วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 16:11  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 84 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2009, 11:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2009, 20:54
โพสต์: 282


 ข้อมูลส่วนตัว




281245_0024.JPG
281245_0024.JPG [ 11.82 KiB | เปิดดู 3440 ครั้ง ]
tongue

สมมุติ หรือ บัญญัติ คู่กับ ปรมัตถ์

สมมุติแปลง่ายๆว่า ของหลอก

ปรมัตถ์ แปลว่า ยิ่ง ๆ เพราะ จริง แปลง่ายๆ ว่า ของจริง

การเฝ้าดู เฝ้า สังเกต พิจารณา ของจิง ที่เป็นโลกียะ จักเป็นเหตุ ให่ถึงของจริงที่เป็น โลกุตระ พ้นโลกย์

จะข้ามน้ำ ก็ต้องไปบนน้ำ จะพ้นโลก ก็ต้องไต่ขึ้นไปจากโลกย์นี่แหละ

จะพ้นทุกข์ ก็ต้องค้นเข้าไปในทุกข์ จึงจะได้เห็นเหตุทุกข์ แล้วถอนเหตุนั้นออกได้

จะไปอยู่ในฌาณ อาศัยฌาณ แล้วหวังพ้นโลกย์นั้น ต้องระวังให้มาก เพราะเหล่าผู้ทรงฌาณทั้งหลาย ดังเช่นพวก ฤาษี หรือพรหมนั้น มานะทิฐิ ใหญ่จริงๆ ดังตัวอย่าง ผกาพรหมในอดีต


tongue

.....................................................
เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2009, 11:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ย. 2009, 00:37
โพสต์: 86

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อโศกะ เขียน:
จะไปอยู่ในฌาณ อาศัยฌาณ แล้วหวังพ้นโลกย์นั้น ต้องระวังให้มาก เพราะเหล่าผู้ทรงฌาณทั้งหลาย ดังเช่นพวก ฤาษี หรือพรหมนั้น มานะทิฐิ ใหญ่จริงๆ ดังตัวอย่าง ผกาพรหมในอดีต



---------- เรียนถามท่านอโศกะ แล้วบรรดา สุปฏิปันโณ ทั้งหลาย คือตั้งแต่อนาคามี ลงมาถ้ายังไม่ถึงซึ่งนิพพาน แล้วท่านหมดอายุหรือมรณภาพลงก่อนยังไม่เสร็จกิจซึ่งอรหัตผล ภพที่ไปจะไปอยู่ไหนครับ..............

.....................................................
....ถ้าไม่ทำสัญญาให้เป็นปัญญา ทำอย่างไรก็เป็นกามสัญญา......


แก้ไขล่าสุดโดย โคตรภู เมื่อ 25 ธ.ค. 2009, 21:36, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2009, 23:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อโศกะ เขียน:
ปรมัตถ์ แปลว่า ยิ่ง ๆ เพราะ จริง แปลง่ายๆ ว่า ของจริง


สวัสดีครับคุณอโศกะ

อวิชชาในตัวคุณก็ของจริง ราคะในตัวคุณก็ของจริง โทสะในตัวคุณก็ของจริง โมหะในตัวคุณก็ของจริง ฯลฯ...ในโลกนี้ ในวัฏฏะนี้ล้วนมีแต่ของจริงมากมาย เป็นปรมัตถ์ไปทุกอย่างเลยใช่ไหมครับ ??





อโศกะ เขียน:
การเฝ้าดู เฝ้า สังเกต พิจารณา ของจิง ที่เป็นโลกียะ จักเป็นเหตุ ให่ถึงของจริงที่เป็น โลกุตระ พ้นโลกย์


เพราะเขาดูโลกียะกันทุกคน
ถ้าเชื่อตามคุณอโศกะอย่างนี้ก็ไม่ต้องฟังพระธรรมเทศนา ไม่ต้องมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ต้องมีพระธรรม ไม่ต้องมีพระสงฆ์ ก็หลุดพ้นได้ทุกคนใช่ไหมครับ ??





อโศกะ เขียน:
จะข้ามน้ำ ก็ต้องไปบนน้ำ จะพ้นโลก ก็ต้องไต่ขึ้นไปจากโลกย์นี่แหละ


นานปีมาแล้วเวลาข้ามมหาสมุทรแปซิฟิค ไปอเมริกา ผมนั่งเรือบินไปเหนือเมฆครับ
ไม่ได้ไปบนน้ำครับ แต่ไปบนอากาศครับ





อโศกะ เขียน:
จะพ้นทุกข์ ก็ต้องค้นเข้าไปในทุกข์ จึงจะได้เห็นเหตุทุกข์ แล้วถอนเหตุนั้นออกได้


ทุกข์เป็นผล ปฏิบัติที่จิตผล จิตผลเกิดดับๆๆๆๆๆ มีช่องว่างให้จิตผลถอนจิตเหตุตอนไหนล่ะครับ ??




อโศกะ เขียน:
จะไปอยู่ในฌาณ อาศัยฌาณ แล้วหวังพ้นโลกย์นั้น ต้องระวังให้มาก เพราะเหล่าผู้ทรงฌาณทั้งหลาย ดังเช่นพวก ฤาษี หรือพรหมนั้น มานะทิฐิ ใหญ่จริงๆ ดังตัวอย่าง ผกาพรหมในอดีต



อโศกะ เขียน:
...มีสติรู้ทันปัจจุบันอารมณ์ มีปัญญาหรือสัมปชัญญะ เฝ้าดูและสังเกตพิจารณาอารมณ์ ที่เกิดดับเปลี่ยนไปไม่ขาดสาย ผู้ปฏิบัติจะได้เห็นตัว สมุทัย คือ อัตตาและตัณหา


ผกาพรหมในอดีต...มาอยู่ในจิตคุณอโศกะได้ไงกันล่ะครับนี่ ??
หรือว่าเพราะรู้ไม่ทันเสียแล้ว...



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2009, 00:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


:b14: มันส์มากครับ :b35:
ลึกๆแล้ว โดนใจผมหลาย คำครับคุณอโศกะ :b16: เช่นจิตนิ่ง ๆลๆ smiley


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 26 ธ.ค. 2009, 00:22, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2009, 06:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2009, 20:54
โพสต์: 282


 ข้อมูลส่วนตัว




004wpa800.jpg
004wpa800.jpg [ 101.57 KiB | เปิดดู 3411 ครั้ง ]
tongue สวัสดี เริ่มต้นที่คุณหลับอยู่ก่อนเพราะมาให้กำลังใจ ถัดไปก็คุณโคตรภู คุณเช่นนั้น ท่านมหาราชันย์ และมิตรสหายในธรรมทุกๆท่าน

ผมต้อง ยกโฉลกธรรมสั้นๆ มาดึงทุกท่านออกจากปลักตมแห่งปริยัติมาตั้งต้นใหม่ณ จุดนี้ ท่านก็มากันจริงๆ

ดีแล้ว จะได้ตั้งต้นสนทนากันใหม่ในประเด็นที่มีประโยชน์ เป็นกุศล ไม่เศร้าหมองเพราะเพ่งโทษซึ่งกันและกัน หันมาเพ่งประโยชน์จากการสนทนาธรรมกันต่อไป ให้เกดประโยชน์ตน และ ยังประโยชน์ท่าน คือท่านผู้เข้ามาสังเกตการณ์เยี่ยมชมกระทู้นี้ ทุกท่าน

โคตรภู เขียน

อโศกะ เขียน:
จะ ไปอยู่ในฌาณ อาศัยฌาณ แล้วหวังพ้นโลกย์นั้น ต้องระวังให้มาก เพราะเหล่าผู้ทรงฌาณทั้งหลาย ดังเช่นพวก ฤาษี หรือพรหมนั้น มานะทิฐิ ใหญ่จริงๆ ดังตัวอย่าง ผกาพรหมในอดีต


---------- เรียนถามท่านอโศกะ แล้วบรรดา สุปฏิปันโณ ทั้งหลาย คือตั้งแต่อนาคามี ลงมาถ้ายังไม่ถึงซึ่งนิพพาน แล้วท่านหมดอายุหรือมรณภาพลงก่อนยังไม่เสร็จกิจซึ่งอรหัตผล ภพที่ไปจะไปอยู่ไหนครับ..............

อโศกะตอบ

นี่ท่านโคตรภู ยังไม่ทราบหรือ ทราบแล้วแต่อยากลองภูมิอโศกะดู
สุปฏิปันโนทั้งหลาย คือพระอริยเจ้าตั้งแต่ โสดาบันบุคคลขึ้นไป ถึงสกิทาคา อนาคามีบุคคล เมื่อหมดอายุขัยมรณกรรมไปจากโลกนี้ท่านจะไปอยู่ในภพภูมิตามวิบากแห่งกุศลกรรมของแต่ละท่าน มีเทวดาภูมิทั้ง 6 ชั้น และพรหมภูมิทั้ง 20 ชั้น


สำหรับพระอนาคามีบุคคลนั้น มีที่ไปเพียง 5 แห่ง คือความเป็นพรหมในชั้นสุทธาวาส 5 ชั้น พระอนาคามีที่ทรงปัญญาจะอยู่ชั้นสูงสุด ถัดลงมาก็ระดับ ทรงปัญญา+สมาธิ ตามระดับมากน้อย ไปดูได้ในกระทู้นีครับ
viewtopic.php?f=2&t=27749


เจริญในภาวนามยปัญญา ทุกๆท่านนะครับ :b8:

.....................................................
เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2009, 07:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2009, 20:54
โพสต์: 282


 ข้อมูลส่วนตัว




11045_0079.JPG
11045_0079.JPG [ 29.71 KiB | เปิดดู 3412 ครั้ง ]
tongue คห.ถัดมานี้ต้องสวัสดีท่านมหาราชันย์ก่อน แล้วก็ส่งความสุขถึงมิตรสหายในธรรมทุกท่าน ครับ

มหาราชันย์เขียน

อโศกะ เขียน:
ปรมัตถ์ แปลว่า ยิ่ง ๆ เพราะ จริง แปลง่ายๆ ว่า ของจริง



สวัสดีครับคุณอโศกะ

อวิชชา ในตัวคุณก็ของจริง ราคะในตัวคุณก็ของจริง โทสะในตัวคุณก็ของจริง โมหะในตัวคุณก็ของจริง ฯลฯ...ในโลกนี้ ในวัฏฏะนี้ล้วนมีแต่ของจริงมากมาย เป็นปรมัตถ์ไปทุกอย่างเลยใช่ไหมครับ ??


อโศกะ ตอบ

ดีแล้ว มาถามเรื่องปรมัตถธรรม ของโลกียสัจจะ

ความจริงทั้งหมดที่แสดงอยู่ใน รูป - นาม กายใจนี้ ล้วนเป็นธรรมมะที่มีประโยชน์ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นมหาภูติรูป 4 รูปทางทวารทั้ง 5 เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และธรรมารมณ์ทั้งหลาย อย่าไปมองว่า
โลภะ โทสะ โมหะ ว่าเป็น อกุศลแต่เพียงมุมเดียวซิ ฝึกมองโลกในแง่บวก พยายามทำตัวเป็น (Possitive Thinking People)มั่งนะครับ ทำไมไม่มองว่า เป็นธรรมมารมณ์มั่ง จะได้เอาเป็นธัมมานุปัสสนาสสติปัฏฐาน มีประโยชน์มากกว่าการหลบไปอยู่ในที่ตั้งคือญาณ 2 ของท่าน หรือธัมมานุปัสสนาสสติปัฏฐาน ไม่ดีเท่าญาณ 2


อโศกะ เขียน:
การเฝ้าดู เฝ้า สังเกต พิจารณา ของจิง ที่เป็นโลกียะ จักเป็นเหตุ ให่ถึงของจริงที่เป็น โลกุตระ พ้นโลกย์

มหาราชันย์ เขียน

เพราะเขาดูโลกียะกันทุกคน
ถ้า เชื่อตามคุณอโศกะอย่างนี้ก็ไม่ต้องฟังพระธรรมเทศนา ไม่ต้องมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ต้องมีพระธรรม ไม่ต้องมีพระสงฆ์ ก็หลุดพ้นได้ทุกคนใช่ไหมครับ ??


อโศกะตอบ

พระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าท่านมาตรฐาน เที่ยงธรรม เกื้อกูลทุกชนชั้น และระดับปัญญา
ท่านมหาราชันย์รู้มากเกินไปในปริยัติ จนทำตัวเหมือนกับผู้ที่จุติมาจากชั้นพรหมแล้วมาปฏิบัติธรรม จึงดู
เหมือนบริสุทธิผุดผ่องอยู่แต่ในกุศลแล้วปฏิบัติธรรม จนลืมแผ่นดินและความจริง ลืมด้วยว่าตนเองก็เริ่มต้นมาจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ อันเป็นเรื่องโลกย์ะสัจจะ ธรรมดา ๆ

ท่านมหาราชันย์ทราบไหมว่า ดอกบัว อุบลชาติอันสวยงามนั้น เกิดมาจากโคลนตม
พระอริยเจ้าทั้งหลายนั้นก็เกิดมาจาก ปุถุชน คนหนาด้วยกิเลส เป็นเบื้องแรก ได้พัฒนากาย จิตของตน มาตามเส้นทางแห่งบุญ จนได้มาพบพระธรรมคำสอนอันถูกต้องของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จับประเด็น จับหลักและวิธีปฏิบัติได้ชัดเจนถูกต้องดีแล้ว ก็จึงน้อมนำเอาหลักธรรม วิธีปฏิบัติเหล่านั้นไปปฏิบัติจริงๆ จนชำระ อวิชชา มิจฉาทิฐิ เกิดวิชชา ปัญญา สัมมาทิฐิขึ้นมาแทน เป็นเหตุส่งให้เข้าถึงมรรค ผล นิพพาน ไปตามลำดับ จนสิ้นสุดหมดงานโดยสิ้นเชิงที่อรหัตผล


การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องตามแนวทางแห่งวิปัสสนาภาวนา ถ้าเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าจริงๆ ก็ต้องเริ่มต้นจากการ เอาสติ เอาปัญญา มาเฝ้าดู เฝ้าสังเกต พิจารณา ปัจจุบันอารมณ์ ที่ รูป - และ นาม นี้ให้เป็นก่อน แล้วโลกิยะสัจจะทั้งหลาย จะมาแสดงตัว มาเอหิปัสสิโกให้เห็น ให้ดู ให้รู้ ให้สังเกต พิจารณาเอง ไปตามลำดับ จนอิ่มจนพอแล้ว ก็จะได้พบกับ สัจจธรรมความจริงอันเป็นหัวใจของวิปัสสนาภาวนา คือสามัญลักษณะทั้ง 3 อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

สามัญลักษณะทั้ง 3 นี้แหละที่จะทำให้เกิด สังเวช นิพพิทาญาณ เบื่อหน่ายคลายจางในธาตุขันธ์และอุปาทานอันหลอกลวงทั้งปวง จนคลายความยึดถือ ความเห็นผิด เกิดความเห็นถูกต้องสมบูรณืสูงสุด ดังที่พระพุทธเจ้าทรงสรุปไว้ว่า "สัพเพธัมมา อนัตตา เมื่อนั้นผู้เจริญวิปัสสนาภาวนา ก็จะได้กุญแจเพื่อไปไข เปิดประตู เข้าไปเสวยสุขอยู่กับพระนิพพาน


อโศกะ เขียน:
จะข้ามน้ำ ก็ต้องไปบนน้ำ จะพ้นโลก ก็ต้องไต่ขึ้นไปจากโลกย์นี่แหละ


มหาราชันย์ เขียน

นานปีมาแล้วเวลาข้ามมหาสมุทรแปซิฟิค ไปอเมริกา ผมนั่งเรือบินไปเหนือเมฆครับ
ไม่ได้ไปบนน้ำครับ แต่ไปบนอากาศครับ


อโศกะตอบ

นี่แหละคนที่รู้มากจนท่วมหัว เขาจะลืมความจริงที่แท้จริงไปได้เฉยเลยว่า ใต้เมฆลงมาเป็น น้ำ
คำศัพท์ หรือบัญญัติภาษาไทยว่า "บน" นี้มีความหมายได้ทั้ง 2 ชั้น ไม่เหมือนภาษาอังกฤษ ซึ่ง
On กับ Over นั้นมีความหมายต่างกัน


อโศกะ เขียน:
จะพ้นทุกข์ ก็ต้องค้นเข้าไปในทุกข์ จึงจะได้เห็นเหตุทุกข์ แล้วถอนเหตุนั้นออกได้

มหาราชันย์ เขียน

ทุกข์เป็นผล ปฏิบัติที่จิตผล จิตผลเกิดดับๆๆๆๆๆ มีช่องว่างให้จิตผลถอนจิตเหตุตอนไหนล่ะครับ ??

อโศกะตอบ

นี่ก็แสดงถึงความไม่รู้จริงของท่านมหาราชันย์ในเรื่องของปรมัตถธรรม หรือ อภิธรรม

ท่านมหาราชันย์ทราบหรือยังว่า ใน 1 วินาฑีนั้น จิต เกิด - ดับ ไปตั้งกี่ดวง สภาวธรรมที่เกิด - ดับ เปลี่ยนแปลงไป เปลี่ยนเรื่องไป ในแต่ละนาฑี วินาฑีนั้น มีตั้งหลายเรื่อง จะยกตัวอย่างให้ดูหยาบๆดังต่อไปนี้

เสียงด่า กระทบหู สติ รู้ วิญญาณ รู้ เสียง มโนวิญญาณ รับทราบเสียง สัญญา แปลเสียง ถ้าเสียงนั้นยังไม่มีในสัญญา ปัญญาสัมมาสังกัปปะ จะค้นหาคำตอบ ถ้ามีในสัญญา จะเกิด สติระลึกได้ ว่าเป็น เสียง ด่า สังขาร ความปรุงว่าเป็น กู เกิดมารอรับก่อน แล้วสติก็มารู้ว่า ด่ากู เวทนาก็จะเกิดขึ้น เป็ดนไม่ชอบใจ ถ้าสติ ปัญญาตามไม่ทัน ตัณหา อุปาทานก็จะเกิดขึ้น ปฏิฆะ โทสะ ก็จะเกิดขึ้น จิตสังขารอันซับซ้อนก็จะเกิดขึ้น เป็น มโนกรรม มโนกรรมมีกำลังมากขึ้น ๆ กลายเป็น วจีกรรม วจีกรรมมีกำลังมากขึ้น ๆ กลายเป็น กายกรรม กรรมครบองค์ 3 เป็นอกุศลจิต ถ้ากรรมเบาก็แค่ด่าตอบ ถ้ากรรมหนัก ก็คว้าไม้หน้าสาม มาทุบหัว ผู้ด่า ถ้ากรรมหนักมาก คนด่า ตาย ผิดศีลข้อปาณา ต้องเสวยผลวิบากแห่งกรรมนั้นทั้นที่ ทั้งณ ขณะปัจจุบันและอนาคตที่จะมาข้างหน้า นี่ตัวอย่างอกุศลกรรม ท่านมหาราชันย์ เห็นสันตติ ที่ต่อเนื่องมาจากเสียงด่าหรือยังครับ

ในกระบวนการดังตัวอย่างที่ยกมานี้ใหม่ๆ แรกๆ ของการเจริญวิปัสสนาภาวนา สติ ปัญาจะตามไม่ค่อยทัน แต่เมื่อฝึกปฏิบัติไปนานๆ สติ ปัญญาคมกล้าขึ้น เราจะได้เห็นช่วงต่อของปฏิจจสมุปบาท ที่สำคัญมากคือช่องต่อระหว่าง เวทนา กับ ตัณหา พระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ท่านสอนให้เฝ้าระว้งตรงนี้ เพื่อที่จะหักออกจากวงปฏิจจสมุปบาท

เมื่อเวทนาเกิด เวทนาแปลว่า ความรู้สึก ใช้ปัญญาสัมมาสังกัปปะ ถามต่อไปอีกนิดเดียว ว่า ใครรู้สึก
คำตอบโดยสามัญธรรมดาของคนไม่คิดมากก็คือ กู รู้สึก นี่ เห็น กู แล้ว เห็นอัตตา แล้ว จะเอา กู ออกได้อย่างไร ก็เป็นเรื่องที่สนทนากันมาตั้งยาวยืด มีรูป แผนภูมิให้ดูด้วยแล้ว ต้องกลับไปทำความเข้าใจให้ละเอียด ดู กันนะครับ


อโศกะ เขียน:

จะ ไปอยู่ในฌาณ อาศัยฌาณ แล้วหวังพ้นโลกย์นั้น ต้องระวังให้มาก เพราะเหล่าผู้ทรงฌาณทั้งหลาย ดังเช่นพวก ฤาษี หรือพรหมนั้น มานะทิฐิ ใหญ่จริงๆ ดังตัวอย่าง ผกาพรหมในอดีต

อโศกะ เขียน:

... มีสติรู้ทันปัจจุบันอารมณ์ มีปัญญาหรือสัมปชัญญะ เฝ้าดูและสังเกตพิจารณาอารมณ์ ที่เกิดดับเปลี่ยนไปไม่ขาดสาย ผู้ปฏิบัติจะได้เห็นตัว สมุทัย คือ อัตตาและตัณหา

มหาราชันย์ เขียน

ผกาพรหมในอดีต...มาอยู่ในจิตคุณอโศกะได้ไงกันล่ะครับนี่ ??
หรือว่าเพราะรู้ไม่ทันเสียแล้ว...


อโศกะตอบ

แล้วบัญญัติ ปริยัติ บาลี ญาณ 72 และก็อะไรต่อมิอะไร ที่เข้าใจยาก มากด้วยศัพท์แสงทั้งหลาย ที่ท่านมหาราชันย์แสดงไว้เต็มลานธรรมจักรนี้ ล่ะ มาอยู่ในจิตของท่านมหาราชันย์ได้อย่างไรละครับ

ตอบให้ก็ได้ ผมเคยมีสัญญาเรื่องนี้ไว้ในสมองนะครับ สมองผมไม่ได้เก็บอะไรไว้จนมากล้นเกินพอดี ผมเลือก คัดสรร เอาแต่ ประเด็น หลักการ วิธีการปฏิบัติที่ดีและถูกต้อง หัวใจของคำสอน และหัวใจเรื่องราวต่างๆ มาเก็บไว้ในสมอง เวลาถูกถาม ผมจึงได้เฉพาะ หัวเงื่อน หรือหัวข้อ ให้ผู้ถามไปค้นหารายละเอียด ดูต่อเอาเองนะครับ เรื่องปริยัตินี่ ถ้าไม่พิจารณาเลือกสรร ให้ดี ก็จะเผลอไปเก็บเอาขยะสมองมาไว้ด้วยนะครับ

อ้อ สุดท้าย ฝากถึงน้องกระบี่ไร้เงา น้องจะมาถามหาหลักฐานในพระไตรปิฎก หรือพระสูตร เพื่อมาอ้างอิงคำพูดของอโศกะที่กล่าวมาข้างบน อีกไหมนี่ครับ

เพราะเรื่องที่พูดส่วนใหญ่ เอามาจากธรรมมะในหนังสือเล่มที่กว้างศอก ยาววา หนาคืบ ที่พ่อ แม่ให้มานี่ละครับ มาแจกแจง แสดงสู่กันฟัง จะว่านอกตำราก็ไม่ใช่ เพราะเป็นเรื่องของ รูป - นาม ปรมัตถธรรม จิต เจตสิก รูป นิพพาน อริยสัจจ 4 มรรค 8 อนัตตา โพธิปักขิยธรรม 37 ประการแทบทั้งสิ้นครับ

เจริญปััญญา สติ สมาธิ วิริยะ ศีล การงาน และอาชีพทีถูกทีชอบกันทุกท่านนะครับ

.....................................................
เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2009, 09:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมมะในหนังสือเล่มที่กว้างศอก ยาววา หนาคืบ ที่พ่อ แม่ให้มานี่ละครับ มาแจกแจง แสดงสู่กันฟัง จะว่านอกตำราก็ไม่ใช่ เพราะเป็นเรื่องของ รูป - นาม ปรมัตถธรรม จิต เจตสิก รูป นิพพาน อริยสัจจ 4 มรรค 8 อนัตตา โพธิปักขิยธรรม 37 ประการแทบทั้งสิ้นครับ[/color]

เจริญปััญญา สติ สมาธิ วิริยะ ศีล การงาน และอาชีพทีถูกทีชอบกันทุกท่านนะครับ[/quote]




:b34: smiley ส่วนตัวอาจดูไม่เป็น ลำดับ แต่ ชอบครับ :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2009, 20:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ย. 2009, 00:37
โพสต์: 86

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อโศกะ เขียน:
อโศกะตอบ

นี่ท่านโคตรภู ยังไม่ทราบหรือ ทราบแล้วแต่อยากลองภูมิอโศกะดู
สุปฏิปันโนทั้งหลาย คือพระอริยเจ้าตั้งแต่ โสดาบันบุคคลขึ้นไป ถึงสกิทาคา อนาคามีบุคคล เมื่อหมดอายุขัยมรณกรรมไปจากโลกนี้ท่านจะไปอยู่ในภพภูมิตามวิบากแห่งกุศลกรรมของแต่ละท่าน มีเทวดาภูมิทั้ง 6 ชั้น และพรหมภูมิทั้ง 20 ชั้น

สำหรับพระอนาคามีบุคคลนั้น มีที่ไปเพียง 5 แห่ง คือความเป็นพรหมในชั้นสุทธาวาส 5 ชั้น พระอนาคามีที่ทรงปัญญาจะอยู่ชั้นสูงสุด ถัดลงมาก็ระดับ ทรงปัญญา+สมาธิ ตามระดับมากน้อย ไปดูได้ในกระทู้นีครับ
viewtopic.php?f=2&t=27749


smiley smiley smiley


เจริญในธรรมครับ

ขอบคุณครับที่คุณอโศกะช่วยย้ำความเข้าใจ ที่เหมือนกัน................

ไม่ได้ลองภูมิท่านอโศกะ เพียงแต่ทบทวนครับ

เช่นกันก็ขอทบทวนความเข้าใจอีกครั้งครับ

1. คุณภาพของจิตต้องเป็นอย่างไรจึงจะเสวยวิบากผลในภพภูมิมนุษย์ ภพภูมิพรหม (เป็นไปตามอริยสัจจ์ 4) หากยังไม่สำเร็จอรหันตผล

2. การที่ท่านอโศกะไม่เอาฌาน เฝ้าพัวพันในขันธ์ 5 ในการตามรู้ กาย ใจ ให้เห็นอนันตา จะเสวยวิบากผลอย่างไร (เป็นไปตามอริยสัจจ์ 4) หากยังไม่สำเร็จอรหันตผล

เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นครับ

.....................................................
....ถ้าไม่ทำสัญญาให้เป็นปัญญา ทำอย่างไรก็เป็นกามสัญญา......


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2009, 12:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


บุคคลผู้ยังใจให้เลื่อมใส ให้ทานด้วยโภคทรัพย์ทั้งหลายที่ได้มา
โดยชอบธรรม ย่อมเป็นผู้ยึดถือชัยชนะไว้ได้ในโลกทั้งสอง ของผู้มี

ศรัทธาอยู่ครองเรือน คือ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลในปัจจุบัน และเพื่อ

ความสุขในสัมปรายภพ การบริจาคของคฤหัสถ์ดังกล่าวมานั้นย่อมเจริญ

บุญ ผู้ใดมีศรัทธา ตั้งมั่น มีใจประกอบด้วยหิริ มีโอตตัปปะ มีปัญญา

และสำรวมในศีล ในวินัยของพระอริยเจ้า ผู้นั้นแล เราเรียกว่ามีชีวิตเป็น

สุขในวินัยของพระอริยเจ้า ฉันนั้นเหมือนกัน เขาได้ความสุขที่ไม่มีอามิส

ยังอุเบกขา (ในจตุตถฌาน) ให้ดำรงมั่น ละนิวรณ์ ๕ ประการ เป็นผู้

ปรารภความเพียรเป็นนิตย์ บรรลุฌานทั้งหลาย มีเอกัคคตาจิตปรากฏ

มีปัญญารักษาตัว มีสติ จิตของเขาย่อมหลุดพ้นโดยชอบ เพราะทราบ

เหตุในนิพพานเป็นที่สิ้นสังโยชน์ทั้งปวงตามความเป็นจริง เพราะไม่ถือ

มั่นโดยประการทั้งปวง หากว่าเขาผู้มีจิตหลุดพ้นโดยชอบ คงที่อยู่ใน

นิพพาน เป็นที่สิ้นไปแห่งกิเลสเป็นเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพ ย่อมมี

ญาณหยั่งรู้ว่า ความหลุดพ้นของเราไม่กำเริบไซร้ ญาณนั้นแลเป็นญาณ

ชั้นเยี่ยม ญาณนั้นเป็นสุขไม่มีสุขอื่นยิ่งกว่า ญาณนั้นไม่มีโศกหมดมัว

หมอง เป็นญาณเกษมสูงสุดกว่าความไม่มีหนี้.

จบอิณสูตรที่ ๓ (ลอกแค่นี้พอนะ ยาวมาก เรื่องเกี่ยวกับการบริโภค)ปล เอามาจากบ้านธัมมะ


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 27 ธ.ค. 2009, 12:05, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2009, 12:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเห็นส่วนตัว ยุคนี้ หลายคน กลัวฌาณ กลัวติดฌาณ :b10: ออกจะรังเกียจฌาณ ไปแล้ว
อันนี้ความคิดของผม ผมว่า แนวคิด ปฏิเสธฌาณ ไม่เข้าท่าครับ ดูแล้วฝืนการสอนของ พุทธองค์ยังไงๆอยู่ :b7: Onion_L
ส่วนตัวอีกที หากเรามีฌาณการ พิจารณาธรรมไปขั้นสูงๆขึ้น(โลกุตระ)คงไปได้ง่ายกว่าไม่มีฌาณนะ :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 27 ธ.ค. 2009, 12:12, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2009, 12:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2009, 20:54
โพสต์: 282


 ข้อมูลส่วนตัว


tongue

อ้างคำพูด:
โคตรภูเขียน

เจริญในธรรมครับ

ขอบคุณครับที่คุณอโศกะช่วยย้ำความเข้าใจ ที่เหมือนกัน................

ไม่ได้ลองภูมิท่านอโศกะ เพียงแต่ทบทวนครับ

เช่นกันก็ขอทบทวนความเข้าใจอีกครั้งครับ

1. คุณภาพของจิตต้องเป็นอย่างไรจึงจะเสวยวิบากผลในภพภูมิมนุษย์ ภพภูมิพรหม (เป็นไปตามอริยสัจจ์ 4) หากยังไม่สำเร็จอรหันตผล

อโศกะ ตอบ

เรียนเชิญคุณโคตรภู ไปเยี่ยมอ่านที่ คห.นี้สักแป๊บเดียวนะครับแล้วจะรู้ที่ไปที่มาของสัตว์โลก
viewtopic.php?f=2&t=27749


โคตรภู ถาม

2. การที่ท่านอโศกะไม่เอาฌาน เฝ้าพัวพันในขันธ์ 5 ในการตามรู้ กาย ใจ ให้เห็นอนันตา (ต้องอนัตตา)จะเสวยวิบากผลอย่างไร (เป็นไปตามอริยสัจจ์ 4) หากยังไม่สำเร็จอรหันตผล(ที่ถูกต้องอรหัตผล)

อโศกะ ตอบ

ไม่เชิงไม่เอาฌาณเสียเลย คุณโคตรภูได้อ่านซ้ำๆ บ่อยๆ อยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ คำสอนของพระสารีบุตรที่กล่าวไว้ สรุปเป็นภาษาไทยง่ายๆว่า

การเจริญธรรมนั้น

กลุ่มที่ 1 เอาสมถะนำแล้ว วิปัสสนาตาม
กลุ่มที่ 2 เอาวิปัสสนานำหน้า แล้วเกิดสมถะตามหลัง
กลุ่มที่ 3 เจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป (เจริญปัญญา พักสะสมกำลังใน ฌาณ สลับกันไปมา)
กลุ่มที่ 4 เจริญวิปัสสนาภาวนาล้วนๆ (อาศัยเพียงแค่ขณิกะสมาธิ เจริญสติ ปัญญา เฝ้าดู เฝ้าสังเกต พิจารณา สภาวธรรม ณ ปัจจุบันขณะ ปัจจุบันอารมณ์)


วิธีปฏิบัติที่ผมทำอยู่เป็น ข้อ 3 ผสมข้อ 4 ครับ เพราะเรื่องฌาณก็เคยเล่นมาแล้วสนุกดีพอเอามาใช้ประโยชน์ได้บ้าง

สิ่งที่ผมกำลังพยายามนำเสนอต่อชาวพุทธทั้งหลายนั้น ผมอยากจะแสดงให้ทุกๆท่านรู้ว่า การเจริญมรรค มีองค์ 8 นั้น เป็นความสมบูรณ์พร้อมของคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติและแนะนำไว้แก่พุทธสาวก โดยทรงเริ่มประกาศมัชฌิมาปฏิปทาคือทางเดินตาม มรรคมีองค์ 8 นี้แก่สาวกกลุ่มแรกคือปัญจวัคคีย์ ตั้งแต่วันปฐมเทศนา มรรค 8 นั้น สมบูรณ์พร้อมแล้วทั้ง สมถะและวิปัสสนา

สมถะภาวนาในมรรค 8 นั้นอยู่ในหัวข้อของ สมาธิมรรค อันได้แก่ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
พระพุทธองค์ทรงใช้คำว่า "สัมมาสมาธิ" แทนคำว่า "สมถะภาวนา"

ทีนี้ผู้คนก็พากันมาสงสัยว่า เมื่อพระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ แนะนำ และ รับรอง การเดินบนเส้นทางแห่งมรรค 8 ดังพระวาจาว่า "สัมมา วิหาเรยุง อสุญโญโลโก อรหันเตหิ" "ตราบใดที่ยังมีผู้ประพฤติตามสัมมาทั้ง 8 ข้อ อยู่ ตราบนั้นโลกนี้จักไม่ว่างจากพระอรหันต์" แต่ทำไมจึงยังมีคำสอนคำแนะนำเกี่ยวกับ สมถะกรรมฐาน สมถะภาวนา และคำยกย่องอานิสงแห่งสมถะภาวนา อันเป็นวิชาของพราหมณ์ ฤาษี ที่มีมาก่อนอยู่

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า พระพุทธศาสนางอกเงยแยกต้นออกมาจากศาสนาพราหมณ์ เมื่อพระพุทธองค์ทรงค้นพบวิชาใหม่แล้ว แต่ก็ต้องทรงกลับมาสอนแก่เหล่าบรรดา พรามหณ์ ฤาษีต่างๆ จึงยังทรงจำเป็นต้องท้าวความเดิม อ้างอิงจากความรู้เก่าคือ สมถะภาวนา วิชาของ พราหมณ์ ฤาษี แล้วยึดโยงเชื่อมมาสู่วิชาใหม่ที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ คือมรรค 8 หรือวิปัสสนาภาวนา

ถ้าผู้ใดมีปัญาสังเกตเห็นและจับประเด็นได้ถูกต้องอย่างนี้ เขาผู้นั้นไม่จำเป็นจะต้องไปศึกษาเอาวิชาของพราหมณ์ ฤาษี มาปะปนกับพุทธวิชาเลย ก็ได้ เพียงแต่ขอให้มานับหนึ่งด้วยการศึกษาหัวใจของการค้นพบของพระพุทธเจ้า คือ อริยสัจ 4 ให้เข้าใจถูกต้อง ลึกซึ้ง ทั้งอรรถะ และ พยัญชนะ จากนั้นก็ให้ศึกษาเจาะลึกละเอียดลงไปใน มรรค มีองค์แปด จนรู้ซึ้งถึงวิธีการที่จะนำเอามรรค 8 ไปประยุกต์สู่การปฏิบัติจริง
แล้วลงมือปฏิบัติจริงๆ เท่านี้ก็จะเพียงพอแล้วที่จะทำให้พ้นทุกข์ ถึงมรรค ผล นิพพาน อยู่ในทางแห่งชาวพุทธหรือพุทธวิชาโดยสมบูรณ์โดยตลอด ไม่ต้องไปพึ่งพิงวิชาพราหมณ์


ท่านโคตรภูคิดว่าท่านมานับหนึ่งใหม่ในชาติปัจจุบันนี้หรือ

หาใช่เช่นนั้นไม่ ถ้าท่านเชื่อกฏแห่งกรรม เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า ชีวิตเราทุกคน มนุษย์ สัตว์ เทวดา พรหม ทุกรูป ทุกนาม มิได้มาตั้งต้นนับหนึ่งใหม่ จิตวิญญาณแต่ละดวง ได้ประกอิบกรรม สะสมผลกรรม ดี ชั่ว มาแล้ว นับชาติไม่ถ้วน

ชาติปัจจุบันนี้ก็มาเสวยวิบากแห่งศีลแห่งทานอันดี จึงได้ชีวิตเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา มีโอกาสได้ฟังธรรมศึกษาธรรม ยังคงเหลือแต่การต่อยอดปฏิบัติธรรม ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา เจริญมรรค 8 ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้ว ตามโอวาทปาติโมกข้อที่ 3 เอาตัวเอาต้นให้พ้นอบาย ไปสู่นิพพาน ให้ทันในชาติปัจจุบันนี้ นี้คืองานและหน้าที่ของชาวพุทธและคนฉลาด


ส่วนคำถามที่ว่าผมจะไดรับผลอะไรในการเจริญวิปัสสนาภาวนา ตามหลักของอริยสัจ 4 คำตอบก็ง่ายๆว่า

ถ้าผมเจริญมรรค 8 หรือวิปัสสนาภาวนาอยู่ไม่ขาดสาย


ผลที่ 1 คือ รู้ ทุกข์และรายละเอียดของทุกข์

2.จากทุกขที่เห็นและรู้ชัดนั้น สาว สืบค้นจนปัญญาได้พบ สมุทัย คือ ตัณหา อัตตทิฐิ มานะทิฐิ กิเลสอนุสัยทั้งหลาย และได้เห็นความจริง คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในสังขารธรรมทั้งหลายทั้งปวง จนเกิดความเบื่อหน่าย คลายจาง ปล่อยวางความเห็นผิด ความยึดผิดมิจฉาทิฐิ คือความเห็นว่าเป็นอัตตา ตัวกู ของกู สลัดทิ้งสักกายทิฐิตัวกู ของกูนี้ดับขาด วิจิกิจฉาดับตาม มีสีลัพพตปรามาสเป็นผลพลอยได ปิดประตูอบายสนิท ไม่หวนกลับมาเกิดในไข่ เถ้าไคล หรือในครรภ์ คงเหลือแต่โอปาปาติกะปฏิสนธิ ในเทวดาและพรหม ตกอยู่ในกระแสแห่งพระนิพพาน ไม่นานเนิ่นช้าเกิน 7 ชาติ ก็จักได้เข้าถึงอนุปาทิเสสนิพพาน ในอรหัตผลกาลนั้นเอง
:b8:
Kiss s001 Lips

เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปเช่นกันครับ

.....................................................
เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2009, 12:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


กรณี เอาวิปัสสนานำหน้า ผม เดา เอาว่า คงจะเป็นพระพาหิยะ (รู้ธรรมเร็ว)
แต่ ชาติก่อนๆ ท่านก็บำเพ็ญ เพียร มาเยอะ (บารมีธรรมเก่า)
หากพระพุทธองค์ ไม่ทรงบอกเราก้ไม่รู้หรอกครับ
คิดเดา เอาว่านะ :b16:


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 27 ธ.ค. 2009, 13:00, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2009, 16:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ย. 2009, 00:37
โพสต์: 86

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cool

smiley tongue smiley

อโศกะ เขียน:
อโศกะ ตอบ

ไม่เชิงไม่เอาฌาณเสียเลย คุณโคตรภูได้อ่านซ้ำๆ บ่อยๆ อยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ คำสอนของพระสารีบุตรที่กล่าวไว้ สรุปเป็นภาษาไทยง่ายๆว่า

การเจริญธรรมนั้น

กลุ่มที่ 1 เอาสมถะนำแล้ว วิปัสสนาตาม
กลุ่มที่ 2 เอาวิปัสสนานำหน้า แล้วเกิดสมถะตามหลัง
กลุ่มที่ 3 เจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป (เจริญปัญญา พักสะสมกำลังใน ฌาณ สลับกันไปมา)
กลุ่มที่ 4 เจริญวิปัสสนาภาวนาล้วนๆ (อาศัยเพียงแค่ขณิกะสมาธิ เจริญสติ ปัญญา เฝ้าดู เฝ้าสังเกต พิจารณา สภาวธรรม ณ ปัจจุบันขณะ ปัจจุบันอารมณ์)

วิธีปฏิบัติที่ผมทำอยู่เป็น ข้อ 3 ผสมข้อ 4 ครับ เพราะเรื่องฌาณก็เคยเล่นมาแล้วสนุกดีพอเอามาใช้ประโยชน์ได้บ้าง


ตกลงผมก็ชักสับสนกับการแสดงธรรมของท่านอโศกะ ชักสงสัยท่านจะเป็นดังที่ท่านมหาราชันย์กล่าวหาหรือเปล่า เริ่มไม่แน่ใจ

ตามที่ยกอ้าง ผมว่าถ้าท่านเปลี่ยนมุมมองใหม่ ผมว่าท่านน่าเห็นภาพรวมจากพระสูตรนี้ที่ท่านพระอรหัตเจ้าพระอานนท์กล่าวไว้ นั้นเป็นพียงการแสดงภูมิความรู้ปัญญาของท่านให้เห็นสามารถแยกให้เห็นว่าอันใดคือสมถะอันใดคือวิปัสสนาที่แตกต่างไปจาก คำสอนที่มีอยู่ทั่วไปในขณะนั้น

แต่สภาวะธรรมทั้งหลายทั้งปวงเกี่ยวเนื่องสอดคล้องกันทั้งสมถะและวิปัสสนาตามที่ท่านอรหัตเจ้าพระอานนท์กล่าวไว้ ทั้งนี้เนื่องมาจากความสามารถของจิต คุณภาพจิต หรือ จริต ของแต่ละท่านไม่เหมือนกัน จึงเริ่มต้นไม่เหมือนกัน การปฏิบัติไม่ว่าจะเลือกวิธีการใดก็ตาม ผลที่ได้ที่ถูกต้องจะต้องเกิดความตั้งมั่นแห่งจิต(สัมมาสมาธิ หรือฌาณ) ทำให้สามารถใช้สติ ปัญญาในการเพียรเผาผลาญ กิเลส ตันหา เพื่อให้เกิดญาณ ปัญญารู้ชัด ในอริยสัจจ์ 4

ตามที่กล่าวมาใน ค.ห.ข้างบนมีสิ่งหนึ่งที่ท่านต้องพึงระวัง ไม่ให้เกิดปัญหาตามมา การที่ท่านบอกว่าท่านก็ฝึกฌานมาบ้างพอสมควรเป็นของเล่นสนุกสนานสำหรับท่าน นั้นแปลว่าท่านมีกำลังแห่งสมาธิหรือฌานพอสมควรเป็นบาทให้ท่านเจริญวิปัสสนาตามที่ท่านแสดงมา

แต่สำหรับผู้อื่น ผู้เริ่มต้นใหม่ ผู้ปฏิบัติที่ไม่ได้ศึกษาหาความรู้ที่ถูกต้อง ไม่มีกำลังแห่งฌาณพอที่จะมาเฝ้าดูธรรมารมณ์เช่นท่าน กลุ่มเหล่านี้จะน่าเห็นใจที่สุด เพราะจะไม่สำเร็จและท้อไปที่สุดเพราะไม่สามารถหยุดหรือดับนิวรณ์ 5 ในเบื้องต้นได้ ดังนั้นการแสดงธรรมใดก็ตาม(เกี่ยวกับการปฏิบัติ)ผมว่ายกจากพุทธพจน์ หรือจากพระไตรฯ มาแสดงให้เห็นเลยจะดีกว่า อย่างน้อยเป็นการรักษาไว้ซึ่งคำสอนที่ถูกต้อง ไม่บิดเบื้อนไปเพราะความประมาณของเรา

อีกประการหนึ่ง มรรค 8 เมื่อ ย่อลงมา เหลือ ไตรสิกขา ถ้าไม่เอาฌาณเลย กำลังสมาธิก็ไม่พอ ไม่สามารถทำให้สมดุลได้ใน 3 อย่าง มรรคสมังคี จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ครับ


.....................................................
....ถ้าไม่ทำสัญญาให้เป็นปัญญา ทำอย่างไรก็เป็นกามสัญญา......


แก้ไขล่าสุดโดย โคตรภู เมื่อ 27 ธ.ค. 2009, 16:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2009, 08:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2009, 20:54
โพสต์: 282


 ข้อมูลส่วนตัว




ll006.jpg
ll006.jpg [ 70.04 KiB | เปิดดู 3333 ครั้ง ]
tongue สวัสดีครับ คุณโคตรภู คุณหลับอยู่และเพื่อนกัลยาณมิตรทุกท่าน

โคตรภูเขียน

-------แต่สำหรับผู้อื่น ผู้เริ่มต้นใหม่ ผู้ปฏิบัติที่ไม่ได้ศึกษาหาความรู้ที่ถูกต้อง ไม่มีกำลังแห่งฌาณพอที่จะมาเฝ้าดูธรรมารมณ์เช่นท่าน กลุ่มเหล่านี้จะน่าเห็นใจที่สุด เพราะจะไม่สำเร็จและท้อไปที่สุดเพราะไม่สามารถหยุดหรือดับนิวรณ์ 5 ในเบื้องต้นได้ ดังนั้นการแสดงธรรมใดก็ตาม(เกี่ยวกับการปฏิบัติ)ผมว่ายกจากพุทธพจน์ หรือจากพระไตรฯ มาแสดงให้เห็นเลยจะดีกว่า อย่างน้อยเป็นการรักษาไว้ซึ่งคำสอนที่ถูกต้อง ไม่บิดเบื้อนไปเพราะความประมาณของเรา

อีกประการหนึ่ง มรรค 8 เมื่อ ย่อลงมา เหลือ ไตรสิกขา ถ้าไม่เอาฌาณเลย กำลังสมาธิก็ไม่พอ ไม่สามารถทำให้สมดุลได้ใน 3 อย่าง มรรคสมังคี จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ครับ.......

อโศกะ แสดงความเห็น

สรุปแล้ว แทบทุกท่านเป็นห่วงมากๆอยู่ 2 เรื่อง

1.กลัวจะสอนนอกคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงแนะนำให้อ้างอิงปริยัติในพระไตรปิฎกตลอด กลัวการปฏิรูปพระสัทธรรม เป็นห่วงพระพุทธศาสนาจะเสื่อมเร็ว

2.มีความผูกยึดกันไว้แนนหนาว่าต้องได้ฌาณก่อน จึงจะเดินไปบนเส้นทางแห่งมรรค 8 ได้

อนุโมทนาสาธุเป็นอย่างยิ่งกับกุศลเจตนาของทุกๆท่าน


ข้อวิจารณ์

ความกลัว ถ้ามากเกินไป กลับจะกลายเป็นเครื่องเร่งปฏิกิริยาแห่งความเสื่อม (เหมือนคนกลัวเชื้อโรค กลัวภัย กลัวโลกจะถล่ม)

โดยธรรมแล้วกฏของพระไตรลักษณ์นั้น เที่ยงธรรมกับทุกๆสิ่ง ไม่เว้นแม้แต่พระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าจึงทรงพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าว่า ศาสนาของพระองค์ จะมีอายุคงอยู่ได้เพียง 5,000 พวัสสา บุคคลสำคัญที่จะมาทำลาย ลดทอนอายุของพรพุทธศาสนานั้นมิใช่ใคร คือพุทธบริษัททั้ง 4 นี่เอง

ลองมามองต่างมุมกันดู หรือปรับมุมมองใหม่เป็นอีกอย่างหนึ่งซิครับ จะเห็นว่า ทุกวันนี้ ผู้ที่มานำเสนอคำสอนเรื่องพุทธศาสนาในแนวทางที่จะให้ง่ายในการเข้าใจ ง่ายในการเริ่มต้นประพฤติปฏิบัติ กลับถูกรุมโจมตีด้วยนักปริยัติทั้งหลาย จนต้องถอนทัพ กลับไปอยู่ป่าเสียเป็นส่วนใหญ่

แต่บรรดานักปริยัติทั้งหลายเหล่านั้น ไม่เห็นมีใครคิดไปแก้ไขเรื่องนอกคำสอนของพระพุทธเจ้าที่แทรกเข้ามายึดครองพระพุทธศาสนา คือคำสอนที่เอาบุญมาล่อ เอาสวรรค์มาล่อ เอาประเพณี พิธีกรรมมาครอบ เรื่องโชค ลาง ของขลัง วัตถุมงคล ปลุกเสก ลงเลขยันต์ ปลุกเสกแม้แต่พระพุทธรูปให้ศักดิ์สิทธิ์
เรื่องของเปลือก กระพี้พระศาสนา กลับมาเป็นเรื่องหลักสำคัญ เรื่องที่เป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนากลับถูกกีดกั้น ด้วยความปารถนาดี


คำสอนตรงๆ จากพระไตรปิฎกนั้นดี ถูกต้อง สุดยอดแน่นอนอยู่แล้ว แต่ความที่จะไปเข้าใจคำสอนดีๆจากพระโอษฐ์์และอรรถกถาจารย์เหล่านั้น ม้นมิใช่ของง่ายๆ อย่างที่ท่านผู้รู้ทั้งหลายคิดเอา ศัพท์ทางบาลี เรื่องฌาณ เรื่องญาณ ยิ่งมีตั้ง หกสิบ เจ็ดสิบกว่าญาณนี่ยิ่งเป็นกำแพงกั้นผู้คนรุ่นใหม่ให้ไกลจากพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น ลองพิจารณากันดูดีๆนะครับ

ครูบาอาจารย์ หรือผู้ที่มีเมตตา พยายามจะทำให้พุทธศาสนาเป็นของง่าย (ซึ่งจริงๆก็ง่าย เพราะเป็นเรื่องของ เหตุ และ ผล เป็นเรื่องของธรรมชาติที่แสดงอยู่ในกาย ใจ ทุกขณะ ทุกวี่ทุกวันนี้แทบทั้งหมด)
ด้วยการนำมาแจกแจง แสดง อธิบาย ด้วยคำศัพท์ง่ายๆ สื่อภาษาง่ายๆ อุปมา อุปมัยง่ายๆ พื้นๆ ที่คนในยุคสมัยนี้เข้าใจ นำไปปฏิบัติได้ กลับถูกกีดขวาง ด้วยคำอ้างว่าจะเป็นการปฏิรูปพระสัทธรรม

ทำไมท่านผู้รู้เหล่านั้นจึงไม่เอาความรู้ที่มีมาวิเคราะห์ดูให้ดีซิว่า ภาพรวมของคำสอนง่ายๆเหล่านั้น ชี้ไปที่เป้าหมาย หรือจุดหมายใด ชี้ไปสู่ความงมงาย หรือความหลุดพ้น ต้องพิจารณากันดูให้ดีนะครับ

คำอธิบาย แจกแจงเรื่องของ อริยสัจ 4 มรรค 8 อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปัจจุบันธรรม ปัจจุบันอารมณ์ ฯลฯ ในรูปแบบที่ง่ายๆ ด้วยสื่อและรูปแบบต่างๆที่เข้าใจง่าย ไม่ดีกว่าคำอธิบาย วิธีไปเข้าพิธีแก้กรรม ปลุกเสกลงเลขยันต์หรือครับ

ถ้าเราพาผู้คนใหม่ๆมาศึกษาพุทธธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้าให้เขาเข้าใจประโยชน์ ประเด็น หลักการ วิธีปฏิบัติ เริ่มต้นอย่างง่ายๆ ให้เขาได้ทบทวนสอบศีล สอบธรรมอันมีอยู่ในตน ได้ลิ้มรสแห่งการทำวิปัสสนาภาวนาระดับพื้นฐานไปก่อน แล้วค่อยพัฒนาให้สูงขึ้นไปตามระดับสติ สมาธิ ปัญญา ไม่ช้า เมื่อได้ลิ้มรสแห่งธรรมเบื้องต้น ศรัทธาของเขาเกิดขึ้นและแรงกล้า เขาจะดิ้นรน ขวันขวายแสวงหาด้วยตนเอง ถึงเวลานั้นอะไรก็ไม่ยากแล้ว บาลียากๆ เรื่องฌาณเรื่องญาณ ต่างๆที่ท่านผู้รู้ทั้งหลายปราถนาจะให้เป็น ก็จะไม่ยากแล้ว เหมือนอย่างที่ท่านผู้รู้ทังหลายเป็นอยู่ ห่วงอยู่ขณะนี้

ท่านผู้รู้ทั้งหลาย มิใช่เริ่มต้นมาจากความไม่รู้ ลองผิด ลองถูกมาก่อนหรือครับ


ท่านโคตรภูคงจะงงเลยนะครับ ถามนิดเดียวแต่ตอบอ้อมไปที่ไหนไม่รู้ ยาวยืด ต้องขออภัยนะครับ และต้องขอขอบพระคุณที่มากระตุ้นต่อมและ ความในใจที่อยากแสดงออกให้โลกรู้ครับ

จับประเด็นดูคงพอได้คำตอบและเห็นเจตนาของอโศกะนะครับ คงเห็นเป็น + ไม่ใช่ - นะครับ

.....................................................
เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2009, 10:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 84 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร