้าสู่ห้วงนิทราต่างจ้องมองแสงนี้ด้วยความเพลิดเพลินและหลงใหล...
แสงสว่างแม้เพียงเล็กน้อยเมื่ออยู่ท่ามกลางความมืดช่างมีเสน่ห์เย้ายวนใจ ราวกับดาวบนฟ้า
พร้อมใจกันลงมาให้ผู้คนบนดินได้เชยชม

ผู้คนออกมาชี้ชวนกันดูแสงงาม
ใช่แล้ว, แสงแห่งหิ่งห้อย มนต์เสน่ห์แห่งธรรมชาติยามค่ำคืน

บรรดาหิ่งห้อยหาได้รู้ไม่ว่า แสงของมันมีเสน่ห์ มันรู้เพียงว่านั่นเป็นสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้
และมันก็รับไว้ใช้ในชีวิตประจำวันเท่านั้นเอง
แล้วหิ่งห้อยก็ได้รับรู้ถึงความงามของตนในคืนหนึ่ง เมื่อดาวดวงหนึ่งบนฟากฟ้า...
ดาวซึ่งไม่มีใครรู้จักเอ่ยทัก

“สวยจัง ฉันเฝ้ามองโลกอยู่นาน...โลกที่กว้างใหญ่ มีแสงสว่างมากมาย แต่ฉันว่าแสงของเธอ
สวยกว่าแสงใดๆ ที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น”

หิ่งห้อยมองหาที่มาของเสียง

“ฉันอยู่ข้างบน...บนท้องฟ้านี่”

หิ่งห้อยมองหา บนท้องฟ้ามีดวงดาวมากมาย มันไม่รู้จริงๆ ว่าดาวดวงไหนกันที่เอ่ยชมซะจนมันเขิน

“คุณดวงดาว โปรดระบุตำแหน่งด้วยว่าคุณอยู่ที่ไหน”

“ลองมองหาดาวดวงเล็ก ที่ไม่ได้อยู่รวมกับกลุ่มดาวใดๆ สิ ฉันเป็นดาวที่มนุษย์ยังไม่ค้นพบ
เลยยังไม่มีชื่อ” ดวงดาวตอบ

“นั่นคุณใช่มั้ย?” หิ่งห้อยหันไปที่ดาวดวงหนึ่ง ดาวดวงเล็กๆ ซึ่งมีแสงสว่างวิบกะพริบวาบ คล้ายกับตัวมัน

“ใช่ๆ, แต่เห็นฉันเล็กๆ อย่างนี้จริงๆ ฉันตัวใหญ่มากนะ เพียงแต่ฉันอยู่ไกลเธอจึงมองเห็นว่าฉันเล็ก
แต่ที่ฉันมองเห็นแสงจุดเล็กๆ อย่างเธอนี่ไม่รู้ว่าเพราะฉันสายตาดี หรือเพราะเรามีส่วนที่คล้ายกัน”
ดวงดาวชวนเพื่อนใหม่คุย

“คล้ายกันยังไงเหรอ?” หิ่งห้อยนึกสงสัย

แสงเล็กๆ อย่างมันจะคล้ายกับแสงดาวที่ดูยิ่งใหญ่ได้อย่างไร แค่ฟังชื่อก็รู้สึกถึงความต่างแล้ว...
หิ่งห้อยกับดวงดาว

“ตรงที่ผู้คนมองเห็นเพียงว่าเราเป็นแค่แสงเล็กๆ ท่ามกลางแสงอีกมากมายมั้ง” ดวงดาวตอบ

นับแต่นั้นมาดวงดาวกับหิ่งห้อยก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ทั้งสองผลัดกันเล่าเรื่องราวต่างๆ
ที่ได้พบเห็นให้อีกฝ่ายได้ฟังอย่างสนุกสนาน

แม้หิ่งห้อยจะมีอายุไม่ยืนยาวเฉกเช่นดวงดาว แต่เมื่อหิ่งห้อยรุ่นก่อนๆ ตายไป ก็จะมีหิ่งห้อยรุ่นใหม่ๆ
เติบโตขึ้นแทนเสมอ ดาวดวงน้อยซึ่งเล็กเกินกว่าที่นักดาราศาสตร์จะสนใจจึงไม่เคยเหงา
แม้จะเศร้าใจในเวลาที่เพื่อนเก่าจากไป แต่นานวันเข้ามันก็ได้รู้ว่านั่นคือสัจธรรมที่ไม่อาจเลี่ยง
สักวันก็คงถึงเวลาที่มันต้องจากไปเช่นกัน

แล้ววันหนึ่งดวงดาวก็พบว่าแสงจากหิ่งห้อยเพื่อนของมันมีจำนวนน้อยลง
ดวงดาวสอบถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง และได้คำตอบที่น่าเศร้าว่า

“เมื่อเร็วๆ นี้มีผู้คนมากมายย้ายมาอาศัยที่บริเวณที่ฉันอยู่ เขาสร้างอาคารใหญ่โต ผู้คนเรียกสิ่งนั้นว่า
โรงงานอุตสาหกรรม เขาสร้างบ้านเรียงรายและเรียกสิ่งนั้นว่าหมู่บ้านจัดสรร เขาสร้างสนามโล่งๆ
กว้างๆ ปลูกหญ้าเตี้ยๆ แล้วเรียกสิ่งนั้นว่าสนามกอล์ฟ...การก่อสร้างสิ่งต่างๆ ทั้งหมดนั้น
ทำให้ต้นลำพูบ้านของฉัน และต้นไม้อื่นๆ ถูกโค่นลง เมื่อต้นลำพูลดจำนวนลง หิ่งห้อยอย่างฉัน
ลดลงไปด้วย หิ่งห้อยไร้บ้านจำนวนมากตายลงก่อนที่จะได้มีลูกหลานไว้สืบทอดเผ่าพันธุ์
พวกเราที่เหลืออยู่ก็ต้องอยู่อย่างอดอยาก บางตัวก็ไม่แข็งแรงเพราะบินไปอาศัยในต้นไม้อาบยาพิษ
บางตัวทนความหิวไม่ไหวทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่กินปนเปื้อนด้วยยาฆ่าแมลงก็ยังฝืนกิน...”

แสงจากดวงดาวที่ได้รับรู้ความเดือดร้อนของเพื่อนหรี่วูบลงด้วยความเศร้าแล้วลุกโชน
ด้วยความโกรธ แต่เพราะมันเป็นเพียงแสงเล็กๆ แสงหนึ่งบนท้องฟ้าจึงไม่มีใครสังเกตเห็น

แม้จำนวนหิ่งห้อยจะลดน้อยลง แต่ผู้คนก็ยังคงชี้ชวนกันมาดูแสงแห่งหิ่งห้อยอยู่ ทว่าคนเหล่านั้น
ไม่ใช่ผู้คนเดิมๆ ที่เป็นชาวบ้าน ไม่ใช่เด็กที่ไม่อยากนอนร้องโยเยยามค่ำด้วยห่วงเล่น ไม่ใช่หนุ่มสาว
ที่ชี้ชวนกันดูความงามของธรรมชาติยามกลางคืน ไม่ใช่คนแก่ที่นอนไม่หลับแม้จักข่มตาเท่าใด
หากแต่เป็นผู้คนที่เรียกตัวเองว่า ‘นักท่องเที่ยวผู้รักธรรมชาติ’

ผู้คนออกมาชี้ชวนกันดูแสงงาม
ใช่แล้ว, แสงแห่งหิ่งห้อย มนต์เสน่ห์แห่งธรรมชาติยามค่ำคืน ที่คนเมืองใหญ่ยากจะสัมผัส

กาลเวลาผ่านไป บัดนี้แสงของหิ่งห้อยแทบไม่มีให้เห็น นักท่องเที่ยวผู้รักจะฉกฉวยเสพเอาความงาม
ของธรรมชาติหมดสนุกและเบื่อหน่ายกับการเฝ้ารอค่อนคืนเพียงเพื่อจะได้เห็นแสงเล็กๆ

“แสงเล็กๆ ไม่ควรค่าแก่การรอคอย” พวกเขาสรุปแล้วจากไปอย่างไม่ไยดี

ดวงดาวกวาดตามองหาหิ่งห้อย แสงจากหลอดไฟฟ้าสว่างไปทั่ว ไม่ว่าจะที่ไหนก็มีแต่แสงเทียม
ที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น แสงสว่างจัดจ้าแต่ไร้เสน่ห์บดบังแสงของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ อย่างหิ่งห้อยจนหมด
หรือ หรือว่าไม่มีหิ่งห้อยเหลืออยู่อีกแล้ว !

ดวงดาวตะโกนร่ำร้องหาเพื่อน แต่ไร้เสียงตอบ มันอยากรู้ว่าเพื่อนมีความเป็นไปอย่างไรบ้าง
เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากเพื่อน ทั้งยังมองไม่เห็นว่าเพื่อนอยู่ที่ไหน ดวงดาวจึงตัดสินใจ
ออกเดินทางตามหาหิ่งห้อย
มันระเบิดตัวเองออกเป็นสะเก็ดดาวนับพันนับหมื่นชิ้นและพุ่งตรงมายังโลก !

ผู้คนออกมาชี้ชวนกันดูแสงงาม
ใช่แล้ว, แสงแห่งดาวดวงเล็กๆ ที่หล่นจากฟากฟ้า มนต์เสน่ห์แห่งธรรมชาติยามค่ำคืนที่
ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยๆ คนเมืองใหญ่เรียกแสงนั้นว่า ‘ฝนดาวตก’

ทว่า หิ่งห้อยกลุ่มสุดท้ายของดาวโลก ซึ่งอ่อนแรงเกินกว่าจะตอบรับเสียงเรียกจากดวงดาว
เรียกแสงนั้นว่า ‘น้ำตาแห่งดวงดาว’

หากคำอธิษฐานกับดาวตกเป็นจริงได้ดังตำนานที่ผู้คนเล่าขาน...สักวันหิ่งห้อยและดวงดาวคงได้พบกัน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2009, 13:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




untitled.bmp
untitled.bmp [ 151.62 KiB | เปิดดู 11848 ครั้ง ]
ศิลปะการจัดดอกไม้

แปลงมาจากเรื่องจริง เกี่ยวกับการเรียนการสอนในประเทศไต้หวัน (มูลนิธิพุทธฉือจี้ในไต้หวัน)
ที่อาจารย์ได้เมตตาถ่ายทอดให้ฟัง

คุณครูให้เด็กนักเรียนช่วยกันจัดดอกไม้ในวิชาศิลปะ
โดยมอบหมายให้ต่างคนต่างนำดอกไม้มาจากบ้านคนละดอก

เด็กนักเรียนคนแรก เริ่มปักดอกไม้ดอกแรกที่ตรงกลาง

คุณครู : ทำไมหนูจึงปักดอกไม้คนแรกจ๊ะ

เด็กนักเรียน : เพราะหนูอยากปักเป็นคนแรกค๊ะ

คุณครู : ดีมากเราต้องมีใครสักคนที่กล้าเป็นผู้นำ

เด็กนักเรียนคนที่สอง ปักดอกไม้ ให้ดอกไม้ชูช่อมาด้านหน้า

คุณครู : ทำไมหนูจึงปักดอกไม้ตรงนั้นจ๊ะ

เด็กนักเรียน: บริเวณนั้นสวยที่สุดค๊ะ

คุณครู : คนทำดี สมควรได้รับการยกย่อง

เด็กนักเรียนคนที่สาม ปักดอกไม้บริเวณด้านข้าง

คุณครู : ทำไมหนูจึงปักดอกไม้ตรงนั้นจ๊ะ

เด็กนักเรียน: ผมชอบตรงนี้ครับ

คุณครู : ดีมาก คนทำดี เราต้องสนับสนุน

เด็กนักเรียนคนที่สี่ ปักดอกไม้บริเวณไกล้เคียงกันกับเด็กนักเรียนคนแรก

คุณครู : ทำไมหนูจึงปักดอกไม้ตรงนั้นจ๊ะ

เด็กนักเรียน: ผมคิดว่าน่าจะปักเพิ่มครับ

คุณครู : ดีมาก บางครั้งเราก็ต้องเป็นผู้ตาม ทำตามคนดี

เด็กนักเรียนคนที่ห้า ปักดอกไม้แซมบริเวณด้านหลังช่อ

คุณครู : ทำไมหนูจึงปักดอกไม้ตรงนั้นจ๊ะ

เด็กนักเรียน: มันยังว่างอยู่ค๊ะ

คุณครู : ดีมาก บางครั้ง ก็ต้องมีใครสักคนทำงานอยู่เบื้องหลัง

เด็กนักเรียนคนที่ หก คนที่เจ็ด คนที่แปด .....

เด็กนักเรียนคนที่เก้า ถอนดอกไม้ของเพื่อนออก แล้วมาปักในบริเวณอื่น

คุณครู : ทำไมหนูจึงถอนดอกไม้ของเพื่อนจ๊ะ

เด็กนักเรียน: ผมว่ามันยังไม่สวยครับ

คุณครู : อืม..กล้าหาญมาก บางครั้งก็ต้องมีคนติ ถ้ามันยังไม่ดีหรือไม่สวยงามพอ

เด็กนักเรียนคนที่สิบ คนที่สิบเอ็ด คนที่สอง ...............และแล้ว................
เราก็ได้ช่อดอกไม้ที่แสนจะขี้แหร่ สำหรับการมองของคนอีกหลายๆคน
แต่สำหรับคุณครูและนักเรียนทุกๆคนแล้ว ช่อดอกไม้ช่อนี้ สวยงามเสมอ

ถ้ามองช่อดอกไม้ช่อนี้จากมุมที่ต่างกัน คุณคิดว่า บริเวณไหนที่นักเรียนปักเป็นด้านหน้าด้านหลัง
หรือดอกไม้ดอกไหนจะปักสูงกว่ากัน

ถ้าช่อดอกไม้ช่อนี้คือสังคมของเรา เราก็คงไม่เลือกดอกไม้เฉาๆ,โดนหนอนแทะ,
ดอกไม้ที่โดนแอบเด็ดกลีบไปจนเกือบหมด หรือแม้แต่ดอกไม้พลาสติกนำมาปัก
และปักอย่างลวกๆ เพียงเพราะอยากจะโชว์ความสวยของดอกไม้ ยกเว้นแต่.......
เราจะมองไม่เห็นความสวยหรือคุณค่าของดอกไม้นั้นเลย

"ดอกไม้ ไม่ได้สวยเพราะสีชมพูหรือสีขาว

ไม่ได้สวยเพราะมีกลิ่นหอมหรือสวยด้วยเหตุผลที่ว่า..มันเป็นดอกไม้

แต่ดอกไม้สวยเพราะมีคนมอง มีคนดมกลิ่นของมัน

ดอกไม้มันเป็นเช่นนั้นเอง

http://images.google.co.th/imgres?imgur ... X%26um%3D1

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2009, 22:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




1.jpg
1.jpg [ 18.3 KiB | เปิดดู 11824 ครั้ง ]



เรื่องดีๆที่ควรส่งต่อ

ในหลวงของปวงเรา

** ฉันอายตัวเองว่า ในขณะที่ท่านให้ชีวิตใหม่กับเรา แต่เราช่วยอะไรท่านไม่ได้เลย***

ยายซุบ สามร้อยยอด เป็นหญิงชาวบ้านวัย 70 แห่งบ้านคุ้งโตนด อำเภอกุยบุรี จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์
ยากจนมาตังแต่ยังสาวจวบจนวันนี้ หากแต่เธอกลับยืนยันว่า เธอมีอดีตที่มีความหมายต่อชีวิตของแก
อดีตที่หมายถึงชีวิตใหม่ ไม่ว่าแกจะยังจนต้องขอเงินลูก ๆ 9 คนใช้ดังเช่นทุกวันนี้หรือจะมั่งมีศรีสุข
ถูกหวยรวยเบอร์อย่างไรก็ตาม แกไม่เคยลืมเหตุการณ์ครั้งนั้น เหตุการณ์ที่ล่วงเลยมานานกว่า 40 ปี
การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฏรบ้านคุ้งโตนด อำเภอกุยบุรี ไม่เพียงทำให้หมู่บ้านที่ยากจน
ล้าหลัง ไม่มีแม้ถนนที่จะติดต่อกับโลกภายนอก ได้มีชีวิตที่ดีขึ้น หากแต่การเสด็จพระราชดำเนิน
ในครานั้นได้ทำให้หญิงคนหนึ่งมีชีวิตยืนยาวต่อมาจนถึงวันนี้

สมัยยังสาวยายเคยไปรับเสด็จในหลวงใช่ไหม ?

ยาย-ใช่ ตอนนั้นไปรับเสด็จที่ตีนถ้ำไทรในหมู่บ้านเรานี่แหละ ท่านเสด็จฯ มาทางเหนือ
ไอ้เราป่วยเป็นไส้ติ่ง ปวดท้องมาครึ่งเดือนแล้ว แต่ไม่รู้หรอกนะตอนนั้นว่าเป็นไส้ติ่ง ปวดท้องนอนซม
คนในบ้านบอกในหลวงจะมา เราก็อยากเห็น อยากไปรับเสด็จ แต่ปวดท้องจนเดินไม่ไหว

เดินไม่ไหว แล้วไปยังไง ?

ยาย-ก็ให้คนหามไป ใส่เกวียนไปเลย

ทำไมถึงเลือกไปเฝ้าในหลวง ไม่ไปหาหมอ ?

ยาย-ไม่รู้สิ คืออยากเห็นตัวจริง ๆ ใกล้ ๆ นะ คิดในใจว่ายอมตายได้ แต่ขอไปรับเสด็จก่อน
แลกตัวแลกชีวิตกันเลย พูดง่าย ๆ ว่าวัดดวงเอาเลย อีกอย่างตอนนั้นถ้าเราไปหาหมอก็ลำบาก
เพราะน้ำแห้ง เรือเครื่องก็ไม่มี ถ้าไปก็คงไปไม่ถึง มันคงจะตายก่อน

แล้วตอนนั้นได้ถวายอะไรท่านบ้างไหม ?

ยาย-ยกมือพนมยังจะไม่ไหวเลย จะให้ถวายอะไรอีก (หัวเราะเสียงดัง)

แล้วได้เห็นท่านไหม ?

ยาย-ก็ได้เห็นท่านอยู่ แต่ก็เห็นห่าง ๆ แล้วก็เห็นไม่นานเพราะว่าพระองค์ท่านต้องเสด็จฯ
ไปที่ตีนเขาอีกลูกคนละฟาก ทรงไปดูเรื่องที่จะระเบิดเขาทำทางเข้าออกหมู่บ้าน

ไส้ติ่งเรากำลังจะแตก แล้วรอดมาได้อย่างไร เกิดอะไรขึ้น ?

ยาย-ตอนนั้นไส้ติ่งกำลังจะแตก เงินสักบาทก็ไม่มีติดตัว พอดีว่าพระราชินีท่านทรงเยี่ยมเยียนราษฏร
แล้วทอดพระเนตรเห็นเรานั่งหน้าซีด พิงเพื่อน คือได้ตอนนั้นมันไม่ไหวจริง ๆ ท่านทอดพระเนตรเห็น
ก็คงสังเกตได้ว่าอาการเราไม่ดี พระองค์ก็ถามว่า เป็นอะไร ? ท่านบอกให้พูดธรรมดาก็ได้
เราบอกว่าเจ็บท้อง พระองค์ท่านตรัสถามต่อว่า เจ็บมากี่วันแล้ว ? เราก็บอกว่า
เจ็บมาครึ่งเดือนเห็นจะได้ ท่านก็เลยบอกให้หมอที่มาด้วยตรวจดู

แล้วหมอว่ายังไง ?

ยาย-หมอบอกว่าไส้ติ่งกำลังจะแตก พอหมอบอกอยางนั้น พระองค์ท่านก็ทรงติดต่อไปที่ในหลวงซึ่ง
ทรงอยู่ที่ตีนเขาอีกลูก

รู้ได้ยังไงว่าสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงติดต่อไปที่ในหลวง ?

ยาย-รู้สิ เพราะเห็นในหลวง พระองค์ท่านทรงวิ่งจากตีนเขาลูกโน้นมาเลย ห่างกันถึง 1 กิโล
( แค่นี้ก็ตื้นตันแทนคุณยายแล้ว)

รู้สึกอย่างไรบ้างในตอนนั้น ?

ยาย-ดีใจแล้วก็ปลื้มใจแบบมาก ๆ ไอ้ตอนแรกคิดว่ากำลังจะตายนี่ คิดว่าตัวเองรอดแน่
มันมีกำลังใจ คิดว่าขนาดพระเจ้าแผ่นดินยังเอาใจใส่เราขนาดนี้ เราจะตายไม่ได้

พอในหลวงเสด็จมาถึง ทรงตรัสว่าอย่างไรหรือไม่ ?

ยาย-ท่านให้เอา ฮ. มารับ ท่านตรัสว่า เดี๋ยวเราจะกลับทางเรือเอง ให้เอาคนไข้ไปส่งก่อน
พอพระองค์ท่านตรัส หมอสองคนก็หิ้วปีกเราไป ในหลวงท่านทรงเมตตาเราไปจนถึงเครื่อง
พอเราขึ้นไป ก่อนที่ประตู ฮ. จะปิด เราก็มองลงมาเห็นในหลวง ท่านทรงโบกพระหัตถ์
เราซาบซึ้งมาก ยิ่งบอกตัวของเราเลยว่าเราจะตายไม่ได้

ถ้าไม่มีในหลวงในวันนั้น ก็ต้องตายแน่ ?

ยาย-แน่นอน ไม่ต้องอะไรหรอก หมอบอกว่า มาช้ากว่านี้แค่ 2-3 นาที ก็ไม่รอดแล้ว แล้ววันนั้น
อย่างที่บอกว่าเรือเครื่องก็ไม่มี น้ำก็แห้ง ไม่รู้ใช้เวลาครึ่งวันจะเดินทางไปถึงโรงพยาบาลหรือเปล่า
ถ้าในหลวงไม่เสด็จมาที่นี่ วันนั้นก็ตายแน่ ตายทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นอะไรตาย

เหมือนกับได้ชีวิตใหม่ ?

ยาย-ใช่ ชีวิตทุกวันนี้ถึงฉันแก่แล้ว แต่เมื่อนึกถึงวันนั้นทีไรรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ทุกที
ตอนนั่งดูโทรทัศน์ เวลาเห็นท่าน เราก็จะพนมมือไหว้ตลอด รู้สึกว่าท่านได้มอบชีวิตใหม่ให้กับเรา

ตอนนั้นอยู่บน ฮ. เป็นอย่างไรบ้าง ?

ยาย-จำไม่ค่อยได้ รู้แต่ว่าพอบินขึ้นไปพักใหญ่หมอก็ถามว่าเป็นยังไงบ้าง เราพูดไม่ค่อยไหว
แต่ก็บอกไปว่าปวดท้อง บน ฮ. นอกจากเรา ก็มีหมออีก 2 คน แ้ล้วก็คนขับอีก 2 คน จำได้แค่นี้ล่ะ

ฮ. พาไปที่โรงพยาบาลไหน ?

ยาย-โรงพยาบาลพระมงกุฏฯ เพชรบุรี

แล้วพักอยู่กี่วัน ?

ยาย-ปกติคนเป็นไส้ติ่งทั่วไปเขาพักกัน 3-4 วันก็ออกได้แล้ว แต่เราเป็นหนักต้องพักถึง 24 วัน
ถ้าในหลวงไม่ช่วยก็ตายแน่ แล้วถ้าเราตาย ลูกเต้าก็ไม่รู้จะอยู่ยังไง ในหลวงท่านทรงเมตตา
ทรงดูแลเราอย่างดี ห้องที่เราพักอยู่นี่ดีมาก เป็นห้องพิเศษเลย พูดตรง ๆ ว่า ดีกว่าบ้านที่ฉันอยู่อีก
หมอก็นิสัยดี พูดจากับเราเพราะแล้วก็ใจดี

** ในหลวงท่านทรงห่วงใยเรามากมีคนมาเยี่ยม ถามอาการ ถามสารทุกข์สุขดิบทุกวัน
คนใกล้ชิดพระองค์ท่านก็ถามเรานะว่า จะฝากอะไรถึงท่านไหม เราบอกให้ พระองค์ทรงพระเจริญ
ทรงพระเจริญ พูดได้แค่นั้น มันตื้นตันจนนึกไม่ออก**

หลังจากวันนั้นแล้วเป็นอย่างไร ?

ยาย-ไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ พระองค์ท่านอีกเลย ถ้าเรามีโอกาส จะขอเข้าไปกราบแทบพระบาทเลย
สิ่งที่พระองค์ท่านทรงช่วยเหลือเราไว้ เป็นความซาบซึ้งที่สุดในชีวิตแล้ว

** คิดูสิโลกนี้จะหากษัตริย์อย่างท่านได้ที่ไหน เราเป็นแค่ชาวบ้านจน ๆ แต่ท่านห่วงเราเหมือนเราเป็นลูก
พระองค์ท่าน ทรงห่วงเราเหมือนที่เราห่วงลูก ท่านทรงเสียสละแม้กระทั่งของส่วนพระองค์ ทรงยอมลำบากกลับทางเรือเพื่อคนอย่างเรา พูดตรง ๆ ว่าสิ่งที่พระองค์ทรงทำให้ฉันตายแล้วเกิดใหม่อีกสิบชาติ
ก็ทดแทนไม่หมด**

กลับมาบ้านแล้ว เป็นอย่างไร ?

ยาย-ตอนที่ออกจากโรงพยาบาลใหม่ ๆ พระองค์ท่านก็ส่งเงินมาให้อยู่ถึง 1 ปี ครั้งละ 3-5 พันบาท
ส่งมาหลายครั้งอยู่ เรารู้เพระว่าใส่ซองสีขาวประทับตราสำนักพระราชวัง จากเหตุการณ์นั้นทำให้
เรารักในหลวงของเรามาก

แล้วทุกวันนี้ก็ยังน้อยใจตัวเองอยู่ว่า เวลาที่ท่านป่วย เราก็ไม่มีเงินไปเฝ้า ไปแสดงความจงรักภักดี
กับท่าน ได้แต่ร้องไห้อยู่กับบ้าน นั่งร้องไห้ทุกวัน ดูข่าวทุกวันไม่เคยเว้นเลย ** ฉันอายตัวเองว่า
ในขณะที่ท่านให้ชีวิตใหม่กับเรา แต่เราช่วยอะไรท่านไม่ได้เลย**

การเสียสละของในหลวงคราวนั้น ได้เอามาปฏิบัติตามหรือไม่ ?

ยาย-มีส่วนมากเลย เวลาคนในหมู่บ้านเขาป่วยเป็นอะไร ฉันก็ไปเยี่ยมเขาทั่ว ไปไหนไปกัน
มีใครเจ็บในหมู่บ้านนี่ฉันจะไปเยี่ยมหมด บางทีถึงไม่ใช่หมอ ไม่ใช่ญาติเขา แต่เราก็ไป
ไปนั่งพูดคุยให้กำลังใจ บางทีก็ไปบีบให้นวดให้ นี่คือสิ่งที่ในหลวงให้เรา และเราให้คนอื่นต่อ

** เมืองไทยเราโชคดีที่มีในหลวง โชคดีมาก ๆ ไม่มีกษัตริย์ที่ไหนในโลกอีกแล้วที่จะเป็นห่วง
ชาวบ้านอยางฉันเท่ากับท่าน คนอยางเราเปรียบไปก็เหมือนมดปลวก แต่ท่านก็ยังใส่ใจ
ท่านใส่ใจจริง ๆ เหมือนกับว่าคนไทย คือ ลูกของท่านทั้งแผ่นดิน**



เราไม่รู้ว่ามีใครเคยตั้งเรื่องนี้รึยัง แต่เราเพิ่งได้อ่านจากฟอเวิดร์เมล์ค่ะ พออ่านเรื่องนี้จบ
เราก็อยากให้ทุกคนได้อ่านด้วย

เราไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดเพื่อที่จะอธิบายสิ่งต่างๆที่ท่านได้ทำให้กับประชาชน เพราะมันมากมาย
เกินกว่าที่เราจะพูดได้ค่ะ สิ่งที่คนธรรมดาอย่างเราๆจะทำได้ก็คือการทำตนเป็นลูกเป็นประชาชนที่ดี
ไม่ทำให้พระองค์ไม่สบายพระทัย และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด



ทรงพระเจริญ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2009, 23:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




1412388574_b1bc303664_m.jpg
1412388574_b1bc303664_m.jpg [ 3.34 KiB | เปิดดู 11810 ครั้ง ]
"กระต่ายในเงาจันทร์"


ในสายลมแห่งความเหงา
ในม่านเงาแห่งความฝัน
มีเรื่องราวเรียงรำพัน
เมื่อความเงียบงันมายลเยือน
นึกถึงตำนานแห่งกระต่ายในเงาจันทร์
เป็นนิทานแห่งขุนเขา
ขึ้นต้นด้วย.....

นานมาแล้ว........
กระต่ายหลงรักดวงจันทร์..
หลงรักจนหมดหัวใจ..
ทุกวันเจ้ากระต่ายตัวน้อย
จะเฝ้ารอเพียงแต่ว่า...
เมื่อไหร่ดวงอาทิตย์จะลาลับขอบโลก
และเมื่อไหร่ดวงจันทรา
จะขึ้นมาเยือนฟากฟ้าเสียที

เพียงแค่เห็นเสี้ยวจันทร์
กระต่ายก็ดีใจจนแทบจะเต้นรำหั้ยพระจันทร์ดู
และยิ่งได้เห็นจันทร์เต็มดวง
กระต่ายก็จะทำอะไรไม่ได้
นอกจากนั่งนิ่งๆ
และเฝ้ามองพระจันทร์อยู่อย่างนั้น
จวบจนกระทั่งรุ่งเช้า
ที่จันทราต้องเอ่ยคำลาฟากฟ้าไป
และแน่นอน...คืนไหนที่ไร้จันทร์
กระต่ายจะหลั่งน้ำตาริน
ดวงดาวนับล้านนับพันบนท้องฟ้า
ก็มิอาจมีค่าเท่าดวงจันทราเพียงดวงเดียว

แต่กระต่ายก็อาภัพ
จันทร์ไม่เคยเห็นแม้แต่เงาของกระต่าย
เพระพระจันทร์หลงรักพระอาทิตย์
แม้ไม่ได้อยู่ร่วมกัน
แต่เพียงได้พบกันไม่กี่นาที
บนฟากฟ้าทั้งยามเย็นและยามเช้า
เท่านั้นก็พอแล้วสำหรับพระจันทร์

เพระพระอาทิตย์...
อยู่ในดวงใจของพระจันทร์เสมอ
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม
...เพระรักที่เฝ้ามอบหั้ย...
...สายตาที่เคยมองหา...
...จันทราไม่เคยรับรู้...
แต่ก็ดูเหมือนกระต่ายจะไม่โชคร้ายเกินไปนัก
เพราะคำอ้อนวอนสุดท้ายของกระต่ายตัวนั้น
ล่วงรู้ไปถึงหูของเทพเจ้าบนสรวงสวรรค์
ท่านสงสารกระต่ายอาภัพตัวนั้นนัก
ท่านจึงประดับภาพของกระต่ายลงบนดวงจันทร์
กระต่ายดีใจแม้จะรู้ว่า
หัวใจของพระจันทร์
ยังคงมอบหั้ยพระอาทิตย์
...ตลอดมาและตลอดไป...
แต่กระต่ายก็ยังดีใจ..
ที่อย่างน้อยๆ
ก็ยังมีกระต่ายในดวงจันทรา..

คือตำนานกระต่ายในเงาจันทร์.....

ทุกข์มีไว้ให้เห็น ทุกข์ไม่มีไว้ให้เป็น
คนส่วนมากมักจะ "เป็น" ทุกข์
มีเพียงส่วนน้อยที่จะ "เห็น" ทุกข์

"คุณรู้จักของขวัญชิ้นนี้บ้างมั้ย ???
ของขวัญที่ไม่ได้อยู่ในกล่อง
แล้วผูกโบว์สีสวย
ไม่จำเป็นต้องให้กันเฉพาะโอกาสพิเศษ
แต่สามารถมอบให้กันได้ทุก ๆ วัน
ของขวัญที่แสนจะเรียบง่าย
แต่เต็มไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง
สามารถทำให้ผู้รับ เกิดพลังมากมาย
ของขวัญที่ใคร ๆ
ต่างรอคอยที่จะได้รับจากคนอื่น
ของขวัญชิ้นนี้
ชื่อ กำลังใจ
ของขวัญที่ยิ่งแจกจ่าย
ก็ยิ่งได้รับกลับคืน"

"การที่ต้นไม้ต้องตายไป
อาจไม่ใช่ความผิดของต้นไม้
เพระไม่มีต้นไม้ค้นไหนในโลก ที่ไม่อยากโต
และไม่มีหัวใจดวงไหนในโลกนี้...
ที่ไม่ต้องการความรัก

และถ้าเอาวิธีปลูกต้นไม้อีกชนิดหนึ่ง
มาใช้กับต้นไม้อีกชนิดหนึ่ง
ถ้าเลี้ยงผิดวิธี
แล้วต้นไม้ของเราจะเติบโตได้อย่างไร"



นำมาจาก http://www.bloggang.com/viewdiary.php?i ... 2&gblog=11

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2010, 22:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




5.bmp
5.bmp [ 254.94 KiB | เปิดดู 11790 ครั้ง ]
นาฬิกาบนหัวเตียง


ทุกอย่างเริ่มสว่างขึ้น...

จากแสงที่ส่องผ่านหน้าต่างลงมา และเสียงนกตัวเล็กๆร้องนั้นทำให้ผมรู้ว่าเวลานี้เป็นเวลาเช้าแล้ว
แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังอยากจะซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มนานๆ กอดสัมผัสความนุ่มที่ได้รับบนเตียงนอนแห่งนี้
ราวกับมันจะช่วยทำให้ผมอุ่นใจขึ้นมาบ้าง

ผมไม่ได้ขี้เกียจอะไรหรอกนะ เพียงแต่ว่าผมไม่อยากจะลุกไปไหนหรือทำอะไรทั้งสิ้น

ด้วยเรื่องที่ค้างคาใจบางอย่าง ที่ติดค้างต่อเนืองมาค่อนข้างยาวนาน...
ผมค่อนข้างจะแน่ใจทีเดียว
และคิดเสมอ นับตั้งแต่วันนั้น


ผมเป็นคนมีบาป

บาปซึ่งเกิดจากความไม่รู้

ความทรงจำวันนั้นยังคอยตามหลอกหลอนผมเรื่อยมา
ทำให้ผมต้องทุรนทุรายใจอยู่ร่ำไป

ผมจึงต้องขอยกบาปทั้งหมดให้กับความไม่รู้นั้น

ซึ่งนั้นก็คือ


ตัวผมเอง...

กริ๊ง~กริ๊ง~ กริ๊ง~ กริ๊ง~ !!!

เสียงนาฬิกาปลุกบนหัวเตียงดังขึ้น ถึงเวลาตื่นแล้วแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันหยุดยาวก็ตาม
ผมก็ยังคงถอนหายใจและนอนนิ่งกอดหมอนนุ่มๆอยู่บนเตียง น้ำตาหยาดหนึ่งค่อยๆเลื่อนหล่นลงมา
จากดวงตาที่หลับพริ้ม ผมค่อนข้างแน่ใจทีเดียวว่าผมทำใจกับเรื่องในวันนั้นไม่ได้
ก็เลยต้องทุกข์ใจเรื่อยมา ผมเชื่อว่า ต่อให้เป็นใครก็คงทำใจไม่ได้หรอก ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็..

เสียงนาฬิกาปลุกยังคงดังต่อเนืองจนน่าหนวกหู แต่ผมก็ยังไม่ยอมเอื้อมมือไปปิดมัน

จนกระทั้ง...

“โว้ยย!!! ตื่นได้แล้ว!! ไอ้ขี้เซา เดี๊ยวพ่อถีบตกเตียงซะนี่!!!”

เสียงผู้ชายปริศนาดังขึ้นจนผมต้องรีบนั่งขึ้นมานั่งเพื่อดูว่าเป็นใคร.. แปลกที่สุด!
เสียงนั้นไม่ใช่เสียงแก่ๆของคุณพ่อ และแน่นอนว่าผมเป็นลูกคนเดียวด้วย ไม่มีผู้ชายหน้าไหน
อยู่บ้านนี้นอกจากพ่อกับผม!!! แล้วก็ไม่น่าจะใช่คุณเพื่อนๆด้วย เพราะคุณแม่คงไม่ปล่อย
ให้มาปลุกถึงที่ห้อง แต่พอเห็นตัวการปล่อยเสียงก็แทบจะหงายตกเตียงทันที เพราะสิ่งนั้นก็คือ...

แมวน้ำหน้าโปลิ่ง

กำลังทำท่าเท้าสะเอวลอยอยู่บนอากาศ ใบหน้านิ่วคิ้วขมวด

เฮ้ยยยย!!! ผมฝันไปเหรอเนี่ยยยย!! ม่ายยยย ผมต้องประสาทหลอนไปแล้วแน่ๆ ม่ายยยยยย!!!~~

“แกน่ะ จะอ้าปากหวอเรียกแมงวี่ไปถึงไหน ได้เวลาตื่นแล้วไม่ใช่เหรอ เราล่ะเซ็งจริงๆกะไอ้คนประเภทนี้
มีนาฬิกาปลุกไว้ฟังเล่น แล้วก็ยังจะนอนต่ออีก”

เจ้าแมวน้ำหน้าโปลิ่งนั้นก็ยังพูดต่อไปโดยไม่สนใจว่าผมจะอ้าปากหวอแค่ไหน ดะ... เดี๊ยวสิ
ผมต้องฝันไปแน่ๆเลย ใช่ไหม?? แต่ว่าจากช่วงชีวิตที่ผ่านมา ผมไม่เคยมีอาการอะไรประเภทนี้มาก่อน
ดังนั้นประเด็นประสาทหลอนผมขอผ่านอย่างเด็ดขาด แล้วแมวน้ำนี้มันผุดขึ้นมาจากไหนน่ะ?

“แก เป็น ใคร?”

ผมถามมัน

“ถามว่าเราคือใครน่ะเหรอ?” แมวน้ำทำหน้าครุ่นคิดอยู่แปปหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจแสยะยิ้ม
“เราก็มาจากนาฬิกาปลุกบนหัวเตียงนอนของนายไง เราเห็นนายเป็นแบบนี้มาหลายวันแล้ว
อาการที่แบบว่านาฬิกาปลุกแล้วก็ยังไม่ยอมลุกจากที่น่ะ เราทนไม่ไหวก็เลยต้องออกมา
ว่ากล่าวกันหน่อย แล้วยังไม่ปิดนาฬิกาปลุกอีกเหรอ จะต้องให้เราใช้พลังงาน
ในการเปล่งเสียงไปถึงไหนกัน กดปิดได้แล้ว”

แมวน้ำพล่ามเสียยาวเหยียด ผมก็เลยต้องเอื้อมมือไปปิดนาฬิกาปลุกตามที่มันบอก นาฬิกาปลุก
เรือนเหล็กที่แสนธรรมดาไม่มีส่วนไหนที่ดูคล้ายกับส่วนของแมวน้ำสักนิด.... แปลกใจจริงๆให้ดิ้นตาย
จะว่าไปแล้วเสียงของนาฬิกาปลุกก็ทำเอาผมหูชามาได้ระยะหนึ่งแล้วล่ะ ว่าแต่ไอ้แมวน้ำนี่..
ที่มันพูดมาแสดงว่ามันเป็นวิญญาณที่ออกมาจากนาฬิกาปลุกอะเหรอ? ไร้สาระจริงๆเลย

ผมก็เลยทำหน้ามึนๆใส่ แล้วชี้ไปที่นาฬิกาปลุกเรือนนั้น “แล้วออกมาทำไมอะ...
กดปิดเสียงแล้ว กลับเข้าไปได้แล้ว”

“เรายังกลับไม่ได้หรอก” เจ้าแมวน้ำบอก “เพราะว่า ดูเหมือนว่านายกำลังมีปัญหาเรื่องของเวลาอยู่”

“ปัญหาอะไร เจ้าแมวน้ำ” ผมถามกลับ

“เวลาของนาย... กำลังหยุดเดินน่ะ” มันบอก

ผมก็เลยต้องทำหน้ามึนมากกว่าเดิมอีก

“เวลาของผมเดินเป็นปกติ จะหยุดเดินได้ยังไง ใกล้เจ๊งแล้วใช่ไหมเนี่ย?”

“ไม่ใช่ บ้าแล้ว! เราหมายถึง เวลาของนาย.. มันหยุดเดินไปบางส่วน จริงๆ”

“งั้นเหรอ?” ผมเลิกคิ้ว แล้วก็ถอนหายใจออกมานิดๆ ก่อนจะทำใจยอมรับสภาพความจริง

“เอาล่ะ ผมชื่อ นภัส นักเรียนม. 5 ปีนี้อายุ 17 แล้วนายล่ะ”

“เราไม่มีชื่อหรอก นายอยากเรียกเราว่าอะไรก็ตามสบายเลย ตามชื่อของนาฬิกานั้นแหละ”
แมวน้ำหน้าโปลิ่งบอก

ผมเริ่มยิ้มออกมา...

ยิ้มให้กับ วิญญาณบ้าๆตัวหนึ่งที่มารบกวนเวลาของผมแต่เช้า

เอาล่ะ ผมจะตั้งชื่อมันว่า อะไรดีน้า~

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 01 ก.พ. 2010, 00:43, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2010, 00:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมชื่อ นภัส เป็นนักเรียนม. 5 อายุ 17 ปี เป็นเด็กไทยธรรมดาคนหนึ่งที่หน้าตาดี
อันนี้ต้องขึ้นอยู่กับดุลวินิจของผู้ชมด้วย แต่ตอนเช้าของวันนี้ ผมถูกรบกวนด้วยวิญญาณ
แมวน้ำหน้าโปลิ่ง ที่ผุดออกมาจากนาฬิกาปลุกเรือนเหล็กเชยๆเรือนหนึ่งบนหัวเตียงของผม
แล้วมาบอกว่า ที่มันต้องปรากฏกายเนี่ย เป็นเพราะเวลาบางส่วนของผมหยุดเดินไปแล้ว
ยิ่งคิดยิ่งงง ก็เลยไม่ได้สนใจอะไรนัก สุดท้ายผมก็ต้องตั้งชื่อให้ หลังจากถกเถียงทะเลาะกัน
เรื่องชื่อเพราะไม่เพราะอยู่นาน ผมก็เลยขอเรียกมันอย่างง่ายๆว่า

“ซิลว์ (Seal)”

ตอนนี้เป็นเวลา 8 โมงแล้ว ผมเดินลงมาจากชั้นบนเพื่อมาหาอะไรกิน โดยมีวิญญาณแมวน้ำ
ลอยตามมาไม่ห่างนัก

คุณแม่ของผมทำอาหารเสร็จแล้ว และวางอยู่บนโต๊ะกินข้าวพร้อม

ผมสนทนากับท่านนิดหน่อย จึงแน่ใจว่าคุณแม่มองไม่เห็นวิญญาณนาฬิกาปลุกเรือนนั้น
สุดท้ายคุณแม่ก็ออกไปทำงานโดยทิ้งให้ผมอยู่บ้านคนเดียวเหมือนวันหยุดที่ผ่านมาเช่นเคย

ลืมบอกไปว่า ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ทำให้ทุกวันคือเวลาว่าง
ปิดเทอมมาได้ประมาณเดือนหนึ่งแล้วล่ะ

หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จ ผมก็เลยเงยหน้าถามแมวน้ำที่ลอยอยู่ตรงหน้า

“ไม่มีใครเห็นซิลว์นอกจากผมเหรอ?”

“คนที่จะเห็นเราได้ ก็เฉพาะคนที่มีปัญหาเรื่องเวลา เท่านั้นแหละ” มันบอก

“ผมไม่มีปัญหาเรื่องเวลาอะไรหรอก นายมาหาผิดคนซะแล้ว” ผมใช้แขนเท้าบนพนักพิงแล้วหัวเราะ

“ช่วงนี้มีเรื่องไหนที่ค้างคาใจนภัสอยู่หรือเปล่า”

“ไม่มีหรอก”

“ต้องมีสิ” มันเถียง

ตรงหลังบ้านของผมมีสวนเล็กๆอยู่หน่อยหนึ่ง รอบด้านนั้นตกแต่งด้วยไม้ดอกสวยงาม
ส่วนตรงกลางนั้นคือที่ว่างสำหรับทำกิจกรรมกลางแจ้ง เป็นสถานที่ผมจะมาฝึกซ้อมเดาะบอลบ่อยๆ
ตอนที่มีเวลาว่าง แดดยามเที่ยงทอดตัวลงมาทำให้ผมต้องยกแขนขึ้นปาดเหงื่อ แต่ผมก็ยังคง
ใช้ขาเดาะบอลต่อไปอย่างไม่ยอมหยุดพักง่ายๆ เสียงหอบหายใจแทบจะเป็นเสียงเดียว
กับเสียงบอลกระทบขาจริงๆ

“ถ้าจะมีปัญหาจริงๆล่ะก็ คิดว่าคงมีอยู่เรื่องเดียว” น้ำเสียงที่ผมพูดออกมานั้น
ปนเสียงหอบหายใจออกมาด้วย

“เรื่องอะไรล่ะ” วิญญาณแมวน้ำยังคงเวียนว่ายอยู่แถวนั้น แล้วก็ทำตาโปลิ่งใส่ผมตลอดเวลา

“ที่แน่ๆ ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับเวลาแน่ๆ” ผมบอก หยุดพักแปปหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อไป
“มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในวันปิดภาคเรียนการศึกษาม. 5 น่ะ ถึงเวลาจะผ่านมาร่วมเดือนแล้ว
แต่ผมก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี”

ผมผ่อนลมหายใจออกมานิดหนึ่ง “รู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลา ซิลว์เคยรู้สึกว่าตัวเองมีบาปมากๆหรือเปล่า”

แล้วผมก็หยุดเดาะบอล ถือบอลไว้ในมือราวกับมันกำลังตำหนิผมอยู่

“มันไม่ยอมหายไปไหนเลย เรื่องที่ผมทำลงไปมันยังคงตามหลอกหลอนผมเรื่อยมา
ผมรู้สึกผิด กับเรื่องวันนั้นมาก มันไม่ยอม... ที่จะ ให้อภัยตัวเองเลย”

ทุกคืนที่หลับฝัน ความทรงจำก็จะเฝ้าทบทวนแต่เรื่องวันนั้น
พอลืมตาขึ้นมา ก็มีแต่หมอกสีเทาเลือนลอยไปมา
ทุกครั้งที่นึกถึง ก็พบว่าตัวเองอยู่ในหลุมที่แสนมืดมิดไม่มาทางขึ้นมาได้
รู้ดีว่าไม่มีใครสามารถช่วยออกมาได้ ไม่เว้นแม้แต่ตัวเอง
ไม่เคยให้อภัยตัวเองได้เลย
ความเศร้าเสียใจ ความผิดหวัง ความรู้สึกว่าวันพรุ่งนี้มันช่างไร้ค่าไร้ความหมาย
เพราะว่ารู้ตัวว่าตัวเอง
มีความผิดที่ยากเกินให้อภัย...

บาปที่ฝังใจมาตลอดเวลาที่เนิ่นนาน..


“นภัสอยากจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขเรื่องวันนั้นใช่ไหมล่ะ”

ประโยคที่ซิลว์เอ่ยออกมา กระแทกใจผมอย่างแรงจนผมต้องเงยหน้ามองมันอยู่นาน ก่อนจะนึกออก

“เออ! ใช่ นายเป็นวิญญาณนาฬิกานี่นา ย้อนเวลาให้ผมหน่อยได้ไหม ให้ผมได้กลับไปแก้ไข
เรื่องเมื่อวันนั้น แค่วันเดียว แค่ชั่วโมงเดียวได้ไหม?”

ผมรีบเดินเข้าไปหาซิลว์ แล้วพูดอย่างรวดเร็วอย่างที่คนเริ่มมองเห็นแสงแห่งความหวัง
แสงที่ปรากฏกายอยู่ริบหรี่บนปากหลุมที่แสนลึกแสนมืด หลุมแห่งความรู้สึกผิด

“เกิดอะไรขึ้นกับเรื่องวันนั้นเหรอ?” ซิลว์ถาม

แล้วผมก็นึกย้อนกลับไป

ราวกับว่าเวลาได้หมุนกลับไปเวลานั้นจริงๆ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 01 ก.พ. 2010, 00:45, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2010, 00:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ในวันสุดท้ายของภาคการเรียนชั้นมัธยมที่ 5 ผมกำลังนั่งรอการมาของใครบางคน
อยู่ตรงม้านั่งในสวนหย่อมของโรงเรียน อาคารเรียนอยู่ข้างๆตัวผม ให้ความรู้สึกว่า
หลังจากวันนี้ไปเราจะไม่ได้เจอกันสักช่วงใหญ่ๆล่ะนะ แต่มันก็ไม่มีอะไรที่เสียความรู้สึก
เท่าเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้

รออยู่เนิ่นนานเธอก็ไม่มาสักที จนผมต้องเฝ้ามองนาฬิกาข้อมือเสียหลายรอบ

ผ่านไป 1 ชั่วโมงแล้ว

เหล่าเพื่อนๆทั้งหลายที่สอบเสร็จพากันจับกลุ่มคุยกัน จากนั้นก็พากันไปเที่ยวในวันสุดท้าย
ของภาคเรียน เพื่อคลายเครียดหลังสอบ ผมไม่ได้ไปกับพวกเขา เพราะว่าผมกำลังรอ
การมาของเธอ ตอนนี้ก็น่าจะสอบเสร็จแล้ว ทำไมถึงยังไม่มานะ หรือว่ากำลังคุยกับเพื่อนๆอยู่
ก็วันนี้วันสุดท้ายของภาคการเรียนนี่นา ไม่เป็นไรถ้าผมจะรอต่อไป

จนกระทั้งในที่สุด เธอก็มา

“สา” คือชื่อเล่นของเธอ เด็กสาวที่เรียนอยู่ห้องติดๆกันกับผม ใบหน้าขาวจิ้มลิ้มดูดี
ดวงตาใสเปล่งประกายสีดำคลับ ทรงผมสั้นคลอเคลียแก้มนวล แม้ว่าจะไม่ใช่คนสวยนัก
แต่เธอก็น่ารักและดูดี

ใช่แล้วล่ะ ผมและเธอ เป็นแฟนกัน

เรารักกันมากจนผมคิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จะได้เจอหน้ากันทุกวันในวันที่มาโรงเรียน
จะได้พูดคุยกันทุกวันหลังจากปิดเทอม จะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไปในชีวิตประจำวัน
ที่เหมือนทุกวันเช่นเคย มันน่าจะเป็นแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆโดยที่ไม่มีอะไรจะมาขวาง
ความสุขเล็กๆน้อยๆแบบนี้ ผมคาดหวังว่าจะเป็นเหมือนคู่รักคนอื่นๆ เราไม่มีอะไรต้องปิดบังกัน

แต่สิ่งที่สาพูดมา ทำให้ทุกอย่างที่ผมคิดไว้พังทลายลง

ด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มใจ และดวงตาชุ่มน้ำที่เหมือนจะร้องไห้ เธอก้มหน้าแล้วก็เอ่ยออกมา

“ณะ... คือว่าณะ เรื่องต่อไปนี้ที่สาจะพูด สาต้องขอโทษณะจริงๆ”

“มีอะไรเหรอ?” ผมตกใจจนต้องลุกขึ้นไปหาเธอ

“ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ สาต้องไปอยู่ที่ต่างประเทศน่ะ ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกณะล่วงหน้า
สาขอโทษจริงๆ เพราะว่าสาไม่กล้าบอก”

“โกหกน่า! จะต้องไปจริงๆเหรอ พูดเล่นใช่ไหม??” สมองผมแทบหยุดทำงานในทันใด
ถามอย่างหัวใจสั่นระรัวโดยที่คนตรงหน้ายังมีสีหน้ารู้สึกผิดอยู่มาก

“พ่อแม่ของสาได้งานใหม่ที่นั้น พอปิดเทอมแล้วก็เลยตั้งใจจะย้ายไปอยู่ที่นั้นเลย ความจริงแล้ว
สาก็รู้ล่วงหน้าได้เดือนหนึ่งแล้วล่ะ แต่ว่าสาไม่กล้าบอก ก็เลยต้องมาบอกณะ วันนี้”

ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น... ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเหรอ... ทำไม ทำไม..
ต่อจากนี้จะไม่ได้เจอเธอ แม้การพูดคุยก็จะไม่ได้ทำอีกต่อไป ทั้งน้ำเสียง ใบหน้ายิ้มแย้ม
สถานที่ที่จะไปเที่ยวในตอนปิดเทอมด้วยกัน

ทำไมเธอถึงได้พรากทุกอย่างไปโดยที่ไม่เหลือเวลาให้ผมทำใจแม้แต่น้อย ทำไม ทำไม!!!
เธอเห็นผมเป็นอะไร เป็นแฟนจริงๆเหรอ

ถึงได้ทำกับผมแบบนี้

“สาขอโทษนะ ยกโทษให้สาได้ไหม?”

“สาคิดว่าอยากจะทำอะไรก็ทำ ใช่ไหม.. ทำไมถึงไม่บอกณะ พอกันที สาคิดว่าจะไปไหน
ก็ไปได้ใช่ไหม?”

ผมพูดด้วยอารมณ์โกรธ ความผิดหวังก่อกำเนิดในใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

“สาจะไปที่ไหนก็ไปเถอะ ณะผิดหวังมาก อย่างน้อยให้ณะรู้ก่อน ก่อนที่สาจะไปไม่ได้เหรอ
ให้ณะได้รู้สึกเตรียมตัว ให้ณะได้รู้ว่าสากำลังจะไป ไม่ใช่จู่ๆมาบอกว่าจะไปแบบนี้ ทำไมสา
ถึงไม่สนใจความรู้สึกของณะบ้างละ ณะวางแผนไว้ว่าปิดเทอมเราจะไปไหนกันบ้าง
แต่ทำไมสาต้องมาทำแบบนี้!”

“สาไม่กล้าบอก เพราะว่าสาไม่อยากให้ณะคิดมากนะ สาขอโทษจริงๆ”

สาเริ่มร้องไห้ แต่ผมไม่สนใจอีกต่อไป...

ถ้าเทียบความรู้สึกแล้ว ผมว่าตัวผมเองเจ็บกว่าสา
เจ็บทั้งการถูกปิดบัง เจ็บทั้งที่สามาทำลายความฝัน
เจ็บที่... ผมไม่มีโอกาสได้เตรียมตัว

กะทันหัน เหลือเกิน

“จบกัน แค่นี้เถอะ ณะไม่อยากเจอสาอีก”

พอแล้ว พอกันที ผมไม่อยากรู้สึกเจ็บมากไปกว่านี้ พอแค่นี้เถอะ

ผมพูดแบบนั้นออกไปด้วยอารมณ์โกรธ ด้วยความรู้สึกที่ด้านชาไปพักใหญ่ๆ
สาใช้มือปิดหน้าแล้วเริ่มร้องไห้

“พอกัน แค่นี้”

แล้วผมก็เดินจากไป โดยทิ้งเธอผู้เป็นที่รักไว้ข้างหลัง

เสียงร้องไห้และขอร้องดังตามหลังมา

แต่ผมในตอนนั้นไม่ได้สนใจ ไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง

มีแต่ความคิดในหัวที่ปะทุออกมาราวกับลาวาที่เดือดพล่าน

พอกันที!

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2010, 01:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


“พอกันทีเถอะ ความทรงจำแบบนั้น!” ผมแทบจะตะโดนออกมาโดยใช้มือกุมศีรษะของตัวเองไว้
เพื่อหวังว่าจะไม่นึกย้อนอะไรไปมากกว่านี้

“วันนั้น ผมไม่น่าพูดกับสาแบบนั้นเลย” ผมพูดต่อไปโดยมีความรู้สึกที่หนาแน่นกดทับลงมา
จนหายใจไม่ออก “ผมรู้สึกผิดมากที่พูดกับสาแบบนั้น ผมก็แค่โกรธแล้วก็ตกใจมาก
แต่ว่าสิ่งที่ทำลงไปมันร้ายแรงกว่าที่ควรจะเป็น ผมพึงมาสำนึกเอาได้ทีหลังว่าไม่ควรพูดแบบนั้นออกไป
เธอร้องไห้หนักมากเลยตอนนั้น ต่อจากนั้นเธอก็คงจะรู้สึกเกลียดคนงี่เง่าแบบผมมากแน่ๆ
ถ้าจะจากกันจริงๆ ผมอยากจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขช่วงเวลานั้นให้มันไม่เป็นแบบนั้น
ไม่ให้มันจบแบบนั้น ไม่ให้เธอต้องเสียใจ ไม่ให้ผมต้องรู้สึกผิดโดยที่ไม่มีโอกาสได้พูดคุย
ได้อธิบายปรับความเข้าใจกับเธออีก ซิลว์เข้าใจใช่ไหมว่าผมรู้สึกยังไง
เพราะฉะนั้นถ้าย้อนเวลากลับไปล่ะก็ ผมจะไม่พูดแบบนั้น”

“ณะ” สีหน้าเศร้าๆของแมวน้ำหน้าโปลิ่ง โบกครีบขึ้นเหมือนจะพยายามปลอบ

“หลังจากวันนั้น ทุกวันที่ตื่นขึ้นมาไม่เคยมีความสุขเลย ในใจก็เอาแต่คิดถึงเรื่องวันนั้นแล้วก็โทษตัวเอง
ไม่มีโอกาสแก้ตัวแล้ว ผมให้อภัยตัวเองไม่ได้เลย มันทรมานนะ! ถ้าได้กลับไปแก้ไขเรื่องวันนั้นล่ะก็
ซิลว์เข้าใจใช่ไหม???”

“ณะ ฟังที่เราพูดก่อนนะ” ซิลว์โบกครีบไปมา

ผมจึงยอมสงบลง

“ณะไม่คิดเหรอว่า เรื่องที่เกิดขึ้นน่ะ มันเป็นเรื่องที่ถูกกำหนดไว้ เพราะว่าณะไม่รู้
ณะก็เลยต้องทำแบบนั้น”

ก้อนความเศร้าคลื่นใหญ่ขึ้นมาจุกที่คอ ต่อไปช่างเป็นเรื่องที่ยากเย็นเหลือเกิน
ถ้าผมจะพูดออกมาได้ด้วยน้ำเสียงปกติ

“ย้อนเวลากลับไปแก้ไข ไม่ได้เลยเหรอ? ซิลว์จะทำให้ผมผิดหวังใช่ไหม?”

“เวลาน่ะ จริงๆแล้วมันไม่มีตัวตนหรอก” แมวหน้าหน้าโปลิ่งพูดด้วยสีหน้าเห็นใจ
“มันคือสิ่งที่มนุษย์เรียกขึ้นมา เวลาเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีการย้อนกลับ
ไม่มีการหวนคืนกลับ ไม่มีใครสามารถแก้ไขอดีตหรือความผิดใดๆให้ตัวเองได้
แม้ว่าจะปรารถนามากเพียงใดก็ตาม แต่เวลา ก็ยังเดินหน้าต่อไปไม่มีวันหยุด
และไม่มีวันถอยหลัง ทุกสิ่งทุกอย่างเดินหน้าต่อไปพร้อมกับเวลา”

“ถ้าทุกอย่างถูกกำหนดเอาไว้ตามที่ซิลว์พูดล่ะก็ การที่ผมต้องมาเสียใจแบบนี้
ผมก็ต้องโทษพระเจ้าใช่ไหม???”

ผมเริ่มจะโกรธขึ้นมา

“ไม่ใช่หรอก เราจะโทษความผิดให้กับคนอื่นไม่ได้นะ ตัวเราต่างหากที่เป็นผู้กำหนด”
ซิลว์เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เพราะว่า ความไม่รู้ของณะได้กำหนดให้ณะทำแบบนั้นออกไปอย่าง
ไม่มีทางเลือก ณะคงคิดว่าถ้าณะรู้ ณะก็คงจะไม่ทำมันใช่ไหมล่ะ แต่ในเมื่อณะไม่รู้
มันก็เลยถูกกำหนดให้เป็นแบบนั้นไง ส่วนวิธีที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีกก็คือ
ณะสามารถเลือกที่จะรู้ หรือไม่รู้ ต่อไปก็ได้ แล้วสิ่งนั้นจะเป็นตัวกำหนดสิ่งที่ณะจะทำต่อไป”

ผมผ่อนลมหายใจยาวๆ แล้วฟังวิญญาณแมวน้ำพูดต่อไป

“เราเจอมาหลายรายแล้วล่ะ แบบที่เฝ้าคิดแต่ว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ก็จะไม่ทำอย่างนั้น อย่างนี้
เพราะว่าเอาแต่ใช้เวลาที่มีอยู่จมอยู่กับอดีต เวลาที่จะก้าวหน้าต่อไปจึงหยุดนิ่ง
พวกนี้คือพวกที่หยุดเวลาของตัวเองเอาไว้ เราไม่เคยใช้ชีวิตแบบมนุษย์หรอกนะ
ก็เลยไม่รู้ว่าทำไมมนุษย์ถึงได้ผูกพันกับเรื่องของเวลาเอาเสียมากมาย แต่ว่าเรื่องเวลาน่ะ
เป็นเรื่องที่เรารู้ดีที่สุด มันไม่มีตัวตน และทุกอย่างจะเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆพร้อมกับเวลา
ต่อให้อยากจะกลับไปแก้ไขยังไง มันก็ทำไม่ได้แล้วล่ะ เพราะฉะนั้นหลังจากที่รู้แล้วว่า
ไม่ควรที่จะทำอย่างนั้น ก็ควรจะเดินหน้าต่อไปโดยที่จะไม่ทำมันอีกสิ เรารู้ดีว่าการจมอยู่กับอดีต
มันไม่ได้ช่วยแก้ไขอะไรน่ะ สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดก็คือต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น”

“ทำได้แค่นั้น... ใช่ไหมล่ะ” ผมถอนหายใจเบาๆ รู้สึกใจชื้นขึ้นมานิดหนึ่ง แต่ก็ยังผิดหวังอยู่

“ณะไม่ผิดหรอกที่จะไม่รู้ มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ทั้งนั้น ต่อไปสิ่งที่ณะทำได้
ก็คือการรู้ รู้ก่อนที่ทุกอย่างจะถูกกำหนดเอาไว้ แล้วจะแก้ไขอะไรไม่ได้อีก”

“อือ” ตอบรับในลำคอ

“เราเข้าใจณะนะ และเราก็คิดว่า คนที่รักณะก็จะเข้าใจด้วย ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัย
แม้แต่น้อย แต่ก็ไม่มีอะไรที่ดีที่สุดนอกไปจากการให้อภัยตัวเองนะ”

แล้วผมก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นมา อยากจะบอกว่าเพียงเล็กน้อยนะ เพราะว่าความผิดที่ผมทำลงไป
มันก็ไม่ได้หายไปไหนนี่นา?

ย้อนเวลากลับไปแก้ไขก็ไม่ได้ ความทรงจำก็ยังคงเดิมทุกอย่าง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

แต่ภาพเบื้องหน้าก็ให้ความรู้สึกว่าเมฆหมอกหนาค่อยๆบรรเทาลงไป จนเหมือนกับว่าจะสามารถเห็น
วันพรุ่งนี้ที่สดใส

ได้อีกครั้งหนึ่ง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 21:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



เช้าวันรุ่งขึ้นถัดมา เป็นเช้าที่ผมเริ่มสามารถสัมผัสได้ถึงเสียงไพเราะของนกน้อย
และแสงแดดอบอุ่น ที่ทอดตัวลงมาจางๆ

สายลมเย็นๆพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างเป็นระลอกๆ เป็นเช้าที่ดูสดใส แล้วผมก็ลืมตาตื่นขึ้นมา

เอื้อมมือไปปิดนาฬิกาปลุกเชยๆตรงหัวเตียงที่ยังไม่ถึงเวลาส่งเสียงเสียก่อน

แล้วนั่งนึกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ก่อนจะยิ้มให้กับตัวเองแล้วเดินลงไปชั้นล่าง

ตรงหลังบ้านที่เป็นลานกลางแจ้ง ผมใช้เวลาว่างในการฝึกซ้อมเกมกีฬาต่อไป

ผมนึกถึงใครบางคนที่เคยลอยไปมาอยู่แถวนี้ เพื่อพูดคุยกับผม และเฝ้าดูผม จากนั้นก็ช่วยดึงผม
ขึ้นมาจากหลุมอันแสนมืดมิด

ผมรู้สึกขอบคุณเขา เพื่อน วิญญาณนาฬิกาปลุกที่ผมได้เจอ ได้พูดคุยกันแม้เพียงแค่วันเดียว
แต่เหมือนสนิทกันเป็นปีๆ

ถึงแม้ว่าต่อจากนี้ไปผมจะไม่ได้เจอซิลว์อีกก็ตาม แต่ผมจะไม่ลืม

ผมเชื่อว่าตอนนี้ ซิลว์เองก็คงจะไปช่วยคนอีกหลายๆคนที่กรณีคล้ายๆกับผม
เขาเองก็คงจะช่วยต่อไป โดยผ่านทางนาฬิกาปลุกตามสถานที่ต่างๆ

เขาอาจจะเดินทางไปยังสถานที่ห่างไกล หรือใกล้ แม้ว่าจะไม่ได้เจอกันอีก
แต่ผมก็จะจดจำเขาตลอดไป เพื่อที่จะเตือนตัวเองไว้ด้วย

เป็นวิญญาณนาฬิกาปลุกที่ดีมากๆเลย ผมคิดเช่นนั้น

และจะตราตรึงในความทรงจำของผมไปจนวันตาย


สำหรับยามสายๆของวันนี้ผมก็ยังคงฝึกซ้อมบอลต่อไป โดยที่ความรู้สึกผิดที่เคยกดทับตัวเอง
จนหายใจไม่ออกนั้นค่อยๆจางลงไป ผมคิดว่าการไม่รู้สึกแบบนั้นอีกมันก็น่าจะดี เพราะว่ามัน
จะไม่ทำให้ทุกข์ แต่ดูเหมือนว่าผมก็ยังต้องรู้สึกถึงมันบ้าง แม้ว่าจะไม่ชอบใจเท่าไรนักก็ตาม

ผมยังคงเสียใจอยู่หรือเปล่า?

ใช่ ผมเสียใจ เสียใจกับการกระทำที่ผ่านไปแล้วของตัวเอง

แต่ผมก็ต้องเดินหน้าต่อไป

เพราะว่าสิ่งที่ผ่านไปแล้วมันไม่มีโอกาสให้ผมได้กลับไปแก้ไขอีกครั้ง

ดังนั้นสิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุดในตอนนี้

ก็คือ


เดินหน้าต่อไป!!!








ใช่ไหม ซิลว์....



by KANALOVE

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 15:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านจนถึงปัจจุบันแล้วค้า *0*...

แจ่มๆทุกเรื่อง หุหุ ชื่อเราช่างเด่นจริงๆ ><

ตอนนี้กำลังจะแต่งเรื่องต่อไปอยู่คะ พึ่งเริ่มวันนี้ แต่งไปแล้วน้ำตาจะไหล เรื่องมันเศร้า T^T~~~
ชื่อเรื่อง ชีวิตน้อยๆภายใต้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่
Coming soonnnn......


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.พ. 2010, 19:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




BABBU_wallpaper_004.jpg
BABBU_wallpaper_004.jpg [ 18.54 KiB | เปิดดู 11715 ครั้ง ]
เรื่องจริงที่เปี่ยมด้วยความเป็นมนุษย์ เกิดขึ้นในจีนแผ่นดินใหญ่

เรื่องราวของ คนขายเต้าหู้ คือ พ่อฉันผู้เป็นใบ้




ตอนเหนือของมณฑลเหลียวหนิง ประเทศจีน มีเมืองขนาดกลางชื่อว่า เทือกเหล็ก
เกือบทุกเช้าตรู่หรือพลบค่ำ บนท้องถนนกรรมกร จะเห็นผู้เฒ่าเข็นรถขายเต้าหู้ เคลื่อนไปอย่างช้าๆ

ลำโพงที่ต่อกับแบตตเตอรี่บนรถ กระจายเสียงใสของหญิงสาว
" เต้าหู้มาแล้วจ้า เต้าหู้อ่อนสูตรโบราณ เต้าหู้อร่อยจ้า "
เสียงนี่เป็นเสียงของฉัน คนขายคือ พ่อฉัน พ่อฉันเป็นใบ้

ตราบถึงวันนี้ อายุกว่ายี่สิบปีแล้ว ฉันจึงใจกล้าพอที่จะบันทึกเสียงตัวเอง ไว้บนรถขายเต้าหู้ของพ่อ
แทนกริ่งทองเหลืองที่พ่อเขย่ามาหลายสิบปี


อายุแค่ 2-3 ขวบ ฉันก็รู้จักว่ามีพ่อเป็นใบ้น่าอัปนศเพียงใด ดังนั้นฉันจึงเกลียดชังพ่อแต่เล็ก
เมื่อฉันเห็นเด็กบางคนถูกแม่สั่งให้มาซื้อเต้าหู้ กลับหยิบเต้าหู้ไปโดยไม่ได้จ่ายเงิน
พ่อโก่งคอยาว แต่ไม่อาจจะตะเบ็งเสียงออกมา

ฉันไม่อาจทำเหมือนพี่ชายที่ไล่ตามไปต่อยเด็ก ได้แต่เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ปริปาก
ฉันไม่ชังเด็กคนนั้น แต่กลับชังพ่อที่เป็นใบ้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 80 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร