วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 17:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 17:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


เราอบรมเจริญปัญญา

เพื่อ "เข้าใจ" โลก...ทั้งภายในและภายนอกตัวเรา.


"ตัวตน" ไม่ใช่สภาพธรรม.!


เมื่อ "ปัญญา" เจริญขึ้น

ก็จะคิดถึงตัวเองน้อยลง.


เราสะสม "อวิชชา" มามาก

"อวิชชา" ซึ่งเป็น "ปัจจัย" ที่ทำให้เกิดกิเลสต่าง ๆ


เมื่อมีการ "ละคลาย" ความไม่รู้ (อวิชชา) ลง

อกุศลธรรมทั้งหลาย ก็ลดลงด้วย.


อกุศลธรรม ลดลง...ก็เป็นประโยชน์

ทั้งแก่ตัวเรา และ คนรอบข้าง.

ขณะที่เริ่มพิจารณา รู้ว่า ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่วัตถุสิ่งใด ๆ

เป็นแต่เพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งปรากฏได้ทางตา

ในขณะนั้น

เป็นการน้อมระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่ปรากฏทางตา

ตามปกติ ตามความเป็นจริง เจ้าค่ะ.


จนกว่า "ลักษณะ" ที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

จะปรากฏจริง ๆ ว่า ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีวัตถสิ่งใด ๆ เลย

ในสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา.
เพราะเหตุว่า ถ้าสภาพธรรมทั้งหลาย เป็น อนัตตา

ต้องเป็นอนัตตาจริง ๆ เจ้าค่ะ

จะเป็นอนัตตาเพียงตัวหนังสือ

หรือว่าจะเป็นอนัตตาแต่เพียงชื่อ ไม่ได้.!


เมื่อสภาพธรรมทั้งหลาย เป็น อนัตตา

ต้องหมายความว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

ไม่ใช่วัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใด

เป็นแต่เพียง "ลักษณะของสภาพธรรม"

แต่ละชนิด แต่ละอย่าง ซึ่งปรากฏแต่ละทาง.


สำหรับ สิ่งที่ปรากฏทางตา

ต้องทราบจริง ๆ ว่า

เมื่อเห็นแล้ว มีการนึกถึงรูปร่างสัณฐาน แน่นอน

จึงปรากฏเป็นวัตถุ เป็นคน หรือเป็นสิ่งต่าง ๆ

ถ้าเพียงเห็น แล้วไม่นึกถึงรูปร่างสัณฐาน

ไม่มีทางเป็นไปได้เลย.!


ลองดูนะ...เพียงชั่วขณะที่หลับตา แล้วลืมตาทันที

ชั่วขณะเดียวที่ลืมตาแล้วหลับไปนี้

จะบอกได้มั้ยว่าเห็นอะไร.?

เห็นสิ่งที่ปรากฏทาตา...แต่ว่าไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร

ถ้าไม่นึกถึง รูปร่างสัณฐาน.!


เพราะฉะนั้น

ในการเห็น ทางตา นั้น...หมายความว่า

หลังจากที่วิถีจิตเกิดขึ้น เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา และดับไปหมดแล้ว

ภวังคจิต ก็เกิดขั้น อย่างรวดเร็ว

และ มโนทวารวิถี ก็เกิดต่อทันที.


ไม่มีใครสามารถที่จะไประงับยับยั้งการเกิดต่อของมโนทวารวิถีได้.!


นี้เป็นเหตุที่ทำให้ดูเสมือนว่า

เห็นคนกำลังนั่ง กำลังยืน กำลังนอน กำลังเดิน

หรือว่า เห็นวัตถุสิ่งต่าง ๆ อยู่เสมอ.


ถ้าเพียงแต่ทางมโนทวารวิถีจิต ไม่นึกถึงรูปร่างสัณฐาน

จะไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีวัตถุสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น.


บางครั้งท่านเห็น...แต่เห็นไม่ชัด ใช่มั้ย?

เห็น แต่ ไม่รู้ว่า สิ่งนั้นคืออะไร.......เคยมีมั้ย.?
อย่างนี้แสดงว่า ทางมโนทวารนั้น ไม่ได้นึกถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งนั้น

จึงไม่รู้ว่า สิ่งนั้น คืออะไร.


หรือบางที ก็เห็นรูปร่างสัณฐาน แต่ก็ยังไม่แน่ใจ ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร

จนกว่าจะสัมผัส กระทบ หรือว่าหยิบขึ้นมาพิจารณาดู

จึงจะรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร.



นี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ตามความเป็นจริงนั้น

ทางตาเพียงเห็น

ทางตา จะให้รู้ไม่ได้ ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร.!



เพราะฉะนั้น

ถึงแม้ว่าเห็นแล้ว...บางอย่างก็ยังต้องสัมผัส ยังต้องหยิบขึ้นมาพิจารณาดู

จนกว่าจะแน่ใจ ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร.



ในขณะที่พิจารณาถึงรูปร่างสัณฐาน ส่วนละเอียดนั้น

ในขณะนั้น ไม่ใช่จิตเห็นทางตา.!


เพราะฉะนั้นทางตา เพียงเห็น

แล้วก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่ปรากฏทางตาจริง ๆ


เพราะฉะนั้น

ผู้ที่จะรู้ว่า ปัญญาที่จะต้องอบรมเจริญ

จนกว่าจะประจักษ์แจ้งในความเป็นอนัตตา ของสภาพธรรมทั้งหลาย

ต้องไม่เว้นนะคะ.!


ทางตา ก็ต้องปรากฏสภาพความเป็นอนัตตา

ทางหู ก็ต้องปรากฏสภาพความเป็นอนัตตา

ทางจมูก ก็ต้องปรากฏสภาพความเป็นอนัตตา

ทางลิ้น ก็ต้องปรากฏสภาพความเป็นอนัตตา

ทางกาย และ ทางใจ

ก็ต้องปรากฏสภาพความเป็นอนัตตา.



เพราะฉะนั้น

ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม

ไม่ใช่ว่า ปัญญาจะสามารถประจักษ์แจ้ง

โดยที่ไม่อบรมเจริญสติ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม

ซึ่งเป็นเพียงนามธรรมและรูปธรรม.


ในขณะนี้ ไม่มีอะไรเลย นอกจากนามธรรมและรูปธรรม.!

เพราะฉะนั้น

การที่ปัญญา จะรู้ลักษณะของนามธรรมจริง ๆ

ก็เพราะสติระลึกได้ว่า ขณะนี้สภาพธรรมใด เป็นนามธรรมที่กำลังปรากฏ

สภาพธรรมะใดเป็นรูปธรรมที่กำลังปรากฏ

นี่คือการอบรมเจริญปัญญา.



ถ้าในขณะนี้ ยังไม่รู้ว่าสภาพธรมใดเป็นนามธรรม และ รูปธรรม

การที่ปัญญาจะประจักษ์แจ้ง ว่าสภาพธรรมทั้งหลาย เป็น อนัตตา

ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล

ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้.



ในขณะนี้ สภาพรู้ทางตา...คือ ขณะที่กำลังเห็นนี้นะคะ

ที่จะรู้ "ลักษณะของนามธรรมทางตา" ที่กำลังเห็น

สภาพรู้ ....ซึ่งรู้ "สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา" ระลึกหรือยัง.?

ถ้ายังไม่ระลึก...เพราะว่าระลึกยาก

แต่ก็รู้ ว่า ขณะนี้ เป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้

ซึ่ง "ปัญญา" จะต้องอบรม จนกว่าจะรู้

ถ้าไม่รู้ ก็ไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้

เพราะว่า ทางตา ยังปรากฏว่าเป็นตัวตน

เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นวัตถุสิ่งต่าง ๆ

คือ ยังไม่ประจักษ์ ความเป็นอนัตตา.


เพราะฉะนั้น

เมื่อไม่ใช่ อนัตตา...ก็ต้องเป็นตัวตน คือ เป็นอัตตา

เมื่อยังเป็นอัตตาอยู่....ก็ดับกิเลสไม่ได้.!



ล่วงเลยขณะไปหรือเปล่า ?

เมื่อล่วงเลยขณะของการฟังพระธรรม

ก็ล่วงเลยขณะของการได้พิจารณาพระธรรมซึ่งเป็นจินตามยปัญญา

และ ล่วงเลยขณะของการรู้แจ้งสภาพธรรมซึ่งเป็นภาวนามยปัญญา

ประมาทหรือเปล่าที่จะไม่ฟังพระธรรม ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมตามที่

พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เพราะขณะนี้เป็นขณะที่พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้น,

เป็นขณะที่ได้เกิดในประเทศอันสมควร, เป็นขณะที่ได้มีความเห็นถูก (สัมมา-

ทิฏฐิ) และยังเป็นขณะที่มีอวัยวะครบทั้ง ๖ อย่าปล่อยให้ขณะล่วงเลยไปเลย

เพราะบุคคลที่ปล่อยให้ขณะล่วงเลยไป บุคคลเหล่านั้นก็จะเกิดยัดเยียดอยู่

ในนรก ขณะนี้ควรที่จะฟังพระธรรมให้เข้าใจ อย่ามัวแต่เพลิดเพลินไปตาม

อำนาจของกิเลสคือ โลภะ โทสะและความไม่รู้ที่มีอยู่มากมายในชีวิตประจำวัน

ขณะนี้เป็นขณะที่หาได้ยาก ควรศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมให้เข้าใจ ขณะที่

ได้ฟังพระธรรมได้พิจารณาไตร่ตรองพระธรรม ก็จะสะสมเป็นปัจจัยให้รู้แจ้ง

ธรรมได้ในที่สุด...

เอาบุญมาฝากได้เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน กำหนดอิริยาบทย่อย
เมื่อวานนี้ได้บริจาคเงินค่าเพื่อการศึกษาพระเณร และค่าอาหารสำหรับ
พระภิกษุสงฆ์ และได้สอนความรู้ให้แก่บุคลลทั่วไป และได้ให้อภัยแก่
บุคคลอื่น ได้ฟังธรรม และวันนี้ได้สวดมนต์ กำหนดอิริยาบทย่อย
ให้อภัยแก่เพื่อนอีกเมื่อเพื่อนทำผิด ได้อาราธนาศีล รักษาศีล
เดินจงกรม นั่งสมาธิ และได้ถวายข้าวพระพุทธรูป สักการะพระธาตุ
และตั้งใจว่าจะ สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม กำหนดอิริยาบทย่อย ฟังธรรม
เจริญอนุสติ หลายอย่าง ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญกราบสักการะ
พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ
ตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ในเขตตำบลปากคลองบางปลากด อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ ตามประวัติกล่าวว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์กับเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) เป็นแม่กองจัดสร้างป้อมปราการจำนวน 6 ป้อม ใช้เวลาในการก่อสร้างทั้งหมด ๓ ปีจึงแล้วเสร็จ เมื่อสร้างป้อมเสร็จแล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ กับเจ้าพระยาพระคลัง เป็นผู้อำนวยการสร้างพระเจดีย์ขึ้นที่เกาะหาดทรายท้ายป้อมผีเสื้อสมุทร เพื่อเป็นอนุสรณ์ในการที่พระองค์ทรงสละพระราชทรัพย์ เพื่อปกป้องประเทศชาติและพระศาสนา โดยโปรดฯ ให้กรมพระราชวังสถานมงคลมหาศักดิพลเสพ กับพระยาราชสงครามเขียนแบบแผนผังรูปพระเจดีย์ถวาย แล้วทรงเฉลิมพระนามว่า “ พระสมุทรเจดีย์ ” แต่ยังมิได้ทันก่อสร้างก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน เมื่อสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) จึงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เจ้าพระยาศรีธรรมราชกับเจ้าพระยาพระคลังเป็นแม่กองจัดสร้างต่อการก่อสร้างเริ่มเมื่อวันอังคาร ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 12 (ตรงกับวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2370) แล้วเสร็จเมื่อวันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 (ตรงกับวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ.2371) ลักษณะขององค์พระสมุทรเจดีย์ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลนี้เป็นเจดีย์รูปสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง ต่อมาได้มีผู้ร้ายลักลอบขุดองค์ระฆังลักเอาพระบรมธาตุที่บรรจุอยู่ภายใน

สมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ช่างไปถ่ายแบบพระเจดีย์ที่กรุงศรีอยุธยามาจัดการก่อสร้างสวมทับพระเจดีย์รูปเดิมไว้ โดยลักษณะเป็นเจดีย์ทรงกลมวัดจากฐานล่างจนถึงยอดสูงสุด 19 วา จากนั้นจึงอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ 12 องค์ จากพระบรมมหาราชวังมาบรรจุไว้แทนของเดิมที่สูญหายไป ในการนี้ได้โปรดฯให้สร้างศาลาเก๋งจีน หอเทียน หอระฆัง พระวิหารพร้อมด้วยพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร กับหลักผูกเรือริมน้ำรอบองค์พระสมุทรเจดีย์ ฯลฯ สิ้นพระราชทรัพย์ในการก่อสร้าง 588 ชั่งเศษ และในรัชกาลต่อมาก็ได้มีการทำนุบำรุง และบูรณะปฏิสังขรณ์พระสมุทรเจดีย์มาโดยตลอด กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนพระสมุทรเจดีย์เป็นโบราณสถานของชาติ ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 มีนาคม 2487 และเล่ม 110 ตอนที่ 186 วันที่ 12 พฤศจิกายน 2536

รถเมล์ที่ผ่าน
สาย 511 ( ปอ 11 เดิม ) จากสายใต้ใหม่ ไปลงที่ศาลากลางจังหวัด
สาย 507 จากสายใต้ใหม่ ไปลงที่ศาลากลางจังหวัด
สาย 536 จากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ไปลงที่ศาลากลางจังหวัด
สาย 25 จากท่าช้าง ไปลงที่ศาลากลางจังหวัด

จากนั้นนั่งเรือข้ามฟาก
เรือข้ามฟากในตลาด ค่าบริการท่านละ 3 บาท


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 45 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร