วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 20:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 40 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2010, 15:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




b9.jpg
b9.jpg [ 44.35 KiB | เปิดดู 9718 ครั้ง ]
tongue
กระทู้นี้มีวัตถุประสงค์จะเชิญชวนท่านผู้รู้ทั้งหลายมาร่วมกันศึกษาพระพุทธศาสนาเชิงวิเคราะห์และแสดงข้อมูล ความเห็น จากพุทธประวัติ ให้ผู้คนได้ทราบถึงน้ำพระทัยและพระมหากรุณาธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงมีต่อชาวโลก


:b8: smiley
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2010, 16:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




b3.jpg
b3.jpg [ 50.35 KiB | เปิดดู 9712 ครั้ง ]
-เทพเจ้าทุกชั้นฟ้าชุมนุมกันอัญเชิญเทพบุตรโพธิสัตว์ให้จุติมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
เมื่อพระเวสสันดรโพธิสัตว์สวรรคตแล้วเสด็จไปอุบัติเป็นสันตุสิตเทพบุตรใน สวรรค์ชั้นดุสิตเมื่อก่อนพุทธกาลเล็กน้อย

-เทวดาทุกสวรรค์ชั้นฟ้ามาประชุมปรึกษากันว่าใครจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทะเจ้าต้องก็เล็งว่า พระโพธิสัตว์สถิตอยู่ในชั้นดุสิตจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จึงพากันไปทูลอันเชิญให้จุติ ลงมาโปรดสัตว์โลกเพื่อให้สมกับพระปณิธานที่ตั้งไว้ว่าทรงบำเพ็ญบารมีมาในชาติใดๆ ก็มิได้ทรงมุ่งหวังสมบัติอันใดนอกจากความเป็นพระพุทธเจ้า

- พระนางสิริมหามายากำลังบรรทมหลับสนิทในพระแท่นที่บรรทมแล้ว ทรงสุบินนิมิตว่าพระนางไปอยู่ป่าหิมพานต์ ได้มีช้างเผือกเชือกหนึ่งลงมาจากยอดเขาสูงเข้ามาหาพระนาง

- ปฐมสมโพธิพรรณนาเหตุการณ์ตอนนี้ว่า "...มีเศวตหัตถีช้างหนึ่ง....ชูงวงอันจับบุณฑริกปทุมชาติสีขาวเพิ่งบานใหม่ มีเสาวคนธ์หอมฟุ้งตลบ แล้วร้องโกญจนาทเข้ามาหาในกนกวิมาน แล้วกระทำประทักษิณพระองค์อันบรรทมถ้วนสามรอบ แล้วเหมือนเข้าไปในอุทรประเทศ ฝ่ายทักษิณปวัศว์แห่งพระราชเทวี...."


ทารกที่เห็นนั่นคือเจ้าชายสิทธัตถะ หรือพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมาซึ่งพอประสูติจากพระครรภ์พระมารดา ก็ทรงพระดำเนินด้วยพระบาทไปได้๗ก้าว พร้อมกับทรงยกพระหัตถ์ขวาและเปล่งพระวาจา เบื้องใต้พระบาทมีดอกบัวรองรับ พระวาจาที่เปล่งออกมานั้น กวีท่านแต่งไว้เป็นภาษาบาลี แปลถอดใจความเป็นภาษาไทยได้ว่า ...."เราจะเป็นคนเก่งที่สุดในโลกคนหนึ่ง ซึ่งจะหาผู้ใดเสมอเหมือนไม่มี ชาติที่เกิดนี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราจะไม่เกิดต่อไปในเบื้องหน้าอีกแล้ว".....
:b8:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 06:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: :b1: :b1: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2010, 00:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 20:54
โพสต์: 163

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โมกขธรรม คือ ธรรมอันหลุดพ้น เห็น แจ้งในอริยสัจ 4 เป็นไปเพื่อนิพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 11:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 12:33
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะเหตุอะไรเจ้าชายสิทธัตถะจึงเสด็จออกบวชค้นหาโมกขธรรม...ก่อนเวลา 6 ปี..

เพราะกรรม....

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเล่าว่า เมื่อเราเป็นมาณพชื่อโชติปาละ ได้กล่าวกะพระสุคตเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ในกาลนั้นว่า จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหนโพธิญาณนั้นท่านได้ยากยิ่ง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้นเราได้ทำกรรมที่ทำได้ยากคือทุกกรกิริยา ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด ๖ ปี แต่นั้นจึงได้บรรลุโพธิญาณ แต่เรามิได้บรรลุโพธิญาณอันสูงสุดด้วยหนทางนี้ คือมิได้บรรลุโพธิญาณด้วยทุกกรกิริยานี้ เราอันบุพกรรมตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณในทางที่ผิด บัดนี้เราเป็นผู้สิ้นบาปและบุญ เว้นจากความเร่าร้อนทั้งปวงไม่มีความโศกเศร้า ไม่คับแค้น เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จักนิพพาน

ว่าด้วยการทรงทำทุกกรกิริยา
ข้าแต่พระนาคเสน พระโพธิสัตว์ทำทุกกรกริยาเหมือนกันทั้งหมดหรือ หรือว่าทำเฉพาะพระโคดมบรมโพธิสัตว์เท่านั้น ?"
"ไม่เหมือนกันหมด มหาบพิตร ทำเฉพาะพระโคดมบรมโพธิสัตว์เท่านั้น "

"ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าถ้าอย่างนั้นก็ไม่ถูกกับความต่างกันของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย"

"ขอถวายพระพรพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ย่อมต่างกัน ๔ อย่างคือ ต่างกันด้วยตระกูล ๑

เวลาสร้างบารมี ๑ พระชนมายุ ๑ ประมาณพระสรีรกาย ๑

แต่เมื่อได้ตรัสรู้แล้วพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ไม่ ต่างกันด้วยพระรูปลักษณะ ๑ ตบะ ๑ ศีล ๑

สมาธิ ๑ ปัญญา ๑ วิมุตติ ๑ วิมุตติญาณทัสสนะ ๑ เวสารัชชธรรม ๔ ทศพลญาณ ๑๐ พุทธญาณ

๑๔ พุทธธรรม ๑๘ เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายเสมอกันด้วย "พุทธธรรม"

" ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเสมอกันด้วยพุทธธรรม คือธรรมของพระ

พุทธเจ้าแล้ว เหตุใดจึงทำทุกกรกิริยาเฉพาะพระโคดมบรมโพธิสัตว์เท่านั้น ?"

"ขอถวายพระพร เพราะพระโคดมบรมโพธิสัตว์ ได้เสด็จออกทรงบรรพชาในเวลาที่พระ

โพธิญาณยังไม่แก่กล้า จึงทรงทำทุกกรกิริยา เพื่อรอความแก่กล้าแห่งพระโพธิญาณ "

"ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอย่างนั้น พระโคดมบรมโพธิสัตว์ก็ควรจะเสด็จออกบรรพชาใน

เวลาที่พระโพธิญาณแก่กล้า จึงจะสมควร "

"ถูกแล้ว มหาบพิตร แต่ว่าพระโคดมบรมโพธิสัตว์ได้ทรงเห็นความวิปริตของพวกนางสนม จึงทรงเบื่อหน่าย เทวดาจำพวกมารจึงคิดว่า เวลานี้เป็นเวลาที่จะกำจัดความเบื่อหน่ายจึงได้ปรากฏตัวที่อากาศเปล่งวาจาขึ้นว่า

"ขอท่านอย่าวุ่นวายเลยอีก ๗ วันนับจากนี้ไป จักรแก้วอันเป็นทิพย์ ก็จะปรากฏขึ้นแก่ท่าน จักรแก้วนั้นมีกัมพันหนึ่ง พร้อมทั้งกงดุม เพลา พร้อมเสร็จ ท่านจักได้ทรงจักรแล้วไปได้ทั่วโลก จักมีอำนาจแผ่ไปทั่วโลกจักมีพระราชโอรสตั้งพัน ล้วนแต่เป็นผู้แกล้วกล้าสามารถย่ำยีข้าศึกทั้งปวง ท่านจักสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ จักได้เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔ "

พอพระโคดมบรมโพธิสัตว์ได้ฟังคำของมารอย่างนี้ ก็ยิ่งสลดใจมากขึ้น ร้อนพระทัยมากขึ้น เปรียบเหมือนบุรุษถูกแทงด้วยเหล็กแดงฉะนั้น หรือเปรียบเหมือนผู้ถูกไฟร้อน

อีกอย่างหนึ่ง แผ่นดินใหญ่นี้ ย่อมชุ่มอยู่ด้วยน้ำตามปกติ เวลาฝนห่าใหญ่ตกลงมาก็ยิ่งชุ่มหนักขึ้นฉันใด พระโพธิสัตว์เจ้าเบื่อหน่ายโลกอยู่ตามปกติแล้ว เมื่อได้ฟังถ้อยคำของมารนั้น ก็ยิ่งทรงเบื่อหน่ายมากขึ้นฉันนั้น "

"ข้าแต่พระนาคเสน จักรแก้วจักเกิดขึ้นแก่พระโพธิสัตว์เจ้าในวันที่ ๗ ไม่ใช่หรือเหตุใดพระโพธิสัตว์จึงไม่กลับพระทัย รอจนให้จักรแก้วเกิดขึ้น ? "

"ขอถวายพระพร ไม่ใช่ว่าจักรแก้วจะเกิดแก่พระโพธิสัตว์เจ้าในวันที่ ๗ นั้นจริงเป็นแต่มารกล่าวเท็จเพื่อเล้าโลมพระโพธิสัตว์เจ้าเท่านั้น ถึงจักรแก้วจะเกิดแก่พระโพธิสัตว์เจ้าจริง พระโพธิสัตว์เจ้าก็ไม่ยอมกลับพระทัย

ทั้งนี้เพราะอะไร..เพราะพระโพธิสัตว์เจ้ายึดมั่นแล้วว่าสิ่งทั้งปวงเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปลงพระทัยลงสู่ความสิ้นอุปาทานแล้ว

น้ำที่ไหลไปมาจากสระอโนดาต ย่อมไหลไปสู่คงคานที แล้วน้ำในคงคานทีก็ไหลเข้าไปสู่มหาสมุทร น้ำในมหาสมุทรก็ไหลเข้าไปสู่ปากบาดาล น้ำที่ปากบาดาลจะไหลกลับมาสู่มหาสมุทร น้ำในมหาสมุทรจะไหลกลับไปสู่คงคานที น้ำในคงคานทีจะไหลกลับคืนไปสู่สระอโนดาตหรือไม่ ? "

" ไม่ พระผู้เป็นเจ้า "

"ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พระโพธิสัตว์เจ้าได้สร้างพระบารมีมาตลอด ๔ อสงไขยกับแสนกัปแล้ว ถึงชาติสุดท้ายแล้วจะกลับพระทัยเพราะเห็นแก่สมบัติอย่างนั้นจนให้พระโพธิญาณแก่กล้าถึง ๖ ปีจึงจะเสด็จออกบรรพชา เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้านั้นไม่ได้ฉันนั้น

" อาตมภาพขอถามว่า พระโพธิสัตว์เจ้าจะกลับพระทัย เพราะเหตุแห่งจักรแก้วได้หรือ ? "

" ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า "

" ถึงพื้นปฐพีใหญ่จะล่มจมไป หรือภูเขาต่าง ๆทั้งสิ้นจะโค่นแม่น้ำใหญ่ทั้งปวงจะแห้งพระโพธิสัตว์เจ้ายังไม่สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นอันไม่กลับพระทัยเป็นอันขาด ถึงมหาสมุทรอันเป็นที่ขังน้ำเค็มหาประมาณมิได้จะแห้งขอดลงไปเหมือนกับน้ำในรอยโคก็ตามถึงน้ำในมหาคงคาจะไหลทวนกระแสขึ้นไปเบื่องบนก็ตาม

พระยาเขาสิเนรุจะแตกออกไปตั้งร้อยเสี่ยงพันเสี่ยงก็ตาม อากาศจะม้วนกลมเหมือนเสื่อลำแพนก็ตาม ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ทั้งดวงดาว จะตกลงมาที่พื้นดินเหมือนก้อนดินก็ตามพระโพธิสัตว์ยังไม่สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นอันไม่กลับพระทัยเป็นอันขาด เพราะอะไร..เพราะพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ได้ทำลายเครื่องผูกทั้งปวงแล้ว "

" ข้าแต่พระนาคเสน เครื่องผูกในโลก มีอยู่เท่าใด ? "

" ขอถวายพระพร มีอยู่ ๑๐ ประการ "

" คืออะไรบ้าง ? "

" เครื่องผูกในโลก ๑๐ ประการ  ได้แก่มารดาบิดา ภรรยา บุตร ญาติ มิตร ทรัพย์ ลาภสักการะ อิสริยยศ และกามคุณ ๕

สัตว์ทั้งหลายออกไปจากโลกไม่ได้เพราะเครื่องผูก ๑๐ประการนี้แหละ เครื่องผูก ๑๐ ประการนี้ พระโพธิสัตว์เจ้าได้ทำลายเสียสิ้นแล้ว เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์เจ้าจึงไม่กลับพระทัย "

" ข้าแต่พระนาคเสน เมื่อจิตเบื่อหน่ายเกิดขึ้น เมื่อญาณยังไม่แก่กล้า ถ้าพระโพธิสัตว์เจ้าเสด็จออกบรรพชา ตามคำของเทวดาที่เป็นมารนั้นแล้ว จะมีประโยชน์อันใด ด้วยการที่พระโพธิสัตว์เจ้าจะทรงทำทุกกรกิริยาพระโพธิสัตว์เจ้าควรรอให้พระญาณแก่กล้า ควรหักสิ่งทั้งปวงไม่ใช่หรือ ? "

" ขอถวายพระพร มีบุคคลอยู่ ๑๐ จำพวก ที่มีผู้ดูหมิ่นดูแคลนเกลียดชังติเตียนครอบงำไม่ยำเกรง บุคคล ๑๐ จำพวกนั้น คือหญิงม้าย ๑ ผู้ทุพพลภาพ ๑ ผู้ไม่มีมิตรมีญาติ ๑ ผู้กินจุ ๑ผู้อยู่ในตะกูลอันไม่น่าเคารพ ๑ ผู้มีมิตรเลวทราม ๑ ผู้เสื่อมทรัพย์ ๑ ผู้เสียศีล ๑ ผู้เสียการงาน ๑ ผู้เสียการประกอบ ๑

เมื่อพระโพธิสัตว์เจ้าระลึกถึงบุคคลทั้ง ๑๐ จำพวกนี้ ก็ทรงนึกว่า เราไม่ควรเป็นผู้เสีย

การงาน เสียการประกอบ ให้เป็นที่ติเตียนของเทพยดามนุษย์ทั้งหลาย เราควรเป็นเจ้าของการงาน ควรเคารพการกระทำควรมีการกระทำเป็นใหญ่ มีการกระทำเป็นปกติ ทรงไว้ซึ่งการกระทำ อาศัยการกระทำไม่ปล่อยเครื่องผูก คือการกระทำ ควรเป็นผู้ไม่ประมาท ด้วยเหตุนี้ พระโพธิสัตว์เจ้าจึงได้ทรงทำทุกกรกิริยา เพื่อรอความแก่กล้าแห่งญาณ "

พระเจ้ามิลินท์ตรัสอีกว่า

" ข้าแต่พระนาคเสน พระโพธิสัตว์ผู้ทำทุกกรกิริยาได้กล่าวไว้ว่า เราไม่ได้สำเร็จความรู้ความเห็นวิเศษอันเป็นของอริยะ อันยิ่งกว่าธรรมดาของมนุษย์ได้ ด้วยทุกกรกิริยาอันเผ็ดร้อนนี้ ทางอื่นที่จะให้ตรัสรู้ได้จักต้องมี

ก็ในคราวนั้น ความเผลอสติได้มีแก่พระโพธิสัตว์เจ้าเพราะแรงปรารถทางบ้างหรือไม่ ?"

พระนาคเสนชี้แจงว่า

" ขอถวายพระพร สิ่งที่จะทำให้จิตเสียกำลังใจ ไม่ทำให้จิตตั้งมั่นดี เพื่อความสิ้นอาสวะทั้งหลาย มีอยู่ ๒๕ ประการ คือ


สิ่งที่ทำให้เสียกำลังใจ ๑. ความโกรธ
๒. ความผูกโกรธ
๓. ความลบลู่บุญคุณของผู้อื่น
๔. ความตีเสมอกับผู้อื่น
๕. ความริษยาไม่ยินดีต่อความดีของผู้อื่น
๖. ความตระหนี่เหนียวแน่น
๗. ความมีเลห์เหลี่ยมหลอกลวง
๘. ความโอ้อวด
๙. ความดื้อดึง
๑๐. ความแข่งดี
๑๑. ความถือตัว
๑๒. ความดูหมิ่นผู้อื่น
๑๓. ความมัวเมา
๑๔. ความเมาใหญ่
๑๕. ความง่วงเหงา
๑๖. ความเพลิดเพลิน
๑๗. ความเกียจคร้าน
๑๘. ความคบมิตรลามก
๑๙. รูปของคนและสัตว์สิ่งของ
๒๐. เสียงของคนสัตว์สิ่งของ
๒๑. กลิ่นของคนสัตว์สิ่งของ
๒๒. รสของคนสัตว์สิ่งของ
๒๓. สิ่งที่ถูกต้องทางกาย
๒๔. ความหิวกระหาย
๒๕. ความไม่ยินดีในทางดี

พระโพธิสัตว์เจ้า ได้ครอบงำกายด้วยความหิวกระหาย คือปล่อยให้ความหิวกระหายครอบงำกาย เมื่อความหิวกระหายครอบงำกายแล้ว จิตก็ไม่ตั้งมั่นดีเพื่อความสิ้นอาสวะทั้งหลาย

พระโพธิสัตว์เจ้าได้แสวงหาการสำเร็จอริยสัจ ๔ อยู่ตลอด ๔ อสงไขยกับอีกแสนกัปแล้ว ในภพสุดท้ายจักมีความเผลอสติเพราะปรารภทางได้อย่างไร เป็นแต่พระโพธิสัตว์นึกขึ้นมาว่า ทางตรัสรู้ทางอื่นจะมีหรืออย่างไร

เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูตรแล้วได้ ๑ เดือนได้ทรงนั่งสมาธิอยู่ ณ ที่บรรทมภายใต้ต้นหว้าอันมีเงาร่มเย็นนั้น ในเวลาที่พระราชบิดาทรงแรกนาขวัญ ก็ยังได้สำเร็จฌาน ๔ ขอถวายพระพร "

" ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน โยมรับว่าเมื่อพระโพธิสัตว์เจ้าจะทรงรอให้ฌาณแก่กล้าจึงได้ทำทุกกรกิริยา "



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2010, 11:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




b5.jpg
b5.jpg [ 48.38 KiB | เปิดดู 9574 ครั้ง ]
:b8: :b8: :b8:

หลายวันนี้มีท่านผู้รู้และกัลยาณมิตรหลายท่านมาช่วยกันแสดงความคิดเห็น ทำให้ได้แง่มุมหลากหลายมากยิ่งขึ้น

ดังได้กล่าววัตถุประสงค์ไว้ในตอนแรกแล้วว่า กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อเป็นการวิเคราะห์หาเหตุหาผลในการเสด็จออกทรงผนวชของเจ้าชายสิทธัตถะ เพื่อประโยชน์ให้ผู้ศึกษาจับประเด็นหลักการปฏิบัติ ค้นคว้าศึกษาธรรมของเจ้าชายสิทธัตถะ อันจะได้นำมาประยุกต์ใช้เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติธรรมให้เหมาะสมกับสภาพ พื้นฐาน ฐานะ สถานการณ์ของผู้ปฏิบัติแต่ละคน ต่อไป วันนี้เราจะได้วิเคราะห์ให้ฟังกันต่อไปนะครับ

ถึงหัวข้อกระทู้จะเป็นการเน้นลงตรงปัจจุบันชาติของเจ้าชายสิทธัตถะ แต่ก็อดที่จะท้าวความถึงอดีตชาติของพระองค์สักนิดหน่อยไม่ได้ เพราะความตั้งใจในอดีตชาติของพระองค์นั้นเป็นสิ่งชี้ทิศทางการกระทำในปัจจุบันชาติของพระองค์ อันจะเป็นเหตุผลประกอบช่วยให้ผู้ศึกษาได้เข้าใจลึกซึ้งถูกต้องยิ่งขึ้น

อดีตชาติของเจ้าชายสิทธัตถะนั้นได้หลักฐานอ้างอิงมาจากชาดกทั้งหลายที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ ดังมีบันทึกในพระสูตร

เริ่มต้นตั้งแต่สมัยทรงเกิดเป็นสุเมธดาบส โพธิสัติว์ ทอดกายเป็นสะพานให้พระวิปัสสีพุทธเจ้าและพระอริยสาวกทั้งหลายเดินข้าม แล้วอธิษฐานขอเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลข้างหน้า จนได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าวิปัสสีว่าท่านจักได้มาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าในภัทรกัปป์นี้มีนามว่าสมณโคดมพุทธเจ้า หลังจากนั้นพระองค์ได้ทรงบำเพ็ญทศบารมี เป็นเวลาอีกตั้ง 4 อสงขัยกับอีก 1 แสน หนึ่งพันสี่ร้อยยี่สิบหกกัปป์ จนถึง 10 ชาติสุดท้าย เต ชะ สุ เน มะ ภู จะ นา วิ เว ตามหัวใจพระเจ้า 10 ชาติ ที่ยกมา เริ่มต้นจาก พระเตมีย์ใบ้ มาสุดท้ายที่พระเวสสันดร


เวลา 4 อสงขัยกับแสนกัปป์กว่าๆนี้ ยาวนานมาก แสดงถึงความมั่นคง แน่วแน่ ขันติ ตบะ และพระวิริยะ อุตสาหะอันเยี่ยมยอดหาใดเสมอเหมือนมิได้ของพระโพธิสััตว์ (1 อสงขัยปี เท่ากับเลข 1 เติมด้วย 0 อีก 140 ตัว 1 รอบอสงขัยปี เท่ากับ 1 อันตรกัปป์ 256 อันตรกัปป์เท่ากับ 1 มหากัปป์ )

วิเคราะห์และสรุปว่าตลอดระยะเวลาในอดีตชาติของเจ้าชายสิทธัตถะนั้นเป็นการสะสมและเติมเต็มบารมีทั้ง 10 อย่างของพระองค์ บารมี 10 ทัศ มีอะไรบ้าง ขอความกรุณาเพื่อนสหายในธรรมช่วยกรุณาค้นมาเล่าสู่กันฟังนะครับ


เข้ามาถึงชาติปัจจุบันของเจ้าชายสิทธัตถะ นัยยะสำคัญอันแรกที่อนัตตาธรรมสังเกตได้ คือ

เจ้าชายสิทธัตถะทรงเข้าฌาณ 4 หรือถึงสัมมาสมาธิได้แต่ครั้งยังทรงพระเยาว์

วันนั้นเป็นวันแรกนาขวัญ พระเจ้าสุทโธทนะพุทธบิดา ได้เสด็จไปร่วมพิธีแรกนาขวัญที่ราษฎรจัดขึ้น เจ้าชายสิทธัตถะได้โดยเสด็จ แต่ทรงแอบหลีกไปนั่งสมาธิพิจารณาธรรมอยู่เพียงพระองค์เดียวใต้ร่มไม้ ตำรากล่าวว่าจนถึงเวลาบ่ายคล้อยอำมาตย์ทั้งหลายจึงนึกได้ค้นหาพระองค์แล้วก็ได้พบว่าพระองค์ทรงนั่งขัดสมาธิเข้าฌาณนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ เงาไม้ก็บังพระวรกายของพระองค์ไว้ไม่เคลื่อนตาม
ความในพระสูตรเรื่องนี้ขอกัลยาณมิตรที่เก่งค้นพระสูตรกรุณาค้นมาเล่าสู่กันฟังด้วยครับ

วันนี้เอาถึงตรงนี้ก่อนนะครับ
ประเด็นสำคัญ ของตอนนี้คือเจ้าชายสิทธัตถะเกิดสัมมาสมาธิตั้งแต่ทรงพระเยาว์ เป็นพื้นฐานหลักสำคัญของการเจริญวิปัสสนาภาวนา
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2010, 11:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




b1.jpg
b1.jpg [ 48.52 KiB | เปิดดู 9575 ครั้ง ]
ส่งภาพประกอบตอนเทพบุตรโพธิสัติได้รับการอันเชิญ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2010, 11:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




b2.jpg
b2.jpg [ 48.44 KiB | เปิดดู 9570 ครั้ง ]
tongue
ส่งภาพประกอบตอนพุทธมารดาทรงสุบินนิมิต
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2010, 07:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




b4.jpg
b4.jpg [ 45.06 KiB | เปิดดู 9559 ครั้ง ]
tongue
กามสุขัลลิกานุโยโค ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์

เนื่องจากพระเจ้าสุทโทธนะ พุทธบิดา ได้รับทราบคำทำนายจากบรรดาพราหมณ์ ฤาษีผู้มีชื่อเสียงทั้งหลายทำนายว่า เจ้าชายสิทธ้ตถะ หากไม่ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ก็จะออกบวชเป็นศาสดาเอกของโลก พระองค์จึงทรงสร้างปาสาม 3 ฤดู พร้อมด้วยการบำรุงบำเรอด้วยความสุขทางกามทั้งหลายอย่างครบถ้วนให้พระราชโอรส เมื่อพระชนมายุเพียง 16 ชันษา ก็ทรงให้อภิเษกสมรสกับพระนางยโสธราพิมพา พรั่งพร้อมด้วยนางสนมกำนัล การขับร้องประโคมดนตรีมโหรีขับกล่อม ให้เจ้าชายสิทธัตถะมีแต่ความสุขเกษมสำราญ จนถึงพระชนมายุ 29 พรรษาจึงเกิดเหตุการณ์พิเศษขึ้นมา

สรุปผลวิเคราะห์ตอนนี้ว่า ช่วงพระชนมายุวัยเด็กจนถึง 29 พรรษานี้ โดยสรุปคือเจ้าชายสิทธัตถะได้พิสูจน์ความสุขทางกามที่เรียกว่ากามสุขัลลิกานุโยโค การบำรุงบำเรอตนเิองด้วยกามอย่างเต็มอิ่มสมบูรณ์

:b8: :b8: :b8:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 15:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




b7.jpg
b7.jpg [ 54.54 KiB | เปิดดู 9543 ครั้ง ]
tongue
ในช่วงพระชนมายุ 29 พรรษานั้น เจ้าชายสิทธัตถะได้ทรงทูลขอพระราชบิดาออกประพาสเมืองและอุทธยาน
พระราชบิดาทรงอนุญาตแต่มีรับสั่งให้ข้าราชการและชาวเมืองช่วยกันจัดตกแต่งทางเสด็จให้สวยงามมิให้มีภาพอันจักทำให้เจ้าชายสิทธัตถะเกิดความสังเวช คือคนแก่ คนเจ็บหรือคนตาย

ครั้นพระองค์เสด็จประพาส กลับได้ทรงพบเทวทูตทั้ง 4 คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตายและนักบวชพระองค์ตรัสถามนายฉันนะคนขับราชรถ ได้รายละเอียด จนทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงเกิดธรรมสังเวช สลดใจ เมื่อได้ทรงเห็น แล้วทรงคิดหาทางที่จะพ้นจากความแก่ เจ็บ ตาย ทรงพอใจในชีวิตนักบวช นอกจากนั้นพระองค์ยังได้ทรงทราบถึงพระประสูติกาลของพระราชโอรส ซึ่งพระองค์ทรงรำพึงออกมาว่า ราหุนัง ชาตัง ๆ บ่วงเกิดขึ้นแล้วแก่เรา จนนำไปเป็นพระนามของพระราชโอรสของพระองค์ว่า "ราหุล"

วิเคราะห์ได้ว่า ขั้นตอนนี้เจ้าชายสิทธัตถะเกิด

1.ธรรมสังเวช ในความเกิด แก่ เจ็บ ตาย

2.ทรงได้ปัญญาสัมมาทิฐิ เห็นทุกข์ในความเกิด แก่ เจ็บ ตาย

3.ทรงได้ปัญญาสัมมาสังกัปปะ ดำริออกจากกาม ดำริออกจาก ความเวียนว่ายตายเกิด
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 16:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




b8.jpg
b8.jpg [ 49.99 KiB | เปิดดู 9542 ครั้ง ]
ส่งภาพเทวทูต + นักบวช
tongue :b8:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2010, 21:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระบรมศาสดามาจุติเพื่อให้ของฟรีที่ดีที่สุดในสามโลกค่ะ เพราะพระเมตตากว้างใหญ่ไพศาลอันประมาณค่าไม่ได้ ที่มาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก่อนเพราะถูกพุทธพยากรณ์มาแบบนั้นค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 18:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




buddha2.gif
buddha2.gif [ 140.37 KiB | เปิดดู 9517 ครั้ง ]
tongue

ธรรมสังเวช เป็นประเด็นสำคัญมากๆในการที่บุคคลจะเกิดพลังแสวงหาทางหลุดพ้นจากห้วงทุกข์ จนพบทางถูกต้องแล้วลงมือปฏิบัติจริง จนพาเอาตัวเอาใจ ไปถึงที่สุดแห่งทุกข์คือพระนิพพาน

ธรรมสังเวช เป็นอะไรในอริยสัจทั้ง 4

ธรรมสังเวช คือความเห็นทุกข์ เห็นความเป็นอสุภะ ความไม่ดีไม่งามของธาตุ ขันธ์ รูป นาม กาย ใจ อย่างชัดเจนนั่นเอง เมื่อเห็นทุกข์ชัดแล้วก็จะเกิดปัญญาญาณตามมาเป็นลำดับ

เห็นทุกข์ (ภัยยะญาณ)

เกลียดกลัว ไม่ต้องการทุกข์ (อาทีนวญาณ)

เบื่อหน่ายคลายจาง วางความยึดถือ ความเห็นผิด ในธาตุขันธ์ รูป นาม(นิพพิทาญาณ)

เพียรพยายามที่จะหนีไปให้พ้นจากทุกข์โดยเด็ดขาด (มุญจิตุกัมมยตาญาณ)

สอบทวนหาหนทางที่จะทำอย่างไร จึงจะพ้นจากทุกข์ได้ จนพบว่าเส้นทางแห่งปัญญาอันพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบ ปฏิบัติได้จริงและนำมาสอนนั้น คือทางสายเอกสายเดียวที่จะพาพ้นทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง (ปฏิสังขาญาณ) จึงมุ่งมั่นขยันเจริญวิปัสสนาภาวนาอย่างไม่รู้จัดเหน็ดเหนื่อย

ที่สุดผลแห่งความเพียรอย่างจดจ่อต่อเนื่องไม่ลดละ จึงพาให้จิตหลุดพ้นจากกิเลสนิวรณ์ อารมณ์ธรรมเครื่องกางกั้นทั้งหลาย ไปสู่ความบริสุทธิ์หมดจดแห่งจิต หยุดคิด หยุดนึก หยุดปรุงแต่ง เหลือแต่ธรรมชาติ รู้ บริสุทธิ์ หยุดนิ่ง รู้อยู่ เย็นอยู่ เฉยอยู่ จิตผู้รู้บริสุทธิ์ไปตั้งอยู่หน้าประตูพระนิพพาน รอให้มรรคสมังคีรวมเป็นหนึ่งแล้วตัดประหาณ ความเห็นผิด มิจฉาทิฐิ ตัวร้าย คือสักกายยะทิฐิให้ขาดสะบั้นไป (สังขารุเปกขาญาณ)

ผู้หวังถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ จึงพึงควรทำให้สติปัญญา ได้รู้เห็นทุกข์เต็มที่ จนเกิดธรรมสังเวช เกลียดกลัว เบื่อหน่าย คลายจาง ในขันธ์ 5 ก้อนทุกข์ กายใจ ก้อนนี้ให้ชัดเจนซึ้งใจก่อน จึงจะเกิดแรงพลัง ตั้งจิตตั้งใจ ปฏิบัติธรรมไปอย่างจริงจัง จนหลุดพ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 12:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะเหตุอะไร....
เพราะเจ้าชายสิทธัตถะเห็นถึงความทุกข์ของการมีชีวิตอยู่อย่างมนุษย์.....
และยังเห็นอีกว่าการเป็นมหาจักรพรรดิ์ไม่สามารถนำเหล่าประชาราษฏร์ให้พ้นจากความทุกข์นี้ได้....
และก็ยังมีศรัทธาแรงกล้าในการออกค้นหาพระโมกขธรรม อันเป็นธรรมแห่งการหลุดพ้น
.....ระลึกถึงข้อความในหนังสือเล่มหนึ่งที่ได้อ่าน จำชื่อหนังสือไม่ได้แจ่จำได้ว่าได้มาจากอาศรมไผ่มรกต จ.เชียงราย เป็นหนังสือที่คัดลอกมาจากธรรมเทศนาของหลวงปู่ ดาบส สุมโน เล่าถึงเหตุการณ์ตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะหนีออกบวช ขณะนั้นเจ้าชายฯมีดำริที่ว่า

"มีร้อน มีเย็น ......ไม่ร้อน ไม่เย็น ก็ต้องมี
มีเกิด มีตาย ...... ไม่เกิด ไม่ตายก็ต้องมี"

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 16:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




puth23.jpg
puth23.jpg [ 41.23 KiB | เปิดดู 8637 ครั้ง ]
tongue
ผู้ หวังถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ จึงพึงควรทำให้สติปัญญา ได้รู้เห็นทุกข์เต็มที่ จนเกิดธรรมสังเวช เกลียดกลัว เบื่อหน่าย คลายจาง ในขันธ์ 5 ก้อนทุกข์ กายใจ ก้อนนี้ให้ชัดเจนซึ้งใจก่อน จึงจะเกิดแรงพลัง ตั้งจิตตั้งใจ ปฏิบัติธรรมไปอย่างจริงจัง จนหลุดพ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 40 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 49 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร