วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 03:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2009, 17:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การปฏิบัติธรรม อย่างแรกที่ต้องรู้คือเป้าหมายสูงสุดในการปฏิบัติ
ธรรมทุกอย่าง การปฏิบัติทุกอย่างควรจะต้องมีเป้าหมาย
โดยดำเนินไปในทางสายกลาง ในทางที่จะไปสู่เป้าหมายนั้น
(ถ้าใครไม่ทราบว่าอะไรคือทางสายกลางของตน ก็ให้ปฏิบัติตาม มรรคมีองค์ 8)

เป้าหมายที่สูงสุดคืออะไร
เราปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่ออะไร
ท่านตรัสรู้อะไร และมุ่งหวังให้เหล่ามนุษย์เห็นในจุดใด ไปถึงในจุดใด
นั่นก็คือการแจ้งในหลักอริยสัจ 4 เพื่อความพ้นทุกข์ ไม่กลับมาเกิดอีก

บางคนปฏิบัติจะเอาแต่บุญแต่กุศล ความดีงามต่างๆ แต่ไม่เคยคิดปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ที่แท้จริง
โดยหารู้ไม่ว่า บุญกุศลหรือความสุขนั้นก็เป็นตัวทุกข์ตัวหนึ่งเหมือนกัน
แล้วสมควรแล้วหรือที่เราจะปฏิบัติธรรมเพียงเพื่อเอาแต่ความสุข ความดีงาม ความเป็นกุศลในชีวิต

ถ้ามองที่จุดหมายการปฏิบัติที่แท้จริงแล้ว บุญ กุศล ความดีงามต่างๆเป็นสิ่งที่สำคัญ ควรมีไว้
แต่มีไว้เพื่อเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อไปสู่พระนิพพานเท่านั้น
ไม่ใช่สิ่งที่มีไว้เพื่อยึดมั่นถือมั่นแต่อย่างใด

ปัจจุบันพุทธศาสนิกชนทั้งหลายแทบจะลืมหรือไม่เล็งเห็นถึงเป้าหมายสูงสุดนี้
เพราะคิดว่าการพ้นทุกข์ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดหรือการไปพระนิพพานนั้น
ยากเกินกำลังของสามัญชนคนธรรมดาอย่างเรา
ผู้ที่ทำได้น่าจะเป็นผู้ที่ปฏิบัติมานานๆหลายสิบปีหรือเป็นพระเท่านั้น

ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าท่านแสดงธรรม
มีอุบาสก อุบาสิกกา ภิกษุ ภิกษุณี ได้ดวงตาเห็นธรรม
พ้นจากการกลับมาเวียนว่ายตายเกิดกันมากมาย
โดยไม่ต้องมีสมาธิถึงขั้นฌานด้วยซ้ำ
"เค้าเหล่านั้นทำได้อย่างไร เค้าเข้าไปเห็นความจริงอะไรกัน หรือพระพุทธเจ้าท่านปล่อยแสงใส่บุคคลเหล่านั้นขณะท่านทรงเทศนาหรือเปล่า"
เปล่าเลย......
พระองค์ทรงเทศน์ ด้วยกริยาที่เรียบง่าย
เทศน์หลักธรรมความเป็นจริง เน้นเรื่องหลักอริยสัจ 4
เพื่อให้เหล่าบุคคลที่ฟังพระธรรมเทศนานั้น เข้าไปเห็นตามความจริงของธรรม
เกิดปัญญาละความยึดมั่นถือมั่นได้ในที่สุด

สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ผมไม่ได้นึกคิดขึ้นมาเองแต่อย่างใด
ล้วนแล้วแต่มีครูบาอาจารย์ นักปฏิบัติ ยืนยันทั้งสิ้น
และอ้างจากความเป็นจริงที่ผู้ปฏิบัติย่อมรู้ได้เห็นได้จริงอย่างแน่นอน

นักปฏิบัติทั้งหลาย ไม่ควรประมาทหลงยึดกันอยู่กับสิ่งที่ไม่น่ายึดมั่นถือมั่น
คือทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเกิดมาแล้ว รู้ได้ เห็นได้ สัมผัสได้ทั้งหมด
ท่านทั้งหลายไม่ควรประมาทในความรู้ความสามารถของตน

เราเวียนว่ายตายเกิดกันมา กี่กัปกี่กัลป์แล้วจนไม่มีทางนับถ้วน
ไม่ใช่ง่ายๆที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ง่ายๆที่จะเกิดมาพบพระพุทธศาสนา
และก็ไม่ใช่ง่ายๆอีกที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้วได้ปฏิบัติธรรมในแนวทางที่ถูกต้อง

เร่งเอาเถิด เพียรเอาเถิด ท่านอาจบรรลุเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา
ในชาตินี้หรือไม่นานนี้ก็ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2009, 23:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


พงพัน เขียน:

เป้าหมายที่สูงสุดคืออะไร
....

บางคนปฏิบัติจะเอาแต่บุญแต่กุศล ความดีงามต่างๆ แต่ไม่เคยคิดปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ที่แท้จริง
โดยหารู้ไม่ว่า บุญกุศลหรือความสุขนั้นก็เป็นตัวทุกข์ตัวหนึ่งเหมือนกัน
แล้วสมควรแล้วหรือที่เราจะปฏิบัติธรรมเพียงเพื่อเอาแต่ความสุข ความดีงาม ความเป็นกุศลในชีวิต


กว่าคุณพงพันจะคิดได้อย่างนี้..ไม่ใช่เพราะบุญ..กุศลของคุณเองที่เคยทำมาดอกหรือ..

ทุกอย่างเกิดแต่เหตุแต่ปัจจัย..ทั้งนั้นแหละครับ

อ้างคำพูด:
ถ้ามองที่จุดหมายการปฏิบัติที่แท้จริงแล้ว บุญ กุศล ความดีงามต่างๆเป็นสิ่งที่สำคัญ ควรมีไว้
แต่มีไว้เพื่อเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อไปสู่พระนิพพานเท่านั้น
ไม่ใช่สิ่งที่มีไว้เพื่อยึดมั่นถือมั่นแต่อย่างใด

สาธุ :b8:
หากกำลังแขนขายังไม่แข็งแรงพอ..ก็เป็นธรรมดาเขาเหล่านั้นจะต้องอาศัยที่ยึดเกาะพยุงตัวเอาใว้..ครับ

ชนเหล่าปทปรมะ..แม้ในกาลปัจจุบัน..จะมืดสนิท..แต่ไม่ได้ไม่มีโอกาศในกาลข้างหน้านะครับ..

อ้างคำพูด:
ปัจจุบันพุทธศาสนิกชนทั้งหลายแทบจะลืมหรือไม่เล็งเห็นถึงเป้าหมายสูงสุดนี้
เพราะคิดว่าการพ้นทุกข์ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดหรือการไปพระนิพพานนั้น
ยากเกินกำลังของสามัญชนคนธรรมดาอย่างเรา ผู้ที่ทำได้น่าจะเป็นผู้ที่ปฏิบัติมานานๆหลายสิบปีหรือเป็นพระเท่านั้น

ไม่ใช่แค่ สิบ ๆ ปีหรอก ครับ..
คุณพงพันคิดว่าตัวเองเกิดมากี่ชาติแล้วครับ..
ไม่รู้หรอก..จริงมัย..

อ้างคำพูด:
เราเวียนว่ายตายเกิดกันมา กี่กัปกี่กัลป์แล้วจนไม่มีทางนับถ้วน
ไม่ใช่ง่ายๆที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ง่ายๆที่จะเกิดมาพบพระพุทธศาสนา
และก็ไม่ใช่ง่ายๆอีกที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้วได้ปฏิบัติธรรมในแนวทางที่ถูกต้อง

เร่งเอาเถิด เพียรเอาเถิด ท่านอาจบรรลุเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา
ในชาตินี้หรือไม่นานนี้ก็ได้


สาธุ.. :b8:

อ้างคำพูด:
นักปฏิบัติทั้งหลาย ไม่ควรประมาทหลงยึดกันอยู่กับสิ่งที่ไม่น่ายึดมั่นถือมั่น
คือทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเกิดมาแล้ว รู้ได้ เห็นได้ สัมผัสได้ทั้งหมด
ท่านทั้งหลายไม่ควรประมาทในความรู้ความสามารถของตน


ของผู้อื่นด้วย..สาธุ :b8:

อ้างคำพูด:
ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าท่านแสดงธรรม
มีอุบาสก อุบาสิกกา ภิกษุ ภิกษุณี ได้ดวงตาเห็นธรรม
พ้นจากการกลับมาเวียนว่ายตายเกิดกันมากมาย
โดยไม่ต้องมีสมาธิถึงขั้นฌานด้วยซ้ำ
"เค้าเหล่านั้นทำได้อย่างไร เค้าเข้าไปเห็นความจริงอะไรกัน หรือพระพุทธเจ้าท่านปล่อยแสงใส่บุคคลเหล่านั้นขณะท่านทรงเทศนาหรือเปล่า" เปล่าเลย......

รู้ได้อย่างไรว่า..ขณะที่เขาเหล่านั้นได้ดวงตาเห็นธรรม..ไม่ได้มีสมาธิถึงขั้นของฌาณนะ..
ฌาณ..ญาณ..นี้มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับท่าทางนะ..มันอยู่ที่จิต..ของมันเคย ๆ ผลิกนิดเดียวก็ได้แล้ว

ดูอย่างนักฟุตบอล..
พอคิดจะเตะปั่นลูกไซ้ดโค้งเข้าประตู..มันก็เตะเลย..แต่กว่าจะเตะโค้งสวยงามได้มันซ้อมมาไม่รู้เท่าไร..ถึงเวลาจะใช้จริง..มันเตะเลย..คนดูก็เห็นแค่นั้น..แต่ตอนซ้อม ๆ นะ.ไม่เห็น

ยิ่งเป็นคนด้วยละก้อ..ไม่รู้เกิดมาแล้วเท่าไร..ซ้อมมาแล้วไม่รู้เท่าไร

แต่เชื่อใว้อย่างหนึ่งเถอะว่า..เกิดมาเป็นคนที่พบพระพุทธศาสนาแล้วนี้..บุญกุศลมันถึงพร้อมแล้วละ..อยู่แค่จะตัดสินใจเดินตามบรมศาสดาหรือไม่..แค่นั้น

โมทนาสาธุ..กับคุณพงพัน..ด้วยครับ :b8:

แต่..นิดหนึ่ง..อย่าได้ไปประมาทเหล่านักบุญเลยครับ..เขากำลังทำเหตุปัจจัยของตัวเขาเองอยู่..ก็สาธุกับบุญของเขาด้วยจะดีกว่า..เป็นกุศลนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2009, 00:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าท่านแสดงธรรม
มีอุบาสก อุบาสิกกา ภิกษุ ภิกษุณี ได้ดวงตาเห็นธรรม
พ้นจากการกลับมาเวียนว่ายตายเกิดกันมากมาย
โดยไม่ต้องมีสมาธิถึงขั้นฌานด้วยซ้ำ
"เค้าเหล่านั้นทำได้อย่างไร เค้าเข้าไปเห็นความจริงอะไรกัน หรือพระพุทธเจ้าท่านปล่อยแสงใส่บุคคลเหล่านั้นขณะท่านทรงเทศนาหรือเปล่า"

สมัยพุทธกาล คนส่วนใหญ่มีศีลบริสุทธิ์ มีจิตใจที่บริสุทธิ์ และตั้งมั่นต่อความดี
เป็นสัมมาทิฐิคะ

และสิ่งที่สำคัญคือ
เป็นผู้ที่ดำรงชีวิตอย่างมีสติ คะ
ผู้ที่ดำรงชีวิตอย่างมีสติ จะเป็นผู้ที่ศีลบริสุทธิ์ คะ

ดังนั้นก็เลยสามารถบรรลุธรรมได้ง่ายๆ ตามบุญบารมีที่ท่านเหล่านั้นได้เพีนรสั่งสมมาคะ
><~~~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2009, 04:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อลงฺกโต เจปิ สมํ จเรยฺ
สนฺโต ทนฺโต นิยโต พฺรหฺมจารี
สพฺเพสุ ภูเตสุ นิธาย ทณฺฑํ
โส พฺราหฺมโณ โส สมโณ ส ภิกฺขุ



แม้ถ้าบุคคลประดับแล้ว
พึงประพฤติสม่ำเสมอ
เป็นผู้สงบ ฝึกแล้ว เที่ยงธรรม
มีปกติประพฤติประเสริฐ
วางเสียซึ่งอาชญาในสัตว์ทุกจำพวก,
บุคคลนั้น เป็นพราหมณ์ เป็นสมณะ เป็นภิกษุ.




เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2009, 06:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2009, 20:54
โพสต์: 282


 ข้อมูลส่วนตัว




100_3755_resize_resize.JPG
100_3755_resize_resize.JPG [ 51.24 KiB | เปิดดู 4354 ครั้ง ]
tongue อนุโมทนาสาธุกับคุณพงพัน ในข้อธรรมมะและความเห็นทางธรรมอันจับใจของ่ทาน ชุ่มชื้น เย็นกาย สบายใจ จริงๆครับ


ท่านจับประเด็นหัวใจคำสอน และกลยุทธ์ เคล็ดลับในการปฏิบัติธรรมตามคำสอน บอก ชี้ ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ดีแล้ว ตรงแล้ว แม่นแล้ว ข้อย มัค ผล คือสิบ่ไก๋แล้ว บ่เทาจังสั้น อาจสิเสวยผลเบื้องต้นอยู่แล้ว ก่ บ่อจักฮู้ได้น้อ


ขอเชิญกัลยาณมิตร กัลยาณบุคคล อย่างท่านพงพัน ท่านวรานนท์ เมตตา กรุณา ขยันมาโปรดในลานธรรมจักรบ่อยๆนะครับ
:b8:
cool

.....................................................
เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2009, 07:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
......
รู้ได้อย่างไรว่า..ขณะที่เขาเหล่านั้นได้ดวงตาเห็นธรรม..ไม่ได้มีสมาธิถึงขั้นของฌาณนะ..
ฌาณ..ญาณ..นี้มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับท่าทางนะ..มันอยู่ที่จิต..ของมันเคย ๆ ผลิกนิดเดียวก็ได้แล้ว

ดูอย่างนักฟุตบอล..
พอคิดจะเตะปั่นลูกไซ้ดโค้งเข้าประตู..มันก็เตะเลย..แต่กว่าจะเตะโค้งสวยงามได้มันซ้อมมาไม่รู้เท่าไร..ถึงเวลาจะใช้จริง..มันเตะเลย..คนดูก็เห็นแค่นั้น..แต่ตอนซ้อม ๆ นะ.ไม่เห็น

ยิ่งเป็นคนด้วยละก้อ..ไม่รู้เกิดมาแล้วเท่าไร..ซ้อมมาแล้วไม่รู้เท่าไร



:b32: :b12: วันก่อนเรื่องลู่ วันนี้ ลงภาคสนาม... :b32: :b32:

อ้างคำพูด:
แต่..นิดหนึ่ง..อย่าได้ไปประมาทเหล่านักบุญเลยครับ..เขากำลังทำเหตุปัจจัยของตัวเขาเองอยู่..ก็สาธุกับบุญของเขาด้วยจะดีกว่า..เป็นกุศลนะครับ


:b16: :b1: :b16: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2009, 17:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาสาธุการ และน้อมรับในทุกความเห็นครับ :b8:

ผมไม่เคยตั้งใจที่จะประมาทในความสามารถของผู้ใดเลยนะครับ
เพียงแต่อยากจะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้กัลยาณมิตรทั้งหลายเกิดความหึกเหิม มีกำลังใจ
เวลาผมปฏิบัติบัติธรรม ทวนธรรมต่างๆก็ไม่เคยพิจารณาผู้อื่นหรือส่งจิตออกนอกกายใจของตัวเอง

ที่ผมกล่าวมาทั้งหมดเพียงไม่อยากให้ผู้ที่มีความคิดดูถูกความรู้ความสามารถของตน
ว่าตัวเองความรู้น้อย ปัญญาน้อย ชาตินี้คงปฏิบัติไปได้ไม่ถึงไหน
จนทำให้หมดหวังในการปฏิบัติ ไม่มีความเพียร
เหมือนตัวผมเองที่เคยประมาทตัวเองมาแล้ว
พอหลวงพ่อท่านบอกว่าอย่าประมาทในตัวเอง คนในสมัยพุทธกาลก็คน เราก็คนเหมือนกัน ทำไมจะพ้นทุกข์ไม่ได้
ทำให้ผมเกิดความตั้งใจปฏิบัติธรรมมากขึ้น เพียรมากขึ้น

จึงอยากให้คนที่เคยมีความคิดประมาทตัวเองเหมือนผม เปลี่ยนความคิดซะใหม่
หมั่นปฏิบัติ หมั่นพิจารณา ตามแนวทางที่ถูกต้องดังที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้
เพราะบารมีท่านอาจจะเต็มแล้ว สามารถหยุดการเวียนว่ายตายเกิดได้ในชาตินี้แล้วก็ได้

ส่วนผู้ที่ไม่ประมาทอยู่แล้วผมก็อนุโมทนาบุญด้วยอยู่แล้วครับ
ไม่ได้ตั้งใจจะบอกว่าทุกท่านคือผู้ประมาทนะครับ

ขอให้ทุกท่านที่ปารถนาความพ้นทุกข์รวมทั้งตัวผมเองด้วย
จงพ้นทุกข์ได้ในชาตินี้ ทุกรูปนามครับ :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2009, 22:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:
:b32: :b12: วันก่อนเรื่องลู่ วันนี้ ลงภาคสนาม... :b32: :b32:

:b16: :b1: :b16: :b1:


วันต่อไปจะพาลงทะเล :b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2009, 22:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เอรากอน เขียน:
:b32: :b12: วันก่อนเรื่องลู่ วันนี้ ลงภาคสนาม... :b32: :b32:

:b16: :b1: :b16: :b1:


วันต่อไปจะพาลงทะเล :b32: :b32: :b32:


จริง ๆ เวลาง่วงนอน ๆ อย่างนี้ ชอบอ่านความเห็นของท่านกบนะ :b32: :b32:
บันเทิงดี

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2009, 23:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


พงพัน เขียน:
อนุโมทนาสาธุการ และน้อมรับในทุกความเห็นครับ :b8:

ผมไม่เคยตั้งใจที่จะประมาทในความสามารถของผู้ใดเลยนะครับ
เพียงแต่อยากจะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้กัลยาณมิตรทั้งหลายเกิดความหึกเหิม มีกำลังใจ

เวลาผมปฏิบัติบัติธรรม ทวนธรรมต่างๆก็ไม่เคยพิจารณาผู้อื่นหรือส่งจิตออกนอกกายใจของตัวเอง

:b1:


สาธุ..ครับ

แต่ผมก็ไม่ได้ว่าท่านนะครับ..พูดเป็นกลาง ๆ นะ..เพราะก็เคยได้ยินคนที่ไปปฎิบัติธรรมด้วยกัน..บางคนเขาสนทนากัน..ทำนอง..คนอื่นมัวแต่ไปทำบุญชวนมาปฎิบัติธรรมก็ไม่มา..หลวงพ่อท่านดี..ทำไมไม่มากัน..วัดนี้ดี..วัดนั้นธรรมดา..ก็ทำบุญอยู่นั้นแหละ

เราก็คิดว่า..เอ๋..มาปฎิบัติธรรมแต่กลับได้ทิฏฐิ..มานะ..ตัวเบ้อเร้อกลับบ้าน..แบบไม่รู้ตัวกันเลยเน๊าะ

ปล. แม้ในขณะที่เรากำลังคิด..ว่าดีนั้นแหละ..เจ้ามานะก็กำลังอมหัวเราอยู่..ต้องมีเมตตาจึงจะปลอดภัย

ก็ไม่ทราบว่าเคยได้ยินคำว่า..มันมีดีในเสีย..มีเสียในดี..บ้างหรือเปล่านะ?

การจะหา..ดีในเสีย..นั้นหาง่าย :b12: :b12:

แต่..จะหา..เสียในดี..ไม่ค่อยจะเจอ..เพราะมานะมันบัง :b11: :b11:

:b12: :b12:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 18 ธ.ค. 2009, 23:05, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2009, 23:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:

จริง ๆ เวลาง่วงนอน ๆ อย่างนี้ ชอบอ่านความเห็นของท่านกบนะ :b32: :b32:
บันเทิงดี

:b32: :b32: :b32:


เอ้าว..ง่วงแล้วหรอ.. :b12:

ไอ้เราก็ว่าซีเรียตแล้วนะ..งัยกลายเป็น..บันเทิง..ไปได้งะ :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2009, 23:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เอรากอน เขียน:

จริง ๆ เวลาง่วงนอน ๆ อย่างนี้ ชอบอ่านความเห็นของท่านกบนะ :b32: :b32:
บันเทิงดี

:b32: :b32: :b32:


เอ้าว..ง่วงแล้วหรอ.. :b12:

ไอ้เราก็ว่าซีเรียตแล้วนะ..งัยกลายเป็น..บันเทิง..ไปได้งะ :b9: :b9:


ก็ห้าทุ่มแล้ว ... ง่วงดิ่..
ท่านกบทำอะไร ดูเหมือนจะมาดึก ๆ ทุกทีเลย...

ฮ้าาววววว... :b30: :b30:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2009, 23:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


เลิกทำงาน..ราว ๆ 20.00 น

ส่งแฟนกลับบ้าน.. :b16:

แวะคุยกะเพื่อนนิดหน่อย..

แล้วก็มาหน้าคอมฯ.. :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2009, 19:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b40:
อ้างคำพูด:
เป้าหมายที่สูงสุดคืออะไร
เราปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่ออะไร
ท่านตรัสรู้อะไร และมุ่งหวังให้เหล่ามนุษย์เห็นในจุดใด ไปถึงในจุดใด
นั่นก็คือการแจ้งในหลักอริยสัจ 4 เพื่อความพ้นทุกข์ ไม่กลับมาเกิดอีก

กล่าวได้ถูกต้องครับ เราปฏิบัติเพื่อหวังความพ้นทุกข์ จะได้ไม่ต้องเกิดอีก
แต่ถ้าทำเพื่อตัดวัฏฏะไม่ได้ ก้เอาเพียงไปสู่โลกสวรรค์ก้ถือว่าดีแล้ว
เพียงแต่การปฏิบัติธรรมถ้าศึกษาดูดี จะอยู่เหนือกรรมดีหรอืกรรมขาว
กับกรรมชั่วหรือกรรมดำ คืออยู่เหนือกรรมทั้ง2 อย่างนี้ หรือจะเรียกว่า
"มรรคกรรม" กรรมหรือการกระทำที่ปฏิบัติแล้วสามารถตัดวัฏฏะ3 ได้
สามารถเดินเข้าหา มรรค ผลได้ หาเดินสายนี้แล้วเป้าหมายถึงที่พึงควรพึง
ทำมีอย่างเดียวคือนิพพานหรอืทำให้หมดกิเลส ถือเป็นสิ่งสำคัญสุดและละเอียด
ที่สุดของชาวพุทธ เพียงแต่ว่าความตั้งใจและความพยายามของมุนุษย์แต่ละคนไม่เท่ากัน
และก็ทำกรรมวัฏและอธิวาสนาในแต่ละชาติมาไม่เหมือนกัน จึงทำให้มนุษย์เกิดมามีความแตกต่างกันตามลำดับ:b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39:

ในเวปนี้มีผู้รู้อย่เยอะ การจะเห็นแตกต่างจากK พงพัน ถือเป็นเรือ่งปกติอยู่แล้วครับ cool
มีอะไรดีๆ ก้นำมาเล่าสู่กันฟังอีกนะคับ :b55: :b47:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2009, 20:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
การปฏิบัติธรรม อย่างแรกที่ต้องรู้คือเป้าหมายสูงสุดในการปฏิบัติ
ธรรมทุกอย่าง การปฏิบัติทุกอย่างควรจะต้องมีเป้าหมาย
โดยดำเนินไปในทางสายกลาง ในทางที่จะไปสู่เป้าหมายนั้น
(ถ้าใครไม่ทราบว่าอะไรคือทางสายกลางของตน ก็ให้ปฏิบัติตาม มรรคมีองค์ 8)


เห็นด้วยเลยค่ะ

อ้างคำพูด:
เป้าหมายที่สูงสุดคืออะไร
เราปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่ออะไร
ท่านตรัสรู้อะไร และมุ่งหวังให้เหล่ามนุษย์เห็นในจุดใด ไปถึงในจุดใด
นั่นก็คือการแจ้งในหลักอริยสัจ 4 เพื่อความพ้นทุกข์ ไม่กลับมาเกิดอีก


ของจุฬาภินันท์คือ การได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค่ะ

อ้างคำพูด:
บางคนปฏิบัติจะเอาแต่บุญแต่กุศล ความดีงามต่างๆ แต่ไม่เคยคิดปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ที่แท้จริง
โดยหารู้ไม่ว่า บุญกุศลหรือความสุขนั้นก็เป็นตัวทุกข์ตัวหนึ่งเหมือนกัน
แล้วสมควรแล้วหรือที่เราจะปฏิบัติธรรมเพียงเพื่อเอาแต่ความสุข ความดีงาม ความเป็นกุศลในชีวิต


ไม่ใช่แค่บางคนค่ะที่เอาแต่บุญ ทุกคนต่างหากที่จะเอาบุญ สำคัญที่ละกิเลสตัวนั้นได้มั้ย ไม่ต้องหวังว่าจะได้บุญน่ะค่ะ

จะว่าไปบุญกุศลไม่ใช่ตัวทุกข์ แต่เป็นนามธรรมที่แยกออกมาชัดจากทุกข์และสุขค่ะ แต่ความสุขเป็นสุขแค่ชั่วคราว พ้นทุกข์ที่แท้คือพระนิพพานค่ะ

อ้างคำพูด:
ถ้ามองที่จุดหมายการปฏิบัติที่แท้จริงแล้ว บุญ กุศล ความดีงามต่างๆเป็นสิ่งที่สำคัญ ควรมีไว้
แต่มีไว้เพื่อเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อไปสู่พระนิพพานเท่านั้น
ไม่ใช่สิ่งที่มีไว้เพื่อยึดมั่นถือมั่นแต่อย่างใด


ถูกเลยค่ะ จุฬาภินันท์เห็นด้วยสุดๆ

อ้างคำพูด:
ปัจจุบันพุทธศาสนิกชนทั้งหลายแทบจะลืมหรือไม่เล็งเห็นถึงเป้าหมายสูงสุดนี้
เพราะคิดว่าการพ้นทุกข์ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดหรือการไปพระนิพพานนั้น
ยากเกินกำลังของสามัญชนคนธรรมดาอย่างเรา
ผู้ที่ทำได้น่าจะเป็นผู้ที่ปฏิบัติมานานๆหลายสิบปีหรือเป็นพระเท่านั้น


พุทธศาสนิกชนยังหวังพระนิพพานค่ะ และเห็นว่าเป็นการยาก ซึ่งก็ยากมากจริงๆ แต่ไม่เกินความพยายามค่ะ อย่างจุฬาภินันท์ก็ไม่คิดว่าจะเกินความเพียรพยายาม

พุทธพจน์สุดท้ายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า - "นิพพานบรรลุได้ด้วยความเพียรพยายามเท่านั้น" ค่ะ

อ้างคำพูด:
ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าท่านแสดงธรรม
มีอุบาสก อุบาสิกกา ภิกษุ ภิกษุณี ได้ดวงตาเห็นธรรม
พ้นจากการกลับมาเวียนว่ายตายเกิดกันมากมาย
โดยไม่ต้องมีสมาธิถึงขั้นฌานด้วยซ้ำ
"เค้าเหล่านั้นทำได้อย่างไร เค้าเข้าไปเห็นความจริงอะไรกัน หรือพระพุทธเจ้าท่านปล่อยแสงใส่บุคคลเหล่านั้นขณะท่านทรงเทศนาหรือเปล่า"
เปล่าเลย......
พระองค์ทรงเทศน์ ด้วยกริยาที่เรียบง่าย
เทศน์หลักธรรมความเป็นจริง เน้นเรื่องหลักอริยสัจ 4
เพื่อให้เหล่าบุคคลที่ฟังพระธรรมเทศนานั้น เข้าไปเห็นตามความจริงของธรรม
เกิดปัญญาละความยึดมั่นถือมั่นได้ในที่สุด


พระพุทธองค์ไม่ได้ปล่อยแสง แต่เมตตาสื่อจิตให้รู้และเข้าถึงค่ะ

อ้างคำพูด:
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ผมไม่ได้นึกคิดขึ้นมาเองแต่อย่างใด
ล้วนแล้วแต่มีครูบาอาจารย์ นักปฏิบัติ ยืนยันทั้งสิ้น
และอ้างจากความเป็นจริงที่ผู้ปฏิบัติย่อมรู้ได้เห็นได้จริงอย่างแน่นอน


ต้องขออภัยนะคะถ้าจุฬาภินันท์จะบอกว่า มันยังไม่ใช่ความจริงทั้งหมดน่ะค่ะ

อ้างคำพูด:
นักปฏิบัติทั้งหลาย ไม่ควรประมาทหลงยึดกันอยู่กับสิ่งที่ไม่น่ายึดมั่นถือมั่น
คือทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเกิดมาแล้ว รู้ได้ เห็นได้ สัมผัสได้ทั้งหมด
ท่านทั้งหลายไม่ควรประมาทในความรู้ความสามารถของตน


เห็นด้วยค่ะ

อ้างคำพูด:
เราเวียนว่ายตายเกิดกันมา กี่กัปกี่กัลป์แล้วจนไม่มีทางนับถ้วน
ไม่ใช่ง่ายๆที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ง่ายๆที่จะเกิดมาพบพระพุทธศาสนา
และก็ไม่ใช่ง่ายๆอีกที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้วได้ปฏิบัติธรรมในแนวทางที่ถูกต้อง


ถูกค่ะ แต่ว่าการพบพุทธศาสนาและได้ปฏิบัตินั้น ไม่ใช่เรื่องยาก เป็นเรื่องของบุญที่ทำน่ะค่ะ แค่ทำบุญ ทำดี ใครก็พบศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ค่ะ

อ้างคำพูด:
เร่งเอาเถิด เพียรเอาเถิด ท่านอาจบรรลุเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา
ในชาตินี้หรือไม่นานนี้ก็ได้


เห็นด้วยค่ะ ไม่นานเลยถ้าเทียบกับชั่วกัปป์ชั่วกัลป์


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 39 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร