วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 18:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2009, 16:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ค. 2009, 20:44
โพสต์: 341

ที่อยู่: ภาคตระวันออก

 ข้อมูลส่วนตัว




Y7974365-9.jpg
Y7974365-9.jpg [ 141.65 KiB | เปิดดู 1644 ครั้ง ]
ชีวิตนี้น้อยนักทุกชีวิตไม่ว่าคนไม่ว่าสัตว์ มิได้มีเพียงเฉพาะชีวิตนี้
คือมิได้มีเพียงชีวิตในชาตินี้แต่ทุกชีวิตมีทั้งชีวิตในชาติอดีต ชีวิตในชาติปัจจุบัน และชีวิตในชาติอนาคต

ชีวิตนี้น้อยนัก หมายถึงชีวิต ในชาติปัจจุบันนั้นน้อยนักสั้นนัก
ชีวิตคืออานับชาตยุ ชีวิตในปัจจุบันชาติ ของแต่ละคนอย่างยืนนาน ที่สุดไม่เกินร้อยปี ได้ไม่เท่าไหร่
ซึ่งก็ดูราวเป็นอายุยืนมากนัก แม้ไม่นำมาเปรียบกับชีวิตที่ต้องผ่านมาแล้วในอดีตที่นับชาติไม่ถ้วน
นับปีไม่ได้ และชีวิตที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิด
ต่อไปอีกในอนาคต ที่จะนับชาติไม่ถ้วนนับปีไม่ได้อีกเช่นกัน
ที่ปราญชญ์ท่านว่า ชีวิตนี้น้อยนัก นั้น ท่านมุ่งเปรียบเทียบชีวิตนี้
กับชีวิตในอดีตที่นับชาติไม่ถ้วน และชีวิตในอนาคตที่จะนับชาติไม่ถ้วนอีกเช่นกัน
สำหรับผู้ ไม่ยิ่งด้วยปัญญาไม่สามารถพาตนให้พ้น ทุกข์สิ้นเชิงได้
ทุกชีวิตก่อนแต่จะได้มาเป็นคน เป็นสัตว์อยู่ในแจจุบันชาติ ต่างเป็นอะไรต่อมิอะไร มาแล้วมากมาย

แยกออได้กรทแล้วไม่ได้ ว่าที่มีกรรมดีกรรมชั่ว อะไรบ้าง ทำกรรมใดก่อน ทำกรรมใดหลัง
ทั้งกรรมดีกรรมชั่ว ที่ทำไว้ในชาติอดีตทั้งหลาย ย่อมมากมาย
เกินกว่า ที่ได้มากระทำใน ชาตินี้อย่างประมาณมิได้
และกรรมดีกรรมชั่วทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมให้ผลตรงตามเหตุทุกประการ
แม้ว่าผลจะไม่อาจ เกิดขึ้นพร้อมกันทุกสิ่งทุกอย่าง และไม่อาจเรียงลำดับตามเหตุทุกอย่าง
และไม่อาจเรียงลำดับตามเหตุ ที่ได้กระทำแล้วก็ตาม
แต่เหตุผลทั้งหลายย่อมเกิดแน่แม้เหตุได้กระทำแล้ว


เมื่อมีเหตุผลมีผล เมื่อทำเหตุย่อมได้รับผลและผลย่อมตรง ตามเหตุเสมอ
ผู้ใดทำผู้นั้นจักเป็นผู้ได้รับผล เที่ยงแท้แน่นอน เมื่อใดกำลังมีความสุข
ไม่ว่าผู้กำลังมีความสุขนั้นจะเป็นเรา หรือเป็นเขา เมื่อนั้นพึงรู้ความจริง ว่าเหตุดีที่ได้ทำไว้แน่กำลังให้ผล ผู้ทำเหตุดีนั้น กำลังเสวยผลแห่งเหตุนั้นอยู่ แม้ปุถุชนจะไม่สามารถ หยั่งรู้ให้เห็นแจ้ง
ได้ว่าทำเหตุดีหรือ กรรมดีไดไว้ แต่ก็พึงรู้พึงมั่นใจ ว่าเหตุแห่งความสุขที่กำลังได้เสวย อยู่เป็นเหตุดีแน่
เป็นกรรมดีแน่ผลดีเกิดแต่เหตุดีเท่านนั้น ผลดีไม่เกิดแต่เหตุดีไม่ดีได้เลย เมื่อใดมีความทุกข์ความเดือดร้อน ไม่ว่าผู้กำลังมีคาวมทุกข์ความเดือดร้อนนั้นจะเป็นเราหรือเป็นเขา เมื่อนั้นพึงรู้ความจริงว่า เหตุไม่ดี ที่ได้กระทำไว้แน่กำลังให้ผล ผู้ทำเหตุไม่ดีนั้นกำลังเสวยผลแห่งเหตุนั้นอยู่ แม้ปุถุชนจะไม่สามารถหยั่งรู้ให้เห็นแจ้งได้ว่าทำเหตุ ไม่ดีหรือกรรมไม่ดีใดไว้ แต่ก็พึงรู้พึงมั่นใจว่าเหตุแห่งความทุกข์ ความเดือดร้อนที่กำลังได้เสวยอยู่ เป็นเหตุไม่ดีแน่ เป็นกรรมไม่ดีแน่ ผลไม่ดีเกิดแต่ผลไม่ดีเท่านั้น ผลไม่ดีไม่มีเกิดแต่เหตุดีได้เลย เมื่อใดมีความคิดว่าเราทำดีไม่ได้ดี หรือเขาทำดีไม่ได้ดี ก็พึงรู้ว่าเมื่อนั้นกำลังหลงคิดผิดจากความจริง กำลังเข้าใจผิดจากความจริง



ทำดีต้องได้ดีเสมอ ไม่มียกเว้นจากเหตุผลไดทั้งสิ้น เมื่อไดมีความคิดว่าเราทำไม่ดีแต่กลับได้ดี หรือเขาทำไม่ดีกลับได้ดี ก็พึงรู้ว่ากำลังหลงผิด คิดผิดจากความเป็นจริง กำลังเขาใจผิดจากความเป็นจริง ทำไม่ดีต้องได้ไม่ดีเสมอ ไม่มีข้อยกเว้นด้วยเหตุผลได้ทั้งสิ้น ชีวิตในชาตินี้ชาติเดียวย่อมน้อยนัก เมื่อเปรียบ กับชีวิตในอดีตชาติ ซึ่งนับจำนวนชาติหาถ้วนไม่ ดังนั้น กรรมคือการกระทำที่ทำในชีวิตนี้ในชาตินี้ชาติเดียวจึงน้อยนัก เมื่อเปรียบกับกรรมหรือการกระทำไว้แล้วไว้ในอดีตชาติ อันนับจำนวนชาติไม่ถ้วน การเขียนหนังสือปากกาดินสอลงบนกระดาษเดียวนั้น เขียนลงครั้งแรกก็ย่อมอ่านออกง่าย อ่านเข้าใจได้ง่าย แต่ยิ่งเขียนทับเขียนซ้อนลงไปบนกระดาษแผ่นเดียวกันนั้น ตัวหนังสือย่อมจะทับกันยิ่งขึ้นทุกที การอ่านก็ยิ่งอ่านยากทุกที จนถึงอ่านไม่ออกเลย ไม่เห็นเลยว่าเป้นตัวหนังสือ จะเห็นแต่รอยหมึกหรือลอยดินสอ ทับกันไปทับกันมา เป็นสีสันเท่านั้น ให้เพียงรู้เท่านั้นว่า ได้มีการเขียนลงบนกระดาษแผ่นนั้น หาอ่านรู้เรื่องไม่ และหาอาจรู้ได้ไม่ ว่าเขียนอะไรก่อนอะไรหลัง นี้ฉันใดการทำกรรมหรือการทำดีทำชั่วก็ฉันนั้น ต่างได้ทำกันมานับภพนับชาตไม่ถ้วน ทับถมกันมายิ่งกว่าตัวหนังสือที่อ่านไม่ออก หารู้ไม่ว่าเขียนอะไรก่อนเขียนอะไรหลัง ทำกรรมไดไว้ก็ไม่รู้ไม่เห็น แยกไม่ออกว่าทำกรรมไดก่อนทำกรรมไดหลัง ทำดีอะไรไว้บ้าง ทำไม่ดีอะไรไว้บ้าง มากน้อยหนักเบากว่ากันอย่างไร แต่กรรมนั้น แม้ทำซับซ้อนมากเพียงไร โดยมีผลที่ปรากฏขึ้นของกรรมนั้นเองเป็นเครื่องช่วยแสดงให้เห็น ชีวิตหรือชาตินี้ของทุกคนมีชาติกำเนิดไม่เหมือนกัน เป็นไทยก็มี จีนก็มี แขกก็มี ฝรั่งก็มี มีชาติตระกูลไม่เหมือนกัน ตระกูลสูงก็มี ตระกูลต่ำก็มี มีสติปัญญาไม่ทัดเทียมกัน ฉลาดหลักแหลมก็มี โง่เขลาเบาปัญญาก็มี มีฐานะต่างระดับกัน ร่ำรวยก็มี ยากจนก็มี ความแตกต่างห่างกันนานาประการเหล่านี้ ล้วนเป็นเครื่องชี้ให้ผู้เชื่อในกรรม และผลของกรรมเห็นภพชาติในอดีตของแต่ละชีวิตในชาติปัจจุบัน เกิดมาต่างกันในชาตินี้ เพราะทำกรรมต่างกันในชาติอดีต ความแตกต่างของชีวิตที่สำคัญที่สุด ที่แสดงให้เห็นอำนาจ ที่ใหญ่ยิ่งที่สุดของกรรม คือความได้ภพชาติของพรหมเทพ ความได้ภพชาติของมนุษย์ กับความได้ภพชาติของสัตว์ เทวดาอาจมาเป็นมนุษย์ได้ เป็นสัตว์ได้ มนุษย์อาจไปเป็นเทวดาได้ เป็นสัตว์ได้ ด้วยอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของกรรม อั้นนำให้เกิดนี้ เป็นความจริงที่แม้จะเชื่อหรือไม่เชื่อความจริงนี้ ก็ย่อมเป็นความจริงเสมอไป ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนแปลงให้ผิดไปจากความจริงได้เชื่อหรือไม่เชื่อก็ควรกลัว อย่างหนึ่ง คือกลัวการไม่ได้กลับมาเกิดเป็นคน ไม่ได้ไปเกิดเป็นเทวดา เทวดามาถือภพชาติเป็นมนุษย์ เป็นที่ยอมเชื่อถือกันมากว่าเทวดาจะไปเป็นอะไรอื่น จึงมีคำบอกเล่าหรือสัณนิษฐานกันอยู่เสมอ ว่าผู้นั้นผู้นี้เป็นเทวดามาเกิด ทั้นี้ก็โดยสันิษฐานจากความปรานีตงดงามสูงส่งของผู้นั้นผู้นี้ บางรายก็มีพร้อมทุกปราการ ทั้งชาติตระกูลที่สูง ฐานะที่ดีผิวพรรณวรรณะที่งาม กิริยาวาจามารยาทที่สุภาพอ่อนโยน ไพเราะเรียบร้อย เฉลียวฉลาด บางผู้แม้ไม่งามพร้อมทุกปราการดังกล่าว ก็ยังได้รับคำพรรณนาว่าเป็นเทวดานางฟ้ามาเกิด เพราะผิวพรรณมารยาทงดงามอ่อนโยนนุ่มนวล นี้ก็คือการยอมรับอยู่ลึกๆ ในใจของคนส่วนมาก ว่าเป้นเทวดามาเกิดเป้นมนุษย์ได้ เทวดามาเกิดเป้นมนุษย์มีตัวอย่างสำคัญยิ่งที่พึงกล่าว ถึงได้ เป็นที่ยอมรับทั่วไป โดยเฉพาะในหมู่พุทธศาสนานิกชนทั้งหลาย นั่นคือ สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จากสวรรค์ชั้นดุสิตเสด็จลงโลกมนุษย์ ประสูติเป็นพระสิทธัตถะราชกุมาร พระราชโอรสพระเจ้าสุทโธทนะกับพระนางสิริมหามายา เรื่องหนึ่งในพระพุทธศาสนาที่รู้จักกันกว้างขวาง คือเรื่องของเทพธิเมขา เทพธิดาอางค์นี้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผุ้รักษามหาสมุทร มีหน้าที่คุ้มครองช่วยเหลือมนุษย์ที่ถือไตรสรณาคมน์ มีศีลสมบูรณ์ปฏิบัติชอบต่อมารดาบิดา พราหมณ์โพธิสสัตว์ เดินทางไปเรือแตกกลางมหาสมุทร พยายามว่ายเข้าฝั่งอยู่ถึง 7 วัน เทพธิดาเมขลาจึงแลเห็น ได้ไปแสดงตนต่อพราหมณ์โพธิสัตว์ทันที รับรองจะให้ทุกอย่างที่ พราหมณ์โพธิสัตว์ ปรารถนา และได้เนรมิตรสิ่งที่ พราหมณ์โพธิสัตว์ ขอทุกอย่าง คือเรือทิพย์และแก้วแหวนเงินทอง พราหมณ์โพธิสัตว์ พ้นจากมหาสมุทร ได้บำเพ็ญทานรักษาศีลจนตลอด ชีวิต ครั้นสิ้นชีวิตแล้วได้ไปบังเกิดในเมืองสวรรค์ พราหมณโพธิสัตว์ครั้งนั้นต่อมาคือ พระพุทธเจ้า เทพธิดาเมลขาต่อมาคือพระอุบลวัณณาเถรี และผู้ดูแลช่วยเหลือพราหมณ์โพธิสัตว์ต่อมาคือ พระอานนท์ นี้คือเทวดาถือภพถือชาติเป็นมนุษย์ได้ อย่างน้อยก็ตามความเชื่อถือ จึงมีการเล่าเรื่องเทพธิดาเมขลาดังกล่าว เทวดามาเกิดเป็นมนุษย์ได้ และมนุษย์ไปเกิดเป็นเทวดาได้ ดังที่สมเด็จพระพรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ได้ ทรงนำเรื่องในอดีต มาสาธกว่า เมื่อทรงเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ หัวหน้าพ่อค้าเกวียน ได้ทรงซื้อสินค้าในนครพาราณสี บรรทุกเกวียน นำหัวหน้าพ่อค้าจำนวนมากเดินทางไปทางกันดาร บ่อน้ำก็พากันขุดเพื่อให้มีน้ำดื่ม ได้พบรัตน์มากมายในบ่อนั้น พระโพธิสัตว์ทรงเตือนว่าความโลภ เป็นเหตุแห่งความพินาศ แต่ไม่มีผู้เชื่อฟัง พวกพ่อค้ายังขุดต่อไปไม่หยุด หวังได้รัตนะมากขึ้น บ่อนั้น เป็นบ่อของพยานาค เมื่อถูกทำลาย พยานาคก็โกรธ ใช้ลมจมูกเป่าพิษถูกพ่อค้าเสียชีวิตหมดทุกคน เหลือแต่พราหมณ์โพธิสัตว์ ที่มิได้ร่วมการขุดบ่อด้วย จึงได้รัตนะมากมายถึง 7 เล่มเกวียน ท่านนำออกเป็นทาน และได้สมาทานศีล รักษาอุโบสถสนสิ้นชีวิต ได้ไปเกิดในสวรรค์ เป็นมนุษย์ผู้หนึ่งที่เกิดเป็นเทวดาได้ มนุษย์มีบุญกุศลและความดีพร้อมทั้งกาย วา จาใจ มากเพียงไร ก็จะเกิดเป็นเทวดาชั้นสูงได้เพียงนั้น คือ สามารถขึ้นไปอยู่ สวรรค์ชั้นสูงได้เมื่อละโลกนี้แล้ว มนษย์เกิดเป็นเทวดาได้ และเกิดเป็นสัตว์ได้ ในสมัยพุทธกาล ชายผู้หนึ่งโกรธแค้นรำคาญสุนัขตัวหนึ่งที่ติดตามอยู่ตลอดเวลา พระพุทธเจ้าทรงทราบก็ได้ ตรัสแสดงให้รู้ว่า บิดาที่ได้สิ้นไปแล้วนั้นมา เกิดเป็รสุนัข นั่น และได้ทรงให้พิสูจน์ โดยบอกให้สุนัข นำไปหาที่ซ่อน ทรัพย์ซึ่งไม่มีผู้ไดรู้นอกจากผู้เป็น บิดาของชายผู้นั้น และสุนัขก็พาไปขุดพบ สมบัติที่ฝังไว้ก่อนสิ้นชีวิตได้ สัตว์ไปเกิดเป็นเทวดาได้คงจะมีเป็นอันมาก มีเรื่องต่างๆในพระพุทธศาสนาที่เล่าสืบกันมา คือในสมัยพุทธกาล มีสัตว์ได้ยินเสียงพระสวดมนต์ก็ตั้งใจฟังโดยความเคารพ ตายไปก็ไปบังเกิดเป็นเทพในสวรรค์ ด้วยอานุภาพของการให้ความเคารพในพระธรรมของพระพุทธเจ้า

ประโยชน์จากการเผยแพร่ธรรมนี้พึงบังเกิดสติปัญญาแก่ท่านกัลญาณมิตรผู้เจริญในธรรมทุกๆท่านครับ

:b42: เทพบุตร :b42:
:b8: :b8: :b8:

.....................................................
การให้ธรรมะเป็นทานชนะการให้ท้งปวง
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 23 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร