วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 06:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2009, 15:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ประวัติและปฏิปทา
พระครูอุดมธรรมคุณ (หลวงปู่มหาทองสุก สุจิตฺโต)


วัดป่าสุทธาวาส
ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร


๏ นามเดิม

ทองสุก มหาหิง เป็นบุตรของนายเลี้ยง และนางบุญมี มหาหิง มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๑๐ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๒

๏ เกิด

เมื่อวันศุกร์ที่ ๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๕๑ ตรงกับวันขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๖ ปีวอก ณ ตำบลห้วยป่าหวาย อำเภอหนองโคน (อำเภอพระพุทธบาท ในปัจจุบัน) จังหวัดสระบุรี

๏ บรรพชา

เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๖๖ ณ วัดสระปทุม (วัดปทุมวนาราม) จังหวัดพระนคร (แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ ในปัจจุบัน) โดยมี ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระธรรมธีรราชมหามุนี พระธรรมกถึกเอกในสมัยนั้น เป็นพระอุปัชฌาย์

รูปภาพ
ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท)

รูปภาพ
ท่านเจ้าคุณพระปัญญาพิศาลเถร (หนู ฐิตปญฺโญ)


๏ อุปสมบท

เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๗๐ ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ณ พัทธสีมาวัดสระปทุม (วัดปทุมวนาราม) โดยมี ท่านเจ้าคุณพระปัญญาพิศาลเถร (หนู ฐิตปญฺโญ) เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระปลัดบุญมี อินฺเชฏฺฐโก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ สำเร็จญัตติจตุตถกรรมวาจาในท่ามกลางพระสงฆ์ เมื่อเวลา ๑๓.๓๘ นาฬิกา ท่านได้รับนามฉายาว่า “สุจิตฺโต” อันมีความหมายเป็นมงคลว่า “ผู้มีจิตดี, ผู้มีความคิดดี”

หลังจากที่ท่านพระครูอุดมธรรมคุณ (หลวงปู่มหาทองสุก สุจิตฺโต) ได้ถวายตัวเป็นศิษย์กับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ เมื่อครั้งท่านมาพำนักที่วัดเจดีย์หลวง ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ แล้วท่านได้ติดตามท่านพระอาจารย์มั่นไปธุดงคกัมมัฏฐานทางภาคเหนือ พร้อมด้วยศิษย์องค์สำคัญหลายรูป เช่น หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี, หลวงปู่ขาว อนาลโย ฯลฯ ต่อมาท่านได้ปฏิบัติศาสนกิจให้กับพระพุทธศาสนาที่จังหวัดจันทบุรีพอสมควร จึงได้ออกติดตามมาปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์มั่นอีกครั้ง ณ สำนักป่าบ้านนามน ตำบลตองโขป อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร จนท้ายสุดท่านได้เป็นเจ้าอาวาสวัดป่าสุทธาวาส และเป็นผู้ก่อสร้างอุโบสถวัดป่าสุทธาวาส ซึ่งเดิมเป็นสถานที่ประชุมเพลิงศพท่านพระอาจารย์มั่น จนอุโบสถสำเร็จงดงาม

รูปภาพ
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

รูปภาพ
หลวงปู่ขาว อนาลโย


๏ การศึกษาและสมณศักดิ์

พ.ศ. ๒๔๗๐ สอบได้นักธรรมชั้นตรี และเป็นครูนักธรรมที่วัดสระปทุม (วัดปทุมวนาราม)

พ.ศ. ๒๔๗๒ สอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค

พ.ศ. ๒๔๗๒-๒๔๗๔ เป็นครูสอนบาลีที่วัดสระปทุม (วัดปทุมวนาราม)

พ.ศ. ๒๔๗๔ สอบได้นักธรรมชั้นโท

พ.ศ. ๒๔๗๕-๒๔๗๖ เป็นครูสอนบาลีที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่

พ.ศ. ๒๔๘๓-๒๔๘๔ เป็นเจ้าอาวาสวัดทรายงาม ตำบลหนองบัว อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี

พ.ศ. ๒๔๘๕ เป็นเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านห้วยหีบ ตำบลตองโขบ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร จนถึง พ.ศ. ๒๔๘๘

พ.ศ. ๒๔๘๘ เป็นเจ้าอาวาสวัดป่าสุทธาวาส จนถึง พ.ศ. ๒๕๐๗

พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร

พ.ศ. ๒๔๙๗ ได้รับสัญญาบัตรเป็นพระครูชั้นโทที่ พระครูอุดมธรรมคุณ

พ.ศ. ๒๔๙๘ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์

พ.ศ. ๒๕๐๓ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก ในราชทินนามเดิม

๏ การมรณภาพ

เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๐๘ เวลา ๐๖.๐๔ นาฬิกา ณ โรงพยาบาลศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ สิริอายุรวมได้ ๕๗ ปี พรรษา ๓๘

(มีต่อ ๑)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2009, 15:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ


๏ การธุดงค์และการปฏิบัติศาสนกิจ

พ.ศ. ๒๔๗๔

ภายหลังจากออกพรรษาปีนี้ ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) ได้ขอให้ท่านพระครูอุดมธรรมคุณไปเป็นครูสอนพระปริยัติธรรม ที่สำนักเรียนวัดเจดีย์หลวง ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ท่านได้ไปตามคำขอร้องนั้น และได้ทำการสอนพระปริยัติธรรม ซึ่งพอดีกับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ พระอาจารย์ใหญ่ของคณะพระกัมมัฏฐาน ก็ได้ถูกขอร้องจากท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) ให้มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงเช่นเดียวกัน

ท่านพระครูอุดมธรรมคุณท่านได้พักอยู่ใต้ถุนกุฏิท่านพระอาจารย์มั่น ท่านว่าได้ประโยชน์ ๒ ประการ ประการที่ ๑ ท่านได้ฟังเทศน์จากท่านพระอาจารย์มั่น ประการที่ ๒ ท่านได้สอนพระปริยัติธรรมให้พระภิกษุสามเณร บางครั้งท่านพระอาจารย์มั่นจะมานั่งฟังการแปลหนังสือบาลีด้วยความสนใจ

ตอนกลางคืน ท่านพระอาจารย์มั่นได้สอนกัมมัฏฐาน วิธีปฏิบัติตั้งแต่เบื้องต้นของการทำจิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอนของท่านหนักไปทางกัมมัฏฐาน คือให้พิจารณา ผม-ขน-เล็บ-ฟัน-หนัง ท่านได้ให้เหตุผลว่า

“ทุกคนที่เกิดมาไม่ได้ไปติด คือยึดมั่นที่อื่นหรอก โดยเฉพาะก็มายึดมั่นถือมั่นที่ ผม-ขน-เล็บ-ฟัน-หนัง นี้เอง ให้พยายามพิจารณาให้ตามความเป็นจริงแก่การยึดถือ ผม-ขน-เล็บ-ฟัน-หนัง เป็นสิ่งสวยงาม ด้วยสามารถแห่งกำลังสมาธิ ก็จะเป็นทางไปสู่ความเป็นอริยเจ้าได้”

พ.ศ. ๒๔๗๕

เมื่อท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) มรณภาพแล้ว ท่านพระอาจารย์มั่นก็ธุดงค์เข้าไปในป่าถ้ำหุบห้วยภูเขา เที่ยวแสวงหาความสงบวิเวกอยู่กับพวกชาวป่าชาวเขา ไม่กลับมาและไม่ยอมรับหน้าที่อะไรทั้งหมดที่ทางการแต่งตั้งถวาย โดยเฉพาะท่านพระอาจารย์มั่นได้ถูกแต่งตั้งเป็น พระครูวินัยธร ฐานานุกรมของท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างนี้ ท่านพระครูอุดมธรรมคุณ (หลวงปู่มหาทองสุก สุจิตฺโต) จึงได้กลับมาที่วัดสระปทุม (วัดปทุมวนาราม) ครั้นเมื่อท่านกลับมาแล้ว ทางวัดก็ขอร้องให้ท่านสอนบาลีต่อไปอีก แต่ท่านไม่รับ เนื่องจากท่านมีความประสงค์แน่วแน่ที่จะปฏิบัติกัมมัฏฐาน คือการปฏิบัติทางด้านจิตใจ ประกอบกับที่ได้รับการแนะนำจากท่านพระอาจารย์มั่นมาแล้ว

พ.ศ. ๒๔๗๖

ดังนั้น ปีนี้ท่านจึงได้เดินทางร่วมกับพระภาษมุณี (โฮม) และสามเณรประมัย เณธิชัย สามเณรประมัยนี้แตกฉานในการปฏิบัติมาก สามเณรจะคอยเป็นผู้แนะนำทางจิตอยู่เสมอ และพวกเราก็เชื่อถือสามเณรประมัยมาก ได้พักจำพรรษาที่บ้านหนองคาง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ท่านได้ปรารภความเพียร เริ่มบำเพ็ญกัมมัฏฐานอย่างจริงจัง เมื่อสงสัยอะไรก็ได้สามเณรประมัยเป็นที่ปรึกษา ณ ปีนี้เอง สามเณรประมัยปรารถนาความเพียรอย่างยิ่งใหญ่ ไม่นอนตลอดพรรษา จนเชื่อมั่นตนเองว่าได้สำเร็จพระอนาคามี

ท่านเล่าว่า วันหนึ่งท่านกับสามเณรประมัยกำลังนั่งสนทนาธรรมกันอยู่ ก็ได้มีงูจงอางขนาดใหญ่ประมาณเท่าต้นหมาก วิ่งพุ่งปราดเข้ามาตรงพวกเราทั้งสอง ไม่ทราบว่าจะหนีมันไปอย่างไร จึงหยุดพูดแล้วเจริญเมตตาฌาน ทำจิตให้สงบ ขณะที่งูตัวนั้นมันกำลังจะเข้ามาถึงพวกเรา อีกประมาณวาเศษๆ ก็ได้มีสุนัข ๕ ตัวกระโดดเข้ามาขวางทางงู ได้เกิดการต่อสู้กันระหว่างสุนัข ๕ งู ๑ งูสู้ไม่ไหวเลยหนีไป แต่ในวัดที่แท้จริงไม่มีสุนัขสักตัวเดียว

หลังจากที่จำพรรษาที่บ้านคางแล้ว ท่านเดินธุดงค์จากนั้นเพื่อติดตามท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ เรื่อยไป จากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ลงมาเขาเต่า ไปทางจังหวัดสุพรรณบุรี เดินผ่านดงไปจะไปจังหวัดอุตรดิตถ์ ไม่เคยเดินทางลัด ไปหลงอยู่ในดง ๓ วัน ไม่มีบ้านคนเลย นอนอยู่ในป่าใหญ่ มีแต่เสียงช้างเสียงเสือ เป็นที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ท่านไม่ต้องหลับนอน พักทำสมาธิอย่างถวายชีวิต ใน ๓ วันไม่ได้ฉันอาหารเลย มีแต่ฉันน้ำเพราะไม่มีบ้านคน ท่านว่า “แหม...เราตอนนี้นึกว่าตายแน่ๆ จึงทำให้เกิดสมาธิอย่างดี นับเป็นประวัติการณ์สำคัญทีเดียว ท่านพระอาจารย์มั่นท่านสอนไว้เมื่ออยู่วัดเจดีย์หลวง นำมาใช้เมื่อคราวสำคัญในคราวนี้ จนทะลุดงใหญ่ออกมาได้ กินเวลา ๓ วัน ๓ คืน โล่งใจไป”

จากนั้นก็มาถึงจังหวัดอุตรดิตถ์ วกกลับมาปากน้ำโพไปถึงแพร่ วกกลับมาพิจิตรไปพิษณุโลก กลับมาอุตรดิตถ์อีก ทั้งนี้เดินเท้าทั้งนั้น และก็พักอยู่ตามป่า พักอยู่อุตรดิตถ์บนภูเขาเป็นวัดเก่า สืบถามได้ความว่าชื่อ วัดสันทพงษ์ ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) เป็นผู้มาก่อสร้างวัดนี้ ญาติโยมทั้งหลายก็พากันมานิมนต์จะให้อยู่สถาปนาวัดนี้ ท่านบอกว่าจะไปหาท่านพระอาจารย์มั่น ท่านจึงเดินทางต่อไป

ออกจากวัดนี้ ท่านก็เดินข้ามภูเขาแสนที่จะเหน็ดเหนื่อย ข้ามไม่รู้จักพ้นภูเขาเลย แต่เพราะความศรัทธาในท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ ทำให้ความเหน็ดเหนื่อยหายไปหมด โดยความพยายามท่านสามารถข้ามภูเขาไปถึงจังหวัดลำปางได้สำเร็จ ท่านบอกว่าครั้งนั้นก็เป็นครั้งหนึ่งแห่งความพยายามที่ลำบากยิ่ง แต่สำเร็จโดยอาศัยบารมีของท่านพระอาจารย์มั่น ทำให้เกิดกำลังใจขึ้นแก่ท่านอย่างอัศจรรย์ทีเดียว

รูปภาพ

รูปภาพ
“พระเจดีย์หลวง” ใหญ่โตตั้งโดดเด่นเป็นสง่า
ณ วัดเจดีย์หลวง ต.พระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่


(มีต่อ ๒)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2009, 15:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
พระครูอุดมธรรมคุณ (หลวงปู่มหาทองสุก สุจิตฺโต) บันทึกภาพร่วมกับพระภิกษุ-สามเณร
ณ วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๙



พ.ศ. ๒๔๗๗

เป็นเวลาจวนจะเข้าพรรษาเสียแล้ว ไม่สามารถที่จะติดตามท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ พบ จึงจำพรรษาที่วัดป่าเชียงแสน ตำบลออนใต้ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ออกพรรษาแล้ว ท่านพระครูอุดมธรรมคุณกลับมาที่บ้านป่าสักขวาง ได้อยู่ที่นี้เป็นเวลาหลายเดือน ก็เริ่มเดินทางไปสู่จุดที่ต้องการคือการพบท่านพระอาจารย์มั่น จึงเดินธุดงค์ไปถึงถ้ำเชียงดาว พักอยู่พอสมควร ก็ไปถึงบ้านดงแดง มาเจอดงใหญ่เข้าอีกแล้ว ท่านก็เดินธุดงค์ผ่านดงนี้ ภายในดงหาบ้านคนยาก ก็พอดีพบชาวบ้านกำลังตั้งร้านเลื่อยไม้กันอยู่ ถามทางที่จะเดินต่อไปก็พอทราบว่าจะต้องค้างคืนในดงนี้ เพราะจะไม่สามารถข้ามดงไปได้ในวันนี้ เมื่อไปต่อไปก็ต้องขึ้นภูเขา พอถึงหลังภูเขารู้สึกเหนื่อยมากและก็มืดพอดี ท่านจึงต้องพักค้างคืนบนภูเขานี้

การจำวัดบนภูเขา ท่านก็พอดีไปพบแอ่งน้ำแห่งหนึ่ง ท่านก็จำวัดในที่ใกล้ๆ แอ่งน้ำนั้น พอตกกลางดึก พวกสัตว์จะมาลงกินน้ำ พอเห็นกลดของท่านเข้า ไม่กล้าเข้ามา พวกมันร้องกันใหญ่ เป็นเสียงต่างๆ นานาน่าสะพรึงกลัว ในเสียงเหล่านั้นเป็นคล้ายช้างก็มี คล้ายเสือก็มี คล้ายกวางก็มี และมีเสียงนกต่างๆ ที่น่ากลัว เป็นเสียงแปลกประหลาดที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ทำให้ต้องลุกขึ้นนั่งสมาธิอยู่ตลอดเวลา เห็นว่าไม่ได้การเพราะจะต้องเดินไปให้ถึงบ้าน มิฉะนั้นวันนี้จะไม่ได้ฉันอาหาร พอดาวประกายพฤกษ์ขึ้น ท่านรีบจัดของเสร็จก็เดินทางต่อไป

การเดินทางของท่าน ไปถึงบ้านป่าฮิ้นตามคำบอกเล่าของพวกเลื่อยไม้ จึงพักบิณฑบาตที่บ้านป่าฮิ้น ที่บ้านป่าฮิ้นนี้มีสิ่งสำคัญอันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านนับถือกัน คือเขาผายอง พวกเขาพากันเชื่อว่า สถานที่ตรงนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับยืนอยู่ที่นี้ เพราะเป็นหน้าผาที่สวยงามและแปลกประหลาดทีเดียว

ความจริงท่านตั้งใจจะจำพรรษาที่นี้เพราะเป็นที่วิเวกดี แต่โดยความตั้งใจยังไม่ถึงจุดที่หมายคือการพบท่านพระอาจารย์มั่น จึงไม่ได้จำพรรษาที่นี้ ได้ข่าวว่า ท่านพระอาจารย์สาร (เป็นศิษย์ผู้ใหญ่ของท่านพระอาจารย์มั่น) อยู่ที่บ้านกกกอก เพื่อจะได้ไต่ถามถึงที่อยู่ของท่านพระอาจารย์มั่น ท่านจึงไปที่นั่น พบกับท่านพระอาจารย์สารพอดี และได้ทราบข่าวว่าท่านพระอาจารย์มั่นอยู่บนดอยกับปะหล่อง (ชาวเขา) ท่านได้เดินทางต่อขึ้นไปดอยแม่กน ซึ่งเป็นดอยสูงพอประมาณ ขึ้นครึ่งชั่วโมงกว่าถึงยอดดอย แล้วก็เดินกลับมาทางบ้านป่าฮิ้น ผ่านไปทางอำเภอพร้าว ได้ติดตามถามข่าวท่านพระอาจารย์มั่นจนจวบใกล้เข้าพรรษายังไม่พบ

พ.ศ. ๒๔๗๘

เมื่อเวลาจวนเข้าพรรษา ท่านพระครูอุดมธรรมคุณก็จัดเสนาสนะตามมีตามได้ อยู่จำพรรษากับท่านพระอาจารย์สาร ปรารภความเพียรทางใจเป็นที่ตั้ง รู้สึกว่าเกิดความสงบใจได้ดี และก็ได้ฟังธรรมจากท่านพระอาจารย์สารแทนท่านพระอาจารย์มั่นไปพลางก่อน ก็ได้ผลพอสมควรอยู่ ครั้นออกพรรษาเกิดเป็นไข้มาลาเรีย รู้สึกเกิดทุกข์เวทนามาก ท่านพยายามฝืนแล้วก็เดินทางต่อไป แต่รู้สึกอ่อนเพลียมาก จึงได้มาพักฟื้นอยู่ที่วัดบ้านโบสถ์ชั่วคราว แล้วท่านก็กลับไปทางดอยแม่กนอีก จากนั้นท่านก็ไปบ้านป่าไหน

ณ ที่นี้เอง จุดมุ่งหมายปลายทางที่ท่านได้พยายามบุกบั่นมาจนจะเอาชีวิตไม่รอดก็พลันสำเร็จขึ้นแก่ท่าน คือพบท่านพระอาจารย์มั่น ท่านไม่ทราบว่า ท่านพระอาจารย์มั่นรู้ว่าท่านอยู่บ้านนี้ได้อย่างไร จู่ๆ เวลาเย็นประมาณบ่าย ๓ โมงท่านก็มาปรากฏตัวให้เห็น ณ ที่อยู่นี้เอง ท่านมาองค์เดียว แบกกลดสะพายบาตรมารุงรังทีเดียว

ท่านมีความรู้สึกดีใจเป็นล้นพ้นเหลือประมาณ รีบไปรับบริขารมา แล้วท่านพระอาจารย์มั่นก็ทักท่านเป็นประโยคแรกว่า “มาดนแล้วบ่” แปลว่า มานานแล้วหรือ

ท่านตอบว่า “๒-๓ วันแล้ว”

ท่านพระอาจารย์มั่นท่านบอกว่า

“เราอยู่กับพวกมูเซอบนดอยแม่กะตำ เราเดินทางมาเพื่อจะพบกับคุณ (หมายถึงท่านพระครูอุดมธรรมคุณ) ผ่านบ้านป่าแนะ เราตั้งใจจะมาแนะนำอบรมให้ในทางจิตใจ” ท่านพระอาจารย์มั่นพูดกับท่าน

จากนั้น ท่านพระอาจารย์มั่นก็พาท่านไปที่บ้านปู่จองน้อย ตอนนี้ชาวบ้านแกงดาว (เต่ารั้ง) ทำเนื้อกวางให้ฉัน เขาหุงข้าวไม่รินน้ำดีมาก กำลังพื้นไข้ ฉันอร่อยมาก วิธีหุงข้าวเขาแปลกดี เขาเอาข้าวมาต้มพอแตกเม็ด เขาขุดไม้เป็นราง ๑ ศอก เทข้าวที่ต้มแล้วลงไป คนจนนิ่ม แล้วเอาขึ้นมานึ่งอีกที ฉันแล้วดีจริงๆ อร่อยจริงๆ

ตอนท่านมาองค์เดียวกับท่านพระอาจารย์มั่น ท่านพระอาจารย์มั่นเริ่มสอนวิชาปฏิบัติอย่างจริงจัง ณ ที่บ้านปู่จองน้อยนี้ ทั้งพานั่งสมาธิและเดินจงกรม และสำรวจวิถีจิต และท่านก็แนะนำถึงกัมมัฏฐาน ๕ มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ให้พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงด้วยสามารถแห่งสมาธิ และท่านแนะนำต่อไปว่า การพูดนั้นเป็นของง่ายนิดเดียว แต่การทำนั้นเป็นของยาก เช่น พูดว่า “ทำนา” เพียงเท่านั้นเราทำกันไม่รู้กี่ปี ไม่รู้จักแล้ว และปริยัติที่เรียนมานั้นให้เก็บไว้ให้หมดก่อน ใช้แต่การพิจารณาตามความเป็นจริงเพื่อให้เกิดความสงบอย่างจริงจัง

ท่านพระอาจารย์มั่นท่านอธิบายต่อไปว่า

สมาธิก็ดี มีคำว่า ขณิกสมาธิ-อุปาจารสมาธิ-อัปปนาสมาธิ และมีคำว่า วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา แต่ถ้าเราจะให้ใจของเราเป็นฌาน เราจะนั่งนึกว่า นี่วิตก นี่วิจาร นี่ปีติ นี่สุข นี่เอกัคคตา มันจะเป็นฌานขึ้นมาไม่ได้ จึงจำต้องละถอนสัญญาภายนอกด้วยสามารถแห่งอำนาจของสติ จึงจะเป็นสมาธิ เป็นฌาน

เมื่อท่านพระอาจารย์มั่นสอนแนวทางแห่งวิธีปฏิบัติได้ ๒ วัน ท่านก็ส่งให้ไปในภูเขาลึกอยู่ห่างจากบ้านแม่กนประมาณ ๑๐ กิโลเมตร และให้ไปแต่ผู้เดียว เพื่อให้ทำความเพียรอย่างเต็มที่ แล้วท่านพระอาจารย์มั่นท่านก็อยู่ที่บ้านแม่กนนั่นเอง การเดินทางไปภูเขาลึกนั้น เป็นห้วยลำธารเดินเลาะลัดไปเป็นทางที่ลำบากมาก แต่ก็เป็นเรื่องของความเต็มใจ ความลำบากเหล่านั้นก็เป็นสิ่งธรรมดาไป

ครั้นถึงอุโบสถต้องมารวมกันที่จุดหมาย คราวนี้ก็เอาบ้านแม่กนเป็นจุดหมายประชุมกัน การประชุมทำอุโบสถนั้น นอกจากจะทำสังฆกรรมแล้ว ท่านพระอาจารย์มั่นก็ให้โอวาทต่างๆ เท่าที่จะแนะนำอุบายสอน และไต่ถามถึงการปฏิบัติที่ผ่านมาว่า องค์ไหนเป็นอย่างไร ได้ผลอย่างไร จะต้องแก้ไขอย่างไร เป็นการทดสอบการปฏิบัติไปในตัว

อุโบสถนี้มีทั้งหมด ๕ องค์ คือ ท่านพระอาจารย์ใหญ่ (มั่น), ท่านพระอาจารย์สาร, ท่านพระอาจารย์ขาว, เรา (พระครูอุดมธรรมคุณ) และท่านพระอาจารย์มนู


(มีต่อ ๓)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2009, 15:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
หลวงปู่สิงห์ ขนฺตฺยาคโม

รูปภาพ
พระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี


พ.ศ. ๒๔๗๙

หลังจากลงอุโบสถนี้แล้ว ท่านพระอาจารย์มั่นก็ออกจากบ้านแม่กนนี้ไปอยู่ที่บ้านแม่งับ มีบ้านร้างอยู่ ๑ หลัง คนแถวๆ นี้มีอาชีพขุดเหมือง เศรษฐีเขาเอาน้ำไปจากแม่กนและแม่งับสาหรับทำเหมือง เป็นอันว่าปีนี้ พ.ศ. ๒๔๗๙ ได้จำพรรษากับท่านพระอาจารย์มั่น ณ ที่นี้ด้วยกันทั้ง ๕ องค์

ท่านทองดี ศิษย์หลวงปู่สิงห์ ขนฺตฺยาคโม มีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะไปพบท่านพระอาจารย์มั่น พอติดตามมากับท่าน เห็นความทุกข์ยากลำบากในการบุกบั่นเพื่อจะไปพบท่านพระอาจารย์มั่น ทั้งๆ ที่อุตส่าห์ติดตามมาจนได้ข่าวท่านพระอาจารย์มั่นแล้ว เลยกลับใจไม่ไปหาท่านพระอาจารย์ใหญ่ แล้วก็เลยไม่ได้พบกันอีก

พ.ศ. ๒๔๘๐

หลังจากจำพรรษาที่บ้านแม่กนนั้นแล้ว ออกพรรษาท่านก็ให้ไปทิศละองค์ เพื่อแสวงหาที่ทำความเพียร ต่างด้นดั้นไปตามภูเขาป่าใหญ่ อยู่แห่งละ ๕ คืนบ้าง ๑๐ คืนบ้าง เมื่อเห็นว่าที่ไหนจะสงบวิเวกดีก็อยู่นานหน่อย ถ้าเห็นว่าจะเป็นการกังวลด้วยผู้คน กลัวจะเนิ่นช้าในการทำความเพียรก็รีบเดินทางต่อไป

เมื่อต่างเดินทางไปคนละทิศละทางแล้ว ท่านไปทันพบกับท่านพระอาจารย์มั่นที่บ้านยาง บ้านแม่กะตั๋ง อันเป็นที่อยู่ของพวกมูเซอ บ้านแม่กะตั๋งนี้เป็นที่สงบวิเวกดีมาก ท่านพระอาจารย์มั่นจึงอยู่นาน และอยู่กับพวกชาวเขา สอนให้ชาวเขารู้จักพระศาสนาได้มาก มาคราวนี้พบกับท่านพระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี และท่านพระอาจารย์อ่อนสี สุเมโธ จึงภาวนาทำความเพียรอยู่ที่นี้ ๑๐ วัน

ตอนนี้ท่านพระอาจารย์มั่นท่านประสงค์จะไปอยู่แต่ผู้เดียวไม่ให้ใครยุ่ง ท่านพระอาจารย์เทสก์กับท่านพระอาจารย์อ่อนสีไปส่งท่านพระอาจารย์มั่นไปทางบ้านยาง เดินทางกันไป ๒ คืน

พอมาถึงตอนนี้เสือชุมมาก ชาวบ้านไม่ยอมให้พวกเราเดินทางไปเอง พวกเขาพาพวกชาวบ้านไปส่ง ในระยะกลางดงนั้นมีแต่รอยเสือให้ขวักไขว่ไปหมด และเสือเหล่านั้นชอบกินวัวควายชาวบ้าน ตลอดถึงสุนัข ถ้าคนหลงไปคนหนึ่ง ๒ คนก็ต้องตกเป็นเหยื่อของมันแน่แท้ ชาวบ้านกลัวมาก จึงต้องยกพวกไปส่งพวกเราทั้งๆ ที่ท่านพระอาจารย์ใหญ่ท่านก็ห้าม แต่ก็ไม่ขัดศรัทธา เขาจะไปส่งก็ดีเหมือนกัน

ปีนี้จำพรรษาที่บ้านแม่เจ้าทองทิพย์ (เป็นชื่อหมู่บ้าน) อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีท่านพระอาจารย์มั่น ท่านพระอาจารย์เทสก์ ท่านพระอาจารย์ขาว ท่านพระอาจารย์สาร ท่านมนู และท่านพระครูอุดมธรรมคุณ ในปีนี้ท่านพระอาจารย์มั่นได้พาทำความเพียรเป็นกรณีพิเศษ และได้อธิบายข้อปฏิบัติและปฏิปทาต่างๆ มากมาย เช่น

๑. การปฏิบัติทางใจ ต้องถือการถ่ายถอนอุปาทานเป็นหลัก

๒. การถ่ายถอนนั้นไม่ใช่ถ่ายโดยไม่มีเหตุ ไม่ใช่ทำเฉยๆ ให้มันถ่ายถอนเอง

๓. เหตุแห่งการถ่ายถอนนั้นต้องสมเหตุสมผล ท่านอ้างเอาพระอัสสชิแสดงในธรรมข้อที่ว่า

เย ธมฺมา เหตุ ปภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต
เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ เวที มหาสมโณ


ธรรมทั้งหลายเกิดมาจากเหตุ ธรรมทั้งหลายเหล่านั้นดับไปเพราะเหตุ
พระมหาสมณะคือพระพุทธเจ้ามีปกติตรัสดังนี้

๔. เพื่อให้เข้าใจว่า การถ่ายถอนอุปาทานนั้นมิใช่ไม่มีเหตุและไม่สมควรแก่เหตุ ต้องสมเหตุสมผล

๕. เหตุได้แก่การสมมุติบัญญัติขึ้น แล้วหลงตามอาการนั้น เริ่มต้นด้วยการสมมติตัวของตนก่อน พอหลงตัวเราแล้วก็ไปหลงผู้อื่น หลงว่าเราสวยแล้วจึงไปหลงผู้อื่นว่าสวย เมื่อหลงตัวของตัวเองและผู้อื่นแล้ว ก็หลงพัสดุข้าวของนอกจากตัว กลับกลายเป็นราคะ โทสะ โมหะ

๖. แก้เหตุต้องพิจารณากัมมัฏฐาน ๕ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ด้วยสามารถแห่งกำลังของสมาธิ เมื่อสมาธิขั้นต่ำ การพิจารณาก็เป็นฌานขั้นต่ำ เมื่อเป็นสมาธิขั้นสูง การพิจารณาเป็นฌานชั้นสูง แต่ก็อยู่ในกัมมัฏฐาน ๕

๗. การสมเหตุผล หมายถึง คันที่ไหนต้องเกาที่นั้นถึงจะหายคัน คนติดกัมมัฏฐาน ๕ หมายถึงหลงหนังเป็นที่สุด เรียกว่าหลงกันตรงนี้ ถ้าไม่มีหนังคงจะหนีกันแทบตาย เมื่อหลงที่นี้ก็ต้องแก้ที่นี้ คือ เมื่อกำลังสมาธิพอแล้ว พิจารณาก็เห็นตามความเป็นจริง เกิดความเบื่อหน่าย เป็นวิปัสสนาญาณ

๘. เป็นการเดินอริยสัจจ์เพราะเป็นการพิจารณาตัวทุกข์ ดังที่พระองค์ทรงแสดงว่า ชาติปิทุกข์ ชราปิทุกข์ พยาธิทุกข์ มรณัมปิทุกข์ ใครเกิด ใครแก่ ใครเจ็บ ใครตาย กัมมัฏฐาน ๕ เป็นต้น ปฏิสนธิ เกิดมาแล้ว แก่แล้ว ตายแล้ว จึงชื่อว่า พิจารณากัมมัฏฐาน เป็นทางพ้นทุกข์เพราะพิจารณาตัวทุกข์จริงๆ

๙. ทุกขสมุทัย เหตุเกิดทุกข์ เพราะมาหลงกัมมัฏฐาน ๕ ยึดมั่นจึงเป็นทุกข์ เมื่อพิจารณาก็ละได้ เพราะเห็นตามความเป็นจริง สมกับคำว่า รูปสมึปิ นิพฺพินฺทติ เวทนายปิ นิพฺพินฺทติ สญฺญายปิ นิพฺพินฺทติ สงฺขาเรสุปิ นิพฺพินฺทติ วิญฺญาณสฺสมิปิ นิพฺพินฺทติ เมื่อเบื่อหน่ายในรูป (กัมมัฏฐาน ๕) เป็นต้น แล้วก็คลายความกำหนัด เมื่อเราพ้น เราก็ต้องมีฌานทราบชัดว่าเราพ้น

๑๐. ทุกขนิโรธ ดับทุกข์ เมื่อเห็นกัมมัฏฐาน ๕ เบื่อหน่าย ชื่อว่า ดับอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น เช่นเดียวกับท่านสามเณรสุมนะ ศิษย์ท่านพระอนุรุทธ์ พอปลงผมหมดศีรษะ ก็ได้สำเร็จพระอรหันต์

๑๑. ทุกขคามินีปฏิปทา ทางไปสู่ที่ดับ คือการเป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ ปัญญาเห็นชอบ เห็นอะไร ? เห็นอริยสัจจ์ ๔ อริยสัจจ์ ๔ ได้แก่อะไร ? ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค การเห็นจริงแจ้งประจักษ์ด้วยสามารถแห่งสัมมาสมาธิ ไม่หลงติดสุข มีสมาธิเป็นกำลัง พิจารณากัมมัฏฐาน ๕ ก็เป็นองค์มรรค

หลัก ๑๑ ประการนี้กว้างขวาง ท่านพระอาจารย์มั่นท่านแสดงกว้างขวางมาก ท่านพระครูอุดมธรรมคุณท่านก็บันทึกย่อๆ ไว้เพื่อจะเป็นแนวทางปฏิบัติของท่าน เพราะปีนี้สำคัญทั้งศึกษาและปฏิบัติ มิใช่ศึกษาอย่างเดียว

ปฏิปทาท่านพระอาจารย์มั่นแนะว่า การฉันหนเดียว การฉันในบาตร การบิณฑบาต การปัดกวาดลานวัด การปฏิบัติอุปัชฌาย์อาจารย์ การอยู่ป่าวิเวก เป็นศีลวัตรอันควรแก่ผู้ฝึกฝนขั้นอุกฤษฏ์จะพึงปฏิบัติ

หลังจากออกพรรษาแล้ว ท่านเกิดอาการไข้มาลาเรียกำเริบขึ้นอีก จึงลาท่านพระอาจารย์มั่นไปพักรักษาตัวอยู่ที่จังหวัดเชียงราย พอท่านหายดีแล้วกลับมาที่บ้านแม่เจ้าทองทิพย์ ไม่มีใครเหลืออยู่สักองค์เดียว ทุกๆ องค์ต่างองค์ต่างไปวิเวกหมด ท่านจึงมาอยู่องค์เดียว กลางคืนเสือชุม มาคอยรบกวนอยู่ตลอดเวลา มาหาท่านใกล้ๆ แต่มันก็ไม่ทำอะไร มาคอยจ้องๆ มองแล้วก็หายไป ครั้งแรกก็ทำให้เกิดความเสียวๆ อยู่ แต่พอเคยกันเสียแล้วก็เฉยๆ

อยู่มาเดือน ๓ ปีนี้ พระครูนพรัตนบูรจารย์ ก็เลยมาพาสร้างเจดีย์ เพราะมีเจดีย์เก่าอยู่ที่นั้น ท่านพาชาวบ้านช่วยกันก่อสร้างเพิ่มเติม กินเวลาก่อสร้างถึง ๔ เดือน สำเร็จเอาเมื่อเดือน ๖ สำเร็จแล้ว ชาวบ้านก็พากันฉลองกันเป็นการใหญ่ เวลาฉลองท่านพระอาจารย์ขาว ท่านมนู มาร่วมการฉลองโดยการทำบุญตักบาตร ผู้คนไม่ทราบว่ามาจากไหนมากมาย เพราะคนเมืองนี้ชอบและเลื่อมใสในการก่อเจดีย์จริงๆ มาถึงมาทำบุญ ไม่ต้องป่าวร้อง รู้แล้วมาเอง ท่านทุกองค์ต่างองค์ผลัดกันเทศน์โปรดญาติโยม ได้ประโยชน์ดีทีเดียว

รูปภาพ
นั่งบนพื้น : พระตั๋น รุวรรณศร

แถวนั่งเก้าอี้ จากซ้าย : หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี, หลวงปู่ขาว อนาลโย,
พระธรรมเจดีย์ (หลวงปู่จูม พนฺธุโล), หลวงปู่บุญมา ฐิตเปโม, หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ

แถวยืนหลังสุด จากซ้าย : พระอาจารย์อ่อนสี สุเมโธ,
พระศรีรัตนวิมล (จันทร์ คุตฺตจิตฺโต) วัดศรีเมือง จ.หนองคาย,
พระธรรมไตรโลกาจารย์ (หลวงปู่รักษ์ เรวโต),
พระครูบริหารคณานุกิจ (หลวงปู่บุญมี ปวโร) วัดทุ่งสว่าง จ.หนองคาย,
หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน, พระอาจารย์จันทร์ เขมปตฺโต

บันทึกภาพเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๐๓
ในงานอุปสมบทของพระตั๋น รุวรรณศร


(มีต่อ ๔)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2009, 09:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
แถวหน้าสุด จากซ้าย : พระเทพสิทธาจารย์ (หลวงปู่จันทร์ เขมิโย),
พระธรรมเจดีย์ (หลวงปู่จูม พนฺธุโล), พระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสฺโส)

แถวกลาง จากซ้าย : หลวงปู่ขาว อนาลโย, หลวงปู่ฝั้น อาจาโร,
หลวงปู่กว่า สุมโน, หลวงปู่มหาทองสุก สุจิตฺโต, หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ

แถวหลัง จากซ้าย : พระธรรมมงคลญาณ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร),
หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ, หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน



พ.ศ. ๒๔๘๑

หลังจากการก่อเจดีย์ฉลองเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางไปถ้ำผาจมใกล้เขตแดนพม่า ถ้ำนี้สบายมาก จึงอยู่ทำความเพียรเสียระยะหนึ่ง พอท่านพักทำความเพียรแล้ว เวลาใกล้เข้าพรรษาจึงเดินทางกลับจังหวัดเชียงใหม่ พักอยู่จำพรรษาที่ตำบลสันมหาพน การจำพรรษาปีนี้ไม่ได้อยู่กับท่านพระอาจารย์ใหญ่ แต่ก็เป็นที่สงบสงัดดีพอสมควร ท่านก็อยู่กัน ๒ องค์เท่านั้น เพราะต่างก็จะหาที่วิเวกทำความเพียรกันตลอดเวลา

หลังจากออกพรรษาแล้ว มีพระเขือง พระมนู พร้อมกับท่าน ได้เดินธุดงค์ต่อไป ทั้งๆ ที่ยังจับไข้มาลาเรียอยู่ทุกวัน ท่านก็ยังพยายามเพื่อจะไปหาที่อยู่ที่วิเวกที่สุด ขณะที่ท่านกำลังไปนั้นเผอิญพบกับพวก “เตียวต่าง” แปลว่า พวกพ่อค้าที่มีต่างบรรทุกบนหลังม้า พวกเขาพากันดีใจที่พบพระ เพราะว่าไปกับพระปลอดภัยดี และเขาก็ได้ทำบุญไปด้วย วันนั้นค่ำแล้วก็หยุดพักกัน เขาทำอาหารมื้อค่ำมาถวาย ท่านก็ไม่ฉัน พวกเขาพากันอ้อนวอนกันใหญ่ ท่านจึงแสดงเรื่องวินัยของพระให้เขาฟังว่า

“ผู้บวชเป็นพระแล้วครองผ้าเหลืองเป็นสมณศากยบุตรต้องรักษาพระวินัยยิ่งกว่าชีวิต วินัยนั้นมี ๒๒๗ ข้อ ข้อสำคัญคือปาราชิก ๔ ต่อมาสังฆาทิเสส ๑๓ อนิยตะ ๒ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ สุทธิกปาจิตตีย์ ๙๒ ปาฏิเทสนียะ ๔ เสขิยวัตร ๗๕ อธิกรณสมถะ ๗ ท่านอธิบายต่อไปว่า พระภิกษุนั้นต้องปฏิบัติตามวินัยจึงจะเป็นพระที่ดี ถ้าล่วงพระวินัยเป็นพระเลว พระเป็นผู้เสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ร่างกายจะต้องเสียสละเพื่อธรรมวินัย ดังนั้น พวกท่านทั้งหลายจะมาให้เราฉันอาหารในเวลาเช่นนี้ เราฉันไม่ได้”

พวกเขาว่า “ก็พระอื่นๆ ทำไมเขาจึงฉันได้”

ท่านตอบว่า “นั้นคือพระเลว ไม่รักธรรมรักวินัย”

ทำให้พวก (เตียวต่าง) เกิดความเลื่อมใส ก็เลยเดินทางไปด้วยกัน

เขาก็เอาบริขารของท่านใส่ต่างไป ข้ามเขาข้ามเหวไปถึงเมืองกอง จากเมืองกองไปถึงเมืองแหง พ่อเมืองแหงรู้ว่าท่านมา ใช้ให้คนมารับ ๒ คน ตอนนี้ท่านก็เริ่มเป็นไข้หนักเข้าทุกที จึงจำเป็นต้องพักรักษาตัวอยู่ที่เมืองนี้ พ่อเมืองเกิดความเลื่อมใส พยายามช่วยอนุเคราะห์เป็นศิลานุปัฏฐากอย่างเต็มที่

ท่านรักษาตัวอยู่ ๒ เดือนเศษ พระมนู พระเขือง เลยไปก่อน หลังจากพระเขือง พระมนู ไปได้ ๑๐ วัน โดยที่ท่านต้องการจะไปแม้ยังไม่หายดี ท่านก็ตามไปทันท่านมนูที่พระธาตุแม่สวย แล้วได้อยู่ที่นี่ ๑๐ วัน แต่ไม่พบพระเขือง เพราะพระเขืองได้กลับไปเสียแล้ว ท่านมนูก็เลยแยกไปภูเขาลูกหนึ่งอยู่กับพวกปะหล่อง ท่านจึงเดินทางไปแต่ผู้เดียวไปถึงบ้านเชียงหลวง ไปพักอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเล็กๆ ข้างๆ ภูเขา น้ำใสไหลเย็น มีพุ่มไม้เกิดขึ้นตามริมฝั่ง ร่มเย็น ทรายแดงขาวปนกับเกลือเงินเกล็ดทองที่ถูกน้ำเซาะมาแต่ซอกหิน เป็นระยิบระยับ ฝูงนกมากมายหลายจำพวกมาหากินตามชายฝั่ง จนไม่ทราบว่ามีนกอะไรบ้าง แถวนี้นับว่ามีทำเลดี ท่านว่าสบายแท้ จึงอยู่ทำความเพียรเป็นเวลานาน ได้รับความเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง ทั้งชาวบ้านก็ไม่รบกวน ใส่บาตรให้ฉันแล้วก็แล้วกัน อยู่องค์เดียวไม่พูดอะไรกับใคร มีแต่อนุสรณ์ถึงธรรมแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น

ที่นี่จำพวกเสือหมีมีมาก มันเข้ามาหาทุกคืนแต่มันก็ไม่ทำอะไรใคร แต่มันคอยกินวัวควายของชาวบ้านเสมอ เสียงเสือมันจะร้องกังวานน่าเสียวเฉพาะใหม่ๆ พอชินแล้วมันก็ธรรมดา แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม มันก็ทำให้เกิดความระวังสติขึ้นได้มาก จากนั้นท่านเดินทางต่อไปเพื่อหาที่วิเวกและเพื่อเป็นการฝึกฝนตัวเอง ก็บรรลุถึงบ้านหมากกายอน เป็นหมู่บ้านเล็กอยู่ระหว่างหุบเขา เป็นที่เงียบสงัดดี ท่านจึงพักอยู่ปรารภความเพียร ณ ที่นั้นอีก เป็นที่วังเวง มีแต่เสียงสัตว์ป่าร้องโหยหวน เฉพาะอย่างยิ่งชะนีมีมากทีเดียว เพราะมันส่งเสียงร้องระงมป่าไปหมด ตกกลางคืนก็พวกนกอูลอ ร้องคล้ายๆ คนเรียก แล้วก็พวกนกเค้าดูมันไม่ค่อยรู้จักคนเอาทีเดียว ท่านพระครูอุดมธรรมคุณ (หลวงปู่มหาทองสุก สุจิตฺโต) ท่านว่าท่านอยู่ในที่นี้เหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง เป็นเหตุให้ระลึกถึงมรณานุสติอยู่ตลอดเวลา คล้ายกับหายห่วงอะไรๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นบรรยากาศที่เหมาะสมแก่สมณะแท้ๆ

ท่านอยู่บำเพ็ญสมณธรรมที่นี้พอสมควรแก่กาล ก็เดินธุดงค์ต่อไป ข้ามห้วยนอนหลับ (ที่ว่าห้วยนอนหลับเพราะด้วยนี้ยาวมาก ต้องหลายคืนจึงจะเดินตลอด) ตอนนี้ข้ามจากเขตไทยถึงประเทศพม่าแล้ว เป็นป่าทึบมากทีเดียว มองไม่เห็นพระอาทิตย์เลย ขณะนี้เดินธุดงค์อยู่องค์เดียว อาศัยอาหารพวกชาวเขา ป่าแห่งนี้อยู่ระหว่างเขตไทยกับเขตพม่า เป็นป่าใหญ่มาก ท่านธุดงค์วกเข้าวกออกระหว่างเขตอยู่ ๔ เดือน พอเห็นว่ามีชาวเขาอยู่ตรงไหน ท่านก็พักอาศัยอยู่กับเขา พอมีอาหารประทังชีวิต เพื่อให้ได้ที่วิเวก พอได้บำเพ็ญสมณธรรม ขณะที่ท่านอยู่กับชาวเขา ท่านได้อบรมให้ชาวเขาเหล่านั้นได้เข้าใจถึงพระพุทธศาสนา จนชาวเขาเกิดความเลื่อมใสในตัวท่าน จะไปทางไหนต้องติดตามไปช่วยถือบริขารบ้าง ปฏิบัติต่างๆ บ้าง

วันหนึ่ง ท่านเห็นพวกชาวเขาไปได้กวางมาตัวหนึ่ง ช่วยกันแล่เนื้อแล้วย่างแขวนไว้ นำเอาไปถวายท่านตอนเย็น เนื้อยังร้อนอยู่ ท่านบอกว่าฉันไม่ได้ ต้องตอนเช้าแล้ว พวกชาวเขาเหล่านั้นจะมาหาท่านตลอดเวลาจนเป็นเรื่องของการกังวล ท่านจึงออกเดินธุดงค์ต่อไปถึงเมืองเต๊ะจ๊ะจนค่ำมืด เดินข้ามน้ำ (ลึก) ขนาดโคนขา ท่านก็เดินเรื่อยไป คราวนี้ท่านทดลองเดินทางลัดไม่ไปตามทาง และไม่ให้ชาวเขาเหล่านั้นติดตามไปด้วย ลัดป่า ขึ้นหิน ข้ามห้วย หลงทาง ไม่ทราบจะไปทางไหนดี นอนค้างกลางดงใหญ่ นั่งภาวนาเต็มที่นึกว่า เอาละ คราวนี้ต้องตายกันที เพราะไม่รู้จะไปทางไหนจึงจะพบบ้านคน ภาวนาดีแท้ๆ ท่านว่าคนเราถึงที่สุดมันก็แค่ตาย

ตื่นขึ้นแต่เช้า เดินทางต่อไป ไม่ได้ฉันอะไรเลย ฉันแต่น้ำพอประทังความกระหาย เดินไป ๑ วันเต็มๆ พอดีเจอทางคน ท่านก็เดินตามทาง พอดีพบเห็นแสงไฟ ท่านก็เดินเข้าไปหาแสงไฟจึงพบหมู่บ้านใหญ่โต และพักอยู่จนเช้าออกบิณฑบาต ถามชาวบ้าน เขาบอกว่าที่นี่ชื่อเมืองทา เขตพม่า จึงพักอยู่ ๓ คืน ดีเหมือนกันท่านว่า

“มาพบผู้คนเสียที เขาดี พวกนี้เป็นพวกเงี้ยว (ไทยใหญ่) เป็นคนมีรูปร่างสะอาดดี มีศีลธรรมดีมาก การขายของไม่ต้องมีคนเฝ้า เจ้าของบางทีไม่อยู่ในร้าน คนซื้อรู้ราคา เอาเงินไปใส่วางไว้แล้วก็เอาของไป ไม่มีโกงกัน”

ท่านถามชาวบ้านว่า “ของทำอย่างนี้ไม่หายหรือ ?”

เขาตอบว่า “ไม่เสียหาย ไม่เคยมีเสียหาย ไม่ขโมยกันหรือ ไม่มีขโมย ถ้าใครขโมย คนนั้นไม่มีใครคบตลอดชาติ ผู้หญิงจะหาผัวไม่ได้ ผู้ชายจะหาเมียไม่ได้ ไม่มีใครต้องถือว่าเศษคน”

พ.ศ. ๒๔๘๒

ครั้นเมื่อท่านได้สถานที่เหมาะสมแล้วเช่นนี้ ท่านอยู่จำพรรษากับพวกชาวเขาปะหล่อง ซึ่งเป็นยอดภูเขาสูงชันมากและเป็นเขตพม่า ท่านอยู่องค์เดียว เขาทำกุฏิถวายให้เหมือนกับคอกหมูเพราะท่านบอกว่าท่านต้องเดินจงกรม เสือมันก็มาหมอบอยู่ข้างๆ ก็ทำบ้านเช่นคอกหมูเหมือนกัน พวกเขาดีใจมากที่ท่านไปอยู่ที่นี้ เพราะพวกชาวเขาเหล่านี้เลื่อมใสพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว ปีนี้เป็นปีสำคัญที่ท่านปรารภความเพียรอย่างยิ่งยวด โดยพยายามเร่งความเพียร พยายามให้มีสติครอบครองจิตอยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืน ไม่มีใครมายุ่งเกี่ยว เป็นโอกาสอันดีแท้ จิตใจผ่องใส มีความเยือกเย็นสุขุมเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งจะหาปีใดเสมอปีนี้ไม่มีเลย วิเวกทั้งกาย วิเวกทั้งใจ

เมื่อท่านอยู่กับชาวเขาตลอดพรรษาแล้ว ก็คิดถึงท่านพระอาจารย์มั่น อยู่กับเขา ๔ เดือนก็ลาเขากลับ พวกเขาพากันร้องห่มร้องไห้กันใหญ่ เขาไม่อยากให้ท่านกลับเลย ท่านแทบจะไม่ได้กลับเสียแล้ว แต่ความที่ต้องการพบท่านพระอาจารย์มั่น โดยที่ต้องการกราบเรียนท่านถึงการทำจิตที่ผ่านมา จึงตัดสินใจกลับ โดยเดินกลับทางเก่าจนไปถึงจังหวัดเชียงใหม่ ทราบข่าวท่านพระอาจารย์มั่นถูก ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (หลวงปู่จูม พนฺธุโล) นิมนต์จากจังหวัดเชียงใหม่ไปยังจังหวัดอุดรธานีเสียแล้ว ท่านจึงติดตามไป

พอไปถึงกรุงเทพฯ ก็ไปพบกับ ท่านพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ชวนท่านไปทางจันทบุรี ท่านคิดว่าจันทบุรียังไม่เคยไปเลยตัดสินไป แล้วเมื่อไปถึงจันทบุรี ท่านก็ไปเที่ยวทั่วไปๆ เพราะโดยปกติท่านไม่ชอบอยู่เฉยอยู่แล้ว ท่านได้ไปช่วย ท่านพระอาจารย์จันทร์ เขมปตฺโต สร้างวัดที่บ้านยางระหง อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี

รูปภาพ
ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (หลวงปู่จูม พนฺธุโล)

รูปภาพ
พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ

รูปภาพ
พระอาจารย์จันทร์ เขมปตฺโต

(มีต่อ ๕)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2009, 09:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

พ.ศ. ๒๔๘๓-๒๔๘๕

ปีนี้ท่านก็ได้จำพรรษาที่วัดทรายงาม บ้านหนองบัว ตำบลหนองบัว อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี กับผู้เขียน (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร) เป็นเวลา ๑ ปี เนื่องจากท่านพระอาจารย์กงมาท่านไม่ได้จำพรรษาที่วัดทรายงาม ท่านไปสร้างวัดใหม่ที่เขาน้อยท่าแฉลบ จังหวัดจันทบุรี และจำพรรษาอยู่ที่นั่น

ปีนี้เองท่านพระครูอุดมธรรมคุณก็ได้สอนการแปลหนังสือบาลี-ไทยให้แก่ผู้เขียน เพราะไวยากรณ์นั้นผู้เขียนได้เรียนมาจบแล้วตั้งแต่ยังไม่ได้บรรพชาเป็นสามเณร หลังจากผู้เขียนบรรพชาแล้ว ก็เริ่มเร่งความเพียรตลอดมา มิได้จับดูหนังสือประเภทนี้เลย พึ่งจะมาจับการแปลตอนที่ท่านมาอยู่ที่วัดทรายงามนี้เอง

เมื่อท่านอยู่วัดทรายงามแล้ว ก็ได้สั่งสอนประชาชนให้เกิดความยินดีในธรรมคำสั่งสอนพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก และแนะนำพร่ำสอนกุลบตรที่ได้เข้ามาบรรพชาอุปสมบท จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาแก่กุลบุตรเหล่านั้นอย่างยิ่ง

หลังจากท่านทราบว่า ท่านพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ได้ไปนมัสการท่านพระอาจารย์มั่นแล้ว ท่านก็จำเป็นที่จะต้องอนุเคราะห์ชาวหนองบัว วัดทรายงามก่อน ครั้นจะไปทีเดียวก็ไม่มีใครจะอยู่วัดทรายงามแทน ท่านจึงต้องพำนักอยู่ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๓-๒๔๘๔-๒๔๘๕ แล้วจึงได้เดินทางออกติดตามมาปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์มั่นอีกครั้ง ณ สำนักป่าบ้านนามน ตำบลตองโขป อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร

ผู้เขียนขณะนั้นกำลังอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่น เมื่อท่านพระครูอุดมธรรมคุณกลับไปพบท่านพระอาจารย์มั่นแล้ว ท่านพระอาจารย์มั่นท่านก็ใช้ให้ไปอยู่ ณ สำนักป่าบ้านห้วยหีบ ตำบลหนองเหียน อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ซึ่งห่างจากสำนักป่าบ้านนามนประมาณ ๔ กิโลเมตร และที่สำนักป่าบ้านห้วยหีบแห่งนี้ ท่านพระครูอุดมธรรมคุณไปอยู่ตรงที่ผีป่ามันหวงไว้ เข้าไปทำลายดงผีป่าปู่ตา จนเกือบจะเกิดเรื่องกับชาวบ้านเสียแล้ว แต่ท่านก็ได้แสดงธรรมแก้ไขจนเขาเหล่านั้นกลับเลื่อมใส แล้วท่านก็พำนักอยู่ที่นั้นต่อไป

พ.ศ. ๒๔๘๖-๒๔๘๘

เมื่อท่านพระครูอุดมธรรมคุณพักอยู่บ้านห้วยหีบนั้น ก็เหมือนกับที่ท่านเคยอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่นมาแต่ก่อนเหมือนกัน คือเมื่อถึงเวลาอันสมควร ท่านก็จะต้องไปฟังธรรมเทศนาเสมอ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งวันอุโบสถ ไม่ว่าองค์ใดจะอยู่ที่ไหน ถ้าพอจะมาประชุมทำอุโบสถได้ต้องพยายามมารวมทำอุโบสถกับท่านพระอาจารย์มั่น เพราะว่าหลังจากทำอุโบสถแล้ว ท่านจะให้โอกาสและเปิดโอกาสให้ซักถามข้อข้องใจในการปฏิบัติที่ผ่านมา กับให้โอวาทอันจับใจเป็นเวลานานพอสมควร จึงต่างองค์ต่างกลับที่พักของตน

รูปภาพ
ท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีลเถระ

รูปภาพ
พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ


พ.ศ. ๒๔๘๙-๒๕๐๗

ในระหว่างที่ท่านอยูบ้านห้วยหีบนั้น วัดป่าสุทธาวาสซึ่งเป็นวัดที่ท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีลเถระ ผู้เป็นพระอาจารย์ของท่านพระอาจารย์มั่นได้สร้างไว้ อันเป็นวัดใหญ่โตและสำคัญอยู่ที่เมืองสกลนคร เกิดว่างสมภารลง มีการรวนเร พระภิกษุสามเณรก็ขาด ดังนั้น ท่านพระอาจารย์มั่นจึงได้สั่งให้ท่านพระครูอุดมธรรมคุณขณะนั้นอยู่บ้านห้วยหีบ ให้มาเป็นเจ้าอาวาสอยู่ ณ วัดป่าสุทธาวาสแห่งนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ถึง ๒๕๐๗

เนื่องจากท่านพระครูอุดมธรรมคุณเป็นผู้มีนิสัยไม่นิ่งดูดายและมีนิสัยโอบอ้อมอารี จึงมีพระภิกษุสามเณรไปอยู่ด้วยมากขึ้นเป็นลำดับ จนถึงกับมีการสอบนักธรรมสนามหลวง สอบนักธรรมจนได้รับการยกย่องจากส่วนกลาง นอกนั้นท่านก็ได้ปรับปรุงเสนาสนะจากการปรักหักพังจนมีกุฏิถาวรขึ้นหลายหลัง แก้ไขแผนผังวัดจนสง่างาม ทั้งศาลาการเปรียญ โรงฉันสวยงามถาวรแข็งแรง ซึ่งสามารถมีที่พักพอแก่พระภิกษุสามเณรนับร้อย

ครั้นเมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๒ อันเป็นปีที่สำคัญมาก คือท่านพระอาจารย์มั่นเกิดอาพาธหนัก และย้ายออกจากวัดป่าบ้านหนองผือ (วัดป่าภูริทัตตถิราวาส) มาพักอาพาธระยะสุดท้ายเป็นเวลา ๑๑ วัน ที่วัดป่ากลางโนนภู่ บ้านกุดก้อม แล้วย้ายมาถึงวัดป่าสุทธาวาส ท่านพระอาจารย์มั่นได้มรณภาพลงด้วยอาการสงบ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒ เวลา ๐๒.๒๓ น. ที่วัดป่าสุทธาวาส สิริอายุรวมได้ ๗๙ ปี ๙ เดือน ๒๑ วัน พรรษา ๕๖ ท่านพระครูอุดมธรรมคุณ ได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงที่สำคัญในการจัดงานศพของท่านพระอาจารย์มั่น โดยมีพระอาจารย์ต่างๆ เช่น ท่านพระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ, ท่านเจ้าคุณพระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (พระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี), ท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร, ท่านพระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ และผู้เขียน (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร) รวมอยู่ด้วย และมีอีกหลายพระอาจารย์ได้มาร่วมช่วยในงานศพท่านพระอาจารย์มั่นในคราวนั้น

รูปภาพ
พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร

รูปภาพ
หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร


ท่านพระครูอุดมธรรมคุณ ในฐานะเจ้าอาวาสวัดป่าสุทธาวาส ก็ต้องมีภาระหนักมาก เพราะท่านพระอาจารย์มั่นมรณภาพคราวนี้ บรรดาศิษยานุศิษย์ของท่านมีทั่วประเทศไทย ต่างก็ได้ทยอยมาอย่างมากมายจนเสนาสนะไม่พออาศัย ต้องอยู่โคนต้นไม้กันเต็มไปหมด พระภิกษุสามเณรประมาณ ๘๐๐ กว่า ประชาชนจำนวนหลายหมื่น ในการมาประชุมเพลิงคราวนั้น และมิใช่มาเฉพาะจังหวัดเดียว ต่างก็มากันหลายจังหวัด ซึ่งเป็นงานใหญ่โตมโหฬารพิเศษ แต่ท่านพร้อมกับพระอาจารย์ทั้งหลายได้ช่วยจัดการจนงานเหล่านี้สำเร็จได้ด้วยดี หลังจากท่านพระอาจารย์มั่นมรณภาพเดือนพฤศจิกายน พอถึงปลายเดือนมกราคมได้ประชุมเพลิง ซึ่งเป็นเวลาที่น้อยมากสำหรับจัดงานที่ใหญ่โตอย่างนี้ แต่คณะบรรดาพระอาจารย์ทั้งหลายก็สามารถจัดงานนี้สำเร็จลุล่วงไปโดยมิได้มีอะไรขาดตกบกพร่องเลย ซึ่งนับเป็นเกียรติประวัติที่หาได้ยากในการทำฌาปนกิจศพในคราวครั้งนั้น

หลังจากงานประชุมเพลิงศพท่านพระอาจารย์มั่นผ่านพ้นไปแล้ว บรรดาศิษยานุศิษย์ก็ตกลงกันจะสร้างอนุสาวรีย์ถวายท่านพระอาจารย์มั่น ซึ่งก็ต้องอาศัยท่านพระครูอุดมธรรมคุณเป็นประธานในการก่อสร้างอนุสาวรีย์นี้ ในการสร้างอนุสาวรีย์ครั้งนี้ก็ตกลงกันว่าให้เป็น “อุโบสถ” ไปในตัวเสร็จ เพราะขณะนั้นวัดป่าสุทธาวาสยังไม่มีอุโบสถที่ถาวร ทั้งนี้ โดยสร้างอุโบสถครอบสถานที่ประชุมเพลิงศพท่านพระอาจารย์มั่น เมื่อการตกลงจะให้เป็นอุโบสถ ก็จำเป็นต้องใช้ปัจจัยก่อสร้างเป็นจำนวนเงินหลายแสนบาท จำเป็นอยู่เองที่ท่านพระครูอุดมธรรมคุณก็จะต้องหนักใจมากที่จะดำเนินงานชิ้นนี้ให้บรรลุถึงความสำเร็จ

การก่อสร้างได้ดำเนินมาตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๓ และได้ทำพิธีผูกพัทธสีมา เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ได้ทำพิธีบรรจุอัฐิธาตุของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ ไว้ภายในอุโบสถหลังนี้

ท่านพระครูอุดมธรรมคุณ ท่านก็ได้พยายามตบแต่งอุโบสถอันเป็นอนุสาวรีย์นี้จนดูสวยงามวิจิตรพิสดาร หาที่อื่นเปรียบปานได้ยาก ท่านได้อุตสาหวิริยะเป็นที่สุดในการทำนุบำรุงวัดป่าสุทธาวาส ปรับปรุงเสนาสนะจนเข้ารูปเป็นวัดที่มั่นคงแข็งแรงสง่างาม ปรับปรุงการศึกษาด้านปริยัติธรรม ตลอดถึงการแสดงธรรมแก่อุบาสกอุบาสิกา นับเป็นการจำพรรษาซึ่งเป็นเวลาอันยาวนานที่สุดในชีวิตของท่านก็คือที่นี่ คือจำพรรษาเป็นเวลา ๑๙ ปี

รูปภาพ
ป้ายชื่อวัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร

รูปภาพ
อุโบสถวัดป่าสุทธาวาส ซึ่งได้สร้างครอบสถานที่ประชุมเพลิงศพท่านพระอาจารย์มั่น
และเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ได้ทำพิธีบรรจุอัฐิธาตุของท่านพระอาจารย์มั่นไว้ภายในอุโบสถหลังนี้


(มีต่อ ๖)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2012, 18:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

รูปภาพ
บริเวณกุฏิที่ท่านพระอาจารย์มั่นมรณภาพ ณ วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร
ต่อมาได้จัดสร้างเป็น “อาคารพิพิธภัณฑ์อัฐบริขารพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ”
ภายในพิพิธภัณฑ์ฯ เป็นที่ประดิษฐานอัฐิธาตุ-อัฐบริขาร-รูปหล่อเหมือนเท่าขนาดองค์จริง
และข้าวของเครื่องใช้ของท่านพระอาจารย์มั่น ฯลฯ ที่แสดงถึงความสมถะเรียบง่ายแบบพระป่า


รูปภาพ
รูปหล่อโลหะรมดำรูปเหมือนพระอาจารย์มั่น เท่าขนาดองค์จริง
ณ อาคารพิพิธภัณฑ์อัฐบริขารพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ วัดป่าสุทธาวาส



๏ มหาทองสุกเป็นคู่ทุกข์คู่ยากกัน

จากการที่ท่านพระครูอุดมธรรมคุณได้ออกธุดงค์ติดตามท่านพระอาจารย์มั่นไปทางภาคเหนือ ทั้งจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย จนถึงประเทศพม่านั้น ก็เพื่อศึกษาฝึกฝนอบรมธรรมปฏิบัติ

ครั้งหนึ่งท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ ได้เล่าให้ฟังว่า ไปธุดงค์กับท่านพระครูอุดมธรรมคุณ พักอยู่กลางป่าบนดอยจังหวัดเชียงใหม่ ไฟได้ไหม้ล้อมเข้ามาทุกทิศ ท่านพระครูอุดมธรรมคุณได้หอบเอาบริขารของท่านพระอาจารย์มั่นมัดไว้กับตัว แล้วถือคันไม้กวาดตีไฟ กวาดใบไม้จนไฟสงบได้

ท่านพระอาจารย์มั่น ยังพูดเสมอว่า “มหาทองสุกเป็นคู่ทุกข์คู่ยากกัน”

๏ อวสานปี ๒๕๐๘

เมื่อท่านได้ตรากตรำงานการก่อสร้างมากขึ้น ก็เป็นเหตุให้ท่านมีโรคภัยไข้เจ็บรบกวนมากขึ้นเป็นลำดับ ท่านก็พยายามรักษา แต่การเป็นโรคของท่านก็มีแต่จะทวีขึ้นท่านจึงได้มากรุงเทพฯ เพื่อจะได้รักษาให้ถูกต้องตามหลักวิชาการของแพทย์ จนได้เข้าโรงพยาบาลรักษาอยู่ที่อายุรศาสตร์ (โรงพยาบาลโรคเมืองร้อน)

ต่อมาก็ได้เข้าทำการผ่าตัดที่โรงพยาบาลศิริราช โดยมีศาสตราจารย์นายแพทย์อุดม โปษกฤษณะ เป็นผู้ดูแลการผ่าตัดและรักษา แต่อาการก็ไม่ทุเลาลงได้ มีแต่ทรงกับทรุดเท่านั้น เมื่อถึงเวลาเข้าพรรษา ท่านจึงออกจากโรงพยาบาลมาอยู่ วัดธรรมมงคล เถาบุญนนทวิหาร (วัดธรรมมงคล) ที่ผู้เขียนได้มาสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๖ อาการของท่านก็ไม่ดีขึ้นกลับทรุดหนักต่อไปอีก ศาสตราจารย์นายแพทย์อุดม โปษกฤษณะ จึงได้มารับเข้าไปโรงพยาบาลศิริราชอีกครั้ง และทำการผ่าตัดอีกเป็นครั้งที่ ๒ โรคกำเริบสุดขีดสุดความสามารถของแพทย์ที่จะทำการเยียวยา ท่านก็ได้มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๖ เวลา ๐๖.๐๔ นาฬิกา

รูปภาพ
“นครธรรม” ตั้งอยู่ใต้ฐานพระวิริยะมงคลมหาเจดีย์ ศรีรัตนโกสินทร์
พระมหาเจดีย์ที่สูงที่สุดในกรุงเทพฯ ณ วัดธรรมมงคล เถาบุญนนทวิหาร



ข้าพเจ้าผู้เขียน (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร) ในฐานะเป็นศิษย์ของท่านพระครูอุดมธรรมคุณ ขอขอบพระคุณใน ท่านศาสตราจารย์นายแพทย์อุดม โปษกฤษณะ เป็นอย่างมาก ในการให้ความอุปการะแด่ท่านพระครูอุดมธรรมคุณคราวนี้ ซึ่งเป็นการหาได้ยากมาก ถ้าท่านศาสตราจารย์ฯ ไม่อุปการะแล้วก็คงจะลำบากกว่านี้ แต่นี่ได้รับความสะดวกทุกประการ แม้ตอนที่อยู่วัดธรรมมงคลฯ ก็ยังได้ไปช่วยดูแลรักษาอยู่ตลอดเวลา บุญกุศลใดที่ผู้เขียนได้บำเพ็ญมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขอส่งผลให้ท่านศาสตราจารย์นายแพทย์อุดม โปษกฤษณะ จงประสพอิธวิบูลมรูยผลสุขสวัสดิ์พัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล ถึงซึ่งพระนิพพานเทอญ

หลังท่านมรณภาพแล้ว ผู้เขียนได้นำศพของท่านมาบำเพ็ญกุศล ณ วัดธรรมมงคลฯ ซึ่งก็ได้บำเพ็ญกุศลตามความสามารถเป็นที่เรียบร้อย ครั้นต่อมา ท่านเจ้าคุณพระวิบูลธรรมภาณ (พระมหาประมูล รวิวํโส) เจ้าคณะธรรมยุตจังหวัดสกลนคร และท่านเจ้าคุณพระพิศาลศาสนกิจ (สนธิ์ ขนฺตฺยาคโม) พร้อมด้วยชาวเมืองสกลนครประมาณ ๒๐๐ คน ได้มารับศพท่านกลับไปจัดพิธีบำเพ็ญกุศล ณ วัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร

๏ อวสานกถา

เป็นธรรมดาของสังขารทั้งหลาย ที่เกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องสลายไปในที่สุด คือเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย แต่ทั้งที่พวกเราก็ทราบแล้วว่าจะต้องตาย ก็ยังอดอาลัยในความเป็นอยู่ไม่ได้ เนื่องจากอวิชชายังปกคลุมใจของพวกเราทั้งหลายอยู่ แม้ท่านพระครูอุดมธรรมคุณท่านก็ต้องตกอยู่ในสภาพความจริงของสังขาร ท่านได้ละสังขารไปแล้ว

แต่ความดีทั้งหลายที่ท่านได้บำเพ็ญให้เป็นประโยชน์แก่บวรพระพุทธศาสนามากมายเป็นสิ่งที่ไม่ตาย ยังปรากฏชัดเจนแก่บรรดาคณะสงฆ์ คณะศิษยานุศิษย์ และประชาชนทั้งหลาย เป็นความจริงที่ท่านพระครูอุดมธรรมคุณได้บำเพ็ญประโยชน์ทั้งในส่วนตัวและผู้อื่นอย่างเต็มความสามารถ ทั้งนี้ นอกจากจะเป็นทิฏฐานุคติแบบอย่างแก่กุลบุตร กุลธิดา ที่จะเกิดมาในภายหน้าแล้ว ท่านยังรวบรวมคุณงามความดี ทั้งชั้นต่ำ ชั้นกลาง และชั้นสูง ติดตามตัวของท่านไปมากมาย ซึ่งเป็นการสมควรอย่างยิ่งในการมีชิวิตเป็นมนุษย์ ใช้การต่อสู้ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้คุณสมบัติอันเลอเลิศ อันจะพึงมีอยู่ในบวรพระพุทธศาสนา

รูปภาพ
พระครูอุดมธรรมคุณ (หลวงปู่มหาทองสุก สุจิตฺโต)

รูปภาพ
หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร ผู้เขียนประวัติหลวงปู่มหาทองสุก สุจิตฺโต


.............................................................

:b8: รวบรวมและคัดลอกเนื้อหามาจาก ::
หนังสือทางสู่สันติ ประวัติพระครูอุดมธรรมคุณ (ทองสุก สุจิตฺโต)
พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานศพพระครูอุดมธรรมคุณ (ทองสุก สุจิตฺโต)
ณ เมรุวัดสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๙

เขียนโดย พระครูญาณวิริยะ (อาจารย์วิริยังค์ สิรินฺธโร)


:b47: ประมวลภาพ “หลวงปู่มหาทองสุก สุจิตฺโต” วัดป่าสุทธาวาส
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=43058

:b47: วันบูรพาจารย์ วันคล้ายวันถวายเพลิงศพหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=40952

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2012, 18:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี


ท่านอาจารย์มหาทองสุก
คู่ทุกข์คู่ยากกับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต


ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี


พระพุทธเจ้าท่านทรงบำเพ็ญพุทธกิจ ๕ ดูเหมือนเป็นข้อที่ ๔ ภพฺพาภพฺเพ วิโลกานํ ตอนปัจฉิมยามทรงเล็งญาณดูสัตวโลก พระจิตของพระองค์เล็งญาณดูหัวใจของสัตว์โลก ถ้าผู้ใดมีอุปนิสัยปัจจัยที่จะรู้อรรถรู้ธรรมได้อย่างรวดเร็ว แต่จะเสียชีวิตอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน พระองค์เสด็จออกจากฌานแล้วก็เสด็จไปโปรด ถ้าธรรมดาเราก็ปล่อยให้เป็นธรรมดา เป็นแต่เพียงว่าทรงทราบๆ เอาไว้ ท่านเล็งดูใจ

พูดถึงเรื่องนี้แล้วมาคิดย้อนหลังที่พ่อแม่ครูจารย์มั่นเรานี้ละ ท่านเล่าเองนะ
ท่านอาจารย์มหาทองสุก เป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดสุทธาวาสจนกระทั่งมรณภาพนี้ เป็นคู่พึ่งเป็นพึ่งตาย คู่ทุกข์คู่ยาก คู่ลำบากลำบนกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านอาจารย์มหาทองสุกเป็นคนจังหวัดสระบุรี ดูว่าอยู่บ้านหนองไผ่หรืออะไร เป็นคู่ทุกข์คู่ยากกันกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ไปไหนในป่าในเขาทุกข์ไปด้วยกันเลย เวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วยหนักๆ ท่าน (หลวงปู่มั่น) ไปขู่ท่านนะ ท่านเป็นมหา บางทีคนอาจคิดว่าเป็นมหาบัวก็ได้ คืออาจารย์มหาทองสุก ตอนนั้นเรายังไม่ได้เป็นมหา เรายังเรียนอยู่ ท่านเป็นมหาแล้วท่านไปกับหลวงปู่มั่น

ทำไมถึงอ่อนแอเอานักหนา เหมือนผู้หญิง ท่านว่างี้นะท่านขู่ ไปเอาเครื่องนุ่งห่มของผู้หญิงมานุ่งสวมใส่เข้าไปเสีย แล้วถอดออกเครื่องของผู้ชาย มันเสียเกียรติผู้ชายอย่างนี้น่ะ มันอะไรอ่อนแอนัก ร้องไห้ ความหมายว่าไม่ได้การ ท่านว่านะ ท่านทำท่านทำหาเหตุหาผลเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง ตอนนั้นท่านป่วย ท่าน (หลวงปู่มั่น) ไปขู่เอา เพราะนิสัยพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวผึงๆ นิสัยท่านอาจารย์มหาทองสุกสุภาพเรียบร้อย เรียกว่าอ่อนแอก็ได้ถ้าเทียบกับหลวงปู่มั่น เป็นไข้อยู่ในป่าในเขาด้วยกัน ยาก็ไม่มีแต่ก่อน

ท่านก็ไปขู่เอาบ้าง เป็นยังไงเจ็บไข้เพียงเท่านี้ถึงอ่อนแอเอาเหลือเกิน เหมือนผู้หญิง ถอดออกให้หมดอันนี้เอาเครื่องผู้หญิงมานุ่งมาใส่เข้าไปจะเข้ากันได้ ท่านว่างั้น เครื่องของพระนี้เข้ากันไม่ได้กับความอ่อนแอ ว่างั้นทดลองดู พอท่านว่าอย่างนั้นร้องไห้เลย ขนานนี้ไม่ได้การ เอาขนานใหม่นิ่มนวลที่นี่ ท่านใช้อย่างนั้นนะ ก็ท่านไม่มีกิเลส ถึงจะใช้กิริยาอาการใดจิตท่านไม่ได้เป็นอย่างนั้น เป็นการทดสอบทดลองดูเฉยๆ ตกลงก็เลยใช้แบบนิ่มนวลแบบผู้หญิงไปเลย ไม่ต้องสวมใส่ก็ได้เครื่องผู้หญิง มันใส่ไปในตัวเลยว่างั้นเถอะ นี่ละคู่ทุกข์คู่ยากกัน

เกี่ยวกับเรื่อง ภพฺพาภพฺเพ วิโลกานํ ที่ทรงเล็งญาณดูสัตวโลก ก็อย่างตุ๊เจ้ายี่เขาว่าท่านเป็นเสือเย็น หลวงปู่มั่นเป็นเสือเย็น เวลาเขาหาเหตุหาผลยังไม่ได้เรื่องได้ราว เคยเล่าแล้วนี่นะ ท่านไปหาเขา เขานึกว่าท่านเป็นเสือเย็น เสือเย็นเสืออันตราย เสือเป็นพิษเป็นภัย เสือลึกลับ เขาเรียกเสือเย็น ตุ๊เจ้าสององค์นี้เป็นเสือเย็น
ท่านอาจารย์มหาทองสุกกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น เขาประกาศห้ามไม่ให้ใครไป ให้แต่ผู้ชายไป ให้ไปดูสังเกตการณ์ สังเกตการณ์ก็คือจอมโง่ไปสังเกตการณ์จอมปราชญ์ ไปท่านก็ไม่สนใจ ท่านรู้แล้ว

ท่านบอกท่านอาจารย์มหาทองสุก อย่างนั้นละเวลาท่านใช้ในป่าในเขาท่านออกใช้หมด เขาคิดยังไงพูดยังไงรู้หมดเลย บอกท่านอาจารย์มหาทองสุก นี่เขาว่าอย่างนั้นๆ นะ แต่เราอย่าสนใจ เขาว่าเสือเย็นมาอยู่กับเขา ให้ระวังกัน เวลาตายแล้วพวกนี้จะเป็นสัตว์เป็นเสือตกนรกกันไปหมด ถ้าเราไปเสียตอนนี้เขาจะเป็นบาปเป็นกรรมมาก เราต้องทนอยู่ ต้องทนจริงๆ อยู่ยังไงก็อยู่อย่างนั้น

เขาจัดคนมาดูเสือเย็นสองตัวนี้ พวกเราไปดูซิ ดูหลายวันต่อหลายวันเข้าไม่เห็นมีอะไร ท่านไม่สนใจอะไรละ ท่านเดินจงกรมท่านก็เดินของท่านในป่า หลายวันเข้าไปเขาไปดู ก็มีผู้ใหญ่บ้านของเขาถาม เป็นยังไงไปดูเสือเย็นสองตัวนั่น คนที่ไปดูมันคงจะโมโห มันก็พูดด้วยความโมโห จะเป็นอะไร ขึ้นเลยนะ ท่านก็อยู่ของท่าน ไม่เห็นเป็นเสือเย็นอะไร ดีไม่ดีตกนรกนะพวกเรา เขาก็รู้นรกเหมือนกัน ไปดูท่านก็ธรรมดา เฉยๆ ท่านไม่สนใจกับใคร ถ้าเสือเย็นมันต้องมีกิริยาอะไรให้รู้ นี้ไม่มีเลย ดีไม่ดีพวกเราตกนรกนะ อยากจะทราบเหตุผลก็ไปถามท่านดูซิ ท่านนั่งหลับตาไม่สนใจกับใคร ท่านเดินไปเดินมาทำอะไรไปถามดูซิ

ก็จอมโง่มาถามจอมปราชญ์ นั่นละที่ว่ามาถาม ตุ๊เจ้าทำอย่างนั้นทำอะไรๆ ท่านก็บอกว่าพุทโธหาย หาพุทโธ ท่านเอาอย่างนั้นนะจอมปราชญ์ พุทโธเป็นยังไงๆ เป็นดวงสว่าง ใครเห็นพุทโธแล้วจะสว่างจ้าในใจ ท่านว่างั้น พวกเราหาพุทโธด้วยได้ไหม ได้ ยิ่งดี หาพุทโธๆ อยู่ในนี้นะ พอดีตุ๊เจ้ายี่หัวหน้าไปทำมันก็เป็นจริงๆ จิตสว่างจ้า กำหนดออกมาดูท่าน ที่ว่าท่านเป็นเสือเย็น โหย ประกาศป้างเลย ไม่ได้นะพวกเรา

พอไปฟังท่านแล้วท่านมาเล่าให้ฟัง มาภาวนามันเป็นจริงๆ ไปเห็นใจท่านเข้า ใจท่านสว่างจ้าครอบโลกธาตุ เสือเย็นอะไรเป็นอย่างนั้น พวกเรานี้ตกนรกนะ ไม่ได้นะ เขายังรู้จักมาขอโทษ เขายังรู้ ต้องไปขอโทษท่านนะ พวกเราผิด ไม่งั้นตายจมไปหมดนะ ก็เลยมาขอโทษขออภัย เขาว่าจิตของเขารวมแล้วเขามองดูจิตหลวงปู่มั่นนี้ สว่างจ้าครอบโลกธาตุ มันเสือเย็นอะไรอย่างนั้น นั่นละจึงได้ลงกันทั้งบ้าน

นี่เราพูดถึงเรื่องความรู้มันออกไปรู้ มันรู้จนกระทั่งสัตว์มากินผลหมากรากไม้ที่เขาปลูกในสวน มากินมันก็เห็นตัวสัตว์ มันเห็นขนาดนั้น แล้วลงทั้งบ้านเลย นี่ละพูดถึงว่าท่านไม่ถืออะไรกับเขา เขาว่าท่านเป็นเสือเย็น เขาจะตกนรกต้องอยู่อนุเคราะห์เขา ให้เขาลงใจเสียก่อนแล้วไปไหนค่อยไป ท่านบอกว่าพุทโธหาย ให้เขาหาพุทโธ หาอยู่ในใจ นั่งก็ได้นอนก็ได้ทำอะไรก็ได้ ให้นึกพุทโธๆ อยู่ในใจนี้ หาพุทโธหาที่นี่แล้วจะเจอที่นี่ พอดีหัวหน้ามันเจอจริงๆ เจอมันสว่างจ้า

ทีนี้ส่งจิตไปหาหลวงปู่มั่น โอ๋ย สว่างครอบโลกธาตุ มันเสือเย็นยังไง เป็นอย่างนั้นละ ลงทั้งบ้านเลย เสือเย็นอะไรเป็นอย่างนั้น คือเขามาถามพุทโธหาย ท่านเลยสอนพุทโธให้เขาไปหาพุทโธ หาอย่างนี้ เขาเป็นพุทโธแล้วมันก็จ้า เลยไปเห็นจิตของหลวงปู่มั่นสว่างกระจ่างแจ้ง ยอมกันทั้งบ้านเลย นี่ละเป็นอย่างนั้น


:b8: :b8: :b8: http://www.luangta.com

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2015, 15:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


ศรัทธาในปฏิปทาของหลวงปู่มากเลยเจ้าค่ะ :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร