วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 12:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2009, 08:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธศาสนา

สอนให้เข้าใจเรื่องของ "สภาพธรรม" ที่สามารถรู้ได้ ด้วยตัวเอง.



พระพุทธศาสนา

ไม่ได้สอนบทบัญญัติ ที่ให้เราต้องเชื่อ

แต่ สอนให้ "อบรมความเข้าใจสภาพธรรมทุกอย่าง"

ทั้งภายในตัวเรา และรอบตัวเรา

ซึ่งทำให้เราสามารถเข้าใจ "สภาพธรรมตามความจริง" ได้.



พระพุทธศาสนา

สอนให้เข้าใจ "เหตุที่แท้จริง"
เช่น

การได้ลาภ และ การเสื่อมลาภ

สรรเสริญ และ นินทา

มียศ และ เสื่อมยศ

ทุกข์ และ สุข

ฯลฯ


การประสบกับอารมณ์ที่ดี และ ไม่ดี

ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย นั้น

เป็น "ผลของบุญและบาป"....ที่เราได้กระทำแล้วในอดีต

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา...เกิดจาก "เหตุปัจจัย"



พระพุทธศาสนา

สอนให้เราเข้าใจเรื่อง "เหตุ และ ผล"

เมื่อเราเข้าใจเรื่องของ "ปัจจัยต่าง ๆ" มากขึ้น

เราก็สามารถเผชิญกับความทุกข์ยากในชีวิตได้

และ อบรมจิตใจ ให้เป็นกุศลมากขึ้น.



.
เราไม่ต้องเชื่อพระพุทธศาสนา "อย่างงมงาย"

เราศึกษาพระธรรม และ ไตร่ตรองพระธรรม

เพื่อให้ "เข้าใจสัจจธรรม" ด้วยตัวของเราเอง.!


เราควรพิจารณาพระธรรมอย่างรอบคอบ

และเมื่อเรา "อบรมเจริญปัญญา"

เราก็จะเข้าใจ ว่า พระธรรมที่ทรงแสดงนั้น เป็นความจริง.

เมื่อเข้าใจ "ความจริงของสภาพธรรมทั้งหลาย" ในชีวิตของ

ก็จะคลายความเศร้าโศก...เมื่อ "เข้าใจ" ว่า ความทุกข์ยากของชีวิต

เกิดขึ้น และ เป็นไป เพราะ "ปัจจัยต่าง ๆ"

และสามารถที่จะเผชิญปัญหานั้น ๆ ได้.


พระพุทธศาสนา

สอนให้เข้าใจว่า "ชีวิต" จริง ๆ นั้น คืออะไร.!


"ชีวิต" คือ ชั่วขณะหนึ่ง ๆ ที่มีการรู้อารมณ์

(แต่ละขณะ ๆ ที่จิตเกิดขึ้น และ รู้ในสิ่งที่จิตรู้ได้)


เช่น

การเห็น เกิดขึ้นชั่วขณะ..................

แล้วเกิดการคิดถึงเรื่องของสิ่งที่เห็น.


การได้ยิน เกิดขึ้นชั่วขณะ......................

แล้วก็เกิดการคิดถึงเรื่องของสิ่งที่ได้ยิน.


การได้กลิ่น การลิ้มรส และ การกระทบสัมผัสทางกาย

ก็โดยนัยเดียวกัน

คือ มีการคิดนึกถึงสิ่งนั้น ๆ ต่อไปอีกหลาย ๆ ขณะ.


เมื่อเข้าใจสภาพธรรมที่เกิด-ปรากฏในชีวิตประจำวันมากขึ้น

ก็จะเห็น (กิเลส) ความไม่ดีที่เกิดขึ้นในจิตใจองเราเอง

การรู้อารมณ์ทางทวารต่าง ๆ นั้น

ทำให้ "กิเลส" มากมายหลายอย่าง เกิดขึ้น.!

ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง สามารถพิสูจน์ได้ทุกขณะว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ว่าจะได้เห็น ได้ยิน

ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ดีใจ เสียใจ ติดข้องยินดีพอใจ หงุดหงิด

โกรธขุ่นเคือง ไม่พอใจ เป็นต้น ล้วนเป็นธรรมทั้งหมด ธรรม ไม่ได้หมายถึงเพียงสภาพ

ธรรมฝ่ายดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่หมายรวมถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ชีวิตประจำวัน

ที่ดำเนินไปนั้นไม่พ้นไปจากธรรมเลย เมื่อไม่ได้ศึกษา ย่อมไม่สามารถจะรู้ได้ว่าเป็น

ธรรม เพราะแท้ที่จริงแล้ว ทุกขณะเป็นธรรม มีจิต เจตสิก รูป เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอด

เวลา จิต เจตสิก รูปนั้น เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน

ที่ไม่เที่ยงนั้นเพราะเกิดแล้วดับไป สภาพธรรมที่เกิดแล้วดับไปนั้น เป็นทุกข์ เป็นทุกข์

เพราะเหตุว่าตั้งอยู่ไม่ได้ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา เมื่อไม่เที่ยง เป็นทุกข์

จึงเป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา

ของใคร ลักษณะทั้ง ๓ ประการนี้ เป็นลักษณะที่ทั่วไปแก่สภาพธรรมที่เป็นสังขารธรรม

ทั้งหมด แต่เมื่อกล่าวถึงอนัตตาแล้ว ไม่มีเว้นธรรมอะไรเลย หมายรวมถึงพระนิพพาน

ด้วย เพราะพระนิพพาน ก็เป็นอนัตตา


ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ยากที่จะเข้าใจ แต่ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ การศึกษา

ธรรม เป็นการศึกษาถึงสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพื่อเข้าใจ

สภาพธรรมตามความเป็นจริง เนื่องจากคุ้นเคยกับความเป็นตัวตน คุ้นเคยกับความ

เป็นเรา พร้อมทั้งได้สะสมความไม่รู้มาอย่างเนิ่นนาน จึงหลงยึดถือสภาพธรรมที่กำลัง

ปรากฏว่าเป็นต้วตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรา ดังนั้น ธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้น

จึงควรที่จะศึกษา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริง ซึ่งจะเป็นไปเพื่อละ

คลายความไม่รู้ ละความเห็นผิดในสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้

ในที่สุด
ธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุ พระพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุและความดับของธรรมะเหล่านั้น
ท่านพระอัสสชิแสดงธรรมกับพระสารีบุตรเมื่อครั้งยังเป็นอุปติสสปริพาชก แต่กว่าจะ
เข้าถึงคำว่าอนัตตา ไม่มีตัวตน ก็ต้องเจริญปัญญาที่ยาวนานเป็นอสงไขย์แสนกัปป์
พระพุทธเจ้าแสดงว่า ในอากาศไม่มีรอยเท้าฉันใด ลัทธิอื่นไม่มีพระอริยบุคคล
เมื่อไม่มีพระอริยบุคคล การบรรลุถึงพระนิพพานก็ไม่มี เพราะมีเพียงหนทางเดียว
ที่จะถึงพระนิพพานได้คืออริยมรรคมีองค์แปด





เอาบุญมาฝากได้เจริญวิปัสสนา ถวายสังฆทาน ให้ธรรมะเป็นทาน
อนุโมทนาบุญกับผู้ใส่บาตรตอนเช้าตามถนนหนทาง
ถวายข้าวพระพุทธรูป สัการะพระธาตุ
กำหนดอิริยาบทย่อย เมื่อวานนี้ได้เจริญพุทธานุสติ ธัมานุสติ
สังฆานุสติ กายคตาสติ จาคานุสติ มรณานุสติ และอนุโมทนา
กับผู้ที่มาสวดมนต์ไหว้พระตามสถานที่ต่างๆ ประมาณ 1000 กว่าคน
และกำหนดอิริยาบทย่อย ฟังธรรม และศึกษาธรรม และวันนี้ตั้งใจว่า จะสวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ
กำหนดอิริยาบทย่อย ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย



ขอเชิญสักการะรอยพระพุทธบาทคู่สลักอยู่บนศิลาแลง และสิ่งโบราณอีกมากมาย
ตั้งอยู่ในตำบลโคกไทย อำเภอศรีมโหสถ ห่างจากอำเภอเมืองไปตามทางหลวงหมายเลข 319 ถนนสุวินทวงศ์เป็นระยะทางประมาณ 24 กม. เป็นกลุ่มโบราณสถานทางพุทธศาสนาซึ่งมีการก่อสร้างซ้อนทับกันมาหลายสมัย เริ่มตั้งแต่ก่อนพุทธศตวรรษที่ 11 เป็นต้นมา จนกระทั่งถึงพุทธศตวรรษที่ 18 ประกอบด้วยสิ่งก่อสร้างศิลาแลงและอิฐ ส่วนใหญ่คงเหลือรากฐานเฉพาะอาคารเท่านั้น
เมื่อ พ.ศ. 2529ระหว่างการขุดแต่งได้ค้นพบรอยพระพุทธบาทคู่สลักอยู่บนศิลาแลงที่ฝ่าพระบาทสลักรูปธรรมจักรนูนทั้งสองข้างระหว่างรอยพระบาทมีการกากบาทสลักลึกเป็นร่อง ตรงกลางมีหลุมสันนิษฐานว่า มีไว้เพื่อปักฉัตรหรือร่มรอยพระพุทธบาทคู่นี้คาดว่า สร้างขึ้นสมัยทวารวดีถึงสมัยลพบุรีนับเป็นรอยพระพุทธบาทที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย
บริเวณใกล้กันมี บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งพบพระพุทธรูป และโบราณวัตถุเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมี สระมรกต ซึ่งเป็นสระรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้างประมาณ 115 เมตร ยาว 214 เมตร ลึก 3.50 เมตร มีพื้นที่ประมาณ 25 ไร่ สันนิษฐานว่าขุดขึ้นมาเพื่อใช้เป็นแหล่งน้ำและได้นำศิลาแลงไปใช้ในการก่อสร้าง นอกจากสระมรกตแล้วยังมีสระบัวหล้า และ อาคารศรีมโหสถจัดแสดงนิทรรศการความรู้เกี่ยวกับโบราณสถานเมืองศรีมโหสถและจัดแสดงโบราณวัตถุที่ค้นพบในบริเวณนั้น ที่สำคัญ ๆ เช่น จารึกเนินสระบัว (ศิลาจารึกหลักที่ 56)เป็นศิลาจารึก หินทรายสีขาวขนาดกว้าง 40 ซม. ยาว 177 ซม. เดิมถูกขนย้ายจากโบราณสถานใกล้สระบัวหรือสระบัวล้า มาพิงไว้ที่โคนต้นโพธิ์ วัดต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ์
ได้รับการสำรวจและทำสำเนาครั้งแรกเมื่อ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2496 โดยนายชิน อยู่ดี ปัจจุบันจารึกนี้จัดแสดงอยู่ภายในอาคารศรีมโหสถ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 24 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร