วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 19:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 110 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2010, 20:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา
หากท่านทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นผู้ศรัทธาในศาสนาใดก็ตาม ได้อ่านบทความนี้แล้ว ก็จะเกิดความรู้ความเข้าใจในหลักธรรม หรือหลักการทางพุทธศาสนาได้ดียิ่งขึ้น และขอให้ใช้วิจารณญาณในการอ่าน และคิดพิจารณา ให้เป็นไปตามหลักความจริง หรือหลักธรรมชาติ แห่งสรรพสิ่งทั้งปวง อันเกี่ยวข้อง เชื่อมโยงสัมพันธ์กัน
บทความนี้เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย ที่สามารถอ่านภาษาไทย และมีสมองสำหรับการคิด ในทุกระดับชั้น สามารถพัฒนาความคิด พัฒนาจิตใจตามหลักศาสนา เพื่อการสังคมเป็นอยู่ร่วมกัน ได้เป็นอย่างดี
สืบเนื่องจากการที่ข้าพเจ้าได้เผยแพร่ในเรื่อง ของ "โมกษะดั้งเดิม ก่อนพุทธกาล" อันเป็นหลักธรรม หรือหลักการแห่งข้าพเจ้า “ศรีอาริยเมตไตรย” ดังมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
โมกษะธรรมดั้งเดิมนั้น ประกอบไปด้วย
๑.การครองเรือน ๒.ทาน คือการให้
๓.กตัญญูรู้คุณ(ในสรรพสิ่ง) ๔.การเจรจาติดต่อสื่อสาร
๕.สรรพอาชีพ ๖. ประพฤติ
๗.ระลึก คือ การนึกถึง หรือการหวนนึกถึง
๘. ดำริ คือ การคิด หรือ ความคิด
อันเป็น โลกกุตตรธรรม ,หรือ อัพยากตธรรม, หรือเป็นสัทธรรม
ซึ่งล้วนเป็นเครื่องดิ้นรนแห่งสรรพสิ่ง อันเป็นเหตุทำให้เกิด ทุกข์,สมุทัย,นิโรธ,มรรค
สำหรับ อริยมรรคที่ปรากฏในพระไตรปิฎกนั้น เป็นการประพฤติชั้นพื้นฐานสำหรับปุถุชนคนทั่วไป เป็นพื้นฐานในอันที่จะดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข “ อีกทั้งยังเป็นพื้นฐานการประพฤติ หรือเป็นพื้นฐานการปฏิบัติ หรือเป็นข้อคิดข้อเตือนสติ หรือเป็นข้อวัตรชนิดหนึ่งสำหรับ พระภิกษุสงฆ์ สามเณร โดยเฉพาะ เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติ หรือเครื่องฝึกตน ฯ ไม่ให้เกิดความห่วงหา อาลัยอาวรณ์ ใน ลาภ ยศ สรรเสริญ กามารมณ์หรือ กามคุณ ฯลฯ”
ส่วนคำว่า "โมกษะ" และ "โมกษะธรรม" ข้าพเจ้าจักได้อธิบายให้ท่านทั้งหลายได้เกิดความเข้าใจ พอสังเขป ดังต่อไปนี้.-
โมกษะ มีความหมาย ตามพจนานุกรม ฯ ว่า "ความหลุดพ้น หรือ นิพพาน

“โมกษะธรรม” จึงหมายถึง "ธรรมหรือคำสอน หรือหลักการ หรือธรรมชาติ อันจักทำให้บุคคลที่รู้ ที่เข้าใจ เข้าถึงซึ่งความหลุดพ้น และหรือทำให้ถึงซึ่ง มรรคผล, นิพพาน"
คำว่า "ความหลุดพ้น" หมายถึงหลุดพ้นจากความโลภ ความโกรธ ความหลง อันเป็น กิเลส ตัณหา ยังอาจหมายรวมไปถึงการหลุดพ้นจากวงจรหรือวงโคจรของการเวียนว่ายตายเกิดอีกด้วย (อันนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า มันจะหลุดพ้นในรูปแบบไหน รู้เพียงว่าสามารถขจัดความโลภ ความโกรธ ความหลง ได้ตามต้องการ หรือตามใจของบุคคลผู้มีความรู้ความเข้าใจใน โมกษะธรรม โดยไม่ต้องใช้วิธีอดทน อดกลั้น หรือ ข่มไว้ สะกดไว้ )

โมกษะธรรม ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปในตอนต้นนั้น ก็คือ หนึ่ง ในพระสัทธรรม เหตุเพราะ พระสัทธรรม ในทางพุทธศาสนานั้น ประกอบไปด้วย หรือ มีความหมาย ดังพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับพระธรรมปิฎก ดังนี้.-
สัทธรรม หมายถึง
"ธรรมที่ดี, ธรรมที่แท้, ธรรมของคนดี, ธรรมของสัตบุรุษมี ๓ อย่าง คือ
๑.ปริยัติสัทธรรม สัทธรรมคือสิ่งที่พึงเล่าเรียน ได้แก่ พุทธพจน์
๒.ปฏิบัติสัทธรรม สัทธรรมคือสิ่งพึงปฏิบัติได้แก่ไตรสิกขา
๓.ปฏิเวธสัทธรรม สัทธรรมคือผลที่พึงบรรลุ ได้แก่ มรรคผล และนิพพาน;
สัทธรรม ๗ คือ ๑.ศรัทธา ๒.หิริ ๓.โอตตัปปะ ๔.พาหุสัจจะ ๕.วิริยารัมภะ ๖.สติ ๗.ปัญญา"

เมื่อท่านทั้งหลายได้อ่าน และทำความเข้าใจเกี่ยวกับ สัทธรรมแล้ว ก็จะเกิดความรู้ในระดับหนึ่ง ดังนั้นข้าพเจ้าจึงขออธิบายเพิ่มเติม เพื่อให้ท่านทั้งหลาย ได้เกิดความใจอย่างถูกต้องว่า
สัทธรรม แบ่งเป็น สองชนิด สองอย่าง
อย่างแรก มี ๓ ข้อ
อย่างที่สอง มี ๗ ข้อ

หากท่านทั้งหลายพิจารณาให้ดีแล้ว ก็จะพบว่า สัทธรรม ที่ปรากฏในพระไตรปิฎกนั้น เป็นเพียง "เครื่องมือ หรือ หัวข้อหลัก ในอันที่จะทำให้ผู้เรียน ผู้ศึกษา ได้ ศึกษาค้นหา ค้นคว้า เพื่อให้ได้รู้ เพื่อให้ได้พบ หลักสัทธรรม ทั้ง ๓ ชนิด
ซึ่ง ในสัทธรรม ข้อที่ ๓ อันได้แก่ ปฏิเวธสัทธรรม ก็คือ โมกษะธรรม หรือ โลกุตรธรรม หรือ อัพยากตธรรม อันเป็นธรรมที่จะทำให้ บรรลุมรรคผล และนิพพานนั่นเอง คำว่า ปฏิเวธสัทธรรม นั้น หมายถึง การรู้แจ้ง รู้ตลอด รู้ทะลุปรุโปร่ง สามารถลุล่วงประสบผลจากการปฏิบัติ นั้นย่อมหมายถึง รู้ตัวธรรมะ เพื่อให้บรรลุมรรคผล และนิพพาน อันนี้ต้องทำความเข้าใจให้ดี

ส่วน สัทธรรม ๗ ประการ อันได้แก่ ศรัทธา,หิริ,โอตัปปะ,พาหุสัจจะ,วิริยารัมภะ ,สติ,ปัญญา ก็เป็นเพียง ปัจจัย หรือเครื่องมือในการศึกษา ค้นหา ค้นคว้า หรือเป็นปัจจัยในอันที่จะปฏิบัติธรรม หรือฝึกตน เพื่อให้บรรลุมรรคผล และนิพพานเท่านั้น
เพราะ บุคคล จะสามารถปฏิบัติธรรม หรือจะมีความตั้งใจใคร่เรียนรู้ หรือศึกษา ก็ต้อง อาศัย ความเชื่อเป็นอย่างแรก อีกทั้งยังต้องเป็นผู้ได้รู้เห็น ได้ฟังมีความจำได้นานและดีจนขึ้นใจ สามารถท่องหรือพูดสิ่งที่ได้ยินได้ฟังนั้น อย่างไม่ติดขัด อีกทั้งยังต้องรู้จักระลึกได้ และสามารถนำการได้รู้ได้เห็น ได้ฟังมาคิดพิจารณา ก่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ นั่นก็คือ เกิดปัญญา อีกทั้ง ยังต้องมีความละอาย และเกรงกลัวต่อบาป ไม่ลักขโมย ไม่โกหก หลอกลวง มีความกตัญญู รู้คุณท่านรู้ กตเวที อยู่เป็นนิจ ฯลฯ อย่างนี้เป็นต้น

เมื่อท่านทั้งหลายได้อ่าน และทำความเข้าใจ และได้ใช้สมองสติปัญญา คิดพิจารณา ตามหลักความจริง ตามหลักธรรมชาติ แห่งสรรพสิ่ง (ซึ่งในที่นี้หมายเอาเฉพาะมนุษย์เป็นอันดับแรก) ให้ถี่ถ้วนดีแล้ว ท่านทั้งหลายย่อมจะเกิดความรู้ ความเข้าใจ ตามหลักความจริง ตามหลักธรรมชาติ อันเป็นไปตามหลักโมกษะธรรมดั้งเดิม แห่งข้าพเจ้าศรีอาริยเมตไตรย เมื่อเกิดความเข้าใจ แม้ในระดับหนึ่ง ไม่ถึงต้องกับ รู้แจ้งรู้ตลอดทะลุปรุโปร่ง ก็เท่ากับว่า “ท่านทั้งหลายได้เห็นธรรม ซึ่งเท่ากับว่าได้เห็นข้าพเจ้า” ศรีอาริยเมตไตรย” ฉะนี้

จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์
๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓


แก้ไขล่าสุดโดย จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ เมื่อ 08 ก.พ. 2010, 20:35, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2010, 21:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 20:54
โพสต์: 163

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โมกขธรรม กับ โมกษะ ความหมายเดียวกันคับ ธรรมอันหลุดพ้น คือว่าคุณควรต้องตั้งสติหน่อยนะคับ เราคือเราคับไม่คนอื่น อย่าคิดว่าเป็นนู้ป็นนี้ สภาวะนี้ผมเข้าใจคับรับวิบากกรรมอยู่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2010, 21:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ..เจ้าวังทอง..ครับ

คุณไม่เข้าใจ..เขาหรอก..

เขา..อยู่..เลยไปไกล..เกินกว่าที่..จิตนาการ..ของเรา ๆ ท่าน ๆ จะไปถึง..แล้วละครับ :b12: :b12:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 01 ก.พ. 2010, 21:46, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 01:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 20:54
โพสต์: 163

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่าน sriariya บรรลุโมกษะธรรมขั้นใหนละ เมื่อบรรลุโมกษะธรรม ก็เป็นพระโพธิสัตว์ได้


แก้ไขล่าสุดโดย เจ้าวังทอง เมื่อ 03 ก.พ. 2010, 01:00, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2010, 20:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ข้าพเจ้าได้แก้ไข เพิ่มเติมข้อความ ในรายละเอียด เพื่อให้ท่านผู้อ่านเกิดความรู้ความเข้าใจ ได้ดีขึ้น

ส่วนท่านที่ถามข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าปฏิบัติถึงขั้นไหนนั้น คำตอบก็คือ

ข้าพเจ้าปฏิบัติถึงขั้น "ร่างกาย โปร่งแสง เป็นอนูอากาศ เป็นบางขณะ ที่ได้รับสัมผัสคลื่นแห่งกิเลสจากภายนอกร่างกาย"
นอกเหนือจาก "ฉัพพรรณรังสี " ที่มีอยู่เป็นปกติ และอัตโนมัติ

อนึ่ง ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไป ไม่ได้หวังในผลประโยชน์ใดใดจากผู้ที่ได้เข้ามาอ่าน เป็นเพียงบอกให้รู้ หรือมีจุดประสงค์ ความมุ่งหมาย ที่จะเผยแพร่ให้ได้รู้กันว่า หลักธรรมทางศาสนา สามารถปฏิบัติ ให้บรรลุถึงชั้น อริยะบุคคล ตั้งแต่ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ และ นิพพาน ได้จริง ไม่ใช่มีเพียงแต่ในตำราเท่านั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2010, 22:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ธ.ค. 2009, 14:59
โพสต์: 31

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อิอิ เป็นหิงห้อยหรือไง มีแสงอยู่เป็นปกติ และอัตโนมัติ อิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2010, 23:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
ข้าพเจ้าได้แก้ไข เพิ่มเติมข้อความ ในรายละเอียด เพื่อให้ท่านผู้อ่านเกิดความรู้ความเข้าใจ ได้ดีขึ้น

ส่วนท่านที่ถามข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าปฏิบัติถึงขั้นไหนนั้น คำตอบก็คือ

ข้าพเจ้าปฏิบัติถึงขั้น "ร่างกาย โปร่งแสง เป็นอนูอากาศ เป็นบางขณะ ที่ได้รับสัมผัสคลื่นแห่งกิเลสจากภายนอกร่างกาย"
นอกเหนือจาก "ฉัพพรรณรังสี " ที่มีอยู่เป็นปกติ และอัตโนมัติ

อนึ่ง ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไป ไม่ได้หวังในผลประโยชน์ใดใดจากผู้ที่ได้เข้ามาอ่าน เป็นเพียงบอกให้รู้ หรือมีจุดประสงค์ ความมุ่งหมาย ที่จะเผยแพร่ให้ได้รู้กันว่า หลักธรรมทางศาสนา สามารถปฏิบัติ ให้บรรลุถึงชั้น อริยะบุคคล ตั้งแต่ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ และ นิพพาน ได้จริง ไม่ใช่มีเพียงแต่ในตำราเท่านั้น



อิอิ

มันแค่สมมุติ

หลง สมมุติจริงๆนะ

ท่าน ศรีธันยา 55+

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2010, 23:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 20:54
โพสต์: 163

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


[quote][/quote]
ดอกบัว บานสีอะไรคับ ของผม ขาว ทุติยะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2010, 00:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 20:54
โพสต์: 163

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะโปร่งแสง ก็สามารถทำให้ดอกบัวบานได้แล้ว ถ้ายังก็โคตรภูอยู่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2010, 00:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านบรรลุธรรมอะไรแล้วหรือถึงได้กล่าวว่าตัวเองเป็นพระศรีอริยเมตรัย

เหตุไฉนท่านจึงไม่สำรวมกิริยามิให้ใครมาดูหมิ่นดูแคลนแบบนี้เล่า...

ท่านผู้เจริญย่อมสำรวมในกิริยา ในคำพูดคำจา ในการระวังตน

แล้วท่านเล่ามีสิ่งเหล่านี้ไหม?

ถึงได้ให้คนมาดูหมิ่นดูแคลนเรื่อยๆด้วยเหตุผลอะไรกัน...

หลงทางไปไกลไหมคุณ กลับมาเถอะ

เราเชื่อว่าคุณไม่ใช่พระศรีฯ จริงๆหรอก เพราะว่าถ้าเป็นพระศรีฯจริงๆ ท่านจะสำรวมในกิริยา ในคำพูดคำจา ในการระวังตน ไม่ให้ใครต้องมาดูหมิ่น แน่นอน...

อ้างคำพูด:
เจ้าวังทอง
หัวข้อกระทู้: Re: โมกษะ ธรรม คือ อะไร

ขณะโปร่งแสง ก็สามารถทำให้ดอกบัวบานได้แล้ว ถ้ายังก็โคตรภูอยู่


อย่ามาพลัสกระทู้ จะคอมเม้นซ้ำนะช่วยไป Edit ข้อความเดิม ไม่ใช่มาคอมเม้นรัวๆแบบนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2010, 00:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 20:54
โพสต์: 163

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ใครกันหว่าเป็น สีอริยะเมตไตร สีอริยะยังไม่มาเกิดเลย ยังไม่ได้สัมโพธิญาณเลยจะเป็นสีอริยะได้ไง
แต่ส่วนมากผู้ได้โมกขธรรม จะเป็นพระโพธิสัตว์ ถ้าไม่ปราถณาไปพุทธภูมิก็เป็นพระสาวกไป สำหรับผมนะไม่ขอเป็นพระสีอริยเมตไตรอยู่แล้ว ขี้เกียจมีอายุ84000 ปี มันนานไป ขอแค่100ปีก็พอ 55555


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2010, 05:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ม.ค. 2010, 04:16
โพสต์: 40

แนวปฏิบัติ: แนวนั่ง แนวนอน แนวดิ่ง แนวๆๆๆ
งานอดิเรก: อยู่ไม่เฉย
สิ่งที่ชื่นชอบ: การ์ตูน เรื่องจะเอาอะไรกับผม
ชื่อเล่น: อาร์ต
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จะไปรู้เขารึ :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2010, 09:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 12:33
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจ้าวังทอง เขียน:
ใครกันหว่าเป็น สีอริยะเมตไตร สีอริยะยังไม่มาเกิดเลย ยังไม่ได้สัมโพธิญาณเลยจะเป็นสีอริยะได้ไง
แต่ส่วนมากผู้ได้โมกขธรรม จะเป็นพระโพธิสัตว์ ถ้าไม่ปราถณาไปพุทธภูมิก็เป็นพระสาวกไป สำหรับผมนะไม่ขอเป็นพระสีอริยเมตไตรอยู่แล้ว ขี้เกียจมีอายุ84000 ปี มันนานไป ขอแค่100ปีก็พอ 55555

อ้าวชมเขาอยู่ดีดี มากัดเขาเข้าให้แล้ว สองตน(ไม่ได้ใช้คนเพราะเห็นว่ายังอยู่ในจิตนาการ)
ไปนั่ง ขบ กันดีกว่า มานั่งเล่าเรื่องไร้สาระ เพ้อเจ้อ เพ้อฝัน งมงาย
อสูรย์ แนะนำไปกินยาลดสารหลั่งในสมอง จะได้ช่วยบรรเทา

ป.ล.ถ้าทางเวบมาสเตอร์เห็นว่า อสูรย์ ผิดกฏเวปก็ขอให้รู้ไว้ว่า อสูรย์ ยอมผิดกฏ เพราะว่า
อสูรย์ ไม่ชอบพวกที่ลบหลู่ พระพุทธ พระธรรม พระอริยะสงฆ์


แก้ไขล่าสุดโดย lnwoสูsย์ เมื่อ 09 ก.พ. 2010, 10:27, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2010, 23:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 20:54
โพสต์: 163

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สภาวะนี้ผมเคยเป็นมาก่อนคับ ตอนได้โมกขธรรมใหม่ๆ เสวยธรรมที่ได้แค่1คืนเอง จากนั้นรับบาปที่ทำไว้เมื่ออดีตแทบเป็นบ้าไปเลย ถูกหลอกว่าเราเป็น คนโน้น คนนั้น จะให้เราเป็นนี้เป็นนั้น ไม่ได้นอนอยู่7วัน 7 คืน เมื่อได้นอนก็ตองทรมานอีก1เดือน ตอนนี้ยังรับใช้กรรม ไปแล้ว 4ปีเบาบางลงไปแยะละคับ
ยังดีนะบารมียังพอมีรักษาร่างกายนี้ไว้ได้ ไม่งั้นก็ลาโลกนี้ไปละ ขอแนะนำเลยนะคับไปบวชซะ เอาวัดที่ห่างจากที่เจริญๆหน่อย ที่เงียบๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 01:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


55+

ท่านเจ้าวังทอง

กับท่าน

(ศรีธัญยา)

ไม่วายที่จะไปคุยกันกับเรื่องที่

คล้ายพยับแดด

อยู่สุดขอบเขาจักรวาล

ดินแดนไม่มีจริง

55+


เหมือนกันจริงๆนะงับ

สองท่านนี้

ว่างๆท่านทั้งสองน่าจะไชคฉัพพันทรังสีใช้วิบากที่โรงพยาบาลศรีธัญยาดูบ้างนะงับ

เผื่อจะดีขึ้น

ป.ล. ด้วยความหวังดีจากใจจริง นะงับ

ไปตามลิ้งค์เลยงับ

55+

http://www.srithanya.go.th/

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 110 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 57 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร